Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā

    ๑๖. ญาณวิภโงฺค

    16. Ñāṇavibhaṅgo

    ๑. เอกกมาติกาทิวณฺณนา

    1. Ekakamātikādivaṇṇanā

    ๗๕๑. โอกาสเฎฺฐน สมฺปยุตฺตา ธมฺมา อารมฺมณญฺจาปิ ญาณสฺส วตฺถุฯ ยาถาวกวตฺถุวิภาวนาติ นเหตาทิอวิตเถกปฺปการวตฺถุวิภาวนาฯ ยถา เอกํ นเหตุ, ตถา เอกํ อญฺญมฺปีติ หิ คเหตพฺพํ อวิตถสามญฺญยุตฺตํ ญาณารมฺมณํ ยาถาวกวตฺถุฯ ยาถาวเกน วา อวิตถสามเญฺญน วตฺถุวิภาวนา ยาถาวกวตฺถุวิภาวนา

    751. Okāsaṭṭhena sampayuttā dhammā ārammaṇañcāpi ñāṇassa vatthu. Yāthāvakavatthuvibhāvanāti nahetādiavitathekappakāravatthuvibhāvanā. Yathā ekaṃ nahetu, tathā ekaṃ aññampīti hi gahetabbaṃ avitathasāmaññayuttaṃ ñāṇārammaṇaṃ yāthāvakavatthu. Yāthāvakena vā avitathasāmaññena vatthuvibhāvanā yāthāvakavatthuvibhāvanā.

    ทุกานุรูเปหีติ ทุกมาติกานุรูเปหีติ วทนฺติฯ โอสานทุกสฺส ปน ทุกมาติกํ อนิสฺสาย วุตฺตตฺตา ทุกภาวานุรูเปหีติ วตฺตพฺพํฯ เอวํ ติกานุรูเปหีติ เอตฺถาปิ ทฎฺฐพฺพํฯ โอสานทุเก ปน อโตฺถติ ผลํ, อเนกตฺถตฺตา ธาตุสทฺทานํ ตํ ชเนตีติ อตฺถชาปิกา, การณคตา ปญฺญาฯ ชาปิโต ชนิโต อโตฺถ เอติสฺสาติ ชาปิตตฺถา, การณปญฺญาสทิสี ผลปฺปกาสนภูตา ผลสมฺปยุตฺตา ปญฺญาฯ

    Dukānurūpehīti dukamātikānurūpehīti vadanti. Osānadukassa pana dukamātikaṃ anissāya vuttattā dukabhāvānurūpehīti vattabbaṃ. Evaṃ tikānurūpehīti etthāpi daṭṭhabbaṃ. Osānaduke pana atthoti phalaṃ, anekatthattā dhātusaddānaṃ taṃ janetīti atthajāpikā, kāraṇagatā paññā. Jāpito janito attho etissāti jāpitatthā, kāraṇapaññāsadisī phalappakāsanabhūtā phalasampayuttā paññā.

    ๑๐. ทสกมาติกาวณฺณนา

    10. Dasakamātikāvaṇṇanā

    ๗๖๐. ‘‘จตโสฺส โข อิมา, สาริปุตฺต, โยนิโยฯ กตมา…เป.… โย โข มํ, สาริปุตฺต, เอวํ ชาน’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๑๕๒) วจเนน จตุโยนิปริเจฺฉทกญาณํ วุตฺตํ, ‘‘นิรยญฺจาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๑๕๓) ปญฺจคติปริเจฺฉทกํฯ ‘‘สํยุตฺตเก อาคตานิ เตสตฺตติ ญาณานิ, สตฺตสตฺตติ ญาณานี’’ติ วุตฺตํ, ตตฺถ ปน นิทานวเคฺค สตฺตสตฺตติ อาคตานิ จตุจตฺตารีสญฺจ, เตสตฺตติ ปน ปฎิสมฺภิทามเคฺค สุตมยาทีนิ อาคตานิ ทิสฺสนฺติ, น สํยุตฺตเกติฯ อญฺญานิปีติ เอเตน อิธ เอกกาทิวเสน วุตฺตํ, อญฺญตฺถ จ ‘‘ปุพฺพเนฺต ญาณ’’นฺติอาทินา, พฺรหฺมชาลาทีสุ จ ‘‘ตยิทํ ตถาคโต ปชานาติ ‘อิมานิ ทิฎฺฐิฎฺฐานานิ เอวํ คหิตานี’ติ’’อาทินา วุตฺตํ อเนกญาณปฺปเภทํ สงฺคณฺหาติฯ ยาถาวปฎิเวธโต สยญฺจ อกมฺปิยํ ปุคฺคลญฺจ ตํสมงฺคิํ เญเยฺยสุ อธิพลํ กโรตีติ อาห ‘‘อกมฺปิยเฎฺฐน อุปตฺถมฺภกเฎฺฐน จา’’ติฯ

    760. ‘‘Catasso kho imā, sāriputta, yoniyo. Katamā…pe… yo kho maṃ, sāriputta, evaṃ jāna’’nti (ma. ni. 1.152) vacanena catuyoniparicchedakañāṇaṃ vuttaṃ, ‘‘nirayañcāhaṃ, sāriputta, pajānāmī’’tiādinā (ma. ni. 1.153) pañcagatiparicchedakaṃ. ‘‘Saṃyuttake āgatāni tesattati ñāṇāni, sattasattati ñāṇānī’’ti vuttaṃ, tattha pana nidānavagge sattasattati āgatāni catucattārīsañca, tesattati pana paṭisambhidāmagge sutamayādīni āgatāni dissanti, na saṃyuttaketi. Aññānipīti etena idha ekakādivasena vuttaṃ, aññattha ca ‘‘pubbante ñāṇa’’ntiādinā, brahmajālādīsu ca ‘‘tayidaṃ tathāgato pajānāti ‘imāni diṭṭhiṭṭhānāni evaṃ gahitānī’ti’’ādinā vuttaṃ anekañāṇappabhedaṃ saṅgaṇhāti. Yāthāvapaṭivedhato sayañca akampiyaṃ puggalañca taṃsamaṅgiṃ ñeyyesu adhibalaṃ karotīti āha ‘‘akampiyaṭṭhena upatthambhakaṭṭhena cā’’ti.

    เสฎฺฐฎฺฐานํ สพฺพญฺญุตํฯ ปฎิชานนวเสน สพฺพญฺญุตํ อภิมุขํ คจฺฉนฺติ, อฎฺฐ วา ปริสา อุปสงฺกมนฺตีติ อาสภา, พุทฺธาฯ อิทํ ปนาติ พุทฺธานํ ฐานํ สพฺพญฺญุตเมว วทติฯ ติฎฺฐมาโนวาติ อวทโนฺตปิ ติฎฺฐมาโนว ปฎิชานาติ นามาติ อโตฺถฯ อฎฺฐสุ ปริสาสุ ‘‘อภิชานามหํ, สาริปุตฺต, อเนกสตํ ขตฺติยปริสํ…เป.… ตตฺร วต มํ ภยํ วา สารชฺชํ วา โอกฺกมิสฺสตีติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต, น สมนุปสฺสามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๕๑) วจเนน ทสฺสิตอกมฺปิยญาณยุโตฺต ทสพโลหนฺติ อภีตนาทํ นทติฯ สีหนาทสุเตฺตน ขนฺธกวเคฺค อาคเตนฯ

    Seṭṭhaṭṭhānaṃ sabbaññutaṃ. Paṭijānanavasena sabbaññutaṃ abhimukhaṃ gacchanti, aṭṭha vā parisā upasaṅkamantīti āsabhā, buddhā. Idaṃ panāti buddhānaṃ ṭhānaṃ sabbaññutameva vadati. Tiṭṭhamānovāti avadantopi tiṭṭhamānova paṭijānāti nāmāti attho. Aṭṭhasu parisāsu ‘‘abhijānāmahaṃ, sāriputta, anekasataṃ khattiyaparisaṃ…pe… tatra vata maṃ bhayaṃ vā sārajjaṃ vā okkamissatīti nimittametaṃ, sāriputta, na samanupassāmī’’ti (ma. ni. 1.151) vacanena dassitaakampiyañāṇayutto dasabalohanti abhītanādaṃ nadati. Sīhanādasuttena khandhakavagge āgatena.

    ‘‘เทวมนุสฺสานํ จตุจกฺกํ วตฺตตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๑) สุตฺตเสเสน สปฺปุริสูปสฺสยาทีนํ ผลสมฺปตฺติ ปวตฺติ, ปุริมสปฺปุริสูปสฺสยาทิํ อุปนิสฺสาย ปจฺฉิมสปฺปุริสูปสฺสยาทีนํ สมฺปตฺติ ปวตฺติ วา วุตฺตาติ อาทิ-สเทฺทน ตตฺถ จ จกฺก-สทฺทสฺส คหณํ เวทิตพฺพํฯ ปฎิเวธนิฎฺฐตฺตา อรหตฺตมคฺคญาณํ ปฎิเวโธติ ‘‘ผลกฺขเณ อุปฺปนฺนํ นามา’’ติ วุตฺตํฯ เตน ปฎิลทฺธสฺสปิ เทสนาญาณสฺส กิจฺจนิปฺผตฺติปรสฺส พุชฺฌนมเตฺตน โหตีติ ‘‘อญฺญาสิโกณฺฑญฺญสฺส โสตาปตฺติผลกฺขเณ ปวตฺตํ นามา’’ติ วุตฺตํฯ ตโต ปรํ ปน ยาว ปรินิพฺพานา เทสนาญาณปฺปวตฺติ ตเสฺสว ปวตฺติตสฺส ธมฺมจกฺกสฺส ฐานนฺติ เวทิตพฺพํ, ปวตฺติตจกฺกสฺส จกฺกวตฺติโน จกฺกรตนฎฺฐานํ วิยฯ

    ‘‘Devamanussānaṃ catucakkaṃ vattatī’’ti (a. ni. 4.31) suttasesena sappurisūpassayādīnaṃ phalasampatti pavatti, purimasappurisūpassayādiṃ upanissāya pacchimasappurisūpassayādīnaṃ sampatti pavatti vā vuttāti ādi-saddena tattha ca cakka-saddassa gahaṇaṃ veditabbaṃ. Paṭivedhaniṭṭhattā arahattamaggañāṇaṃ paṭivedhoti ‘‘phalakkhaṇe uppannaṃ nāmā’’ti vuttaṃ. Tena paṭiladdhassapi desanāñāṇassa kiccanipphattiparassa bujjhanamattena hotīti ‘‘aññāsikoṇḍaññassa sotāpattiphalakkhaṇe pavattaṃ nāmā’’ti vuttaṃ. Tato paraṃ pana yāva parinibbānā desanāñāṇappavatti tasseva pavattitassa dhammacakkassa ṭhānanti veditabbaṃ, pavattitacakkassa cakkavattino cakkaratanaṭṭhānaṃ viya.

    สมาทียนฺตีติ สมาทานานิ, ตานิ ปน สมาทิยิตฺวา กตานิ โหนฺตีติ อาห ‘‘สมาทิยิตฺวา กตาน’’นฺติฯ กมฺมเมว วา กมฺมสมาทานนฺติ เอเตน สมาทาน-สทฺทสฺส อปุพฺพตฺถาภาวํ ทเสฺสติ มุตฺตคต-สเทฺท คต-สทฺทสฺส วิยฯ

    Samādīyantīti samādānāni, tāni pana samādiyitvā katāni hontīti āha ‘‘samādiyitvā katāna’’nti. Kammameva vā kammasamādānanti etena samādāna-saddassa apubbatthābhāvaṃ dasseti muttagata-sadde gata-saddassa viya.

    อคติคามินินฺติ นิพฺพานคามินิํฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘นิพฺพานญฺจาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ นิพฺพานคามินิญฺจ ปฎิปท’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๑๕๓)ฯ

    Agatigāmininti nibbānagāminiṃ. Vuttañhi ‘‘nibbānañcāhaṃ, sāriputta, pajānāmi nibbānagāminiñca paṭipada’’nti (ma. ni. 1.153).

    หานภาคิยธมฺมนฺติ หานภาคิยสภาวํ, กามสหคตสญฺญาทิธมฺมํ วาฯ ตํ การณนฺติ ปุเพฺพว กตาภิสงฺขาราทิํฯ

    Hānabhāgiyadhammanti hānabhāgiyasabhāvaṃ, kāmasahagatasaññādidhammaṃ vā. Taṃ kāraṇanti pubbeva katābhisaṅkhārādiṃ.

    ‘‘อิทานี’’ติ เอตสฺส ‘‘อิมินา อนุกฺกเมน วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานี’’ติ อิมินา สห โยชนา กาตพฺพาฯ กิเลสาวรณํ ตทภาวญฺจาติ กิเลสาวรณาภาวํฯ กิเลสกฺขยาธิคมสฺส หิ กิเลสาวรณํ อฎฺฐานํ, ตทภาโว ฐานํฯ อนธิคมสฺส กิเลสาวรณํ ฐานํ, ตทภาโว อฎฺฐานนฺติฯ ตตฺถ ตทภาวคฺคหเณน คหิตํ ‘‘อตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทิกาย สมฺมาทิฎฺฐิยา ฐิติํ ตพฺพิปรีตาย ฐานาภาวญฺจ อธิคมสฺส ฐานํ ปสฺสเนฺตน อิมินา ญาเณน อธิคมานธิคมานํ ฐานาฎฺฐานภูเต กิเลสาวรณตทภาเว ปสฺสติ ภควาติ อิมมตฺถํ สาเธโนฺต อาห ‘‘โลกิยสมฺมาทิฎฺฐิฐิติทสฺสนโต นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิฐานาภาวทสฺสนโต จา’’ติฯ เอตฺถ จ อธิคมฎฺฐานทสฺสนเมว อธิเปฺปตํ อุปริ ภพฺพปุคฺคลวเสเนว วิปากาวรณาภาวทสฺสนาทิกสฺส วกฺขมานตฺตาฯ อิมินา ปน ญาเณน สิชฺฌนโต ปสเงฺคน อิตรมฺปิ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ธาตุเวมตฺตทสฺสนโตติ ราคาทีนํ อธิมตฺตตาทิวเสน ตํสหิตานํ ธาตูนํ เวมตฺตตาทสฺสนโต, ‘‘อยํ อิมิสฺสา ธาตุยา อธิมตฺตตฺตา ราคจริโต’’ติอาทินา จริยาเหตูนํ วา, ราคาทโย เอว วา ปกติภาวโต ธาตูติ ราคาทิเวมตฺตทสฺสนโตติ อโตฺถฯ ปโยคํ อนาทิยิตฺวาติ สนฺตติมหามตฺตองฺคุลิมาลาทีนํ วิย กามราคพฺยาปาทาทิวเสน ปโยคํ อนาทิยิตฺวาฯ

    ‘‘Idānī’’ti etassa ‘‘iminā anukkamena vuttānīti veditabbānī’’ti iminā saha yojanā kātabbā. Kilesāvaraṇaṃ tadabhāvañcāti kilesāvaraṇābhāvaṃ. Kilesakkhayādhigamassa hi kilesāvaraṇaṃ aṭṭhānaṃ, tadabhāvo ṭhānaṃ. Anadhigamassa kilesāvaraṇaṃ ṭhānaṃ, tadabhāvo aṭṭhānanti. Tattha tadabhāvaggahaṇena gahitaṃ ‘‘atthi dinna’’ntiādikāya sammādiṭṭhiyā ṭhitiṃ tabbiparītāya ṭhānābhāvañca adhigamassa ṭhānaṃ passantena iminā ñāṇena adhigamānadhigamānaṃ ṭhānāṭṭhānabhūte kilesāvaraṇatadabhāve passati bhagavāti imamatthaṃ sādhento āha ‘‘lokiyasammādiṭṭhiṭhitidassanato niyatamicchādiṭṭhiṭhānābhāvadassanato cā’’ti. Ettha ca adhigamaṭṭhānadassanameva adhippetaṃ upari bhabbapuggalavaseneva vipākāvaraṇābhāvadassanādikassa vakkhamānattā. Iminā pana ñāṇena sijjhanato pasaṅgena itarampi vuttanti veditabbaṃ. Dhātuvemattadassanatoti rāgādīnaṃ adhimattatādivasena taṃsahitānaṃ dhātūnaṃ vemattatādassanato, ‘‘ayaṃ imissā dhātuyā adhimattattā rāgacarito’’tiādinā cariyāhetūnaṃ vā, rāgādayo eva vā pakatibhāvato dhātūti rāgādivemattadassanatoti attho. Payogaṃ anādiyitvāti santatimahāmattaaṅgulimālādīnaṃ viya kāmarāgabyāpādādivasena payogaṃ anādiyitvā.

    (๑.) เอกกนิเทฺทสวณฺณนา

    (1.) Ekakaniddesavaṇṇanā

    ๗๖๑. น เหตุเมวาติ เอตฺถ จ น เหตู เอวาติ อโตฺถ, พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตาวเสน ปน รสฺสตฺตํ -กาโร จ กโต ‘‘อทุกฺขมสุขา’’ติ เอตฺถ วิยฯ อิมินาปิ นเยนาติ เอตฺถ ปุริมนเยน เหตุภาวาทิปฎิเกฺขโป, ปจฺฉิมนเยน นเหตุธมฺมาทิโกฎฺฐาสสงฺคโหติ อยํ วิเสโส เวทิตโพฺพฯ จุติคฺคหเณน จุติปริจฺฉินฺนาย เอกาย ชาติยา คหณํ ทฎฺฐพฺพํ, ภวคฺคหเณน นวธา วุตฺตภวสฺสฯ ตทโนฺตคธตาย ตตฺถ ตตฺถ ปริยาปนฺนตา วุตฺตาฯ อุปฺปนฺนํ มโนวิญฺญาณวิเญฺญยฺยเมวาติ ‘‘น รูปํ วิย อุปฺปนฺนา ฉวิญฺญาณวิเญฺญยฺยา’’ติ รูปโต เอเตสํ วิเสสนํ กโรติฯ

    761. Na hetumevāti ettha ca na hetū evāti attho, byañjanasiliṭṭhatāvasena pana rassattaṃ ma-kāro ca kato ‘‘adukkhamasukhā’’ti ettha viya. Imināpi nayenāti ettha purimanayena hetubhāvādipaṭikkhepo, pacchimanayena nahetudhammādikoṭṭhāsasaṅgahoti ayaṃ viseso veditabbo. Cutiggahaṇena cutiparicchinnāya ekāya jātiyā gahaṇaṃ daṭṭhabbaṃ, bhavaggahaṇena navadhā vuttabhavassa. Tadantogadhatāya tattha tattha pariyāpannatā vuttā. Uppannaṃ manoviññāṇaviññeyyamevāti ‘‘na rūpaṃ viya uppannā chaviññāṇaviññeyyā’’ti rūpato etesaṃ visesanaṃ karoti.

    ๗๖๒. กปฺปโต กปฺปํ คนฺตฺวาปิ น อุปฺปชฺชตีติ น กทาจิ ตถา อุปฺปชฺชติฯ น หิ ขีราทีนํ วิย เอเตสํ ยถาวุตฺตลกฺขณวิลกฺขณตา อตฺถีติ ทเสฺสติฯ

    762. Kappato kappaṃ gantvāpi na uppajjatīti na kadāci tathā uppajjati. Na hi khīrādīnaṃ viya etesaṃ yathāvuttalakkhaṇavilakkhaṇatā atthīti dasseti.

    ๗๖๓. สโมธาเนตฺวาติ โลเก วิชฺชมานํ สพฺพํ รูปํ สโมธาเนตฺวาฯ เอเตน มหเตฺตปิ อวิภาวกตฺตํ ทเสฺสโนฺต สุขุมตฺตา น วิภาเวสฺสตีติ วาทปถํ ฉินฺทติฯ จกฺขุปสาเท มม วตฺถุมฺหีติ อโตฺถฯ วิสโยติ อิสฺสริยฎฺฐานนฺติ อธิปฺปาโยฯ

    763. Samodhānetvāti loke vijjamānaṃ sabbaṃ rūpaṃ samodhānetvā. Etena mahattepi avibhāvakattaṃ dassento sukhumattā na vibhāvessatīti vādapathaṃ chindati. Cakkhupasāde mama vatthumhīti attho. Visayoti issariyaṭṭhānanti adhippāyo.

    ๗๖๔. อโพฺพกิณฺณาติ อพฺยวหิตา, อนนฺตริตาติ อโตฺถฯ ววตฺถิตานมฺปิ ปฎิปาฎินิยโม เตน ปฎิกฺขิโตฺตติ อโตฺถฯ อนนฺตรตาติ อนนฺตรปจฺจยตา เอเตน ปฎิกฺขิตฺตาติ อโตฺถฯ

    764. Abbokiṇṇāti abyavahitā, anantaritāti attho. Vavatthitānampi paṭipāṭiniyamo tena paṭikkhittoti attho. Anantaratāti anantarapaccayatā etena paṭikkhittāti attho.

    ๗๖๕. สมนนฺตรตาติ จ สมนนฺตรปจฺจยตาฯ

    765. Samanantaratāti ca samanantarapaccayatā.

    ๗๖๖. อาภุชนโตติ อาภุคฺคกรณโต, นิวตฺตนโต อิเจฺจว อโตฺถฯ เอตฺถ จ ‘‘ปญฺจ วิญฺญาณา อนาโภคา’’ติ อาโภคสภาวา น โหนฺตีติ อโตฺถ, ‘‘ปญฺจนฺนํ วิญฺญาณานํ นตฺถิ อาวฎฺฎนา วา’’ติอาทีสุปิ อาวฎฺฎนภาโว วาติอาทินา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    766. Ābhujanatoti ābhuggakaraṇato, nivattanato icceva attho. Ettha ca ‘‘pañca viññāṇā anābhogā’’ti ābhogasabhāvā na hontīti attho, ‘‘pañcannaṃ viññāṇānaṃ natthi āvaṭṭanā vā’’tiādīsupi āvaṭṭanabhāvo vātiādinā attho daṭṭhabbo.

    น กญฺจิ ธมฺมํ ปฎิวิชานาตีติ เอตฺถ น สเพฺพ รูปาทิธมฺมา ธมฺมคฺคหเณน คหิตาติ ยถาธิเปฺปตธมฺมทสฺสนตฺถํ ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมาติ เอวํ วุตฺต’’นฺติ อาหฯ

    Na kañci dhammaṃ paṭivijānātīti ettha na sabbe rūpādidhammā dhammaggahaṇena gahitāti yathādhippetadhammadassanatthaṃ ‘‘manopubbaṅgamā dhammāti evaṃ vutta’’nti āha.

    รูปาทีสุ อภินิปตนํ เตหิ สมาคโม เตสนฺติปิ วตฺตุํ ยุชฺชตีติ อาห ‘‘รูปาทีนํ อภินิปาตมตฺต’’นฺติฯ กมฺมเตฺถ วา สามิวจนํฯ วิญฺญาเณหิ อภินิปติตพฺพานิ หิ รูปาทีนีติฯ อิทํ วุตฺตํ โหตีติอาทีสุ หิ อยํ อธิปฺปาโย – อารมฺมณกรเณน ปฎิวิชานิตพฺพานิ รูปาทีนิ ฐเปตฺวา กุสลากุสลเจตนาย ตํสมฺปยุตฺตานญฺจ ยถาวุตฺตานํ สหชปุพฺพงฺคมธเมฺมน ปฎิวิชานิตพฺพานํ ปฎิวิชานนํ เอเตสํ นตฺถีติฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘ทสฺสนาทิมตฺตโต ปน มุตฺตา อญฺญา เอเตสํ กุสลาทิปฎิวิญฺญตฺติ นาม นตฺถี’’ติ กิจฺจนฺตรํ ปฎิเสเธติฯ

    Rūpādīsu abhinipatanaṃ tehi samāgamo tesantipi vattuṃ yujjatīti āha ‘‘rūpādīnaṃ abhinipātamatta’’nti. Kammatthe vā sāmivacanaṃ. Viññāṇehi abhinipatitabbāni hi rūpādīnīti. Idaṃ vuttaṃ hotītiādīsu hi ayaṃ adhippāyo – ārammaṇakaraṇena paṭivijānitabbāni rūpādīni ṭhapetvā kusalākusalacetanāya taṃsampayuttānañca yathāvuttānaṃ sahajapubbaṅgamadhammena paṭivijānitabbānaṃ paṭivijānanaṃ etesaṃ natthīti. Evañca katvā ‘‘dassanādimattatopana muttā aññā etesaṃ kusalādipaṭiviññatti nāma natthī’’ti kiccantaraṃ paṭisedheti.

    อวิปากภาเวน อญฺญํ อพฺยากตสามญฺญํ อนิวาเรโนฺต กุสลากุสลคฺคหณญฺจ กโรตีติ จวนปริโยสานญฺจ กิจฺจํปิ-สเทฺทน สหชวนกานิ วีถิจิตฺตานิ สมฺปิเณฺฑตฺวา ปญฺจทฺวาเร ปฎิเสธเน อยํ อธิปฺปาโย สิยา – ‘‘มนสา เจ ปทุเฎฺฐน…เป.… ปสเนฺนน ภาสติ วา กโรติ วา’’ติ (ธ. ป. ๑-๒) เอวํ วุตฺตา ภาสนกรณกรา, ตํสทิสา จ สุขทุกฺขุปฺปาทกา พลวโนฺต ฉฎฺฐทฺวาริกา เอว ธมฺมคฺคหเณน คหิตาติ น เตสํ ปญฺจทฺวาริกชวเนน ปฎิวิชานนํ อตฺถิ, ทุพฺพลานํ ปน ปุพฺพงฺคมปฎิวิชานนํ ตตฺถ น ปฎิสิทฺธํ ‘‘น กายกมฺมํ น วจีกมฺมํ ปฎฺฐเปตี’’ติ วิญฺญตฺติทฺวยชนกเสฺสว ปฎฺฐปนปฎิเกฺขเปน ทุพฺพลสฺส มโนกมฺมสฺส อนุญฺญาตตฺตาฯ ตถา กายสุจริตาทิกุสลกมฺมํ กโรมีติ, ตพฺพิปรีตํ อกุสลํ กมฺมํ กโรมีติ จ กุสลากุสลสมาทานํ ปญฺจทฺวาริกชวเนน น โหติฯ ตถา ปฎิจฺจสมุปฺปาทวณฺณนายํ วุตฺตา ‘‘ปญฺจทฺวาริกจุติ จ น ปญฺจทฺวาริกจิเตฺตหิ โหติ จุติจิตฺตสฺส อตํทฺวาริกตฺตา’’ติฯ ยา ปนายํ ปาฬิ ‘‘ปญฺจหิ วิญฺญาเณหิ น กญฺจิ ธมฺมํ ปฎิวิชานาติ อญฺญตฺร อภินิปาตมตฺตา’’ติ, ตสฺสา รูปาทีนํ อาปาถมตฺตํ มุญฺจิตฺวา อญฺญํ กญฺจิ ธมฺมสภาวํ น ปฎิวิชานาตีติ อยมโตฺถ ทิสฺสติฯ น หิ รูปํ ปฎิคฺคณฺหนฺตมฺปิ จกฺขุวิญฺญาณํ รูปนฺติ จ คณฺหาตีติฯ สมฺปฎิจฺฉนสฺสปิ รูปนีลาทิอาการปฎิวิชานนํ นตฺถีติ กิญฺจิ ธมฺมสฺส ปฎิวิชานนํ ปฎิกฺขิตฺตํ, ปญฺจหิ ปน วิญฺญาเณหิ สาติสยํ ตสฺส วิชานนนฺติ ‘‘อญฺญตฺร อภินิปาตมตฺตา’’ติ น วุตฺตํฯ ยสฺส ปาฬิยํ พหิทฺธาปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณตา วุตฺตา, ตโต อญฺญํ นิรุตฺติปฎิสมฺภิทํ อิจฺฉเนฺตหิ ปญฺจทฺวารชวเนน ปฎิสมฺภิทาญาณสฺส สหุปฺปตฺติ ปฎิสิทฺธาฯ รูปารูปธเมฺมติ รูปารูปาวจรธเมฺมติ อโตฺถฯ

    Avipākabhāvena aññaṃ abyākatasāmaññaṃ anivārento kusalākusalaggahaṇañca karotīti cavanapariyosānañca kiccaṃ. Pi-saddena sahajavanakāni vīthicittāni sampiṇḍetvā pañcadvāre paṭisedhane ayaṃ adhippāyo siyā – ‘‘manasā ce paduṭṭhena…pe… pasannena bhāsati vā karoti vā’’ti (dha. pa. 1-2) evaṃ vuttā bhāsanakaraṇakarā, taṃsadisā ca sukhadukkhuppādakā balavanto chaṭṭhadvārikā eva dhammaggahaṇena gahitāti na tesaṃ pañcadvārikajavanena paṭivijānanaṃ atthi, dubbalānaṃ pana pubbaṅgamapaṭivijānanaṃ tattha na paṭisiddhaṃ ‘‘na kāyakammaṃ na vacīkammaṃ paṭṭhapetī’’ti viññattidvayajanakasseva paṭṭhapanapaṭikkhepena dubbalassa manokammassa anuññātattā. Tathā kāyasucaritādikusalakammaṃ karomīti, tabbiparītaṃ akusalaṃ kammaṃ karomīti ca kusalākusalasamādānaṃ pañcadvārikajavanena na hoti. Tathā paṭiccasamuppādavaṇṇanāyaṃ vuttā ‘‘pañcadvārikacuti ca na pañcadvārikacittehi hoti cuticittassa ataṃdvārikattā’’ti. Yā panāyaṃ pāḷi ‘‘pañcahi viññāṇehi na kañci dhammaṃ paṭivijānāti aññatra abhinipātamattā’’ti, tassā rūpādīnaṃ āpāthamattaṃ muñcitvā aññaṃ kañci dhammasabhāvaṃ na paṭivijānātīti ayamattho dissati. Na hi rūpaṃ paṭiggaṇhantampi cakkhuviññāṇaṃ rūpanti ca gaṇhātīti. Sampaṭicchanassapi rūpanīlādiākārapaṭivijānanaṃ natthīti kiñci dhammassa paṭivijānanaṃ paṭikkhittaṃ, pañcahi pana viññāṇehi sātisayaṃ tassa vijānananti ‘‘aññatra abhinipātamattā’’ti na vuttaṃ. Yassa pāḷiyaṃ bahiddhāpaccuppannārammaṇatā vuttā, tato aññaṃ niruttipaṭisambhidaṃ icchantehi pañcadvārajavanena paṭisambhidāñāṇassa sahuppatti paṭisiddhā. Rūpārūpadhammeti rūpārūpāvacaradhammeti attho.

    ปญฺจทฺวาริกจิเตฺตน น ปฎิพุชฺฌตีติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ รูปาทีนํ อาปาถคมเน นิทฺทาปฎิโพโธ โหตีติ? น, ปฐมํ มโนทฺวาริกชวนสฺส อุปฺปตฺติโตติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘นิทฺทายนฺตสฺส หี’’ติอาทิฯ ปโลเภตฺวา สจฺจสุปิเนนฯ

    Pañcadvārikacittena na paṭibujjhatīti kasmā vuttaṃ, nanu rūpādīnaṃ āpāthagamane niddāpaṭibodho hotīti? Na, paṭhamaṃ manodvārikajavanassa uppattitoti dassento āha ‘‘niddāyantassa hī’’tiādi. Palobhetvā saccasupinena.

    อพฺยากโตเยว อาวชฺชนมตฺตเสฺสว อุปฺปชฺชนโตติ วทนฺติฯ เอวํ วทเนฺตหิ มโนทฺวาเรปิ อาวชฺชนํ ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ อุปฺปชฺชิตฺวา ชวนฎฺฐาเน ฐตฺวา ภวงฺคํ โอตรตีติ อธิเปฺปตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Abyākatoyeva āvajjanamattasseva uppajjanatoti vadanti. Evaṃ vadantehi manodvārepi āvajjanaṃ dvattikkhattuṃ uppajjitvā javanaṭṭhāne ṭhatvā bhavaṅgaṃ otaratīti adhippetanti daṭṭhabbaṃ.

    ตสฺสา เอว วเสนาติ ตสฺสา วเสน เอกวิเธน ญาณวตฺถุ โหตีติ จ, เวทิตพฺพนฺติ จ โยชนา กาตพฺพาฯ

    Tassāeva vasenāti tassā vasena ekavidhena ñāṇavatthu hotīti ca, veditabbanti ca yojanā kātabbā.

    เอกกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ekakaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    (๒.) ทุกนิเทฺทสวณฺณนา

    (2.) Dukaniddesavaṇṇanā

    ๗๖๗. อตฺถ-สโทฺท อญฺญตฺร สภาวํ คเหตฺวา อธิกรเณสุ ปวตฺตมาโน อธิกรณวเสน ลิงฺคปริวตฺติํ คจฺฉตีติ อธิปฺปาเยน ชาปิตา จ สา อตฺถา จาติ ชาปิตตฺถาติ อยมโตฺถ วิภาวิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ

    767. Attha-saddo aññatra sabhāvaṃ gahetvā adhikaraṇesu pavattamāno adhikaraṇavasena liṅgaparivattiṃ gacchatīti adhippāyena jāpitā ca sā atthā cāti jāpitatthāti ayamattho vibhāvitoti daṭṭhabbo.

    ทุกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dukaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    (๓.) ติกนิเทฺทสวณฺณนา

    (3.) Tikaniddesavaṇṇanā

    ๗๖๘. ปญฺญาปริณามิเตสูติ ปญฺญาย ปริปาจิเตสุฯ ‘‘โยควิหิเตสูติ อิทญฺจ วิสยวิเสสนมตฺตเมว, ตสฺมา ยานิ ปญฺญาย วิหิตานิ อเหสุํ โหนฺติ ภวิสฺสนฺติ จ, สพฺพานิ ตานิ โยควิหิตานีติ ทฎฺฐพฺพานิฯ สิกฺขิตฺวา กาตพฺพํ สิปฺปํ, อิตรํ กมฺมํฯ อยเมเตสํ วิเสโสฯ วฑฺฒกีกมฺมนฺติ จ อสิกฺขิตฺวาปิ กาตพฺพํ ถูลกมฺมํ ‘‘กมฺม’’นฺติ ทฎฺฐพฺพํ, ปญฺญา เอว วา ตตฺถ ตตฺถ ‘‘กมฺมํ สิปฺป’’นฺติ จ เวทิตพฺพาฯ นาคมณฺฑลํ นาม มณฺฑลํ กตฺวา สเปฺป วิชฺชาย ปโกฺกสิตฺวา พลิํ ทตฺวา วิสาปนยนํฯ ปริตฺตํ รกฺขา, เยน ‘‘ผู’’ติ มุขวาตํ ทตฺวา วิสํ อปนยนฺติ, โส อุณฺณนาภิอาทิมโนฺต ผุธมนกมโนฺตฯ ‘‘อ อา’’ติอาทิกา มาติกา ‘‘ก กา’’ติอาทิโก ตปฺปเภโท จ เลขา

    768. Paññāpariṇāmitesūti paññāya paripācitesu. ‘‘Yogavihitesūti idañca visayavisesanamattameva, tasmā yāni paññāya vihitāni ahesuṃ honti bhavissanti ca, sabbāni tāni yogavihitānīti daṭṭhabbāni. Sikkhitvā kātabbaṃ sippaṃ, itaraṃ kammaṃ. Ayametesaṃ viseso. Vaḍḍhakīkammanti ca asikkhitvāpi kātabbaṃ thūlakammaṃ ‘‘kamma’’nti daṭṭhabbaṃ, paññā eva vā tattha tattha ‘‘kammaṃ sippa’’nti ca veditabbā. Nāgamaṇḍalaṃ nāma maṇḍalaṃ katvā sappe vijjāya pakkositvā baliṃ datvā visāpanayanaṃ. Parittaṃ rakkhā, yena ‘‘phū’’ti mukhavātaṃ datvā visaṃ apanayanti, so uṇṇanābhiādimanto phudhamanakamanto. ‘‘A ā’’tiādikā mātikā ‘‘ka kā’’tiādiko tappabhedo ca lekhā.

    กุสลํ ธมฺมํ สกํ, อิตรํ โนสกํฯ จตุนฺนํ สจฺจานํ ปฎิวิชฺฌิตพฺพานํ ตปฺปฎิเวธปจฺจยภาเวน อนุโลมนํ ทฎฺฐพฺพํฯ ปุเพฺพ ‘‘โยควิหิเตสุ วา กมฺมายตเนสู’’ติอาทินา ปญฺญา วุตฺตา, ปุน ตสฺสา เววจนวเสน ‘‘อนุโลมิกํ ขนฺติ’’นฺติอาทิ วุตฺตนฺติ อธิปฺปาเยน ‘‘อนุ…เป.… ปญฺญาเววจนานี’’ติ อาหฯ เอตฺถ จ เอวรูปินฺติ ยถาวุตฺตกมฺมายตนาทิวิสยํ กมฺมสฺสกตสจฺจานุโลมิกสภาวํ อนิจฺจาทิปวตฺติอาการญฺจาติ อโตฺถฯ ยถาวุตฺตา จ ภูมิสภาวปวตฺติอาการนิเทฺทสา ขนฺติอาทีหิ โยเชตพฺพาฯ ยสฺสา ปญฺญาย ธมฺมา นิชฺฌานปชานนกิจฺจสงฺขาตํ โอโลกนํ ขมนฺติ อวิปรีตสภาวตฺตา, สา ปญฺญา ธมฺมานํ นิชฺฌานกฺขมนํ เอติสฺสา อตฺถีติ ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺตีติ อโตฺถฯ

    Kusalaṃ dhammaṃ sakaṃ, itaraṃ nosakaṃ. Catunnaṃ saccānaṃ paṭivijjhitabbānaṃ tappaṭivedhapaccayabhāvena anulomanaṃ daṭṭhabbaṃ. Pubbe ‘‘yogavihitesu vā kammāyatanesū’’tiādinā paññā vuttā, puna tassā vevacanavasena ‘‘anulomikaṃ khanti’’ntiādi vuttanti adhippāyena ‘‘anu…pe… paññāvevacanānī’’ti āha. Ettha ca evarūpinti yathāvuttakammāyatanādivisayaṃ kammassakatasaccānulomikasabhāvaṃ aniccādipavattiākārañcāti attho. Yathāvuttā ca bhūmisabhāvapavattiākāraniddesā khantiādīhi yojetabbā. Yassā paññāya dhammā nijjhānapajānanakiccasaṅkhātaṃ olokanaṃ khamanti aviparītasabhāvattā, sā paññā dhammānaṃ nijjhānakkhamanaṃ etissā atthīti dhammanijjhānakkhantīti attho.

    ๗๖๙. อสํวรํ มุญฺจตีติ สมาทานสมฺปตฺตวิรติสมฺปยุตฺตเจตนา ‘‘สีลํ ปูเรนฺตสฺส มุญฺจเจตนา’’ติ วุตฺตาฯ ปุพฺพาปรปญฺญาย จ ทานสีลมยตาวจนโต มุญฺจอปรเจตนาวเสน ‘‘อารพฺภา’’ติ, ปุพฺพเจตนาวเสน ‘‘อธิกิจฺจา’’ติ จ วตฺตุํ ยุตฺตนฺติ ‘‘อธิกิจฺจา’’ติปิ ปาโฐ ยุชฺชติฯ

    769. Asaṃvaraṃ muñcatīti samādānasampattaviratisampayuttacetanā ‘‘sīlaṃ pūrentassa muñcacetanā’’ti vuttā. Pubbāparapaññāya ca dānasīlamayatāvacanato muñcaaparacetanāvasena ‘‘ārabbhā’’ti, pubbacetanāvasena ‘‘adhikiccā’’ti ca vattuṃ yuttanti ‘‘adhikiccā’’tipi pāṭho yujjati.

    ๗๗๐. ปญฺจสีลทสสีลานิ วิญฺญาณสฺส ชาติยา จ ปจฺจยภูเตสุ สงฺขารภเวสุ อโนฺตคธานีติ ‘‘อุปฺปาทา วา’’ติอาทิกาย ธมฺมฎฺฐิติปาฬิยา สงฺคหิตานิฯ ภวนิพฺพตฺตกสีลสฺส ปญฺญาปนํ สติปิ สวเน น ตถาคตเทสนายตฺตนฺติ ภิกฺขุอาทีนมฺปิ ตํ วุตฺตํฯ

    770. Pañcasīladasasīlāni viññāṇassa jātiyā ca paccayabhūtesu saṅkhārabhavesu antogadhānīti ‘‘uppādā vā’’tiādikāya dhammaṭṭhitipāḷiyā saṅgahitāni. Bhavanibbattakasīlassa paññāpanaṃ satipi savane na tathāgatadesanāyattanti bhikkhuādīnampi taṃ vuttaṃ.

    อธิปญฺญาย ปญฺญาติ อธิปญฺญาย อโนฺตคธา ปญฺญาฯ อถ วา อธิปญฺญานิพฺพเตฺตสุ, ตทธิฎฺฐาเนสุ วา ธเมฺมสุ อธิปญฺญา-สโทฺท ทฎฺฐโพฺพ, ตตฺถ ปญฺญา อธิปญฺญาย ปญฺญา

    Adhipaññāya paññāti adhipaññāya antogadhā paññā. Atha vā adhipaññānibbattesu, tadadhiṭṭhānesu vā dhammesu adhipaññā-saddo daṭṭhabbo, tattha paññā adhipaññāya paññā.

    ๗๗๑. อปายุปฺปาทนกุสลตา อปายโกสลฺลํ สิยาติ มญฺญมาโน ปุจฺฉติ ‘‘อปายโกสลฺลํ กถํ ปญฺญา นาม ชาตา’’ติฯ ตํ ปน ปรสฺส อธิปฺปายํ นิวเตฺตโนฺต ‘‘ปญฺญวาเยว หี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺรุปายาติ ตตฺร ตตฺร อุปายภูตาฯ ฐาเน อุปฺปตฺติ เอตสฺสาติ ฐานุปฺปตฺติยํฯ กิํ ตํ? การณชานนํ, ภยาทีนํ อุปฺปตฺติกฺขเณ ตสฺมิํเยว ฐาเน ลหุอุปฺปชฺชนกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    771. Apāyuppādanakusalatā apāyakosallaṃ siyāti maññamāno pucchati ‘‘apāyakosallaṃ kathaṃ paññā nāma jātā’’ti. Taṃ pana parassa adhippāyaṃ nivattento ‘‘paññavāyeva hī’’tiādimāha. Tatrupāyāti tatra tatra upāyabhūtā. Ṭhāne uppatti etassāti ṭhānuppattiyaṃ. Kiṃ taṃ? Kāraṇajānanaṃ, bhayādīnaṃ uppattikkhaṇe tasmiṃyeva ṭhāne lahuuppajjanakanti vuttaṃ hoti.

    ติกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Tikaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    (๔.) จตุกฺกนิเทฺทสวณฺณนา

    (4.) Catukkaniddesavaṇṇanā

    ๗๙๓. ปริตสฺสตีติ ‘‘อปิ นาม เม ตณฺฑุลาทีนิ สิยุ’’นฺติ น ปเตฺถติ, ตทภาเวน วา น อุตฺตสติฯ

    793. Naparitassatīti ‘‘api nāma me taṇḍulādīni siyu’’nti na pattheti, tadabhāvena vā na uttasati.

    ๗๙๖. อปรปฺปจฺจเยติ ปเรน นปตฺติยายิตเพฺพฯ ธเมฺม ญาณนฺติ สจฺจวิสยํ ญาณํฯ อริยสเจฺจสุ หิ ธมฺม-สโทฺท เตสํ อวิปรีตสภาวตฺตาติฯ สงฺขตปวโร วา อริยมโคฺค ตสฺส จ ผลํ ธโมฺม, ตตฺถ ปญฺญา ตํสหคตา ธเมฺม ญาณํฯ น อญฺญญาณุปฺปาทนํ นยนยนํ, ญาณเสฺสว ปน ปวตฺติวิเสโสติ อธิปฺปาเยนาห ‘‘ปจฺจเวกฺขณญาณสฺส กิจฺจ’’นฺติฯ เอตฺถ จ อิมินา ธเมฺมนาติ มคฺคญาเณนาติ วุตฺตํ, ทุวิธมฺปิ ปน มคฺคผลญาณํ ปจฺจเวกฺขณาย จ มูลํ, การณญฺจ นยนยนสฺสาติ ทุวิเธนปิ เตน ธเมฺมนาติ น น ยุชฺชติ, ตถา จตุสจฺจธมฺมสฺส ญาตตฺตา, มคฺคผลสงฺขาตสฺส จ ธมฺมสฺส สจฺจปฎิเวธสมฺปโยคํ คตตฺตา นยนํ โหตีติ เตน อิมินา ธเมฺมน ญาณวิสยภาเวน, ญาณสมฺปโยเคน วา ญาเตนาติ จ อโตฺถ น น ยุชฺชติฯ

    796. Aparappaccayeti parena napattiyāyitabbe. Dhamme ñāṇanti saccavisayaṃ ñāṇaṃ. Ariyasaccesu hi dhamma-saddo tesaṃ aviparītasabhāvattāti. Saṅkhatapavaro vā ariyamaggo tassa ca phalaṃ dhammo, tattha paññā taṃsahagatā dhamme ñāṇaṃ. Na aññañāṇuppādanaṃ nayanayanaṃ, ñāṇasseva pana pavattivisesoti adhippāyenāha ‘‘paccavekkhaṇañāṇassa kicca’’nti. Ettha ca iminā dhammenāti maggañāṇenāti vuttaṃ, duvidhampi pana maggaphalañāṇaṃ paccavekkhaṇāya ca mūlaṃ, kāraṇañca nayanayanassāti duvidhenapi tena dhammenāti na na yujjati, tathā catusaccadhammassa ñātattā, maggaphalasaṅkhātassa ca dhammassa saccapaṭivedhasampayogaṃ gatattā nayanaṃ hotīti tena iminā dhammena ñāṇavisayabhāvena, ñāṇasampayogena vā ñātenāti ca attho na na yujjati.

    ยทิปิ สเพฺพน สพฺพํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ ทุกฺขํ อภิชานนฺติ, ตถาปิ ปจฺจุปฺปเนฺน สสนฺตติปริยาปเนฺน สวิเสเส อภินิเวโส โหตีติ อาห ‘‘น ตเญฺญว อิม’’นฺติฯ ทิเฎฺฐน อทิเฎฺฐน นยโต นยนญาณํ, อทิฎฺฐสฺส ทิฎฺฐตาย การณภูตตฺตา การณญาณํ, อนุรูปตฺถวาจโก วา การณ-สโทฺทติ ธเมฺม ญาณสฺส อนุรูปญาณนฺติ อโตฺถฯ

    Yadipi sabbena sabbaṃ atītānāgatapaccuppannaṃ dukkhaṃ abhijānanti, tathāpi paccuppanne sasantatipariyāpanne savisese abhiniveso hotīti āha ‘‘na taññeva ima’’nti. Diṭṭhena adiṭṭhena nayato nayanañāṇaṃ, adiṭṭhassa diṭṭhatāya kāraṇabhūtattā kāraṇañāṇaṃ, anurūpatthavācako vā kāraṇa-saddoti dhamme ñāṇassa anurūpañāṇanti attho.

    สมฺมุติมฺหิ ญาณนฺติ ธเมฺม ญาณาทีนํ วิย สาติสยสฺส ปฎิเวธกิจฺจสฺส อภาวา วิสโยภาสนมตฺตชานนสามเญฺญน ญาณนฺติ สมฺมเตสุ อโนฺตคธนฺติ อโตฺถฯ สมฺมุติวเสน วา ปวตฺตํ สมฺมุติมฺหิ ญาณํ, อวเสสํ ปน อิตรญาณตฺตยวิสภาคํ ญาณํ ตพฺพิสภาคสามเญฺญน สมฺมุติญาณมฺหิ ปวิฎฺฐตฺตา สมฺมุติญาณํ นาม โหตีติฯ

    Sammutimhi ñāṇanti dhamme ñāṇādīnaṃ viya sātisayassa paṭivedhakiccassa abhāvā visayobhāsanamattajānanasāmaññena ñāṇanti sammatesu antogadhanti attho. Sammutivasena vā pavattaṃ sammutimhi ñāṇaṃ, avasesaṃ pana itarañāṇattayavisabhāgaṃ ñāṇaṃ tabbisabhāgasāmaññena sammutiñāṇamhi paviṭṭhattā sammutiñāṇaṃ nāma hotīti.

    ๗๙๗. กิเลสมูลเก จาติ นีวรณมูลเก จ กามภวธเมฺมฯ

    797. Kilesamūlake cāti nīvaraṇamūlake ca kāmabhavadhamme.

    ๗๙๘. สา หิสฺสาติ เอตฺถ อสฺสาติ โย ‘‘กาเมสุ วีตราโค โหตี’’ติ เอวํ วุโตฺต, อสฺส ปฐมชฺฌานสมงฺคิสฺสาติ อโตฺถฯ เสฺววาติ เอเตน กาเมสุ วีตราคภาวนาวตฺถเสฺสว ปฐมชฺฌานสมงฺคิสฺส คหเณ ปวเตฺต ตสฺส ตโต ปรํ อวตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘กาเมสุ วีตราโค สมาโน’’ติ วุตฺตํฯ จตุตฺถมคฺคปญฺญา ฉฎฺฐาภิญฺญาภาวปฺปตฺติยา ตํ ปฎิวิชฺฌติ นาม, อิตรา ตทุปนิสฺสยตฺตาฯ ยถานุรูปํ วา อาสวกฺขยภาวโต, ผเล วา อาสวกฺขเย สติ ยถานุรูปํ ตํนิพฺพตฺตนโต จตูสุปิ มเคฺคสุ ปญฺญา ฉฎฺฐํ อภิญฺญํ ปฎิวิชฺฌตีติ ทฎฺฐพฺพาฯ

    798. Sā hissāti ettha assāti yo ‘‘kāmesu vītarāgo hotī’’ti evaṃ vutto, assa paṭhamajjhānasamaṅgissāti attho. Svevāti etena kāmesu vītarāgabhāvanāvatthasseva paṭhamajjhānasamaṅgissa gahaṇe pavatte tassa tato paraṃ avatthaṃ dassetuṃ ‘‘kāmesu vītarāgo samāno’’ti vuttaṃ. Catutthamaggapaññā chaṭṭhābhiññābhāvappattiyā taṃ paṭivijjhati nāma, itarā tadupanissayattā. Yathānurūpaṃ vā āsavakkhayabhāvato, phale vā āsavakkhaye sati yathānurūpaṃ taṃnibbattanato catūsupi maggesu paññā chaṭṭhaṃ abhiññaṃ paṭivijjhatīti daṭṭhabbā.

    ๗๙๙. กามสหคตาติ วตฺถุกามารมฺมณาฯ โจเทนฺตีติ กามาภิมุขํ ตนฺนินฺนํ กโรนฺตีติ อโตฺถฯ ตทนุธมฺมตาติ ตทนุธมฺมา อิเจฺจว วุตฺตํ โหติฯ ตา-สทฺทสฺส อปุพฺพตฺถาภาวโตติ อธิปฺปาเยนาห ‘‘ตทนุรูปสภาวา’’ติฯ นิกนฺติํ, นิกนฺติสหคตจิตฺตุปฺปาทํ วา ‘‘มิจฺฉาสตี’’ติ วทติฯ ‘‘อโห วต เม อวิตกฺกํ อุปฺปเชฺชยฺยา’’ติ อวิตกฺการมฺมณา อวิตกฺกสหคตา

    799. Kāmasahagatāti vatthukāmārammaṇā. Codentīti kāmābhimukhaṃ tanninnaṃ karontīti attho. Tadanudhammatāti tadanudhammā icceva vuttaṃ hoti. -saddassa apubbatthābhāvatoti adhippāyenāha ‘‘tadanurūpasabhāvā’’ti. Nikantiṃ, nikantisahagatacittuppādaṃ vā ‘‘micchāsatī’’ti vadati. ‘‘Aho vata me avitakkaṃ uppajjeyyā’’ti avitakkārammaṇā avitakkasahagatā.

    ๘๐๑. อธิคมภาเวน อภิมุขํ ชานนฺตสฺส อภิชานนฺตสฺส, อภิวิสิเฎฺฐน วา ญาเณน ชานนฺตสฺส, อนารมฺมณภูตญฺจ ตํ ฐานํ ปากฎํ กโรนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ

    801. Adhigamabhāvena abhimukhaṃ jānantassa abhijānantassa, abhivisiṭṭhena vā ñāṇena jānantassa, anārammaṇabhūtañca taṃ ṭhānaṃ pākaṭaṃ karontassāti attho.

    ๘๐๒. วสิตาปญฺจกรหิตํ ฌานํ อปฺปคุณํฯ เอตฺถ จตโสฺส ปฎิปทา จตฺตาริ อารมฺมณานีติ ปญฺญาย ปฎิปทารมฺมณุเทฺทเสน ปญฺญา เอว อุทฺทิฎฺฐาติ สา เอว วิภตฺตาติฯ

    802. Vasitāpañcakarahitaṃ jhānaṃ appaguṇaṃ. Ettha catasso paṭipadā cattāri ārammaṇānīti paññāya paṭipadārammaṇuddesena paññā eva uddiṭṭhāti sā eva vibhattāti.

    จตุกฺกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Catukkaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    (๕.) ปญฺจกนิเทฺทสวณฺณนา

    (5.) Pañcakaniddesavaṇṇanā

    ๘๐๔. ปญฺจงฺคิโก สมฺมาสมาธีติ สมาธิองฺคภาเวน ปญฺญา อุทฺทิฎฺฐาติฯ ปีติผรณตาทิวจเนน หิ ตเมว วิภชติ, ‘‘โส อิมเมว กายํ วิเวกเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๒๒๖; ม. นิ. ๑.๔๒๗) นเยน ปีติยา สุขสฺส จ ผรณํ เวทิตพฺพํฯ ปีติผรณตาสุขผรณตาหิ อารมฺมเณ ฐตฺวา จตุตฺถชฺฌานสฺส อุปฺปาทนโต ‘‘ปาทา วิยา’’ติ ตา วุตฺตาฯ

    804. Pañcaṅgiko sammāsamādhīti samādhiaṅgabhāvena paññā uddiṭṭhāti. Pītipharaṇatādivacanena hi tameva vibhajati, ‘‘so imameva kāyaṃ vivekajena pītisukhena abhisandetī’’tiādinā (dī. ni. 1.226; ma. ni. 1.427) nayena pītiyā sukhassa ca pharaṇaṃ veditabbaṃ. Pītipharaṇatāsukhapharaṇatāhi ārammaṇe ṭhatvā catutthajjhānassa uppādanato ‘‘pādā viyā’’ti tā vuttā.

    ทุติยปญฺจเก จ ‘‘ปญฺจญาณิโก’’ติ สมาธิมุเขน ปญฺจญาณาเนว อุทฺทิฎฺฐานิ นิทฺทิฎฺฐานิ จาติ ทฎฺฐพฺพานิฯ โลกิยสมาธิสฺส ปจฺจนีกานิ นีวรณปฐมชฺฌานนิกนฺติอาทีนิ นิคฺคเหตพฺพานิฯ อเญฺญ กิเลสา วาเรตพฺพา, อิมสฺส ปน อรหตฺตสมาธิสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธสพฺพกิเลสตฺตา น นิคฺคเหตพฺพํ วาเรตพฺพญฺจ อตฺถีติ มคฺคานนฺตรํ สมาปตฺติกฺขเณ จ อปฺปโยเคเนว อธิคตตฺตา จ ฐปิตตฺตา จ, อปริหานิวเสน ฐปิตตฺตา วา น สสงฺขารนิคฺคยฺหวาริตคโตฯ สติเวปุลฺลปฺปตฺตตฺตาติ เอเตน อปฺปวตฺตมานายปิ สติยา สติพหุลตาย สโต เอว นามาติ ทเสฺสติฯ ยถาปริจฺฉินฺนกาลวเสนาติ เอเตน ปริจฺฉินฺทนสติยา สโตติฯ

    Dutiyapañcake ca ‘‘pañcañāṇiko’’ti samādhimukhena pañcañāṇāneva uddiṭṭhāni niddiṭṭhāni cāti daṭṭhabbāni. Lokiyasamādhissa paccanīkāni nīvaraṇapaṭhamajjhānanikantiādīni niggahetabbāni. Aññe kilesā vāretabbā, imassa pana arahattasamādhissa paṭippassaddhasabbakilesattā na niggahetabbaṃ vāretabbañca atthīti maggānantaraṃ samāpattikkhaṇe ca appayogeneva adhigatattā ca ṭhapitattā ca, aparihānivasena ṭhapitattā vā na sasaṅkhāraniggayhavāritagato. Sativepullappattattāti etena appavattamānāyapi satiyā satibahulatāya sato eva nāmāti dasseti. Yathāparicchinnakālavasenāti etena paricchindanasatiyā satoti.

    ปญฺจกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pañcakaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    (๖.) ฉกฺกนิเทฺทสวณฺณนา

    (6.) Chakkaniddesavaṇṇanā

    ๘๐๕. วิสุทฺธิภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ทูร…เป.… รมฺมณายา’’ติ อาหฯ โสตธาตุวิสุทฺธีติ จ จิตฺตเจตสิกา ธมฺมา วุตฺตาติ ตตฺถ ญาณํ โสตธาตุวิสุทฺธิยา ญาณํฯ ‘‘เจโตปริยญาณ’’นฺติ อิทเมว อตฺถวเสน ‘‘ปรจิเตฺต ญาณ’’นฺติ อุทฺธฎนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ จุตูปปาตญาณสฺส ทิพฺพจกฺขุญาเณกเทสตฺตา ‘‘วณฺณธาตุอารมฺมณา’’ติ วุตฺตํฯ มุทฺธปฺปเตฺตน จุตูปปาตญาณสงฺขาเตน ทิพฺพจกฺขุญาเณน สพฺพํ ทิพฺพจกฺขุญาณนฺติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    805. Visuddhibhāvaṃ dassento ‘‘dūra…pe… rammaṇāyā’’ti āha. Sotadhātuvisuddhīti ca cittacetasikā dhammā vuttāti tattha ñāṇaṃ sotadhātuvisuddhiyā ñāṇaṃ. ‘‘Cetopariyañāṇa’’nti idameva atthavasena ‘‘paracitte ñāṇa’’nti uddhaṭanti daṭṭhabbaṃ. Cutūpapātañāṇassa dibbacakkhuñāṇekadesattā ‘‘vaṇṇadhātuārammaṇā’’ti vuttaṃ. Muddhappattena cutūpapātañāṇasaṅkhātena dibbacakkhuñāṇena sabbaṃ dibbacakkhuñāṇanti vuttanti daṭṭhabbaṃ.

    ฉกฺกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Chakkaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    (๗.) สตฺตกนิเทฺทสวณฺณนา

    (7.) Sattakaniddesavaṇṇanā

    ๘๐๖. ตเทว ญาณนฺติ ฉพฺพิธมฺปิ ปจฺจเวกฺขณญาณํ วิปสฺสนารมฺมณภาเวน สห คเหตฺวา วุตฺตนฺติ อธิปฺปาโยฯ ธมฺมฎฺฐิติญาเณนาติ ฉปิ ญาณานิ สงฺขิปิตฺวา วุเตฺตน ญาเณนฯ ขยธมฺมนฺติอาทินา หิ ปกาเรน ปวตฺตญาณสฺส ทสฺสนํ, ญาณวิปสฺสนาทสฺสนโต วิปสฺสนาปฎิวิปสฺสนาทสฺสนมตฺตเมวาติ น ตํ องฺคนฺติ อธิปฺปาโยฯ ปาฬิยํ ปน สพฺพตฺถ ญาณวจเนน องฺคานํ วุตฺตตฺตา นิโรธธมฺมนฺติ ญาณนฺติ อิติ-สเทฺทน ปกาเสตฺวา วุตฺตํ วิปสฺสนาญาณํ สตฺตมํ ญาณนฺติ อยมโตฺถ ทิสฺสติฯ น หิ ยมฺปิ ตํ ธมฺมฎฺฐิติญาณํ, ตมฺปิ ญาณนฺติ สมฺพโนฺธ โหติ ตํญาณคฺคหเณ เอตสฺมิํ ญาณภาวทสฺสนสฺส อนธิเปฺปตตฺตา, ‘‘ขยธมฺมํ…เป.… นิโรธธมฺม’’นฺติ เอเตสํ สมฺพนฺธาภาวปฺปสงฺคโต จาติฯ

    806. Tadeva ñāṇanti chabbidhampi paccavekkhaṇañāṇaṃ vipassanārammaṇabhāvena saha gahetvā vuttanti adhippāyo. Dhammaṭṭhitiñāṇenāti chapi ñāṇāni saṅkhipitvā vuttena ñāṇena. Khayadhammantiādinā hi pakārena pavattañāṇassa dassanaṃ, ñāṇavipassanādassanato vipassanāpaṭivipassanādassanamattamevāti na taṃ aṅganti adhippāyo. Pāḷiyaṃ pana sabbattha ñāṇavacanena aṅgānaṃ vuttattā nirodhadhammanti ñāṇanti iti-saddena pakāsetvā vuttaṃ vipassanāñāṇaṃ sattamaṃ ñāṇanti ayamattho dissati. Na hi yampi taṃ dhammaṭṭhitiñāṇaṃ, tampi ñāṇanti sambandho hoti taṃñāṇaggahaṇe etasmiṃ ñāṇabhāvadassanassa anadhippetattā, ‘‘khayadhammaṃ…pe… nirodhadhamma’’nti etesaṃ sambandhābhāvappasaṅgato cāti.

    สตฺตกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sattakaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    (๘.) อฎฺฐกนิเทฺทสวณฺณนา

    (8.) Aṭṭhakaniddesavaṇṇanā

    ๘๐๘. วิหาริตพฺพเฎฺฐนาติ ปจฺจนีกธเมฺม, ทุกฺขํ วา วิจฺฉินฺทิตฺวา ปวเตฺตตพฺพเฎฺฐนฯ

    808. Vihāritabbaṭṭhenāti paccanīkadhamme, dukkhaṃ vā vicchinditvā pavattetabbaṭṭhena.

    อฎฺฐกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Aṭṭhakaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    (๑๐.) ทสกนิเทฺทโส

    (10.) Dasakaniddeso

    ปฐมพลนิเทฺทสวณฺณนา

    Paṭhamabalaniddesavaṇṇanā

    ๘๐๙. อวิชฺชมานํ ฐานํ อฎฺฐานํ, นตฺถิ ฐานนฺติ วา อฎฺฐานํฯ เอส ‘‘อนวกาโส’’ติ เอตฺถาปิ นโยฯ ตทตฺถนิคมนมตฺตเมว หิ ‘‘เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ วจนนฺติฯ อสุเข สุขนฺติ ทิฎฺฐิวิปลฺลาโสว อิธ สุขโต อุปคมนสฺส ฐานนฺติ อธิเปฺปตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอกนฺต…เป.… อตฺตทิฎฺฐิวเสนา’’ติ ปธานทิฎฺฐิมาหฯ เภทานุรูปสฺส สาวนํ อนุสฺสาวนํ, เภทานุรูเปน วา วจเนน วิญฺญาปนํฯ

    809. Avijjamānaṃ ṭhānaṃ aṭṭhānaṃ, natthi ṭhānanti vā aṭṭhānaṃ. Esa ‘‘anavakāso’’ti etthāpi nayo. Tadatthanigamanamattameva hi ‘‘netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti vacananti. Asukhe sukhanti diṭṭhivipallāsova idha sukhato upagamanassa ṭhānanti adhippetanti dassento ‘‘ekanta…pe… attadiṭṭhivasenā’’ti padhānadiṭṭhimāha. Bhedānurūpassa sāvanaṃ anussāvanaṃ, bhedānurūpena vā vacanena viññāpanaṃ.

    ลิเงฺค ปริวเตฺต จ โส เอว เอกกมฺมนิพฺพตฺติโต ภวงฺคปฺปพโนฺธ ชีวิตินฺทฺริยปฺปพโนฺธ จ, นาโญฺญติ อาห ‘‘อปิ ปริวตฺตลิงฺค’’นฺติฯ อยํ ปโญฺหติ ญาปนิจฺฉานิพฺพตฺตา กถาฯ

    Liṅge parivatte ca so eva ekakammanibbattito bhavaṅgappabandho jīvitindriyappabandho ca, nāññoti āha ‘‘api parivattaliṅga’’nti. Ayaṃ pañhoti ñāpanicchānibbattā kathā.

    สงฺคามจตุกฺกํ สปตฺตวเสน โยเชตพฺพํฯ สพฺพตฺถ จ ปุริมํ อภิสนฺธิจิตฺตํ อปฺปมาณํ, วธกจิตฺตํ ปน ตทารมฺมณญฺจ ชีวิตินฺทฺริยํ อานนฺตริยานานนฺตริยภาเว ปมาณนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปุถุชฺชนเสฺสว ตํ ทินฺนํ โหติฯ กสฺมา? ยถา วธกจิตฺตํ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณมฺปิ ชีวิตินฺทฺริยปฺปพนฺธวิเจฺฉทนวเสน อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตติ, น เอวํ จาคเจตนาฯ สา หิ จชิตพฺพํ อารมฺมณํ กตฺวา จชนมตฺตเมว โหติ, อญฺญสกกรณญฺจ ตสฺส จชนํ, ตสฺมา ยสฺส ตํ สกํ กตํ, ตเสฺสว ทินฺนํ โหตีติฯ

    Saṅgāmacatukkaṃ sapattavasena yojetabbaṃ. Sabbattha ca purimaṃ abhisandhicittaṃ appamāṇaṃ, vadhakacittaṃ pana tadārammaṇañca jīvitindriyaṃ ānantariyānānantariyabhāve pamāṇanti daṭṭhabbaṃ. Puthujjanasseva taṃ dinnaṃ hoti. Kasmā? Yathā vadhakacittaṃ paccuppannārammaṇampi jīvitindriyappabandhavicchedanavasena ārammaṇaṃ katvā pavattati, na evaṃ cāgacetanā. Sā hi cajitabbaṃ ārammaṇaṃ katvā cajanamattameva hoti, aññasakakaraṇañca tassa cajanaṃ, tasmā yassa taṃ sakaṃ kataṃ, tasseva dinnaṃ hotīti.

    สณฺฐ…เป.… กปฺปวินาเสเยว มุจฺจตีติ อิทํ กปฺปฎฺฐกถาย น สเมติฯ ตตฺถ หิ อฎฺฐกถายํ (กถา. อฎฺฐ. ๖๕๔-๖๕๗) วุตฺตํ ‘‘อาปายิโกติ อิทํ สุตฺตํ ยํ โส เอกํ กปฺปํ อสีติภาเค กตฺวา ตโต เอกภาคมตฺตํ กาลํ ติเฎฺฐยฺย, ตํ อายุกปฺปํ สนฺธาย วุตฺต’’นฺติฯ กปฺปวินาเสเยวาติ ปน อายุกปฺปวินาเสเยวาติ อเตฺถ สติ นตฺถิ วิโรโธฯ เอตฺถ จ สณฺฐหเนฺตติ อิทํ เสฺว วินสฺสิสฺสตีติ วิย อภูตปริกปฺปวเสน วุตฺตํฯ เอกทิวสเมว ปจฺจติ ตโต ปรํ กปฺปาภาเวน อายุกปฺปสฺสปิ อภาวโตติ อวิโรธโต อตฺถโยชนา ทฎฺฐพฺพาฯ

    Saṇṭha…pe… kappavināseyeva muccatīti idaṃ kappaṭṭhakathāya na sameti. Tattha hi aṭṭhakathāyaṃ (kathā. aṭṭha. 654-657) vuttaṃ ‘‘āpāyikoti idaṃ suttaṃ yaṃ so ekaṃ kappaṃ asītibhāge katvā tato ekabhāgamattaṃ kālaṃ tiṭṭheyya, taṃ āyukappaṃ sandhāya vutta’’nti. Kappavināseyevāti pana āyukappavināseyevāti atthe sati natthi virodho. Ettha ca saṇṭhahanteti idaṃ sve vinassissatīti viya abhūtaparikappavasena vuttaṃ. Ekadivasameva paccati tato paraṃ kappābhāvena āyukappassapi abhāvatoti avirodhato atthayojanā daṭṭhabbā.

    ปกตโตฺตติ อนุกฺขิโตฺตฯ สมานสํวาสโกติ อปาราชิโกฯ

    Pakatattoti anukkhitto. Samānasaṃvāsakoti apārājiko.

    กิํ ปน ตนฺติ โย โส ‘‘นิยโต’’ติ วุโตฺต, ตํ กิํ นิยเมตีติ อโตฺถฯ ตเสฺสว ปน ยถาปุจฺฉิตสฺส นิยตสฺส มิจฺฉตฺตสมฺมตฺตนิยตธมฺมานํ วิย สภาวโต วิชฺชมานตํ ยถาปุจฺฉิตญฺจ นิยามกเหตุํ ปฎิเสเธตฺวา เยน ‘‘นิยโต’’ติ ‘‘สตฺตกฺขตฺตุปรมาทิโก’’ติ จ วุจฺจติ, ตํ ยถาธิเปฺปตการณํ ทเสฺสตุํ ‘‘สมฺมาสมฺพุเทฺธน หี’’ติอาทิมาหฯ ชาตสฺส กุมารสฺส วิย อริยาย ชาติยา ชาตสฺส นามมตฺตเมตํ นิยตสตฺตกฺขตฺตุปรมาทิกํ, นิยตานิยตเภทํ นามนฺติ อโตฺถฯ ยทิ ปุพฺพเหตุ นิยามโก, โสตาปโนฺน จ นิยโตติ โสตาปตฺติมคฺคโต อุทฺธํ ติณฺณํ มคฺคานํ อุปนิสฺสยภาวโต ปุพฺพเหตุกิจฺจํ, ตโต ปุเพฺพ ปน ปุพฺพเหตุกิจฺจํ นตฺถีติ โสตาปตฺติมคฺคสฺส อุปนิสฺสยาภาโว อาปชฺชติฯ ยทิ หิ ตสฺสปิ ปุพฺพเหตุ อุปนิสฺสโย สิยา, โส จ นิยามโกติ โสตาปตฺติมคฺคุปฺปตฺติโต ปุเพฺพ เอว นิยโต สิยา, ตญฺจ อนิฎฺฐํ, ตสฺมาสฺส ปุพฺพเหตุนา อเหตุกตา อาปนฺนาติ อิมมตฺถํ สนฺธายาห ‘‘อิจฺจสฺส อเหตุ อปฺปจฺจยา นิพฺพตฺติํ ปาปุณาตี’’ติฯ

    Kiṃpana tanti yo so ‘‘niyato’’ti vutto, taṃ kiṃ niyametīti attho. Tasseva pana yathāpucchitassa niyatassa micchattasammattaniyatadhammānaṃ viya sabhāvato vijjamānataṃ yathāpucchitañca niyāmakahetuṃ paṭisedhetvā yena ‘‘niyato’’ti ‘‘sattakkhattuparamādiko’’ti ca vuccati, taṃ yathādhippetakāraṇaṃ dassetuṃ ‘‘sammāsambuddhena hī’’tiādimāha. Jātassa kumārassa viya ariyāya jātiyā jātassa nāmamattametaṃ niyatasattakkhattuparamādikaṃ, niyatāniyatabhedaṃ nāmanti attho. Yadi pubbahetu niyāmako, sotāpanno ca niyatoti sotāpattimaggato uddhaṃ tiṇṇaṃ maggānaṃ upanissayabhāvato pubbahetukiccaṃ, tato pubbe pana pubbahetukiccaṃ natthīti sotāpattimaggassa upanissayābhāvo āpajjati. Yadi hi tassapi pubbahetu upanissayo siyā, so ca niyāmakoti sotāpattimagguppattito pubbe eva niyato siyā, tañca aniṭṭhaṃ, tasmāssa pubbahetunā ahetukatā āpannāti imamatthaṃ sandhāyāha ‘‘iccassa ahetu appaccayā nibbattiṃ pāpuṇātī’’ti.

    ปฎิลทฺธมโคฺค โสตาปตฺติมโคฺค, เตเนว สตฺตกฺขตฺตุปรมาทินิยเม สติ สตฺตมภวาทิโต อุทฺธํ ปวตฺตนกสฺส ทุกฺขสฺส มูลภูตา กิเลสา เตเนว ขีณาติ อุปริ ตโย มคฺคา อกิจฺจกา โหนฺตีติ อโตฺถฯ ยทิ อุปริ ตโย มคฺคา สตฺตกฺขตฺตุปรมาทิกํ นิยเมนฺติ, ตโต จ อโญฺญ โสตาปโนฺน นตฺถีติ โสตาปตฺติมคฺคสฺส อกิจฺจกตา นิปฺปโยชนตา อาปชฺชตีติ อโตฺถฯ อถ สกฺกายทิฎฺฐาทิปฺปหานํ ทสฺสนกิจฺจํ, เตสํ ปหาเนน สตฺตกฺขตฺตุปรมาทิตาย ภวิตพฺพํฯ สา จุปริมเคฺคหิ เอว โหตีติ สตฺตมภวาทิโต อุทฺธํ ปวตฺติโต เตน วินา วุฎฺฐาเน สกฺกายทิฎฺฐาทิปฺปหาเนน จ เตน วินา ภวิตพฺพนฺติ อาห ‘‘ปฐมมเคฺคน จ อนุปฺปชฺชิตฺวาว กิเลสา เขเปตพฺพา โหนฺตี’’ติฯ น อโญฺญ โกจิ นิยเมตีติ นามกรณนิมิตฺตโต วิปสฺสนาโต อโญฺญ โกจิ นิยามโก นาม นตฺถีติ อโตฺถฯ วิปสฺสนาว นิยเมตีติ จ นามกรณนิมิตฺตตํเยว สนฺธาย วุตฺตํฯ เตเนวาห ‘‘อิติ สมฺมาสมฺพุเทฺธน คหิตนามมตฺตเมว ต’’นฺติฯ

    Paṭiladdhamaggo sotāpattimaggo, teneva sattakkhattuparamādiniyame sati sattamabhavādito uddhaṃ pavattanakassa dukkhassa mūlabhūtā kilesā teneva khīṇāti upari tayo maggā akiccakā hontīti attho. Yadi upari tayo maggā sattakkhattuparamādikaṃ niyamenti, tato ca añño sotāpanno natthīti sotāpattimaggassa akiccakatā nippayojanatā āpajjatīti attho. Atha sakkāyadiṭṭhādippahānaṃ dassanakiccaṃ, tesaṃ pahānena sattakkhattuparamāditāya bhavitabbaṃ. Sā cuparimaggehi eva hotīti sattamabhavādito uddhaṃ pavattito tena vinā vuṭṭhāne sakkāyadiṭṭhādippahānena ca tena vinā bhavitabbanti āha ‘‘paṭhamamaggena ca anuppajjitvāva kilesā khepetabbā hontī’’ti. Na añño koci niyametīti nāmakaraṇanimittato vipassanāto añño koci niyāmako nāma natthīti attho. Vipassanāva niyametīti ca nāmakaraṇanimittataṃyeva sandhāya vuttaṃ. Tenevāha ‘‘iti sammāsambuddhena gahitanāmamattameva ta’’nti.

    น อุปฺปชฺชนฺตีติ ปน อตฺถีติ ‘‘น เม อาจริโย อตฺถิ, สทิโส เม น วิชฺชตี’’ติอาทิํ (ม. นิ. ๑.๒๘๕; ๒.๓๔๑; มหาว. ๑๑; กถา. ๔๐๕) อิมิสฺสา โลกธาตุยา ฐตฺวา วทเนฺตน ภควตา ‘‘กิํ ปนาวุโส สาริปุตฺต, อเตฺถตรหิ อเญฺญ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ภควตา สมสมา สโมฺพธิยนฺติ เอวํ ปุฎฺฐาหํ, ภเนฺต, โนติ วเทยฺย’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๑๖๑) วตฺวา ตสฺส การณํ ทเสฺสตุํ ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส, ยํ เอกิสฺสา โลกธาตุยา เทฺว อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๒๙) อิมํ สุตฺตํ ทเสฺสเนฺตน ธมฺมเสนาปตินา จ พุทฺธเกฺขตฺตภูตํ อิมํ โลกธาตุํ ฐเปตฺวา อญฺญตฺถ อนุปฺปตฺติ วุตฺตา โหตีติ อธิปฺปาโยฯ

    Na uppajjantīti pana atthīti ‘‘na me ācariyo atthi, sadiso me na vijjatī’’tiādiṃ (ma. ni. 1.285; 2.341; mahāva. 11; kathā. 405) imissā lokadhātuyā ṭhatvā vadantena bhagavatā ‘‘kiṃ panāvuso sāriputta, atthetarahi aññe samaṇā vā brāhmaṇā vā bhagavatā samasamā sambodhiyanti evaṃ puṭṭhāhaṃ, bhante, noti vadeyya’’nti (dī. ni. 3.161) vatvā tassa kāraṇaṃ dassetuṃ ‘‘aṭṭhānametaṃ anavakāso, yaṃ ekissā lokadhātuyā dve arahanto sammāsambuddhā’’ti (ma. ni. 3.129) imaṃ suttaṃ dassentena dhammasenāpatinā ca buddhakkhettabhūtaṃ imaṃ lokadhātuṃ ṭhapetvā aññattha anuppatti vuttā hotīti adhippāyo.

    ‘‘โย ปน ภิกฺขู’’ติอาทินา วุตฺตานิ สิกฺขาปทานิ มาติกา, ตาย อนฺตรหิตาย นิทานุเทฺทสสงฺขาเต ปาติโมเกฺข ปพฺพชฺชูปสมฺปทากเมฺมสุ จ สาสนํ ติฎฺฐตีติ อโตฺถฯ ปาติโมเกฺข วา อโนฺตคธา ปพฺพชฺชา อุปสมฺปทา จ ตทุภยาภาเว ปาติโมกฺขาภาวโต, ตสฺมา ปาติโมเกฺข, ตาสุ จ สาสนํ ติฎฺฐตีติ วุตฺตํฯ โอสกฺกิตํ นามาติ ปจฺฉิมปฎิเวธสีลเภททฺวยํ เอกโต กตฺวา ตโต ปรํ วินฎฺฐํ นาม โหตีติ อโตฺถฯ

    ‘‘Yo pana bhikkhū’’tiādinā vuttāni sikkhāpadāni mātikā, tāya antarahitāya nidānuddesasaṅkhāte pātimokkhe pabbajjūpasampadākammesu ca sāsanaṃ tiṭṭhatīti attho. Pātimokkhe vā antogadhā pabbajjā upasampadā ca tadubhayābhāve pātimokkhābhāvato, tasmā pātimokkhe, tāsu ca sāsanaṃ tiṭṭhatīti vuttaṃ. Osakkitaṃ nāmāti pacchimapaṭivedhasīlabhedadvayaṃ ekato katvā tato paraṃ vinaṭṭhaṃ nāma hotīti attho.

    ตาติ รสฺมิโยฯ การุญฺญนฺติ ปริเทวนการุญฺญํฯ

    ti rasmiyo. Kāruññanti paridevanakāruññaṃ.

    อนจฺฉริยตฺตาติ ทฺวีสุ อุปฺปชฺชมาเนสุ อจฺฉริยตฺตาภาวโทสโตติ อโตฺถฯ วิวาทภาวโตติ วิวาทาภาวตฺถํ เทฺว น อุปฺปชฺชนฺตีติ อโตฺถฯ

    Anacchariyattāti dvīsu uppajjamānesu acchariyattābhāvadosatoti attho. Vivādabhāvatoti vivādābhāvatthaṃ dve na uppajjantīti attho.

    เอกํ พุทฺธํ ธาเรตีติ เอกพุทฺธธารณีฯ เอเตน เอวํสภาวา เอเต พุทฺธคุณา, เยน ทุติยพุทฺธคุเณ ธาเรตุํ อสมตฺถา อยํ โลกธาตูติ ทเสฺสติฯ ปจฺจยวิเสสนิปฺผนฺนานญฺหิ ธมฺมานํ สภาววิเสโส น สกฺกา ธาเรตุนฺติฯ สมํ อุทฺธํ ปชฺชตีติ สมุปาทิกา, อุทกโสฺสปริ สมํ คามินีติ อโตฺถฯ ทฺวินฺนมฺปีติ เทฺวปิ, ทฺวินฺนมฺปิ วา สรีรภารํฯ ฉาเทนฺตนฺติ โรจยมานํฯ สกิํ ภุโตฺตวาติ เอกมฺปิ อาโลปํ อโชฺฌหริตฺวาว มเรยฺยาติ อโตฺถฯ

    Ekaṃ buddhaṃ dhāretīti ekabuddhadhāraṇī. Etena evaṃsabhāvā ete buddhaguṇā, yena dutiyabuddhaguṇe dhāretuṃ asamatthā ayaṃ lokadhātūti dasseti. Paccayavisesanipphannānañhi dhammānaṃ sabhāvaviseso na sakkā dhāretunti. Samaṃ uddhaṃ pajjatīti samupādikā, udakassopari samaṃ gāminīti attho. Dvinnampīti dvepi, dvinnampi vā sarīrabhāraṃ. Chādentanti rocayamānaṃ. Sakiṃ bhuttovāti ekampi ālopaṃ ajjhoharitvāva mareyyāti attho.

    อติธมฺมภาเรนาติ ธเมฺมน นาม ปถวี ติเฎฺฐยฺย, สา กิํ เตเนว จลตีติ อธิปฺปาโยฯ ปุน เถโร ‘‘รตนํ นาม โลเก กุฎุมฺพํ สนฺธาเรนฺตํ อภิมตญฺจ โลเกน อตฺตโน ครุสภาวตาย สกฎภงฺคสฺส การณํ อติภารภูตํ ทิฎฺฐํฯ เอวํ ธโมฺม จ หิตสุขวิเสเสหิ ตํสมงฺคินํ ธาเรโนฺต อภิมโต จ วิญฺญูหิ คมฺภีราปฺปเมยฺยภาเวน ครุสภาวตฺตา อติภารภูโต ปถวีจลนสฺส การณํ โหตี’’ติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิธ, มหาราช, เทฺว สกฎา’’ติอาทิมาหฯ เอกสฺสาติ เอกสฺมา, เอกสฺส วา สกฎสฺส รตนํ, ตสฺมา สกฎโต คเหตฺวาติ อโตฺถฯ โอสาริตนฺติ ปเวสิตํ อาหฎํ วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ

    Atidhammabhārenāti dhammena nāma pathavī tiṭṭheyya, sā kiṃ teneva calatīti adhippāyo. Puna thero ‘‘ratanaṃ nāma loke kuṭumbaṃ sandhārentaṃ abhimatañca lokena attano garusabhāvatāya sakaṭabhaṅgassa kāraṇaṃ atibhārabhūtaṃ diṭṭhaṃ. Evaṃ dhammo ca hitasukhavisesehi taṃsamaṅginaṃ dhārento abhimato ca viññūhi gambhīrāppameyyabhāvena garusabhāvattā atibhārabhūto pathavīcalanassa kāraṇaṃ hotī’’ti dassento ‘‘idha, mahārāja, dve sakaṭā’’tiādimāha. Ekassāti ekasmā, ekassa vā sakaṭassa ratanaṃ, tasmā sakaṭato gahetvāti attho. Osāritanti pavesitaṃ āhaṭaṃ vuttanti attho.

    สภาวปกติกาติ อกิตฺติมปกติกาติ อโตฺถฯ การณมหนฺตตฺตาติ มหเนฺตหิ ปารมิตาการเณหิ พุทฺธคุณานํ นิพฺพตฺติโตติ วุตฺตํ โหติฯ ปถวีอาทโย มหนฺตา อตฺตโน อตฺตโน วิสเย เอเกกาว, เอวํ สมฺมาสมฺพุโทฺธปิ มหโนฺต อตฺตโน วิสเย เอโก เอวฯ โก จ ตสฺส วิสโย? ยาวตกํ เญยฺยํ, เอวํ อากาโส วิย อนนฺตวิสโย ภควา เอโก เอว โหตีติ วทโนฺต โลกธาตฺวนฺตเรสุปิ ทุติยสฺส อภาวํ ทเสฺสติฯ

    Sabhāvapakatikāti akittimapakatikāti attho. Kāraṇamahantattāti mahantehi pāramitākāraṇehi buddhaguṇānaṃ nibbattitoti vuttaṃ hoti. Pathavīādayo mahantā attano attano visaye ekekāva, evaṃ sammāsambuddhopi mahanto attano visaye eko eva. Ko ca tassa visayo? Yāvatakaṃ ñeyyaṃ, evaṃ ākāso viya anantavisayo bhagavā eko eva hotīti vadanto lokadhātvantaresupi dutiyassa abhāvaṃ dasseti.

    ปุพฺพภาเค อายูหนวเสน อายูหนสมงฺคิตา สนฺนิฎฺฐานเจตนาวเสน เจตนาสมงฺคิตา จ เวทิตพฺพา, สนฺตติขณวเสน วาฯ วิปาการหนฺติ ทุติยภวาทีสุ วิปจฺจนปกติตํ สนฺธาย วทติฯ จลตีติ ปริวตฺตติฯ สุนเขหิ วชนสีโล สุนขวาชิโก

    Pubbabhāge āyūhanavasena āyūhanasamaṅgitā sanniṭṭhānacetanāvasena cetanāsamaṅgitā ca veditabbā, santatikhaṇavasena vā. Vipākārahanti dutiyabhavādīsu vipaccanapakatitaṃ sandhāya vadati. Calatīti parivattati. Sunakhehi vajanasīlo sunakhavājiko.

    ปฐมพลนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamabalaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ทุติยพลนิเทฺทสวณฺณนา

    Dutiyabalaniddesavaṇṇanā

    ๘๑๐. คติโต อญฺญา คติสมฺปตฺติ นาม นตฺถีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สมฺปนฺนา คตี’’ติ อาหฯ มหาสุทสฺสนาทิสุราชกาโล ปฐมกปฺปิกาทิสุมนุสฺสกาโล จ กาลสมฺปตฺติ

    810. Gatito aññā gatisampatti nāma natthīti dassento ‘‘sampannā gatī’’ti āha. Mahāsudassanādisurājakālo paṭhamakappikādisumanussakālo ca kālasampatti.

    เอกนฺตํ กุสลเสฺสว โอกาโสติ อิทํ ยทิปิ โกจิ กายสุจริตาทิปโยคสมฺปตฺติยํ ฐิตํ พาเธยฺย, ตํ ปน พาธนํ พาธกเสฺสว อิสฺสาทินิมิเตฺตน วิปรีตคฺคาเหน ชาตํฯ สา ปโยคสมฺปตฺติ สภาวโต สุขวิปากเสฺสว ปจฺจโย, น ทุกฺขวิปากสฺสาติ อิมมตฺถํ สนฺธาย วุตฺตํฯ มกฺกโฎ ภตฺตปุฎํ พนฺธฎฺฐาเน มุญฺจิตฺวา ภุญฺชิตุํ น ชานาติ, ยตฺถ วา ตตฺถ วา ภินฺทิตฺวา วินาเสติ, เอวํ อนุปายญฺญูปิ โภเคฯ สุสาเน ฉเฑฺฑตฺวาติอาทินา ฆาเตตฺวา ฉฑฺฑิตสฺส วุฎฺฐานาภาโว วิย อปายโต วุฎฺฐานาภาโวติ ทเสฺสติฯ

    Ekantaṃ kusalasseva okāsoti idaṃ yadipi koci kāyasucaritādipayogasampattiyaṃ ṭhitaṃ bādheyya, taṃ pana bādhanaṃ bādhakasseva issādinimittena viparītaggāhena jātaṃ. Sā payogasampatti sabhāvato sukhavipākasseva paccayo, na dukkhavipākassāti imamatthaṃ sandhāya vuttaṃ. Makkaṭo bhattapuṭaṃ bandhaṭṭhāne muñcitvā bhuñjituṃ na jānāti, yattha vā tattha vā bhinditvā vināseti, evaṃ anupāyaññūpi bhoge. Susāne chaḍḍetvātiādinā ghātetvā chaḍḍitassa vuṭṭhānābhāvo viya apāyato vuṭṭhānābhāvoti dasseti.

    ‘‘ปจฺจรี’’ติปิ อุฬุมฺปสฺส นามํ, เตน เอตฺถ กตา ‘‘มหาปจฺจรี’’ติ วุจฺจติฯ อุทเก มรณํ ถเล มรณญฺจ เอกเมวาติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ สเกฺกน ‘‘สมุทฺทารกฺขํ กริสฺสามี’’ติ วุตฺตนฺติ? สจฺจํ วุตฺตํ, ชีวิตสฺส ลหุปริวตฺติตํ ปกาเสเนฺตหิ เถเรหิ เอวํ วุตฺตํ, ลหุปริวตฺติตาย ชีวิตเหตุ น คมิสฺสามาติ อธิปฺปาโยฯ อถ วา อุทเกติ นาคทีปํ สนฺธาย วุตฺตํ, ถเลติ ชมฺพุทีปํฯ

    ‘‘Paccarī’’tipi uḷumpassa nāmaṃ, tena ettha katā ‘‘mahāpaccarī’’ti vuccati. Udake maraṇaṃ thale maraṇañca ekamevāti kasmā vuttaṃ, nanu sakkena ‘‘samuddārakkhaṃ karissāmī’’ti vuttanti? Saccaṃ vuttaṃ, jīvitassa lahuparivattitaṃ pakāsentehi therehi evaṃ vuttaṃ, lahuparivattitāya jīvitahetu na gamissāmāti adhippāyo. Atha vā udaketi nāgadīpaṃ sandhāya vuttaṃ, thaleti jambudīpaṃ.

    เถโร น เทตีติ กถมหํ เอเตน ญาโต, เกนจิ กิญฺจิ อาจิกฺขิตํ สิยาติ สญฺญาย น อทาสิฯ เตเนว ‘‘มยมฺปิ น ชานามา’’ติ วุตฺตํฯ อปรสฺสาติ อปรสฺส ภิกฺขุโน ปตฺตํ อาทาย…เป.… เถรสฺส หเตฺถ ฐเปสีติ โยชนาฯ อนายตเนติ นิกฺการเณ, อยุเตฺต วา นสฺสนฎฺฐาเนฯ ตุวํ อตฺตานํ รเกฺขยฺยาสิ, มยํ ปน มหลฺลกตฺตา กิํ รกฺขิตฺวา กริสฺสาม, มหลฺลกตฺตา เอว จ รกฺขิตุํ น สกฺขิสฺสามาติ อธิปฺปาโยฯ อนาคามิตฺตา วา เถโร อตฺตนา วตฺตพฺพํ ชานิตฺวา โอวทติฯ

    Thero na detīti kathamahaṃ etena ñāto, kenaci kiñci ācikkhitaṃ siyāti saññāya na adāsi. Teneva ‘‘mayampi na jānāmā’’ti vuttaṃ. Aparassāti aparassa bhikkhuno pattaṃ ādāya…pe… therassa hatthe ṭhapesīti yojanā. Anāyataneti nikkāraṇe, ayutte vā nassanaṭṭhāne. Tuvaṃ attānaṃ rakkheyyāsi, mayaṃ pana mahallakattā kiṃ rakkhitvā karissāma, mahallakattā eva ca rakkhituṃ na sakkhissāmāti adhippāyo. Anāgāmittā vā thero attanā vattabbaṃ jānitvā ovadati.

    สมฺมาปโยคสฺส คตมโคฺคติ สมฺมาปโยเคน นิปฺผาทิตตฺตา ตสฺส สญฺชานนการณนฺติ อโตฺถฯ

    Sammāpayogassa gatamaggoti sammāpayogena nipphāditattā tassa sañjānanakāraṇanti attho.

    ภูตมตฺถํ กตฺวา อภูโตปมํ กถยิสฺสตีติ อธิปฺปาโยฯ มนุสฺสาติ ภณฺฑาคาริกาทินิยุตฺตา มนุสฺสา มหนฺตตฺตา สมฺปฎิจฺฉิตุํ นาสกฺขิํสุ

    Bhūtamatthaṃ katvā abhūtopamaṃ kathayissatīti adhippāyo. Manussāti bhaṇḍāgārikādiniyuttā manussā mahantattā sampaṭicchituṃ nāsakkhiṃsu.

    ทุติยพลนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dutiyabalaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ตติยพลนิเทฺทสวณฺณนา

    Tatiyabalaniddesavaṇṇanā

    ๘๑๑. อญฺจิตาติ คตาฯ เปจฺจาติ ปุน, มริตฺวาติ วา อโตฺถฯ อุสฺสนฺนตฺตาติ วิตกฺกพหุลตาย อุสฺสนฺนตฺตาติ วทนฺติ, สูรตาทีหิ วา อุสฺสนฺนตฺตาฯ ทิพฺพนฺตีติ กีฬนฺติฯ

    811. Añcitāti gatā. Peccāti puna, maritvāti vā attho. Ussannattāti vitakkabahulatāya ussannattāti vadanti, sūratādīhi vā ussannattā. Dibbantīti kīḷanti.

    สญฺชีวกาฬสุตฺตสงฺฆาตโรรุวมหาโรรุวตาปนมหาตาปนอวีจิโย อฎฺฐ มหานิรยาฯ เอเกกสฺส จตฺตาริ ทฺวารานิ, เอเกกสฺมิํ ทฺวาเร จตฺตาโร จตฺตาโร คูถนิรยาทโยติ เอวํ โสฬส อุสฺสทนิรเย วณฺณยนฺติฯ

    Sañjīvakāḷasuttasaṅghātaroruvamahāroruvatāpanamahātāpanaavīciyo aṭṭha mahānirayā. Ekekassa cattāri dvārāni, ekekasmiṃ dvāre cattāro cattāro gūthanirayādayoti evaṃ soḷasa ussadaniraye vaṇṇayanti.

    สกฺกสุยามาทโย วิย เชฎฺฐกเทวราชาฯ ปชาปติวรุณอีสานาทโย วิย ทุติยาทิฎฺฐานนฺตรการโก ปริจารโก หุตฺวา

    Sakkasuyāmādayo viya jeṭṭhakadevarājā. Pajāpativaruṇaīsānādayo viya dutiyādiṭṭhānantarakārako paricārako hutvā.

    ตติยพลนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Tatiyabalaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    จตุตฺถพลนิเทฺทสวณฺณนา

    Catutthabalaniddesavaṇṇanā

    ๘๑๒. กโปฺปติ เทฺวธาภูตโคฺคฯ เอตฺถ จ พีชาทิธาตุนานตฺตวเสน ขนฺธาทิธาตุนานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ

    812. Kappoti dvedhābhūtaggo. Ettha ca bījādidhātunānattavasena khandhādidhātunānattaṃ veditabbaṃ.

    จตุตฺถพลนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Catutthabalaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปญฺจมพลนิเทฺทสวณฺณนา

    Pañcamabalaniddesavaṇṇanā

    ๘๑๓. อชฺฌาสยธาตูติ อชฺฌาสยสภาโวฯ ยถา คูถาทีนํ ธาตุสภาโว เอโส, ยํ คูถาทีเหว สํสนฺทติ, เอวํ ปุคฺคลานํ อชฺฌาสยเสฺสเวส สภาโว, ยํ ทุสฺสีลาทโย ทุสฺสีลาทิเกเหว สํสนฺทนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ภิกฺขูปิ อาหํสูติ อญฺญมญฺญํ อาหํสุฯ อาวุโส อิเม มนุสฺสา ‘‘ยถาสภาเคน ปริภุญฺชถา’’ติ วทนฺตา อเมฺห สภาคาสภาเค วิทิตฺวา หีนชฺฌาสยปณีตชฺฌาสยตํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ธาตุสํยุตฺตกเมฺม อุปเนนฺติ ตสฺส ปโยคํ ทฎฺฐุกามาติ อโตฺถ, เอวํ สภาควเสเนว อชฺฌาสยธาตุปริจฺฉินฺทนโต อชฺฌาสยธาตุสภาควเสน นิยเมตีติ อธิปฺปาโยฯ

    813. Ajjhāsayadhātūti ajjhāsayasabhāvo. Yathā gūthādīnaṃ dhātusabhāvo eso, yaṃ gūthādīheva saṃsandati, evaṃ puggalānaṃ ajjhāsayassevesa sabhāvo, yaṃ dussīlādayo dussīlādikeheva saṃsandantīti vuttaṃ hoti. Bhikkhūpi āhaṃsūti aññamaññaṃ āhaṃsu. Āvuso ime manussā ‘‘yathāsabhāgena paribhuñjathā’’ti vadantā amhe sabhāgāsabhāge viditvā hīnajjhāsayapaṇītajjhāsayataṃ paricchinditvā dhātusaṃyuttakamme upanenti tassa payogaṃ daṭṭhukāmāti attho, evaṃ sabhāgavaseneva ajjhāsayadhātuparicchindanato ajjhāsayadhātusabhāgavasena niyametīti adhippāyo.

    ปญฺจมพลนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pañcamabalaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ฉฎฺฐพลนิเทฺทสวณฺณนา

    Chaṭṭhabalaniddesavaṇṇanā

    จริตนฺติ อิธ ทุจฺจริตํ สุจริตนฺติ วุตฺตํฯ อปฺปรชํ อกฺขํ เอเตสนฺติ อปฺปรชกฺขาติ อโตฺถ วิภาวิโต, อปฺปรชํ อกฺขิมฺหิ เอเตสนฺติ อปฺปรชกฺขาติปิ สทฺทโตฺถ สมฺภวติฯ เอตฺถ จ อาสยชานนาทินา เยหิ อินฺทฺริเยหิ ปโรปเรหิ สตฺตา กลฺยาณปาปาสยาทิกา โหนฺติ, เตสํ ชานนํ วิภาเวตีติ เวทิตพฺพํฯ เอวญฺจ กตฺวา อินฺทฺริยปโรปริยตฺตอาสยานุสยญาณานํ วิสุํ อสาธารณตา, อินฺทฺริยปโรปริยตฺตนานาธิมุตฺติกตาญาณานํ วิสุํ พลตา จ สิทฺธา โหติฯ

    Caritanti idha duccaritaṃ sucaritanti vuttaṃ. Apparajaṃ akkhaṃ etesanti apparajakkhāti attho vibhāvito, apparajaṃ akkhimhi etesanti apparajakkhātipi saddattho sambhavati. Ettha ca āsayajānanādinā yehi indriyehi paroparehi sattā kalyāṇapāpāsayādikā honti, tesaṃ jānanaṃ vibhāvetīti veditabbaṃ. Evañca katvā indriyaparopariyattaāsayānusayañāṇānaṃ visuṃ asādhāraṇatā, indriyaparopariyattanānādhimuttikatāñāṇānaṃ visuṃ balatā ca siddhā hoti.

    ๘๑๕. ยทริยาติ เย อริยาฯ อาวสิํสูติ นิสฺสาย วสิํสุฯ เก ปน เต? ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปญฺจงฺควิปฺปหีโน โหติ ฉฬงฺคสมนฺนาคโต เอการโกฺข จตุราปเสฺสโน ปนุณฺณปเจฺจกสโจฺจ สมวยสเฎฺฐสโน อนาวิลสงฺกโปฺป ปสฺสทฺธกายสงฺขาโร สุวิมุตฺตจิโตฺต สุวิมุตฺตปโญฺญ’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๔๘; อ. นิ. ๑๐.๑๙) เอวํ วุตฺตาฯ เอเตสุ ปญฺจงฺควิปฺปหีนปเจฺจกสจฺจปโนทนเอสนาสมวยสชฺชนานิ ‘‘สงฺขาเยกํ ปฎิเสวติ อธิวาเสติ ปริวเชฺชติ วิโนเทตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๖๘) วุเตฺตสุ อปเสฺสเนสุ วิโนทนญฺจ มคฺคกิจฺจาเนว, อิตเร จ มเคฺคเนว สมิชฺฌนฺติฯ เตนาห ‘‘เอตญฺหิ สุตฺตํ…เป.… ทีเปตี’’ติฯ

    815. Yadariyāti ye ariyā. Āvasiṃsūti nissāya vasiṃsu. Ke pana te? ‘‘Idha, bhikkhave, bhikkhu pañcaṅgavippahīno hoti chaḷaṅgasamannāgato ekārakkho caturāpasseno panuṇṇapaccekasacco samavayasaṭṭhesano anāvilasaṅkappo passaddhakāyasaṅkhāro suvimuttacitto suvimuttapañño’’ti (dī. ni. 3.348; a. ni. 10.19) evaṃ vuttā. Etesu pañcaṅgavippahīnapaccekasaccapanodanaesanāsamavayasajjanāni ‘‘saṅkhāyekaṃ paṭisevati adhivāseti parivajjeti vinodetī’’ti (ma. ni. 2.168) vuttesu apassenesu vinodanañca maggakiccāneva, itare ca maggeneva samijjhanti. Tenāha ‘‘etañhi suttaṃ…pe… dīpetī’’ti.

    ๘๑๖. อารมฺมณสนฺตานานุสยเนสุ อิฎฺฐารมฺมเณ อารมฺมณานุสยเนน อนุเสติฯ อาจิณฺณสมาจิณฺณาติ เอเตน สมนฺตโต เวเฐตฺวา วิย ฐิตภาเวน อนุสยิตตํ ทเสฺสติฯ ภวสฺสปิ วตฺถุกามตฺตา, ราควเสน วา สมานตฺตา ‘‘ภวราคานุสโย…เป.… สงฺคหิโต’’ติ อาหฯ

    816. Ārammaṇasantānānusayanesu iṭṭhārammaṇe ārammaṇānusayanena anuseti. Āciṇṇasamāciṇṇāti etena samantato veṭhetvā viya ṭhitabhāvena anusayitataṃ dasseti. Bhavassapi vatthukāmattā, rāgavasena vā samānattā ‘‘bhavarāgānusayo…pe… saṅgahito’’ti āha.

    ๘๑๘. ‘‘ปณีตาธิมุตฺติกา ติกฺขินฺทฺริยา, อิตเร มุทินฺทฺริยา’’ติ เอวํ อินฺทฺริยวิเสสทสฺสนตฺถเมว อธิมุตฺติคฺคหณนฺติ อาห ‘‘ติกฺขินฺทฺริยมุทินฺทฺริยภาวทสฺสนตฺถ’’นฺติฯ

    818. ‘‘Paṇītādhimuttikā tikkhindriyā, itare mudindriyā’’ti evaṃ indriyavisesadassanatthameva adhimuttiggahaṇanti āha ‘‘tikkhindriyamudindriyabhāvadassanattha’’nti.

    ๘๑๙. ปหานกฺกมวเสนาติ เอตฺถ ปหาตพฺพปชหนกฺกโม ปหานกฺกโมติ ทฎฺฐโพฺพ, ยสฺส ปหาเนน ภวิตพฺพํ, ตํ เตเนว ปหาเนน ปฐมํ วุจฺจติ, ตโต อปฺปหาตพฺพนฺติ อยํ วา ปหานกฺกโมฯ

    819. Pahānakkamavasenāti ettha pahātabbapajahanakkamo pahānakkamoti daṭṭhabbo, yassa pahānena bhavitabbaṃ, taṃ teneva pahānena paṭhamaṃ vuccati, tato appahātabbanti ayaṃ vā pahānakkamo.

    ๘๒๐. มคฺคสฺส อุปนิสฺสยภูตานิ อินฺทฺริยานิ อุปนิสฺสยอินฺทฺริยานิ

    820. Maggassa upanissayabhūtāni indriyāni upanissayaindriyāni.

    ๘๒๖. นิพฺพุติฉนฺทรหิตตฺตา อจฺฉนฺทิกฎฺฐานํ ปวิฎฺฐาฯ ยสฺมิํ ภวเงฺค ปวตฺตมาเน ตํสนฺตติยํ โลกุตฺตรํ นิพฺพตฺตติ, ตํ ตสฺส ปาทกํ

    826. Nibbutichandarahitattā acchandikaṭṭhānaṃ paviṭṭhā. Yasmiṃ bhavaṅge pavattamāne taṃsantatiyaṃ lokuttaraṃ nibbattati, taṃ tassa pādakaṃ.

    ฉฎฺฐพลนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Chaṭṭhabalaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    สตฺตมพลนิเทฺทสวณฺณนา

    Sattamabalaniddesavaṇṇanā

    ๘๒๘. นิทฺทายิตฺวาติ กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรโนฺต นิทฺทํ โอกฺกมิตฺวา ปฎิพุโทฺธ สมาปตฺติํ สมาปโนฺนมฺหีติ อโตฺถฯ นีวรณาทีหิ วิสุทฺธจิตฺตสนฺตติ เอว จิตฺตมญฺชูสา, สมาธิ วา, กมฺมฎฺฐานํ วาฯ จิตฺตํ ฐเปตุนฺติ สมาปตฺติจิตฺตํ ฐเปตุํฯ สญฺญาเวทยิตานํ อปคโม เอว อปคมวิโมโกฺข

    828. Niddāyitvāti kammaṭṭhānaṃ manasi karonto niddaṃ okkamitvā paṭibuddho samāpattiṃ samāpannomhīti attho. Nīvaraṇādīhi visuddhacittasantati eva cittamañjūsā, samādhi vā, kammaṭṭhānaṃ vā. Cittaṃ ṭhapetunti samāpatticittaṃ ṭhapetuṃ. Saññāvedayitānaṃ apagamo eva apagamavimokkho.

    สญฺญามนสิการานํ กามาทิทุติยชฺฌานาทิปกฺขนฺทนานิ ‘‘หานภาคิยวิเสสภาคิยธมฺมา’’ติ ทสฺสิตานิ, เตหิ ปน ฌานานํ ตํสภาวตา ธมฺม-สเทฺทน วุตฺตาฯ ปคุณภาวโวทานํ ปคุณโวทานํฯ ตเทว ปฐมชฺฌานาทีหิ วุฎฺฐหิตฺวา ทุติยชฺฌานาทิอธิคมสฺส ปจฺจยตฺตา ‘‘วุฎฺฐานํ นามา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘โวทานมฺปิ วุฎฺฐานํ, ตมฺหา ตมฺหา สมาธิมฺหา วุฎฺฐานมฺปิ วุฎฺฐาน’’นฺติ อิมาย วุฎฺฐานปาฬิยา อสงฺคหิตตฺตา นิโรธสมาปตฺติยา วุฎฺฐานํ ‘‘ปาฬิมุตฺตกวุฎฺฐานํ นามา’’ติ วุตฺตํฯ เย ปน ‘‘นิโรธโต ผลสมาปตฺติยา วุฎฺฐาน’’นฺติ ปาฬิ นตฺถีติ วเทยฺยุํ, เต ‘‘นิโรธา วุฎฺฐหนฺตสฺส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ ผลสมาปตฺติยา อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๑๗) อิมาย ปาฬิยา ปฎิเสเธตพฺพาฯ

    Saññāmanasikārānaṃ kāmādidutiyajjhānādipakkhandanāni ‘‘hānabhāgiyavisesabhāgiyadhammā’’ti dassitāni, tehi pana jhānānaṃ taṃsabhāvatā dhamma-saddena vuttā. Paguṇabhāvavodānaṃ paguṇavodānaṃ. Tadeva paṭhamajjhānādīhi vuṭṭhahitvā dutiyajjhānādiadhigamassa paccayattā ‘‘vuṭṭhānaṃ nāmā’’ti vuttaṃ. ‘‘Vodānampi vuṭṭhānaṃ, tamhā tamhā samādhimhā vuṭṭhānampi vuṭṭhāna’’nti imāya vuṭṭhānapāḷiyā asaṅgahitattā nirodhasamāpattiyā vuṭṭhānaṃ ‘‘pāḷimuttakavuṭṭhānaṃ nāmā’’ti vuttaṃ. Ye pana ‘‘nirodhato phalasamāpattiyā vuṭṭhāna’’nti pāḷi natthīti vadeyyuṃ, te ‘‘nirodhā vuṭṭhahantassa nevasaññānāsaññāyatanaṃ phalasamāpattiyā anantarapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.1.417) imāya pāḷiyā paṭisedhetabbā.

    สตฺตมพลนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sattamabalaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ทสมพลนิเทฺทสวณฺณนา

    Dasamabalaniddesavaṇṇanā

    ๘๓๑. ราคาทีหิ เจตโส วิมุตฺติภูโต สมาธิ เจโตวิมุตฺติฯ ปญฺญาว วิมุตฺติ ปญฺญาวิมุตฺติฯ กมฺมนฺตรวิปากนฺตรเมวาติ กมฺมนฺตรสฺส วิปากนฺตรเมวาติ อโตฺถฯ เจตนาเจตนาสมฺปยุตฺตกธเมฺม นิรยาทินิพฺพานคามินิปฎิปทาภูเต กมฺมนฺติ คเหตฺวา อาห ‘‘กมฺมปริเจฺฉทเมวา’’ติฯ อเปฺปตุํ น สโกฺกติ อฎฺฐมนวมพลานิ วิย, ตํสทิสํ อิทฺธิวิธญาณํ วิย วิกุพฺพิตุํฯ เอเตน ทสพลสทิสตญฺจ วาเรติ, ฌานาทิญาณํ วิย วา อเปฺปตุํ วิกุพฺพิตุญฺจฯ ยทิปิ หิ ฌานาทิปจฺจเวกฺขณญาณํ สตฺตมพลนฺติ ตสฺส สวิตกฺกสวิจารตา วุตฺตา, ตถาปิ ฌานาทีหิ วินา ปจฺจเวกฺขณา นตฺถีติ ฌานาทิสหคตํ ญาณํ ตทโนฺตคธํ กตฺวา เอวํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อถ วา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ฌานาทิกิจฺจํ วิย น สพฺพํ พลกิจฺจํ กาตุํ สโกฺกตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตญฺหิ ฌานํ หุตฺวา อเปฺปตุํ อิทฺธิ หุตฺวา วิกุพฺพิตุญฺจ น สโกฺกตี’’ติ วุตฺตํ, น ปน กสฺสจิ พลสฺส ฌานอิทฺธิภาวโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    831. Rāgādīhi cetaso vimuttibhūto samādhi cetovimutti. Paññāva vimutti paññāvimutti. Kammantaravipākantaramevāti kammantarassa vipākantaramevāti attho. Cetanācetanāsampayuttakadhamme nirayādinibbānagāminipaṭipadābhūte kammanti gahetvā āha ‘‘kammaparicchedamevā’’ti. Appetuṃ na sakkoti aṭṭhamanavamabalāni viya, taṃsadisaṃ iddhividhañāṇaṃ viya vikubbituṃ. Etena dasabalasadisatañca vāreti, jhānādiñāṇaṃ viya vā appetuṃ vikubbituñca. Yadipi hi jhānādipaccavekkhaṇañāṇaṃ sattamabalanti tassa savitakkasavicāratā vuttā, tathāpi jhānādīhi vinā paccavekkhaṇā natthīti jhānādisahagataṃ ñāṇaṃ tadantogadhaṃ katvā evaṃ vuttanti veditabbaṃ. Atha vā sabbaññutaññāṇaṃ jhānādikiccaṃ viya na sabbaṃ balakiccaṃ kātuṃ sakkotīti dassetuṃ ‘‘tañhi jhānaṃ hutvā appetuṃ iddhi hutvā vikubbituñca na sakkotī’’ti vuttaṃ, na pana kassaci balassa jhānaiddhibhāvatoti daṭṭhabbaṃ.

    ทสมพลนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dasamabalaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ญาณวิภงฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ñāṇavibhaṅgavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๑๖. ญาณวิภโงฺค • 16. Ñāṇavibhaṅgo

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๑๖. ญาณวิภโงฺค • 16. Ñāṇavibhaṅgo


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact