Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๑๐. นนฺทมาตาสุตฺตํ
10. Nandamātāsuttaṃ
เตน โข ปน สมเยน เวสฺสวโณ มหาราชา อุตฺตราย ทิสาย ทกฺขิณํ ทิสํ คจฺฉติ เกนจิเทว กรณีเยนฯ อโสฺสสิ โข เวสฺสวโณ มหาราชา นนฺทมาตาย อุปาสิกาย ปารายนํ สเรน ภาสนฺติยา, สุตฺวา กถาปริโยสานํ อาคมยมาโน อฎฺฐาสิฯ
Tena kho pana samayena vessavaṇo mahārājā uttarāya disāya dakkhiṇaṃ disaṃ gacchati kenacideva karaṇīyena. Assosi kho vessavaṇo mahārājā nandamātāya upāsikāya pārāyanaṃ sarena bhāsantiyā, sutvā kathāpariyosānaṃ āgamayamāno aṭṭhāsi.
อถ โข นนฺทมาตา อุปาสิกา ปารายนํ สเรน ภาสิตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ อถ โข เวสฺสวโณ มหาราชา นนฺทมาตาย อุปาสิกาย กถาปริโยสานํ วิทิตฺวา อพฺภานุโมทิ – ‘‘สาธุ ภคินิ, สาธุ ภคินี’’ติ! ‘‘โก ปเนโส, ภทฺรมุขา’’ติ? ‘‘อหํ เต, ภคินิ, ภาตา เวสฺสวโณ, มหาราชา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภทฺรมุข, เตน หิ โย เม อยํ ธมฺมปริยาโย ภณิโต อิทํ เต โหตุ อาติเถยฺย’’นฺติฯ ‘‘สาธุ, ภคินิ, เอตเญฺจว เม โหตุ อาติเถยฺยํฯ เสฺวว 5 สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปฺปมุโข ภิกฺขุสโงฺฆ อกตปาตราโส เวฬุกณฺฑกํ อาคมิสฺสติ, ตญฺจ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสิตฺวา มม ทกฺขิณํ อาทิเสยฺยาสิฯ เอตเญฺจว 6 เม ภวิสฺสติ อาติเถยฺย’’นฺติฯ
Atha kho nandamātā upāsikā pārāyanaṃ sarena bhāsitvā tuṇhī ahosi. Atha kho vessavaṇo mahārājā nandamātāya upāsikāya kathāpariyosānaṃ viditvā abbhānumodi – ‘‘sādhu bhagini, sādhu bhaginī’’ti! ‘‘Ko paneso, bhadramukhā’’ti? ‘‘Ahaṃ te, bhagini, bhātā vessavaṇo, mahārājā’’ti. ‘‘Sādhu, bhadramukha, tena hi yo me ayaṃ dhammapariyāyo bhaṇito idaṃ te hotu ātitheyya’’nti. ‘‘Sādhu, bhagini, etañceva me hotu ātitheyyaṃ. Sveva 7 sāriputtamoggallānappamukho bhikkhusaṅgho akatapātarāso veḷukaṇḍakaṃ āgamissati, tañca bhikkhusaṅghaṃ parivisitvā mama dakkhiṇaṃ ādiseyyāsi. Etañceva 8 me bhavissati ātitheyya’’nti.
อถ โข นนฺทมาตา อุปาสิกา ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน สเก นิเวสเน ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฎิยาทาเปสิฯ อถ โข สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปฺปมุโข ภิกฺขุสโงฺฆ อกตปาตราโส เยน เวฬุกณฺฑโก ตทวสริฯ อถ โข นนฺทมาตา อุปาสิกา อญฺญตรํ ปุริสํ อามเนฺตสิ – ‘‘เอหิ ตฺวํ, อโมฺภ ปุริส, อารามํ คนฺตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส กาลํ อาโรเจหิ – ‘กาโล, ภเนฺต, อยฺยาย นนฺทมาตุยา นิเวสเน นิฎฺฐิตํ ภตฺต’’’นฺติฯ ‘‘เอวํ, อเยฺย’’ติ โข โส ปุริโส นนฺทมาตาย อุปาสิกาย ปฎิสฺสุตฺวา อารามํ คนฺตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส กาลํ อาโรเจสิ – ‘‘กาโล, ภเนฺต, อยฺยาย นนฺทมาตุยา นิเวสเน นิฎฺฐิตํ ภตฺต’’นฺติฯ อถ โข สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปฺปมุโข ภิกฺขุสโงฺฆ ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน นนฺทมาตาย อุปาสิกาย นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ อถ โข นนฺทมาตา อุปาสิกา สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตเปฺปสิ สมฺปวาเรสิฯ
Atha kho nandamātā upāsikā tassā rattiyā accayena sake nivesane paṇītaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ paṭiyādāpesi. Atha kho sāriputtamoggallānappamukho bhikkhusaṅgho akatapātarāso yena veḷukaṇḍako tadavasari. Atha kho nandamātā upāsikā aññataraṃ purisaṃ āmantesi – ‘‘ehi tvaṃ, ambho purisa, ārāmaṃ gantvā bhikkhusaṅghassa kālaṃ ārocehi – ‘kālo, bhante, ayyāya nandamātuyā nivesane niṭṭhitaṃ bhatta’’’nti. ‘‘Evaṃ, ayye’’ti kho so puriso nandamātāya upāsikāya paṭissutvā ārāmaṃ gantvā bhikkhusaṅghassa kālaṃ ārocesi – ‘‘kālo, bhante, ayyāya nandamātuyā nivesane niṭṭhitaṃ bhatta’’nti. Atha kho sāriputtamoggallānappamukho bhikkhusaṅgho pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya yena nandamātāya upāsikāya nivesanaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi. Atha kho nandamātā upāsikā sāriputtamoggallānappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ paṇītena khādanīyena bhojanīyena sahatthā santappesi sampavāresi.
อถ โข นนฺทมาตา อุปาสิกา อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ ภุตฺตาวิํ โอนีตปตฺตปาณิํ เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข นนฺทมาตรํ อุปาสิกํ อายสฺมา สาริปุโตฺต เอตทโวจ – ‘‘โก ปน เต, นนฺทมาเต, ภิกฺขุสงฺฆสฺส อพฺภาคมนํ อาโรเจสี’’ติ?
Atha kho nandamātā upāsikā āyasmantaṃ sāriputtaṃ bhuttāviṃ onītapattapāṇiṃ ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho nandamātaraṃ upāsikaṃ āyasmā sāriputto etadavoca – ‘‘ko pana te, nandamāte, bhikkhusaṅghassa abbhāgamanaṃ ārocesī’’ti?
‘‘อิธาหํ, ภเนฺต , รตฺติยา ปจฺจูสสมยํ ปจฺจุฎฺฐาย ปารายนํ สเรน ภาสิตฺวา ตุณฺหี อโหสิํฯ อถ โข, ภเนฺต, เวสฺสวโณ มหาราชา มม กถาปริโยสานํ วิทิตฺวา อพฺภานุโมทิ – ‘สาธุ, ภคินิ, สาธุ, ภคินี’ติ! ‘โก ปเนโส, ภทฺรมุขา’ติ? ‘อหํ เต, ภคินิ, ภาตา เวสฺสวโณ, มหาราชา’ติฯ ‘สาธุ, ภทฺรมุข, เตน หิ โย เม อยํ ธมฺมปริยาโย ภณิโต อิทํ เต โหตุ อาติเถยฺย’นฺติฯ ‘สาธุ, ภคินิ, เอตเญฺจว เม โหตุ อาติเถยฺยํฯ เสฺวว สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปฺปมุโข ภิกฺขุสโงฺฆ อกตปาตราโส เวฬุกณฺฑกํ อาคมิสฺสติ, ตญฺจ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสิตฺวา มม ทกฺขิณํ อาทิเสยฺยาสิฯ เอตเญฺจว 9 เม ภวิสฺสติ อาติเถยฺย’นฺติฯ ยทิทํ 10, ภเนฺต, ทาเน 11 ปุญฺญญฺจ ปุญฺญมหี จ ตํ 12 เวสฺสวณสฺส มหาราชสฺส สุขาย โหตู’’ติฯ
‘‘Idhāhaṃ, bhante , rattiyā paccūsasamayaṃ paccuṭṭhāya pārāyanaṃ sarena bhāsitvā tuṇhī ahosiṃ. Atha kho, bhante, vessavaṇo mahārājā mama kathāpariyosānaṃ viditvā abbhānumodi – ‘sādhu, bhagini, sādhu, bhaginī’ti! ‘Ko paneso, bhadramukhā’ti? ‘Ahaṃ te, bhagini, bhātā vessavaṇo, mahārājā’ti. ‘Sādhu, bhadramukha, tena hi yo me ayaṃ dhammapariyāyo bhaṇito idaṃ te hotu ātitheyya’nti. ‘Sādhu, bhagini, etañceva me hotu ātitheyyaṃ. Sveva sāriputtamoggallānappamukho bhikkhusaṅgho akatapātarāso veḷukaṇḍakaṃ āgamissati, tañca bhikkhusaṅghaṃ parivisitvā mama dakkhiṇaṃ ādiseyyāsi. Etañceva 13 me bhavissati ātitheyya’nti. Yadidaṃ 14, bhante, dāne 15 puññañca puññamahī ca taṃ 16 vessavaṇassa mahārājassa sukhāya hotū’’ti.
‘‘อจฺฉริยํ, นนฺทมาเต, อพฺภุตํ, นนฺทมาเต! ยตฺร หิ นาม เวสฺสวเณน มหาราเชน เอวํมหิทฺธิเกน เอวํมเหสเกฺขน เทวปุเตฺตน สมฺมุขา สลฺลปิสฺสสี’’ติฯ
‘‘Acchariyaṃ, nandamāte, abbhutaṃ, nandamāte! Yatra hi nāma vessavaṇena mahārājena evaṃmahiddhikena evaṃmahesakkhena devaputtena sammukhā sallapissasī’’ti.
‘‘น โข เม, ภเนฺต, เอเสว อจฺฉริโย อพฺภุโต ธโมฺมฯ อตฺถิ เม อโญฺญปิ อจฺฉริโย อพฺภุโต ธโมฺมฯ อิธ เม, ภเนฺต, นโนฺท นาม เอกปุตฺตโก ปิโย มนาโปฯ ตํ ราชาโน กิสฺมิญฺจิเทว ปกรเณ โอกสฺส ปสยฺห ชีวิตา โวโรเปสุํฯ ตสฺมิํ โข ปนาหํ, ภเนฺต, ทารเก คหิเต วา คยฺหมาเน วา วเธ วา วชฺฌมาเน วา หเต วา หญฺญมาเน วา นาภิชานามิ จิตฺตสฺส อญฺญถตฺต’’นฺติฯ ‘‘อจฺฉริยํ, นนฺทมาเต, อพฺภุตํ นนฺทมาเต! ยตฺร หิ นาม จิตฺตุปฺปาทมฺปิ 17 ปริโสเธสฺสสี’’ติฯ
‘‘Na kho me, bhante, eseva acchariyo abbhuto dhammo. Atthi me aññopi acchariyo abbhuto dhammo. Idha me, bhante, nando nāma ekaputtako piyo manāpo. Taṃ rājāno kismiñcideva pakaraṇe okassa pasayha jīvitā voropesuṃ. Tasmiṃ kho panāhaṃ, bhante, dārake gahite vā gayhamāne vā vadhe vā vajjhamāne vā hate vā haññamāne vā nābhijānāmi cittassa aññathatta’’nti. ‘‘Acchariyaṃ, nandamāte, abbhutaṃ nandamāte! Yatra hi nāma cittuppādampi 18 parisodhessasī’’ti.
‘‘น โข เม, ภเนฺต , เอเสว อจฺฉริโย อพฺภุโต ธโมฺมฯ อตฺถิ เม อโญฺญปิ อจฺฉริโย อพฺภุโต ธโมฺมฯ อิธ เม, ภเนฺต, สามิโก กาลงฺกโต อญฺญตรํ ยกฺขโยนิํ อุปปโนฺนฯ โส เม เตเนว ปุริเมน อตฺตภาเวน อุทฺทเสฺสสิฯ น โข ปนาหํ, ภเนฺต, อภิชานามิ ตโตนิทานํ จิตฺตสฺส อญฺญถตฺต’’นฺติฯ ‘‘อจฺฉริยํ, นนฺทมาเต, อพฺภุตํ, นนฺทมาเต! ยตฺร หิ นาม จิตฺตุปฺปาทมฺปิ ปริโสเธสฺสสี’’ติฯ
‘‘Na kho me, bhante , eseva acchariyo abbhuto dhammo. Atthi me aññopi acchariyo abbhuto dhammo. Idha me, bhante, sāmiko kālaṅkato aññataraṃ yakkhayoniṃ upapanno. So me teneva purimena attabhāvena uddassesi. Na kho panāhaṃ, bhante, abhijānāmi tatonidānaṃ cittassa aññathatta’’nti. ‘‘Acchariyaṃ, nandamāte, abbhutaṃ, nandamāte! Yatra hi nāma cittuppādampi parisodhessasī’’ti.
‘‘น โข เม, ภเนฺต, เอเสว อจฺฉริโย อพฺภุโต ธโมฺมฯ อตฺถิ เม อโญฺญปิ อจฺฉริโย อพฺภุโต ธโมฺมฯ ยโตหํ, ภเนฺต, สามิกสฺส ทหรเสฺสว ทหรา อานีตา นาภิชานามิ สามิกํ มนสาปิ อติจริตา 19, กุโต ปน กาเยนา’’ติ! ‘‘อจฺฉริยํ, นนฺทมาเต, อพฺภุตํ, นนฺทมาเต! ยตฺร หิ นาม จิตฺตุปฺปาทมฺปิ ปริโสเธสฺสสี’’ติฯ
‘‘Na kho me, bhante, eseva acchariyo abbhuto dhammo. Atthi me aññopi acchariyo abbhuto dhammo. Yatohaṃ, bhante, sāmikassa daharasseva daharā ānītā nābhijānāmi sāmikaṃ manasāpi aticaritā 20, kuto pana kāyenā’’ti! ‘‘Acchariyaṃ, nandamāte, abbhutaṃ, nandamāte! Yatra hi nāma cittuppādampi parisodhessasī’’ti.
‘‘น โข เม, ภเนฺต, เอเสว อจฺฉริโย อพฺภุโต ธโมฺมฯ อตฺถิ เม อโญฺญปิ อจฺฉริโย อพฺภุโต ธโมฺมฯ ยทาหํ, ภเนฺต, อุปาสิกา ปฎิเทสิตา นาภิชานามิ กิญฺจิ สิกฺขาปทํ สญฺจิจฺจ วีติกฺกมิตา’’ติฯ ‘‘อจฺฉริยํ, นนฺทมาเต, อพฺภุตํ, นนฺทมาเต’’ติ!
‘‘Na kho me, bhante, eseva acchariyo abbhuto dhammo. Atthi me aññopi acchariyo abbhuto dhammo. Yadāhaṃ, bhante, upāsikā paṭidesitā nābhijānāmi kiñci sikkhāpadaṃ sañcicca vītikkamitā’’ti. ‘‘Acchariyaṃ, nandamāte, abbhutaṃ, nandamāte’’ti!
‘‘น โข เม, ภเนฺต, เอเสว อจฺฉริโย อพฺภุโต ธโมฺมฯ อตฺถิ เม อโญฺญปิ อจฺฉริโย อพฺภุโต ธโมฺมฯ อิธาหํ, ภเนฺต, ยาวเทว 21 อากงฺขามิ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิฯ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิฯ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขิกา จ วิหรามิ สตา จ สมฺปชานา สุขญฺจ กาเย ปฎิสํเวเทมิ, ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ – ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี’ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิฯ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามี’’ติฯ ‘‘อจฺฉริยํ, นนฺทมาเต, อพฺภุตํ, นนฺทมาเต’’ติ!
‘‘Na kho me, bhante, eseva acchariyo abbhuto dhammo. Atthi me aññopi acchariyo abbhuto dhammo. Idhāhaṃ, bhante, yāvadeva 22 ākaṅkhāmi vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharāmi. Vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharāmi. Pītiyā ca virāgā upekkhikā ca viharāmi satā ca sampajānā sukhañca kāye paṭisaṃvedemi, yaṃ taṃ ariyā ācikkhanti – ‘upekkhako satimā sukhavihārī’ti tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharāmi. Sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharāmī’’ti. ‘‘Acchariyaṃ, nandamāte, abbhutaṃ, nandamāte’’ti!
‘‘น โข เม, ภเนฺต, เอเสว อจฺฉริโย อพฺภุโต ธโมฺมฯ อตฺถิ เม อโญฺญปิ อจฺฉริโย อพฺภุโต ธโมฺมฯ ยานิมานิ, ภเนฺต, ภควตา เทสิตานิ ปโญฺจรมฺภาคิยานิ สํโยชนานิ นาหํ เตสํ กิญฺจิ อตฺตนิ อปฺปหีนํ สมนุปสฺสามี’’ติฯ ‘‘อจฺฉริยํ, นนฺทมาเต, อพฺภุตํ, นนฺทมาเต’’ติ!
‘‘Na kho me, bhante, eseva acchariyo abbhuto dhammo. Atthi me aññopi acchariyo abbhuto dhammo. Yānimāni, bhante, bhagavatā desitāni pañcorambhāgiyāni saṃyojanāni nāhaṃ tesaṃ kiñci attani appahīnaṃ samanupassāmī’’ti. ‘‘Acchariyaṃ, nandamāte, abbhutaṃ, nandamāte’’ti!
อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต นนฺทมาตรํ อุปาสิกํ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตฺวา สมาทเปตฺวา สมุเตฺตเชตฺวา สมฺปหํเสตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามีติฯ ทสมํฯ
Atha kho āyasmā sāriputto nandamātaraṃ upāsikaṃ dhammiyā kathāya sandassetvā samādapetvā samuttejetvā sampahaṃsetvā uṭṭhāyāsanā pakkāmīti. Dasamaṃ.
มหายญฺญวโคฺค ปญฺจโมฯ
Mahāyaññavaggo pañcamo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
ฐิติ จ ปริกฺขารํ เทฺว, อคฺคี สญฺญา จ เทฺว ปรา;
Ṭhiti ca parikkhāraṃ dve, aggī saññā ca dve parā;
เมถุนา สํโยโค ทานํ, นนฺทมาเตน เต ทสาติฯ
Methunā saṃyogo dānaṃ, nandamātena te dasāti.
ปฐมปณฺณาสกํ สมตฺตํฯ
Paṭhamapaṇṇāsakaṃ samattaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. นนฺทมาตาสุตฺตวณฺณนา • 10. Nandamātāsuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๐. นนฺทมาตาสุตฺตวณฺณนา • 10. Nandamātāsuttavaṇṇanā