Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)

    ๑๐. นนฺทมาตาสุตฺตวณฺณนา

    10. Nandamātāsuttavaṇṇanā

    ๕๓. ทสมํ อตฺถุปฺปตฺติวเสน เทสิตํฯ สตฺถา กิร วุตฺถวโสฺส ปวาเรตฺวา เทฺว อคฺคสาวเก โอหาย ‘‘ทกฺขิณาคิริํ จาริกํ คมิสฺสามี’’ติ นิกฺขมิ, ราชา ปเสนทิ โกสโล, อนาถปิณฺฑิโก คหปติ, วิสาขา มหาอุปาสิกา, อเญฺญ จ พหุชนา ทสพลํ นิวเตฺตตุํ นาสกฺขิํสุฯ อนาถปิณฺฑิโก คหปติ ‘‘สตฺถารํ นิวเตฺตตุํ นาสกฺขิ’’นฺติ รโห จินฺตยมาโน นิสีทิฯ อถ นํ ปุณฺณา นาม ทาสี ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข เต, สามิ, น ปุเพฺพ วิย อินฺทฺริยานิ วิปฺปสนฺนานี’’ติ ปุจฺฉิฯ อาม, ปุเณฺณ, สตฺถา จาริกํ ปกฺกโนฺต, ตมหํ นิวเตฺตตุํ นาสกฺขิํฯ น โข ปน สกฺกา ชานิตุํ ปุน สีฆํ อาคเจฺฉยฺย วา น วา, เตนาหํ จินฺตยมาโน นิสิโนฺนติฯ สจาหํ ทสพลํ นิวเตฺตยฺยํ, กิํ เม กเรยฺยาสีติ? ภุชิสฺสํ ตํ กริสฺสามีติฯ สา คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ‘‘นิวตฺตถ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ มม นิวตฺตนปจฺจยา ตฺวํ กิํ กริสฺสสีติ? ตุเมฺห, ภเนฺต, มม ปราธีนภาวํ ชานาถ, อญฺญํ กิญฺจิ กาตุํ น สโกฺกมิ, สรเณสุ ปน ปติฎฺฐาย ปญฺจ สีลานิ รกฺขิสฺสามีติฯ สาธุ สาธุ ปุเณฺณติ, สตฺถา ธมฺมคารเวน เอกปทสฺมิเญฺญว นิวตฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ธมฺมครุ, ภิกฺขเว, ตถาคโต ธมฺมคารโว’’ติ (อ. นิ. ๕.๙๙)ฯ

    53. Dasamaṃ atthuppattivasena desitaṃ. Satthā kira vutthavasso pavāretvā dve aggasāvake ohāya ‘‘dakkhiṇāgiriṃ cārikaṃ gamissāmī’’ti nikkhami, rājā pasenadi kosalo, anāthapiṇḍiko gahapati, visākhā mahāupāsikā, aññe ca bahujanā dasabalaṃ nivattetuṃ nāsakkhiṃsu. Anāthapiṇḍiko gahapati ‘‘satthāraṃ nivattetuṃ nāsakkhi’’nti raho cintayamāno nisīdi. Atha naṃ puṇṇā nāma dāsī disvā ‘‘kiṃ nu kho te, sāmi, na pubbe viya indriyāni vippasannānī’’ti pucchi. Āma, puṇṇe, satthā cārikaṃ pakkanto, tamahaṃ nivattetuṃ nāsakkhiṃ. Na kho pana sakkā jānituṃ puna sīghaṃ āgaccheyya vā na vā, tenāhaṃ cintayamāno nisinnoti. Sacāhaṃ dasabalaṃ nivatteyyaṃ, kiṃ me kareyyāsīti? Bhujissaṃ taṃ karissāmīti. Sā gantvā satthāraṃ vanditvā ‘‘nivattatha, bhante’’ti āha. Mama nivattanapaccayā tvaṃ kiṃ karissasīti? Tumhe, bhante, mama parādhīnabhāvaṃ jānātha, aññaṃ kiñci kātuṃ na sakkomi, saraṇesu pana patiṭṭhāya pañca sīlāni rakkhissāmīti. Sādhu sādhu puṇṇeti, satthā dhammagāravena ekapadasmiññeva nivatti. Vuttañhetaṃ – ‘‘dhammagaru, bhikkhave, tathāgato dhammagāravo’’ti (a. ni. 5.99).

    สตฺถา นิวตฺติตฺวา เชตวนมหาวิหารํ ปาวิสิฯ มหาชโน ปุณฺณาย สาธุการสหสฺสานิ อทาสิฯ สตฺถา ตสฺมิํ สมาคเม ธมฺมํ เทเสสิ, จตุราสีติปาณสหสฺสานิ อมตปานํ ปิวิํสุฯ ปุณฺณาปิ เสฎฺฐินา อนุญฺญาตา ภิกฺขุนิอุปสฺสยํ คนฺตฺวา ปพฺพชิฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเน อามเนฺตตฺวา ‘‘อหํ ยํ ทิสํ จาริกาย นิกฺขโนฺต, ตตฺถ น คจฺฉามิฯ ตุเมฺห ตุมฺหากํ ปริสาย สทฺธิํ ตํ ทิสํ จาริกํ คจฺฉถา’’ติ วตฺวา อุโยฺยเชสิฯ อิมิสฺสํ อตฺถุปฺปตฺติยํ เอกํ สมยํ อายสฺมา สาริปุโตฺตติอาทิ วุตฺตํฯ

    Satthā nivattitvā jetavanamahāvihāraṃ pāvisi. Mahājano puṇṇāya sādhukārasahassāni adāsi. Satthā tasmiṃ samāgame dhammaṃ desesi, caturāsītipāṇasahassāni amatapānaṃ piviṃsu. Puṇṇāpi seṭṭhinā anuññātā bhikkhuniupassayaṃ gantvā pabbaji. Sammāsambuddho sāriputtamoggallāne āmantetvā ‘‘ahaṃ yaṃ disaṃ cārikāya nikkhanto, tattha na gacchāmi. Tumhe tumhākaṃ parisāya saddhiṃ taṃ disaṃ cārikaṃ gacchathā’’ti vatvā uyyojesi. Imissaṃ atthuppattiyaṃ ekaṃ samayaṃ āyasmā sāriputtotiādi vuttaṃ.

    ตตฺถ เวฬุกณฺฑกีติ เวฬุกณฺฎกนครวาสินีฯ ตสฺส กิร นครสฺส ปาการคุตฺตตฺถาย ปาการปริยเนฺตน เวฬู โรปิตา, เตนสฺส เวฬุกณฺฎกเนฺตว นามํ ชาตํฯ ปารายนนฺติ นิพฺพานสงฺขาตปารํ อยนโต ปารายนนฺติ ลทฺธโวหารํ ธมฺมํฯ สเรน ภาสตีติ สตฺตภูมิกสฺส ปาสาทสฺส อุปริมตเล สุสํวิหิตารกฺขฎฺฐาเน นิสินฺนา สมาปตฺติพเลน รตฺติภาคํ วีตินาเมตฺวา สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ‘‘อิมํ รตฺตาวเสสํ กตราย รติยา วีตินาเมสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ธมฺมรติยา’’ติ กตสนฺนิฎฺฐานา ตีณิ ผลานิ ปตฺตา อริยสาวิกา อฑฺฒเตยฺยคาถาสตปริมาณํ ปารายนสุตฺตํ มธุเรน สรภเญฺญน ภาสติฯ อโสฺสสิ โขติ อากาสฎฺฐกวิมานานิ ปริหริตฺวา ตสฺส ปาสาทสฺส อุปริภาคํ คเตน มเคฺคน นรวาหนยานํ อารุยฺห คจฺฉมาโน อโสฺสสิฯ กถาปริโยสานํ อาคมยมาโน อฎฺฐาสีติ ‘‘กิํ สโทฺท เอส ภเณ’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘นนฺทมาตาย อุปาสิกาย สรภญฺญสโทฺท’’ติ วุเตฺต โอตริตฺวา ‘‘อิทมโวจา’’ติ อิทํ เทสนาปริโยสานํ โอโลเกโนฺต อวิทูรฎฺฐาเน อากาเส อฎฺฐาสิฯ

    Tattha veḷukaṇḍakīti veḷukaṇṭakanagaravāsinī. Tassa kira nagarassa pākāraguttatthāya pākārapariyantena veḷū ropitā, tenassa veḷukaṇṭakanteva nāmaṃ jātaṃ. Pārāyananti nibbānasaṅkhātapāraṃ ayanato pārāyananti laddhavohāraṃ dhammaṃ. Sarena bhāsatīti sattabhūmikassa pāsādassa uparimatale susaṃvihitārakkhaṭṭhāne nisinnā samāpattibalena rattibhāgaṃ vītināmetvā samāpattito vuṭṭhāya ‘‘imaṃ rattāvasesaṃ katarāya ratiyā vītināmessāmī’’ti cintetvā ‘‘dhammaratiyā’’ti katasanniṭṭhānā tīṇi phalāni pattā ariyasāvikā aḍḍhateyyagāthāsataparimāṇaṃ pārāyanasuttaṃ madhurena sarabhaññena bhāsati. Assosi khoti ākāsaṭṭhakavimānāni pariharitvā tassa pāsādassa uparibhāgaṃ gatena maggena naravāhanayānaṃ āruyha gacchamāno assosi. Kathāpariyosānaṃ āgamayamāno aṭṭhāsīti ‘‘kiṃ saddo esa bhaṇe’’ti pucchitvā ‘‘nandamātāya upāsikāya sarabhaññasaddo’’ti vutte otaritvā ‘‘idamavocā’’ti idaṃ desanāpariyosānaṃ olokento avidūraṭṭhāne ākāse aṭṭhāsi.

    สาธุ ภคินิ, สาธุ ภคินีติ ‘‘สุคฺคหิตา เต ภคินิ ธมฺมเทสนา สุกถิตา, ปาสาณกเจติเย นิสีทิตฺวา โสฬสนฺนํ ปารายนิกพฺราหฺมณานํ สมฺมาสมฺพุเทฺธน กถิตทิวเส จ อชฺช จ น กิญฺจิ อนฺตรํ ปสฺสามิ, มเชฺฌ ภินฺนสุวณฺณํ วิย เต สตฺถุ กถิเตน สทฺธิํ สทิสเมว กถิต’’นฺติ วตฺวา สาธุการํ ททโนฺต เอวมาหฯ โก ปเนโส ภทฺรมุขาติ อิมสฺมิํ สุสํวิหิตารกฺขฎฺฐาเน เอวํ มหเนฺตน สเทฺทน โก นาเมส, ภทฺรมุข, ลทฺธมุข, กิํ นาโค สุปโณฺณ เทโว มาโร พฺรหฺมาติ สุวณฺณปฎฺฎวณฺณํ วาตปานํ วิวริตฺวา วิคตสารชฺชา ตีณิ ผลานิ ปตฺตา อริยสาวิกา เวสฺสวเณน สทฺธิํ กถยมานา เอวมาหฯ อหํ เต ภคินิ ภาตาติ สยํ โสตาปนฺนตฺตา อนาคามิอริยสาวิกํ เชฎฺฐิกํ มญฺญมาโน ‘‘ภคินี’’ติ วตฺวา ปุน ตํ ปฐมวเย ฐิตตฺตา อตฺตโน กนิฎฺฐํ, อตฺตานํ ปน นวุติวสฺสสตสหสฺสายุกตฺตา มหลฺลกตรํ มญฺญมาโน ‘‘ภาตา’’ติ อาหฯ สาธุ ภทฺรมุขาติ, ภทฺรมุข, สาธุ สุนฺทรํ, สฺวาคมนํ เต อาคมนํ, อาคนฺตุํ ยุตฺตฎฺฐานเมวสิ อาคโตติ อโตฺถฯ อิทํ เต โหตุ อาติเถยฺยนฺติ อิทเมว ธมฺมภณนํ ตว อติถิปณฺณากาโร โหตุ, น หิ เต อญฺญํ อิโต อุตฺตริตรํ ทาตพฺพํ ปสฺสามีติ อธิปฺปาโย ฯ เอวเญฺจว เม ภวิสฺสติ อาติเถยฺยนฺติ เอวํ อตฺตโน ปตฺติทานํ ยาจิตฺวา ‘‘อยํ เต ธมฺมกถิกสกฺกาโร’’ติ อฑฺฒเตฬสานิ โกฎฺฐสตานิ รตฺตสาลีนํ ปูเรตฺวา ‘‘ยาวายํ อุปาสิกา จรติ, ตาว มา ขยํ คมิํสู’’ติ อธิฎฺฐหิตฺวา ปกฺกามิฯ ยาว อุปาสิกา อฎฺฐาสิ, ตาว โกฎฺฐานํ เหฎฺฐิมตลํ นาม ทฎฺฐุํ นาสกฺขิํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย ‘‘นนฺทมาตาย โกฎฺฐาคารํ วิยา’’ติ โวหาโร อุทปาทิฯ

    Sādhu bhagini, sādhu bhaginīti ‘‘suggahitā te bhagini dhammadesanā sukathitā, pāsāṇakacetiye nisīditvā soḷasannaṃ pārāyanikabrāhmaṇānaṃ sammāsambuddhena kathitadivase ca ajja ca na kiñci antaraṃ passāmi, majjhe bhinnasuvaṇṇaṃ viya te satthu kathitena saddhiṃ sadisameva kathita’’nti vatvā sādhukāraṃ dadanto evamāha. Ko paneso bhadramukhāti imasmiṃ susaṃvihitārakkhaṭṭhāne evaṃ mahantena saddena ko nāmesa, bhadramukha, laddhamukha, kiṃ nāgo supaṇṇo devo māro brahmāti suvaṇṇapaṭṭavaṇṇaṃ vātapānaṃ vivaritvā vigatasārajjā tīṇi phalāni pattā ariyasāvikā vessavaṇena saddhiṃ kathayamānā evamāha. Ahaṃ te bhagini bhātāti sayaṃ sotāpannattā anāgāmiariyasāvikaṃ jeṭṭhikaṃ maññamāno ‘‘bhaginī’’ti vatvā puna taṃ paṭhamavaye ṭhitattā attano kaniṭṭhaṃ, attānaṃ pana navutivassasatasahassāyukattā mahallakataraṃ maññamāno ‘‘bhātā’’ti āha. Sādhu bhadramukhāti, bhadramukha, sādhu sundaraṃ, svāgamanaṃ te āgamanaṃ, āgantuṃ yuttaṭṭhānamevasi āgatoti attho. Idaṃ te hotu ātitheyyanti idameva dhammabhaṇanaṃ tava atithipaṇṇākāro hotu, na hi te aññaṃ ito uttaritaraṃ dātabbaṃ passāmīti adhippāyo . Evañceva me bhavissati ātitheyyanti evaṃ attano pattidānaṃ yācitvā ‘‘ayaṃ te dhammakathikasakkāro’’ti aḍḍhateḷasāni koṭṭhasatāni rattasālīnaṃ pūretvā ‘‘yāvāyaṃ upāsikā carati, tāva mā khayaṃ gamiṃsū’’ti adhiṭṭhahitvā pakkāmi. Yāva upāsikā aṭṭhāsi, tāva koṭṭhānaṃ heṭṭhimatalaṃ nāma daṭṭhuṃ nāsakkhiṃsu. Tato paṭṭhāya ‘‘nandamātāya koṭṭhāgāraṃ viyā’’ti vohāro udapādi.

    อกตปาตราโสติ อภุตฺตปาตราโสฯ ปุญฺญนฺติ ปุพฺพเจตนา จ มุญฺจนเจตนา จฯ ปุญฺญมหีติ อปรเจตนาฯ สุขาย โหตูติ สุขตฺถาย หิตตฺถาย โหตุฯ เอวํ อตฺตโน ทาเน เวสฺสวณสฺส ปตฺติํ อทาสิฯ

    Akatapātarāsoti abhuttapātarāso. Puññanti pubbacetanā ca muñcanacetanā ca. Puññamahīti aparacetanā. Sukhāya hotūti sukhatthāya hitatthāya hotu. Evaṃ attano dāne vessavaṇassa pattiṃ adāsi.

    ปกรเณติ การเณฯ โอกฺกสฺส ปสยฺหาติ อากฑฺฒิตฺวา อภิภวิตฺวาฯ ยกฺขโยนินฺติ ภุมฺมเทวตาภาวํฯ เตเนว ปุริเมน อตฺตภาเวน อุทฺทเสฺสตีติ ปุริมสรีรสทิสเมว สรีรํ มาเปตฺวา อลงฺกตปฎิยโตฺต สิริคพฺภสยนตเล อตฺตานํ ทเสฺสติฯ อุปาสิกา ปฎิเทสิตาติ อุปาสิกา อหนฺติ เอวํ อุปาสิกาภาวํ เทเสสิํฯ ยาวเทติ ยาวเทวฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    Pakaraṇeti kāraṇe. Okkassa pasayhāti ākaḍḍhitvā abhibhavitvā. Yakkhayoninti bhummadevatābhāvaṃ. Teneva purimena attabhāvena uddassetīti purimasarīrasadisameva sarīraṃ māpetvā alaṅkatapaṭiyatto sirigabbhasayanatale attānaṃ dasseti. Upāsikā paṭidesitāti upāsikā ahanti evaṃ upāsikābhāvaṃ desesiṃ. Yāvadeti yāvadeva. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.

    มหายญฺญวโคฺค ปญฺจโมฯ

    Mahāyaññavaggo pañcamo.

    ปณฺณาสกํ นิฎฺฐิตํฯ

    Paṇṇāsakaṃ niṭṭhitaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๐. นนฺทมาตาสุตฺตํ • 10. Nandamātāsuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๐. นนฺทมาตาสุตฺตวณฺณนา • 10. Nandamātāsuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact