Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๒. นนฺทสุตฺตวณฺณนา

    2. Nandasuttavaṇṇanā

    ๒๒. ทุติเย นโนฺทติ ตสฺส นามํฯ โส หิ จกฺกวตฺติลกฺขณูเปตตฺตา มาตาปิตโร สปริชนํ สกลญฺจ ญาติปริวฎฺฎํ นนฺทยโนฺต ชาโตติ ‘‘นโนฺท’’ติ นามํ ลภิฯ ภควโต ภาตาติ ภควโต เอกปิตุปุตฺตตาย ภาตาฯ น หิ ภควโต สโหทรา อุปฺปชฺชนฺติ, เตน วุตฺตํ ‘‘มาตุจฺฉาปุโตฺต’’ติ, จูฬมาตุปุโตฺตติ อโตฺถฯ มหาปชาปติโคตมิยา หิ โส ปุโตฺตฯ อนภิรโตติ น อภิรโตฯ พฺรหฺมจริยนฺติ พฺรหฺมํ เสฎฺฐํ อุตฺตมํ จริยํ เอกาสนํ เอกเสยฺยํ เมถุนวิรติํฯ สนฺธาเรตุนฺติ ปฐมจิตฺตโต ยาวจริมกจิตฺตํ สมฺมา ปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ ธาเรตุํ ปวเตฺตตุํฯ ทุติเยน เจตฺถ พฺรหฺมจริยปเทน มคฺคพฺรหฺมจริยสฺสาปิ สงฺคโห เวทิตโพฺพฯ สิกฺขํ ปจฺจกฺขายาติ อุปสมฺปทกาเล ภิกฺขุภาเวน สทฺธิํ สมาทินฺนํ นิพฺพเตฺตตพฺพภาเวน อนุฎฺฐิตํ ติวิธมฺปิ สิกฺขํ ปฎิกฺขิปิตฺวา, วิสฺสเชฺชตฺวาติ อโตฺถฯ หีนายาติ คิหิภาวายฯ อาวตฺติสฺสามีติ นิวตฺติสฺสามิฯ

    22. Dutiye nandoti tassa nāmaṃ. So hi cakkavattilakkhaṇūpetattā mātāpitaro saparijanaṃ sakalañca ñātiparivaṭṭaṃ nandayanto jātoti ‘‘nando’’ti nāmaṃ labhi. Bhagavato bhātāti bhagavato ekapituputtatāya bhātā. Na hi bhagavato sahodarā uppajjanti, tena vuttaṃ ‘‘mātucchāputto’’ti, cūḷamātuputtoti attho. Mahāpajāpatigotamiyā hi so putto. Anabhiratoti na abhirato. Brahmacariyanti brahmaṃ seṭṭhaṃ uttamaṃ cariyaṃ ekāsanaṃ ekaseyyaṃ methunaviratiṃ. Sandhāretunti paṭhamacittato yāvacarimakacittaṃ sammā paripuṇṇaṃ parisuddhaṃ dhāretuṃ pavattetuṃ. Dutiyena cettha brahmacariyapadena maggabrahmacariyassāpi saṅgaho veditabbo. Sikkhaṃ paccakkhāyāti upasampadakāle bhikkhubhāvena saddhiṃ samādinnaṃ nibbattetabbabhāvena anuṭṭhitaṃ tividhampi sikkhaṃ paṭikkhipitvā, vissajjetvāti attho. Hīnāyāti gihibhāvāya. Āvattissāmīti nivattissāmi.

    กสฺมา ปนายํ เอวมาโรเจสีติ? เอตฺถายํ อนุปุพฺพิกถา – ภควา ปวตฺตวรธมฺมจโกฺก ราชคหํ คนฺตฺวา เวฬุวเน วิหรโนฺต ‘‘ปุตฺตํ เม อาเนตฺวา ทเสฺสถา’’ติ สุโทฺธทนมหาราเชน เปสิเตสุ สหสฺสสหสฺสปริวาเรสุ ทสสุ ทูเตสุ สห ปริวาเรน อรหตฺตํ ปเตฺตสุ สพฺพปจฺฉา คนฺตฺวา อรหตฺตปฺปเตฺตน กาฬุทายิเตฺถเรน คมนกาลํ ญตฺวา มคฺควณฺณนํ วเณฺณตฺวา ชาติภูมิคมนาย ยาจิโต วีสติสหสฺสขีณาสวปริวุโตฺต กปิลวตฺถุนครํ คนฺตฺวา ญาติสมาคเม โปกฺขรวสฺสํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เวสฺสนฺตรชาตกํ (ชา. ๒.๒๒.๑๖๕๕ อาทโย) กเถตฺวา ปุนทิวเส ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ ‘‘อุตฺติเฎฺฐ นปฺปมเชฺชยฺยา’’ติ (ธ. ป. ๑๖๘) คาถาย ปิตรํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปตฺวา นิเวสนํ คนฺตฺวา ‘‘ธมฺมญฺจเร’’ติ (ธ. ป. ๑๖๙) คาถาย มหาปชาปติํ โสตาปตฺติผเล, ราชานํ สกทาคามิผเล ปติฎฺฐาเปสิฯ

    Kasmā panāyaṃ evamārocesīti? Etthāyaṃ anupubbikathā – bhagavā pavattavaradhammacakko rājagahaṃ gantvā veḷuvane viharanto ‘‘puttaṃ me ānetvā dassethā’’ti suddhodanamahārājena pesitesu sahassasahassaparivāresu dasasu dūtesu saha parivārena arahattaṃ pattesu sabbapacchā gantvā arahattappattena kāḷudāyittherena gamanakālaṃ ñatvā maggavaṇṇanaṃ vaṇṇetvā jātibhūmigamanāya yācito vīsatisahassakhīṇāsavaparivutto kapilavatthunagaraṃ gantvā ñātisamāgame pokkharavassaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā vessantarajātakaṃ (jā. 2.22.1655 ādayo) kathetvā punadivase piṇḍāya paviṭṭho ‘‘uttiṭṭhe nappamajjeyyā’’ti (dha. pa. 168) gāthāya pitaraṃ sotāpattiphale patiṭṭhāpetvā nivesanaṃ gantvā ‘‘dhammañcare’’ti (dha. pa. 169) gāthāya mahāpajāpatiṃ sotāpattiphale, rājānaṃ sakadāgāmiphale patiṭṭhāpesi.

    ภตฺตกิจฺจาวสาเน ปน ราหุลมาตุคุณกถํ นิสฺสาย จนฺทกินฺนรีชาตกํ (ชา. ๑.๑๔.๑๘ อาทโย) กเถตฺวา ตติยทิวเส นนฺทกุมารสฺส อภิเสกเคหปฺปเวสนวิวาหมงฺคเลสุ วตฺตมาเนสุ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา นนฺทกุมารสฺส หเตฺถ ปตฺตํ ทตฺวา มงฺคลํ วตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกมโนฺต กุมารสฺส หตฺถโต ปตฺตํ น คณฺหิฯ โสปิ ตถาคเต คารเวน ‘‘ปตฺตํ เต, ภเนฺต, คณฺหถา’’ติ วตฺตุํ นาสกฺขิฯ เอวํ ปน จิเนฺตสิ, ‘‘โสปานสีเส ปตฺตํ คณฺหิสฺสตี’’ติ, สตฺถา ตสฺมิํ ฐาเน น คณฺหิฯ อิตโร ‘‘โสปานมูเล คณฺหิสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิ, สตฺถา ตตฺถปิ น คณฺหิฯ อิตโร ‘‘ราชงฺคเณ คณฺหิสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิ, สตฺถา ตตฺถปิ น คณฺหิฯ กุมาโร นิวตฺติตุกาโม อนิจฺฉาย คจฺฉโนฺต คารเวน ‘‘ปตฺตํ คณฺหถา’’ติ วตฺตุํ น สโกฺกติ, ‘‘อิธ คณฺหิสฺสติ, เอตฺถ คณฺหิสฺสตี’’ติ จิเนฺตโนฺต คจฺฉติฯ

    Bhattakiccāvasāne pana rāhulamātuguṇakathaṃ nissāya candakinnarījātakaṃ (jā. 1.14.18 ādayo) kathetvā tatiyadivase nandakumārassa abhisekagehappavesanavivāhamaṅgalesu vattamānesu piṇḍāya pavisitvā nandakumārassa hatthe pattaṃ datvā maṅgalaṃ vatvā uṭṭhāyāsanā pakkamanto kumārassa hatthato pattaṃ na gaṇhi. Sopi tathāgate gāravena ‘‘pattaṃ te, bhante, gaṇhathā’’ti vattuṃ nāsakkhi. Evaṃ pana cintesi, ‘‘sopānasīse pattaṃ gaṇhissatī’’ti, satthā tasmiṃ ṭhāne na gaṇhi. Itaro ‘‘sopānamūle gaṇhissatī’’ti cintesi, satthā tatthapi na gaṇhi. Itaro ‘‘rājaṅgaṇe gaṇhissatī’’ti cintesi, satthā tatthapi na gaṇhi. Kumāro nivattitukāmo anicchāya gacchanto gāravena ‘‘pattaṃ gaṇhathā’’ti vattuṃ na sakkoti, ‘‘idha gaṇhissati, ettha gaṇhissatī’’ti cintento gacchati.

    ตสฺมิํ ขเณ ชนปทกลฺยาณิยา อาจิกฺขิํสุ, ‘‘อเยฺย ภควา, นนฺทราชานํ คเหตฺวา คจฺฉติ, ตุเมฺหหิ วินา กริสฺสตี’’ติฯ สา อุทกพินฺทูหิ ปคฺฆรเนฺตหิ อฑฺฒุลฺลิขิเตหิ เกเสหิ เวเคน ปาสาทํ อารุยฺห สีหปญฺชรทฺวาเร ฐตฺวา ‘‘ตุวฎํ โข, อยฺยปุตฺต, อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ อาหฯ ตํ ตสฺสา วจนํ ตสฺส หทเย ติริยํ ปติตฺวา วิย ฐิตํฯ สตฺถาปิสฺส หตฺถโต ปตฺตํ อคฺคเหตฺวาว ตํ วิหารํ เนตฺวา ‘‘ปพฺพชิสฺสสิ นนฺทา’’ติ อาหฯ โส พุทฺธคารเวน ‘‘น ปพฺพชิสฺสามี’’ติ อวตฺวา, ‘‘อาม, ปพฺพชิสฺสามี’’ติ อาหฯ สตฺถา เตน หิ นนฺทํ ปพฺพาเชถาติ กปิลวตฺถุปุรํ คนฺตฺวา ตติยทิวเส ตํ ปพฺพาเชสิฯ สตฺตเม ทิวเส มาตรา อลงฺกริตฺวา เปสิตํ ‘‘ทายชฺชํ เม, สมณ, เทหี’’ติ วตฺวา อตฺตนา สทฺธิํ อารามาคตํ ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชสิฯ ปุเนกทิวสํ มหาธมฺมปาลชาตกํ (ชา. ๑.๑๐.๙๒ อาทโย) กเถตฺวา ราชานํ อนาคามิผเล ปติฎฺฐาเปสิฯ

    Tasmiṃ khaṇe janapadakalyāṇiyā ācikkhiṃsu, ‘‘ayye bhagavā, nandarājānaṃ gahetvā gacchati, tumhehi vinā karissatī’’ti. Sā udakabindūhi paggharantehi aḍḍhullikhitehi kesehi vegena pāsādaṃ āruyha sīhapañjaradvāre ṭhatvā ‘‘tuvaṭaṃ kho, ayyaputta, āgaccheyyāsī’’ti āha. Taṃ tassā vacanaṃ tassa hadaye tiriyaṃ patitvā viya ṭhitaṃ. Satthāpissa hatthato pattaṃ aggahetvāva taṃ vihāraṃ netvā ‘‘pabbajissasi nandā’’ti āha. So buddhagāravena ‘‘na pabbajissāmī’’ti avatvā, ‘‘āma, pabbajissāmī’’ti āha. Satthā tena hi nandaṃ pabbājethāti kapilavatthupuraṃ gantvā tatiyadivase taṃ pabbājesi. Sattame divase mātarā alaṅkaritvā pesitaṃ ‘‘dāyajjaṃ me, samaṇa, dehī’’ti vatvā attanā saddhiṃ ārāmāgataṃ rāhulakumāraṃ pabbājesi. Punekadivasaṃ mahādhammapālajātakaṃ (jā. 1.10.92 ādayo) kathetvā rājānaṃ anāgāmiphale patiṭṭhāpesi.

    อิติ ภควา มหาปชาปติํ โสตาปตฺติผเล, ปิตรํ ตีสุ ผเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ปุนเทว ราชคหํ คนฺตฺวา ตโต อนาถปิณฺฑิเกน สาวตฺถิํ อาคมนตฺถาย คหิตปฎิโญฺญ นิฎฺฐิเต เชตวนมหาวิหาเร ตตฺถ คนฺตฺวา วาสํ กเปฺปสิฯ เอวํ สตฺถริ เชตวเน วิหรเนฺต อายสฺมา นโนฺท อตฺตโน อนิจฺฉาย ปพฺพชิโต กาเมสุ อนาทีนวทสฺสาวี ชนปทกลฺยาณิยา วุตฺตวจนมนุสฺสรโนฺต อุกฺกณฺฐิโต หุตฺวา ภิกฺขูนํ อตฺตโน อนภิรติํ อาโรเจสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา นโนฺท…เป.… หีนายาวตฺติสฺสามี’’ติฯ

    Iti bhagavā mahāpajāpatiṃ sotāpattiphale, pitaraṃ tīsu phalesu patiṭṭhāpetvā bhikkhusaṅghaparivuto punadeva rājagahaṃ gantvā tato anāthapiṇḍikena sāvatthiṃ āgamanatthāya gahitapaṭiñño niṭṭhite jetavanamahāvihāre tattha gantvā vāsaṃ kappesi. Evaṃ satthari jetavane viharante āyasmā nando attano anicchāya pabbajito kāmesu anādīnavadassāvī janapadakalyāṇiyā vuttavacanamanussaranto ukkaṇṭhito hutvā bhikkhūnaṃ attano anabhiratiṃ ārocesi. Tena vuttaṃ ‘‘tena kho pana samayena āyasmā nando…pe… hīnāyāvattissāmī’’ti.

    กสฺมา ปน นํ ภควา เอวํ ปพฺพาเชสีติ? ‘‘ปุเรตรเมว อาทีนวํ ทเสฺสตฺวา กาเมหิ นํ วิเวเจตุํ น สกฺกา, ปพฺพาเชตฺวา ปน อุปาเยน ตโต วิเวเจตฺวา อุปริวิเสสํ นิพฺพเตฺตสฺสามี’’ติ เวเนยฺยทมนกุสโล สตฺถา เอวํ นํ ปฐมํ ปพฺพาเชสิฯ

    Kasmā pana naṃ bhagavā evaṃ pabbājesīti? ‘‘Puretarameva ādīnavaṃ dassetvā kāmehi naṃ vivecetuṃ na sakkā, pabbājetvā pana upāyena tato vivecetvā uparivisesaṃ nibbattessāmī’’ti veneyyadamanakusalo satthā evaṃ naṃ paṭhamaṃ pabbājesi.

    สากิยานีติ สกฺยราชธีตาฯ ชนปทกลฺยาณีติ ชนปทมฺหิ กลฺยาณี รูเปน อุตฺตมา ฉสรีรโทสรหิตา, ปญฺจกลฺยาณสมนฺนาคตาฯ สา หิ ยสฺมา นาติทีฆา นาติรสฺสา นาติกิสา นาติถูลา นาติกาฬิกา นโจฺจทาตา อติกฺกนฺตา มานุสกวณฺณํ อปฺปตฺตา ทิพฺพวณฺณํ, ตสฺมา ฉสรีรโทสรหิตาฯ ฉวิกลฺยาณํ มํสกลฺยาณํ นขกลฺยาณํ อฎฺฐิกลฺยาณํ วยกลฺยาณนฺติ อิเมหิ ปญฺจหิ กลฺยาเณหิ สมนฺนาคตาฯ

    Sākiyānīti sakyarājadhītā. Janapadakalyāṇīti janapadamhi kalyāṇī rūpena uttamā chasarīradosarahitā, pañcakalyāṇasamannāgatā. Sā hi yasmā nātidīghā nātirassā nātikisā nātithūlā nātikāḷikā naccodātā atikkantā mānusakavaṇṇaṃ appattā dibbavaṇṇaṃ, tasmā chasarīradosarahitā. Chavikalyāṇaṃ maṃsakalyāṇaṃ nakhakalyāṇaṃ aṭṭhikalyāṇaṃ vayakalyāṇanti imehi pañcahi kalyāṇehi samannāgatā.

    ตตฺถ อตฺตโน สรีโรภาเสน ทสทฺวาทสหเตฺถ ฐาเน อาโลกํ กโรติ, ปิยงฺคุสมา วา สุวณฺณสมา วา โหติ, อยมสฺสา ฉวิกลฺยาณตาฯ จตฺตาโร ปนสฺสา หตฺถปาทา มุขปริโยสานญฺจ ลาขารสปริกมฺมกตํ วิย รตฺตปวาฬรตฺตกมฺพเลน สทิสํ โหติ, อยมสฺสา มํสกลฺยาณตาฯ วีสติ นขปตฺตานิ มํสโต อมุตฺตฎฺฐาเน ลาขารสปริกิตานิ วิย มุตฺตฎฺฐาเน ขีรธาราสทิสานิ โหนฺติ, อยมสฺสา นขกลฺยาณตาฯ ทฺวตฺติํสทนฺตา สุผุสิตา ปริสุทฺธปวาฬปนฺติสทิสา วชิรปนฺตี วิย ขายนฺติ, อยมสฺสา อฎฺฐิกลฺยาณตาฯ วีสติวสฺสสติกาปิ สมานา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกา วิย โหติ นิปฺปลิตา, อยมสฺสา วยกลฺยาณตาฯ สุนฺทรี จ โหติ เอวรูปคุณสมนฺนาคตา, เตน วุตฺตํ ‘‘ชนปทกลฺยาณี’’ติฯ

    Tattha attano sarīrobhāsena dasadvādasahatthe ṭhāne ālokaṃ karoti, piyaṅgusamā vā suvaṇṇasamā vā hoti, ayamassā chavikalyāṇatā. Cattāro panassā hatthapādā mukhapariyosānañca lākhārasaparikammakataṃ viya rattapavāḷarattakambalena sadisaṃ hoti, ayamassā maṃsakalyāṇatā. Vīsati nakhapattāni maṃsato amuttaṭṭhāne lākhārasaparikitāni viya muttaṭṭhāne khīradhārāsadisāni honti, ayamassā nakhakalyāṇatā. Dvattiṃsadantā suphusitā parisuddhapavāḷapantisadisā vajirapantī viya khāyanti, ayamassā aṭṭhikalyāṇatā. Vīsativassasatikāpi samānā soḷasavassuddesikā viya hoti nippalitā, ayamassā vayakalyāṇatā. Sundarī ca hoti evarūpaguṇasamannāgatā, tena vuttaṃ ‘‘janapadakalyāṇī’’ti.

    ฆรา นิกฺขมนฺตสฺสาติ อนาทเร สามิวจนํ, ฆรโต นิกฺขมโตติ อโตฺถฯ ‘‘ฆรา นิกฺขมนฺต’’นฺติปิ ปฐนฺติฯ อุปฑฺฒุลฺลิขิเตหิ เกเสหีติ อิตฺถมฺภูตลกฺขเณ กรณวจนํ, วิปฺปกตุลฺลิขิเตหิ เกเสหิ อุปลกฺขิตาติ อโตฺถฯ ‘‘อฑฺฒุลฺลิขิเตหี’’ติปิ ปฐนฺติฯ อุลฺลิขนนฺติ จ ผณกาทีหิ เกสสณฺฐาปนํ, ‘‘อฑฺฒการวิธาน’’นฺติปิ วทนฺติฯ อปโลเกตฺวาติ สิเนหรสวิปฺผารสํสูจเกน อฑฺฒกฺขินา อาพนฺธนฺตี วิย โอโลเกตฺวาฯ มํ, ภเนฺตติ ปุเพฺพปิ ‘‘ม’’นฺติ วตฺวา อุกฺกณฺฐากุลจิตฺตตาย ปุน ‘‘มํ เอตทโวจา’’ติ อาหฯ ตุวฎนฺติ สีฆํฯ ตมนุสฺสรมาโนติ ตํ ตสฺสา วจนํ, ตํ วา ตสฺสา อาการสหิตํ วจนํ อนุสฺสรโนฺตฯ

    Gharā nikkhamantassāti anādare sāmivacanaṃ, gharato nikkhamatoti attho. ‘‘Gharā nikkhamanta’’ntipi paṭhanti. Upaḍḍhullikhitehikesehīti itthambhūtalakkhaṇe karaṇavacanaṃ, vippakatullikhitehi kesehi upalakkhitāti attho. ‘‘Aḍḍhullikhitehī’’tipi paṭhanti. Ullikhananti ca phaṇakādīhi kesasaṇṭhāpanaṃ, ‘‘aḍḍhakāravidhāna’’ntipi vadanti. Apaloketvāti sineharasavipphārasaṃsūcakena aḍḍhakkhinā ābandhantī viya oloketvā. Maṃ, bhanteti pubbepi ‘‘ma’’nti vatvā ukkaṇṭhākulacittatāya puna ‘‘maṃ etadavocā’’ti āha. Tuvaṭanti sīghaṃ. Tamanussaramānoti taṃ tassā vacanaṃ, taṃ vā tassā ākārasahitaṃ vacanaṃ anussaranto.

    ภควา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อุปาเยนสฺส ราคํ วูปสเมสฺสามี’’ติ อิทฺธิพเลน นํ ตาวติํสภวนํ เนโนฺต อนฺตรามเคฺค เอกสฺมิํ ฌามเขเตฺต ฌามขาณุมตฺถเก นิสินฺนํ ฉินฺนกณฺณนาสานงฺคุฎฺฐํ เอกํ ปลุฎฺฐมกฺกฎิํ ทเสฺสตฺวา ตาวติํสภวนํ เนสิฯ ปาฬิยํ ปน เอกกฺขเณเนว สตฺถารา ตาวติํสภวนํ คตํ วิย วุตฺตํ, ตํ คมนํ อวตฺวา ตาวติํสภวนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ คจฺฉโนฺตเยว หิ ภควา อายสฺมโต นนฺทสฺส อนฺตรามเคฺค ตํ ปลุฎฺฐมกฺกฎิํ ทเสฺสติฯ ยทิ เอวํ กถํ สมิญฺชนาทินิทสฺสนํ? ตํ อนฺตรธานนิทสฺสนนฺติ คเหตพฺพํฯ เอวํ สตฺถา ตํ ตาวติํสภวนํ เนตฺวา สกฺกสฺส เทวรโญฺญ อุปฎฺฐานํ อาคตานิ กกุฎปาทานิ ปญฺจ อจฺฉราสตานิ อตฺตานํ วนฺทิตฺวา ฐิตานิ ทเสฺสตฺวา ชนปทกลฺยาณิยา ตาสํ ปญฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ รูปสมฺปตฺติํ ปฎิจฺจ วิเสสํ ปุจฺฉิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ นนฺทํ พาหายํ คเหตฺวา…เป.… กกุฎปาทานี’’ติฯ

    Bhagavā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘upāyenassa rāgaṃ vūpasamessāmī’’ti iddhibalena naṃ tāvatiṃsabhavanaṃ nento antarāmagge ekasmiṃ jhāmakhette jhāmakhāṇumatthake nisinnaṃ chinnakaṇṇanāsānaṅguṭṭhaṃ ekaṃ paluṭṭhamakkaṭiṃ dassetvā tāvatiṃsabhavanaṃ nesi. Pāḷiyaṃ pana ekakkhaṇeneva satthārā tāvatiṃsabhavanaṃ gataṃ viya vuttaṃ, taṃ gamanaṃ avatvā tāvatiṃsabhavanaṃ sandhāya vuttaṃ. Gacchantoyeva hi bhagavā āyasmato nandassa antarāmagge taṃ paluṭṭhamakkaṭiṃ dasseti. Yadi evaṃ kathaṃ samiñjanādinidassanaṃ? Taṃ antaradhānanidassananti gahetabbaṃ. Evaṃ satthā taṃ tāvatiṃsabhavanaṃ netvā sakkassa devarañño upaṭṭhānaṃ āgatāni kakuṭapādāni pañca accharāsatāni attānaṃ vanditvā ṭhitāni dassetvā janapadakalyāṇiyā tāsaṃ pañcannaṃ accharāsatānaṃ rūpasampattiṃ paṭicca visesaṃ pucchi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho bhagavā āyasmantaṃ nandaṃ bāhāyaṃ gahetvā…pe… kakuṭapādānī’’ti.

    ตตฺถ พาหายํ คเหตฺวาติ พาหุมฺหิ คเหตฺวา วิยฯ ภควา หิ ตทา ตาทิสํ อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาเรสิ, ยถา อายสฺมา นโนฺท ภุเช คเหตฺวา ภควตา นียมาโน วิย อโหสิฯ ตตฺถ จ ภควตา สเจ ตสฺส อายสฺมโต ตาวติํสเทวโลกสฺส ทสฺสนํ ปเวสนเมว วา อิจฺฉิตํ สิยา, ยถานิสินฺนเสฺสว ตสฺส ตํ เทวโลกํ ทเสฺสยฺย โลกวิวรณิทฺธิกาเล วิย, ตเมว วา อิทฺธิยา ตตฺถ เปเสยฺยฯ ยสฺมา ปนสฺส ทิพฺพตฺตภาวโต มนุสฺสตฺตภาวสฺส โย นิหีนชิคุจฺฉนียภาโว, ตสฺส สุขคฺคหณตฺถํ อนฺตรามเคฺค ตํ มกฺกฎิํ ทเสฺสตุกาโม, เทวโลกสิริวิภวสมฺปตฺติโย จ โอคาเหตฺวา ทเสฺสตุกาโม อโหสิ, ตสฺมา ตํ คเหตฺวา ตตฺถ เนสิฯ เอวญฺหิสฺส ตทตฺถํ พฺรหฺมจริยวาเส วิเสสโต อภิรติ ภวิสฺสตีติฯ

    Tattha bāhāyaṃ gahetvāti bāhumhi gahetvā viya. Bhagavā hi tadā tādisaṃ iddhābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkhāresi, yathā āyasmā nando bhuje gahetvā bhagavatā nīyamāno viya ahosi. Tattha ca bhagavatā sace tassa āyasmato tāvatiṃsadevalokassa dassanaṃ pavesanameva vā icchitaṃ siyā, yathānisinnasseva tassa taṃ devalokaṃ dasseyya lokavivaraṇiddhikāle viya, tameva vā iddhiyā tattha peseyya. Yasmā panassa dibbattabhāvato manussattabhāvassa yo nihīnajigucchanīyabhāvo, tassa sukhaggahaṇatthaṃ antarāmagge taṃ makkaṭiṃ dassetukāmo, devalokasirivibhavasampattiyo ca ogāhetvā dassetukāmo ahosi, tasmā taṃ gahetvā tattha nesi. Evañhissa tadatthaṃ brahmacariyavāse visesato abhirati bhavissatīti.

    กกุฎปาทานีติ รตฺตวณฺณตาย ปาราวตสทิสปาทานิฯ ตา กิร สพฺพาปิ กสฺสปสฺส ภควโต สาวกานํ ปาทมกฺขนเตลทาเนน ตาทิสา สุกุมารปาทา อเหสุํฯ ปสฺสสิ โนติ ปสฺสสิ นุฯ อภิรูปตราติ วิสิฎฺฐรูปตราฯ ทสฺสนียตราติ ทิวสมฺปิ ปสฺสนฺตานํ อติตฺติกรณเฎฺฐน ปสฺสิตพฺพตราฯ ปาสาทิกตราติ สพฺพาวยวโสภาย สมนฺตโต ปสาทาวหตราฯ

    Kakuṭapādānīti rattavaṇṇatāya pārāvatasadisapādāni. Tā kira sabbāpi kassapassa bhagavato sāvakānaṃ pādamakkhanateladānena tādisā sukumārapādā ahesuṃ. Passasi noti passasi nu. Abhirūpatarāti visiṭṭharūpatarā. Dassanīyatarāti divasampi passantānaṃ atittikaraṇaṭṭhena passitabbatarā. Pāsādikatarāti sabbāvayavasobhāya samantato pasādāvahatarā.

    กสฺมา ปน ภควา อวสฺสุตจิตฺตํ อายสฺมนฺตํ นนฺทํ อจฺฉราโย โอโลกาเปสิ? สุเขเนวสฺส กิเลเส นีหริตุํฯ ยถา หิ กุสโล เวโชฺช อุสฺสนฺนโทสํ ปุคฺคลํ ติกิจฺฉโนฺต สิเนหปานาทินา ปฐมํ โทเส อุกฺกิเลเทตฺวา ปจฺฉา วมนวิเรจเนหิ สมฺมเทว นีหราเปติ, เอวํ วิเนยฺยทมนกุสโล ภควา อุสฺสนฺนราคํ อายสฺมนฺตํ นนฺทํ เทวจฺฉราโย ทเสฺสตฺวา อุกฺกิเลเทสิ อริยมคฺคเภสเชฺชน อนวเสสโต นีหริตุกาโมติ เวทิตพฺพํฯ

    Kasmā pana bhagavā avassutacittaṃ āyasmantaṃ nandaṃ accharāyo olokāpesi? Sukhenevassa kilese nīharituṃ. Yathā hi kusalo vejjo ussannadosaṃ puggalaṃ tikicchanto sinehapānādinā paṭhamaṃ dose ukkiledetvā pacchā vamanavirecanehi sammadeva nīharāpeti, evaṃ vineyyadamanakusalo bhagavā ussannarāgaṃ āyasmantaṃ nandaṃ devaccharāyo dassetvā ukkiledesi ariyamaggabhesajjena anavasesato nīharitukāmoti veditabbaṃ.

    ปลุฎฺฐมกฺกฎีติ ฌามงฺคปจฺจงฺคมกฺกฎีฯ เอวเมว โขติ ยถา สา, ภเนฺต, ตุเมฺหหิ มยฺหํ ทสฺสิตา ฉินฺนกณฺณนาสา ปลุฎฺฐมกฺกฎี ชนปทกลฺยาณิํ อุปาทาย , เอวเมว ชนปทกลฺยาณี อิมานิ ปญฺจ อจฺฉราสตานิ อุปาทายาติ อโตฺถฯ ปญฺจนฺนํ อจฺฉราสตานนฺติ อุปโยเค สามิวจนํ, ปญฺจ อจฺฉราสตานีติ อโตฺถฯ อวยวสมฺพเนฺธ วา เอตํ สามิวจนํ, เตน ปญฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ รูปสมฺปตฺติํ อุปนิธายาติ อธิปฺปาโยฯ อุปนิธายาติ จ สมีเป ฐเปตฺวา, อุปาทายาติ อโตฺถฯ สงฺขฺยนฺติ อิตฺถีติ คณนํฯ กลภาคนฺติ กลายปิ ภาคํ, เอกํ โสฬสโกฎฺฐาเส กตฺวา ตโต เอกโกฎฺฐาสํ คเหตฺวา โสฬสธา คณิเต ตตฺถ โย เอเกโก โกฎฺฐาโส, โส กลภาโคติ อธิเปฺปโต, ตมฺปิ กลภาคํ น อุเปตีติ วทติฯ อุปนิธินฺติ ‘‘อิมาย อยํ สทิสี’’ติ อุปมาภาเวน คเหตฺวา สมีเป ฐปนมฺปิฯ

    Paluṭṭhamakkaṭīti jhāmaṅgapaccaṅgamakkaṭī. Evameva khoti yathā sā, bhante, tumhehi mayhaṃ dassitā chinnakaṇṇanāsā paluṭṭhamakkaṭī janapadakalyāṇiṃ upādāya , evameva janapadakalyāṇī imāni pañca accharāsatāni upādāyāti attho. Pañcannaṃ accharāsatānanti upayoge sāmivacanaṃ, pañca accharāsatānīti attho. Avayavasambandhe vā etaṃ sāmivacanaṃ, tena pañcannaṃ accharāsatānaṃ rūpasampattiṃ upanidhāyāti adhippāyo. Upanidhāyāti ca samīpe ṭhapetvā, upādāyāti attho. Saṅkhyanti itthīti gaṇanaṃ. Kalabhāganti kalāyapi bhāgaṃ, ekaṃ soḷasakoṭṭhāse katvā tato ekakoṭṭhāsaṃ gahetvā soḷasadhā gaṇite tattha yo ekeko koṭṭhāso, so kalabhāgoti adhippeto, tampi kalabhāgaṃ na upetīti vadati. Upanidhinti ‘‘imāya ayaṃ sadisī’’ti upamābhāvena gahetvā samīpe ṭhapanampi.

    ยตฺถายํ อนภิรโต, ตํ พฺรหฺมจริยํ ปุเพฺพ วุตฺตํ ปากฎญฺจาติ ตํ อนามสิตฺวา ตตฺถ อภิรติยํ อาทรชนนตฺถํ อภิรม, นนฺท, อภิรม, นนฺทา’’ติ อาเมฑิตวเสน วุตฺตํฯ อหํ เต ปาฎิโภโคติ กสฺมา ภควา ตสฺส พฺรหฺมจริยวาสํ อิจฺฉโนฺต อพฺรหฺมจริยวาสสฺส ปาฎิโภคํ อุปคญฺฉิ? ยตฺถสฺส อารมฺมเณ ราโค ทฬฺหํ นิปติ, ตํ อาคนฺตุการมฺมเณ สงฺกาเมตฺวา สุเขน สกฺกา ชหาเปตุนฺติ ปาฎิโภคํ อุปคญฺฉิฯ อนุปุพฺพิกถายํ สคฺคกถา อิมสฺส อตฺถสฺส นิทสฺสนํฯ

    Yatthāyaṃ anabhirato, taṃ brahmacariyaṃ pubbe vuttaṃ pākaṭañcāti taṃ anāmasitvā tattha abhiratiyaṃ ādarajananatthaṃ abhirama, nanda, abhirama, nandā’’ti āmeḍitavasena vuttaṃ. Ahaṃ te pāṭibhogoti kasmā bhagavā tassa brahmacariyavāsaṃ icchanto abrahmacariyavāsassa pāṭibhogaṃ upagañchi? Yatthassa ārammaṇe rāgo daḷhaṃ nipati, taṃ āgantukārammaṇe saṅkāmetvā sukhena sakkā jahāpetunti pāṭibhogaṃ upagañchi. Anupubbikathāyaṃ saggakathā imassa atthassa nidassanaṃ.

    อโสฺสสุนฺติ กถมโสฺสสุํ? ภควา หิ ตทา อายสฺมเนฺต นเนฺท วตฺตํ ทเสฺสตฺวา อตฺตโน ทิวาฎฺฐานํ คเต อุปฎฺฐานํ อาคตานํ ภิกฺขูนํ ตํ ปวตฺติํ กเถตฺวา ยถา นาม กุสโล ปุริโส อนิกฺขนฺตํ อาณิํ อญฺญาย อาณิยา นีหริตฺวา ปุน ตํ หตฺถาทีหิ สญฺจาเลตฺวา อปเนติ, เอวเมว อาจิณฺณวิสเย ตสฺส ราคํ อาคนฺตุกวิสเยน นีหริตฺวา ปุน ตทปิ พฺรหฺมจริยมคฺคเหตุํ กตฺวา อปเนตุกาโม ‘‘เอถ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, นนฺทํ ภิกฺขุํ ภตกวาเทน จ อุปกฺกิตกวาเทน จ สมุทาจรถา’’ติ อาณาเปสิ, เอวํ ภิกฺขู อโสฺสสุํฯ เกจิ ปน ‘‘ภควา ตถารูปํ อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาเรสิ, ยถา เต ภิกฺขู ตมตฺถํ ชานิํสู’’ติ วทนฺติฯ

    Assosunti kathamassosuṃ? Bhagavā hi tadā āyasmante nande vattaṃ dassetvā attano divāṭṭhānaṃ gate upaṭṭhānaṃ āgatānaṃ bhikkhūnaṃ taṃ pavattiṃ kathetvā yathā nāma kusalo puriso anikkhantaṃ āṇiṃ aññāya āṇiyā nīharitvā puna taṃ hatthādīhi sañcāletvā apaneti, evameva āciṇṇavisaye tassa rāgaṃ āgantukavisayena nīharitvā puna tadapi brahmacariyamaggahetuṃ katvā apanetukāmo ‘‘etha tumhe, bhikkhave, nandaṃ bhikkhuṃ bhatakavādena ca upakkitakavādena ca samudācarathā’’ti āṇāpesi, evaṃ bhikkhū assosuṃ. Keci pana ‘‘bhagavā tathārūpaṃ iddhābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkhāresi, yathā te bhikkhū tamatthaṃ jāniṃsū’’ti vadanti.

    ภตกวาเทนาติ ภตโกติ วาเทนฯ โย หิ ภติยา กมฺมํ กโรติ, โส ภตโกติ วุจฺจติ, อยมฺปิ อายสฺมา อจฺฉราสโมฺภคนิมิตฺตํ พฺรหฺมจริยํ จรโนฺต ภตโก วิย โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ภตกวาเทนา’’ติ ฯ อุปกฺกิตกวาเทนาติ โย กหาปณาทีหิ กิญฺจิ กิณาติ, โส อุปกฺกิตโกติ วุจฺจติ, อยมฺปิ อายสฺมา อจฺฉรานํ เหตุ อตฺตโน พฺรหฺมจริยํ กิณาติ, ตสฺมา ‘‘อุปกฺกิตโก’’ติ เอวํ วจเนนฯ อถ วา ภควโต อาณาย อจฺฉราสโมฺภคสงฺขาตาย ภติยา พฺรหฺมจริยวาสสงฺขาตํ ชีวิตํ ปวเตฺตโนฺต ตาย ภติยา ยาปเน ภควตา ภริยมาโน วิย โหตีติ ‘‘ภตโก’’ติ วุโตฺต, ตถา อจฺฉราสโมฺภคสงฺขาตํ วิกฺกยํ อาทาตพฺพํ กตฺวา ภควโต อาณตฺติยํ ติฎฺฐโนฺต เตน วิกฺกเยน ภควตา อุปกฺกิโต วิย โหตีติ วุตฺตํ ‘‘อุปกฺกิตโก’’ติฯ

    Bhatakavādenāti bhatakoti vādena. Yo hi bhatiyā kammaṃ karoti, so bhatakoti vuccati, ayampi āyasmā accharāsambhoganimittaṃ brahmacariyaṃ caranto bhatako viya hotīti vuttaṃ ‘‘bhatakavādenā’’ti . Upakkitakavādenāti yo kahāpaṇādīhi kiñci kiṇāti, so upakkitakoti vuccati, ayampi āyasmā accharānaṃ hetu attano brahmacariyaṃ kiṇāti, tasmā ‘‘upakkitako’’ti evaṃ vacanena. Atha vā bhagavato āṇāya accharāsambhogasaṅkhātāya bhatiyā brahmacariyavāsasaṅkhātaṃ jīvitaṃ pavattento tāya bhatiyā yāpane bhagavatā bhariyamāno viya hotīti ‘‘bhatako’’ti vutto, tathā accharāsambhogasaṅkhātaṃ vikkayaṃ ādātabbaṃ katvā bhagavato āṇattiyaṃ tiṭṭhanto tena vikkayena bhagavatā upakkito viya hotīti vuttaṃ ‘‘upakkitako’’ti.

    อฎฺฎียมาโนติ ปีฬิยมาโน ทุกฺขาปิยมาโนฯ หรายมาโนติ ลชฺชมาโนฯ ชิคุจฺฉมาโนติ ปาฎิกุลฺยโต ทหโนฺตฯ เอโกติ อสหาโยฯ วูปกโฎฺฐติ วตฺถุกาเมหิ กิเลสกาเมหิ จ กาเยน เจว จิเตฺตน จ วูปกโฎฺฐฯ อปฺปมโตฺตติ กมฺมฎฺฐาเน สติํ อวิชหโนฺตฯ อาตาปีติ กายิกเจตสิกวีริยาตาเปน อาตาปวา, อาตาเปติ กิเลเสติ อาตาโป, วีริยํฯ ปหิตโตฺตติ กาเย จ ชีวิเต จ อนเปกฺขตาย เปสิตโตฺต วิสฺสฎฺฐอตฺตภาโว, นิพฺพาเน วา เปสิตจิโตฺตฯ น จิรเสฺสวาติ กมฺมฎฺฐานารมฺภโต น จิเรเนวฯ ยสฺสตฺถายาติ ยสฺส อตฺถายฯ กุลปุตฺตาติ ทุวิธา กุลปุตฺตา ชาติกุลปุตฺตา จ อาจารกุลปุตฺตา จ, อยํ ปน อุภยถาปิ กุลปุโตฺตฯ สมฺมเทวาติ เหตุนา จ การเณน จฯ อคารสฺมาติ ฆรโตฯ อนคาริยนฺติ ปพฺพชฺชํฯ กสิวณิชฺชาทิกมฺมญฺหิ อคารสฺส หิตนฺติ อคาริยํ นาม, ตํ เอตฺถ นตฺถีติ ปพฺพชฺชา อนคาริยาติ วุจฺจติฯ ปพฺพชนฺตีติ อุปคจฺฉนฺติฯ ตทนุตฺตรนฺติ ตํ อนุตฺตรํฯ พฺรหฺมจริยปริโยสานนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส ปริโยสานภูตํ อรหตฺตผลํฯ ตสฺส หิ อตฺถาย กุลปุตฺตา อิธ ปพฺพชนฺติฯ ทิเฎฺฐว ธเมฺมติ ตสฺมิํเยว อตฺตภาเวฯ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวาติ อตฺตนาเยว ปญฺญาย ปจฺจกฺขํ กตฺวา, อปรปฺปจฺจเยน ญตฺวาติ อโตฺถฯ อุปสมฺปชฺช วิหาสีติ ปาปุณิตฺวา สมฺปาเทตฺวา วา วิหาสิฯ เอวํ วิหรโนฺตว ขีณา ชาติ…เป.… อพฺภญฺญาสีติฯ อิมินา อสฺส ปจฺจเวกฺขณภูมิ ทสฺสิตาฯ

    Aṭṭīyamānoti pīḷiyamāno dukkhāpiyamāno. Harāyamānoti lajjamāno. Jigucchamānoti pāṭikulyato dahanto. Ekoti asahāyo. Vūpakaṭṭhoti vatthukāmehi kilesakāmehi ca kāyena ceva cittena ca vūpakaṭṭho. Appamattoti kammaṭṭhāne satiṃ avijahanto. Ātāpīti kāyikacetasikavīriyātāpena ātāpavā, ātāpeti kileseti ātāpo, vīriyaṃ. Pahitattoti kāye ca jīvite ca anapekkhatāya pesitatto vissaṭṭhaattabhāvo, nibbāne vā pesitacitto. Na cirassevāti kammaṭṭhānārambhato na cireneva. Yassatthāyāti yassa atthāya. Kulaputtāti duvidhā kulaputtā jātikulaputtā ca ācārakulaputtā ca, ayaṃ pana ubhayathāpi kulaputto. Sammadevāti hetunā ca kāraṇena ca. Agārasmāti gharato. Anagāriyanti pabbajjaṃ. Kasivaṇijjādikammañhi agārassa hitanti agāriyaṃ nāma, taṃ ettha natthīti pabbajjā anagāriyāti vuccati. Pabbajantīti upagacchanti. Tadanuttaranti taṃ anuttaraṃ. Brahmacariyapariyosānanti maggabrahmacariyassa pariyosānabhūtaṃ arahattaphalaṃ. Tassa hi atthāya kulaputtā idha pabbajanti. Diṭṭheva dhammeti tasmiṃyeva attabhāve. Sayaṃ abhiññā sacchikatvāti attanāyeva paññāya paccakkhaṃ katvā, aparappaccayena ñatvāti attho. Upasampajja vihāsīti pāpuṇitvā sampādetvā vā vihāsi. Evaṃ viharantova khīṇā jāti…pe… abbhaññāsīti. Iminā assa paccavekkhaṇabhūmi dassitā.

    ตตฺถ ขีณา ชาตีติ น ตาวสฺส อตีตา ชาติ ขีณา ปุเพฺพว ขีณตฺตา, น อนาคตา อนาคตตฺตา เอว, น ปจฺจุปฺปนฺนา วิชฺชมานตฺตาฯ มคฺคสฺส ปน อภาวิตตฺตา ยา เอกจตุปญฺจโวการภเวสุ เอกจตุปญฺจกฺขนฺธปฺปเภทา ชาติ อุปฺปเชฺชยฺย, สา มคฺคสฺส ภาวิตตฺตา อนุปฺปาทธมฺมตํ อาปชฺชเนน ขีณาฯ ตํ โส มคฺคภาวนาย ปหีนกิเลเส ปจฺจเวกฺขิตฺวา กิเลสาภาเวน วิชฺชมานมฺปิ กมฺมํ อายติํ อปฺปฎิสนฺธิกํ โหตีติ ชานเนน อพฺภญฺญาสิฯ วุสิตนฺติ วุตฺถํ ปริวุตฺถํ กตํ จริตํ, นิฎฺฐาปิตนฺติ อโตฺถฯ พฺรหฺมจริยนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยํฯ ปุถุชฺชนกลฺยาณเกน หิ สทฺธิํ สตฺต เสกฺขา พฺรหฺมจริยวาสํ วสนฺติ นาม, ขีณาสโว วุตฺถวาโส, ตสฺมา โส อตฺตโน พฺรหฺมจริยวาสํ ปจฺจเวกฺขโนฺต ‘‘วุสิตํ พฺรหฺมจริย’’นฺติ อพฺภญฺญาสิฯ กตํ กรณียนฺติ จตูสุ สเจฺจสุ จตูหิ มเคฺคหิ ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยาภาวนาวเสน โสฬสวิธมฺปิ กิจฺจํ นิฎฺฐาปิตํฯ ปุถุชฺชนกลฺยาณกาทโย หิ ตํ กิจฺจํ กโรนฺติ นาม, ขีณาสโว กตกรณีโย, ตสฺมา โส อตฺตโน กรณียํ ปจฺจเวกฺขโนฺต ‘‘กตํ กรณีย’’นฺติ อพฺภญฺญาสิฯ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ‘‘อิทานิ ปุน อิตฺถภาวาย เอวํ โสฬสกิจฺจภาวาย กิเลสกฺขยาย วา มคฺคภาวนาย กิจฺจํ เม นตฺถี’’ติ อพฺภญฺญาสิฯ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ วา ‘‘อิตฺถภาวโต อิมสฺมา เอวํปการา วตฺตมานกฺขนฺธสนฺตานา อปรํ ขนฺธสนฺตานํ มยฺหํ นตฺถิ, อิเม ปน ปญฺจกฺขนฺธา ปริญฺญาตา ติฎฺฐนฺติ ฉินฺนมูลกา วิย รุกฺขา, เต จริมกจิตฺตนิโรเธน อนุปาทาโน วิย ชาตเวโท นิพฺพายิสฺสนฺติ, อปณฺณตฺติกภาวํ คมิสฺสนฺตี’’ติ อพฺภญฺญาสิฯ อญฺญตโรติ เอโกฯ อรหตนฺติ ภควโต สาวกานํ อรหนฺตานํ อพฺภนฺตโร เอโก มหาสาวโก อโหสีติ อโตฺถฯ

    Tattha khīṇā jātīti na tāvassa atītā jāti khīṇā pubbeva khīṇattā, na anāgatā anāgatattā eva, na paccuppannā vijjamānattā. Maggassa pana abhāvitattā yā ekacatupañcavokārabhavesu ekacatupañcakkhandhappabhedā jāti uppajjeyya, sā maggassa bhāvitattā anuppādadhammataṃ āpajjanena khīṇā. Taṃ so maggabhāvanāya pahīnakilese paccavekkhitvā kilesābhāvena vijjamānampi kammaṃ āyatiṃ appaṭisandhikaṃ hotīti jānanena abbhaññāsi. Vusitanti vutthaṃ parivutthaṃ kataṃ caritaṃ, niṭṭhāpitanti attho. Brahmacariyanti maggabrahmacariyaṃ. Puthujjanakalyāṇakena hi saddhiṃ satta sekkhā brahmacariyavāsaṃ vasanti nāma, khīṇāsavo vutthavāso, tasmā so attano brahmacariyavāsaṃ paccavekkhanto ‘‘vusitaṃ brahmacariya’’nti abbhaññāsi. Kataṃ karaṇīyanti catūsu saccesu catūhi maggehi pariññāpahānasacchikiriyābhāvanāvasena soḷasavidhampi kiccaṃ niṭṭhāpitaṃ. Puthujjanakalyāṇakādayo hi taṃ kiccaṃ karonti nāma, khīṇāsavo katakaraṇīyo, tasmā so attano karaṇīyaṃ paccavekkhanto ‘‘kataṃ karaṇīya’’nti abbhaññāsi. Nāparaṃ itthattāyāti ‘‘idāni puna itthabhāvāya evaṃ soḷasakiccabhāvāya kilesakkhayāya vā maggabhāvanāya kiccaṃ me natthī’’ti abbhaññāsi. Nāparaṃ itthattāyāti vā ‘‘itthabhāvato imasmā evaṃpakārā vattamānakkhandhasantānā aparaṃ khandhasantānaṃ mayhaṃ natthi, ime pana pañcakkhandhā pariññātā tiṭṭhanti chinnamūlakā viya rukkhā, te carimakacittanirodhena anupādāno viya jātavedo nibbāyissanti, apaṇṇattikabhāvaṃ gamissantī’’ti abbhaññāsi. Aññataroti eko. Arahatanti bhagavato sāvakānaṃ arahantānaṃ abbhantaro eko mahāsāvako ahosīti attho.

    อญฺญตรา เทวตาติ อธิคตมคฺคา เอกา พฺรหฺมเทวตาฯ สา หิ สยํ อเสกฺขตฺตา อเสกฺขวิสยํ อพฺภญฺญาสิฯ เสกฺขา หิ ตํ ตํ เสกฺขวิสยํ, ปุถุชฺชนา จ อตฺตโน ปุถุชฺชนวิสยเมว ชานนฺติฯ อภิกฺกนฺตาย รตฺติยาติ ปริกฺขีณาย รตฺติยา, มชฺฌิมยาเมติ อโตฺถฯ อภิกฺกนฺตวณฺณาติ อติอุตฺตมวณฺณาฯ เกวลกปฺปนฺติ อนวเสเสน สมนฺตโตฯ โอภาเสตฺวาติ อตฺตโน ปภาย จโนฺท วิย สูริโย วิย จ เชตวนํ เอโกภาสํ กตฺวาฯ เตนุปสงฺกมีติ อายสฺมโต นนฺทสฺส อรหตฺตปฺปตฺติํ วิทิตฺวา ปีติโสมนสฺสชาตา ‘‘ตํ ภควโต ปฎิเวเทสฺสามี’’ติ อุปสงฺกมิฯ

    Aññatarā devatāti adhigatamaggā ekā brahmadevatā. Sā hi sayaṃ asekkhattā asekkhavisayaṃ abbhaññāsi. Sekkhā hi taṃ taṃ sekkhavisayaṃ, puthujjanā ca attano puthujjanavisayameva jānanti. Abhikkantāya rattiyāti parikkhīṇāya rattiyā, majjhimayāmeti attho. Abhikkantavaṇṇāti atiuttamavaṇṇā. Kevalakappanti anavasesena samantato. Obhāsetvāti attano pabhāya cando viya sūriyo viya ca jetavanaṃ ekobhāsaṃ katvā. Tenupasaṅkamīti āyasmato nandassa arahattappattiṃ viditvā pītisomanassajātā ‘‘taṃ bhagavato paṭivedessāmī’’ti upasaṅkami.

    อาสวานํ ขยาติ เอตฺถ อาสวนฺตีติ อาสวา, จกฺขุทฺวาราทีหิ ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ อถ วา อาโคตฺรภุํ อาภวคฺคํ วา สวนฺตีติ อาสวา, เอเต ธเมฺม เอตญฺจ โอกาสํ อโนฺต กริตฺวา ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ จิรปาริวาสิยเฎฺฐน มทิราทิอาสวา วิยาติ อาสวาฯ ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ อวิชฺชายา’’ติอาทิวจเนหิ (อ. นิ. ๑๐.๖๑) เนสํ จิรปาริวาสิยตา เวทิตพฺพาฯ อถ วา อายตํ สํสารทุกฺขํ สวนฺติ ปสวนฺตีติปิ, อาสวาฯ ปุริโม เจตฺถ อโตฺถ กิเลเสสุ ยุชฺชติ, ปจฺฉิโม กเมฺมปิฯ น เกวลญฺจ กมฺมกิเลสา เอว อาสวา, อถ โข นานปฺปการา อุปทฺทวาปิฯ ตถา หิ ‘‘นาหํ, จุนฺท , ทิฎฺฐธมฺมิกานํเยว อาสวานํ สํวราย ธมฺมํ เทเสมี’’ติ เอตฺถ (ที. นิ. ๓.๑๘๒) วิวาทมูลภูตา กิเลสา อาสวาติ อาคตาฯ

    Āsavānaṃ khayāti ettha āsavantīti āsavā, cakkhudvārādīhi pavattantīti attho. Atha vā āgotrabhuṃ ābhavaggaṃ vā savantīti āsavā, ete dhamme etañca okāsaṃ anto karitvā pavattantīti attho. Cirapārivāsiyaṭṭhena madirādiāsavā viyāti āsavā. ‘‘Purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati avijjāyā’’tiādivacanehi (a. ni. 10.61) nesaṃ cirapārivāsiyatā veditabbā. Atha vā āyataṃ saṃsāradukkhaṃ savanti pasavantītipi, āsavā. Purimo cettha attho kilesesu yujjati, pacchimo kammepi. Na kevalañca kammakilesā eva āsavā, atha kho nānappakārā upaddavāpi. Tathā hi ‘‘nāhaṃ, cunda , diṭṭhadhammikānaṃyeva āsavānaṃ saṃvarāya dhammaṃ desemī’’ti ettha (dī. ni. 3.182) vivādamūlabhūtā kilesā āsavāti āgatā.

    ‘‘เยน เทวูปปตฺยสฺส, คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม;

    ‘‘Yena devūpapatyassa, gandhabbo vā vihaṅgamo;

    ยกฺขตฺตํ เยน คเจฺฉยฺย, มนุสฺสตฺตญฺจ อพฺพเช;

    Yakkhattaṃ yena gaccheyya, manussattañca abbaje;

    เต มยฺหํ อาสวา ขีณา, วิทฺธสฺตา วินลีกตา’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๓๖) –

    Te mayhaṃ āsavā khīṇā, viddhastā vinalīkatā’’ti. (a. ni. 4.36) –

    เอตฺถ เตภูมิกํ กมฺมํ อวเสสา จ อกุสลา ธมฺมา อาสวาติ อาคตาฯ ‘‘ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย, สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตายา’’ติ (ปารา. ๓๙) ปรูปฆาตวิปฺปฎิสารวธพนฺธาทโย เจว อปายทุกฺขภูตา จ นานปฺปการา อุปทฺทวาฯ

    Ettha tebhūmikaṃ kammaṃ avasesā ca akusalā dhammā āsavāti āgatā. ‘‘Diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya, samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāyā’’ti (pārā. 39) parūpaghātavippaṭisāravadhabandhādayo ceva apāyadukkhabhūtā ca nānappakārā upaddavā.

    เต ปเนเต อาสวา วินเย – ‘‘ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตายา’’ติ (ปารา. ๓๙) ทฺวิธา อาคตาฯ สฬายตเน ‘‘ตโยเม, อาวุโส, อาสวา – กามาสโว, ภวาสโว, อวิชฺชาสโว’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๐๕) ติธา อาคตา, ตถา อเญฺญสุ จ สุตฺตเนฺตสุฯ อภิธเมฺม เตเยว ทิฎฺฐาสเวน สทฺธิํ จตุธา อาคตาฯ นิเพฺพธิกปริยาเย ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อาสวา นิรยคามินิยา’’ติอาทินา (อ. นิ. ๖.๖๓) ปญฺจธา อาคตาฯ ฉกฺกนิปาเต ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อาสวา สํวราย ปหาตพฺพา’’ติอาทินา (อ. นิ. ๖.๕๘) นเยน ฉธา อาคตาฯ สพฺพาสวปริยาเย (ม. นิ. ๑.๒๒) เตเยว ทสฺสนปหาตเพฺพหิ สทฺธิํ สตฺตธา อาคตาฯ อิธ ปน อภิธมฺมนเยน จตฺตาโร อาสวา เวทิตพฺพาฯ

    Te panete āsavā vinaye – ‘‘diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāyā’’ti (pārā. 39) dvidhā āgatā. Saḷāyatane ‘‘tayome, āvuso, āsavā – kāmāsavo, bhavāsavo, avijjāsavo’’ti (dī. ni. 3.305) tidhā āgatā, tathā aññesu ca suttantesu. Abhidhamme teyeva diṭṭhāsavena saddhiṃ catudhā āgatā. Nibbedhikapariyāye ‘‘atthi, bhikkhave, āsavā nirayagāminiyā’’tiādinā (a. ni. 6.63) pañcadhā āgatā. Chakkanipāte ‘‘atthi, bhikkhave, āsavā saṃvarāya pahātabbā’’tiādinā (a. ni. 6.58) nayena chadhā āgatā. Sabbāsavapariyāye (ma. ni. 1.22) teyeva dassanapahātabbehi saddhiṃ sattadhā āgatā. Idha pana abhidhammanayena cattāro āsavā veditabbā.

    ขยาติ เอตฺถ ปน ‘‘โย อาสวานํ ขโย เภโท ปริเภโท’’ติอาทีสุ อาสวานํ สรสเภโท อาสวกฺขโยติ วุโตฺตฯ ‘‘ชานโต อหํ, ภิกฺขเว, ปสฺสโต อาสวานํ ขยํ วทามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๕) อาสวานํ อายติํ อนุปฺปาโท อาสวกฺขโยติ วุโตฺตฯ

    Khayāti ettha pana ‘‘yo āsavānaṃ khayo bhedo paribhedo’’tiādīsu āsavānaṃ sarasabhedo āsavakkhayoti vutto. ‘‘Jānato ahaṃ, bhikkhave, passato āsavānaṃ khayaṃ vadāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.15) āsavānaṃ āyatiṃ anuppādo āsavakkhayoti vutto.

    ‘‘เสกฺขสฺส สิกฺขมานสฺส, อุชุมคฺคานุสาริโน;

    ‘‘Sekkhassa sikkhamānassa, ujumaggānusārino;

    ขยสฺมิํ ปฐมํ ญาณํ, ตโต อญฺญา อนนฺตรา’’ติฯ (อิติวุ. ๖๒) –

    Khayasmiṃ paṭhamaṃ ñāṇaṃ, tato aññā anantarā’’ti. (itivu. 62) –

    อาทีสุ มโคฺค อาสวกฺขโยติ วุโตฺตฯ ‘‘อาสวานํ ขยา สมโณ โหตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๔๓๘) ผลํฯ

    Ādīsu maggo āsavakkhayoti vutto. ‘‘Āsavānaṃ khayā samaṇo hotī’’tiādīsu (ma. ni. 1.438) phalaṃ.

    ‘‘ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส, นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน;

    ‘‘Paravajjānupassissa, niccaṃ ujjhānasaññino;

    อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ, อารา โส อาสวกฺขยา’’ติฯ –

    Āsavā tassa vaḍḍhanti, ārā so āsavakkhayā’’ti. –

    อาทีสุ (ธ. ป. ๒๕๓) นิพฺพานํฯ อิธ ปน อาสวานํ อจฺจนฺตขโย อนุปฺปาโท วา มโคฺค วา ‘‘อาสวานํ ขโย’’ติ วุโตฺตฯ

    Ādīsu (dha. pa. 253) nibbānaṃ. Idha pana āsavānaṃ accantakhayo anuppādo vā maggo vā ‘‘āsavānaṃ khayo’’ti vutto.

    อนาสวนฺติ ปฎิปสฺสทฺธิวเสน สพฺพโส ปหีนาสวํฯ เจโตวิมุตฺตินฺติ อรหตฺตผลสมาธิํฯ ปญฺญาวิมุตฺตินฺติ อรหตฺตผลปญฺญํฯ อุภยวจนํ มเคฺค วิย ผเลปิ สมถวิปสฺสนานํ ยุคนนฺธภาวทสฺสนตฺถํฯ ญาณนฺติ สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ เทวตาย วจนสมนนฺตรเมว ‘‘กถํ นุ โข’’ติ อาวเชฺชนฺตสฺส ภควโต ญาณํ อุปฺปชฺชิ ‘‘นเนฺทน อรหตฺตํ สจฺฉิกต’’นฺติฯ โส หิ อายสฺมา สหายภิกฺขูหิ ตถา อุปฺปณฺฑิยมาโน ‘‘ภาริยํ วต มยา กตํ, โยหํ เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ปพฺพชิตฺวา อจฺฉรานํ ปฎิลาภาย สตฺถารํ ปาฎิโภคํ อกาสิ’’นฺติ อุปฺปนฺนสํเวโค หิโรตฺตปฺปํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา ฆเฎโนฺต วายมโนฺต อรหตฺตํ ปตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘ยํนูนาหํ ภควนฺตํ เอตสฺมา ปฎิสฺสวา โมเจยฺย’’นฺติฯ โส ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา อตฺตโน อธิปฺปายํ สตฺถุ อาโรเจสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข อายสฺมา นโนฺท…เป.… เอตสฺมา ปฎิสฺสวา’’ติฯ ตตฺถ ปฎิสฺสวาติ ปาฎิโภคปฺปฎิสฺสวา, ‘‘อจฺฉรานํ ปฎิลาภาย อหํ ปฎิภูโต’’ติ ปฎิญฺญายฯ

    Anāsavanti paṭipassaddhivasena sabbaso pahīnāsavaṃ. Cetovimuttinti arahattaphalasamādhiṃ. Paññāvimuttinti arahattaphalapaññaṃ. Ubhayavacanaṃ magge viya phalepi samathavipassanānaṃ yuganandhabhāvadassanatthaṃ. Ñāṇanti sabbaññutaññāṇaṃ. Devatāya vacanasamanantarameva ‘‘kathaṃ nu kho’’ti āvajjentassa bhagavato ñāṇaṃ uppajji ‘‘nandena arahattaṃ sacchikata’’nti. So hi āyasmā sahāyabhikkhūhi tathā uppaṇḍiyamāno ‘‘bhāriyaṃ vata mayā kataṃ, yohaṃ evaṃ svākkhāte dhammavinaye pabbajitvā accharānaṃ paṭilābhāya satthāraṃ pāṭibhogaṃ akāsi’’nti uppannasaṃvego hirottappaṃ paccupaṭṭhapetvā ghaṭento vāyamanto arahattaṃ patvā cintesi – ‘‘yaṃnūnāhaṃ bhagavantaṃ etasmā paṭissavā moceyya’’nti. So bhagavantaṃ upasaṅkamitvā attano adhippāyaṃ satthu ārocesi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho āyasmā nando…pe… etasmā paṭissavā’’ti. Tattha paṭissavāti pāṭibhogappaṭissavā, ‘‘accharānaṃ paṭilābhāya ahaṃ paṭibhūto’’ti paṭiññāya.

    อถสฺส ภควา ‘‘ยสฺมา ตยา อญฺญา อาราธิตาติ ญาตเมตํ มยา, เทวตาปิ เม อาโรเจสิ, ตสฺมา นาหํ ปฎิสฺสวา อิทานิ โมเจตโพฺพ อรหตฺตปฺปตฺติยาว โมจิตตฺตา’’ติ อาหฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยเทว โข เต นนฺทา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ยเทวาติ ยทา เอวฯ เตติ ตวฯ มุโตฺตติ ปมุโตฺตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยสฺมิํเยว กาเล อาสเวหิ ตว จิตฺตํ วิมุตฺตํ, อถ อนนฺตรเมวาหํ ตโต ปาฎิโภคโต มุโตฺตติฯ

    Athassa bhagavā ‘‘yasmā tayā aññā ārādhitāti ñātametaṃ mayā, devatāpi me ārocesi, tasmā nāhaṃ paṭissavā idāni mocetabbo arahattappattiyāva mocitattā’’ti āha. Tena vuttaṃ ‘‘yadeva kho te nandā’’tiādi. Tattha yadevāti yadā eva. Teti tava. Muttoti pamutto. Idaṃ vuttaṃ hoti – yasmiṃyeva kāle āsavehi tava cittaṃ vimuttaṃ, atha anantaramevāhaṃ tato pāṭibhogato muttoti.

    โสปิ อายสฺมา วิปสฺสนากาเลเยว ‘‘ยเทวาหํ อินฺทฺริยาสํวรํ นิสฺสาย อิมํ วิปฺปการํ ปโตฺต, ตเมว สุฎฺฐุ นิคฺคเหสฺสามี’’ติ อุสฺสาหชาโต พลวหิโรตฺตโปฺป ตตฺถ จ กตาธิการตฺตา อินฺทฺริยสํวเร อุกฺกฎฺฐปฎิปทมฺปิ อคมาสิฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Sopi āyasmā vipassanākāleyeva ‘‘yadevāhaṃ indriyāsaṃvaraṃ nissāya imaṃ vippakāraṃ patto, tameva suṭṭhu niggahessāmī’’ti ussāhajāto balavahirottappo tattha ca katādhikārattā indriyasaṃvare ukkaṭṭhapaṭipadampi agamāsi. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘สเจ , ภิกฺขเว, นนฺทสฺส ปุรตฺถิมา ทิสา อาโลเกตพฺพา โหติ, สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวา นโนฺท ปุรตฺถิมํ ทิสํ อาโลเกติ ‘เอวํ เม ปุรตฺถิมํ ทิสํ อาโลกยโต น อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุ’นฺติ, อิติห ตตฺถ สมฺปชาโน โหติฯ

    ‘‘Sace , bhikkhave, nandassa puratthimā disā āloketabbā hoti, sabbaṃ cetaso samannāharitvā nando puratthimaṃ disaṃ āloketi ‘evaṃ me puratthimaṃ disaṃ ālokayato na abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyu’nti, itiha tattha sampajāno hoti.

    ‘‘สเจ, ภิกฺขเว, นนฺทสฺส ปจฺฉิมา…เป.… อุตฺตรา… ทกฺขิณา… อุทฺธํ… อโธ… อนุทิสา อาโลเกตพฺพา โหติ, สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวา นโนฺท อนุทิสํ อาโลเกติ ‘เอวํ เม…เป.… สมฺปชาโน โหตี’’’ติ (อ. นิ. ๘.๙)ฯ

    ‘‘Sace, bhikkhave, nandassa pacchimā…pe… uttarā… dakkhiṇā… uddhaṃ… adho… anudisā āloketabbā hoti, sabbaṃ cetaso samannāharitvā nando anudisaṃ āloketi ‘evaṃ me…pe… sampajāno hotī’’’ti (a. ni. 8.9).

    เตเนว ตํ อายสฺมนฺตํ สตฺถา ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานํ ยทิทํ นโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๓๐) เอตทเคฺค ฐเปสิฯ

    Teneva taṃ āyasmantaṃ satthā ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ indriyesu guttadvārānaṃ yadidaṃ nando’’ti (a. ni. 1.230) etadagge ṭhapesi.

    เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ อายสฺมโต นนฺทสฺส สพฺพาสเว เขเปตฺวา สุขาทีสุ ตาทิภาวปฺปตฺติสงฺขาตํ อตฺถํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ ตทตฺถวิภาวนํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ

    Etamatthaṃ viditvāti etaṃ āyasmato nandassa sabbāsave khepetvā sukhādīsu tādibhāvappattisaṅkhātaṃ atthaṃ sabbākārato viditvā. Imaṃ udānanti tadatthavibhāvanaṃ imaṃ udānaṃ udānesi.

    ตตฺถ ยสฺส นิตฺติโณฺณ ปโงฺกติ เยน อริยปุคฺคเลน อริยมคฺคเสตุนา สโพฺพ ทิฎฺฐิปโงฺก สํสารปโงฺก เอว วา นิพฺพานปารคมเนน ติโณฺณฯ มทฺทิโต กามกณฺฑโกติ เยน สตฺตานํ วิชฺฌนโตฯ ‘‘กามกณฺฑโก’’ติ ลทฺธนาโม สโพฺพ กิเลสกาโม สโพฺพ กามวิสูโก อคฺคญาณทเณฺฑน มทฺทิโต ภโคฺค อนวเสสโต มถิโตฯ โมหกฺขยํ อนุปฺปโตฺตติ เอวํภูโต จ ทุกฺขาทิวิสยสฺส สพฺพสฺส สโมฺมหสฺส เขปเนน โมหกฺขยํ ปโตฺต, อรหตฺตผลํ นิพฺพานญฺจ อนุปฺปโตฺตฯ สุขทุเกฺขสุ น เวธตี ส ภิกฺขูติ โส ภินฺนกิเลโส ภิกฺขุ อิฎฺฐารมฺมณสมาโยคโต อุปฺปเนฺนสุ สุเขสุ อนิฎฺฐารมฺมณสมาโยคโต อุปฺปเนฺนสุ ทุเกฺขสุ จ น เวธติ น กมฺปติ, ตํ นิมิตฺตํ จิตฺตวิการํ นาปชฺชติฯ ‘‘สุขทุเกฺขสู’’ติ จ เทสนามตฺตํ, สเพฺพสุปิ โลกธเมฺมสุ น เวธตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Tattha yassa nittiṇṇo paṅkoti yena ariyapuggalena ariyamaggasetunā sabbo diṭṭhipaṅko saṃsārapaṅko eva vā nibbānapāragamanena tiṇṇo. Maddito kāmakaṇḍakoti yena sattānaṃ vijjhanato. ‘‘Kāmakaṇḍako’’ti laddhanāmo sabbo kilesakāmo sabbo kāmavisūko aggañāṇadaṇḍena maddito bhaggo anavasesato mathito. Mohakkhayaṃ anuppattoti evaṃbhūto ca dukkhādivisayassa sabbassa sammohassa khepanena mohakkhayaṃ patto, arahattaphalaṃ nibbānañca anuppatto. Sukhadukkhesu na vedhatī sa bhikkhūti so bhinnakileso bhikkhu iṭṭhārammaṇasamāyogato uppannesu sukhesu aniṭṭhārammaṇasamāyogato uppannesu dukkhesu ca na vedhati na kampati, taṃ nimittaṃ cittavikāraṃ nāpajjati. ‘‘Sukhadukkhesū’’ti ca desanāmattaṃ, sabbesupi lokadhammesu na vedhatīti veditabbaṃ.

    ทุติยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dutiyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๒. นนฺทสุตฺตํ • 2. Nandasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact