Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๑๒๓] ๓. นงฺคลีสชาตกวณฺณนา

    [123] 3. Naṅgalīsajātakavaṇṇanā

    อสพฺพตฺถคามิํ วาจนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ลาฬุทายิเตฺถรํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร ธมฺมํ กเถโนฺต ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน อิทํ กเถตพฺพํ, อิมสฺมิํ ฐาเน อิทํ น กเถตพฺพ’’นฺติ ยุตฺตายุตฺตํ น ชานาติ, มงฺคเล อวมงฺคลํ วทโนฺต ‘‘ติโรกุเฎฺฎสุ ติฎฺฐนฺติ, สนฺธิสิงฺฆาฎเกสุ จา’’ติ อิทํ อวมงฺคลํ มงฺคลํ กตฺวา อนุโมทนํ กเถติฯ อวมงฺคเลสุ อนุโมทนํ กโรโนฺต ‘‘พหู เทวา มนุสฺสา จ, มงฺคลานิ อจินฺตยุ’’นฺติ วตฺวา ‘‘เอวรูปานํ มงฺคลานํ สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ กาตุํ สมตฺถา โหถา’’ติ วทติฯ อเถกทิวสํ ธมฺมสภายํ ภิกฺขู ‘‘อาวุโส, ลาฬุทายี ยุตฺตายุตฺตํ น ชานาติ, สพฺพตฺถ อภาสิตพฺพวาจํ ภาสตี’’ติ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, ลาฬุทายี อิทาเนว ทนฺธปริสกฺกโน ยุตฺตายุตฺตํ น ชานาติ, ปุเพฺพปิ เอวรูโป อโหสิ, นิจฺจํ ลาฬโกเยว เอโส’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Asabbatthagāmiṃvācanti idaṃ satthā jetavane viharanto lāḷudāyittheraṃ ārabbha kathesi. So kira dhammaṃ kathento ‘‘imasmiṃ ṭhāne idaṃ kathetabbaṃ, imasmiṃ ṭhāne idaṃ na kathetabba’’nti yuttāyuttaṃ na jānāti, maṅgale avamaṅgalaṃ vadanto ‘‘tirokuṭṭesu tiṭṭhanti, sandhisiṅghāṭakesu cā’’ti idaṃ avamaṅgalaṃ maṅgalaṃ katvā anumodanaṃ katheti. Avamaṅgalesu anumodanaṃ karonto ‘‘bahū devā manussā ca, maṅgalāni acintayu’’nti vatvā ‘‘evarūpānaṃ maṅgalānaṃ satampi sahassampi kātuṃ samatthā hothā’’ti vadati. Athekadivasaṃ dhammasabhāyaṃ bhikkhū ‘‘āvuso, lāḷudāyī yuttāyuttaṃ na jānāti, sabbattha abhāsitabbavācaṃ bhāsatī’’ti kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, lāḷudāyī idāneva dandhaparisakkano yuttāyuttaṃ na jānāti, pubbepi evarūpo ahosi, niccaṃ lāḷakoyeva eso’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา พาราณสิยํ ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย หุตฺวา ปญฺจ มาณวกสตานิ สิปฺปํ วาเจสิฯ ตทา เตสุ มาณเวสุ เอโก ทนฺธปริสกฺกโน ลาฬโก มาณโว ธมฺมเนฺตวาสิโก หุตฺวา สิปฺปํ อุคฺคณฺหาติ, ทนฺธภาเวน ปน อุคฺคณฺหิตุํ น สโกฺกติฯ โพธิสตฺตสฺส ปน อุปกาโร โหติ, ทาโส วิย สพฺพกิจฺจานิ กโรติฯ อเถกทิวสํ โพธิสโตฺต สายมาสํ ภุญฺชิตฺวา สยเน นิปโนฺน ตํ มาณวํ หตฺถปาทปิฎฺฐิปริกมฺมานิ กตฺวา คจฺฉนฺตํ อาห ‘‘ตาต, มญฺจปาเท อุปตฺถเมฺภตฺวา ยาหี’’ติฯ มาณโว เอกํ ปาทํ อุปตฺถเมฺภตฺวา เอกสฺส อุปตฺถมฺภกํ อลภโนฺต อตฺตโน อูรุมฺหิ ฐเปตฺวา รตฺติํ เขเปสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto brāhmaṇamahāsālakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā bārāṇasiyaṃ disāpāmokkho ācariyo hutvā pañca māṇavakasatāni sippaṃ vācesi. Tadā tesu māṇavesu eko dandhaparisakkano lāḷako māṇavo dhammantevāsiko hutvā sippaṃ uggaṇhāti, dandhabhāvena pana uggaṇhituṃ na sakkoti. Bodhisattassa pana upakāro hoti, dāso viya sabbakiccāni karoti. Athekadivasaṃ bodhisatto sāyamāsaṃ bhuñjitvā sayane nipanno taṃ māṇavaṃ hatthapādapiṭṭhiparikammāni katvā gacchantaṃ āha ‘‘tāta, mañcapāde upatthambhetvā yāhī’’ti. Māṇavo ekaṃ pādaṃ upatthambhetvā ekassa upatthambhakaṃ alabhanto attano ūrumhi ṭhapetvā rattiṃ khepesi.

    โพธิสโตฺต ปจฺจูสสมเย อุฎฺฐาย ตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ, ตาต, นิสิโนฺนสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาจริย, เอกสฺส มญฺจปาทสฺส อุปตฺถมฺภกํ อลภโนฺต อูรุมฺหิ ฐเปตฺวา นิสิโนฺนมฺหี’’ติฯ โพธิสโตฺต สํวิคฺคมานโส หุตฺวา ‘‘อยํ อติ วิย มยฺหํ อุปกาโร, เอตฺตกานํ ปน มาณวกานํ อนฺตเร อยเมว ทโนฺธ สิปฺปํ สิกฺขิตุํ น สโกฺกติ, กถํ นุ โข อหํ อิมํ ปณฺฑิตํ กเรยฺย’’นฺติ จิเนฺตสิฯ อถสฺส เอตทโหสิ ‘‘อเตฺถโก อุปาโย, อหํ อิมํ มาณวํ ทารุอตฺถาย ปณฺณตฺถาย จ วนํ คนฺตฺวา อาคตํ ‘อชฺช เต กิํ ทิฎฺฐํ, กิํ กต’นฺติ ปุจฺฉิสฺสามิฯ อถ เม ‘อิทํ นาม อชฺช มยา ทิฎฺฐํ, อิทํ กต’นฺติ อาจิกฺขิสฺสติฯ อถ นํ ‘ตยา ทิฎฺฐญฺจ กตญฺจ กีทิส’นฺติ ปุจฺฉิสฺสามิ, โส ‘เอวรูปํ นามา’ติ อุปมาย จ การเณน จ กเถสฺสติฯ อิติ นํ นวํ นวํ อุปมญฺจ การณญฺจ กถาเปตฺวา อิมินา อุปาเยน ปณฺฑิตํ กริสฺสามี’’ติฯ โส ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาต มาณว, อิโต ปฎฺฐาย ทารุอตฺถาย วา ปณฺณตฺถาย วา คตฎฺฐาเน ยํ เต ตตฺถ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา ภุตฺตํ วา ปีตํ วา ขาทิตํ วา โหติ, ตํ อาคนฺตฺวา มยฺหํ อาโรเจยฺยาสี’’ติ อาหฯ

    Bodhisatto paccūsasamaye uṭṭhāya taṃ disvā ‘‘kiṃ, tāta, nisinnosī’’ti pucchi. ‘‘Ācariya, ekassa mañcapādassa upatthambhakaṃ alabhanto ūrumhi ṭhapetvā nisinnomhī’’ti. Bodhisatto saṃviggamānaso hutvā ‘‘ayaṃ ati viya mayhaṃ upakāro, ettakānaṃ pana māṇavakānaṃ antare ayameva dandho sippaṃ sikkhituṃ na sakkoti, kathaṃ nu kho ahaṃ imaṃ paṇḍitaṃ kareyya’’nti cintesi. Athassa etadahosi ‘‘attheko upāyo, ahaṃ imaṃ māṇavaṃ dāruatthāya paṇṇatthāya ca vanaṃ gantvā āgataṃ ‘ajja te kiṃ diṭṭhaṃ, kiṃ kata’nti pucchissāmi. Atha me ‘idaṃ nāma ajja mayā diṭṭhaṃ, idaṃ kata’nti ācikkhissati. Atha naṃ ‘tayā diṭṭhañca katañca kīdisa’nti pucchissāmi, so ‘evarūpaṃ nāmā’ti upamāya ca kāraṇena ca kathessati. Iti naṃ navaṃ navaṃ upamañca kāraṇañca kathāpetvā iminā upāyena paṇḍitaṃ karissāmī’’ti. So taṃ pakkosāpetvā ‘‘tāta māṇava, ito paṭṭhāya dāruatthāya vā paṇṇatthāya vā gataṭṭhāne yaṃ te tattha diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā bhuttaṃ vā pītaṃ vā khāditaṃ vā hoti, taṃ āgantvā mayhaṃ āroceyyāsī’’ti āha.

    โส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา เอกทิวสํ มาณเวหิ สทฺธิํ ทารุอตฺถาย อรญฺญํ คโต ตตฺถ สปฺปํ ทิสฺวา อาคนฺตฺวา ‘‘อาจริย, สโปฺป เม ทิโฎฺฐ’’ติ อาโรเจสิฯ ‘‘สโปฺป นาม, ตาต, กีทิโส โหตี’’ติ? ‘‘เสยฺยถาปิ นงฺคลีสา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ตาต, มนาปา เต อุปมา อาหฎา, สปฺปา นาม นงฺคลีสสทิสาว โหนฺตี’’ติฯ อถ โพธิสโตฺต ‘‘มาณวเกน มนาปา อุปมา อาหฎา, สกฺขิสฺสามิ นํ ปณฺฑิตํ กาตุ’’นฺติ จิเนฺตสิฯ มาณโว ปุน เอกทิวสํ อรเญฺญ หตฺถิํ ทิสฺวา ‘‘หตฺถี เม อาจริย ทิโฎฺฐ’’ติ อาหฯ ‘‘หตฺถี นาม, ตาต, กีทิโส’’ติ? ‘‘เสยฺยถาปิ, นงฺคลีสา’’ติฯ โพธิสโตฺต ‘‘หตฺถิสฺส โสณฺฑา นงฺคลีสสทิสา โหนฺติ, ทนฺตาทโย เอวรูปา จ เอวรูปา จฯ อยํ ปน พาลตาย วิภชิตฺวา กเถตุํ อสโกฺกโนฺต โสณฺฑํ สนฺธาย กเถสิ มเญฺญ’’ติ ตุณฺหี อโหสิฯ อเถกทิวสํ นิมนฺตเน อุจฺฉุํ ลภิตฺวา ‘‘อาจริย, อชฺช มยํ อุจฺฉุ ขาทิมฺหา’’ติ อาหฯ ‘‘อุจฺฉุ นาม กีทิโส’’ติ วุเตฺต ‘‘เสยฺยถาปิ นงฺคลีสา’’ติ อาหฯ อาจริโย ‘‘โถกํ ปติรูปํ การณํ กเถสี’’ติ ตุณฺหี ชาโตฯ

    So ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā ekadivasaṃ māṇavehi saddhiṃ dāruatthāya araññaṃ gato tattha sappaṃ disvā āgantvā ‘‘ācariya, sappo me diṭṭho’’ti ārocesi. ‘‘Sappo nāma, tāta, kīdiso hotī’’ti? ‘‘Seyyathāpi naṅgalīsā’’ti. ‘‘Sādhu, tāta, manāpā te upamā āhaṭā, sappā nāma naṅgalīsasadisāva hontī’’ti. Atha bodhisatto ‘‘māṇavakena manāpā upamā āhaṭā, sakkhissāmi naṃ paṇḍitaṃ kātu’’nti cintesi. Māṇavo puna ekadivasaṃ araññe hatthiṃ disvā ‘‘hatthī me ācariya diṭṭho’’ti āha. ‘‘Hatthī nāma, tāta, kīdiso’’ti? ‘‘Seyyathāpi, naṅgalīsā’’ti. Bodhisatto ‘‘hatthissa soṇḍā naṅgalīsasadisā honti, dantādayo evarūpā ca evarūpā ca. Ayaṃ pana bālatāya vibhajitvā kathetuṃ asakkonto soṇḍaṃ sandhāya kathesi maññe’’ti tuṇhī ahosi. Athekadivasaṃ nimantane ucchuṃ labhitvā ‘‘ācariya, ajja mayaṃ ucchu khādimhā’’ti āha. ‘‘Ucchu nāma kīdiso’’ti vutte ‘‘seyyathāpi naṅgalīsā’’ti āha. Ācariyo ‘‘thokaṃ patirūpaṃ kāraṇaṃ kathesī’’ti tuṇhī jāto.

    ปุเนกทิวสํ นิมนฺตเน เอกเจฺจ มาณวา คุฬํ ทธินา ภุญฺชิํสุ, เอกเจฺจ ขีเรนฯ โส อาคนฺตฺวา ‘‘อาจริย, อชฺช มยํ ทธินา ขีเรน จ ภุญฺชิมฺหา’’ติ วตฺวา ‘‘ทธิขีรํ นาม กีทิสํ โหตี’’ติ วุเตฺต ‘‘เสยฺยถาปิ นงฺคลีสา’’ติ อาหฯ อาจริโย ‘‘อยํ มาณโว ‘สโปฺป นงฺคลีสสทิโส’ติ กเถโนฺต ตาว สุกถิตํ กเถสิ, ‘หตฺถี นงฺคลีสสทิโส’ติ กเถเนฺตนาปิ โสณฺฑํ สนฺธาย เลเสน กถิตํฯ ‘อุจฺฉุ นงฺคลีสสทิส’นฺติ กถเนปิ เลโส อตฺถิ, ‘ทธิขีรานิ ปน นิจฺจํ ปณฺฑรานิ ปกฺขิตฺตภาชนสณฺฐานานี’ติ อิธ สเพฺพน สพฺพํ อุปมํ น กเถสิ, น สกฺกา อิมํ ลาฬกํ สิกฺขาเปตุ’’นฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Punekadivasaṃ nimantane ekacce māṇavā guḷaṃ dadhinā bhuñjiṃsu, ekacce khīrena. So āgantvā ‘‘ācariya, ajja mayaṃ dadhinā khīrena ca bhuñjimhā’’ti vatvā ‘‘dadhikhīraṃ nāma kīdisaṃ hotī’’ti vutte ‘‘seyyathāpi naṅgalīsā’’ti āha. Ācariyo ‘‘ayaṃ māṇavo ‘sappo naṅgalīsasadiso’ti kathento tāva sukathitaṃ kathesi, ‘hatthī naṅgalīsasadiso’ti kathentenāpi soṇḍaṃ sandhāya lesena kathitaṃ. ‘Ucchu naṅgalīsasadisa’nti kathanepi leso atthi, ‘dadhikhīrāni pana niccaṃ paṇḍarāni pakkhittabhājanasaṇṭhānānī’ti idha sabbena sabbaṃ upamaṃ na kathesi, na sakkā imaṃ lāḷakaṃ sikkhāpetu’’nti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ๑๒๓.

    123.

    ‘‘อสพฺพตฺถคามิํ วาจํ, พาโล สพฺพตฺถ ภาสติ;

    ‘‘Asabbatthagāmiṃ vācaṃ, bālo sabbattha bhāsati;

    นายํ ทธิํ เวทิ น นงฺคลีสํ, ทธิปฺปยํ มญฺญติ นงฺคลีส’’นฺติฯ

    Nāyaṃ dadhiṃ vedi na naṅgalīsaṃ, dadhippayaṃ maññati naṅgalīsa’’nti.

    ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – ยา วาจา โอปมฺมวเสน สพฺพตฺถ น คจฺฉติ, ตํ อสพฺพตฺถคามิํ วาจํ พาโล ทนฺธปุคฺคโล สพฺพตฺถ ภาสติ, ‘‘ทธิ นาม กีทิส’’นฺติ ปุโฎฺฐปิ ‘‘เสยฺยถาปิ, นงฺคลีสา’’ติ วทเตวฯ เอวํ วทโนฺต นายํ ทธิํ เวทิ น นงฺคลีสํฯ กิํการณา? ทธิปฺปยํ มญฺญติ นงฺคลีสํ, ยสฺมา อยํ ทธิมฺปิ นงฺคลีสเมว มญฺญติฯ อถ วา ทธีติ ทธิเมว, ปยนฺติ ขีรํ, ทธิ จ ปยญฺจ ทธิปฺปยํฯ ยสฺมา ทธิขีรานิปิ อยํ นงฺคลีสเมว มญฺญติ, เอทิโส จายํ พาโล, กิํ อิมินาติ อเนฺตวาสิกานํ ธมฺมกถํ กเถตฺวา ปริพฺพยํ ทตฺวา ตํ อุโยฺยเชสิฯ

    Tatrāyaṃ saṅkhepattho – yā vācā opammavasena sabbattha na gacchati, taṃ asabbatthagāmiṃ vācaṃ bālo dandhapuggalo sabbattha bhāsati, ‘‘dadhi nāma kīdisa’’nti puṭṭhopi ‘‘seyyathāpi, naṅgalīsā’’ti vadateva. Evaṃ vadanto nāyaṃ dadhiṃ vedi na naṅgalīsaṃ. Kiṃkāraṇā? Dadhippayaṃ maññati naṅgalīsaṃ, yasmā ayaṃ dadhimpi naṅgalīsameva maññati. Atha vā dadhīti dadhimeva, payanti khīraṃ, dadhi ca payañca dadhippayaṃ. Yasmā dadhikhīrānipi ayaṃ naṅgalīsameva maññati, ediso cāyaṃ bālo, kiṃ imināti antevāsikānaṃ dhammakathaṃ kathetvā paribbayaṃ datvā taṃ uyyojesi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ลาฬกมาณโว ลาฬุทายี อโหสิ, ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā lāḷakamāṇavo lāḷudāyī ahosi, disāpāmokkho ācariyo pana ahameva ahosi’’nti.

    นงฺคลีสชาตกวณฺณนา ตติยาฯ

    Naṅgalīsajātakavaṇṇanā tatiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๒๓. นงฺคลีสชาตกํ • 123. Naṅgalīsajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact