Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā |
เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ
Nevasaññānāsaññāyatanaṃ
อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺมาติ เอตฺถาปิ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว อากิญฺจญฺญํ อายตนมสฺส อธิฎฺฐานเฎฺฐนาติ ฌานมฺปิ อากิญฺจญฺญายตนํฯ วุตฺตนเยเนว อารมฺมณมฺปิฯ เอวเมตํ ฌานญฺจ อารมฺมณญฺจาติ อุภยมฺปิ อปฺปวตฺติกรเณน จ อมนสิกรเณ จ สมติกฺกมิตฺวาว ยสฺมา อิทํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหาตพฺพํ, ตสฺมา อุภยเมฺปตํ เอกชฺฌํ กตฺวา ‘อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺมา’ติ อิทํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Ākiñcaññāyatanaṃ samatikkammāti etthāpi pubbe vuttanayeneva ākiñcaññaṃ āyatanamassa adhiṭṭhānaṭṭhenāti jhānampi ākiñcaññāyatanaṃ. Vuttanayeneva ārammaṇampi. Evametaṃ jhānañca ārammaṇañcāti ubhayampi appavattikaraṇena ca amanasikaraṇe ca samatikkamitvāva yasmā idaṃ nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasampajja vihātabbaṃ, tasmā ubhayampetaṃ ekajjhaṃ katvā ‘ākiñcaññāyatanaṃ samatikkammā’ti idaṃ vuttanti veditabbaṃ.
เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญาสหคตนฺติ เอตฺถ ปน ยาย สญฺญาย ภาวโต ตํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนนฺติ วุจฺจติ, ยถา ปฎิปนฺนสฺส สา สญฺญา โหติ, ตํ ตาว ทเสฺสตุํ วิภเงฺค ‘‘เนวสญฺญีนาสญฺญี’’ติ อุทฺธริตฺวา ‘‘ตเญฺญว อากิญฺจญฺญายตนํ สนฺตโต มนสิกโรติ สงฺขาราวเสสสมาปตฺติํ ภาเวติ, เตน วุจฺจติ เนวสญฺญีนาสญฺญี’’ติ (วิภ. ๖๑๙) วุตฺตํฯ ตตฺถ ‘สนฺตโต มนสิกโรตี’ติ ‘สนฺตา วตายํ สมาปตฺติ, ยตฺร หิ นาม นตฺถิภาวมฺปิ อารมฺมณํ กริตฺวา ฐสฺสตี’ติ เอวํ สนฺตารมฺมณตาย นํ ‘สนฺตา’ติ มนสิกโรติฯ สนฺตโต เจ มนสิกโรติ, กถํ สมติกฺกโม โหตีติ? อนาวชฺชิตุกามตายฯ โส หิ กิญฺจาปิ นํ สนฺตโต มนสิกโรติ, อถ ขฺวสฺส ‘อหเมตํ อาวชฺชิสฺสามิ สมาปชฺชิสฺสามิ อธิฎฺฐหิสฺสามิ วุฎฺฐหิสฺสามิ ปจฺจเวกฺขิสฺสามี’ติ เอส อาโภโค สมนฺนาหาโร มนสิกาโร น โหติฯ กสฺมา? อากิญฺจญฺญายตนโต เนวสญฺญานาสญฺญายตนสฺส สนฺตตรปณีตตรตายฯ
Nevasaññānāsaññāyatanasaññāsahagatanti ettha pana yāya saññāya bhāvato taṃ nevasaññānāsaññāyatananti vuccati, yathā paṭipannassa sā saññā hoti, taṃ tāva dassetuṃ vibhaṅge ‘‘nevasaññīnāsaññī’’ti uddharitvā ‘‘taññeva ākiñcaññāyatanaṃ santato manasikaroti saṅkhārāvasesasamāpattiṃ bhāveti, tena vuccati nevasaññīnāsaññī’’ti (vibha. 619) vuttaṃ. Tattha ‘santato manasikarotī’ti ‘santā vatāyaṃ samāpatti, yatra hi nāma natthibhāvampi ārammaṇaṃ karitvā ṭhassatī’ti evaṃ santārammaṇatāya naṃ ‘santā’ti manasikaroti. Santato ce manasikaroti, kathaṃ samatikkamo hotīti? Anāvajjitukāmatāya. So hi kiñcāpi naṃ santato manasikaroti, atha khvassa ‘ahametaṃ āvajjissāmi samāpajjissāmi adhiṭṭhahissāmi vuṭṭhahissāmi paccavekkhissāmī’ti esa ābhogo samannāhāro manasikāro na hoti. Kasmā? Ākiñcaññāyatanato nevasaññānāsaññāyatanassa santatarapaṇītataratāya.
ยถา หิ ราชา มหจฺจราชานุภาเวน หตฺถิกฺขนฺธคโต นครวีถิยํ วิจรโนฺต ทนฺตการาทโย สิปฺปิเก เอกํ วตฺถํ ทฬฺหํ นิวาเสตฺวา เอเกน สีสํ เวเฐตฺวา ทนฺตจุณฺณาทีหิ สโมกิณฺณคเตฺต อเนกานิ ทนฺตวิกติอาทีนิ กโรเนฺต ทิสฺวา ‘อโห วต เร เฉกา อาจริยา, อีทิสานิปิ นาม สิปฺปานิ กริสฺสนฺตี’ติ, เอวํ เตสํ เฉกตาย ตุสฺสติ, น จสฺส เอวํ โหติ – ‘อโห วตาหํ รชฺชํ ปหาย เอวรูโป สิปฺปิโก ภเวยฺย’นฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? รชฺชสิริยา มหานิสํสตายฯ โส สิปฺปิเก สมติกฺกมิตฺวาว คจฺฉติฯ เอวเมเวส กิญฺจาปิ ตํ สมาปตฺติํ สนฺตโต มนสิกโรติ, อถ ขฺวสฺส ‘อหเมตํ สมาปตฺติํ อาวชฺชิสฺสามิ สมาปชฺชิสฺสามิ อธิฎฺฐหิสฺสามิ วุฎฺฐหิสฺสามิ ปจฺจเวกฺขิสฺสามี’ติ เนว เอส อาโภโค สมนฺนาหาโร มนสิกาโร โหติฯ โส ตํ สนฺตโต มนสิ กโรโนฺต ตํ ปรมสุขุมํ อปฺปนาปฺปตฺตํ สญฺญํ ปาปุณาติ, ยาย ‘เนวสญฺญีนาสญฺญี นาม โหติ, สงฺขาราวเสสสมาปตฺติํ ภาเวตี’ติ วุจฺจติฯ ‘สงฺขาราวเสสสมาปตฺติ’นฺติ อจฺจนฺตสุขุมภาวปฺปตฺตสงฺขารํ จตุตฺถารุปฺปสมาปตฺติํฯ
Yathā hi rājā mahaccarājānubhāvena hatthikkhandhagato nagaravīthiyaṃ vicaranto dantakārādayo sippike ekaṃ vatthaṃ daḷhaṃ nivāsetvā ekena sīsaṃ veṭhetvā dantacuṇṇādīhi samokiṇṇagatte anekāni dantavikatiādīni karonte disvā ‘aho vata re chekā ācariyā, īdisānipi nāma sippāni karissantī’ti, evaṃ tesaṃ chekatāya tussati, na cassa evaṃ hoti – ‘aho vatāhaṃ rajjaṃ pahāya evarūpo sippiko bhaveyya’nti. Taṃ kissa hetu? Rajjasiriyā mahānisaṃsatāya. So sippike samatikkamitvāva gacchati. Evamevesa kiñcāpi taṃ samāpattiṃ santato manasikaroti, atha khvassa ‘ahametaṃ samāpattiṃ āvajjissāmi samāpajjissāmi adhiṭṭhahissāmi vuṭṭhahissāmi paccavekkhissāmī’ti neva esa ābhogo samannāhāro manasikāro hoti. So taṃ santato manasi karonto taṃ paramasukhumaṃ appanāppattaṃ saññaṃ pāpuṇāti, yāya ‘nevasaññīnāsaññī nāma hoti, saṅkhārāvasesasamāpattiṃ bhāvetī’ti vuccati. ‘Saṅkhārāvasesasamāpatti’nti accantasukhumabhāvappattasaṅkhāraṃ catutthāruppasamāpattiṃ.
อิทานิ ยํ ตํ เอวํ อธิคตาย สญฺญาย วเสน เนวสญฺญานาสญฺญายตนนฺติ วุจฺจติ, ตํ อตฺถโต ทเสฺสตุํ ‘‘เนวสญฺญานาสญฺญายตนนฺติ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมาปนฺนสฺส วา, อุปปนฺนสฺส วา, ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหาริสฺส วา จิตฺตเจตสิกา ธมฺมา’’ติ (วิภ. ๖๒๐) วุตฺตํฯ เตสุ อิธ สมาปนฺนสฺส จิตฺตเจตสิกา ธมฺมา อธิเปฺปตาฯ
Idāni yaṃ taṃ evaṃ adhigatāya saññāya vasena nevasaññānāsaññāyatananti vuccati, taṃ atthato dassetuṃ ‘‘nevasaññānāsaññāyatananti nevasaññānāsaññāyatanaṃ samāpannassa vā, upapannassa vā, diṭṭhadhammasukhavihārissa vā cittacetasikā dhammā’’ti (vibha. 620) vuttaṃ. Tesu idha samāpannassa cittacetasikā dhammā adhippetā.
วจนโตฺถ ปเนตฺถ – โอฬาริกาย สญฺญาย อภาวโต, สุขุมาย จ ภาวโต, เนวสฺส สสมฺปยุตฺตธมฺมสฺส ฌานสฺส สญฺญา, นาสญฺญาติ เนวสญฺญานาสญฺญํฯ เนวสญฺญานาสญฺญญฺจ ตํ มนายตนธมฺมายตนปริยาปนฺนตฺตา อายตนญฺจาติ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํฯ อถ วา ยายเมตฺถ สญฺญา, สา ปฎุสญฺญากิจฺจํ กาตุํ อสมตฺถตาย เนวสญฺญา , สงฺขาราวเสสสุขุมภาเวน วิชฺชมานตฺตา นาสญฺญาติ เนวสญฺญานาสญฺญาฯ เนวสญฺญานาสญฺญา จ สา เสสธมฺมานํ อธิฎฺฐานเฎฺฐน อายตนญฺจาติ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํฯ
Vacanattho panettha – oḷārikāya saññāya abhāvato, sukhumāya ca bhāvato, nevassa sasampayuttadhammassa jhānassa saññā, nāsaññāti nevasaññānāsaññaṃ. Nevasaññānāsaññañca taṃ manāyatanadhammāyatanapariyāpannattā āyatanañcāti nevasaññānāsaññāyatanaṃ. Atha vā yāyamettha saññā, sā paṭusaññākiccaṃ kātuṃ asamatthatāya nevasaññā , saṅkhārāvasesasukhumabhāvena vijjamānattā nāsaññāti nevasaññānāsaññā. Nevasaññānāsaññā ca sā sesadhammānaṃ adhiṭṭhānaṭṭhena āyatanañcāti nevasaññānāsaññāyatanaṃ.
น เกวลเญฺจตฺถ สญฺญาว เอทิสี, อถ โข เวทนาปิ เนวเวทนา นาเวทนา, จิตฺตมฺปิ เนวจิตฺตํ นาจิตฺตํ, ผโสฺสปิ เนวผโสฺส นาผโสฺสติฯ เอส นโย เสสสมฺปยุตฺตธเมฺมสุฯ สญฺญาสีเสน ปนายํ เทสนา กตาติ เวทิตพฺพาฯ ปตฺตมกฺขนเตลปฺปภุตีหิ จ อุปมาหิ เอสมโตฺถ วิภาเวตโพฺพ – สามเณโร กิร เตเลน ปตฺตํ มเกฺขตฺวา ฐเปสิฯ ตํ ยาคุปานกาเล เถโร ‘ปตฺตมาหรา’ติ อาหฯ โส ‘ปเตฺต เตลมตฺถิ, ภเนฺต’ติ อาหฯ ตโต ‘อาหร, สามเณร, เตลํ นาฬิํ ปูเรสฺสามี’ติ วุเตฺต ‘นตฺถิ, ภเนฺต, เตล’นฺติ อาหฯ ตตฺถ ยถา อโนฺตวุตฺถตฺตา ยาคุยา สทฺธิํ อกปฺปิยเฎฺฐน เตลํ อตฺถีติ โหติ, นาฬิปูรณาทีนํ อภาววเสน นตฺถีติ โหติ, เอวํ สาปิ สญฺญา ปฎุสญฺญากิจฺจํ กาตุํ อสมตฺถตาย เนวสญฺญา, สงฺขาราวเสสสุขุมภาเวน วิชฺชมานตฺตา นาสญฺญา โหติฯ
Na kevalañcettha saññāva edisī, atha kho vedanāpi nevavedanā nāvedanā, cittampi nevacittaṃ nācittaṃ, phassopi nevaphasso nāphassoti. Esa nayo sesasampayuttadhammesu. Saññāsīsena panāyaṃ desanā katāti veditabbā. Pattamakkhanatelappabhutīhi ca upamāhi esamattho vibhāvetabbo – sāmaṇero kira telena pattaṃ makkhetvā ṭhapesi. Taṃ yāgupānakāle thero ‘pattamāharā’ti āha. So ‘patte telamatthi, bhante’ti āha. Tato ‘āhara, sāmaṇera, telaṃ nāḷiṃ pūressāmī’ti vutte ‘natthi, bhante, tela’nti āha. Tattha yathā antovutthattā yāguyā saddhiṃ akappiyaṭṭhena telaṃ atthīti hoti, nāḷipūraṇādīnaṃ abhāvavasena natthīti hoti, evaṃ sāpi saññā paṭusaññākiccaṃ kātuṃ asamatthatāya nevasaññā, saṅkhārāvasesasukhumabhāvena vijjamānattā nāsaññā hoti.
กิมฺปเนตฺถ สญฺญากิจฺจนฺติ? อารมฺมณสญฺชานนเญฺจว วิปสฺสนาย จ วิสยภาวํ อุปคนฺตฺวา นิพฺพิทาชนนํฯ ทหนกิจฺจมิว หิ สุโขทเก เตโชธาตุ, สญฺชานนกิจฺจเมฺปสา ปฎุํ กาตุํ น สโกฺกติฯ เสสสมาปตฺตีสุ สญฺญา วิย วิปสฺสนาย วิสยภาวํ อุปคนฺตฺวา นิพฺพิทาชนนมฺปิ กาตุํ น สโกฺกติฯ อเญฺญสุ หิ ขเนฺธสุ อกตาภินิเวโส ภิกฺขุ เนวสญฺญานาสญฺญายตนกฺขเนฺธ สมฺมสิตฺวา นิพฺพิทํ ปตฺตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ อปิจ อายสฺมา สาริปุโตฺต, ปกติวิปสฺสโก ปน มหาปโญฺญ สาริปุตฺตสทิโสว สกฺกุเณยฺยฯ โสปิ ‘‘เอวํ กิริเม ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๙๕) เอวํ กลาปสมฺมสนวเสเนว, โน อนุปทธมฺมวิปสฺสนาวเสนฯ เอวํ สุขุมตฺตํ คตา เอสา สมาปตฺติฯ
Kimpanettha saññākiccanti? Ārammaṇasañjānanañceva vipassanāya ca visayabhāvaṃ upagantvā nibbidājananaṃ. Dahanakiccamiva hi sukhodake tejodhātu, sañjānanakiccampesā paṭuṃ kātuṃ na sakkoti. Sesasamāpattīsu saññā viya vipassanāya visayabhāvaṃ upagantvā nibbidājananampi kātuṃ na sakkoti. Aññesu hi khandhesu akatābhiniveso bhikkhu nevasaññānāsaññāyatanakkhandhe sammasitvā nibbidaṃ pattuṃ samattho nāma natthi. Apica āyasmā sāriputto, pakativipassako pana mahāpañño sāriputtasadisova sakkuṇeyya. Sopi ‘‘evaṃ kirime dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’’ti (ma. ni. 3.95) evaṃ kalāpasammasanavaseneva, no anupadadhammavipassanāvasena. Evaṃ sukhumattaṃ gatā esā samāpatti.
ยถา จ ปตฺตมกฺขนเตลูปมาย เอวํ มคฺคุทกูปมายปิ อยมโตฺถ วิภาเวตโพฺพฯ มคฺคปฎิปนฺนสฺส กิร เถรสฺส ปุรโต คจฺฉโนฺต สามเณโร โถกมุทกํ ทิสฺวา ‘อุทกํ, ภเนฺต, อุปาหนา โอมุญฺจถา’ติ อาหฯ ตโต เถเรน ‘สเจ อุทกมตฺถิ, อาหร นฺหานสาฎกํ, นฺหายิสฺสามี’ติ วุเตฺต ‘นตฺถิ, ภเนฺต’ติ อาหฯ ตตฺถ ยถา อุปาหนเตมนมตฺตเฎฺฐน อุทกํ อตฺถีติ โหติ , นฺหานเฎฺฐน นตฺถีติ โหติ, เอวมฺปิ สา ปฎุสญฺญากิจฺจํ กาตุํ อสมตฺถตาย เนว สญฺญา, สงฺขาราวเสสสุขุมภาเวน วิชฺชมานตฺตา นาสญฺญา โหติฯ น เกวลญฺจ เอตาเหว, อญฺญาหิปิ อนุรูปาหิ อุปมาหิ เอส อโตฺถ วิภาเวตโพฺพฯ อิติ อิมาย เนวสญฺญานาสญฺญายตเน ปวตฺตาย สญฺญาย เนวสญฺญานาสญฺญายตนภูตาย วา สญฺญาย สหคตนฺติ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญาสหคตํฯ อากิญฺจญฺญายตนสมาปตฺติอารมฺมณสฺส ฌานเสฺสตํ อธิวจนํฯ
Yathā ca pattamakkhanatelūpamāya evaṃ maggudakūpamāyapi ayamattho vibhāvetabbo. Maggapaṭipannassa kira therassa purato gacchanto sāmaṇero thokamudakaṃ disvā ‘udakaṃ, bhante, upāhanā omuñcathā’ti āha. Tato therena ‘sace udakamatthi, āhara nhānasāṭakaṃ, nhāyissāmī’ti vutte ‘natthi, bhante’ti āha. Tattha yathā upāhanatemanamattaṭṭhena udakaṃ atthīti hoti , nhānaṭṭhena natthīti hoti, evampi sā paṭusaññākiccaṃ kātuṃ asamatthatāya neva saññā, saṅkhārāvasesasukhumabhāvena vijjamānattā nāsaññā hoti. Na kevalañca etāheva, aññāhipi anurūpāhi upamāhi esa attho vibhāvetabbo. Iti imāya nevasaññānāsaññāyatane pavattāya saññāya nevasaññānāsaññāyatanabhūtāya vā saññāya sahagatanti nevasaññānāsaññāyatanasaññāsahagataṃ. Ākiñcaññāyatanasamāpattiārammaṇassa jhānassetaṃ adhivacanaṃ.
อิธ อากิญฺจญฺญายตนสมาปตฺติยา นิกนฺติปริยาทานทุกฺขตาย ทุกฺขา ปฎิปทา, ปริยาทินฺนนิกนฺติกสฺส อปฺปนาปริวาสทนฺธตาย ทนฺธาภิญฺญาฯ วิปริยาเยน สุขา ปฎิปทา ขิปฺปาภิญฺญา จฯ ปริตฺตกสิณุคฺฆาฎิมากาเส ปวตฺติตวิญฺญาณาปคมารมฺมณํ สมาปตฺติํ อารพฺภ ปวตฺติตาย ปริตฺตารมฺมณตา, วิปริยาเยน อปฺปมาณารมฺมณตา เวทิตพฺพาฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ
Idha ākiñcaññāyatanasamāpattiyā nikantipariyādānadukkhatāya dukkhā paṭipadā, pariyādinnanikantikassa appanāparivāsadandhatāya dandhābhiññā. Vipariyāyena sukhā paṭipadā khippābhiññā ca. Parittakasiṇugghāṭimākāse pavattitaviññāṇāpagamārammaṇaṃ samāpattiṃ ārabbha pavattitāya parittārammaṇatā, vipariyāyena appamāṇārammaṇatā veditabbā. Sesaṃ purimasadisameva.
อสทิสรูโป นาโถ, อารุปฺปํ ยํ จตุพฺพิธํ อาห;
Asadisarūpo nātho, āruppaṃ yaṃ catubbidhaṃ āha;
ตํ อิติ ญตฺวา ตสฺมิํ, ปกิณฺณกกถาปิ วิเญฺญยฺยาฯ
Taṃ iti ñatvā tasmiṃ, pakiṇṇakakathāpi viññeyyā.
อรูปสมาปตฺติโย หิ –
Arūpasamāpattiyo hi –
อารมฺมณาติกฺกมโต, จตโสฺสปิ ภวนฺติมา;
Ārammaṇātikkamato, catassopi bhavantimā;
องฺคาติกฺกมเมตาสํ, น อิจฺฉนฺติ วิภาวิโนฯ
Aṅgātikkamametāsaṃ, na icchanti vibhāvino.
เอตาสุ หิ รูปนิมิตฺตาติกฺกมโต ปฐมา, อากาสาติกฺกมโต ทุติยา, อากาเส ปวตฺติตวิญฺญาณาติกฺกมโต ตติยา, อากาเส ปวตฺติตวิญฺญาณสฺส อปคมาติกฺกมโต จตุตฺถาติ สพฺพถา ‘อารมฺมณาติกฺกมโต จตโสฺสปิ ภวนฺติมา’ อรูปสมาปตฺติโยติ เวทิตพฺพาฯ องฺคาติกฺกมํ ปน เอตาสํ น อิจฺฉนฺติ ปณฺฑิตาฯ น หิ รูปาวจรสมาปตฺตีสุ วิย เอตาสุ องฺคาติกฺกโม อตฺถิฯ สพฺพาสุปิ หิ เอตาสุ อุเปกฺขา จิเตฺตกคฺคตาติ เทฺว เอว ฌานงฺคานิ โหนฺติฯ เอวํ สเนฺตปิ –
Etāsu hi rūpanimittātikkamato paṭhamā, ākāsātikkamato dutiyā, ākāse pavattitaviññāṇātikkamato tatiyā, ākāse pavattitaviññāṇassa apagamātikkamato catutthāti sabbathā ‘ārammaṇātikkamato catassopi bhavantimā’ arūpasamāpattiyoti veditabbā. Aṅgātikkamaṃ pana etāsaṃ na icchanti paṇḍitā. Na hi rūpāvacarasamāpattīsu viya etāsu aṅgātikkamo atthi. Sabbāsupi hi etāsu upekkhā cittekaggatāti dve eva jhānaṅgāni honti. Evaṃ santepi –
สุปณีตตรา โหนฺติ, ปจฺฉิมา ปจฺฉิมา อิธ;
Supaṇītatarā honti, pacchimā pacchimā idha;
อุปมา ตตฺถ วิเญฺญยฺยา, ปาสาทตลสาฎิกาฯ
Upamā tattha viññeyyā, pāsādatalasāṭikā.
ยถา หิ จตุภูมกปาสาทสฺส เหฎฺฐิมตเล ทิพฺพนจฺจคีตวาทิตสุรภิคนฺธมาลาสาทุรสปานโภชนสยนจฺฉาทนาทิวเสน ปณีตา ปญฺจ กามคุณา ปจฺจุปฎฺฐิตา อสฺสุ, ทุติเย ตโต ปณีตตรา, ตติเย ตโต ปณีตตมา, จตุเตฺถ สพฺพปณีตา; ตตฺถ กิญฺจาปิ ตานิ จตฺตาริปิ ปาสาทตลาเนว, นตฺถิ เนสํ ปาสาทตลภาเวน วิเสโส, ปญฺจกามคุณสมิทฺธิวิเสเสน ปน เหฎฺฐิมโต เหฎฺฐิมโต อุปริมํ อุปริมํ ปณีตตรํ โหติฯ
Yathā hi catubhūmakapāsādassa heṭṭhimatale dibbanaccagītavāditasurabhigandhamālāsādurasapānabhojanasayanacchādanādivasena paṇītā pañca kāmaguṇā paccupaṭṭhitā assu, dutiye tato paṇītatarā, tatiye tato paṇītatamā, catutthe sabbapaṇītā; tattha kiñcāpi tāni cattāripi pāsādatalāneva, natthi nesaṃ pāsādatalabhāvena viseso, pañcakāmaguṇasamiddhivisesena pana heṭṭhimato heṭṭhimato uparimaṃ uparimaṃ paṇītataraṃ hoti.
ยถา จ เอกาย อิตฺถิยา กนฺติตถูลสณฺหสณฺหตรสณฺหตมสุตฺตานํ จตุปลติปลทฺวิปลเอกปลสาฎิกา อสฺสุ, อายาเมน วิตฺถาเรน จ สมปฺปมาณา; ตตฺถ กิญฺจาปิ ตา สาฎิกา จตโสฺสปิ อายามโต จ วิตฺถารโต จ สมปฺปมาณา, นตฺถิ ตาสํ ปมาณโต วิเสโส, สุขสมฺผสฺสสุขุมภาวมหคฺฆภาเวหิ ปน ปุริมาย ปุริมาย ปจฺฉิมา ปจฺฉิมา ปณีตตรา โหนฺติ, เอวเมว กิญฺจาปิ จตูสุปิ เอตาสุ อุเปกฺขา จิเตฺตกคฺคตาติ เอตานิ เทฺวเยว องฺคานิ โหนฺติ, อถ โข ภาวนาวิเสเสน เตสํ องฺคานํ ปณีตปณีตตรภาเวน สุปณีตตรา โหนฺติ ปจฺฉิมา ปจฺฉิมา อิธาติ เวทิตพฺพาฯ เอวํ อนุปุเพฺพน ปณีตปณีตา เจตา –
Yathā ca ekāya itthiyā kantitathūlasaṇhasaṇhatarasaṇhatamasuttānaṃ catupalatipaladvipalaekapalasāṭikā assu, āyāmena vitthārena ca samappamāṇā; tattha kiñcāpi tā sāṭikā catassopi āyāmato ca vitthārato ca samappamāṇā, natthi tāsaṃ pamāṇato viseso, sukhasamphassasukhumabhāvamahagghabhāvehi pana purimāya purimāya pacchimā pacchimā paṇītatarā honti, evameva kiñcāpi catūsupi etāsu upekkhā cittekaggatāti etāni dveyeva aṅgāni honti, atha kho bhāvanāvisesena tesaṃ aṅgānaṃ paṇītapaṇītatarabhāvena supaṇītatarā honti pacchimā pacchimā idhāti veditabbā. Evaṃ anupubbena paṇītapaṇītā cetā –
อสุจิมฺหิ มณฺฑเป ลโคฺค, เอโก ตํ นิสฺสิโต ปโร;
Asucimhi maṇḍape laggo, eko taṃ nissito paro;
อโญฺญ พหิ อนิสฺสาย, ตํ ตํ นิสฺสาย จาปโรฯ
Añño bahi anissāya, taṃ taṃ nissāya cāparo.
ฐิโต จตูหิ เอเตหิ, ปุริเสหิ ยถากฺกมํ;
Ṭhito catūhi etehi, purisehi yathākkamaṃ;
สมานตาย ญาตพฺพา, จตโสฺสปิ วิภาวินาฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๙๑);
Samānatāya ñātabbā, catassopi vibhāvinā. (visuddhi. 1.291);
ตตฺรายมตฺถโยชนา – อสุจิมฺหิ กิร เทเส เอโก มณฺฑโปฯ อเถโก ปุริโส อาคนฺตฺวา ตํ อสุจิํ ชิคุจฺฉมาโน ตํ มณฺฑปํ หเตฺถหิ อาลมฺพิตฺวา ตตฺถ ลโคฺค, ลคฺคิโต วิย อฎฺฐาสิฯ อถาปโร อาคนฺตฺวา ตํ มณฺฑปลคฺคํ ปุริสํ นิสฺสิโตฯ อถโญฺญ อาคนฺตฺวา จิเนฺตสิ – ‘โย เอส มณฺฑเป ลโคฺค, โย จ ตํ นิสฺสิโต, อุโภเปเต ทุฎฺฐิตา; ธุโว จ เนสํ มณฺฑปปปาเต ปาโต, หนฺทาหํ พหิเยว ติฎฺฐามี’ติ โส ตนฺนิสฺสิตํ อนิสฺสาย พหิเยว อฎฺฐาสิฯ อถาปโร อาคนฺตฺวา มณฺฑปลคฺคสฺส ตนฺนิสฺสิตสฺส จ อเขมภาวํ จิเนฺตตฺวา พหิฐิตญฺจ สุฎฺฐิโตติ มนฺตฺวา ตํ นิสฺสาย อฎฺฐาสิฯ
Tatrāyamatthayojanā – asucimhi kira dese eko maṇḍapo. Atheko puriso āgantvā taṃ asuciṃ jigucchamāno taṃ maṇḍapaṃ hatthehi ālambitvā tattha laggo, laggito viya aṭṭhāsi. Athāparo āgantvā taṃ maṇḍapalaggaṃ purisaṃ nissito. Athañño āgantvā cintesi – ‘yo esa maṇḍape laggo, yo ca taṃ nissito, ubhopete duṭṭhitā; dhuvo ca nesaṃ maṇḍapapapāte pāto, handāhaṃ bahiyeva tiṭṭhāmī’ti so tannissitaṃ anissāya bahiyeva aṭṭhāsi. Athāparo āgantvā maṇḍapalaggassa tannissitassa ca akhemabhāvaṃ cintetvā bahiṭhitañca suṭṭhitoti mantvā taṃ nissāya aṭṭhāsi.
ตตฺถ อสุจิมฺหิ เทเส มณฺฑโป วิย กสิณุคฺฆาฎิมากาสํ ทฎฺฐพฺพํฯ อสุจิชิคุจฺฉาย มณฺฑปลโคฺค ปุริโส วิย รูปนิมิตฺตชิคุจฺฉาย อากาสารมฺมณํ อากาสานญฺจายตนํ ฯ มณฺฑปลคฺคํ ปุริสํ นิสฺสิโต วิย อากาสารมฺมณํ อากาสานญฺจายตนํ อารพฺภ ปวตฺตํ วิญฺญาณญฺจายตนํฯ เตสํ ทฺวินฺนมฺปิ อเขมภาวํ จิเนฺตตฺวา อนิสฺสาย ตํ มณฺฑปลคฺคํ, พหิฐิโต วิย, อากาสานญฺจายตนํ อารมฺมณํ อกตฺวา ตทภาวารมฺมณํ อากิญฺจญฺญายตนํฯ มณฺฑปลคฺคสฺส ตนฺนิสฺสิตสฺส จ อเขมตํ จิเนฺตตฺวา พหิฐิตญฺจ ‘สุฎฺฐิโต’ติ มนฺตฺวา ตํ นิสฺสาย ฐิโต วิย วิญฺญาณาภาวสงฺขาเต พหิปเทเส ฐิตํ อากิญฺจญฺญายตนํ อารพฺภ ปวตฺตํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ ทฎฺฐพฺพํฯ เอวํ ปวตฺตมานญฺจ –
Tattha asucimhi dese maṇḍapo viya kasiṇugghāṭimākāsaṃ daṭṭhabbaṃ. Asucijigucchāya maṇḍapalaggo puriso viya rūpanimittajigucchāya ākāsārammaṇaṃ ākāsānañcāyatanaṃ . Maṇḍapalaggaṃ purisaṃ nissito viya ākāsārammaṇaṃ ākāsānañcāyatanaṃ ārabbha pavattaṃ viññāṇañcāyatanaṃ. Tesaṃ dvinnampi akhemabhāvaṃ cintetvā anissāya taṃ maṇḍapalaggaṃ, bahiṭhito viya, ākāsānañcāyatanaṃ ārammaṇaṃ akatvā tadabhāvārammaṇaṃ ākiñcaññāyatanaṃ. Maṇḍapalaggassa tannissitassa ca akhemataṃ cintetvā bahiṭhitañca ‘suṭṭhito’ti mantvā taṃ nissāya ṭhito viya viññāṇābhāvasaṅkhāte bahipadese ṭhitaṃ ākiñcaññāyatanaṃ ārabbha pavattaṃ nevasaññānāsaññāyatanaṃ daṭṭhabbaṃ. Evaṃ pavattamānañca –
อารมฺมณํ กโรเตว, อญฺญาภาเวน ตํ อิทํ;
Ārammaṇaṃ karoteva, aññābhāvena taṃ idaṃ;
ทิฎฺฐโทสมฺปิ ราชานํ, วุตฺติเหตุ ยถา ชโนฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๙๒);
Diṭṭhadosampi rājānaṃ, vuttihetu yathā jano. (visuddhi. 1.292);
อิทญฺหิ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ ‘อาสนฺนวิญฺญาณญฺจายตนปจฺจตฺถิกา อยํ สมาปตฺตี’ติ เอวํ ทิฎฺฐโทสมฺปิ ตํ อากิญฺจญฺญายตนํ อญฺญสฺส อารมฺมณสฺส อภาวา อารมฺมณํ กโรเตวฯ ยถา กิํ? ‘ทิฎฺฐโทสมฺปิ ราชานํ วุตฺติเหตุ ยถา ชโน’ฯ ยถา หิ อสํยตํ ผรุสกายวจีมโนสมาจารํ กญฺจิ สพฺพทิสมฺปติํ ราชานํ ‘ผรุสสมาจาโร อย’นฺติ เอวํ ทิฎฺฐโทสมฺปิ อญฺญตฺถ วุตฺติํ อลภมาโน ชโน วุตฺติเหตุ นิสฺสาย วตฺตติ, เอวํ ทิฎฺฐโทสมฺปิ ตํ อากิญฺจญฺญายตนํ อญฺญํ อารมฺมณํ อลภมานมิทํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อารมฺมณํ กโรเตวฯ เอวํ กุรุมานญฺจ –
Idañhi nevasaññānāsaññāyatanaṃ ‘āsannaviññāṇañcāyatanapaccatthikā ayaṃ samāpattī’ti evaṃ diṭṭhadosampi taṃ ākiñcaññāyatanaṃ aññassa ārammaṇassa abhāvā ārammaṇaṃ karoteva. Yathā kiṃ? ‘Diṭṭhadosampi rājānaṃ vuttihetu yathā jano’. Yathā hi asaṃyataṃ pharusakāyavacīmanosamācāraṃ kañci sabbadisampatiṃ rājānaṃ ‘pharusasamācāro aya’nti evaṃ diṭṭhadosampi aññattha vuttiṃ alabhamāno jano vuttihetu nissāya vattati, evaṃ diṭṭhadosampi taṃ ākiñcaññāyatanaṃ aññaṃ ārammaṇaṃ alabhamānamidaṃ nevasaññānāsaññāyatanaṃ ārammaṇaṃ karoteva. Evaṃ kurumānañca –
อารุโฬฺห ทีฆนิเสฺสณิํ, ยถา นิเสฺสณิพาหุกํ;
Āruḷho dīghanisseṇiṃ, yathā nisseṇibāhukaṃ;
ปพฺพตคฺคญฺจ อารุโฬฺห, ยถา ปพฺพตมตฺถกํฯ
Pabbataggañca āruḷho, yathā pabbatamatthakaṃ.
ยถา วา คิริมารุโฬฺห, อตฺตโนเยว ชณฺณุกํ;
Yathā vā girimāruḷho, attanoyeva jaṇṇukaṃ;
โอลุพฺภติ ตเถเวตํ, ฌานโมลุพฺภ วตฺตตีติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๙๓);
Olubbhati tathevetaṃ, jhānamolubbha vattatīti. (visuddhi. 1.293);
อรูปาวจรกุสลกถา นิฎฺฐิตาฯ
Arūpāvacarakusalakathā niṭṭhitā.