Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā |
นิทานกถาวณฺณนา
Nidānakathāvaṇṇanā
อฎฺฐสาลินิํ ตาว วเณฺณเนฺตหิ อาจริเยหิ ตสฺสา สนฺนิเวโส วิภาเวตโพฺพฯ ตสฺมา อิทํ วุจฺจติ –
Aṭṭhasāliniṃ tāva vaṇṇentehi ācariyehi tassā sanniveso vibhāvetabbo. Tasmā idaṃ vuccati –
‘‘วจนโตฺถ ปริเจฺฉโท, สนฺนิเวโส จ ปาฬิยา;
‘‘Vacanattho paricchedo, sanniveso ca pāḷiyā;
สาคเรหิ ตถา จินฺตา, เทสนาหิ คมฺภีรตาฯ
Sāgarehi tathā cintā, desanāhi gambhīratā.
‘‘เทสนาย สรีรสฺส, ปวตฺติคฺคหณํ ตถา;
‘‘Desanāya sarīrassa, pavattiggahaṇaṃ tathā;
เถรสฺส วาจนามคฺค-ตปฺปภาวิตตาปิ จฯ
Therassa vācanāmagga-tappabhāvitatāpi ca.
‘‘ปฎิเวธา ตถา พุทฺธ-วจนาทีหิ อาทิโต;
‘‘Paṭivedhā tathā buddha-vacanādīhi ādito;
อาภิธมฺมิกภาวสฺส, สาธนํ สพฺพทสฺสิโนฯ
Ābhidhammikabhāvassa, sādhanaṃ sabbadassino.
‘‘วินเยนาถ โคสิงฺค-สุเตฺตน จ มเหสินา;
‘‘Vinayenātha gosiṅga-suttena ca mahesinā;
ภาสิตตฺตสฺส สํสิทฺธิ, นิทาเนน จ ทีปิตาฯ
Bhāsitattassa saṃsiddhi, nidānena ca dīpitā.
‘‘ปกาเสตฺวา อิมํ สพฺพํ, ปฎิญฺญาตกถา กตา;
‘‘Pakāsetvā imaṃ sabbaṃ, paṭiññātakathā katā;
อฎฺฐสาลินิยา เอตํ, สนฺนิเวสํ วิภาวเย’’ติฯ
Aṭṭhasāliniyā etaṃ, sannivesaṃ vibhāvaye’’ti.
วจนตฺถวิชานเนน วิทิตาภิธมฺมสามญฺญตฺถสฺส อภิธมฺมกถา วุจฺจมานา โสเภยฺยาติ อภิธมฺมปริชานนเมว อาทิมฺหิ ยุตฺตรูปนฺติ ตทตฺถํ ปุจฺฉติ ‘‘ตตฺถ เกนเฎฺฐน อภิธโมฺม’’ติฯ ตตฺถ ตตฺถาติ ‘‘อภิธมฺมสฺส อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ ยทิทํ วุตฺตํ, ตสฺมิํฯ ‘‘ยสฺส อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ ปฎิญฺญาตํ, โส อภิธโมฺม เกนเฎฺฐน อภิธโมฺมติ อโตฺถฯ ตตฺถาติ วา ‘‘อภิธมฺมกถ’’นฺติ เอตสฺมิํ วจเน โย อภิธโมฺม วุโตฺต, โส เกนเฎฺฐน อภิธโมฺมติ อโตฺถฯ ธมฺมาติเรกธมฺมวิเสสเฎฺฐนาติ เอตฺถ ธโมฺม อติเรโก ธมฺมาติเรโก, สุตฺตนฺตาธิกา ปาฬีติ อโตฺถฯ ธโมฺม วิเสโส ธมฺมวิเสโส ธมฺมาติสโย, วิจิตฺตา ปาฬีติ อโตฺถ, ธมฺมาติเรกธมฺมวิเสสา เอว อโตฺถ ธมฺมาติเรกธมฺมวิเสสโฎฺฐฯ ทฺวินฺนมฺปิ อตฺถานํ อภิธมฺมสทฺทสฺส อตฺถภาเวน สามญฺญโต เอกวจนนิเทฺทโส กโตฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ‘‘อภิกฺกมนฺติ, อภิกฺกนฺตวณฺณา’’ติอาทีสุ วิย อติเรกวิเสสฎฺฐทีปโก อภิสโทฺท, ตสฺมา อยมฺปิ ธโมฺม ธมฺมาติเรกธมฺมวิเสสเฎฺฐน ‘‘อภิธโมฺม’’ติ วุจฺจตีติ สมฺพโนฺธฯ
Vacanatthavijānanena viditābhidhammasāmaññatthassa abhidhammakathā vuccamānā sobheyyāti abhidhammaparijānanameva ādimhi yuttarūpanti tadatthaṃ pucchati ‘‘tattha kenaṭṭhena abhidhammo’’ti. Tattha tatthāti ‘‘abhidhammassa atthaṃ pakāsayissāmī’’ti yadidaṃ vuttaṃ, tasmiṃ. ‘‘Yassa atthaṃ pakāsayissāmī’’ti paṭiññātaṃ, so abhidhammo kenaṭṭhena abhidhammoti attho. Tatthāti vā ‘‘abhidhammakatha’’nti etasmiṃ vacane yo abhidhammo vutto, so kenaṭṭhena abhidhammoti attho. Dhammātirekadhammavisesaṭṭhenāti ettha dhammo atireko dhammātireko, suttantādhikā pāḷīti attho. Dhammo viseso dhammaviseso dhammātisayo, vicittā pāḷīti attho, dhammātirekadhammavisesā eva attho dhammātirekadhammavisesaṭṭho. Dvinnampi atthānaṃ abhidhammasaddassa atthabhāvena sāmaññato ekavacananiddeso kato. Tasmāti yasmā ‘‘abhikkamanti, abhikkantavaṇṇā’’tiādīsu viya atirekavisesaṭṭhadīpako abhisaddo, tasmā ayampi dhammo dhammātirekadhammavisesaṭṭhena ‘‘abhidhammo’’ti vuccatīti sambandho.
ตตฺถ สิยา – ‘‘อภิกฺกมนฺติ, อภิกฺกนฺตวณฺณา’’ติ เอตฺถ ธาตุสทฺทสฺส ปุรโต ปยุชฺชมาโน อภิสโทฺท กิริยาย อติเรกวิเสสภาวทีปโก โหตีติ ยุตฺตํ อุปสคฺคภาวโต, ธมฺมสโทฺท ปน น ธาตุสโทฺทติ เอตสฺมา ปุรโต อภิสโทฺท ปโยคเมว นารหติฯ อถาปิ ปยุเชฺชยฺย, กิริยาวิเสสกา อุปสคฺคา, น จ ธโมฺม กิริยาติ ธมฺมสฺส อติเรกวิเสสภาวทีปนํ น ยุตฺตนฺติ? โน น ยุตฺตํฯ อญฺญสฺสปิ หิ อุปสคฺคสฺส อธาตุสทฺทา ปุรโต ปยุชฺชมานสฺส อกิริยายปิ อติเรกวิเสสภาวทีปกสฺส ทสฺสนโตติ เอตมตฺถํ วิภาเวตุํ อติฉตฺตาทิอุทาหรณํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ยถา’’ติอาทิฯ เอวเมวาติ ยถา ฉตฺตาติเรกฉตฺตวิเสสาทิอเตฺถน อติฉตฺตาทโย โหนฺติ อติสทฺทสฺส อุปสคฺคสฺส อธาตุสทฺทสฺสปิ ปุรโต ปยุชฺชมานสฺส อกิริยาย จ ตพฺภาวทีปกตฺตา, เอวมยมฺปิ ธโมฺม ธมฺมาติเรกธมฺมวิเสสเฎฺฐน ‘‘อภิธโมฺม’’ติ วุจฺจติ อภิ-สทฺทสฺส อุปสคฺคสฺส อธาตุสทฺทสฺสปิ ปุรโต ปยุชฺชมานสฺส อกิริยาย จ ตพฺภาวทีปกตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ
Tattha siyā – ‘‘abhikkamanti, abhikkantavaṇṇā’’ti ettha dhātusaddassa purato payujjamāno abhisaddo kiriyāya atirekavisesabhāvadīpako hotīti yuttaṃ upasaggabhāvato, dhammasaddo pana na dhātusaddoti etasmā purato abhisaddo payogameva nārahati. Athāpi payujjeyya, kiriyāvisesakā upasaggā, na ca dhammo kiriyāti dhammassa atirekavisesabhāvadīpanaṃ na yuttanti? No na yuttaṃ. Aññassapi hi upasaggassa adhātusaddā purato payujjamānassa akiriyāyapi atirekavisesabhāvadīpakassa dassanatoti etamatthaṃ vibhāvetuṃ atichattādiudāharaṇaṃ dassento āha ‘‘yathā’’tiādi. Evamevāti yathā chattātirekachattavisesādiatthena atichattādayo honti atisaddassa upasaggassa adhātusaddassapi purato payujjamānassa akiriyāya ca tabbhāvadīpakattā, evamayampi dhammo dhammātirekadhammavisesaṭṭhena ‘‘abhidhammo’’ti vuccati abhi-saddassa upasaggassa adhātusaddassapi purato payujjamānassa akiriyāya ca tabbhāvadīpakattāti adhippāyo.
เอกเทเสเนว วิภตฺตาติ ‘‘กตเม จ, ภิกฺขเว, ปญฺจกฺขนฺธา? รูปกฺขโนฺธ…เป.… วิญฺญาณกฺขโนฺธฯ กตโม จ, ภิกฺขเว, รูปกฺขโนฺธ? ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตา…เป.… สนฺติเก วา, อยํ วุจฺจติ รูปกฺขโนฺธ’’ติเอวมาทินา (สํ. นิ. ๓.๔๘; วิภ. ๒) อุเทฺทสนิเทฺทสมเตฺตเนว วิภตฺตา, ‘‘ตตฺถ กตมํ รูปํ อตีต’’นฺติเอวมาทินา (วิภ. ๓) ปฎินิเทฺทสสฺส อภิธมฺมภาชนียสฺส ปญฺหปุจฺฉกสฺส จ อภาวา น นิปฺปเทเสนฯ อภิธมฺมํ ปตฺวา ปน…เป.… นิปฺปเทสโตว วิภตฺตา, ตสฺมา อยมฺปิ ธโมฺม ธมฺมาติเรกธมฺมวิเสสเฎฺฐน ‘‘อภิธโมฺม’’ติ วุจฺจติ นิปฺปเทสานํ ติณฺณมฺปิ นยานํ อติเรกปาฬิภาวโต วิเสสปาฬิภาวโต จาติ อธิปฺปาโยฯ สุตฺตเนฺต พาวีสติยา อินฺทฺริยานํ เอกโต อนาคตตฺตา อินฺทฺริยวิภเงฺค สุตฺตนฺตภาชนียํ นตฺถิฯ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สมฺภวนฺตี’’ติอาทินา ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ตสฺส ตสฺส ปจฺจยธมฺมสฺส ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมานํ ปจฺจยภาโว อุทฺทิโฎฺฐ, อุทฺทิฎฺฐธมฺมานญฺจ กุสลาทิภาโว ปุจฺฉิตฺวา วิสฺสเชฺชตโพฺพ, น เจตฺถ ‘‘อวิชฺชาสงฺขารา’’ติ เอวํ วุโตฺต อุเทฺทโส อตฺถีติ ปญฺหปุจฺฉกํ นตฺถิฯ สุตฺตเนฺต ปญฺจ สิกฺขาปทานิ อุทฺทิฎฺฐานิ ปาณาติปาตา เวรมณีติอาทีนิฯ สา ปน เวรมณี ยทิ สภาวกิจฺจาทิวเสน วิภชีเยยฺย, ‘‘อารติ วิรตี’’ติอาทินา อภิธมฺมภาชนียเมว โหติฯ อถาปิ จิตฺตุปฺปาทวเสน วิภชีเยยฺย, ตถาปิ อภิธมฺมภาชนียเมว โหติฯ อโญฺญ ปน เวรมณีนํ วิภชิตพฺพปฺปกาโร นตฺถิ, เยน ปกาเรน สุตฺตนฺตภาชนียํ วตฺตพฺพํ สิยาฯ ตสฺมา สิกฺขาปทวิภเงฺค สุตฺตนฺตภาชนียํ นตฺถิฯ
Ekadeseneva vibhattāti ‘‘katame ca, bhikkhave, pañcakkhandhā? Rūpakkhandho…pe… viññāṇakkhandho. Katamo ca, bhikkhave, rūpakkhandho? Yaṃ kiñci rūpaṃ atītā…pe… santike vā, ayaṃ vuccati rūpakkhandho’’tievamādinā (saṃ. ni. 3.48; vibha. 2) uddesaniddesamatteneva vibhattā, ‘‘tattha katamaṃ rūpaṃ atīta’’ntievamādinā (vibha. 3) paṭiniddesassa abhidhammabhājanīyassa pañhapucchakassa ca abhāvā na nippadesena. Abhidhammaṃ patvā pana…pe… nippadesatova vibhattā, tasmā ayampi dhammo dhammātirekadhammavisesaṭṭhena ‘‘abhidhammo’’ti vuccati nippadesānaṃ tiṇṇampi nayānaṃ atirekapāḷibhāvato visesapāḷibhāvato cāti adhippāyo. Suttante bāvīsatiyā indriyānaṃ ekato anāgatattā indriyavibhaṅge suttantabhājanīyaṃ natthi. ‘‘Avijjāpaccayā saṅkhārā sambhavantī’’tiādinā paṭiccasamuppāde tassa tassa paccayadhammassa paccayuppannadhammānaṃ paccayabhāvo uddiṭṭho, uddiṭṭhadhammānañca kusalādibhāvo pucchitvā vissajjetabbo, na cettha ‘‘avijjāsaṅkhārā’’ti evaṃ vutto uddeso atthīti pañhapucchakaṃ natthi. Suttante pañca sikkhāpadāni uddiṭṭhāni pāṇātipātā veramaṇītiādīni. Sā pana veramaṇī yadi sabhāvakiccādivasena vibhajīyeyya, ‘‘ārati viratī’’tiādinā abhidhammabhājanīyameva hoti. Athāpi cittuppādavasena vibhajīyeyya, tathāpi abhidhammabhājanīyameva hoti. Añño pana veramaṇīnaṃ vibhajitabbappakāro natthi, yena pakārena suttantabhājanīyaṃ vattabbaṃ siyā. Tasmā sikkhāpadavibhaṅge suttantabhājanīyaṃ natthi.
วจนตฺถโต อภิธเมฺม ญาเต ปริเจฺฉทโต ญาเปตุํ อาห ‘‘ปกรณปริเจฺฉทโต’’ติอาทิฯ กติปยาว ปญฺหวารา อวเสสาติ ธมฺมหทยวิภเงฺค อนาคตา หุตฺวา มหาธมฺมหทเย อาคตา ธมฺมหทยวิภงฺควจนวเสน อวเสสา กติปยาว ปญฺหวาราติ อโตฺถฯ เอเตฺถว สงฺคหิตาติ ‘‘อปุพฺพํ นตฺถี’’ติ วุตฺตํฯ อปฺปมตฺติกาว ตนฺติ อวเสสาติ ธมฺมหทยวิภเงฺค อนาคนฺตฺวา มหาธมฺมหทเย อาคตตนฺติโต ยทิ ปถวีอาทีนํ วิตฺถารกถา มหาธาตุกถา รูปกณฺฑธาตุวิภงฺคาทีสุ, อถ ธาตุกถาย วิตฺถารกถา ธาตุกถาย อนาคนฺตฺวา มหาธาตุกถาย อาคตตนฺติ อปฺปมตฺติกาวาติ อธิปฺปาโยฯ
Vacanatthato abhidhamme ñāte paricchedato ñāpetuṃ āha ‘‘pakaraṇaparicchedato’’tiādi. Katipayāva pañhavārā avasesāti dhammahadayavibhaṅge anāgatā hutvā mahādhammahadaye āgatā dhammahadayavibhaṅgavacanavasena avasesā katipayāva pañhavārāti attho. Ettheva saṅgahitāti ‘‘apubbaṃ natthī’’ti vuttaṃ. Appamattikāva tanti avasesāti dhammahadayavibhaṅge anāgantvā mahādhammahadaye āgatatantito yadi pathavīādīnaṃ vitthārakathā mahādhātukathā rūpakaṇḍadhātuvibhaṅgādīsu, atha dhātukathāya vitthārakathā dhātukathāya anāgantvā mahādhātukathāya āgatatanti appamattikāvāti adhippāyo.
ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘สาวกภาสิตตฺตา ฉเฑฺฑถ น’’นฺติ, ตํ พุทฺธภาสิตภาวทสฺสเนน ปฎิเสเธตุํ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ หี’’ติอาทิมาหฯ จตูสุ ปเญฺหสูติ ‘‘อุปลพฺภติ นุปลพฺภตี’’ติ ปฎิญฺญาย คหิตาย ปฎิเกฺขปคหณตฺถํ ‘‘โย สจฺจิกโฎฺฐ’’ติ วุตฺตํ สจฺจิกฎฺฐํ นิสฺสยํ กตฺวา อุปาทาย ปวตฺตา เทฺวปิ ปญฺจกา เอโก ปโญฺห, ‘‘สพฺพตฺถา’’ติ สรีรํ สพฺพํ วา เทสํ อุปาทาย ปวตฺตา เอโก, ‘‘สพฺพทา’’ติ กาลมุปาทาย เอโก, ‘‘สเพฺพสู’’ติ ยทิ ขนฺธายตนาทโย คหิตา, เต อุปาทาย ปวตฺตา, อถ ปน ‘‘โย สจฺจิกโฎฺฐ สพฺพตฺถ สพฺพทา’’ติ เอเตหิ น โกจิ สจฺจิกโฎฺฐ เทโส กาโล วา อคฺคหิโต อตฺถิ, เต ปน สามญฺญวเสน คเหตฺวา อนุโยโค กโต, น เภทวเสนาติ เภทวเสน คเหตฺวา อนุยุญฺชิตุํ ‘‘สเพฺพสู’’ติ วุตฺตา สจฺจิกฎฺฐเทสกาลปฺปเทเส อุปาทาย จ ปวตฺตา เอโกติ เอเตสุ จตูสุฯ ทฺวินฺนํ ปญฺจกานนฺติ เอตฺถ ‘‘ปุคฺคโล อุปลพฺภติ…เป.… มิจฺฉา’’ติ เอกํ, ‘‘ปุคฺคโล นุปลพฺภติ…เป.… มิจฺฉา’’ติ (กถา. ๑๘) เอกํ, ‘‘ตฺวํ เจ ปน มญฺญสิ…เป.… อิทํ เต มิจฺฉา’’ติ (กถา. ๓) เอกํ, ‘‘เอเส เจ ทุนฺนิคฺคหิเต…เป.… อิทํ เต มิจฺฉา’’ติ เอกํ, ‘‘น เหวํ นิคฺคเหตเพฺพ, เตน หิ ยํ นิคฺคณฺหาสิ…เป.… สุกตา ปฎิปาทนา’’ติ (กถา. ๑๐) เอกนฺติ เอวํ นิคฺคหกรณํ, ปฎิกมฺมกรณํ, นิคฺคหสฺส สุนิคฺคหภาวํ อิจฺฉโต ปฎิญฺญาฐปเนน ปฎิกมฺมเวฐนํ, ปฎิกมฺมสฺส ทุปฺปฎิกมฺมภาวํ อิจฺฉโต ตํนิทสฺสเนน นิคฺคหสฺส ทุนฺนิคฺคหภาวทสฺสเนน นิคฺคหนิเพฺพฐนํ, อนิคฺคหภาวาโรปนาทินา เฉโทติ อยํ เอโก ปญฺจโก, โย อฎฺฐกถายํ อนุโลมปญฺจกปฎิกมฺมจตุกฺกนิคฺคหจตุกฺกอุปนยนจตุกฺกนิคมนจตุกฺก นาเมหิ สกวาทิปุพฺพปเกฺข อนุโลมปจฺจนีกปญฺจโกติ วุโตฺต, ปรวาทิปุพฺพปเกฺข จ เอวเมว ปจฺจนียานุโลมปญฺจโกติ วุโตฺตฯ เอวํ เทฺว ปญฺจกา เวทิตพฺพาฯ เอวํ เสสปเญฺหสุปีติ อฎฺฐ ปญฺจกา อฎฺฐมุขา วาทยุตฺตีติ วุตฺตาฯ ยุตฺตีติ อุปาโย, วาทสฺส ยุตฺติ วาทยุตฺติ, วาทปฺปวตฺตนสฺส อุปาโยติ อโตฺถฯ
Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘sāvakabhāsitattā chaḍḍetha na’’nti, taṃ buddhabhāsitabhāvadassanena paṭisedhetuṃ ‘‘sammāsambuddho hī’’tiādimāha. Catūsu pañhesūti ‘‘upalabbhati nupalabbhatī’’ti paṭiññāya gahitāya paṭikkhepagahaṇatthaṃ ‘‘yo saccikaṭṭho’’ti vuttaṃ saccikaṭṭhaṃ nissayaṃ katvā upādāya pavattā dvepi pañcakā eko pañho, ‘‘sabbatthā’’ti sarīraṃ sabbaṃ vā desaṃ upādāya pavattā eko, ‘‘sabbadā’’ti kālamupādāya eko, ‘‘sabbesū’’ti yadi khandhāyatanādayo gahitā, te upādāya pavattā, atha pana ‘‘yo saccikaṭṭho sabbattha sabbadā’’ti etehi na koci saccikaṭṭho deso kālo vā aggahito atthi, te pana sāmaññavasena gahetvā anuyogo kato, na bhedavasenāti bhedavasena gahetvā anuyuñjituṃ ‘‘sabbesū’’ti vuttā saccikaṭṭhadesakālappadese upādāya ca pavattā ekoti etesu catūsu. Dvinnaṃ pañcakānanti ettha ‘‘puggalo upalabbhati…pe… micchā’’ti ekaṃ, ‘‘puggalo nupalabbhati…pe… micchā’’ti (kathā. 18) ekaṃ, ‘‘tvaṃ ce pana maññasi…pe… idaṃ te micchā’’ti (kathā. 3) ekaṃ, ‘‘ese ce dunniggahite…pe… idaṃ te micchā’’ti ekaṃ, ‘‘na hevaṃ niggahetabbe, tena hi yaṃ niggaṇhāsi…pe… sukatā paṭipādanā’’ti (kathā. 10) ekanti evaṃ niggahakaraṇaṃ, paṭikammakaraṇaṃ, niggahassa suniggahabhāvaṃ icchato paṭiññāṭhapanena paṭikammaveṭhanaṃ, paṭikammassa duppaṭikammabhāvaṃ icchato taṃnidassanena niggahassa dunniggahabhāvadassanena niggahanibbeṭhanaṃ, aniggahabhāvāropanādinā chedoti ayaṃ eko pañcako, yo aṭṭhakathāyaṃ anulomapañcakapaṭikammacatukkaniggahacatukkaupanayanacatukkanigamanacatukka nāmehi sakavādipubbapakkhe anulomapaccanīkapañcakoti vutto, paravādipubbapakkhe ca evameva paccanīyānulomapañcakoti vutto. Evaṃ dve pañcakā veditabbā. Evaṃ sesapañhesupīti aṭṭha pañcakā aṭṭhamukhā vādayuttīti vuttā. Yuttīti upāyo, vādassa yutti vādayutti, vādappavattanassa upāyoti attho.
อนุโลมปจฺจนีกปญฺจเก อาทินิคฺคหํ ทเสฺสตฺวา ปจฺจนียานุโลมปญฺจเก จ อาทินิคฺคหเมว ทเสฺสตฺวา มาติกํ ทีเปตุํ ‘‘สา ปเนสา’’ติอาทิมาหฯ ปุคฺคโลติ อตฺตา สโตฺต ชีโวฯ อุปลพฺภตีติ ปญฺญาย อุปคนฺตฺวา ลพฺภติฯ สจฺจิกฎฺฐปรมเฎฺฐนาติ มายามรีจิอาทโย วิย นาภูตากาเรน, อนุสฺสวาทีหิ คเหตพฺพา วิย น อนุตฺตมตฺถภาเวน, อถ โข ภูเตน อุตฺตมตฺถภาเวน อุปลพฺภตีติ ปุจฺฉติฯ อิตโร ตาทิสํ อิจฺฉโนฺต ปฎิชานาติฯ ปุน โย สจฺจิกฎฺฐปรมเฎฺฐน อุปลพฺภติ, โส สจฺจิกฎฺฐปรมฎฺฐโต อโญฺญ ตทาธาโร, อญฺญตฺร วา เตหิ, เตสํ วา อาธารภูโต, อนโญฺญ วา ตโต รุปฺปนาทิสภาวโต สปฺปจฺจยาทิสภาวโต วา อุปลพฺภมาโน อาปชฺชตีติ อนุยุญฺชติ ‘‘โย สจฺจิกโฎฺฐ…เป.… ปรมเฎฺฐนา’’ติฯ อิตโร ปุคฺคลสฺส รูปาทีหิ อญฺญตฺตํ อนญฺญตฺตญฺจ อนิจฺฉโนฺต ‘‘น เหว’’นฺติ ปฎิกฺขิปติฯ ปุน สกวาที ปฎิญฺญาย เอกตฺตาปนฺนํ อปฺปฎิกฺขิปิตพฺพํ ปฎิกฺขิปตีติ กตฺวา นิคฺคหํ อาโรเปโนฺต อาห ‘‘อาชานาหิ นิคฺคห’’นฺติฯ ‘‘ปุคฺคโล นุปลพฺภตี’’ติ ปุโฎฺฐ สกวาที ปุคฺคลทิฎฺฐิํ ปฎิเสเธโนฺต ‘‘อามนฺตา’’ติ ปฎิชานาติฯ ปุน อิตโร โย สจฺจิกเฎฺฐน นุปลพฺภติ ปุคฺคโล, โส สจฺจิกฎฺฐปรมฎฺฐโต อโญฺญ วา อนโญฺญ วา นุปลพฺภตีติ อาปชฺชติ อญฺญสฺส ปการสฺส อภาวาติ อนุยุญฺชติ ‘‘โย สจฺจิกโฎฺฐ…เป.… ปรมเฎฺฐนา’’ติฯ ยสฺมา ปน ปุคฺคโล สเพฺพน สพฺพํ นุปลพฺภติ, ตสฺมา ตสฺส อญฺญตฺตานญฺญตฺตานุโยโค อนนุโยโค ปุคฺคลลทฺธิํ ปฎิเสเธนฺตสฺส อนาปชฺชนโตติ ‘‘น เหว’’นฺติ ปฎิกฺขิปติฯ อิตโร ปฎิญฺญาย อาปชฺชนเลสเมว ปสฺสโนฺต อวิปรีตํ อตฺถํ อสมฺพุชฺฌโนฺตเยว นิคฺคหํ อาโรเปติ ‘‘อาชานาหิ นิคฺคห’’นฺติฯ
Anulomapaccanīkapañcake ādiniggahaṃ dassetvā paccanīyānulomapañcake ca ādiniggahameva dassetvā mātikaṃ dīpetuṃ ‘‘sā panesā’’tiādimāha. Puggaloti attā satto jīvo. Upalabbhatīti paññāya upagantvā labbhati. Saccikaṭṭhaparamaṭṭhenāti māyāmarīciādayo viya nābhūtākārena, anussavādīhi gahetabbā viya na anuttamatthabhāvena, atha kho bhūtena uttamatthabhāvena upalabbhatīti pucchati. Itaro tādisaṃ icchanto paṭijānāti. Puna yo saccikaṭṭhaparamaṭṭhena upalabbhati, so saccikaṭṭhaparamaṭṭhato añño tadādhāro, aññatra vā tehi, tesaṃ vā ādhārabhūto, anañño vā tato ruppanādisabhāvato sappaccayādisabhāvato vā upalabbhamāno āpajjatīti anuyuñjati ‘‘yo saccikaṭṭho…pe… paramaṭṭhenā’’ti. Itaro puggalassa rūpādīhi aññattaṃ anaññattañca anicchanto ‘‘na heva’’nti paṭikkhipati. Puna sakavādī paṭiññāya ekattāpannaṃ appaṭikkhipitabbaṃ paṭikkhipatīti katvā niggahaṃ āropento āha ‘‘ājānāhi niggaha’’nti. ‘‘Puggalo nupalabbhatī’’ti puṭṭho sakavādī puggaladiṭṭhiṃ paṭisedhento ‘‘āmantā’’ti paṭijānāti. Puna itaro yo saccikaṭṭhena nupalabbhati puggalo, so saccikaṭṭhaparamaṭṭhato añño vā anañño vā nupalabbhatīti āpajjati aññassa pakārassa abhāvāti anuyuñjati ‘‘yo saccikaṭṭho…pe… paramaṭṭhenā’’ti. Yasmā pana puggalo sabbena sabbaṃ nupalabbhati, tasmā tassa aññattānaññattānuyogo ananuyogo puggalaladdhiṃ paṭisedhentassa anāpajjanatoti ‘‘na heva’’nti paṭikkhipati. Itaro paṭiññāya āpajjanalesameva passanto aviparītaṃ atthaṃ asambujjhantoyeva niggahaṃ āropeti ‘‘ājānāhi niggaha’’nti.
อิตีติ ยํ ทิสฺวา มาติกา ฐปิตา, เอวํ เทสิตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ ยถา กินฺติ เยน ปกาเรน พุทฺธภาสิตํ นาม ชาตํ, ตํ นิทสฺสนํ กินฺติ อโตฺถฯ ยโตนิทานนฺติ ยํการณา ฉอชฺฌตฺติกพาหิรายตนาทินิทานนฺติ อโตฺถฯ ปปญฺจสญฺญาสงฺขาติ ตณฺหามานทิฎฺฐิปปญฺจสมฺปยุตฺตา สญฺญาโกฎฺฐาสาฯ สมุทาจรนฺตีติ อชฺฌาจรนฺติฯ เอตฺถ เจติ เอเตสุ อายตนาทีสุ ตณฺหามานทิฎฺฐีหิ อภินนฺทิตพฺพํ อภิวทิตพฺพํ อโชฺฌสิตพฺพญฺจ นตฺถิ เจ ฯ นนุ นตฺถิเยว, กสฺมา ‘‘นตฺถิ เจ’’ติ วุตฺตนฺติ? สจฺจํ นตฺถิ, อปฺปหีนาภินนฺทนาภิวทนโชฺฌสานานํ ปน ปุถุชฺชนานํ อภินนฺทิตพฺพาทิปฺปการานิ อายตนาทีนิ โหนฺตีติ เตสํ น สกฺกา ‘‘นตฺถี’’ติ วตฺตุํ, ปหีนาภินนฺทนาทีนํ ปน สพฺพถา นตฺถีติ ‘‘นตฺถิ เจ’’ติ วุตฺตํฯ เอเสวโนฺตติ อภินนฺทนาทีนํ นตฺถิภาวกโร มโคฺค ตปฺปฎิปฺปสฺสทฺธิภูตํ ผลํ วา ราคานุสยาทีนํ อโนฺต อวสานํ, อปฺปวตฺตีติ อโตฺถฯ
Itīti yaṃ disvā mātikā ṭhapitā, evaṃ desitattāti adhippāyo. Yathā kinti yena pakārena buddhabhāsitaṃ nāma jātaṃ, taṃ nidassanaṃ kinti attho. Yatonidānanti yaṃkāraṇā chaajjhattikabāhirāyatanādinidānanti attho. Papañcasaññāsaṅkhāti taṇhāmānadiṭṭhipapañcasampayuttā saññākoṭṭhāsā. Samudācarantīti ajjhācaranti. Ettha ceti etesu āyatanādīsu taṇhāmānadiṭṭhīhi abhinanditabbaṃ abhivaditabbaṃ ajjhositabbañca natthi ce . Nanu natthiyeva, kasmā ‘‘natthi ce’’ti vuttanti? Saccaṃ natthi, appahīnābhinandanābhivadanajjhosānānaṃ pana puthujjanānaṃ abhinanditabbādippakārāni āyatanādīni hontīti tesaṃ na sakkā ‘‘natthī’’ti vattuṃ, pahīnābhinandanādīnaṃ pana sabbathā natthīti ‘‘natthi ce’’ti vuttaṃ. Esevantoti abhinandanādīnaṃ natthibhāvakaro maggo tappaṭippassaddhibhūtaṃ phalaṃ vā rāgānusayādīnaṃ anto avasānaṃ, appavattīti attho.
ชานํ ชานาตีติ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน ชานิตพฺพํ ชานาติฯ น หิ ปเทสญาณวา ชานิตพฺพํ สพฺพํ ชานาตีติฯ ปสฺสํ ปสฺสตีติ ทิพฺพจกฺขุปญฺญาจกฺขุธมฺมจกฺขุพุทฺธจกฺขุสมนฺตจกฺขุสงฺขาเตหิ ปญฺจหิ จกฺขูหิ ปสฺสิตพฺพํ ปสฺสติฯ อถ วา ชานํ ชานาตีติ ยถา อเญฺญ สวิปลฺลาสา กามรูปปริญฺญาวาทิโน ชานนฺตาปิ วิปลฺลาสวเสน ชานนฺติ, น เอวํ ภควา , ภควา ปน ปหีนวิปลฺลาสตฺตา ชานโนฺต ชานาติเยว, ทิฎฺฐิทสฺสนสฺส จ อภาวา ปสฺสโนฺต ปสฺสติเยวาติ อโตฺถฯ จกฺขุภูโตติ ปญฺญาจกฺขุมยตฺตา สเตฺตสุ จ ตทุปฺปาทนโต โลกสฺส จกฺขุภูโตฯ ญาณภูโตติ เอตสฺส จ เอวเมว อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ธมฺมา โพธิปกฺขิยาฯ พฺรหฺมา มโคฺค, เตหิ อุปฺปนฺนตฺตา โลกสฺส จ ตทุปฺปาทนโต ตพฺภูโตฯ วตฺตาติ จตุสจฺจธเมฺม วทตีติ วตฺตาฯ ปวตฺตาติ จิรํ สจฺจปฺปฎิเวธํ ปวเตฺตโนฺต วทตีติ ปวตฺตาฯ อตฺถสฺส นิเนฺนตาติ อตฺถํ อุทฺธริตฺวา ทเสฺสตา, ปรมตฺถํ วา นิพฺพานํ ปาปยิตาฯ อมตสฺส ทาตาติ อมตสจฺฉิกิริยํ สเตฺตสุ อุปฺปาเทโนฺต อมตํ ททาตีติ อมตสฺส ทาตาฯ โพธิปกฺขิยธมฺมานํ ตทายตฺตภาวโต ธมฺมสฺสามีฯ สุวณฺณาลิงฺคนฺติ สุวณฺณมยํ อาลิงฺคํ ขุทฺทกมุทิงฺคํฯ สุปุปฺผิตสตปตฺตปทุมมิว สสฺสิริกํ สโสภํ สุปุปฺผิตสตปตฺตสสฺสิริกํฯ
Jānaṃ jānātīti sabbaññutaññāṇena jānitabbaṃ jānāti. Na hi padesañāṇavā jānitabbaṃ sabbaṃ jānātīti. Passaṃ passatīti dibbacakkhupaññācakkhudhammacakkhubuddhacakkhusamantacakkhusaṅkhātehi pañcahi cakkhūhi passitabbaṃ passati. Atha vā jānaṃ jānātīti yathā aññe savipallāsā kāmarūpapariññāvādino jānantāpi vipallāsavasena jānanti, na evaṃ bhagavā , bhagavā pana pahīnavipallāsattā jānanto jānātiyeva, diṭṭhidassanassa ca abhāvā passanto passatiyevāti attho. Cakkhubhūtoti paññācakkhumayattā sattesu ca taduppādanato lokassa cakkhubhūto. Ñāṇabhūtoti etassa ca evameva attho daṭṭhabbo. Dhammā bodhipakkhiyā. Brahmā maggo, tehi uppannattā lokassa ca taduppādanato tabbhūto. Vattāti catusaccadhamme vadatīti vattā. Pavattāti ciraṃ saccappaṭivedhaṃ pavattento vadatīti pavattā. Atthassa ninnetāti atthaṃ uddharitvā dassetā, paramatthaṃ vā nibbānaṃ pāpayitā. Amatassa dātāti amatasacchikiriyaṃ sattesu uppādento amataṃ dadātīti amatassa dātā. Bodhipakkhiyadhammānaṃ tadāyattabhāvato dhammassāmī. Suvaṇṇāliṅganti suvaṇṇamayaṃ āliṅgaṃ khuddakamudiṅgaṃ. Supupphitasatapattapadumamiva sassirikaṃ sasobhaṃ supupphitasatapattasassirikaṃ.
อนุโมทิตกาลโต ปฎฺฐาย…เป.… พุทฺธภาสิตํ นาม ชาตนฺติ เอเตน อนุโมทนา พุทฺธภาสิตภาวสฺส การณนฺติ อยมโตฺถ วุโตฺต วิย ทิสฺสติ, เอวญฺจ สติ กถาวตฺถุสฺส พุทฺธภาสิตภาโว น สิยา อนนุโมทิตตฺตา, ตสฺมา เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ – ‘‘มหากจฺจายโน เอวํ วิภชิสฺสตี’’ติ ทิสฺวา ภควา มาติกํ นิกฺขิปิตฺวา วิหารํ ปวิโฎฺฐ, ตเถว จ เถโร ภควตา ทินฺนนเยน ฐปิตมาติกาย วิภชีติ พุทฺธภาสิตํ นาม ชาตํ, ตํ ปน อนุโมทนาย ปากฎํ ชาตนฺติ เอตมตฺถํ สนฺธาย ‘‘เอวํ สตฺถารา…เป.… นาม ชาต’’นฺติ วุตฺตนฺติฯ
Anumoditakālato paṭṭhāya…pe… buddhabhāsitaṃ nāma jātanti etena anumodanā buddhabhāsitabhāvassa kāraṇanti ayamattho vutto viya dissati, evañca sati kathāvatthussa buddhabhāsitabhāvo na siyā ananumoditattā, tasmā evamettha attho daṭṭhabbo – ‘‘mahākaccāyano evaṃ vibhajissatī’’ti disvā bhagavā mātikaṃ nikkhipitvā vihāraṃ paviṭṭho, tatheva ca thero bhagavatā dinnanayena ṭhapitamātikāya vibhajīti buddhabhāsitaṃ nāma jātaṃ, taṃ pana anumodanāya pākaṭaṃ jātanti etamatthaṃ sandhāya ‘‘evaṃ satthārā…pe… nāma jāta’’nti vuttanti.
อิทานิ ปาฬิยา สนฺนิเวสํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ ธมฺมสงฺคณีปกรเณ’’ติอาทิมาหฯ กามาวจรกุสลโต อฎฺฐาติ กามาวจรกุสเล จตฺตาโร ขเนฺธ คเหตฺวา ตโต อฎฺฐ จิตฺตานิ อุทฺธรติฯ ปฐมา วิภตฺตีติปิ วทนฺติฯ เอกูนนวุติ จิตฺตานีติ ยตฺถ เอตานิ จิตฺตานิ วิภตฺตานิ, เต ปาฬิปฺปเทสา ‘‘เอกูนนวุติ จิตฺตานี’’ติ วุตฺตาฯ เตสญฺจ สมุทาโย จิตฺตวิภตฺติ, ตสฺมา อุปปนฺนเมตํ ‘‘เอกูนนวุติ จิตฺตานิ จิตฺตวิภตฺตี’’ติฯ มาติกญฺจ อุทฺทิสิตฺวา ตตฺถ เอเกกํ ปทํ อุทฺธริตฺวา ยสฺมา จิตฺตานิ วิภตฺตานิ, ตสฺมา มาติกาปิ จิตฺตวิภตฺติอโนฺตคธาเยวาติ จิตฺตุปฺปาทกณฺฑํ มาติกาปทภาชนียวเสน ทุวิธนฺติ อิทมฺปิ วจนํ ยุชฺชติฯ
Idāni pāḷiyā sannivesaṃ dassetuṃ ‘‘tattha dhammasaṅgaṇīpakaraṇe’’tiādimāha. Kāmāvacarakusalato aṭṭhāti kāmāvacarakusale cattāro khandhe gahetvā tato aṭṭha cittāni uddharati. Paṭhamā vibhattītipi vadanti. Ekūnanavuti cittānīti yattha etāni cittāni vibhattāni, te pāḷippadesā ‘‘ekūnanavuti cittānī’’ti vuttā. Tesañca samudāyo cittavibhatti, tasmā upapannametaṃ ‘‘ekūnanavuti cittāni cittavibhattī’’ti. Mātikañca uddisitvā tattha ekekaṃ padaṃ uddharitvā yasmā cittāni vibhattāni, tasmā mātikāpi cittavibhattiantogadhāyevāti cittuppādakaṇḍaṃ mātikāpadabhājanīyavasena duvidhanti idampi vacanaṃ yujjati.
มูลโตติ ‘‘ตีณิ กุสลมูลานี’’ติอาทินา (ธ. ส. ๙๘๕) กุสลาทีนํ มูลวเสน สงฺขิปิตฺวา วจนํฯ ‘‘เวทนากฺขโนฺธ’’ติอาทินา ขนฺธโตฯ ‘‘กายกมฺม’’นฺติอาทินา ทฺวารโตฯ ‘‘สุขภูมิยํ กามาวจเร’’ติอาทินา (ธ. ส. ๙๘๘) ภูมิโตฯ อโตฺถติ เหตุผลํฯ ธโมฺมติ เหตุ ฯ ‘‘ตีณิ กุสลมูลานิ ตีณิ อกุสลมูลานี’’ติอาทินา (ธ. ส. ๙๘๕-๙๘๖) เหตุวเสน สงฺคโห ธมฺมโต นิเกฺขโปฯ ‘‘ตํสมฺปยุโตฺต, ตํสมุฎฺฐานา ตเทกฎฺฐา จ กิเลสา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๙๘๕-๙๘๖) เหตุผลวเสน สงฺคโห อตฺถโต นิเกฺขโปฯ อถ วา ธโมฺมติ ภาสิโตฯ อโตฺถติ ภาสิตโตฺถฯ ‘‘ตโย กุสลเหตู’’ติ (ธ. ส. ๑๐๕๙) ธโมฺมฯ ‘‘ตตฺถ กตเม ตโย กุสลเหตู อโลโภ’’ติอาทิ (ธ. ส. ๑๐๖๐) อโตฺถ, โส จ ธโมฺมฯ ‘‘ตตฺถ กตโม อโลโภ’’ติอาทิ (ธ. ส. ๑๐๖๑) อโตฺถติ เอวํ อตฺถธมฺมวเสน นิเกฺขโป เวทิตโพฺพฯ นามโตติ ‘‘ตีณิ กุสลมูลานี’’ติ วุตฺตธมฺมานํ อโลโภติอาทินามวเสนฯ ลิงฺคโตติ อุทฺทิฎฺฐสฺส เอกเสฺสว ธมฺมสฺส ‘‘อโลโภ อลุพฺภนา อลุพฺภิตตฺต’’นฺติ (ธ. ส. ๑๐๖๑) ปุริสาทิลิงฺควเสน นิเกฺขโปฯ
Mūlatoti ‘‘tīṇi kusalamūlānī’’tiādinā (dha. sa. 985) kusalādīnaṃ mūlavasena saṅkhipitvā vacanaṃ. ‘‘Vedanākkhandho’’tiādinā khandhato. ‘‘Kāyakamma’’ntiādinā dvārato. ‘‘Sukhabhūmiyaṃ kāmāvacare’’tiādinā (dha. sa. 988) bhūmito. Atthoti hetuphalaṃ. Dhammoti hetu . ‘‘Tīṇi kusalamūlāni tīṇi akusalamūlānī’’tiādinā (dha. sa. 985-986) hetuvasena saṅgaho dhammato nikkhepo. ‘‘Taṃsampayutto, taṃsamuṭṭhānā tadekaṭṭhā ca kilesā’’tiādinā (dha. sa. 985-986) hetuphalavasena saṅgaho atthato nikkhepo. Atha vā dhammoti bhāsito. Atthoti bhāsitattho. ‘‘Tayo kusalahetū’’ti (dha. sa. 1059) dhammo. ‘‘Tattha katame tayo kusalahetū alobho’’tiādi (dha. sa. 1060) attho, so ca dhammo. ‘‘Tattha katamo alobho’’tiādi (dha. sa. 1061) atthoti evaṃ atthadhammavasena nikkhepo veditabbo. Nāmatoti ‘‘tīṇi kusalamūlānī’’ti vuttadhammānaṃ alobhotiādināmavasena. Liṅgatoti uddiṭṭhassa ekasseva dhammassa ‘‘alobho alubbhanā alubbhitatta’’nti (dha. sa. 1061) purisādiliṅgavasena nikkhepo.
คณนจารนฺติ คณนปฺปวตฺติํฯ สมาเนนฺตีติ สมานํ กโรนฺติ ปูเรนฺติ, ตถา สมาเนตพฺพนฺติ เอตฺถาปิฯ ‘‘วิชฺชาภาคิโน อวิชฺชาภาคิโน’’ติ (ธ. ส. ทุกมาติกา ๑๐๑) เอวมาทีสุ เอตฺถ วิญฺญาเตสุ อาภิธมฺมิกเตฺถรา สุตฺตนฺตํ สุณนฺตา จิเนฺตนฺตา จ สุตฺตเนฺตสุ ‘‘วิชฺชาภาคิโน’’ติอาทีสุ อาคเตสุ อตฺถสฺส วิญฺญาตตฺตา น กิลมนฺตีติ เอตมตฺถํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อาภิธมฺมิกเตฺถรานํ…เป.… อกิลมตฺถํ ฐปิตา’’ติฯ
Gaṇanacāranti gaṇanappavattiṃ. Samānentīti samānaṃ karonti pūrenti, tathā samānetabbanti etthāpi. ‘‘Vijjābhāgino avijjābhāgino’’ti (dha. sa. dukamātikā 101) evamādīsu ettha viññātesu ābhidhammikattherā suttantaṃ suṇantā cintentā ca suttantesu ‘‘vijjābhāgino’’tiādīsu āgatesu atthassa viññātattā na kilamantīti etamatthaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘ābhidhammikattherānaṃ…pe… akilamatthaṃ ṭhapitā’’ti.
อนมตโคฺคติ อญฺญาตโคฺคฯ ขนฺธนฺตรนฺติ ขนฺธนานตฺตํ, ขนฺธเมว วาฯ คเหตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา สณฺหํ, สุขุมาย ปญฺญาย คเหตพฺพโต สุขุมญฺจ ธมฺมํ สณฺหสุขุมธมฺมํฯ พลวตา ญาณเวเคน ปวตฺตตฺตา พลวโต ญาณเวคสฺส นิมิตฺตภาวโต จ พลวํฯ คมฺภีรเมว คมฺภีรคตํ, คมฺภีรานิ วา คตานิ คมนานิ เอตสฺส สนฺตีติ คมฺภีรคตํฯ ยถานุปุพฺพนฺติ ยถานุปุเพฺพนฯ นิขิเลนาติ นิรวเสเสน เทสิตํ, ปญฺจขิลรหิเตน วา ภควตา เทสิตํฯ รูปคตํวาติ หตฺถคตํ รูปํ วิย จกฺขุนาฯ ‘‘ปฎิเวธญาเณน สมนฺตปฎฺฐานํ โย ปสฺสติ, โส อเตฺถว, โน นตฺถี’’ติ อตฺตานํ สนฺธาย เถโร วทตีติฯ
Anamataggoti aññātaggo. Khandhantaranti khandhanānattaṃ, khandhameva vā. Gahetuṃ asakkuṇeyyattā saṇhaṃ, sukhumāya paññāya gahetabbato sukhumañca dhammaṃ saṇhasukhumadhammaṃ. Balavatā ñāṇavegena pavattattā balavato ñāṇavegassa nimittabhāvato ca balavaṃ. Gambhīrameva gambhīragataṃ, gambhīrāni vā gatāni gamanāni etassa santīti gambhīragataṃ. Yathānupubbanti yathānupubbena. Nikhilenāti niravasesena desitaṃ, pañcakhilarahitena vā bhagavatā desitaṃ. Rūpagataṃvāti hatthagataṃ rūpaṃ viya cakkhunā. ‘‘Paṭivedhañāṇena samantapaṭṭhānaṃ yo passati, so attheva, no natthī’’ti attānaṃ sandhāya thero vadatīti.
ขุทฺทกวตฺถุวิภเงฺค อาคเตสุ เอกาธิเกสุ อฎฺฐสุ กิเลสสเตสุ อฎฺฐสตตณฺหาวิจริตานิ อปเนตฺวา เสสา ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิโย จ อุปฺปนฺนานุปฺปนฺนภาเวน ทิคุณิตานิ ทิยฑฺฒกิเลสสหสฺสานิ ทสาธิกานิ โหนฺติ, อปฺปกํ ปน อูนมธิกํ วา น คณนูปคํ โหตีติ ‘‘ทิยฑฺฒกิเลสสหสฺส’’นฺติ วุตฺตํฯ อิตเรสํ อตีตาทิภาวามสนา อคฺคหณํ เขปเน ทฎฺฐพฺพํฯ
Khuddakavatthuvibhaṅge āgatesu ekādhikesu aṭṭhasu kilesasatesu aṭṭhasatataṇhāvicaritāni apanetvā sesā dvāsaṭṭhi diṭṭhiyo ca uppannānuppannabhāvena diguṇitāni diyaḍḍhakilesasahassāni dasādhikāni honti, appakaṃ pana ūnamadhikaṃ vā na gaṇanūpagaṃ hotīti ‘‘diyaḍḍhakilesasahassa’’nti vuttaṃ. Itaresaṃ atītādibhāvāmasanā aggahaṇaṃ khepane daṭṭhabbaṃ.
เมจกปฎาติ นีลนิภา ปฎาฯ จิตฺตสมุฎฺฐานา วณฺณธาตูติ จิตฺตปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานา วณฺณธาตูติ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ กสฺมา? น หิ จิตฺตสมุฎฺฐานํ รูปํ พหิ นิคจฺฉตีติ, จิตฺตสมุฎฺฐานรูปปรมฺปราย อาคตตฺตา ปน เอวํ วุตฺตํฯ อถ วา จิตฺตสมุฎฺฐานา วณฺณธาตูติ เอตฺถ ปจฺจยอุตุสทฺทานํ โลปํ กตฺวา โสเยว ปุเพฺพ วุโตฺต อโตฺถ สุวณฺณตา สุสฺสรตา วิยฯ เอตฺถ หิ ‘‘สุสฺสรตา’’ติ อุปาทินฺนกาธิกาเร อาคตํ, น จ สโทฺท อุปาทินฺนโก อตฺถิ, ตสฺมา อุปาทินฺนกรูปโอฎฺฐตาลุอาทินิสฺสยตฺตา เอวํ วุตฺตนฺติ, เอวเมตฺถาปิ จิตฺตปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานํ สนฺธาย ‘‘จิตฺตสมุฎฺฐานา วณฺณธาตู’’ติ วทติฯ
Mecakapaṭāti nīlanibhā paṭā. Cittasamuṭṭhānā vaṇṇadhātūti cittapaccayautusamuṭṭhānā vaṇṇadhātūti attho gahetabbo. Kasmā? Na hi cittasamuṭṭhānaṃ rūpaṃ bahi nigacchatīti, cittasamuṭṭhānarūpaparamparāya āgatattā pana evaṃ vuttaṃ. Atha vā cittasamuṭṭhānā vaṇṇadhātūti ettha paccayautusaddānaṃ lopaṃ katvā soyeva pubbe vutto attho suvaṇṇatā sussaratā viya. Ettha hi ‘‘sussaratā’’ti upādinnakādhikāre āgataṃ, na ca saddo upādinnako atthi, tasmā upādinnakarūpaoṭṭhatāluādinissayattā evaṃ vuttanti, evametthāpi cittapaccayautusamuṭṭhānaṃ sandhāya ‘‘cittasamuṭṭhānā vaṇṇadhātū’’ti vadati.
กายสกฺขินฺติ ปจฺจกฺขํฯ ทนฺตาวรณนฺติ โอฎฺฐทฺวยํฯ มุขาทานนฺติ มุขวิวรํฯ สิลิฎฺฐนฺติ สํคตํ สุสณฺฐิตํฯ สเร นิมิตฺตํ คเหตฺวาติ ‘‘ธโมฺม เอโส วุจฺจตี’’ติ ธมฺมสฺสรวเสน นิมิตฺตํ คเหตฺวา, น กิเลสานุพฺยญฺชนวเสนฯ เอกปฺปหาเรนาติ เอตฺถ ปหาโรติ ทิวสสฺส ตติโย ภาโค วุจฺจติฯ เอวํ สเนฺตติ ปุเพฺพ วุตฺตมคฺคเหตฺวา วาจนามคฺคสฺส เถรปฺปภวตฺตวจนเมว คเหตฺวา เตน ปุริมวจนญฺจ ปฎิกฺขิปโนฺต โจเทติฯ
Kāyasakkhinti paccakkhaṃ. Dantāvaraṇanti oṭṭhadvayaṃ. Mukhādānanti mukhavivaraṃ. Siliṭṭhanti saṃgataṃ susaṇṭhitaṃ. Sare nimittaṃ gahetvāti ‘‘dhammo eso vuccatī’’ti dhammassaravasena nimittaṃ gahetvā, na kilesānubyañjanavasena. Ekappahārenāti ettha pahāroti divasassa tatiyo bhāgo vuccati. Evaṃ santeti pubbe vuttamaggahetvā vācanāmaggassa therappabhavattavacanameva gahetvā tena purimavacanañca paṭikkhipanto codeti.
เตเนตเมตสฺสาติ วินยสฺสฯ อตฺตตฺถปรตฺถาทิเภเทติ โย ตํ สุตฺตํ สชฺฌายติ สุณาติ วาเจติ จิเนฺตติ เทเสติ, สุเตฺตน สงฺคหิโต สีลาทิอโตฺถ ตสฺสปิ โหติ, เตน ปรสฺส สาเธตพฺพโต ปรสฺสปิ โหตีติ ตทุภยํ ตํ สุตฺตํ สูเจติ ทีเปติฯ ตถา ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกเตฺถ โลกิยโลกุตฺตรเตฺถติ เอวมาทิเภเท อเตฺถ อาทิสเทฺทน สงฺคณฺหาติฯ อตฺถสโทฺท จายํ หิตปริยายวจนํ, น ภาสิตตฺถวจนํฯ ยทิ สิยา, สุตฺตํ อตฺตโนปิ ภาสิตตฺถํ สูเจติ ปรสุตฺตสฺสปีติ อยมโตฺถ สิยา, สุเตฺตน จ โย อโตฺถ ปกาสิโต, โส ตเสฺสว โหตีติ น เตน ปรโตฺถ สูจิโต โหติ, เตน จ สูเจตพฺพสฺส ปรตฺถสฺส นิวเตฺตตพฺพสฺส อภาวา อตฺตคฺคหณํ น กตฺตพฺพํ, อตฺตตฺถปรตฺถวินิมุตฺตสฺส ภาสิตตฺถสฺส อภาวา อาทิคฺคหณญฺจ น กตฺตพฺพํ, ตสฺมา ยถาวุตฺตสฺส อตฺถสฺส สุเตฺต อสมฺภวโต สุตฺตาธารสฺส ปุคฺคลสฺส วเสน อตฺตตฺถปรตฺถา วุตฺตาฯ
Tenetametassāti vinayassa. Attatthaparatthādibhedeti yo taṃ suttaṃ sajjhāyati suṇāti vāceti cinteti deseti, suttena saṅgahito sīlādiattho tassapi hoti, tena parassa sādhetabbato parassapi hotīti tadubhayaṃ taṃ suttaṃ sūceti dīpeti. Tathā diṭṭhadhammikasamparāyikatthe lokiyalokuttarattheti evamādibhede atthe ādisaddena saṅgaṇhāti. Atthasaddo cāyaṃ hitapariyāyavacanaṃ, na bhāsitatthavacanaṃ. Yadi siyā, suttaṃ attanopi bhāsitatthaṃ sūceti parasuttassapīti ayamattho siyā, suttena ca yo attho pakāsito, so tasseva hotīti na tena parattho sūcito hoti, tena ca sūcetabbassa paratthassa nivattetabbassa abhāvā attaggahaṇaṃ na kattabbaṃ, attatthaparatthavinimuttassa bhāsitatthassa abhāvā ādiggahaṇañca na kattabbaṃ, tasmā yathāvuttassa atthassa sutte asambhavato suttādhārassa puggalassa vasena attatthaparatthā vuttā.
อถ วา สุตฺตํ อนเปกฺขิตฺวา เย อตฺตตฺถาทโยปิ อตฺถปฺปเภทา วุตฺตา นิเทฺทเส (มหานิ. ๖๙; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๕) ‘‘อตฺตโตฺถ ปรโตฺถ อุภยโตฺถ ทิฎฺฐธมฺมิโก อโตฺถ สมฺปรายิโก อโตฺถ อุตฺตาโน อโตฺถ คมฺภีโร อโตฺถ คุโฬฺห อโตฺถ ปฎิจฺฉโนฺน อโตฺถ เนโยฺย อโตฺถ นีโต อโตฺถ อนวโชฺช อโตฺถ นิกฺกิเลโส อโตฺถ โวทาโน อโตฺถ ปรมโตฺถ อโตฺถ’’ติ, เต สุตฺตํ สูเจตีติ อโตฺถฯ อถ วา ‘‘อตฺตนา จ อปฺปิโจฺฉ โหตี’’ติ อตฺตตฺถํ, ‘‘อปฺปิจฺฉกถญฺจ ปเรสํ กตฺตา โหตี’’ติ ปรตฺถํ สูเจตีติฯ เอวํ ‘‘อตฺตนา จ ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหตี’’ติอาทิสุตฺตานิ (อ. นิ. ๔.๙๙) โยเชตพฺพานิฯ วินยาภิธเมฺมหิ จ วิเสเสตฺวา สุตฺตสทฺทสฺส อโตฺถ วตฺตโพฺพ, ตสฺมา เวเนยฺยชฺฌาสยวสปฺปวตฺตาย เทสนาย อตฺตหิตปรหิตาทีนิ สาติสยํ ปกาสิตานิ โหนฺติ, น อาณาธมฺมสภาววสปฺปวตฺตายาติ อิทเมว ‘‘อตฺถานํ สูจนโต สุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ
Atha vā suttaṃ anapekkhitvā ye attatthādayopi atthappabhedā vuttā niddese (mahāni. 69; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddesa 85) ‘‘attattho parattho ubhayattho diṭṭhadhammiko attho samparāyiko attho uttāno attho gambhīro attho guḷho attho paṭicchanno attho neyyo attho nīto attho anavajjo attho nikkileso attho vodāno attho paramattho attho’’ti, te suttaṃ sūcetīti attho. Atha vā ‘‘attanā ca appiccho hotī’’ti attatthaṃ, ‘‘appicchakathañca paresaṃ kattā hotī’’ti paratthaṃ sūcetīti. Evaṃ ‘‘attanā ca pāṇātipātā paṭivirato hotī’’tiādisuttāni (a. ni. 4.99) yojetabbāni. Vinayābhidhammehi ca visesetvā suttasaddassa attho vattabbo, tasmā veneyyajjhāsayavasappavattāya desanāya attahitaparahitādīni sātisayaṃ pakāsitāni honti, na āṇādhammasabhāvavasappavattāyāti idameva ‘‘atthānaṃ sūcanato sutta’’nti vuttaṃ.
สุเตฺต จ อาณาธมฺมสภาวา เวเนยฺยชฺฌาสยํ อนุวตฺตนฺติ, น วินยาภิธเมฺมสุ วิย เวเนยฺยชฺฌาสโย อาณาธมฺมสภาเว อนุวตฺตติ, ตสฺมา เวเนยฺยานํ เอกนฺตหิตปฎิลาภสํวตฺตนิกา สุตฺตนฺตเทสนา โหตีติ ‘‘สุวุตฺตา เจตฺถ อตฺถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปสวตีติ ผลติ ฯ ‘‘สุตฺตาณา’’ติ เอตสฺส อตฺถํ ปกาเสตุํ ‘‘สุฎฺฐุ จ เน ตายตี’’ติ วุตฺตํฯ อตฺตตฺถปรตฺถาทิวิธาเนสุ จ สุตฺตสฺส ปมาณภาโว เตสญฺจ สงฺคาหกตฺตํ โยเชตพฺพํ, ตทตฺถปฺปกาสเน ปธานตฺตา สุตฺตสฺส อิตเรหิ วิเสสนญฺจฯ เอตนฺติ ‘‘อตฺถานํ สูจนโต’’ติอาทิกํ อตฺถวจนํฯ เอตสฺสาติ สุตฺตสฺสฯ
Sutte ca āṇādhammasabhāvā veneyyajjhāsayaṃ anuvattanti, na vinayābhidhammesu viya veneyyajjhāsayo āṇādhammasabhāve anuvattati, tasmā veneyyānaṃ ekantahitapaṭilābhasaṃvattanikā suttantadesanā hotīti ‘‘suvuttā cettha atthā’’tiādi vuttaṃ. Pasavatīti phalati . ‘‘Suttāṇā’’ti etassa atthaṃ pakāsetuṃ ‘‘suṭṭhu ca ne tāyatī’’ti vuttaṃ. Attatthaparatthādividhānesu ca suttassa pamāṇabhāvo tesañca saṅgāhakattaṃ yojetabbaṃ, tadatthappakāsane padhānattā suttassa itarehi visesanañca. Etanti ‘‘atthānaṃ sūcanato’’tiādikaṃ atthavacanaṃ. Etassāti suttassa.
อภิกฺกมนฺตีติ เอตฺถ อภิ-สโทฺท กมนสฺส วุทฺธิภาวํ อติเรกตฺตํ ทีเปติฯ อภิกฺกเนฺตนาติ จ เอตฺถ กนฺติยา อธิกตฺตํ วิเสสภาวนฺติ ยุตฺตํ กิริยาวิเสสกตฺตา อุปสคฺคสฺสฯ อภิญฺญาตา, อภิราชา, อภิวินเยติ เอตฺถ ลกฺขณปูชิตปริจฺฉิเนฺนสุ รตฺติอาทีสุ อภิ-สโทฺท วตฺตตีติ กถเมตํ ยุเชฺชยฺยาติ? ลกฺขณกรณญาณปูชนปริเจฺฉทกิริยาทีปนโต ตาหิ จ กิริยาหิ รตฺติราชวินยานํ ยุตฺตตฺตาฯ ภาวนาผรณวุทฺธีหิ วุทฺธิมโนฺตฯ อารมฺมณาทีหีติ อารมฺมณสมฺปยุตฺตกมฺมทฺวารปฎิปทาทีหิฯ อวิสิฎฺฐนฺติ อญฺญมญฺญวิสิเฎฺฐสุ วินยสุตฺตนฺตาภิธเมฺมสุ อวิสิฎฺฐํ สมานํ ปิฎกสทฺทนฺติ อโตฺถฯ ยถาวุเตฺตเนวาติ ‘‘เอวํ ทุวิธเตฺถนา’’ติอาทินา นเยนฯ
Abhikkamantīti ettha abhi-saddo kamanassa vuddhibhāvaṃ atirekattaṃ dīpeti. Abhikkantenāti ca ettha kantiyā adhikattaṃ visesabhāvanti yuttaṃ kiriyāvisesakattā upasaggassa. Abhiññātā, abhirājā, abhivinayeti ettha lakkhaṇapūjitaparicchinnesu rattiādīsu abhi-saddo vattatīti kathametaṃ yujjeyyāti? Lakkhaṇakaraṇañāṇapūjanaparicchedakiriyādīpanato tāhi ca kiriyāhi rattirājavinayānaṃ yuttattā. Bhāvanāpharaṇavuddhīhi vuddhimanto. Ārammaṇādīhīti ārammaṇasampayuttakammadvārapaṭipadādīhi. Avisiṭṭhanti aññamaññavisiṭṭhesu vinayasuttantābhidhammesu avisiṭṭhaṃ samānaṃ piṭakasaddanti attho. Yathāvuttenevāti ‘‘evaṃ duvidhatthenā’’tiādinā nayena.
กเถตพฺพานํ อตฺถานํ เทสกายเตฺตน อาณาทิวิธินา อติสชฺชนํ ปโพธนํ เทสนาฯ สาสิตพฺพปุคฺคลคเตน ยถาปราธาทินา สาสิตพฺพภาเวน อนุสาสนํ วินยนํ สาสนํฯ กเถตพฺพสฺส สํวราสํวราทิโน อตฺถสฺส กถนํ วจนปฎิพทฺธกรณํ กถาฯ เภท-สโทฺท วิสุํ วิสุํ โยเชตโพฺพ ‘‘เทสนาเภทํ สาสนเภทํ กถาเภทญฺจ ยถารหํ ปริทีปเย’’ติฯ เภทนฺติ นานตฺตํ, นานากรณนฺติ อโตฺถฯ สิกฺขา จ ปหานานิ จ คมฺภีรภาโว จ สิกฺขาปหานคมฺภีรภาวํ, ตญฺจ ปริทีปเยฯ ยนฺติ ปริยตฺติอาทิํฯ ยถาติ อุปารมฺภาทิเหตุ ปริยาปุณนาทิปฺปกาเรหิฯ
Kathetabbānaṃ atthānaṃ desakāyattena āṇādividhinā atisajjanaṃ pabodhanaṃ desanā. Sāsitabbapuggalagatena yathāparādhādinā sāsitabbabhāvena anusāsanaṃ vinayanaṃ sāsanaṃ. Kathetabbassa saṃvarāsaṃvarādino atthassa kathanaṃ vacanapaṭibaddhakaraṇaṃ kathā. Bheda-saddo visuṃ visuṃ yojetabbo ‘‘desanābhedaṃ sāsanabhedaṃ kathābhedañca yathārahaṃ paridīpaye’’ti. Bhedanti nānattaṃ, nānākaraṇanti attho. Sikkhā ca pahānāni ca gambhīrabhāvo ca sikkhāpahānagambhīrabhāvaṃ, tañca paridīpaye. Yanti pariyattiādiṃ. Yathāti upārambhādihetu pariyāpuṇanādippakārehi.
ตีสุปิ เจเตสุ เอเต ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธาติ เอตฺถ ตนฺติอโตฺถ ตนฺติเทสนา ตนฺติอตฺถปฎิเวโธ จ ตนฺติวิสยา โหนฺตีติ วินยปิฎกาทีนํ อตฺถเทสนาปฎิเวธาธารภาโว ยุโตฺต, ปิฎกานิ ปน ตนฺติโยเยวาติ ธมฺมาธารภาโว กถํ ยุเชฺชยฺยาติ? ตนฺติสมุทายสฺส อวยวตนฺติยา อาธารภาวโต, ธมฺมาทีนญฺจ ทุโกฺขคาหภาวโต เตหิ วินยาทโย คมฺภีราติ วินยาทีนญฺจ จตุพฺพิโธ คมฺภีรภาโว วุโตฺต, ตสฺมา ‘‘ธมฺมาทโย เอว ทุโกฺขคาหตฺตา คมฺภีรา, น วินยาทโย’’ติ น โจเทตพฺพเมตํฯ ตตฺถ ปฎิเวธสฺส ทุกฺกรภาวโต ธมฺมตฺถานํ, เทสนาญาณสฺส ทุกฺกรภาวโต เทสนาย จ ทุโกฺขคาหภาโว เวทิตโพฺพฯ ปฎิเวธสฺส ปน อุปฺปาเทตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา ตพฺพิสยญาณุปฺปตฺติยา จ ทุกฺกรภาวโต ทุโกฺขคาหตา เวทิตพฺพาฯ
Tīsupi cetesu ete dhammatthadesanāpaṭivedhāti ettha tantiattho tantidesanā tantiatthapaṭivedho ca tantivisayā hontīti vinayapiṭakādīnaṃ atthadesanāpaṭivedhādhārabhāvo yutto, piṭakāni pana tantiyoyevāti dhammādhārabhāvo kathaṃ yujjeyyāti? Tantisamudāyassa avayavatantiyā ādhārabhāvato, dhammādīnañca dukkhogāhabhāvato tehi vinayādayo gambhīrāti vinayādīnañca catubbidho gambhīrabhāvo vutto, tasmā ‘‘dhammādayo eva dukkhogāhattā gambhīrā, na vinayādayo’’ti na codetabbametaṃ. Tattha paṭivedhassa dukkarabhāvato dhammatthānaṃ, desanāñāṇassa dukkarabhāvato desanāya ca dukkhogāhabhāvo veditabbo. Paṭivedhassa pana uppādetuṃ asakkuṇeyyattā tabbisayañāṇuppattiyā ca dukkarabhāvato dukkhogāhatā veditabbā.
เหตุมฺหิ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทาติ เอเตน วจนเตฺถน ธมฺมสฺส เหตุภาโว กถํ ญาตโพฺพติ? ‘‘ธมฺมปฎิสมฺภิทา’’ติ เอตสฺส สมาสปทสฺส อวยวปทตฺถํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘เหตุมฺหิ ญาณ’’นฺติ วุตฺตตฺตาฯ ‘‘ธเมฺม ปฎิสมฺภิทา’’ติ เอตฺถ หิ ‘‘ธเมฺม’’ติ เอตสฺส อตฺถํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘เหตุมฺหี’’ติ วุตฺตํ, ‘‘ปฎิสมฺภิทา’’ติ เอตสฺส จ อตฺถํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘ญาณ’’นฺติ, ตสฺมา เหตุธมฺมสทฺทา เอกตฺถา ญาณปฎิสมฺภิทาสทฺทา จาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสเนฺตน สาธิโต ธมฺมสฺส เหตุภาโวฯ อตฺถสฺส เหตุผลภาโว จ เอวเมว ทฎฺฐโพฺพฯ ยถาธมฺมนฺติ เอตฺถ ธมฺม-สโทฺท เหตุํ เหตุผลญฺจ สพฺพํ คณฺหาติฯ สภาววาจโก เหส, น ปริยตฺติเหตุภาววาจโก, ตสฺมา ยถาธมฺมนฺติ โย โย อวิชฺชาสงฺขาราทิธโมฺม, ตสฺมิํ ตสฺมินฺติ อโตฺถฯ ธมฺมาภิลาโปติ อตฺถพฺยญฺชนโก อวิปรีตาภิลาโปฯ เอเตน ‘‘ตตฺร ธมฺมนิรุตฺตาภิลาเป ญาณํ นิรุตฺติปฎิสมฺภิทา’’ติ (วิภ. ๗๑๘-๗๒๐) เอตฺถ วุตฺตธมฺมนิรุตฺติํ ทเสฺสติฯ อนุโลมาทิวเสน วา กถนนฺติ เอเตน ตสฺสา ธมฺมนิรุตฺติยา อภิลาปํ กถนํ ตสฺส วจนสฺส ปวตฺตนํ ทเสฺสติฯ อธิปฺปาโยติ เอเตน ‘‘เทสนาติ ปญฺญตฺตี’’ติ เอตํ วจนํ ธมฺมนิรุตฺตาภิลาปํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ตพฺพินิมุตฺตํ ปญฺญตฺติํ สนฺธายาติ ทเสฺสติฯ
Hetumhi ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidāti etena vacanatthena dhammassa hetubhāvo kathaṃ ñātabboti? ‘‘Dhammapaṭisambhidā’’ti etassa samāsapadassa avayavapadatthaṃ dassentena ‘‘hetumhi ñāṇa’’nti vuttattā. ‘‘Dhamme paṭisambhidā’’ti ettha hi ‘‘dhamme’’ti etassa atthaṃ dassentena ‘‘hetumhī’’ti vuttaṃ, ‘‘paṭisambhidā’’ti etassa ca atthaṃ dassentena ‘‘ñāṇa’’nti, tasmā hetudhammasaddā ekatthā ñāṇapaṭisambhidāsaddā cāti imamatthaṃ dassentena sādhito dhammassa hetubhāvo. Atthassa hetuphalabhāvo ca evameva daṭṭhabbo. Yathādhammanti ettha dhamma-saddo hetuṃ hetuphalañca sabbaṃ gaṇhāti. Sabhāvavācako hesa, na pariyattihetubhāvavācako, tasmā yathādhammanti yo yo avijjāsaṅkhārādidhammo, tasmiṃ tasminti attho. Dhammābhilāpoti atthabyañjanako aviparītābhilāpo. Etena ‘‘tatra dhammaniruttābhilāpe ñāṇaṃ niruttipaṭisambhidā’’ti (vibha. 718-720) ettha vuttadhammaniruttiṃ dasseti. Anulomādivasena vā kathananti etena tassā dhammaniruttiyā abhilāpaṃ kathanaṃ tassa vacanassa pavattanaṃ dasseti. Adhippāyoti etena ‘‘desanāti paññattī’’ti etaṃ vacanaṃ dhammaniruttābhilāpaṃ sandhāya vuttaṃ, na tabbinimuttaṃ paññattiṃ sandhāyāti dasseti.
โส จ โลกิยโลกุตฺตโรติ เอวํ วุตฺตํ อภิสมยํ เยน ปกาเรน อภิสเมติ, ยญฺจ อภิสเมติ, โย จ ตสฺส สภาโว, เตหิ ปากฎํ กาตุํ ‘‘วิสยโต อสโมฺมหโต จ อตฺถาทิอนุรูปํ ธมฺมาทีสุ อวโพโธ’’ติ อาหฯ ตตฺถ หิ วิสยโต อตฺถาทิอนุรูปํ ธมฺมาทีสุ อวโพโธ อวิชฺชาทิธมฺมสงฺขาราทิอตฺถตทุภยปญฺญาปนารมฺมโณ โลกิโย อภิสมโยฯ อสโมฺมหโต อตฺถาทิอนุรูปํ ธมฺมาทีสุ อวโพโธ นิพฺพานารมฺมโณ มคฺคสมฺปยุโตฺต ยถาวุตฺตธมฺมตฺถปญฺญตฺตีสุ สโมฺมหวิทฺธํสโน โลกุตฺตโร อภิสมโยติฯ อภิสมยโต อญฺญมฺปิ ปฎิเวธตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘เตสํ เตสํ วา’’ติอาทิมาหฯ ‘‘ปฎิเวธนํ ปฎิเวโธ’’ติ อิมินา หิ วจนเตฺถน อภิสมโย, ปฎิวิชฺฌียตีติ ปฎิเวโธติ อิมินา ตํตํรูปาทิธมฺมานํ อวิปรีตสภาโว จ ปฎิเวโธติ ยุชฺชติฯ
So ca lokiyalokuttaroti evaṃ vuttaṃ abhisamayaṃ yena pakārena abhisameti, yañca abhisameti, yo ca tassa sabhāvo, tehi pākaṭaṃ kātuṃ ‘‘visayato asammohato ca atthādianurūpaṃdhammādīsu avabodho’’ti āha. Tattha hi visayato atthādianurūpaṃ dhammādīsu avabodho avijjādidhammasaṅkhārādiatthatadubhayapaññāpanārammaṇo lokiyo abhisamayo. Asammohato atthādianurūpaṃ dhammādīsu avabodho nibbānārammaṇo maggasampayutto yathāvuttadhammatthapaññattīsu sammohaviddhaṃsano lokuttaro abhisamayoti. Abhisamayato aññampi paṭivedhatthaṃ dassetuṃ ‘‘tesaṃ tesaṃ vā’’tiādimāha. ‘‘Paṭivedhanaṃ paṭivedho’’ti iminā hi vacanatthena abhisamayo, paṭivijjhīyatīti paṭivedhoti iminā taṃtaṃrūpādidhammānaṃ aviparītasabhāvo ca paṭivedhoti yujjati.
ยถาวุเตฺตหิ ธมฺมาทีหิ ปิฎกานํ คมฺภีรภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิทานิ ยสฺมา เอเตสุ ปิฎเกสู’’ติอาทิมาหฯ โย เจตฺถาติ เอเตสุ ตํตํปิฎกคเตสุ ธมฺมาทีสุ โย ปฎิเวโธ เอเตสุ จ ปิฎเกสุ เตสํ เตสํ ธมฺมานํ โย อวิปรีตสภาโวติ โยเชตโพฺพฯ ทุโกฺขคาหตา จ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ อยํ ปเนตฺถ วิเสโส ‘‘อวิปรีตสภาวสงฺขาโต ปฎิเวโธ ทุพฺพิเญฺญยฺยตาย เอว ทุโกฺขคาโห’’ติฯ
Yathāvuttehi dhammādīhi piṭakānaṃ gambhīrabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘idāni yasmā etesu piṭakesū’’tiādimāha. Yo cetthāti etesu taṃtaṃpiṭakagatesu dhammādīsu yo paṭivedho etesu ca piṭakesu tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ yo aviparītasabhāvoti yojetabbo. Dukkhogāhatā ca vuttanayeneva veditabbā. Ayaṃ panettha viseso ‘‘aviparītasabhāvasaṅkhāto paṭivedho dubbiññeyyatāya eva dukkhogāho’’ti.
ยนฺติ ปริยตฺติทุคฺคหณํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อตฺถนฺติ ภาสิตตฺถํ ปโยชนตฺถญฺจฯ น อุปปริกฺขนฺตีติ น วิจาเรนฺติฯ น นิชฺฌานํ ขมนฺตีติ นิชฺฌานปญฺญํ น ขมนฺติ, นิชฺฌายิตฺวา ปญฺญาย ทิสฺวา โรเจตฺวา น คเหตพฺพา โหนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ อิตีติ เอวํ เอตาย ปริยตฺติยา วาทปฺปโมกฺขานิสํสา อตฺตโน อุปริ ปเรหิ อาโรปิตวาทสฺส นิคฺคหสฺส ปโมกฺขปฺปโยชนา หุตฺวา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติฯ วาทปฺปโมโกฺขติ วา นินฺทาปโมโกฺขฯ ยสฺส จตฺถายาติ ยสฺส จ สีลาทิปริปูรณสฺส อนุปาทาวิโมกฺขสฺส วา อตฺถายฯ ธมฺมํ ปริยาปุณนฺตีติ ญาเยน ปริยาปุณนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ อสฺสาติ อสฺส ธมฺมสฺสฯ นานุโภนฺตีติ น วินฺทนฺติฯ เตสํ เต ธมฺมา ทุคฺคหิตตฺตา อุปารมฺภมานทปฺปมกฺขปลาสาทิเหตุภาเวน ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติฯ ภณฺฑาคาเร นิยุโตฺต ภณฺฑาคาริโก, ภณฺฑาคาริโก วิยาติ ภณฺฑาคาริโก, ธมฺมรตนานุปาลโกฯ อญฺญํ อตฺถํ อนเปกฺขิตฺวา ภณฺฑาคาริกเสฺสว สโต ปริยตฺติ ภณฺฑาคาริกปริยตฺติฯ
Yanti pariyattiduggahaṇaṃ sandhāya vuttaṃ. Atthanti bhāsitatthaṃ payojanatthañca. Na upaparikkhantīti na vicārenti. Na nijjhānaṃ khamantīti nijjhānapaññaṃ na khamanti, nijjhāyitvā paññāya disvā rocetvā na gahetabbā hontīti adhippāyo. Itīti evaṃ etāya pariyattiyā vādappamokkhānisaṃsā attano upari parehi āropitavādassa niggahassa pamokkhappayojanā hutvā dhammaṃ pariyāpuṇanti. Vādappamokkhoti vā nindāpamokkho. Yassa catthāyāti yassa ca sīlādiparipūraṇassa anupādāvimokkhassa vā atthāya. Dhammaṃ pariyāpuṇantīti ñāyena pariyāpuṇantīti adhippāyo. Assāti assa dhammassa. Nānubhontīti na vindanti. Tesaṃ te dhammā duggahitattā upārambhamānadappamakkhapalāsādihetubhāvena dīgharattaṃ ahitāya dukkhāya saṃvattanti. Bhaṇḍāgāre niyutto bhaṇḍāgāriko, bhaṇḍāgāriko viyāti bhaṇḍāgāriko, dhammaratanānupālako. Aññaṃ atthaṃ anapekkhitvā bhaṇḍāgārikasseva sato pariyatti bhaṇḍāgārikapariyatti.
ตาสํเยวาติ อวธารณํ ปาปุณิตพฺพานํ ฉฬภิญฺญาจตุปฎิสมฺภิทานํ วินเย ปเภทวจนาภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เวรญฺชกเณฺฑ หิ ติโสฺส วิชฺชาว วิภตฺตาติฯ ทุติเย ตาสํเยวาติ อวธารณํ จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา อเปกฺขิตฺวา กตํ, น ติโสฺส วิชฺชาฯ ตา หิ ฉสุ อภิญฺญาสุ อโนฺตคธาติ สุเตฺต วิภตฺตาเยวาติฯ ญตฺวา สงฺคยฺหมานนฺติ โยชนาฯ เตสนฺติ เตสํ ปิฎกานํฯ สพฺพมฺปีติ สพฺพมฺปิ พุทฺธวจนํฯ
Tāsaṃyevāti avadhāraṇaṃ pāpuṇitabbānaṃ chaḷabhiññācatupaṭisambhidānaṃ vinaye pabhedavacanābhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Verañjakaṇḍe hi tisso vijjāva vibhattāti. Dutiye tāsaṃyevāti avadhāraṇaṃ catasso paṭisambhidā apekkhitvā kataṃ, na tisso vijjā. Tā hi chasu abhiññāsu antogadhāti sutte vibhattāyevāti. Ñatvā saṅgayhamānanti yojanā. Tesanti tesaṃ piṭakānaṃ. Sabbampīti sabbampi buddhavacanaṃ.
อตฺถานุโลมนามโต อนุโลมิโกฯ อนุโลมิกตฺตํเยว วิภาเวตุํ ‘‘กสฺมา ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอกนิกายมฺปีติ เอกสมูหมฺปิฯ โปณิกา จ จิกฺขลฺลิกา จ ขตฺติยา, เตสํ นิวาโส โปณิกนิกาโย จิกฺขลฺลิกนิกาโย จฯ เอวํ ธมฺมกฺขนฺธโต จตุราสีติ ธมฺมกฺขนฺธสหสฺสานีติ พุทฺธวจนปิฎกาทีนิ นิฎฺฐาเปตฺวา อเนกจฺฉริยปาตุภาวปฎิมณฺฑิตาย สงฺคีติยา ปฐมพุทฺธวจนาทิโก สโพฺพ วุตฺตปฺปเภโท อโญฺญปิ อุทฺทานสงฺคหาทิเภโท สงฺคีติยา ญายตีติ เอตสฺส ทสฺสนตฺถํ ‘‘เอวเมตํ สพฺพมฺปี’’ติอาทิ อารทฺธํฯ อยํ อภิธโมฺม ปิฎกโต อภิธมฺมปิฎกนฺติอาทินา ปิฎกาทิภาวทสฺสเนเนว มชฺฌิมพุทฺธวจนภาโว ตถาคตสฺส จ อาทิโต อาภิธมฺมิกภาโว ทสฺสิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Atthānulomanāmato anulomiko. Anulomikattaṃyeva vibhāvetuṃ ‘‘kasmā panā’’tiādi vuttaṃ. Ekanikāyampīti ekasamūhampi. Poṇikā ca cikkhallikā ca khattiyā, tesaṃ nivāso poṇikanikāyo cikkhallikanikāyo ca. Evaṃ dhammakkhandhato caturāsīti dhammakkhandhasahassānīti buddhavacanapiṭakādīni niṭṭhāpetvā anekacchariyapātubhāvapaṭimaṇḍitāya saṅgītiyā paṭhamabuddhavacanādiko sabbo vuttappabhedo aññopi uddānasaṅgahādibhedo saṅgītiyā ñāyatīti etassa dassanatthaṃ ‘‘evametaṃ sabbampī’’tiādi āraddhaṃ. Ayaṃ abhidhammo piṭakato abhidhammapiṭakantiādinā piṭakādibhāvadassaneneva majjhimabuddhavacanabhāvo tathāgatassa ca ādito ābhidhammikabhāvo dassitoti veditabbo.
เอตฺถ สิยา ‘‘ยทิ ตถาคตภาสิตภาโว อภิธมฺมสฺส สิโทฺธ สิยา, มชฺฌิมพุทฺธวจนภาโว จ สิโทฺธ ภเวยฺย, โส เอว จ น สิโทฺธ’’ติ ตสฺส วินยาทีหิ พุทฺธภาสิตภาวํ สาเธตุํ วตฺถุํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตํ ธารยเนฺตสุ ภิกฺขูสู’’ติอาทิมาหฯ สพฺพสามยิกปริสายาติ สพฺพนิกายิกปริสาย ปญฺจปิ นิกาเย ปริยาปุณนฺติยาฯ น อุคฺคหิตนฺติ สกลสฺส วินยปิฎกสฺส อนุคฺคหิตตฺตา อาหฯ วินยมตฺตํ อุคฺคหิตนฺติ วิภงฺคทฺวยสฺส อุคฺคหิตตฺตา อาหฯ วินยํ อวิวเณฺณตุกามตาย ‘‘อภิธมฺมํ ปริยาปุณสฺสู’’ติ ภณนฺตสฺส อนาปตฺติํ, อภิธเมฺม อโนกาสกตํ ภิกฺขุํ ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติยา ปาจิตฺติยญฺจ วทเนฺตน ภควตา อภิธมฺมสฺส พุทฺธภาสิตภาโว ทีปิโต พุทฺธภาสิเตหิ สุตฺตาทีหิสห วจนโต, พาหิรกภาสิเตสุ จ อีทิสสฺส วจนสฺส อภาวาฯ
Ettha siyā ‘‘yadi tathāgatabhāsitabhāvo abhidhammassa siddho siyā, majjhimabuddhavacanabhāvo ca siddho bhaveyya, so eva ca na siddho’’ti tassa vinayādīhi buddhabhāsitabhāvaṃ sādhetuṃ vatthuṃ dassento ‘‘taṃ dhārayantesu bhikkhūsū’’tiādimāha. Sabbasāmayikaparisāyāti sabbanikāyikaparisāya pañcapi nikāye pariyāpuṇantiyā. Na uggahitanti sakalassa vinayapiṭakassa anuggahitattā āha. Vinayamattaṃ uggahitanti vibhaṅgadvayassa uggahitattā āha. Vinayaṃ avivaṇṇetukāmatāya ‘‘abhidhammaṃ pariyāpuṇassū’’ti bhaṇantassa anāpattiṃ, abhidhamme anokāsakataṃ bhikkhuṃ pañhaṃ pucchantiyā pācittiyañca vadantena bhagavatā abhidhammassa buddhabhāsitabhāvo dīpito buddhabhāsitehi suttādīhisaha vacanato, bāhirakabhāsitesu ca īdisassa vacanassa abhāvā.
อิโตปิ พลวตรํ อาภิธมฺมิกสฺส สาธุการทาเนน วิจิกิจฺฉาวิเจฺฉทสฺส กตตฺตาฯ กมฺมโต อญฺญํ กมฺมํ กมฺมนฺตรํ, ตํ กามาวจราทิํ รูปาวจราทิภาเวน, กณฺหวิปากาทิํ สุกฺกวิปากาทิภาเวน กเถโนฺต อาโลเฬติฯ
Itopi balavataraṃ ābhidhammikassa sādhukāradānena vicikicchāvicchedassa katattā. Kammato aññaṃ kammaṃ kammantaraṃ, taṃ kāmāvacarādiṃ rūpāvacarādibhāvena, kaṇhavipākādiṃ sukkavipākādibhāvena kathento āloḷeti.
ชินจเกฺกติ ชินสาสเนฯ วิสํวาเทตีติ วิปฺปลเมฺภติฯ เภทกรวตฺถูสุ เอกสฺมินฺติ ‘‘ภาสิตํ ลปิตํ ตถาคเตน อภาสิตํ อลปิตํ ตถาคเตนาติ ทีเปตี’’ติ เอกสฺมิํ สนฺทิสฺสติฯ อุตฺตริปิ เอวํ วตฺตโพฺพ…เป.… น อเญฺญสํ วิสโย…เป.… นิทานกิจฺจํ นาม นตฺถีติ อปากฎานํ กาลเทสเทสกปริสานํ ปากฎภาวกรณตฺถํ ตทุปเทสสหิเตน นิทาเนน ภวิตพฺพํ, อเญฺญสํ อวิสยตฺตา เทสโก ปากโฎ, โอกฺกนฺติกาลาทีนํ ปากฎตฺตา กาโล จ, เทวโลเก เทสิตภาวสฺส ปากฎตฺตา เทสปริสา จ ปากฎาติ กิํ นิทานกิจฺจํ สิยาติฯ
Jinacakketi jinasāsane. Visaṃvādetīti vippalambheti. Bhedakaravatthūsu ekasminti ‘‘bhāsitaṃ lapitaṃ tathāgatena abhāsitaṃ alapitaṃ tathāgatenāti dīpetī’’ti ekasmiṃ sandissati. Uttaripi evaṃ vattabbo…pe… na aññesaṃ visayo…pe… nidānakiccaṃ nāma natthīti apākaṭānaṃ kāladesadesakaparisānaṃ pākaṭabhāvakaraṇatthaṃ tadupadesasahitena nidānena bhavitabbaṃ, aññesaṃ avisayattā desako pākaṭo, okkantikālādīnaṃ pākaṭattā kālo ca, devaloke desitabhāvassa pākaṭattā desaparisā ca pākaṭāti kiṃ nidānakiccaṃ siyāti.
ยตฺถ ขนฺธาทโย นิปฺปเทเสน วิภตฺตา, โส อภิธโมฺม นาม, ตสฺมา ตสฺส นิทาเนน ขนฺธาทีนํ นิปฺปเทสโตปิ ปฎิวิทฺธฎฺฐาเนน ภวิตพฺพนฺติ อธิปฺปาเยน เถโร ‘‘มหาโพธินิทาโน อภิธโมฺม’’ติ ทเสฺสติฯ ‘‘โส เอวํ ปชานามิ สมฺมาทิฎฺฐิปจฺจยาปิ เวทยิต’’นฺติอาทินา (สํ. นิ. ๕.๑๒) นเยน ปจฺจยาทีหิ เวทนํ อุปปริกฺขโนฺต ขนฺธาทิปเทสานํ เวทนากฺขนฺธาทีนํ วเสน วิหาสิฯ ธเมฺมติ กุสลาทิอรณเนฺตฯ
Yattha khandhādayo nippadesena vibhattā, so abhidhammo nāma, tasmā tassa nidānena khandhādīnaṃ nippadesatopi paṭividdhaṭṭhānena bhavitabbanti adhippāyena thero ‘‘mahābodhinidāno abhidhammo’’ti dasseti. ‘‘So evaṃ pajānāmi sammādiṭṭhipaccayāpi vedayita’’ntiādinā (saṃ. ni. 5.12) nayena paccayādīhi vedanaṃ upaparikkhanto khandhādipadesānaṃ vedanākkhandhādīnaṃ vasena vihāsi. Dhammeti kusalādiaraṇante.
ธมฺมํ ปริวเตฺตโนฺตติ สาฎฺฐกถํ ปาฬิํ ปริวเตฺตโนฺต เอตํ ปรวาทีโจทนํ ปตฺวา ‘‘อยํ ปรวาที’’ติอาทิมาหฯ อมฺหาทิเสสุ นิทานํ ชานเนฺตสุ ปฎิสรเณสุ วิชฺชมาเนสุ อปฺปฎิสรโณ อรเญฺญ กนฺทโนฺต วิย นิทานสพฺภาเว สกฺขิภูเตสุปิ อเมฺหสุ วิชฺชมาเนสุ อสกฺขิกํ อฑฺฑํ กโรโนฺต วิย โหติ, นิทานสฺส อตฺถิภาวมฺปิ น ชานาติ, นนุ เอตํ นิทานนฺติ กเถโนฺต เอวมาหฯ เอกเมวาติ เทสนานิทานเมว อชฺฌาสยานุรูเปน เทสิตตฺตาฯ เทฺว นิทานานีติ อธิคนฺตพฺพเทเสตพฺพธมฺมานุรูเปน เทสิตตฺตาฯ อภิธมฺมาธิคมสฺส มูลํ อธิคมํ นิเทตีติ อธิคมนิทานํฯ โพธิอภินีหารสทฺธายาติ ยาย สทฺธาย ทีปงฺกรทสพลสฺส สนฺติเก โพธิยา จิตฺตํ อภินีหริ ปณิธานํ อกาสิฯ
Dhammaṃ parivattentoti sāṭṭhakathaṃ pāḷiṃ parivattento etaṃ paravādīcodanaṃ patvā ‘‘ayaṃ paravādī’’tiādimāha. Amhādisesu nidānaṃ jānantesu paṭisaraṇesu vijjamānesu appaṭisaraṇo araññe kandanto viya nidānasabbhāve sakkhibhūtesupi amhesu vijjamānesu asakkhikaṃ aḍḍaṃ karonto viya hoti, nidānassa atthibhāvampi na jānāti, nanu etaṃ nidānanti kathento evamāha. Ekamevāti desanānidānameva ajjhāsayānurūpena desitattā. Dve nidānānīti adhigantabbadesetabbadhammānurūpena desitattā. Abhidhammādhigamassa mūlaṃ adhigamaṃ nidetīti adhigamanidānaṃ. Bodhiabhinīhārasaddhāyāti yāya saddhāya dīpaṅkaradasabalassa santike bodhiyā cittaṃ abhinīhari paṇidhānaṃ akāsi.
Related texts:
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / นิทานกถาวณฺณนา • Nidānakathāvaṇṇanā