Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
๔. นิทานสุตฺตวณฺณนา
4. Nidānasuttavaṇṇanā
๓๔. จตุเตฺถ นิทานานีติ การณานิฯ กมฺมานนฺติ วฎฺฎคามิกมฺมานํฯ โลโภ นิทานํ กมฺมานํ สมุทยายาติ ลุพฺภนปลุพฺภนสภาโว โลโภ วฎฺฎคามิกมฺมานํ สมุทยาย ปิณฺฑกรณตฺถาย นิทานํ การณํ ปจฺจโยติ อโตฺถฯ โทโสติ ทุสฺสนปทุสฺสนสภาโว โทโสฯ โมโหติ มุยฺหนปมุยฺหนสภาโว โมโหฯ
34. Catutthe nidānānīti kāraṇāni. Kammānanti vaṭṭagāmikammānaṃ. Lobho nidānaṃ kammānaṃ samudayāyāti lubbhanapalubbhanasabhāvo lobho vaṭṭagāmikammānaṃ samudayāya piṇḍakaraṇatthāya nidānaṃ kāraṇaṃ paccayoti attho. Dosoti dussanapadussanasabhāvo doso. Mohoti muyhanapamuyhanasabhāvo moho.
โลภปกตนฺติ โลเภน ปกตํ, โลภาภิภูเตน ลุเทฺธน หุตฺวา กตกมฺมนฺติ อโตฺถฯ โลภโต ชาตนฺติ โลภชํฯ โลโภ นิทานมสฺสาติ โลภนิทานํฯ โลโภ สมุทโย อสฺสาติ โลภสมุทยํฯ สมุทโยติ ปจฺจโย, โลภปจฺจยนฺติ อโตฺถฯ ยตฺถสฺส อตฺตภาโว นิพฺพตฺตตีติ ยสฺมิํ ฐาเน อสฺส โลภชกมฺมวโต ปุคฺคลสฺส อตฺตภาโว นิพฺพตฺตติ, ขนฺธา ปาตุภวนฺติฯ ตตฺถ ตํ กมฺมํ วิปจฺจตีติ เตสุ ขเนฺธสุ ตํ กมฺมํ วิปจฺจติฯ ทิเฎฺฐ วา ธเมฺมติอาทิ ยสฺมา ตํ กมฺมํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ วา โหติ อุปปชฺชเวทนียํ วา อปรปริยายเวทนียํ วา, ตสฺมา ตํ ปเภทํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ เสสทฺวเยปิ เอเสว นโยฯ
Lobhapakatanti lobhena pakataṃ, lobhābhibhūtena luddhena hutvā katakammanti attho. Lobhato jātanti lobhajaṃ. Lobho nidānamassāti lobhanidānaṃ. Lobho samudayo assāti lobhasamudayaṃ. Samudayoti paccayo, lobhapaccayanti attho. Yatthassa attabhāvo nibbattatīti yasmiṃ ṭhāne assa lobhajakammavato puggalassa attabhāvo nibbattati, khandhā pātubhavanti. Tattha taṃ kammaṃ vipaccatīti tesu khandhesu taṃ kammaṃ vipaccati. Diṭṭhe vā dhammetiādi yasmā taṃ kammaṃ diṭṭhadhammavedanīyaṃ vā hoti upapajjavedanīyaṃ vā aparapariyāyavedanīyaṃ vā, tasmā taṃ pabhedaṃ dassetuṃ vuttaṃ. Sesadvayepi eseva nayo.
อขณฺฑานีติ อภินฺนานิฯ อปูตีนีติ ปูติภาเวน อพีชตฺตํ อปฺปตฺตานิฯ อวาตาตปหตานีติ น วาเตน น จ อาตเปน หตานิฯ สาราทานีติ คหิตสารานิ สารวนฺตานิ น นิสฺสารานิฯ สุขสยิตานีติ สนฺนิจยภาเวน สุขํ สยิตานิฯ สุเขเตฺตติ มณฺฑเขเตฺตฯ สุปริกมฺมกตาย ภูมิยาติ นงฺคลกสเนน เจว อฎฺฐทนฺตเกน จ สุฎฺฐุ ปริกมฺมกตาย เขตฺตภูมิยาฯ นิกฺขิตฺตานีติ ฐปิตานิ โรปิตานิฯ อนุปฺปเวเจฺฉยฺยาติ อนุปฺปเวเสยฺยฯ วุทฺธินฺติอาทีสุ อุทฺธคฺคมเนน วุทฺธิํ, เหฎฺฐา มูลปฺปติฎฺฐาเนน วิรูฬฺหิํ, สมนฺตา วิตฺถาริกภาเวน เวปุลฺลํฯ
Akhaṇḍānīti abhinnāni. Apūtīnīti pūtibhāvena abījattaṃ appattāni. Avātātapahatānīti na vātena na ca ātapena hatāni. Sārādānīti gahitasārāni sāravantāni na nissārāni. Sukhasayitānīti sannicayabhāvena sukhaṃ sayitāni. Sukhetteti maṇḍakhette. Suparikammakatāya bhūmiyāti naṅgalakasanena ceva aṭṭhadantakena ca suṭṭhu parikammakatāya khettabhūmiyā. Nikkhittānīti ṭhapitāni ropitāni. Anuppaveccheyyāti anuppaveseyya. Vuddhintiādīsu uddhaggamanena vuddhiṃ, heṭṭhā mūlappatiṭṭhānena virūḷhiṃ, samantā vitthārikabhāvena vepullaṃ.
ยํ ปเนตฺถ ทิเฎฺฐ วา ธเมฺมติอาทิ วุตฺตํ, ตตฺถ อสโมฺมหตฺถํ อิมสฺมิํ ฐาเน กมฺมวิภตฺติ นาม กเถตพฺพาฯ สุตฺตนฺติกปริยาเยน หิ เอกาทส กมฺมานิ วิภตฺตานิฯ เสยฺยถิทํ – ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ อุปปชฺชเวทนียํ อปรปริยายเวทนียํ, ยคฺครุกํ ยพฺพหุลํ ยทาสนฺนํ กฎตฺตา วา ปน กมฺมํ, ชนกํ อุปตฺถมฺภกํ อุปปีฬกํ อุปฆาตกนฺติฯ ตตฺถ เอกชวนวีถิยํ สตฺตสุ จิเตฺตสุ กุสลา วา อกุสลา วา ปฐมชวนเจตนา ทิฎฺฐธมฺมเวทนียกมฺมํ นามฯ ตํ อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว วิปากํ เทติ กากวฬิยปุณฺณเสฎฺฐีนํ วิย กุสลํ, นนฺทยกฺขนนฺทมาณวกนนฺทโคฆาตกโกกาลิยสุปฺปพุทฺธเทวทตฺตจิญฺจมาณวิกานํ วิย จ อกุสลํฯ ตถา อสโกฺกนฺตํ ปน อโหสิกมฺมํ นาม โหติ, อวิปากํ สมฺปชฺชติฯ ตํ มิคลุทฺทโกปมาย สาเธตพฺพํฯ ยถา หิ มิคลุทฺทเกน มิคํ ทิสฺวา ธนุํ อากฑฺฒิตฺวา ขิโตฺต สโร สเจ น วิรชฺฌติ, ตํ มิคํ ตเตฺถว ปาเตติ, อถ นํ มิคลุทฺทโก นิจฺจมฺมํ กตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิกํ เฉตฺวา มํสํ อาทาย ปุตฺตทารํ โตเสโนฺต คจฺฉติฯ สเจ ปน วิรชฺฌติ, มิโค ปลายิตฺวา ปุน ตํ ทิสํ น โอโลเกติฯ เอวํ สมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ สรสฺส อวิรชฺฌิตฺวา มิควิชฺฌนํ วิย หิ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียสฺส กมฺมสฺส วิปากวารปฎิลาโภ, อวิชฺฌนํ วิย อวิปากภาวาย สมฺปชฺชนนฺติฯ
Yaṃ panettha diṭṭhe vā dhammetiādi vuttaṃ, tattha asammohatthaṃ imasmiṃ ṭhāne kammavibhatti nāma kathetabbā. Suttantikapariyāyena hi ekādasa kammāni vibhattāni. Seyyathidaṃ – diṭṭhadhammavedanīyaṃ upapajjavedanīyaṃ aparapariyāyavedanīyaṃ, yaggarukaṃ yabbahulaṃ yadāsannaṃ kaṭattā vā pana kammaṃ, janakaṃ upatthambhakaṃ upapīḷakaṃ upaghātakanti. Tattha ekajavanavīthiyaṃ sattasu cittesu kusalā vā akusalā vā paṭhamajavanacetanā diṭṭhadhammavedanīyakammaṃ nāma. Taṃ imasmiṃyeva attabhāve vipākaṃ deti kākavaḷiyapuṇṇaseṭṭhīnaṃ viya kusalaṃ, nandayakkhanandamāṇavakanandagoghātakakokāliyasuppabuddhadevadattaciñcamāṇavikānaṃ viya ca akusalaṃ. Tathā asakkontaṃ pana ahosikammaṃ nāma hoti, avipākaṃ sampajjati. Taṃ migaluddakopamāya sādhetabbaṃ. Yathā hi migaluddakena migaṃ disvā dhanuṃ ākaḍḍhitvā khitto saro sace na virajjhati, taṃ migaṃ tattheva pāteti, atha naṃ migaluddako niccammaṃ katvā khaṇḍākhaṇḍikaṃ chetvā maṃsaṃ ādāya puttadāraṃ tosento gacchati. Sace pana virajjhati, migo palāyitvā puna taṃ disaṃ na oloketi. Evaṃ sampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ. Sarassa avirajjhitvā migavijjhanaṃ viya hi diṭṭhadhammavedanīyassa kammassa vipākavārapaṭilābho, avijjhanaṃ viya avipākabhāvāya sampajjananti.
อตฺถสาธิกา ปน สตฺตมชวนเจตนา อุปปชฺชเวทนียกมฺมํ นามฯ ตํ อนนฺตเร อตฺตภาเว วิปากํ เทติฯ ตํ ปเนตํ กุสลปเกฺข อฎฺฐสมาปตฺติวเสน, อกุสลปเกฺข ปญฺจานนฺตริยกมฺมวเสน เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ อฎฺฐสมาปตฺติลาภี เอกาย สมาปตฺติยา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตติฯ ปญฺจนฺนมฺปิ อานนฺตริยานํ กตฺตา เอเกน กเมฺมน นิรเย นิพฺพตฺตติ, เสสสมาปตฺติโย จ กมฺมานิ จ อโหสิกมฺมภาวํเยว อาปชฺชนฺติ, อวิปากานิ โหนฺติฯ อยมฺปิ อโตฺถ ปุริมอุปมายเยว ทีเปตโพฺพฯ
Atthasādhikā pana sattamajavanacetanā upapajjavedanīyakammaṃ nāma. Taṃ anantare attabhāve vipākaṃ deti. Taṃ panetaṃ kusalapakkhe aṭṭhasamāpattivasena, akusalapakkhe pañcānantariyakammavasena veditabbaṃ. Tattha aṭṭhasamāpattilābhī ekāya samāpattiyā brahmaloke nibbattati. Pañcannampi ānantariyānaṃ kattā ekena kammena niraye nibbattati, sesasamāpattiyo ca kammāni ca ahosikammabhāvaṃyeva āpajjanti, avipākāni honti. Ayampi attho purimaupamāyayeva dīpetabbo.
อุภินฺนํ อนฺตเร ปน ปญฺจชวนเจตนา อปรปริยายเวทนียกมฺมํ นามฯ ตํ อนาคเต ยทา โอกาสํ ลภติ, ตทา วิปากํ เทติฯ สติ สํสารปฺปวตฺติยา อโหสิกมฺมํ นาม น โหติฯ ตํ สพฺพํ สุนขลุทฺทเกน ทีเปตพฺพํฯ ยถา หิ สุนขลุทฺทเกน มิคํ ทิสฺวา สุนโข วิสฺสชฺชิโต มิคํ อนุพนฺธิตฺวา ยสฺมิํ ฐาเน ปาปุณาติ, ตสฺมิํ เยว ฑํสติ; เอวเมวํ อิทํ กมฺมํ ยสฺมิํ ฐาเน โอกาสํ ลภติ, ตสฺมิํเยว วิปากํ เทติ, เตน มุโตฺต สโตฺต นาม นตฺถิฯ
Ubhinnaṃ antare pana pañcajavanacetanā aparapariyāyavedanīyakammaṃ nāma. Taṃ anāgate yadā okāsaṃ labhati, tadā vipākaṃ deti. Sati saṃsārappavattiyā ahosikammaṃ nāma na hoti. Taṃ sabbaṃ sunakhaluddakena dīpetabbaṃ. Yathā hi sunakhaluddakena migaṃ disvā sunakho vissajjito migaṃ anubandhitvā yasmiṃ ṭhāne pāpuṇāti, tasmiṃ yeva ḍaṃsati; evamevaṃ idaṃ kammaṃ yasmiṃ ṭhāne okāsaṃ labhati, tasmiṃyeva vipākaṃ deti, tena mutto satto nāma natthi.
กุสลากุสเลสุ ปน ครุกาครุเกสุ ยํ ครุกํ โหติ, ตํ ยคฺครุกํ นามฯ ตเทตํ กุสลปเกฺข มหคฺคตกมฺมํ, อกุสลปเกฺข ปญฺจานนฺตริยกมฺมํ เวทิตพฺพํฯ ตสฺมิํ สติ เสสานิ กุสลานิ วา อกุสลานิ วา วิปจฺจิตุํ น สโกฺกนฺติ, ตเทว ทุวิธมฺปิ ปฎิสนฺธิํ เทติฯ ยถา หิ สาสปปฺปมาณาปิ สกฺขรา วา อยคุฬิกา วา อุทกรหเท ปกฺขิตฺตา อุทกปิเฎฺฐ อุปฺลวิตุํ น สโกฺกติ, เหฎฺฐาว ปวิสติ; เอวเมว กุสเลปิ อกุสเลปิ ยํ ครุกํ, ตเทว คณฺหิตฺวา คจฺฉติฯ
Kusalākusalesu pana garukāgarukesu yaṃ garukaṃ hoti, taṃ yaggarukaṃ nāma. Tadetaṃ kusalapakkhe mahaggatakammaṃ, akusalapakkhe pañcānantariyakammaṃ veditabbaṃ. Tasmiṃ sati sesāni kusalāni vā akusalāni vā vipaccituṃ na sakkonti, tadeva duvidhampi paṭisandhiṃ deti. Yathā hi sāsapappamāṇāpi sakkharā vā ayaguḷikā vā udakarahade pakkhittā udakapiṭṭhe uplavituṃ na sakkoti, heṭṭhāva pavisati; evameva kusalepi akusalepi yaṃ garukaṃ, tadeva gaṇhitvā gacchati.
กุสลากุสเลสุ ปน ยํ พหุลํ โหติ, ตํ ยพฺพหุลํ นามฯ ตํ ทีฆรตฺตํ ลทฺธาเสวนวเสน เวทิตพฺพํฯ ยํ วา พลวกุสลกเมฺมสุ โสมนสฺสกรํ, อกุสลกเมฺมสุ สนฺตาปกรํ, เอตํ ยพฺพหุลํ นามฯ ตเทตํ ยถา นาม ทฺวีสุ มเลฺลสุ ยุทฺธภูมิํ โอติเณฺณสุ โย พลวา, โส อิตรํ ปาเตตฺวา คจฺฉติ; เอวเมว อิตรํ ทุพฺพลกมฺมํ อวตฺถริตฺวา ยํ อาเสวนวเสน วา พหุลํ, อาสนฺนวเสน วา พลวํ, ตํ วิปากํ เทติ, ทุฎฺฐคามณิอภยรโญฺญ กมฺมํ วิยฯ
Kusalākusalesu pana yaṃ bahulaṃ hoti, taṃ yabbahulaṃ nāma. Taṃ dīgharattaṃ laddhāsevanavasena veditabbaṃ. Yaṃ vā balavakusalakammesu somanassakaraṃ, akusalakammesu santāpakaraṃ, etaṃ yabbahulaṃ nāma. Tadetaṃ yathā nāma dvīsu mallesu yuddhabhūmiṃ otiṇṇesu yo balavā, so itaraṃ pātetvā gacchati; evameva itaraṃ dubbalakammaṃ avattharitvā yaṃ āsevanavasena vā bahulaṃ, āsannavasena vā balavaṃ, taṃ vipākaṃ deti, duṭṭhagāmaṇiabhayarañño kammaṃ viya.
โส กิร จูฬงฺคณิยยุเทฺธ ปราชิโต วฬวํ อารุยฺห ปลายิฯ ตสฺส จูฬุปฎฺฐาโก ติสฺสามโจฺจ นาม เอกโกว ปจฺฉโต อโหสิฯ โส เอกํ อฎวิํ ปวิสิตฺวา นิสิโนฺน ชิฆจฺฉาย พาธยมานาย – ‘‘ภาติก ติสฺส, อติวิย โน ชิฆจฺฉา พาธติ, กิํ กริสฺสามา’’ติ อาห ฯ อตฺถิ, เทว, มยา สาฎกนฺตเร ฐเปตฺวา เอกํ สุวณฺณสรกภตฺตํ อาภตนฺติฯ เตน หิ อาหราติฯ โส นีหริตฺวา รโญฺญ ปุรโต ฐเปสิฯ ราชา ทิสฺวา, ‘‘ตาต, จตฺตาโร โกฎฺฐาเส กโรหี’’ติ อาหฯ มยํ ตโย ชนา, กสฺมา เทโว จตฺตาโร โกฎฺฐาเส การยตีติ? ภาติก ติสฺส, ยโต ปฎฺฐาย อหํ อตฺตานํ สรามิ, น เม อยฺยานํ อทตฺวา อาหาโร ปริภุตฺตปุโพฺพ อตฺถิ, สฺวาหํ อชฺชปิ อทตฺวา น ปริภุญฺชิสฺสามีติฯ โส จตฺตาโร โกฎฺฐาเส อกาสิฯ ราชา ‘‘กาลํ โฆเสหี’’ติ อาหฯ ฉฑฺฑิตารเญฺญ กุโต, อเยฺย, ลภิสฺสาม เทวาติ ฯ ‘‘นายํ ตว ภาโรฯ สเจ มม สทฺธา อตฺถิ, อเยฺย, ลภิสฺสาม, วิสฺสโตฺถ กาลํ โฆเสหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘กาโล, ภเนฺต, กาโล, ภเนฺต’’ติ ติกฺขตฺตุํ โฆเสสิฯ
So kira cūḷaṅgaṇiyayuddhe parājito vaḷavaṃ āruyha palāyi. Tassa cūḷupaṭṭhāko tissāmacco nāma ekakova pacchato ahosi. So ekaṃ aṭaviṃ pavisitvā nisinno jighacchāya bādhayamānāya – ‘‘bhātika tissa, ativiya no jighacchā bādhati, kiṃ karissāmā’’ti āha . Atthi, deva, mayā sāṭakantare ṭhapetvā ekaṃ suvaṇṇasarakabhattaṃ ābhatanti. Tena hi āharāti. So nīharitvā rañño purato ṭhapesi. Rājā disvā, ‘‘tāta, cattāro koṭṭhāse karohī’’ti āha. Mayaṃ tayo janā, kasmā devo cattāro koṭṭhāse kārayatīti? Bhātika tissa, yato paṭṭhāya ahaṃ attānaṃ sarāmi, na me ayyānaṃ adatvā āhāro paribhuttapubbo atthi, svāhaṃ ajjapi adatvā na paribhuñjissāmīti. So cattāro koṭṭhāse akāsi. Rājā ‘‘kālaṃ ghosehī’’ti āha. Chaḍḍitāraññe kuto, ayye, labhissāma devāti . ‘‘Nāyaṃ tava bhāro. Sace mama saddhā atthi, ayye, labhissāma, vissattho kālaṃ ghosehī’’ti āha. So ‘‘kālo, bhante, kālo, bhante’’ti tikkhattuṃ ghosesi.
อถสฺส โพธิมาตุมหาติสฺสเตฺถโร ตํ สทฺทํ ทิพฺพาย โสตธาตุยา สุตฺวา ‘กตฺถายํ สโทฺท’ติ ตํ อาวเชฺชโนฺต ‘‘อชฺช ทุฎฺฐคามณิอภยมหาราชา ยุทฺธปราชิโต อฎวิํ ปวิสิตฺวา นิสิโนฺน เอกํ สรกภตฺตํ จตฺตาโร โกฎฺฐาเส กาเรตฺวา ‘เอกโกว น ปริภุญฺชิสฺสามี’ติ กาลํ โฆสาเปสี’’ติ ญตฺวา ‘‘อชฺช มยา รโญฺญ สงฺคหํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ มโนคติยา อาคนฺตฺวา รโญฺญ ปุรโต อฎฺฐาสิฯ ราชา ทิสฺวา ปสนฺนจิโตฺต ‘‘ปสฺส, ภาติก, ติสฺสา’’ติ วตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา ‘‘ปตฺตํ, ภเนฺต, เทถา’’ติ อาหฯ เถโร ปตฺตํ นีหริฯ ราชา อตฺตโน โกฎฺฐาเสน สทฺธิํ เถรสฺส โกฎฺฐาสํ ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อาหารปริสฺสโย นาม มา กทาจิ โหตู’’ติ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ ติสฺสามโจฺจปิ ‘‘มม อยฺยปุเตฺต ปสฺสเนฺต ภุญฺชิตุํ น สกฺขิสฺสามี’’ติ อตฺตโน โกฎฺฐาสํ เถรเสฺสว ปเตฺต อากิริฯ วฬวาปิ จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหมฺปิ โกฎฺฐาสํ เถรเสฺสว ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ราชา วฬวํ โอโลเกตฺวา ‘‘อยมฺปิ อตฺตโน โกฎฺฐาสํ เถรเสฺสว ปเตฺต ปกฺขิปนํ ปจฺจาสีสตี’’ติ ญตฺวา ตมฺปิ ตเตฺถว ปกฺขิปิตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา อุโยฺยเชสิฯ เถโร ตํ ภตฺตํ อาทาย คนฺตฺวา อาทิโต ปฎฺฐาย ภิกฺขุสงฺฆสฺส อาโลปสเงฺขเปน อทาสิฯ
Athassa bodhimātumahātissatthero taṃ saddaṃ dibbāya sotadhātuyā sutvā ‘katthāyaṃ saddo’ti taṃ āvajjento ‘‘ajja duṭṭhagāmaṇiabhayamahārājā yuddhaparājito aṭaviṃ pavisitvā nisinno ekaṃ sarakabhattaṃ cattāro koṭṭhāse kāretvā ‘ekakova na paribhuñjissāmī’ti kālaṃ ghosāpesī’’ti ñatvā ‘‘ajja mayā rañño saṅgahaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti manogatiyā āgantvā rañño purato aṭṭhāsi. Rājā disvā pasannacitto ‘‘passa, bhātika, tissā’’ti vatvā theraṃ vanditvā ‘‘pattaṃ, bhante, dethā’’ti āha. Thero pattaṃ nīhari. Rājā attano koṭṭhāsena saddhiṃ therassa koṭṭhāsaṃ patte pakkhipitvā, ‘‘bhante, āhāraparissayo nāma mā kadāci hotū’’ti vanditvā aṭṭhāsi. Tissāmaccopi ‘‘mama ayyaputte passante bhuñjituṃ na sakkhissāmī’’ti attano koṭṭhāsaṃ therasseva patte ākiri. Vaḷavāpi cintesi – ‘‘mayhampi koṭṭhāsaṃ therasseva dātuṃ vaṭṭatī’’ti. Rājā vaḷavaṃ oloketvā ‘‘ayampi attano koṭṭhāsaṃ therasseva patte pakkhipanaṃ paccāsīsatī’’ti ñatvā tampi tattheva pakkhipitvā theraṃ vanditvā uyyojesi. Thero taṃ bhattaṃ ādāya gantvā ādito paṭṭhāya bhikkhusaṅghassa ālopasaṅkhepena adāsi.
ราชาปิ จิเนฺตสิ – ‘‘อติวิยมฺหา ชิฆจฺฉิตา, สาธุ วตสฺส สเจ อติเรกภตฺตสิตฺถานิ ปหิเณยฺยา’’ติฯ เถโร รโญฺญ จิตฺตํ ญตฺวา อติเรกภตฺตํ เอเตสํ ยาปนมตฺตํ กตฺวา ปตฺตํ อากาเส ขิปิ, ปโตฺต อาคนฺตฺวา รโญฺญ หเตฺถ ปติฎฺฐาสิฯ ภตฺตํ ติณฺณมฺปิ ชนานํ ยาวทตฺถํ อโหสิฯ อถ ราชา ปตฺตํ โธวิตฺวา ‘‘ตุจฺฉปตฺตํ น เปสิสฺสามี’’ติ อุตฺตริสาฎกํ โมเจตฺวา อุทกํ ปุญฺฉิตฺวา สาฎกํ ปเตฺต ฐเปตฺวา ‘‘ปโตฺต คนฺตฺวา มม อยฺยสฺส หเตฺถ ปติฎฺฐาตู’’ติ อากาเส ขิปิฯ ปโตฺต คนฺตฺวา เถรสฺส หเตฺถ ปติฎฺฐาสิฯ
Rājāpi cintesi – ‘‘ativiyamhā jighacchitā, sādhu vatassa sace atirekabhattasitthāni pahiṇeyyā’’ti. Thero rañño cittaṃ ñatvā atirekabhattaṃ etesaṃ yāpanamattaṃ katvā pattaṃ ākāse khipi, patto āgantvā rañño hatthe patiṭṭhāsi. Bhattaṃ tiṇṇampi janānaṃ yāvadatthaṃ ahosi. Atha rājā pattaṃ dhovitvā ‘‘tucchapattaṃ na pesissāmī’’ti uttarisāṭakaṃ mocetvā udakaṃ puñchitvā sāṭakaṃ patte ṭhapetvā ‘‘patto gantvā mama ayyassa hatthe patiṭṭhātū’’ti ākāse khipi. Patto gantvā therassa hatthe patiṭṭhāsi.
อปรภาเค รโญฺญ ตถาคตสฺส สรีรธาตูนํ อฎฺฐมภาคํ ปติฎฺฐาเปตฺวา วีสรตนสติกํ มหาเจติยํ กาเรนฺตสฺส อปรินิฎฺฐิเตเยว เจติเย กาลกิริยาสมโย อนุปฺปโตฺตฯ อถสฺส มหาเจติยสฺส ทกฺขิณปเสฺส นิปนฺนสฺส ปญฺจนิกายวเสน ภิกฺขุสเงฺฆ สชฺฌายํ กโรเนฺต ฉหิ เทวโลเกหิ ฉ รถา อาคนฺตฺวา ปุรโต อากาเส อฎฺฐํสุฯ ราชา ‘‘ปุญฺญโปตฺถกํ อาหรถา’’ติ อาทิโต ปฎฺฐาย ปุญฺญโปตฺถกํ วาจาเปสิฯ อถ นํ กิญฺจิ กมฺมํ น ปริโตเสสิฯ โส ‘‘ปรโต วาเจถา’’ติ อาหฯ โปตฺถกวาจโก ‘‘จูฬงฺคณิยยุเทฺธ ปราชิเตน เต เทว อฎวิํ ปวิสิตฺวา นิสิเนฺนน เอกํ สรกภตฺตํ จตฺตาโร โกฎฺฐาเส กาเรตฺวา โพธิมาตุมหาติสฺสเตฺถรสฺส ภิกฺขา ทินฺนา’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘ฐเปหี’’ติ วตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ ปุจฺฉิ, ‘‘ภเนฺต, กตโร เทวโลโก รมณีโย’’ติ? สพฺพโพธิสตฺตานํ วสนฎฺฐานํ ตุสิตภวนํ มหาราชาติฯ ราชา กาลํ กตฺวา ตุสิตภวนโต อาคตรเถว ปติฎฺฐาย ตุสิตภวนํ อคมาสิฯ อิทํ พลวกมฺมสฺส วิปากทาเน วตฺถุฯ
Aparabhāge rañño tathāgatassa sarīradhātūnaṃ aṭṭhamabhāgaṃ patiṭṭhāpetvā vīsaratanasatikaṃ mahācetiyaṃ kārentassa apariniṭṭhiteyeva cetiye kālakiriyāsamayo anuppatto. Athassa mahācetiyassa dakkhiṇapasse nipannassa pañcanikāyavasena bhikkhusaṅghe sajjhāyaṃ karonte chahi devalokehi cha rathā āgantvā purato ākāse aṭṭhaṃsu. Rājā ‘‘puññapotthakaṃ āharathā’’ti ādito paṭṭhāya puññapotthakaṃ vācāpesi. Atha naṃ kiñci kammaṃ na paritosesi. So ‘‘parato vācethā’’ti āha. Potthakavācako ‘‘cūḷaṅgaṇiyayuddhe parājitena te deva aṭaviṃ pavisitvā nisinnena ekaṃ sarakabhattaṃ cattāro koṭṭhāse kāretvā bodhimātumahātissattherassa bhikkhā dinnā’’ti āha. Rājā ‘‘ṭhapehī’’ti vatvā bhikkhusaṅghaṃ pucchi, ‘‘bhante, kataro devaloko ramaṇīyo’’ti? Sabbabodhisattānaṃ vasanaṭṭhānaṃ tusitabhavanaṃ mahārājāti. Rājā kālaṃ katvā tusitabhavanato āgataratheva patiṭṭhāya tusitabhavanaṃ agamāsi. Idaṃ balavakammassa vipākadāne vatthu.
ยํ ปน กุสลากุสเลสุ อาสนฺนมรเณ อนุสฺสริตุํ สโกฺกติ, ตํ ยทาสนฺนํ นามฯ ตเทตํ ยถา นาม โคคณปริปุณฺณสฺส วชสฺส ทฺวาเร วิวเฎ ปรภาเค ทมฺมควพลวคเวสุ สเนฺตสุปิ โย วชทฺวารสฺส อาสโนฺน โหติ อนฺตมโส ทุพฺพลชรคฺคโวปิ, โส เอว ปฐมตรํ นิกฺขมติ, เอวเมว อเญฺญสุ กุสลากุสเลสุ สเนฺตสุปิ มรณกาลสฺส อาสนฺนตฺตา วิปากํ เทติฯ
Yaṃ pana kusalākusalesu āsannamaraṇe anussarituṃ sakkoti, taṃ yadāsannaṃ nāma. Tadetaṃ yathā nāma gogaṇaparipuṇṇassa vajassa dvāre vivaṭe parabhāge dammagavabalavagavesu santesupi yo vajadvārassa āsanno hoti antamaso dubbalajaraggavopi, so eva paṭhamataraṃ nikkhamati, evameva aññesu kusalākusalesu santesupi maraṇakālassa āsannattā vipākaṃ deti.
ตตฺริมานิ วตฺถูนิ – มธุองฺคณคาเม กิร เอโก ทมิฬโทวาริโก ปาโตว พฬิสํ อาทาย คนฺตฺวา มเจฺฉ วธิตฺวา ตโย โกฎฺฐาเส กตฺวา เอเกน ตณฺฑุลํ คณฺหาติ, เอเกน ทธิํ, เอกํ ปจติฯ อิมินา นีหาเรน ปญฺญาส วสฺสานิ ปาณาติปาตกมฺมํ กตฺวา อปรภาเค มหลฺลโก อนุฎฺฐานเสยฺยํ อุปคจฺฉติฯ ตสฺมิํ ขเณ คิริวิหารวาสี จูฬปิณฺฑปาติกติสฺสเตฺถโร ‘‘มา อยํ สโตฺต มยิ ปสฺสเนฺต นสฺสตู’’ติ คนฺตฺวา ตสฺส เคหทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ อถสฺส ภริยา, ‘‘สามิ, เถโร อาคโต’’ติ อาโรเจสิฯ อหํ ปญฺญาส วสฺสานิ เถรสฺส สนฺติกํ น คตปุโพฺพ, กตเรน เม คุเณน เถโร อาคมิสฺสติ, คจฺฉาติ นํ วทถาติฯ สา ‘‘อติจฺฉถ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ เถโร ‘‘อุปาสกสฺส กา สรีรปฺปวตฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ทุพฺพโล, ภเนฺตติฯ เถโร ฆรํ ปวิสิตฺวา สติํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘สีลํ คณฺหิสฺสสี’’ติ อาหฯ อาม, ภเนฺต, เทถาติฯ เถโร ตีณิ สรณานิ ทตฺวา ปญฺจ สีลานิ ทาตุํ อารภิฯ ตสฺส ปญฺจ สีลานีติ วจนกาเลเยว ชิวฺหา ปปติฯ เถโร ‘‘วฎฺฎิสฺสติ เอตฺตก’’นฺติ นิกฺขมิตฺวา คโตฯ โสปิ กาลํ กตฺวา จาตุมหาราชิกภวเน นิพฺพตฺติฯ นิพฺพตฺตกฺขเณเยว จ ‘‘กิํ นุ โข กมฺมํ กตฺวา มยา อิทํ ลทฺธ’’นฺติ อาวเชฺชโนฺต เถรํ นิสฺสาย ลทฺธภาวํ ญตฺวา เทวโลกโต อาคนฺตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ ‘‘โก เอโส’’ติ จ วุเตฺต ‘‘อหํ, ภเนฺต, ทมิฬโทวาริโก’’ติ อาหฯ กุหิํ นิพฺพโตฺตสีติ? จาตุมหาราชิเกสุ, ภเนฺต, สเจ เม อโยฺย ปญฺจ สีลานิ อทสฺส, อุปริ เทวโลเก นิพฺพโตฺต อสฺสํฯ อหํ กิํ กริสฺสามิ, ตฺวํ คณฺหิตุํ นาสกฺขิ, ปุตฺตกาติฯ โส เถรํ วนฺทิตฺวา เทวโลกเมว คโตฯ อิทํ ตาว กุสลกเมฺม วตฺถุฯ
Tatrimāni vatthūni – madhuaṅgaṇagāme kira eko damiḷadovāriko pātova baḷisaṃ ādāya gantvā macche vadhitvā tayo koṭṭhāse katvā ekena taṇḍulaṃ gaṇhāti, ekena dadhiṃ, ekaṃ pacati. Iminā nīhārena paññāsa vassāni pāṇātipātakammaṃ katvā aparabhāge mahallako anuṭṭhānaseyyaṃ upagacchati. Tasmiṃ khaṇe girivihāravāsī cūḷapiṇḍapātikatissatthero ‘‘mā ayaṃ satto mayi passante nassatū’’ti gantvā tassa gehadvāre aṭṭhāsi. Athassa bhariyā, ‘‘sāmi, thero āgato’’ti ārocesi. Ahaṃ paññāsa vassāni therassa santikaṃ na gatapubbo, katarena me guṇena thero āgamissati, gacchāti naṃ vadathāti. Sā ‘‘aticchatha, bhante’’ti āha. Thero ‘‘upāsakassa kā sarīrappavattī’’ti pucchi. Dubbalo, bhanteti. Thero gharaṃ pavisitvā satiṃ uppādetvā ‘‘sīlaṃ gaṇhissasī’’ti āha. Āma, bhante, dethāti. Thero tīṇi saraṇāni datvā pañca sīlāni dātuṃ ārabhi. Tassa pañca sīlānīti vacanakāleyeva jivhā papati. Thero ‘‘vaṭṭissati ettaka’’nti nikkhamitvā gato. Sopi kālaṃ katvā cātumahārājikabhavane nibbatti. Nibbattakkhaṇeyeva ca ‘‘kiṃ nu kho kammaṃ katvā mayā idaṃ laddha’’nti āvajjento theraṃ nissāya laddhabhāvaṃ ñatvā devalokato āgantvā theraṃ vanditvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. ‘‘Ko eso’’ti ca vutte ‘‘ahaṃ, bhante, damiḷadovāriko’’ti āha. Kuhiṃ nibbattosīti? Cātumahārājikesu, bhante, sace me ayyo pañca sīlāni adassa, upari devaloke nibbatto assaṃ. Ahaṃ kiṃ karissāmi, tvaṃ gaṇhituṃ nāsakkhi, puttakāti. So theraṃ vanditvā devalokameva gato. Idaṃ tāva kusalakamme vatthu.
อนฺตรคงฺคาย ปน มหาวาจกาลอุปาสโก นาม อโหสิฯ โส ติํส วสฺสานิ โสตาปตฺติมคฺคตฺถาย ทฺวตฺติํสาการํ สชฺฌายิตฺวา ‘‘อหํ เอวํ ทฺวตฺติํสาการํ สชฺฌายโนฺต โอภาสมตฺตมฺปิ นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขิํ, พุทฺธสาสนํ อนิยฺยานิกํ ภวิสฺสตี’’ติ ทิฎฺฐิวิปลฺลาสํ ปตฺวา กาลกิริยํ กตฺวา มหาคงฺคาย นวอุสภิโก สุสุมารเปโต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ เอกํ สมยํ กจฺฉกติเตฺถน สฎฺฐิ ปาสาณตฺถมฺภสกฎานิ อคมํสุฯ โส สเพฺพปิ เต โคเณ จ ปาสาเณ จ ขาทิฯ อิทํ อกุสลกเมฺม วตฺถุฯ
Antaragaṅgāya pana mahāvācakālaupāsako nāma ahosi. So tiṃsa vassāni sotāpattimaggatthāya dvattiṃsākāraṃ sajjhāyitvā ‘‘ahaṃ evaṃ dvattiṃsākāraṃ sajjhāyanto obhāsamattampi nibbattetuṃ nāsakkhiṃ, buddhasāsanaṃ aniyyānikaṃ bhavissatī’’ti diṭṭhivipallāsaṃ patvā kālakiriyaṃ katvā mahāgaṅgāya navausabhiko susumārapeto hutvā nibbatti. Ekaṃ samayaṃ kacchakatitthena saṭṭhi pāsāṇatthambhasakaṭāni agamaṃsu. So sabbepi te goṇe ca pāsāṇe ca khādi. Idaṃ akusalakamme vatthu.
เอเตหิ ปน ตีหิ มุตฺตํ อญฺญาณวเสน กตํ กฎตฺตา วา ปน กมฺมํ นามฯ ตํ ยถา นาม อุมฺมตฺตเกน ขิตฺตทณฺฑํ ยตฺถ วา ตตฺถ วา คจฺฉติ, เอวเมว เตสํ อภาเว ยตฺถ กตฺถจิ วิปากํ เทติฯ
Etehi pana tīhi muttaṃ aññāṇavasena kataṃ kaṭattā vā pana kammaṃ nāma. Taṃ yathā nāma ummattakena khittadaṇḍaṃ yattha vā tattha vā gacchati, evameva tesaṃ abhāve yattha katthaci vipākaṃ deti.
ชนกํ นาม เอกํ ปฎิสนฺธิํ ชเนตฺวา ปวตฺติํ น ชเนติ, ปวเตฺต อญฺญํ กมฺมํ วิปากํ นิพฺพเตฺตติฯ ยถา หิ มาตา ชเนติเยว, ธาติเยว ปน ชคฺคติ; เอวเมวํ มาตา วิย ปฎิสนฺธินิพฺพตฺตกํ ชนกกมฺมํ, ธาติ วิย ปวเตฺต สมฺปตฺตกมฺมํฯ อุปตฺถมฺภกํ นาม กุสเลปิ ลพฺภติ อกุสเลปิฯ เอกโจฺจ หิ กุสลํ กตฺวา สุคติภเว นิพฺพตฺตติฯ โส ตตฺถ ฐิโต ปุนปฺปุนํ กุสลํ กตฺวา ตํ กมฺมํ อุปตฺถเมฺภตฺวา อเนกานิ วสฺสสตสหสฺสานิ สุคติภวสฺมิํเยว วิจรติฯ เอกโจฺจ อกุสลํ กตฺวา ทุคฺคติภเว นิพฺพตฺตติฯ โส ตตฺถ ฐิโต ปุนปฺปุนํ อกุสลํ กตฺวา ตํ กมฺมํ อุปตฺถเมฺภตฺวา พหูนิ วสฺสสตสหสฺสานิ ทุคฺคติภวสฺมิํเยว วิจรติฯ
Janakaṃ nāma ekaṃ paṭisandhiṃ janetvā pavattiṃ na janeti, pavatte aññaṃ kammaṃ vipākaṃ nibbatteti. Yathā hi mātā janetiyeva, dhātiyeva pana jaggati; evamevaṃ mātā viya paṭisandhinibbattakaṃ janakakammaṃ, dhāti viya pavatte sampattakammaṃ. Upatthambhakaṃ nāma kusalepi labbhati akusalepi. Ekacco hi kusalaṃ katvā sugatibhave nibbattati. So tattha ṭhito punappunaṃ kusalaṃ katvā taṃ kammaṃ upatthambhetvā anekāni vassasatasahassāni sugatibhavasmiṃyeva vicarati. Ekacco akusalaṃ katvā duggatibhave nibbattati. So tattha ṭhito punappunaṃ akusalaṃ katvā taṃ kammaṃ upatthambhetvā bahūni vassasatasahassāni duggatibhavasmiṃyeva vicarati.
อปโร นโย – ชนกํ นาม กุสลมฺปิ โหติ อกุสลมฺปิฯ ตํ ปฎิสนฺธิยมฺปิ ปวเตฺตปิ รูปารูปวิปากกฺขเนฺธ ชเนติฯ อุปตฺถมฺภกํ ปน วิปากํ ชเนตุํ น สโกฺกติ, อเญฺญน กเมฺมน ทินฺนาย ปฎิสนฺธิยา ชนิเต วิปาเก อุปฺปชฺชนกสุขทุกฺขํ อุปตฺถเมฺภติ, อทฺธานํ ปวเตฺตติฯ อุปปีฬกํ นาม อเญฺญน กเมฺมน ทินฺนาย ปฎิสนฺธิยา ชนิเต วิปาเก อุปฺปชฺชนกสุขทุกฺขํ ปีเฬติ พาเธติ, อทฺธานํ ปวตฺติตุํ น เทติฯ ตตฺรายํ นโย – กุสลกเมฺม วิปจฺจมาเน อกุสลกมฺมํ อุปปีฬกํ หุตฺวา ตสฺส วิปจฺจิตุํ น เทติฯ อกุสลกเมฺม วิปจฺจมาเน กุสลกมฺมํ อุปปีฬกํ หุตฺวา ตสฺส วิปจฺจิตุํ น เทติฯ ยถา วฑฺฒมานกํ รุกฺขํ วา คจฺฉํ วา ลตํ วา โกจิเทว ทเณฺฑน วา สเตฺถน วา ภิเนฺทยฺย วา ฉิเนฺทยฺย วา, อถ โส รุโกฺข วา คโจฺฉ วา ลตา วา วฑฺฒิตุํ น สกฺกุเณยฺย; เอวเมวํ กุสลํ วิปจฺจมานํ อกุสเลน อุปปีฬิตํ, อกุสลํ วา ปน วิปจฺจมานํ กุสเลน อุปปีฬิตํ วิปจฺจิตุํ น สโกฺกติฯ ตตฺถ สุนกฺขตฺตสฺส อกุสลกมฺมํ กุสลํ อุปปีเฬสิ, โจรฆาตกสฺส กุสลกมฺมํ อกุสลํ อุปปีเฬสิฯ
Aparo nayo – janakaṃ nāma kusalampi hoti akusalampi. Taṃ paṭisandhiyampi pavattepi rūpārūpavipākakkhandhe janeti. Upatthambhakaṃ pana vipākaṃ janetuṃ na sakkoti, aññena kammena dinnāya paṭisandhiyā janite vipāke uppajjanakasukhadukkhaṃ upatthambheti, addhānaṃ pavatteti. Upapīḷakaṃ nāma aññena kammena dinnāya paṭisandhiyā janite vipāke uppajjanakasukhadukkhaṃ pīḷeti bādheti, addhānaṃ pavattituṃ na deti. Tatrāyaṃ nayo – kusalakamme vipaccamāne akusalakammaṃ upapīḷakaṃ hutvā tassa vipaccituṃ na deti. Akusalakamme vipaccamāne kusalakammaṃ upapīḷakaṃ hutvā tassa vipaccituṃ na deti. Yathā vaḍḍhamānakaṃ rukkhaṃ vā gacchaṃ vā lataṃ vā kocideva daṇḍena vā satthena vā bhindeyya vā chindeyya vā, atha so rukkho vā gaccho vā latā vā vaḍḍhituṃ na sakkuṇeyya; evamevaṃ kusalaṃ vipaccamānaṃ akusalena upapīḷitaṃ, akusalaṃ vā pana vipaccamānaṃ kusalena upapīḷitaṃ vipaccituṃ na sakkoti. Tattha sunakkhattassa akusalakammaṃ kusalaṃ upapīḷesi, coraghātakassa kusalakammaṃ akusalaṃ upapīḷesi.
ราชคเห กิร วาตกาฬโก ปญฺญาส วสฺสานิ โจรฆาตกมฺมํ อกาสิฯ อถ นํ รโญฺญ อาโรเจสุํ – ‘‘เทว, วาตกาฬโก มหลฺลโก โจเร ฆาเตตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ ‘‘อปเนถ นํ ตสฺมา ฐานนฺตราติฯ อมจฺจา นํ อปเนตฺวา อญฺญํ ตสฺมิํ ฐาเน ฐปยิํสุฯ วาตกาฬโกปิ ยาว ตํ กมฺมํ อกาสิ, ตาว อหตวตฺถานิ วา อจฺฉาทิตุํ สุรภิปุปฺผานิ วา ปิฬนฺธิตุํ ปายาสํ วา ภุญฺชิตุํ อุจฺฉาทนนฺหาปนํ วา ปจฺจนุโภตุํ นาลตฺถฯ โส ‘‘ทีฆรตฺตํ เม กิลิฎฺฐเวเสน จริต’’นฺติ ‘‘ปายาสํ เม ปจาหี’’ติ ภริยํ อาณาเปตฺวา นฺหานียสมฺภารานิ คาหาเปตฺวา นฺหานติตฺถํ คนฺตฺวา สีสํ นฺหตฺวา อหตวตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา คเนฺธ วิลิมฺปิตฺวา ปุปฺผานิ ปิฬนฺธิตฺวา ฆรํ อาคจฺฉโนฺต สาริปุตฺตเตฺถรํ ทิสฺวา ‘‘สํกิลิฎฺฐกมฺมโต จมฺหิ อปคโต, อโยฺย จ เม ทิโฎฺฐ’’ติ ตุฎฺฐมานโส เถรํ ฆรํ เนตฺวา นวสปฺปิสกฺกรจุณฺณาภิสงฺขเตน ปายาเสน ปริวิสิฯ เถโร ตสฺส อนุโมทนมกาสิฯ โส อนุโมทนํ สุตฺวา อนุโลมิกขนฺติํ ปฎิลภิตฺวา เถรํ อนุคนฺตฺวา นิวตฺตมาโน อนฺตรามเคฺค ตรุณวจฺฉาย คาวิยา มทฺทิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาปิโต คนฺตฺวา ตาวติํสภวเน นิพฺพตฺติฯ ภิกฺขู ตถาคตํ ปุจฺฉิํสุ – ‘‘ภเนฺต, โจรฆาตโก อเชฺชว กิลิฎฺฐกมฺมโต อปนีโต, อเชฺชว กาลงฺกโต, กหํ นุ โข นิพฺพโตฺต’’ติ? ตาวติํสภวเน, ภิกฺขเวติฯ ภเนฺต, โจรฆาตโก ทีฆรตฺตํ ปุริเส ฆาเตสิ, ตุเมฺห จ เอวํ วเทถ, นตฺถิ นุ โข ปาปกมฺมสฺส ผลนฺติฯ มา, ภิกฺขเว, เอวํ อวจุตฺถ, พลวกลฺยาณมิตฺตูปนิสฺสยํ ลภิตฺวา ธมฺมเสนาปติสฺส ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา อนุโมทนํ สุตฺวา อนุโลมิกขนฺติํ ปฎิลภิตฺวา โส ตตฺถ นิพฺพโตฺตติฯ
Rājagahe kira vātakāḷako paññāsa vassāni coraghātakammaṃ akāsi. Atha naṃ rañño ārocesuṃ – ‘‘deva, vātakāḷako mahallako core ghātetuṃ na sakkotī’’ti. ‘‘Apanetha naṃ tasmā ṭhānantarāti. Amaccā naṃ apanetvā aññaṃ tasmiṃ ṭhāne ṭhapayiṃsu. Vātakāḷakopi yāva taṃ kammaṃ akāsi, tāva ahatavatthāni vā acchādituṃ surabhipupphāni vā piḷandhituṃ pāyāsaṃ vā bhuñjituṃ ucchādananhāpanaṃ vā paccanubhotuṃ nālattha. So ‘‘dīgharattaṃ me kiliṭṭhavesena carita’’nti ‘‘pāyāsaṃ me pacāhī’’ti bhariyaṃ āṇāpetvā nhānīyasambhārāni gāhāpetvā nhānatitthaṃ gantvā sīsaṃ nhatvā ahatavatthāni acchādetvā gandhe vilimpitvā pupphāni piḷandhitvā gharaṃ āgacchanto sāriputtattheraṃ disvā ‘‘saṃkiliṭṭhakammato camhi apagato, ayyo ca me diṭṭho’’ti tuṭṭhamānaso theraṃ gharaṃ netvā navasappisakkaracuṇṇābhisaṅkhatena pāyāsena parivisi. Thero tassa anumodanamakāsi. So anumodanaṃ sutvā anulomikakhantiṃ paṭilabhitvā theraṃ anugantvā nivattamāno antarāmagge taruṇavacchāya gāviyā madditvā jīvitakkhayaṃ pāpito gantvā tāvatiṃsabhavane nibbatti. Bhikkhū tathāgataṃ pucchiṃsu – ‘‘bhante, coraghātako ajjeva kiliṭṭhakammato apanīto, ajjeva kālaṅkato, kahaṃ nu kho nibbatto’’ti? Tāvatiṃsabhavane, bhikkhaveti. Bhante, coraghātako dīgharattaṃ purise ghātesi, tumhe ca evaṃ vadetha, natthi nu kho pāpakammassa phalanti. Mā, bhikkhave, evaṃ avacuttha, balavakalyāṇamittūpanissayaṃ labhitvā dhammasenāpatissa piṇḍapātaṃ datvā anumodanaṃ sutvā anulomikakhantiṃ paṭilabhitvā so tattha nibbattoti.
‘‘สุภาสิตํ สุณิตฺวาน, นาคริโย โจรฆาตโก;
‘‘Subhāsitaṃ suṇitvāna, nāgariyo coraghātako;
อนุโลมขนฺติํ ลทฺธาน, โมทตี ติทิวํ คโต’’ติฯ
Anulomakhantiṃ laddhāna, modatī tidivaṃ gato’’ti.
อุปฆาตกํ ปน สยํ กุสลมฺปิ อกุสลมฺปิ สมานํ อญฺญํ ทุพฺพลกมฺมํ ฆาเตตฺวา ตสฺส วิปากํ ปฎิพาหิตฺวา อตฺตโน วิปากสฺส โอกาสํ กโรติฯ เอวํ ปน กเมฺมน กเต โอกาเส ตํ วิปากํ อุปฺปนฺนํ นาม วุจฺจติฯ อุปเจฺฉทกนฺติปิ เอตเสฺสว นามํฯ ตตฺรายํ นโย – กุสลกมฺมสฺส วิปจฺจนกาเล เอกํ อกุสลกมฺมํ อุฎฺฐาย ตํ กมฺมํ ฉินฺทิตฺวา ปาเตติฯ อกุสลกมฺมสฺสปิ วิปจฺจนกาเล เอกํ กุสลกมฺมํ อุฎฺฐาย ตํ กมฺมํ ฉินฺทิตฺวา ปาเตติฯ อิทํ อุปเจฺฉทกํ นามฯ ตตฺถ อชาตสตฺตุโน กมฺมํ กุสลเจฺฉทกํ อโหสิ, องฺคุลิมาลเตฺถรสฺส อกุสลเจฺฉทกนฺติฯ เอวํ สุตฺตนฺติกปริยาเยน เอกาทส กมฺมานิ วิภตฺตานิฯ
Upaghātakaṃ pana sayaṃ kusalampi akusalampi samānaṃ aññaṃ dubbalakammaṃ ghātetvā tassa vipākaṃ paṭibāhitvā attano vipākassa okāsaṃ karoti. Evaṃ pana kammena kate okāse taṃ vipākaṃ uppannaṃ nāma vuccati. Upacchedakantipi etasseva nāmaṃ. Tatrāyaṃ nayo – kusalakammassa vipaccanakāle ekaṃ akusalakammaṃ uṭṭhāya taṃ kammaṃ chinditvā pāteti. Akusalakammassapi vipaccanakāle ekaṃ kusalakammaṃ uṭṭhāya taṃ kammaṃ chinditvā pāteti. Idaṃ upacchedakaṃ nāma. Tattha ajātasattuno kammaṃ kusalacchedakaṃ ahosi, aṅgulimālattherassa akusalacchedakanti. Evaṃ suttantikapariyāyena ekādasa kammāni vibhattāni.
อภิธมฺมปริยาเยน ปน โสฬส กมฺมานิ วิภตฺตานิ, เสยฺยถิทํ – ‘‘อเตฺถกจฺจานิ ปาปกานิ กมฺมสมาทานานิ คติสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺติ, อเตฺถกจฺจานิ ปาปกานิ กมฺมสมาทานานิ อุปธิสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺติ, อเตฺถกจฺจานิ ปาปกานิ กมฺมสมาทานานิ กาลสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺติ, อเตฺถกจฺจานิ ปาปกานิ กมฺมสมาทานานิ ปโยคสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺติ ฯ อเตฺถกจฺจานิ ปาปกานิ กมฺมสมาทานานิ คติวิปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจนฺติ, อุปธิวิปตฺติํ, กาลวิปตฺติํ, ปโยควิปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจนฺติฯ อเตฺถกจฺจานิ กลฺยาณานิ กมฺมสมาทานานิ คติวิปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺติ, อุปธิวิปตฺติ, กาลวิปตฺติ, ปโยควิปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺติฯ อเตฺถกจฺจานิ กลฺยาณานิ กมฺมสมาทานานิ คติสมฺปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจนฺติ, อุปธิสมฺปตฺติํ, กาลสมฺปตฺติํ, ปโยคสมฺปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจนฺตี’’ติ (วิภ. ๘๑๐)ฯ
Abhidhammapariyāyena pana soḷasa kammāni vibhattāni, seyyathidaṃ – ‘‘atthekaccāni pāpakāni kammasamādānāni gatisampattipaṭibāḷhāni na vipaccanti, atthekaccāni pāpakāni kammasamādānāni upadhisampattipaṭibāḷhāni na vipaccanti, atthekaccāni pāpakāni kammasamādānāni kālasampattipaṭibāḷhāni na vipaccanti, atthekaccāni pāpakāni kammasamādānāni payogasampattipaṭibāḷhāni na vipaccanti . Atthekaccāni pāpakāni kammasamādānāni gativipattiṃ āgamma vipaccanti, upadhivipattiṃ, kālavipattiṃ, payogavipattiṃ āgamma vipaccanti. Atthekaccāni kalyāṇāni kammasamādānāni gativipattipaṭibāḷhāni na vipaccanti, upadhivipatti, kālavipatti, payogavipattipaṭibāḷhāni na vipaccanti. Atthekaccāni kalyāṇāni kammasamādānāni gatisampattiṃ āgamma vipaccanti, upadhisampattiṃ, kālasampattiṃ, payogasampattiṃ āgamma vipaccantī’’ti (vibha. 810).
ตตฺถ ปาปกานีติ ลามกานิฯ กมฺมสมาทานานีติ กมฺมคฺคหณานิฯ คหิตสมาทินฺนานํ กมฺมานเมตํ อธิวจนํฯ คติสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺตีติอาทีสุ อนิฎฺฐารมฺมณานุภวนารเห กเมฺม วิชฺชมาเนเยว สุคติภเว นิพฺพตฺตสฺส ตํ กมฺมํ คติสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหํ น วิปจฺจติ นามฯ คติสมฺปตฺติยา ปติพาหิตํ หุตฺวา น วิปจฺจตีติ อโตฺถฯ โย ปน ปาปกเมฺมน ทาสิยา วา กมฺมการิยา วา กุจฺฉิยํ นิพฺพตฺติตฺวา อุปธิสมฺปโนฺน โหติ, อตฺตภาวสมิทฺธิยํ ติฎฺฐติฯ อถสฺส สามิกา ตสฺส รูปสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘นายํ กิลิฎฺฐกมฺมสฺสานุจฺฉวิโก’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา อตฺตโน ชาตปุตฺตํ วิย ภณฺฑาคาริกาทิฎฺฐาเนสุ ฐเปตฺวา สมฺปตฺติํ โยเชตฺวา ปริหรนฺติฯ เอวรูปสฺส กมฺมํ อุปธิสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหํ น วิปจฺจติ นามฯ โย ปน ปฐมกปฺปิกกาลสทิเส สุลภสมฺปนฺนรสโภชเน สุภิกฺขกาเล นิพฺพตฺตติ, ตสฺส วิชฺชมานมฺปิ ปาปกมฺมํ กาลสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหํ น วิปจฺจติ นามฯ โย ปน สมฺมาปโยคํ นิสฺสาย ชีวติ, อุปสงฺกมิตพฺพยุตฺตกาเล อุปสงฺกมติ, ปฎิกฺกมิตพฺพยุตฺตกาเล ปฎิกฺกมติ, ปลายิตพฺพยุตฺตกาเล ปลายติฯ ลญฺชทานยุตฺตกาเล ลญฺชํ เทติ, โจริกยุตฺตกาเล โจริกํ กโรติ, เอวรูปสฺส ปาปกมฺมํ ปโยคสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหํ น วิปจฺจติ นามฯ
Tattha pāpakānīti lāmakāni. Kammasamādānānīti kammaggahaṇāni. Gahitasamādinnānaṃ kammānametaṃ adhivacanaṃ. Gatisampattipaṭibāḷhāni na vipaccantītiādīsu aniṭṭhārammaṇānubhavanārahe kamme vijjamāneyeva sugatibhave nibbattassa taṃ kammaṃ gatisampattipaṭibāḷhaṃ na vipaccati nāma. Gatisampattiyā patibāhitaṃ hutvā na vipaccatīti attho. Yo pana pāpakammena dāsiyā vā kammakāriyā vā kucchiyaṃ nibbattitvā upadhisampanno hoti, attabhāvasamiddhiyaṃ tiṭṭhati. Athassa sāmikā tassa rūpasampattiṃ disvā ‘‘nāyaṃ kiliṭṭhakammassānucchaviko’’ti cittaṃ uppādetvā attano jātaputtaṃ viya bhaṇḍāgārikādiṭṭhānesu ṭhapetvā sampattiṃ yojetvā pariharanti. Evarūpassa kammaṃ upadhisampattipaṭibāḷhaṃ na vipaccati nāma. Yo pana paṭhamakappikakālasadise sulabhasampannarasabhojane subhikkhakāle nibbattati, tassa vijjamānampi pāpakammaṃ kālasampattipaṭibāḷhaṃ na vipaccati nāma. Yo pana sammāpayogaṃ nissāya jīvati, upasaṅkamitabbayuttakāle upasaṅkamati, paṭikkamitabbayuttakāle paṭikkamati, palāyitabbayuttakāle palāyati. Lañjadānayuttakāle lañjaṃ deti, corikayuttakāle corikaṃ karoti, evarūpassa pāpakammaṃ payogasampattipaṭibāḷhaṃ na vipaccati nāma.
ทุคฺคติภเว นิพฺพตฺตสฺส ปน ปาปกมฺมํ คติวิปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจติ นามฯ โย ปน ทาสิยา วา กมฺมการิยา วา กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพโตฺต ทุพฺพโณฺณ โหติ ทุสฺสณฺฐาโน, ‘‘ยโกฺข นุ โข มนุโสฺส นุ โข’’ติ วิมติํ อุปฺปาเทติฯ โส สเจ ปุริโส โหติ, อถ นํ ‘‘นายํ อญฺญสฺส กมฺมสฺส อนุจฺฉวิโก’’ติ หตฺถิํ วา รกฺขาเปนฺติ อสฺสํ วา โคเณ วา, ติณกฎฺฐาทีนิ วา อาหราเปนฺติ, เขฬสรกํ วา คณฺหาเปนฺติฯ สเจ อิตฺถี โหติ, อถ นํ หตฺถิอสฺสาทีนํ ภตฺตมาสาทีนิ วา ปจาเปนฺติ, กจวรํ วา ฉฑฺฑาเปนฺติ, อญฺญํ วา ปน ชิคุจฺฉนียกมฺมํ กาเรนฺติฯ เอวรูปสฺส ปาปกมฺมํ อุปธิวิปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจติ นามฯ โย ปน ทุพฺภิกฺขกาเล วา ปริหีนสมฺปตฺติกาเล วา อนฺตรกเปฺป วา นิพฺพตฺตติ, ตสฺส ปาปกมฺมํ กาลวิปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจติ นามฯ โย ปน ปโยคํ สมฺปาเทตุํ น ชานาติ, อุปสงฺกมิตพฺพยุตฺตกาเล อุปสงฺกมิตุํ น ชานาติ…เป.… โจริกยุตฺตกาเล โจริกํ กาตุํ น ชานาติ, ตสฺส ปาปกมฺมํ ปโยควิปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจติ นามฯ
Duggatibhave nibbattassa pana pāpakammaṃ gativipattiṃ āgamma vipaccati nāma. Yo pana dāsiyā vā kammakāriyā vā kucchismiṃ nibbatto dubbaṇṇo hoti dussaṇṭhāno, ‘‘yakkho nu kho manusso nu kho’’ti vimatiṃ uppādeti. So sace puriso hoti, atha naṃ ‘‘nāyaṃ aññassa kammassa anucchaviko’’ti hatthiṃ vā rakkhāpenti assaṃ vā goṇe vā, tiṇakaṭṭhādīni vā āharāpenti, kheḷasarakaṃ vā gaṇhāpenti. Sace itthī hoti, atha naṃ hatthiassādīnaṃ bhattamāsādīni vā pacāpenti, kacavaraṃ vā chaḍḍāpenti, aññaṃ vā pana jigucchanīyakammaṃ kārenti. Evarūpassa pāpakammaṃ upadhivipattiṃ āgamma vipaccati nāma. Yo pana dubbhikkhakāle vā parihīnasampattikāle vā antarakappe vā nibbattati, tassa pāpakammaṃ kālavipattiṃ āgamma vipaccati nāma. Yo pana payogaṃ sampādetuṃ na jānāti, upasaṅkamitabbayuttakāle upasaṅkamituṃ na jānāti…pe… corikayuttakāle corikaṃ kātuṃ na jānāti, tassa pāpakammaṃ payogavipattiṃ āgamma vipaccati nāma.
โย ปน อิฎฺฐารมฺมณานุภวนารเห กเมฺม วิชฺชมาเนเยว คนฺตฺวา ทุคฺคติภเว นิพฺพตฺตติ, ตสฺส ตํ กมฺมํ คติวิปตฺติปฎิพาฬฺหํ น วิปจฺจติ นามฯ โย ปน ปุญฺญานุภาเวน ราชราชมหามตฺตาทีนํ เคเห นิพฺพตฺติตฺวา กาโณ วา โหติ กุณี วา ขโญฺช วา ปกฺขหโต วา, ตสฺส โอปรชฺชเสนาปติภณฺฑาคาริกฎฺฐานาทีนิ น อนุจฺฉวิกานีติ น เทนฺติฯ อิจฺจสฺส ตํ ปุญฺญํ อุปธิวิปตฺติปฎิพาฬฺหํ น วิปจฺจติ นามฯ โย ปน ทุพฺภิกฺขกาเล วา ปริหีนสมฺปตฺติกาเล วา อนฺตรกเปฺป วา มนุเสฺสสุ นิพฺพตฺตติ, ตสฺส ตํ กลฺยาณกมฺมํ กาลวิปตฺติปฎิพาฬฺหํ น วิปจฺจติ นามฯ โย เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ปโยคํ สมฺปาเทตุํ น ชานาติ, ตสฺส กลฺยาณกมฺมํ ปโยควิปตฺติปฎิพาฬฺหํ น วิปจฺจติ นามฯ
Yo pana iṭṭhārammaṇānubhavanārahe kamme vijjamāneyeva gantvā duggatibhave nibbattati, tassa taṃ kammaṃ gativipattipaṭibāḷhaṃ na vipaccati nāma. Yo pana puññānubhāvena rājarājamahāmattādīnaṃ gehe nibbattitvā kāṇo vā hoti kuṇī vā khañjo vā pakkhahato vā, tassa oparajjasenāpatibhaṇḍāgārikaṭṭhānādīni na anucchavikānīti na denti. Iccassa taṃ puññaṃ upadhivipattipaṭibāḷhaṃ na vipaccati nāma. Yo pana dubbhikkhakāle vā parihīnasampattikāle vā antarakappe vā manussesu nibbattati, tassa taṃ kalyāṇakammaṃ kālavipattipaṭibāḷhaṃ na vipaccati nāma. Yo heṭṭhā vuttanayeneva payogaṃ sampādetuṃ na jānāti, tassa kalyāṇakammaṃ payogavipattipaṭibāḷhaṃ na vipaccati nāma.
กลฺยาณกเมฺมน ปน สุคติภเว นิพฺพตฺตสฺส ตํ กมฺมํ คติสมฺปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจติ นาม ฯ ราชราชมหามตฺตาทีนํ กุเล นิพฺพตฺติตฺวา อุปธิสมฺปตฺติํ ปตฺตสฺส อตฺตภาวสมิทฺธิยํ ฐิตสฺส เทวนคเร สมุสฺสิตรตนโตรณสทิสํ อตฺตภาวํ ทิสฺวา ‘‘อิมสฺส โอปรชฺชเสนาปติภณฺฑาคาริกฎฺฐานาทีนิ อนุจฺฉวิกานี’’ติ ทหรเสฺสว สโต ตานิ ฐานนฺตรานิ เทนฺติ, เอวรูปสฺส กลฺยาณกมฺมํ อุปธิสมฺปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจติ นามฯ โย ปฐมกปฺปิเกสุ วา สุลภนฺนปานกาเล วา นิพฺพตฺตติ, ตสฺส กลฺยาณกมฺมํ กาลสมฺปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจติ นามฯ โย วุตฺตนเยเนว ปโยคํ สมฺปาเทตุํ ชานาติ, ตสฺส กมฺมํ ปโยคสมฺปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจติ นามฯ เอวํ อภิธมฺมปริยาเยน โสฬส กมฺมานิ วิภตฺตานิฯ
Kalyāṇakammena pana sugatibhave nibbattassa taṃ kammaṃ gatisampattiṃ āgamma vipaccati nāma . Rājarājamahāmattādīnaṃ kule nibbattitvā upadhisampattiṃ pattassa attabhāvasamiddhiyaṃ ṭhitassa devanagare samussitaratanatoraṇasadisaṃ attabhāvaṃ disvā ‘‘imassa oparajjasenāpatibhaṇḍāgārikaṭṭhānādīni anucchavikānī’’ti daharasseva sato tāni ṭhānantarāni denti, evarūpassa kalyāṇakammaṃ upadhisampattiṃ āgamma vipaccati nāma. Yo paṭhamakappikesu vā sulabhannapānakāle vā nibbattati, tassa kalyāṇakammaṃ kālasampattiṃ āgamma vipaccati nāma. Yo vuttanayeneva payogaṃ sampādetuṃ jānāti, tassa kammaṃ payogasampattiṃ āgamma vipaccati nāma. Evaṃ abhidhammapariyāyena soḷasa kammāni vibhattāni.
อปรานิปิ ปฎิสมฺภิทามคฺคปริยาเยน ทฺวาทส กมฺมานิ วิภตฺตานิฯ เสยฺยถิทํ – ‘‘อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก, อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก, อโหสิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก, อโหสิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก, อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก, อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก, อตฺถิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก, อตฺถิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก, อตฺถิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก, อตฺถิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก, ภวิสฺสติ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก, ภวิสฺสติ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๒๓๔)ฯ
Aparānipi paṭisambhidāmaggapariyāyena dvādasa kammāni vibhattāni. Seyyathidaṃ – ‘‘ahosi kammaṃ ahosi kammavipāko, ahosi kammaṃ nāhosi kammavipāko, ahosi kammaṃ atthi kammavipāko, ahosi kammaṃ natthi kammavipāko, ahosi kammaṃ bhavissati kammavipāko, ahosi kammaṃ na bhavissati kammavipāko, atthi kammaṃ atthi kammavipāko, atthi kammaṃ natthi kammavipāko, atthi kammaṃ bhavissati kammavipāko, atthi kammaṃ na bhavissati kammavipāko, bhavissati kammaṃ bhavissati kammavipāko, bhavissati kammaṃ na bhavissati kammavipāko’’ti (paṭi. ma. 1.234).
ตตฺถ ยํ กมฺมํ อตีเต อายูหิตํ อตีเตเยว วิปากวารํ ลภิ, ปฎิสนฺธิชนกํ ปฎิสนฺธิํ ชเนสิ, รูปชนกํ รูปํ, ตํ อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโกติ วุตฺตํฯ ยํ ปน วิปากวารํ น ลภิ, ปฎิสนฺธิชนกํ ปฎิสนฺธิํ รูปชนกํ วา รูปํ ชเนตุํ นาสกฺขิ, ตํ อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโกติ วุตฺตํฯ ยํ ปน อตีเต อายูหิตํ เอตรหิ ลทฺธวิปากวารํ ปฎิสนฺธิชนกํ ปฎิสนฺธิํ ชเนตฺวา รูปชนกํ รูปํ ชเนตฺวา ฐิตํ, ตํ อโหสิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโกติ วุตฺตํฯ ยํ อลทฺธวิปากวารํ ปฎิสนฺธิชนกํ วา ปฎิสนฺธิํ รูปชนกํ วา รูปํ ชเนตุํ นาสกฺขิ, ตํ อโหสิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโกติ วุตฺตํฯ ยํ ปน อตีเต อายูหิตํ อนาคเต วิปากวารํ ลภิสฺสติ, ปฎิสนฺธิชนกํ ปฎิสนฺธิํ รูปชนกํ รูปํ ชเนตุํ สกฺขิสฺสติ, ตํ อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโกติ วุตฺตํฯ ยํ อนาคเต วิปากวารํ น ลภิสฺสติ, ปฎิสนฺธิชนกํ ปฎิสนฺธิํ รูปชนกํ วา รูปํ ชเนตุํ น สกฺขิสฺสติ, ตํ อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโกติ วุตฺตํฯ
Tattha yaṃ kammaṃ atīte āyūhitaṃ atīteyeva vipākavāraṃ labhi, paṭisandhijanakaṃ paṭisandhiṃ janesi, rūpajanakaṃ rūpaṃ, taṃ ahosi kammaṃ ahosi kammavipākoti vuttaṃ. Yaṃ pana vipākavāraṃ na labhi, paṭisandhijanakaṃ paṭisandhiṃ rūpajanakaṃ vā rūpaṃ janetuṃ nāsakkhi, taṃ ahosi kammaṃ nāhosi kammavipākoti vuttaṃ. Yaṃ pana atīte āyūhitaṃ etarahi laddhavipākavāraṃ paṭisandhijanakaṃ paṭisandhiṃ janetvā rūpajanakaṃ rūpaṃ janetvā ṭhitaṃ, taṃ ahosi kammaṃ atthi kammavipākoti vuttaṃ. Yaṃ aladdhavipākavāraṃ paṭisandhijanakaṃ vā paṭisandhiṃ rūpajanakaṃ vā rūpaṃ janetuṃ nāsakkhi, taṃ ahosi kammaṃ natthi kammavipākoti vuttaṃ. Yaṃ pana atīte āyūhitaṃ anāgate vipākavāraṃ labhissati, paṭisandhijanakaṃ paṭisandhiṃ rūpajanakaṃ rūpaṃ janetuṃ sakkhissati, taṃ ahosi kammaṃ bhavissati kammavipākoti vuttaṃ. Yaṃ anāgate vipākavāraṃ na labhissati, paṭisandhijanakaṃ paṭisandhiṃ rūpajanakaṃ vā rūpaṃ janetuṃ na sakkhissati, taṃ ahosi kammaṃ na bhavissati kammavipākoti vuttaṃ.
ยํ ปน เอตรหิ อายูหิตํ เอตรหิเยว วิปากวารํ ลภติ, ตํ อตฺถิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโกติ วุตฺตํฯ ยํ ปน เอตรหิ วิปากวารํ น ลภติ, ตํ อตฺถิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโกติ วุตฺตํฯ ยํ ปน เอตรหิ อายูหิตํ อนาคเต วิปากวารํ ลภิสฺสติ, ปฎิสนฺธิชนกํ ปฎิสนฺธิํ รูปชนกํ รูปํ ชเนตุํ สกฺขิสฺสติ, ตํ อตฺถิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโกติ วุตฺตํฯ ยํ ปน วิปากวารํ น ลภิสฺสติ, ปฎิสนฺธิชนกํ ปฎิสนฺธิํ รูปชนกํ วา รูปํ ชเนตุํ สกฺขิสฺสติ, ตํ อตฺถิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโกติ วุตฺตํฯ
Yaṃ pana etarahi āyūhitaṃ etarahiyeva vipākavāraṃ labhati, taṃ atthi kammaṃ atthi kammavipākoti vuttaṃ. Yaṃ pana etarahi vipākavāraṃ na labhati, taṃ atthi kammaṃ natthi kammavipākoti vuttaṃ. Yaṃ pana etarahi āyūhitaṃ anāgate vipākavāraṃ labhissati, paṭisandhijanakaṃ paṭisandhiṃ rūpajanakaṃ rūpaṃ janetuṃ sakkhissati, taṃ atthi kammaṃ bhavissati kammavipākoti vuttaṃ. Yaṃ pana vipākavāraṃ na labhissati, paṭisandhijanakaṃ paṭisandhiṃ rūpajanakaṃ vā rūpaṃ janetuṃ sakkhissati, taṃ atthi kammaṃ na bhavissati kammavipākoti vuttaṃ.
ยํ ปนานาคเต อายูหิสฺสติ, อนาคเตเยว วิปากวารํ ลภิสฺสติ, ปฎิสนฺธิชนกํ ปฎิสนฺธิํ รูปชนกํ วา รูปํ ชเนสฺสติ, ตํ ภวิสฺสติ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโกติ วุตฺตํฯ ยํ ปน วิปากวารํ น ลภิสฺสติ, ปฎิสนฺธิชนกํ ปฎิสนฺธิํ รูปชนกํ วา รูปํ ชเนตุํ น สกฺขิสฺสติ, ตํ ภวิสฺสติ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโกติ วุตฺตํฯ เอวํ ปฎิสมฺภิทามคฺคปริยาเยน ทฺวาทส กมฺมานิ วิภตฺตานิฯ
Yaṃ panānāgate āyūhissati, anāgateyeva vipākavāraṃ labhissati, paṭisandhijanakaṃ paṭisandhiṃ rūpajanakaṃ vā rūpaṃ janessati, taṃ bhavissati kammaṃ bhavissati kammavipākoti vuttaṃ. Yaṃ pana vipākavāraṃ na labhissati, paṭisandhijanakaṃ paṭisandhiṃ rūpajanakaṃ vā rūpaṃ janetuṃ na sakkhissati, taṃ bhavissati kammaṃ na bhavissati kammavipākoti vuttaṃ. Evaṃ paṭisambhidāmaggapariyāyena dvādasa kammāni vibhattāni.
อิติ อิมานิ เจว ทฺวาทส อภิธมฺมปริยาเยน วิภตฺตานิ จ โสฬส กมฺมานิ อตฺตโน ฐานา โอสกฺกิตฺวา สุตฺตนฺติกปริยาเยน วุตฺตานิ เอกาทส กมฺมานิเยว ภวนฺติฯ ตานิปิ ตโต โอสกฺกิตฺวา ตีณิเยว กมฺมานิ โหนฺติ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ, อุปปชฺชเวทนียํ , อปรปริยายเวทนียนฺติฯ เตสํ สงฺกมนํ นตฺถิ, ยถาฐาเนเยว ติฎฺฐนฺติฯ ยทิ หิ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ กมฺมํ อุปปชฺชเวทนียํ วา อปรปริยายเวทนียํ วา ภเวยฺย, ‘‘ทิเฎฺฐ วา ธเมฺม’’ติ สตฺถา น วเทยฺยฯ สเจปิ อุปปชฺชเวทนียํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ วา อปรปริยายเวทนียํ วา ภเวยฺย, ‘‘อุปปชฺช วา’’ติ สตฺถา น วเทยฺยฯ อถาปิ อปรปริยายเวทนียํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ วา อุปปชฺชเวทนียํ วา ภเวยฺย, ‘‘อปเร วา ปริยาเย’’ติ สตฺถา น วเทยฺยฯ
Iti imāni ceva dvādasa abhidhammapariyāyena vibhattāni ca soḷasa kammāni attano ṭhānā osakkitvā suttantikapariyāyena vuttāni ekādasa kammāniyeva bhavanti. Tānipi tato osakkitvā tīṇiyeva kammāni honti diṭṭhadhammavedanīyaṃ, upapajjavedanīyaṃ , aparapariyāyavedanīyanti. Tesaṃ saṅkamanaṃ natthi, yathāṭhāneyeva tiṭṭhanti. Yadi hi diṭṭhadhammavedanīyaṃ kammaṃ upapajjavedanīyaṃ vā aparapariyāyavedanīyaṃ vā bhaveyya, ‘‘diṭṭhe vā dhamme’’ti satthā na vadeyya. Sacepi upapajjavedanīyaṃ diṭṭhadhammavedanīyaṃ vā aparapariyāyavedanīyaṃ vā bhaveyya, ‘‘upapajja vā’’ti satthā na vadeyya. Athāpi aparapariyāyavedanīyaṃ diṭṭhadhammavedanīyaṃ vā upapajjavedanīyaṃ vā bhaveyya, ‘‘apare vā pariyāye’’ti satthā na vadeyya.
สุกฺกปเกฺขปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอตฺถ ปน โลเภ วิคเตติ โลเภ อปคเต นิรุเทฺธฯ ตาลวตฺถุกตนฺติ ตาลวตฺถุ วิย กตํ, มตฺถกจฺฉินฺนตาโล วิย ปุน อวิรุฬฺหิสภาวํ กตนฺติ อโตฺถฯ อนภาวํ กตนฺติ อนุอภาวํ กตํ, ยถา ปุน นุปฺปชฺชติ, เอวํ กตนฺติ อโตฺถฯ เอวสฺสูติ เอวํ ภเวยฺยุํฯ เอวเมว โขติ เอตฺถ พีชานิ วิย กุสลากุสลํ กมฺมํ ทฎฺฐพฺพํ, ตานิ อคฺคินา ฑหนปุริโส วิย โยคาวจโร, อคฺคิ วิย มคฺคญาณํ , อคฺคิํ ทตฺวา พีชานํ ฑหนกาโล วิย มคฺคญาเณน กิเลสานํ ทฑฺฒกาโล, มสิกตกาโล วิย ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ ฉินฺนมูลเก กตฺวา ฐปิตกาโล, มหาวาเต โอปุนิตฺวา นทิยา วา ปวาเหตฺวา อปฺปวตฺติกตกาโล วิย อุปาทินฺนกสนฺตานสฺส นิโรเธน ฉินฺนมูลกานํ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อปฺปฎิสนฺธิกภาเวน นิรุชฺฌิตฺวา ปุน ภวสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ อคฺคหิตกาโล เวทิตโพฺพฯ
Sukkapakkhepi imināva nayena attho veditabbo. Ettha pana lobhe vigateti lobhe apagate niruddhe. Tālavatthukatanti tālavatthu viya kataṃ, matthakacchinnatālo viya puna aviruḷhisabhāvaṃ katanti attho. Anabhāvaṃ katanti anuabhāvaṃ kataṃ, yathā puna nuppajjati, evaṃ katanti attho. Evassūti evaṃ bhaveyyuṃ. Evameva khoti ettha bījāni viya kusalākusalaṃ kammaṃ daṭṭhabbaṃ, tāni agginā ḍahanapuriso viya yogāvacaro, aggi viya maggañāṇaṃ , aggiṃ datvā bījānaṃ ḍahanakālo viya maggañāṇena kilesānaṃ daḍḍhakālo, masikatakālo viya pañcannaṃ khandhānaṃ chinnamūlake katvā ṭhapitakālo, mahāvāte opunitvā nadiyā vā pavāhetvā appavattikatakālo viya upādinnakasantānassa nirodhena chinnamūlakānaṃ pañcannaṃ khandhānaṃ appaṭisandhikabhāvena nirujjhitvā puna bhavasmiṃ paṭisandhiṃ aggahitakālo veditabbo.
โมหชญฺจาปวิทฺทสูติ โมหชญฺจาปิ อวิทฺทสุฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ โส อวิทู อนฺธพาโล โลภชญฺจ โทสชญฺจ โมหชญฺจาติ กมฺมํ กโรติ, เอวํ กโรเนฺตน ยํ เตน ปกตํ กมฺมํ อปฺปํ วา ยทิ วา พหุํฯ อิเธว ตํ เวทนิยนฺติ ตํ กมฺมํ เตน พาเลน อิธ สเก อตฺตภาเวเยว เวทนียํ, ตเสฺสว ตํ อตฺตภาเว วิปจฺจตีติ อโตฺถฯ วตฺถุํ อญฺญํ น วิชฺชตีติ ตสฺส กมฺมสฺส วิปจฺจนตฺถาย อญฺญํ วตฺถุ นตฺถิฯ น หิ อเญฺญน กตํ กมฺมํ อญฺญสฺส อตฺตภาเว วิปจฺจติฯ ตสฺมา โลภญฺจ โทสญฺจ, โมหชญฺจาปิ วิทฺทสูติ ตสฺมา โย วิทู เมธาวี ปณฺฑิโต ตํ โลภชาทิเภทํ กมฺมํ น กโรติ, โส วิชฺชํ อุปฺปาทยํ ภิกฺขุ, สพฺพา ทุคฺคติโย ชเห, อรหตฺตมคฺควิชฺชํ อุปฺปาเทตฺวา ตํ วา ปน วิชฺชํ อุปฺปาเทโนฺต สพฺพา ทุคฺคติโย ชหติฯ เทสนาสีสเมเวตํ, สุคติโยปิ ปน โส ขีณาสโว ชหติเยวฯ ยมฺปิ เจตํ ‘‘ตสฺมา โลภญฺจ โทสญฺจา’’ติ วุตฺตํ, เอตฺถาปิ โลภโทสสีเสน โลภชญฺจ โทสชญฺจ กมฺมเมว นิทฺทิฎฺฐนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอวํ สุตฺตเนฺตสุปิ คาถายปิ วฎฺฎวิวฎฺฎเมว กถิตนฺติฯ
Mohajañcāpaviddasūti mohajañcāpi aviddasu. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ so avidū andhabālo lobhajañca dosajañca mohajañcāti kammaṃ karoti, evaṃ karontena yaṃ tena pakataṃ kammaṃ appaṃ vā yadi vā bahuṃ. Idheva taṃ vedaniyanti taṃ kammaṃ tena bālena idha sake attabhāveyeva vedanīyaṃ, tasseva taṃ attabhāve vipaccatīti attho. Vatthuṃ aññaṃ na vijjatīti tassa kammassa vipaccanatthāya aññaṃ vatthu natthi. Na hi aññena kataṃ kammaṃ aññassa attabhāve vipaccati. Tasmā lobhañca dosañca, mohajañcāpi viddasūti tasmā yo vidū medhāvī paṇḍito taṃ lobhajādibhedaṃ kammaṃ na karoti, so vijjaṃ uppādayaṃ bhikkhu, sabbā duggatiyo jahe, arahattamaggavijjaṃ uppādetvā taṃ vā pana vijjaṃ uppādento sabbā duggatiyo jahati. Desanāsīsamevetaṃ, sugatiyopi pana so khīṇāsavo jahatiyeva. Yampi cetaṃ ‘‘tasmā lobhañca dosañcā’’ti vuttaṃ, etthāpi lobhadosasīsena lobhajañca dosajañca kammameva niddiṭṭhanti veditabbaṃ. Evaṃ suttantesupi gāthāyapi vaṭṭavivaṭṭameva kathitanti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๔. นิทานสุตฺตํ • 4. Nidānasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๔. นิทานสุตฺตวณฺณนา • 4. Nidānasuttavaṇṇanā