Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā)

    ๑๐. นิทานสุตฺตวณฺณนา

    10. Nidānasuttavaṇṇanā

    ๖๐. ทสเม กุรูสุ วิหรตีติ กุรูติ เอวํ พหุวจนวเสน ลทฺธโวหาเร ชนปเท วิหรติฯ กมฺมาสธมฺมํ นาม กุรูนํ นิคโมติ เอวํนามโก กุรูนํ นิคโม, ตํ โคจรคามํ กตฺวาติ อโตฺถฯ อายสฺมาติ ปิยวจนเมตํ ครุวจนเมตํฯ อานโนฺทติ ตสฺส เถรสฺส นามํฯ เอกมนฺตํ นิสีทีติ ฉ นิสชฺชโทเส วิวเชฺชโนฺต ทกฺขิณชาณุมณฺฑลสฺส อภิมุขฎฺฐาเน ฉพฺพณฺณานํ พุทฺธรสฺมีนํ อโนฺต ปวิสิตฺวา ปสนฺนลาขารสํ วิคาหโนฺต วิย สุวณฺณปฎํ ปารุปโนฺต วิย รตฺตกมฺพลวิตานมชฺฌํ ปวิสโนฺต วิย ธมฺมภณฺฑาคาริโก อายสฺมา อานโนฺท นิสีทิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เอกมนฺตํ นิสีที’’ติฯ

    60. Dasame kurūsu viharatīti kurūti evaṃ bahuvacanavasena laddhavohāre janapade viharati. Kammāsadhammaṃ nāma kurūnaṃ nigamoti evaṃnāmako kurūnaṃ nigamo, taṃ gocaragāmaṃ katvāti attho. Āyasmāti piyavacanametaṃ garuvacanametaṃ. Ānandoti tassa therassa nāmaṃ. Ekamantaṃ nisīdīti cha nisajjadose vivajjento dakkhiṇajāṇumaṇḍalassa abhimukhaṭṭhāne chabbaṇṇānaṃ buddharasmīnaṃ anto pavisitvā pasannalākhārasaṃ vigāhanto viya suvaṇṇapaṭaṃ pārupanto viya rattakambalavitānamajjhaṃ pavisanto viya dhammabhaṇḍāgāriko āyasmā ānando nisīdi. Tena vuttaṃ ‘‘ekamantaṃ nisīdī’’ti.

    กาย ปน เวลาย เกน การเณน อยมายสฺมา ภควนฺตํ อุปสงฺกมโนฺตติ? สายนฺหเวลาย ปจฺจยาการปญฺหํ ปุจฺฉนการเณนฯ ตํ ทิวสํ กิร อยมายสฺมา กุลสงฺคหตฺถาย ฆรทฺวาเร ฆรทฺวาเร สหสฺสภณฺฑิกํ นิกฺขิปโนฺต วิย กมฺมาสธมฺมํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต สตฺถุ วตฺตํ ทเสฺสตฺวา สตฺถริ คนฺธกุฎิํ ปวิเฎฺฐ สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน ทิวาฎฺฐานํ คนฺตฺวา อเนฺตวาสิเกสุ วตฺตํ ทเสฺสตฺวา ปฎิกฺกเนฺตสุ ทิวาฎฺฐานํ ปฎิสมฺมชฺชิตฺวา จมฺมกฺขณฺฑํ ปญฺญเปตฺวา อุทกตุมฺพโต อุทเกน หตฺถปาเท สีตลํ กตฺวา ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสิโนฺน โสตาปตฺติผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวาฯ อถ ปริจฺฉินฺนกาลวเสน สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ปจฺจยากาเร ญาณํ โอตาเรสิฯ โส ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติอาทิโต ปฎฺฐาย อนฺตํ, อนฺตโต ปฎฺฐาย อาทิํ, อุภยนฺตโต ปฎฺฐาย มชฺฌํ, มชฺฌโต ปฎฺฐาย อุโภ อเนฺต ปาเปโนฺต ติกฺขตฺตุํ ทฺวาทสปทํ ปจฺจยาการํ สมฺมสิฯ ตเสฺสวํ สมฺมสนฺตสฺส ปจฺจยากาโร วิภูโต หุตฺวา อุตฺตานกุตฺตานโก วิย อุปฎฺฐาสิฯ ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ปจฺจยากาโร สพฺพพุเทฺธหิ คมฺภีโร เจว คมฺภีราวภาโส จาติ กถิโต, มยฺหํ โข ปน ปเทสญาเณ ฐิตสฺส สาวกสฺส สโต อุตฺตาโน วิย วิภูโต ปากโฎ หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, มยฺหํเยว นุ โข เอส อุตฺตานโก วิย อุปฎฺฐาติ, อุทาหุ อเญฺญสมฺปีติ อตฺตโน อุปฎฺฐานการณํ สตฺถุ อาโรเจสฺสามี’’ติ นิสินฺนฎฺฐานโต อุฎฺฐาย จมฺมกฺขณฺฑํ ปโปฺผเฎตฺวา อาทาย สายนฺหสมเย ภควนฺตํ อุปสงฺกมิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สายนฺหเวลายํ ปจฺจยาการปญฺหํ ปุจฺฉนการเณน อุปสงฺกมโนฺต’’ติฯ

    Kāya pana velāya kena kāraṇena ayamāyasmā bhagavantaṃ upasaṅkamantoti? Sāyanhavelāya paccayākārapañhaṃ pucchanakāraṇena. Taṃ divasaṃ kira ayamāyasmā kulasaṅgahatthāya gharadvāre gharadvāre sahassabhaṇḍikaṃ nikkhipanto viya kammāsadhammaṃ piṇḍāya caritvā piṇḍapātapaṭikkanto satthu vattaṃ dassetvā satthari gandhakuṭiṃ paviṭṭhe satthāraṃ vanditvā attano divāṭṭhānaṃ gantvā antevāsikesu vattaṃ dassetvā paṭikkantesu divāṭṭhānaṃ paṭisammajjitvā cammakkhaṇḍaṃ paññapetvā udakatumbato udakena hatthapāde sītalaṃ katvā pallaṅkaṃ ābhujitvā nisinno sotāpattiphalasamāpattiṃ samāpajjitvā. Atha paricchinnakālavasena samāpattito vuṭṭhāya paccayākāre ñāṇaṃ otāresi. So ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’tiādito paṭṭhāya antaṃ, antato paṭṭhāya ādiṃ, ubhayantato paṭṭhāya majjhaṃ, majjhato paṭṭhāya ubho ante pāpento tikkhattuṃ dvādasapadaṃ paccayākāraṃ sammasi. Tassevaṃ sammasantassa paccayākāro vibhūto hutvā uttānakuttānako viya upaṭṭhāsi. Tato cintesi – ‘‘ayaṃ paccayākāro sabbabuddhehi gambhīro ceva gambhīrāvabhāso cāti kathito, mayhaṃ kho pana padesañāṇe ṭhitassa sāvakassa sato uttāno viya vibhūto pākaṭo hutvā upaṭṭhāti, mayhaṃyeva nu kho esa uttānako viya upaṭṭhāti, udāhu aññesampīti attano upaṭṭhānakāraṇaṃ satthu ārocessāmī’’ti nisinnaṭṭhānato uṭṭhāya cammakkhaṇḍaṃ papphoṭetvā ādāya sāyanhasamaye bhagavantaṃ upasaṅkami. Tena vuttaṃ – ‘‘sāyanhavelāyaṃ paccayākārapañhaṃ pucchanakāraṇena upasaṅkamanto’’ti.

    ยาว คมฺภีโรติ เอตฺถ ยาวสโทฺท ปมาณาติกฺกเมฯ อติกฺกมฺม ปมาณํ คมฺภีโร, อติคมฺภีโรติ อโตฺถฯ คมฺภีราวภาโสติ คมฺภีโรว หุตฺวา อวภาสติ, ทิสฺสตีติ อโตฺถฯ เอกญฺหิ อุตฺตานเมว คมฺภีราวภาสํ โหติ ปูติปณฺณรสวเสน กาฬวณฺณํ ปุราณอุทกํ วิยฯ ตญฺหิ ชาณุปฺปมาณมฺปิ สตโปริสํ วิย ทิสฺสติฯ เอกํ คมฺภีรํ อุตฺตานาวภาสํ โหติ มณิภาสํ วิปฺปสนฺนอุทกํ วิยฯ ตญฺหิ สตโปริสมฺปิ ชาณุปฺปมาณํ วิย ขายติฯ เอกํ อุตฺตานํ อุตฺตานาวภาสํ โหติ ปาติอาทีสุ อุทกํ วิยฯ เอกํ คมฺภีรํ คมฺภีราวภาสํ โหติ สิเนรุปาทกมหาสมุเทฺท อุทกํ วิยฯ เอวํ อุทกเมว จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ปเนตํ นตฺถิฯ อยญฺหิ คมฺภีโร จ คมฺภีราวภาโส จาติ เอกเมว นามํ ลภติ ฯ เอวรูโป สมาโนปิ อถ จ ปน เม อุตฺตานกุตฺตานโก วิย ขายติ, ตทิทํ อจฺฉริยํ, ภเนฺต, อพฺภุตํ, ภเนฺตติ เอวํ อตฺตโน วิมฺหยํ ปกาเสโนฺต ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา ตุณฺหีภูโต นิสีทิฯ

    Yāva gambhīroti ettha yāvasaddo pamāṇātikkame. Atikkamma pamāṇaṃ gambhīro, atigambhīroti attho. Gambhīrāvabhāsoti gambhīrova hutvā avabhāsati, dissatīti attho. Ekañhi uttānameva gambhīrāvabhāsaṃ hoti pūtipaṇṇarasavasena kāḷavaṇṇaṃ purāṇaudakaṃ viya. Tañhi jāṇuppamāṇampi sataporisaṃ viya dissati. Ekaṃ gambhīraṃ uttānāvabhāsaṃ hoti maṇibhāsaṃ vippasannaudakaṃ viya. Tañhi sataporisampi jāṇuppamāṇaṃ viya khāyati. Ekaṃ uttānaṃ uttānāvabhāsaṃ hoti pātiādīsu udakaṃ viya. Ekaṃ gambhīraṃ gambhīrāvabhāsaṃ hoti sinerupādakamahāsamudde udakaṃ viya. Evaṃ udakameva cattāri nāmāni labhati. Paṭiccasamuppāde panetaṃ natthi. Ayañhi gambhīro ca gambhīrāvabhāso cāti ekameva nāmaṃ labhati . Evarūpo samānopi atha ca pana me uttānakuttānako viya khāyati, tadidaṃ acchariyaṃ, bhante, abbhutaṃ, bhanteti evaṃ attano vimhayaṃ pakāsento pañhaṃ pucchitvā tuṇhībhūto nisīdi.

    ภควา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อานโนฺท ภวคฺคคหณาย หตฺถํ ปสาเรโนฺต วิย สิเนรุํ ภินฺทิตฺวา มิญฺชํ นีหริตุํ วายมมาโน วิย วินา นาวาย มหาสมุทฺทํ ตริตุกาโม วิย ปถวิํ ปริวเตฺตตฺวา ปถโวชํ คเหตุํ วายมมาโน วิย พุทฺธวิสยํ ปญฺหํ อตฺตโน อุตฺตานุตฺตานนฺติ วทติ, หนฺทสฺส คมฺภีรภาวํ อาจิกฺขามี’’ติ จิเนฺตตฺวา มา เหวนฺติอาทิมาหฯ

    Bhagavā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘ānando bhavaggagahaṇāya hatthaṃ pasārento viya sineruṃ bhinditvā miñjaṃ nīharituṃ vāyamamāno viya vinā nāvāya mahāsamuddaṃ taritukāmo viya pathaviṃ parivattetvā pathavojaṃ gahetuṃ vāyamamāno viya buddhavisayaṃ pañhaṃ attano uttānuttānanti vadati, handassa gambhīrabhāvaṃ ācikkhāmī’’ti cintetvā mā hevantiādimāha.

    ตตฺถ มา เหวนฺติ -กาโร นิปาตมตฺตํ, เอวํ มา ภณีติ อโตฺถฯ ‘‘มา เหว’’นฺติ จ อิทํ วจนํ ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อุสฺสาเทโนฺตปิ ภณติ อปสาเทโนฺตปิฯ ตตฺถ อุสฺสาเทโนฺตปีติ, อานนฺท, ตฺวํ มหาปโญฺญ วิสทญาโณ, เตน เต คมฺภีโรปิ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตานโก วิย ขายติ, อเญฺญสํ ปเนส อุตฺตานโกติ น สลฺลเกฺขตโพฺพ, คมฺภีโรเยว จ โส คมฺภีราวภาโส จฯ

    Tattha mā hevanti ha-kāro nipātamattaṃ, evaṃ mā bhaṇīti attho. ‘‘Mā heva’’nti ca idaṃ vacanaṃ bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ ussādentopi bhaṇati apasādentopi. Tattha ussādentopīti, ānanda, tvaṃ mahāpañño visadañāṇo, tena te gambhīropi paṭiccasamuppādo uttānako viya khāyati, aññesaṃ panesa uttānakoti na sallakkhetabbo, gambhīroyeva ca so gambhīrāvabhāso ca.

    ตตฺถ จตโสฺส อุปมา วทนฺติ – ฉ มาเส สุโภชนรสปุฎฺฐสฺส กิร กตโยคสฺส มหามลฺลสฺส สมชฺชสมเย กตมลฺลปาสาณปริจยสฺส ยุทฺธภูมิํ คจฺฉนฺตสฺส อนฺตรา มลฺลปาสาณํ ทเสฺสสุํฯ โส ‘‘กิํ เอต’’นฺติ อาหฯ มลฺลปาสาโณติฯ อาหรถ นนฺติฯ ‘‘อุกฺขิปิตุํ น สโกฺกมา’’ติ วุเตฺต สยํ คนฺตฺวา ‘‘กุหิํ อิมสฺส ภาริยฎฺฐาน’’นฺติ วตฺวา ทฺวีหิ หเตฺถหิ เทฺว ปาสาเณ อุกฺขิปิตฺวา กีฬาคุเฬ วิย ขิปิตฺวา อคมาสิฯ ตตฺถ มลฺลสฺส มลฺลปาสาโณ ลหุโกติ น อเญฺญสมฺปิ ลหุโกติ วตฺตโพฺพฯ ฉ มาเส สุโภชนรสปุโฎฺฐ มโลฺล วิย หิ กปฺปสตสหสฺสํ อภินีหารสมฺปโนฺน อายสฺมา อานโนฺทฯ ยถา มลฺลสฺส มหาพลตาย มลฺลปาสาโณ ลหุโก, เอวํ เถรสฺส มหาปญฺญตาย ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตาโนติ วตฺตโพฺพ, โส อเญฺญสํ อุตฺตาโนติ น วตฺตโพฺพฯ

    Tattha catasso upamā vadanti – cha māse subhojanarasapuṭṭhassa kira katayogassa mahāmallassa samajjasamaye katamallapāsāṇaparicayassa yuddhabhūmiṃ gacchantassa antarā mallapāsāṇaṃ dassesuṃ. So ‘‘kiṃ eta’’nti āha. Mallapāsāṇoti. Āharatha nanti. ‘‘Ukkhipituṃ na sakkomā’’ti vutte sayaṃ gantvā ‘‘kuhiṃ imassa bhāriyaṭṭhāna’’nti vatvā dvīhi hatthehi dve pāsāṇe ukkhipitvā kīḷāguḷe viya khipitvā agamāsi. Tattha mallassa mallapāsāṇo lahukoti na aññesampi lahukoti vattabbo. Cha māse subhojanarasapuṭṭho mallo viya hi kappasatasahassaṃ abhinīhārasampanno āyasmā ānando. Yathā mallassa mahābalatāya mallapāsāṇo lahuko, evaṃ therassa mahāpaññatāya paṭiccasamuppādo uttānoti vattabbo, so aññesaṃ uttānoti na vattabbo.

    มหาสมุเทฺท จ ติมิ นาม มหามโจฺฉ ทฺวิโยชนสติโก, ติมิงฺคโล ติโยชนสติโก, ติมิรปิงฺคโล ปญฺจโยชนสติโก, อานโนฺท ติมินโนฺท อชฺฌาโรโห มหาติมีติ อิเม จตฺตาโร โยชนสหสฺสิกาฯ ตตฺถ ติมิรปิงฺคเลเนว ทีเปนฺติฯ ตสฺส กิร ทกฺขิณกณฺณํ จาเลนฺตสฺส ปญฺจโยชนสเต ปเทเส อุทกํ จลติ, ตถา วามกณฺณํ, ตถา นงฺคุฎฺฐํ, ตถา สีสํฯ เทฺว ปน กเณฺณ จาเลตฺวา นงฺคุเฎฺฐน ปหริตฺวา สีสํ อปราปรํ กตฺวา กีฬิตุํ อารทฺธสฺส สตฺตฎฺฐโยชนสเต ฐาเน ภาชเน ปกฺขิปิตฺวา อุทฺธเน อาโรปิตํ วิย อุทกํ ปกฺกุถติฯ โยชนสตมเตฺต ปเทเส อุทกํ ปิฎฺฐิํ ฉาเทตุํ น สโกฺกติฯ โส เอวํ วเทยฺย – ‘‘อยํ มหาสมุโทฺท คมฺภีโรติ วทนฺติ, กุตสฺส คมฺภีรตา, มยํ ปิฎฺฐิมตฺตจฺฉาทนมฺปิ อุทกํ น ลภามา’’ติฯ ตตฺถ กายูปปนฺนสฺส ติมิรปิงฺคลสฺส มหาสมุโทฺท อุตฺตาโนติ อเญฺญสญฺจ ขุทฺทกมจฺฉานํ อุตฺตาโนติ น วตฺตโพฺพ, เอวเมว ญาณูปปนฺนสฺส เถรสฺส ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตาโนติ อเญฺญสมฺปิ อุตฺตาโนติ น วตฺตโพฺพฯ สุปณฺณราชา จ ทิยฑฺฒโยชนสติโก โหติฯ ตสฺส ทกฺขิณปโกฺข ปญฺญาสโยชนิโก โหติ, ตถา วามปโกฺข, ปิญฺฉวฎฺฎิ จ สฎฺฐิโยชนิกา, คีวา ติํสโยชนิกา, มุขํ นวโยชนํ, ปาทา ทฺวาทสโยชนิกา, ตสฺมิํ สุปณฺณวาตํ ทเสฺสตุํ อารเทฺธ สตฺตฎฺฐโยชนสตํ ฐานํ นปฺปโหติฯ โส เอวํ วเทยฺย – ‘‘อยํ อากาโส อนโนฺตติ วทนฺติ, กุตสฺส อนนฺตตา, มยํ ปกฺขวาตปฺปตฺถรโณกาสมฺปิ น ลภามา’’ติฯ ตตฺถ กายูปปนฺนสฺส สุปณฺณรโญฺญ อากาโส ปริโตฺตติ อเญฺญสญฺจ ขุทฺทกปกฺขีนํ ปริโตฺตติ น วตฺตโพฺพ, เอวเมว ญาณูปปนฺนสฺส เถรสฺส ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตาโนติ อเญฺญสมฺปิ อุตฺตาโนติ น วตฺตโพฺพฯ

    Mahāsamudde ca timi nāma mahāmaccho dviyojanasatiko, timiṅgalo tiyojanasatiko, timirapiṅgalo pañcayojanasatiko, ānando timinando ajjhāroho mahātimīti ime cattāro yojanasahassikā. Tattha timirapiṅgaleneva dīpenti. Tassa kira dakkhiṇakaṇṇaṃ cālentassa pañcayojanasate padese udakaṃ calati, tathā vāmakaṇṇaṃ, tathā naṅguṭṭhaṃ, tathā sīsaṃ. Dve pana kaṇṇe cāletvā naṅguṭṭhena paharitvā sīsaṃ aparāparaṃ katvā kīḷituṃ āraddhassa sattaṭṭhayojanasate ṭhāne bhājane pakkhipitvā uddhane āropitaṃ viya udakaṃ pakkuthati. Yojanasatamatte padese udakaṃ piṭṭhiṃ chādetuṃ na sakkoti. So evaṃ vadeyya – ‘‘ayaṃ mahāsamuddo gambhīroti vadanti, kutassa gambhīratā, mayaṃ piṭṭhimattacchādanampi udakaṃ na labhāmā’’ti. Tattha kāyūpapannassa timirapiṅgalassa mahāsamuddo uttānoti aññesañca khuddakamacchānaṃ uttānoti na vattabbo, evameva ñāṇūpapannassa therassa paṭiccasamuppādo uttānoti aññesampi uttānoti na vattabbo. Supaṇṇarājā ca diyaḍḍhayojanasatiko hoti. Tassa dakkhiṇapakkho paññāsayojaniko hoti, tathā vāmapakkho, piñchavaṭṭi ca saṭṭhiyojanikā, gīvā tiṃsayojanikā, mukhaṃ navayojanaṃ, pādā dvādasayojanikā, tasmiṃ supaṇṇavātaṃ dassetuṃ āraddhe sattaṭṭhayojanasataṃ ṭhānaṃ nappahoti. So evaṃ vadeyya – ‘‘ayaṃ ākāso anantoti vadanti, kutassa anantatā, mayaṃ pakkhavātappattharaṇokāsampi na labhāmā’’ti. Tattha kāyūpapannassa supaṇṇarañño ākāso parittoti aññesañca khuddakapakkhīnaṃ parittoti na vattabbo, evameva ñāṇūpapannassa therassa paṭiccasamuppādo uttānoti aññesampi uttānoti na vattabbo.

    ราหุ อสุริโนฺท ปน ปาทนฺตโต ยาว เกสนฺตา โยชนานํ จตฺตาริ สหสฺสานิ อฎฺฐ จ สตานิ โหนฺติฯ ตสฺส ทฺวินฺนํ พาหานํ อนฺตเร ทฺวาทสโยชนสติกํ, พหลเตฺตน ฉโยชนสติกํ, หตฺถปาทตลานิ ติโยชนสติกานิ, ตถา มุขํ, เอกงฺคุลิปพฺพํ ปญฺญาสโยชนํ, ตถา ภมุกนฺตรํ, นลาฎํ ติโยชนสติกํ, สีสํ นวโยชนสติกํฯ ตสฺส มหาสมุทฺทํ โอติณฺณสฺส คมฺภีรํ อุทกํ ชาณุปฺปมาณํ โหติฯ โส เอวํ วเทยฺย – ‘‘อยํ มหาสมุโทฺท คมฺภีโรติ วทนฺติฯ กุตสฺส คมฺภีรตา? มยํ ชาณุปฺปฎิจฺฉาทนมตฺตมฺปิ อุทกํ น ลภามา’’ติฯ ตตฺถ กายูปปนฺนสฺส ราหุโน มหาสมุโทฺท อุตฺตาโนติ อเญฺญสญฺจ อุตฺตาโนติ น วตฺตโพฺพฯ เอวเมว ญาณูปปนฺนสฺส เถรสฺส ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตาโนติ อเญฺญสมฺปิ อุตฺตาโนติ น วตฺตโพฺพฯ เอตมตฺถํ สนฺธาย ภควา มา เหวํ, อานนฺท, มา เหวํ, อานนฺทาติ อาหฯ

    Rāhu asurindo pana pādantato yāva kesantā yojanānaṃ cattāri sahassāni aṭṭha ca satāni honti. Tassa dvinnaṃ bāhānaṃ antare dvādasayojanasatikaṃ, bahalattena chayojanasatikaṃ, hatthapādatalāni tiyojanasatikāni, tathā mukhaṃ, ekaṅgulipabbaṃ paññāsayojanaṃ, tathā bhamukantaraṃ, nalāṭaṃ tiyojanasatikaṃ, sīsaṃ navayojanasatikaṃ. Tassa mahāsamuddaṃ otiṇṇassa gambhīraṃ udakaṃ jāṇuppamāṇaṃ hoti. So evaṃ vadeyya – ‘‘ayaṃ mahāsamuddo gambhīroti vadanti. Kutassa gambhīratā? Mayaṃ jāṇuppaṭicchādanamattampi udakaṃ na labhāmā’’ti. Tattha kāyūpapannassa rāhuno mahāsamuddo uttānoti aññesañca uttānoti na vattabbo. Evameva ñāṇūpapannassa therassa paṭiccasamuppādo uttānoti aññesampi uttānoti na vattabbo. Etamatthaṃ sandhāya bhagavā mā hevaṃ, ānanda, mā hevaṃ, ānandāti āha.

    เถรสฺส หิ จตูหิ การเณหิ คมฺภีโร ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตาโนติ อุปฎฺฐาสิฯ กตเมหิ จตูหิ? ปุพฺพูปนิสฺสยสมฺปตฺติยา ติตฺถวาเสน โสตาปนฺนตาย พหุสฺสุตภาเวนาติฯ

    Therassa hi catūhi kāraṇehi gambhīro paṭiccasamuppādo uttānoti upaṭṭhāsi. Katamehi catūhi? Pubbūpanissayasampattiyā titthavāsena sotāpannatāya bahussutabhāvenāti.

    อิโต กิร สตสหสฺสิเม กเปฺป ปทุมุตฺตโร นาม สตฺถา โลเก อุปฺปชฺชิฯ ตสฺส หํสวตี นาม นครํ อโหสิ, อานโนฺท นาม ราชา ปิตา, สุเมธา นาม เทวี มาตา, โพธิสโตฺต อุตฺตรกุมาโร นาม อโหสิฯ โส ปุตฺตสฺส ชาตทิวเส มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมฺม ปพฺพชิตฺวา ปธานมนุยุโตฺต อนุกฺกเมน สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา, ‘‘อเนกชาติสํสาร’’นฺติ อุทานํ อุทาเนตฺวา สตฺตาหํ โพธิปลฺลเงฺก วีตินาเมตฺวา ‘‘ปถวิยํ ปาทํ ฐเปสฺสามี’’ติ ปาทํ อภินีหริฯ อถ ปถวิํ ภินฺทิตฺวา มหนฺตํ ปทุมํ อุฎฺฐาสิฯ ตสฺส ธุรปตฺตานิ นวุติหตฺถานิ, เกสรํ ติํสหตฺถํ, กณฺณิกา ทฺวาทสหตฺถา, นวฆฎปฺปมาณา เรณุ อโหสิฯ

    Ito kira satasahassime kappe padumuttaro nāma satthā loke uppajji. Tassa haṃsavatī nāma nagaraṃ ahosi, ānando nāma rājā pitā, sumedhā nāma devī mātā, bodhisatto uttarakumāro nāma ahosi. So puttassa jātadivase mahābhinikkhamanaṃ nikkhamma pabbajitvā padhānamanuyutto anukkamena sabbaññutaṃ patvā, ‘‘anekajātisaṃsāra’’nti udānaṃ udānetvā sattāhaṃ bodhipallaṅke vītināmetvā ‘‘pathaviyaṃ pādaṃ ṭhapessāmī’’ti pādaṃ abhinīhari. Atha pathaviṃ bhinditvā mahantaṃ padumaṃ uṭṭhāsi. Tassa dhurapattāni navutihatthāni, kesaraṃ tiṃsahatthaṃ, kaṇṇikā dvādasahatthā, navaghaṭappamāṇā reṇu ahosi.

    สตฺถา ปน อุเพฺพธโต อฎฺฐปญฺญาสหโตฺถ อโหสิ, ตสฺส อุภินฺนํ พาหานมนฺตรํ อฎฺฐารสหตฺถํ, นลาฎํ ปญฺจหตฺถํ, หตฺถปาทา เอกาทสหตฺถาฯ ตสฺส เอกาทสหเตฺถน ปาเทน ทฺวาทสหตฺถาย กณฺณิกาย อกฺกนฺตมตฺตาย นวฆฎปฺปมาณา เรณุ อุฎฺฐาย อฎฺฐปญฺญาสหตฺถํ ปเทสํ อุคฺคนฺตฺวา โอกิณฺณมโนสิลาจุณฺณํ วิย ปโจฺจกิณฺณํฯ ตทุปาทาย ภควา ‘‘ปทุมุตฺตโร’’เตฺวว ปญฺญายิตฺถฯ ตสฺส เทวิโล จ สุชาโต จ เทฺว อคฺคสาวกา อเหสุํ, อมิตา จ อสมา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, สุมโน นาม อุปฎฺฐาโกฯ ปทุมุตฺตโร ภควา ปิตุสงฺคหํ กุรุมาโน ภิกฺขุสตสหสฺสปริวาโร หํสวติยา ราชธานิยา วสติฯ

    Satthā pana ubbedhato aṭṭhapaññāsahattho ahosi, tassa ubhinnaṃ bāhānamantaraṃ aṭṭhārasahatthaṃ, nalāṭaṃ pañcahatthaṃ, hatthapādā ekādasahatthā. Tassa ekādasahatthena pādena dvādasahatthāya kaṇṇikāya akkantamattāya navaghaṭappamāṇā reṇu uṭṭhāya aṭṭhapaññāsahatthaṃ padesaṃ uggantvā okiṇṇamanosilācuṇṇaṃ viya paccokiṇṇaṃ. Tadupādāya bhagavā ‘‘padumuttaro’’tveva paññāyittha. Tassa devilo ca sujāto ca dve aggasāvakā ahesuṃ, amitā ca asamā ca dve aggasāvikā, sumano nāma upaṭṭhāko. Padumuttaro bhagavā pitusaṅgahaṃ kurumāno bhikkhusatasahassaparivāro haṃsavatiyā rājadhāniyā vasati.

    กนิฎฺฐภาตา ปนสฺส สุมนกุมาโร นามฯ ตสฺส ราชา หํสวติโต วีสโยชนสเต โภคํ อทาสิฯ โส กทาจิ อาคนฺตฺวา ปิตรญฺจ สตฺถารญฺจ ปสฺสติฯ อเถกทิวสํ ปจฺจโนฺต กุปิโตฯ สุมโน รโญฺญ สาสนํ เปเสสิฯ ราชา ‘‘ตฺวํ มยา, ตาต, กสฺมา ฐปิโต’’ติ ปฎิเปเสสิฯ โส โจเร วูปสเมตฺวา ‘‘อุปสโนฺต, เทว, ชนปโท’’ติ รโญฺญ เปเสสิฯ ราชา ตุโฎฺฐ ‘‘สีฆํ มม ปุโตฺต อาคจฺฉตู’’ติ อาหฯ ตสฺส สหสฺสมตฺตา อมจฺจา โหนฺติฯ โส เตหิ สทฺธิํ อนฺตรามเคฺค มเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ ปิตา ตุโฎฺฐ สเจ เม วรํ เทติ, กิํ คณฺหามี’’ติ? อถ นํ เอกเจฺจ ‘‘หตฺถิํ คณฺหถ, อสฺสํ คณฺหถ, ชนปทํ คณฺหถ, สตฺตรตนานิ คณฺหถา’’ติ อาหํสุฯ อปเร ‘‘ตุเมฺห ปถวิสฺสรสฺส ปุตฺตา, น ตุมฺหากํ ธนํ ทุลฺลภํ, ลทฺธมฺปิ เจตํ สพฺพํ ปหาย คมนียํ, ปุญฺญเมว เอกํ อาทาย คมนียํ, ตสฺมา เทเว วรํ ททมาเน เตมาสํ ปทุมุตฺตรํ ภควนฺตํ อุปฎฺฐาตุํ วรํ คณฺหถา’’ติฯ โส ‘‘ตุเมฺห มยฺหํ กลฺยาณมิตฺตา นาม, มเมตํ จิตฺตํ นตฺถิ, ตุเมฺหหิ ปน อุปฺปาทิตํ, เอวํ กริสฺสามี’’ติ, คนฺตฺวา ปิตรํ วนฺทิตฺวา ปิตรา อาลิเงฺคตฺวา, มตฺถเก จุมฺพิตฺวา ‘‘วรํ เต, ปุตฺต, เทมี’’ติ วุเตฺต ‘‘อิจฺฉามหํ, มหาราช, ภควนฺตํ เตมาสํ จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหโนฺต ชีวิตํ อวญฺฌํ กาตุํ, อิทํ เม วรํ เทหี’’ติ อาหฯ น สกฺกา, ตาต, อญฺญํ วเรหีติฯ เทว, ขตฺติยานํ นาม เทฺวกถา นตฺถิ, เอตเมว เม เทหิ, น มมเญฺญน อโตฺถติฯ ตาต, พุทฺธานํ นาม จิตฺตํ ทุชฺชานํ, สเจ ภควา น อิจฺฉิสฺสติ, มยา ทินฺนมฺปิ กิํ ภวิสฺสตีติ? ‘‘สาธุ, เทว, อหํ ภควโต จิตฺตํ ชานิสฺสามี’’ติ วิหารํ คโตฯ

    Kaniṭṭhabhātā panassa sumanakumāro nāma. Tassa rājā haṃsavatito vīsayojanasate bhogaṃ adāsi. So kadāci āgantvā pitarañca satthārañca passati. Athekadivasaṃ paccanto kupito. Sumano rañño sāsanaṃ pesesi. Rājā ‘‘tvaṃ mayā, tāta, kasmā ṭhapito’’ti paṭipesesi. So core vūpasametvā ‘‘upasanto, deva, janapado’’ti rañño pesesi. Rājā tuṭṭho ‘‘sīghaṃ mama putto āgacchatū’’ti āha. Tassa sahassamattā amaccā honti. So tehi saddhiṃ antarāmagge mantesi – ‘‘mayhaṃ pitā tuṭṭho sace me varaṃ deti, kiṃ gaṇhāmī’’ti? Atha naṃ ekacce ‘‘hatthiṃ gaṇhatha, assaṃ gaṇhatha, janapadaṃ gaṇhatha, sattaratanāni gaṇhathā’’ti āhaṃsu. Apare ‘‘tumhe pathavissarassa puttā, na tumhākaṃ dhanaṃ dullabhaṃ, laddhampi cetaṃ sabbaṃ pahāya gamanīyaṃ, puññameva ekaṃ ādāya gamanīyaṃ, tasmā deve varaṃ dadamāne temāsaṃ padumuttaraṃ bhagavantaṃ upaṭṭhātuṃ varaṃ gaṇhathā’’ti. So ‘‘tumhe mayhaṃ kalyāṇamittā nāma, mametaṃ cittaṃ natthi, tumhehi pana uppāditaṃ, evaṃ karissāmī’’ti, gantvā pitaraṃ vanditvā pitarā āliṅgetvā, matthake cumbitvā ‘‘varaṃ te, putta, demī’’ti vutte ‘‘icchāmahaṃ, mahārāja, bhagavantaṃ temāsaṃ catūhi paccayehi upaṭṭhahanto jīvitaṃ avañjhaṃ kātuṃ, idaṃ me varaṃ dehī’’ti āha. Na sakkā, tāta, aññaṃ varehīti. Deva, khattiyānaṃ nāma dvekathā natthi, etameva me dehi, na mamaññena atthoti. Tāta, buddhānaṃ nāma cittaṃ dujjānaṃ, sace bhagavā na icchissati, mayā dinnampi kiṃ bhavissatīti? ‘‘Sādhu, deva, ahaṃ bhagavato cittaṃ jānissāmī’’ti vihāraṃ gato.

    เตน จ สมเยน ภตฺตกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา ภควา คนฺธกุฎิํ ปวิโฎฺฐ โหติฯ โส มณฺฑลมาเฬ สนฺนิสินฺนานํ ภิกฺขูนํ สนฺติกํ อคมาสิฯ เต นํ อาหํสุ – ‘‘ราชปุตฺต กสฺมา อาคโตสี’’ติ? ภควนฺตํ ทสฺสนาย, ทเสฺสถ เม ภควนฺตนฺติฯ ‘‘น มยํ, ราชปุตฺต, อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ สตฺถารํ ทฎฺฐุํ ลภามา’’ติฯ โก ปน, ภเนฺต, ลภตีติ? สุมนเตฺถโร นาม ราชปุตฺตาติฯ โส ‘‘กุหิํ ภเนฺต เถโร’’ติ? เถรสฺส นิสินฺนฎฺฐานํ ปุจฺฉิตฺวา คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา – ‘‘อิจฺฉามหํ, ภเนฺต, ภควนฺตํ ปสฺสิตุํ, ทเสฺสถ เม ภควนฺต’’นฺติ อาหฯ เถโร ‘‘เอหิ, ราชปุตฺตา’’ติ ตํ คเหตฺวา คนฺธกุฎิปริเวเณ ฐเปตฺวา คนฺธกุฎิํ อารุหิฯ อถ นํ ภควา ‘‘สุมน, กสฺมา อาคโตสี’’ติ อาหฯ ราชปุโตฺต, ภเนฺต, ภควนฺตํ ทสฺสนาย อาคโตติฯ เตน หิ ภิกฺขุ อาสนํ ปญฺญเปหีติฯ เถโร อาสนํ ปญฺญเปสิฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเนฯ ราชปุโตฺต ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปฎิสนฺถารํ อกาสิ, ‘‘กทา อาคโตสิ ราชปุตฺตา’’ติ? ภเนฺต, ตุเมฺหสุ คนฺธกุฎิํ ปวิเฎฺฐสุ, ภิกฺขู ปน ‘‘น มยํ อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ ภควนฺตํ ทฎฺฐุํ ลภามา’’ติ มํ เถรสฺส สนฺติกํ ปาเหสุํ, เถโร ปน เอกวจเนเนว ทเสฺสสิ, เถโร, ภเนฺต, ตุมฺหากํ สาสเน วลฺลโภ มเญฺญติฯ อาม, ราชกุมาร, วลฺลโภ เอส ภิกฺขุ มยฺหํ สาสเนติฯ ภเนฺต, พุทฺธานํ สาสเน กิํ กตฺวา วลฺลโภ โหตีติ? ทานํ ทตฺวา สีลํ สมาทิยิตฺวา อุโปสถกมฺมํ กตฺวา, กุมาราติฯ ภควา อหมฺปิ เถโร วิย พุทฺธสาสเน วลฺลโภ โหตุกาโม, เตมาสํ เม วสฺสาวาสํ อธิวาเสถาติฯ ภควา, ‘‘อตฺถิ นุ โข คเตน อโตฺถ’’ติ โอโลเกตฺวา ‘‘อตฺถี’’ติ ทิสฺวา ‘‘สุญฺญาคาเร โข, ราชกุมาร, ตถาคตา อภิรมนฺตี’’ติ อาหฯ กุมาโร ‘‘อญฺญาตํ ภควา, อญฺญาตํ สุคตา’’ติ วตฺวา – ‘‘อหํ, ภเนฺต, ปุริมตรํ คนฺตฺวา วิหารํ กาเรมิ, มยา เปสิเต ภิกฺขุสตสหเสฺสน สทฺธิํ อาคจฺฉถา’’ติ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ปิตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘ทินฺนา เม, เทว, ภควตา ปฎิญฺญา, มยา ปหิเต ตุเมฺห ภควนฺตํ เปเสยฺยาถา’’ติ ปิตรํ วนฺทิตฺวา นิกฺขมิตฺวา โยชเน โยชเน วิหารํ กาเรตฺวา วีสโยชนสตํ อทฺธานํ คโตฯ คนฺตฺวา อตฺตโน นคเร วิหารฎฺฐานํ วิจินโนฺต โสภนสฺส นาม กุฎุมฺพิกสฺส อุยฺยานํ ทิสฺวา สตสหเสฺสน กิณิตฺวา สตสหสฺสํ วิสฺสเชฺชตฺวา วิหารํ กาเรสิฯ ตตฺถ ภควโต คนฺธกุฎิํ, เสสภิกฺขูนญฺจ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานตฺถาย กุฎิเลณมณฺฑเป การาเปตฺวา ปาการปริเกฺขปํ ทฺวารโกฎฺฐกญฺจ นิฎฺฐาเปตฺวา ปิตุ สนฺติกํ เปเสสิ ‘‘นิฎฺฐิตํ มยฺหํ กิจฺจํ, สตฺถารํ ปหิณถา’’ติฯ

    Tena ca samayena bhattakiccaṃ niṭṭhāpetvā bhagavā gandhakuṭiṃ paviṭṭho hoti. So maṇḍalamāḷe sannisinnānaṃ bhikkhūnaṃ santikaṃ agamāsi. Te naṃ āhaṃsu – ‘‘rājaputta kasmā āgatosī’’ti? Bhagavantaṃ dassanāya, dassetha me bhagavantanti. ‘‘Na mayaṃ, rājaputta, icchiticchitakkhaṇe satthāraṃ daṭṭhuṃ labhāmā’’ti. Ko pana, bhante, labhatīti? Sumanatthero nāma rājaputtāti. So ‘‘kuhiṃ bhante thero’’ti? Therassa nisinnaṭṭhānaṃ pucchitvā gantvā vanditvā – ‘‘icchāmahaṃ, bhante, bhagavantaṃ passituṃ, dassetha me bhagavanta’’nti āha. Thero ‘‘ehi, rājaputtā’’ti taṃ gahetvā gandhakuṭipariveṇe ṭhapetvā gandhakuṭiṃ āruhi. Atha naṃ bhagavā ‘‘sumana, kasmā āgatosī’’ti āha. Rājaputto, bhante, bhagavantaṃ dassanāya āgatoti. Tena hi bhikkhu āsanaṃ paññapehīti. Thero āsanaṃ paññapesi. Nisīdi bhagavā paññatte āsane. Rājaputto bhagavantaṃ vanditvā paṭisanthāraṃ akāsi, ‘‘kadā āgatosi rājaputtā’’ti? Bhante, tumhesu gandhakuṭiṃ paviṭṭhesu, bhikkhū pana ‘‘na mayaṃ icchiticchitakkhaṇe bhagavantaṃ daṭṭhuṃ labhāmā’’ti maṃ therassa santikaṃ pāhesuṃ, thero pana ekavacaneneva dassesi, thero, bhante, tumhākaṃ sāsane vallabho maññeti. Āma, rājakumāra, vallabho esa bhikkhu mayhaṃ sāsaneti. Bhante, buddhānaṃ sāsane kiṃ katvā vallabho hotīti? Dānaṃ datvā sīlaṃ samādiyitvā uposathakammaṃ katvā, kumārāti. Bhagavā ahampi thero viya buddhasāsane vallabho hotukāmo, temāsaṃ me vassāvāsaṃ adhivāsethāti. Bhagavā, ‘‘atthi nu kho gatena attho’’ti oloketvā ‘‘atthī’’ti disvā ‘‘suññāgāre kho, rājakumāra, tathāgatā abhiramantī’’ti āha. Kumāro ‘‘aññātaṃ bhagavā, aññātaṃ sugatā’’ti vatvā – ‘‘ahaṃ, bhante, purimataraṃ gantvā vihāraṃ kāremi, mayā pesite bhikkhusatasahassena saddhiṃ āgacchathā’’ti paṭiññaṃ gahetvā pitu santikaṃ gantvā, ‘‘dinnā me, deva, bhagavatā paṭiññā, mayā pahite tumhe bhagavantaṃ peseyyāthā’’ti pitaraṃ vanditvā nikkhamitvā yojane yojane vihāraṃ kāretvā vīsayojanasataṃ addhānaṃ gato. Gantvā attano nagare vihāraṭṭhānaṃ vicinanto sobhanassa nāma kuṭumbikassa uyyānaṃ disvā satasahassena kiṇitvā satasahassaṃ vissajjetvā vihāraṃ kāresi. Tattha bhagavato gandhakuṭiṃ, sesabhikkhūnañca rattiṭṭhānadivāṭṭhānatthāya kuṭileṇamaṇḍape kārāpetvā pākāraparikkhepaṃ dvārakoṭṭhakañca niṭṭhāpetvā pitu santikaṃ pesesi ‘‘niṭṭhitaṃ mayhaṃ kiccaṃ, satthāraṃ pahiṇathā’’ti.

    ราชา ภควนฺตํ โภเชตฺวา ‘‘ภควา สุมนสฺส กิจฺจํ นิฎฺฐิตํ, ตุมฺหากํ อาคมนํ ปจฺจาสีสตี’’ติฯ ภควา สตสหสฺสภิกฺขุปริวาโร โยชเน โยชเน วิหาเรสุ วสมาโน อคมาสิฯ กุมาโร ‘‘สตฺถา อาคจฺฉตี’’ติ สุตฺวา โยชนํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา คนฺธมาลาทีหิ ปูชยมาโน วิหารํ ปเวเสตฺวา –

    Rājā bhagavantaṃ bhojetvā ‘‘bhagavā sumanassa kiccaṃ niṭṭhitaṃ, tumhākaṃ āgamanaṃ paccāsīsatī’’ti. Bhagavā satasahassabhikkhuparivāro yojane yojane vihāresu vasamāno agamāsi. Kumāro ‘‘satthā āgacchatī’’ti sutvā yojanaṃ paccuggantvā gandhamālādīhi pūjayamāno vihāraṃ pavesetvā –

    ‘‘สตสหเสฺสน เม กีตํ, สตสหเสฺสน มาปิตํ;

    ‘‘Satasahassena me kītaṃ, satasahassena māpitaṃ;

    โสภนํ นาม อุยฺยานํ ปฎิคฺคณฺห, มหามุนี’’ติฯ –

    Sobhanaṃ nāma uyyānaṃ paṭiggaṇha, mahāmunī’’ti. –

    วิหารํ นิยฺยาเตสิฯ โส วสฺสูปนายิกทิวเส ทานํ ทตฺวา อตฺตโน ปุตฺตทาเร จ อมเจฺจ จ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห –‘‘สตฺถา อมฺหากํ สนฺติกํ ทูรโต อาคโต, พุทฺธา จ นาม ธมฺมครุโนว, นามิสครุกาฯ ตสฺมา อหํ อิมํ เตมาสํ เทฺว สาฎเก นิวาเสตฺวา ทส สีลานิ สมาทิยิตฺวา อิเธว วสิสฺสามิ, ตุเมฺห ขีณาสวสตสหสฺสสฺส อิมินาว นีหาเรน เตมาสํ ทานํ ทเทยฺยาถา’’ติฯ

    Vihāraṃ niyyātesi. So vassūpanāyikadivase dānaṃ datvā attano puttadāre ca amacce ca pakkosāpetvā āha –‘‘satthā amhākaṃ santikaṃ dūrato āgato, buddhā ca nāma dhammagarunova, nāmisagarukā. Tasmā ahaṃ imaṃ temāsaṃ dve sāṭake nivāsetvā dasa sīlāni samādiyitvā idheva vasissāmi, tumhe khīṇāsavasatasahassassa imināva nīhārena temāsaṃ dānaṃ dadeyyāthā’’ti.

    โส สุมนเตฺถรสฺส วสนฎฺฐานสภาเคเยว ฐาเน วสโนฺต ยํ เถโร ภควโต วตฺตํ กโรติ, ตํ สพฺพํ ทิสฺวา, ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน เอกนฺตวลฺลโภ เอส เถโร, เอตเสฺสว ฐานนฺตรํ ปเตฺถตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา, อุปกฎฺฐาย ปวารณาย คามํ ปวิสิตฺวา สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา สตฺตเม ทิวเส ภิกฺขูสตสหสฺสสฺส ปาทมูเล ติจีวรํ ฐเปตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ยเทตํ มยา มเคฺค โยชนนฺตริกวิหารการาปนโต ปฎฺฐาย ปุญฺญํ กตํ, ตํ เนว สกฺกสมฺปตฺติํ, น มารพฺรหฺมสมฺปตฺติํ ปตฺถยเนฺตน, พุทฺธสฺส ปน อุปฎฺฐากภาวํ ปเตฺถเนฺตน กตํฯ ตสฺมา อหมฺปิ ภควา อนาคเต สุมนเตฺถโร วิย เอกสฺส พุทฺธสฺส อุปฎฺฐาโก โหมี’’ติ ปญฺจปติฎฺฐิเตน ปติตฺวา วนฺทิตฺวา นิปโนฺนฯ ภควา ‘‘มหนฺตํ กุลปุตฺตสฺส จิตฺตํ, อิชฺฌิสฺสติ นุ โข, โน’’ติ โอโลเกโนฺต , ‘‘อนาคเต อิโต สตสหสฺสิเม กเปฺป โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตเสฺสว อุปฎฺฐาโก ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา –

    So sumanattherassa vasanaṭṭhānasabhāgeyeva ṭhāne vasanto yaṃ thero bhagavato vattaṃ karoti, taṃ sabbaṃ disvā, ‘‘imasmiṃ ṭhāne ekantavallabho esa thero, etasseva ṭhānantaraṃ patthetuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā, upakaṭṭhāya pavāraṇāya gāmaṃ pavisitvā sattāhaṃ mahādānaṃ datvā sattame divase bhikkhūsatasahassassa pādamūle ticīvaraṃ ṭhapetvā bhagavantaṃ vanditvā, ‘‘bhante, yadetaṃ mayā magge yojanantarikavihārakārāpanato paṭṭhāya puññaṃ kataṃ, taṃ neva sakkasampattiṃ, na mārabrahmasampattiṃ patthayantena, buddhassa pana upaṭṭhākabhāvaṃ patthentena kataṃ. Tasmā ahampi bhagavā anāgate sumanatthero viya ekassa buddhassa upaṭṭhāko homī’’ti pañcapatiṭṭhitena patitvā vanditvā nipanno. Bhagavā ‘‘mahantaṃ kulaputtassa cittaṃ, ijjhissati nu kho, no’’ti olokento , ‘‘anāgate ito satasahassime kappe gotamo nāma buddho uppajjissati, tasseva upaṭṭhāko bhavissatī’’ti ñatvā –

    ‘‘อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ, สพฺพเมว สมิชฺฌตุ;

    ‘‘Icchitaṃ patthitaṃ tuyhaṃ, sabbameva samijjhatu;

    สเพฺพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา, จโนฺท ปนฺนรโส ยถา’’ติฯ –

    Sabbe pūrentu saṅkappā, cando pannaraso yathā’’ti. –

    อาหฯ กุมาโร สุตฺวา ‘‘พุทฺธา นาม อเทฺวชฺฌกถา โหนฺตี’’ติ ทุติยทิวเสเยว ตสฺส ภควโต ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต คจฺฉโนฺต วิย อโหสิฯ โส ตสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท วสฺสสตสหสฺสํ ทานํ ทตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา กสฺสปพุทฺธกาเลปิ ปิณฺฑาย จรโต เถรสฺส ปตฺตคฺคหณตฺถํ อุตฺตริสาฎกํ ทตฺวา ปูชํ อกาสิฯ ปุน สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จุโต พาราณสิราชา หุตฺวา อฎฺฐนฺนํ ปเจฺจกพุทฺธานํ ปณฺณสาลาโย กาเรตฺวา มณิอาธารเก อุปฎฺฐเปตฺวา จตูหิ ปจฺจเยหิ ทสวสฺสสหสฺสานิ อุปฎฺฐานํ อกาสิฯ เอตานิ ปากฎฎฺฐานานิฯ

    Āha. Kumāro sutvā ‘‘buddhā nāma advejjhakathā hontī’’ti dutiyadivaseyeva tassa bhagavato pattacīvaraṃ gahetvā piṭṭhito piṭṭhito gacchanto viya ahosi. So tasmiṃ buddhuppāde vassasatasahassaṃ dānaṃ datvā sagge nibbattitvā kassapabuddhakālepi piṇḍāya carato therassa pattaggahaṇatthaṃ uttarisāṭakaṃ datvā pūjaṃ akāsi. Puna sagge nibbattitvā tato cuto bārāṇasirājā hutvā aṭṭhannaṃ paccekabuddhānaṃ paṇṇasālāyo kāretvā maṇiādhārake upaṭṭhapetvā catūhi paccayehi dasavassasahassāni upaṭṭhānaṃ akāsi. Etāni pākaṭaṭṭhānāni.

    กปฺปสตสหสฺสํ ปน ทานํ ททมาโนว อมฺหากํ โพธิสเตฺตน สทฺธิํ ตุสิตปุเร นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จุโต อมิโตทนสกฺกสฺส เคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อนุปุเพฺพน กตาภินิกฺขมโน สมฺมาสโมฺพธิํ ปตฺวา ปฐมคมเนน กปิลวตฺถุํ อาคนฺตฺวา ตโต นิกฺขมเนฺต ภควติ ภควโต ปริวารตฺถํ ราชกุมาเรสุ ปพฺพชเนฺตสุ ภทฺทิยาทีหิ สทฺธิํ นิกฺขมิตฺวา ภควโต สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา นจิรเสฺสว อายสฺมโต ปุณฺณสฺส มนฺตาณิปุตฺตสฺส สนฺติเก ธมฺมกถํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ เอวเมส อายสฺมา ปุพฺพูปนิสฺสยสมฺปโนฺน, ตสฺสิมาย ปุพฺพูปนิสฺสยสมฺปตฺติยา คมฺภีโรปิ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตานโก วิย อุปฎฺฐาสิฯ

    Kappasatasahassaṃ pana dānaṃ dadamānova amhākaṃ bodhisattena saddhiṃ tusitapure nibbattitvā tato cuto amitodanasakkassa gehe paṭisandhiṃ gahetvā anupubbena katābhinikkhamano sammāsambodhiṃ patvā paṭhamagamanena kapilavatthuṃ āgantvā tato nikkhamante bhagavati bhagavato parivāratthaṃ rājakumāresu pabbajantesu bhaddiyādīhi saddhiṃ nikkhamitvā bhagavato santike pabbajitvā nacirasseva āyasmato puṇṇassa mantāṇiputtassa santike dhammakathaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhahi. Evamesa āyasmā pubbūpanissayasampanno, tassimāya pubbūpanissayasampattiyā gambhīropi paṭiccasamuppādo uttānako viya upaṭṭhāsi.

    ติตฺถวาโสติ ปน ครูนํ สนฺติเก อุคฺคหณสวนปริปุจฺฉนธารณานิ วุจฺจนฺติฯ โส เถรสฺส อติวิย ปริสุโทฺธฯ เตนาปิสฺสายํ คมฺภีโรปิ อุตฺตานโก วิย อุปฎฺฐาสิฯ โสตาปนฺนานญฺจ นาม ปจฺจยากาโร อุตฺตานโก หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, อยญฺจ อายสฺมา โสตาปโนฺนฯ พหุสฺสุตานํ จตุหเตฺถ โอวรเก ปทีเป ชลมาเน มญฺจปีฐํ วิย นามรูปปริเจฺฉโท ปากโฎ โหติ, อยญฺจ อายสฺมา พหุสฺสุตานํ อโคฺคฯ อิติ พาหุสจฺจภาเวนปิสฺส คมฺภีโรปิ ปจฺจยากาโร อุตฺตานโก วิย อุปฎฺฐาสิฯ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท จตูหิ คมฺภีรตาหิ คมฺภีโรฯ สา ปนสฺส คมฺภีรตา วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตาวฯ สา สพฺพาปิ เถรสฺส อุตฺตานกา วิย อุปฎฺฐาสิฯ เตน ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อุสฺสาเทโนฺต มา เหวนฺติอาทิมาหฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – อานนฺท, ตฺวํ มหาปโญฺญ วิสทญาโณ, เตน เต คมฺภีโรปิ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตานโก วิย ขายติฯ ตสฺมา ‘‘มยฺหเมว นุ โข เอส อุตฺตานโก วิย หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, อุทาหุ อเญฺญสมฺปี’’ติ มา เอวํ อวจฯ

    Titthavāsoti pana garūnaṃ santike uggahaṇasavanaparipucchanadhāraṇāni vuccanti. So therassa ativiya parisuddho. Tenāpissāyaṃ gambhīropi uttānako viya upaṭṭhāsi. Sotāpannānañca nāma paccayākāro uttānako hutvā upaṭṭhāti, ayañca āyasmā sotāpanno. Bahussutānaṃ catuhatthe ovarake padīpe jalamāne mañcapīṭhaṃ viya nāmarūpaparicchedo pākaṭo hoti, ayañca āyasmā bahussutānaṃ aggo. Iti bāhusaccabhāvenapissa gambhīropi paccayākāro uttānako viya upaṭṭhāsi. Paṭiccasamuppādo catūhi gambhīratāhi gambhīro. Sā panassa gambhīratā visuddhimagge vitthāritāva. Sā sabbāpi therassa uttānakā viya upaṭṭhāsi. Tena bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ ussādento mā hevantiādimāha. Ayañhettha adhippāyo – ānanda, tvaṃ mahāpañño visadañāṇo, tena te gambhīropi paṭiccasamuppādo uttānako viya khāyati. Tasmā ‘‘mayhameva nu kho esa uttānako viya hutvā upaṭṭhāti, udāhu aññesampī’’ti mā evaṃ avaca.

    ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘อปสาเทโนฺต’’ติ, ตตฺถายมธิปฺปาโย – อานนฺท, ‘‘อถ จ ปน เม อุตฺตานกุตฺตานโก วิย ขายตี’’ติ มา เหวํ อวจฯ ยทิ หิ เต เอส อุตฺตานกุตฺตานโก วิย ขายติ, กสฺมา ตฺวํ อตฺตโน ธมฺมตาย โสตาปโนฺน นาโหสิ, มยา ทินฺนนเย ฐตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ปฎิวิชฺฌิ? อานนฺท , อิทํ นิพฺพานเมว คมฺภีรํ, ปจฺจยากาโร ปน อุตฺตานโก ชาโต, อถ กสฺมา โอฬาริกํ กามราคสํโยชนํ ปฎิฆสํโยชนํ โอฬาริกํ กามราคานุสยํ ปฎิฆานุสยนฺติ อิเม จตฺตาโร กิเลเส สมุคฺฆาเตตฺวา สกทาคามิผลํ น สจฺฉิกโรสิ, เตเยว อณุสหคเต จตฺตาโร กิเลเส สมุคฺฆาเตตฺวา อนาคามิผลํ น สจฺฉิกโรสิ, รูปราคาทีนิ ปญฺจ สํโยชนานิ, มานานุสยํ ภวราคานุสยํ อวิชฺชานุสยนฺติ อิเม อฎฺฐ กิเลเส สมุคฺฆาเตตฺวา อรหตฺตํ น สจฺฉิกโรสิ? กสฺมา วา สตสหสฺสกปฺปาธิกํ เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ ปูริตปารมิโน สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานา วิย สาวกปารมีญาณํ น ปฎิวิชฺฌสิ, สตสหสฺสกปฺปาธิกานิ เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ ปูริตปารมิโน ปเจฺจกพุทฺธา วิย จ ปเจฺจกโพธิญาณํ น ปฎิวิชฺฌสิ? ยทิ วา เต สพฺพถาว เอส อุตฺตานโก หุตฺวา อุปฎฺฐาสิฯ อถ กสฺมา สตสหสฺสกปฺปาธิกานิ จตฺตาริ อฎฺฐ โสฬส วา อสเงฺขฺยยฺยานิ ปูริตปารมิโน พุทฺธา วิย สพฺพญฺญุตญฺญาณํ น สจฺฉิกโรสิ? กิํ อนตฺถิโกสิ เอเตหิ วิเสสาธิคเมหิ? ปสฺส ยาว จ เต อปรทฺธํ, ตฺวํ นาม สาวกปเทสญาเณ ฐิโต อติคมฺภีรํ ปจฺจยาการํ ‘‘อุตฺตานโก วิย เม อุปฎฺฐาตี’’ติ วทสิฯ ตสฺส เต อิทํ วจนํ พุทฺธานํ กถาย ปจฺจนีกํ โหติฯ ตาทิเสน นาม ภิกฺขุนา พุทฺธานํ กถาย ปจฺจนีกํ กเถตพฺพนฺติ น ยุตฺตเมตํฯ นนุ มยฺหํ, อานนฺท, อิมํ ปจฺจยาการํ ปฎิวิชฺฌิตุํ วายมนฺตเสฺสว กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ อติกฺกนฺตานิฯ ปจฺจยาการปฎิวิชฺฌนตฺถาย จ ปน เม อทินฺนทานํ นาม นตฺถิ, อปูริตปารมี นาม นตฺถิฯ ‘‘อชฺช ปจฺจยาการํ ปฎิวิชฺฌิสฺสามี’’ติ ปน เม นิรุสฺสาหํ วิย มารพลํ วิธมนฺตสฺส อยํ มหาปถวี ทฺวงฺคุลมตฺตมฺปิ นากมฺปิ, ตถา ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ, มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ สมฺปาเทนฺตสฺสฯ ปจฺฉิมยาเม ปน เม พลวปจฺจูสสมเย, ‘‘อวิชฺชา สงฺขารานํ นวหิ อากาเรหิ ปจฺจโย โหตี’’ติ ทิฎฺฐมเตฺตเยว ทสสหสฺสิโลกธาตุ อยทเณฺฑน อาโกฎิตกํสถาโล วิย วิรวสตํ วิรวสหสฺสํ มุญฺจมานา วาตาหเต ปทุมินิปเณฺณ อุทกพินฺทุ วิย ปกมฺปิตฺถฯ เอวํ คมฺภีโร จายํ, อานนฺท, ปฎิจฺจสมุปฺปาโท คมฺภีราวภาโส จ, เอตสฺส, อานนฺท, ธมฺมสฺส อนนุโพธา…เป.… นาติวตฺตตีติฯ

    Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘apasādento’’ti, tatthāyamadhippāyo – ānanda, ‘‘atha ca pana me uttānakuttānako viya khāyatī’’ti mā hevaṃ avaca. Yadi hi te esa uttānakuttānako viya khāyati, kasmā tvaṃ attano dhammatāya sotāpanno nāhosi, mayā dinnanaye ṭhatvā sotāpattimaggaṃ paṭivijjhi? Ānanda , idaṃ nibbānameva gambhīraṃ, paccayākāro pana uttānako jāto, atha kasmā oḷārikaṃ kāmarāgasaṃyojanaṃ paṭighasaṃyojanaṃ oḷārikaṃ kāmarāgānusayaṃ paṭighānusayanti ime cattāro kilese samugghātetvā sakadāgāmiphalaṃ na sacchikarosi, teyeva aṇusahagate cattāro kilese samugghātetvā anāgāmiphalaṃ na sacchikarosi, rūparāgādīni pañca saṃyojanāni, mānānusayaṃ bhavarāgānusayaṃ avijjānusayanti ime aṭṭha kilese samugghātetvā arahattaṃ na sacchikarosi? Kasmā vā satasahassakappādhikaṃ ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ pūritapāramino sāriputtamoggallānā viya sāvakapāramīñāṇaṃ na paṭivijjhasi, satasahassakappādhikāni dve asaṅkhyeyyāni pūritapāramino paccekabuddhā viya ca paccekabodhiñāṇaṃ na paṭivijjhasi? Yadi vā te sabbathāva esa uttānako hutvā upaṭṭhāsi. Atha kasmā satasahassakappādhikāni cattāri aṭṭha soḷasa vā asaṅkhyeyyāni pūritapāramino buddhā viya sabbaññutaññāṇaṃ na sacchikarosi? Kiṃ anatthikosi etehi visesādhigamehi? Passa yāva ca te aparaddhaṃ, tvaṃ nāma sāvakapadesañāṇe ṭhito atigambhīraṃ paccayākāraṃ ‘‘uttānako viya me upaṭṭhātī’’ti vadasi. Tassa te idaṃ vacanaṃ buddhānaṃ kathāya paccanīkaṃ hoti. Tādisena nāma bhikkhunā buddhānaṃ kathāya paccanīkaṃ kathetabbanti na yuttametaṃ. Nanu mayhaṃ, ānanda, imaṃ paccayākāraṃ paṭivijjhituṃ vāyamantasseva kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni atikkantāni. Paccayākārapaṭivijjhanatthāya ca pana me adinnadānaṃ nāma natthi, apūritapāramī nāma natthi. ‘‘Ajja paccayākāraṃ paṭivijjhissāmī’’ti pana me nirussāhaṃ viya mārabalaṃ vidhamantassa ayaṃ mahāpathavī dvaṅgulamattampi nākampi, tathā paṭhamayāme pubbenivāsaṃ, majjhimayāme dibbacakkhuṃ sampādentassa. Pacchimayāme pana me balavapaccūsasamaye, ‘‘avijjā saṅkhārānaṃ navahi ākārehi paccayo hotī’’ti diṭṭhamatteyeva dasasahassilokadhātu ayadaṇḍena ākoṭitakaṃsathālo viya viravasataṃ viravasahassaṃ muñcamānā vātāhate paduminipaṇṇe udakabindu viya pakampittha. Evaṃ gambhīro cāyaṃ, ānanda, paṭiccasamuppādo gambhīrāvabhāso ca, etassa, ānanda, dhammassa ananubodhā…pe… nātivattatīti.

    เอตสฺส ธมฺมสฺสาติ เอตสฺส ปจฺจยธมฺมสฺสฯ อนนุโพธาติ ญาตปริญฺญาวเสน อนนุพุชฺฌนาฯ อปฺปฎิเวธาติ ตีรณปฺปหานปริญฺญาวเสน อปฺปฎิวิชฺฌนาฯ ตนฺตากุลกชาตาติ ตนฺตํ วิย อากุลชาตาฯ ยถา นาม ทุนฺนิกฺขิตฺตํ มูสิกจฺฉินฺนํ เปสการานํ ตนฺตํ ตหิํ ตหิํ อากุลํ โหติ, ‘‘อิทํ อคฺคํ, อิทํ มูล’’นฺติ อเคฺคน วา อคฺคํ, มูเลน วา มูลํ สมาเนตุํ ทุกฺกรํ โหติฯ เอวเมว สตฺตา อิมสฺมิํ ปจฺจยากาเร ขลิตา อากุลา พฺยากุลา โหนฺติ , น สโกฺกนฺติ ปจฺจยาการํ อุชุํ กาตุํฯ ตตฺถ ตนฺตํ ปจฺจตฺตปุริสกาเร ฐตฺวา สกฺกาปิ ภเวยฺย อุชุํ กาตุํ, ฐเปตฺวา ปน เทฺว โพธิสเตฺต อโญฺญ สโตฺต อตฺตโน ธมฺมตาย ปจฺจยาการํ อุชุํ กาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ ยถา ปน อากุลํ ตนฺตํ กญฺชิยํ ทตฺวา โกเจฺฉน ปหฎํ ตตฺถ ตตฺถ คุฬกชาตํ โหติ คณฺฐิพทฺธํ, เอวมิเม สตฺตา ปจฺจเยสุ ปกฺขลิตฺวา ปจฺจเย อุชุํ กาตุํ อสโกฺกนฺตา ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิคตวเสน คุฬกชาตา โหนฺติ คณฺฐิพทฺธาฯ เย หิ เกจิ ทิฎฺฐิโย สนฺนิสฺสิตา, สเพฺพ เต ปจฺจยํ อุชุํ กาตุํ อสโกฺกนฺตาเยวฯ

    Etassa dhammassāti etassa paccayadhammassa. Ananubodhāti ñātapariññāvasena ananubujjhanā. Appaṭivedhāti tīraṇappahānapariññāvasena appaṭivijjhanā. Tantākulakajātāti tantaṃ viya ākulajātā. Yathā nāma dunnikkhittaṃ mūsikacchinnaṃ pesakārānaṃ tantaṃ tahiṃ tahiṃ ākulaṃ hoti, ‘‘idaṃ aggaṃ, idaṃ mūla’’nti aggena vā aggaṃ, mūlena vā mūlaṃ samānetuṃ dukkaraṃ hoti. Evameva sattā imasmiṃ paccayākāre khalitā ākulā byākulā honti , na sakkonti paccayākāraṃ ujuṃ kātuṃ. Tattha tantaṃ paccattapurisakāre ṭhatvā sakkāpi bhaveyya ujuṃ kātuṃ, ṭhapetvā pana dve bodhisatte añño satto attano dhammatāya paccayākāraṃ ujuṃ kātuṃ samattho nāma natthi. Yathā pana ākulaṃ tantaṃ kañjiyaṃ datvā kocchena pahaṭaṃ tattha tattha guḷakajātaṃ hoti gaṇṭhibaddhaṃ, evamime sattā paccayesu pakkhalitvā paccaye ujuṃ kātuṃ asakkontā dvāsaṭṭhidiṭṭhigatavasena guḷakajātā honti gaṇṭhibaddhā. Ye hi keci diṭṭhiyo sannissitā, sabbe te paccayaṃ ujuṃ kātuṃ asakkontāyeva.

    กุลาคณฺฐิกชาตาติ กุลาคณฺฐิกํ วุจฺจติ เปสการกญฺชิยสุตฺตํฯ กุลา นาม สกุณิกา, ตสฺสา กุลาวโกติปิ เอเกฯ ยถา หิ ตทุภยมฺปิ อากุลํ อเคฺคน วา อคฺคํ, มูเลน วา มูลํ สมาเนตุํ ทุกฺกรนฺติ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ

    Kulāgaṇṭhikajātāti kulāgaṇṭhikaṃ vuccati pesakārakañjiyasuttaṃ. Kulā nāma sakuṇikā, tassā kulāvakotipi eke. Yathā hi tadubhayampi ākulaṃ aggena vā aggaṃ, mūlena vā mūlaṃ samānetuṃ dukkaranti purimanayeneva yojetabbaṃ.

    มุญฺชปพฺพชภูตาติ มุญฺชติณํ วิย ปพฺพชติณํ วิย จ ภูตา ตาทิสา ชาตาฯ ยถา หิ ตานิ ติณานิ โกเฎฺฎตฺวา กตรชฺชุ ชิณฺณกาเล กตฺถจิ ปติตํ คเหตฺวา เตสํ ติณานํ ‘‘อิทํ อคฺคํ, อิทํ มูล’’นฺติ อเคฺคน วา อคฺคํ, มูเลน วา มูลํ สมาเนตุํ ทุกฺกรํ, ตมฺปิ ปจฺจตฺตปุริสกาเร ฐตฺวา สกฺกา ภเวยฺย อุชุํ กาตุํ, ฐเปตฺวา ปน เทฺว โพธิสเตฺต อโญฺญ สโตฺต อตฺตโน ธมฺมตาย ปจฺจยาการํ อุชุํ กาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, เอวมยํ ปชา ปจฺจยํ อุชุํ กาตุํ อสโกฺกนฺตี ทิฎฺฐิคตวเสน คณฺฐิกชาตา หุตฺวา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ สํสารํ นาติวตฺตติฯ

    Muñjapabbajabhūtāti muñjatiṇaṃ viya pabbajatiṇaṃ viya ca bhūtā tādisā jātā. Yathā hi tāni tiṇāni koṭṭetvā katarajju jiṇṇakāle katthaci patitaṃ gahetvā tesaṃ tiṇānaṃ ‘‘idaṃ aggaṃ, idaṃ mūla’’nti aggena vā aggaṃ, mūlena vā mūlaṃ samānetuṃ dukkaraṃ, tampi paccattapurisakāre ṭhatvā sakkā bhaveyya ujuṃ kātuṃ, ṭhapetvā pana dve bodhisatte añño satto attano dhammatāya paccayākāraṃ ujuṃ kātuṃ samattho nāma natthi, evamayaṃ pajā paccayaṃ ujuṃ kātuṃ asakkontī diṭṭhigatavasena gaṇṭhikajātā hutvā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ saṃsāraṃ nātivattati.

    ตตฺถ อปาโยติ นิรยติรจฺฉานโยนิเปตฺติวิสยอสุรกายาฯ สเพฺพปิ หิ เต วฑฺฒิสงฺขาตสฺส อยสฺส อภาวโต ‘‘อปาโย’’ติ วุจฺจติ, ตถา ทุกฺขสฺส คติภาวโต ทุคฺคติ, สุขสมุสฺสยโต วินิปติตตฺตา วินิปาโตฯ อิตโร ปน –

    Tattha apāyoti nirayatiracchānayonipettivisayaasurakāyā. Sabbepi hi te vaḍḍhisaṅkhātassa ayassa abhāvato ‘‘apāyo’’ti vuccati, tathā dukkhassa gatibhāvato duggati, sukhasamussayato vinipatitattā vinipāto. Itaro pana –

    ‘‘ขนฺธานญฺจ ปฎิปาฎิ, ธาตุอายตนาน จ;

    ‘‘Khandhānañca paṭipāṭi, dhātuāyatanāna ca;

    อโพฺภจฺฉินฺนํ วตฺตมานา, สํสาโรติ ปวุจฺจติ’’ฯ

    Abbhocchinnaṃ vattamānā, saṃsāroti pavuccati’’.

    ตํ สพฺพมฺปิ นาติวตฺตติ นาติกฺกมติ, อถ โข จุติโต ปฎิสนฺธิํ, ปฎิสนฺธิโต จุตินฺติ เอวํ ปุนปฺปุนํ จุติปฎิสนฺธิโย คณฺหมานา ตีสุ ภเวสุ จตูสุ โยนีสุ ปญฺจสุ คตีสุ สตฺตสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ นวสุ สตฺตาวาเสสุ มหาสมุเทฺท วาตกฺขิตฺตา นาวา วิย ยเนฺต ยุตฺตโคโณ วิย จ ปริพฺภมติเยวฯ อิติ สพฺพเมตํ ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อปสาเทโนฺต อาหฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยเมวาติฯ ทสมํฯ

    Taṃ sabbampi nātivattati nātikkamati, atha kho cutito paṭisandhiṃ, paṭisandhito cutinti evaṃ punappunaṃ cutipaṭisandhiyo gaṇhamānā tīsu bhavesu catūsu yonīsu pañcasu gatīsu sattasu viññāṇaṭṭhitīsu navasu sattāvāsesu mahāsamudde vātakkhittā nāvā viya yante yuttagoṇo viya ca paribbhamatiyeva. Iti sabbametaṃ bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ apasādento āha. Sesamettha vuttanayamevāti. Dasamaṃ.

    ทุกฺขวโคฺค ฉโฎฺฐฯ

    Dukkhavaggo chaṭṭho.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑๐. นิทานสุตฺตํ • 10. Nidānasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑๐. นิทานสุตฺตวณฺณนา • 10. Nidānasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact