Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā

    นิทานวณฺณนา

    Nidānavaṇṇanā

    ยํ ปเนตํ วุตฺตเญฺหตํ ภควตาติอาทิกํ นิทานํฯ เอกธมฺมํ, ภิกฺขเว, ปชหถาติอาทิกํ สุตฺตํฯ ตตฺถ วุตฺตํ ภควตาติอาทีนิ นามปทานิฯ อิตีติ นิปาตปทํฯ ปชหถาติ เอตฺถ ป-อิติ อุปสคฺคปทํ, ชหถา-ติ อาขฺยาตปทํฯ อิมินา นเยน สพฺพตฺถ ปทวิภาโค เวทิตโพฺพฯ

    Yaṃ panetaṃ vuttañhetaṃ bhagavatātiādikaṃ nidānaṃ. Ekadhammaṃ, bhikkhave, pajahathātiādikaṃ suttaṃ. Tattha vuttaṃ bhagavatātiādīni nāmapadāni. Itīti nipātapadaṃ. Pajahathāti ettha pa-iti upasaggapadaṃ, jahathā-ti ākhyātapadaṃ. Iminā nayena sabbattha padavibhāgo veditabbo.

    อตฺถโต ปน วุตฺตสโทฺท ตาว สอุปสโคฺค อนุปสโคฺค จ วปเน วาปสมกรเณ เกโสหารเณ ชีวิตวุตฺติยํ ปวุตฺตภาเว ปาวจนภาเวน ปวตฺติเต อเชฺฌสเน กถเนติ เอวมาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส –

    Atthato pana vuttasaddo tāva saupasaggo anupasaggo ca vapane vāpasamakaraṇe kesohāraṇe jīvitavuttiyaṃ pavuttabhāve pāvacanabhāvena pavattite ajjhesane kathaneti evamādīsu dissati. Tathā hesa –

    ‘‘คาโว ตสฺส ปชายนฺติ, เขเตฺต วุตฺตํ วิรูหติ;

    ‘‘Gāvo tassa pajāyanti, khette vuttaṃ virūhati;

    วุตฺตานํ ผลมสฺนาติ, โย มิตฺตานํ น ทุพฺภตี’’ติฯ –

    Vuttānaṃ phalamasnāti, yo mittānaṃ na dubbhatī’’ti. –

    อาทีสุ (ชา. ๒.๒๒.๑๙) วปเน อาคโตฯ ‘‘โน จ โข ปฎิวุตฺต’’นฺติอาทีสุ (ปารา. ๒๘๙) อฎฺฐทนฺตกาทีหิ วาปสมกรเณฯ ‘‘กาปฎิโก มาณโว ทหโร วุตฺตสิโร’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๔๒๖) เกโสหารเณฯ ‘‘ปนฺนโลโม ปรทตฺตวุโตฺต มิคภูเตน เจตสา วิหรตี’’ติอาทีสุ (จูฬว. ๓๓๒) ชีวิตวุตฺติยํฯ ‘‘เสยฺยถาปิ นาม ปณฺฑุปลาโส พนฺธนา ปวุโตฺต อภโพฺพ หริตตฺถายา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๙๒; ปาจิ. ๖๖๖; มหาว. ๑๒๙) พนฺธนโต ปวุตฺตภาเวฯ ‘‘เยสมิทํ เอตรหิ, พฺราหฺมณา, โปราณํ มนฺตปทํ คีตํ ปวุตฺตํ สมิหิต’’นฺติอาทีสุ ปาวจนภาเวน ปวตฺติเตฯ โลเก ปน – ‘‘วุโตฺต คโณ วุโตฺต ปารายโน’’ติอาทีสุ อเชฺฌเนฯ ‘‘วุตฺตํ โข ปเนตํ ภควตา ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว, ภวถ, มา อามิสทายาทา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๐) กถเนฯ อิธาปิ กถเน ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺมา วุตฺตํ กถิตํ ภาสิตนฺติ อโตฺถฯ

    Ādīsu (jā. 2.22.19) vapane āgato. ‘‘No ca kho paṭivutta’’ntiādīsu (pārā. 289) aṭṭhadantakādīhi vāpasamakaraṇe. ‘‘Kāpaṭiko māṇavo daharo vuttasiro’’tiādīsu (ma. ni. 2.426) kesohāraṇe. ‘‘Pannalomo paradattavutto migabhūtena cetasā viharatī’’tiādīsu (cūḷava. 332) jīvitavuttiyaṃ. ‘‘Seyyathāpi nāma paṇḍupalāso bandhanā pavutto abhabbo haritatthāyā’’tiādīsu (pārā. 92; pāci. 666; mahāva. 129) bandhanato pavuttabhāve. ‘‘Yesamidaṃ etarahi, brāhmaṇā, porāṇaṃ mantapadaṃ gītaṃ pavuttaṃ samihita’’ntiādīsu pāvacanabhāvena pavattite. Loke pana – ‘‘vutto gaṇo vutto pārāyano’’tiādīsu ajjhene. ‘‘Vuttaṃ kho panetaṃ bhagavatā dhammadāyādā me, bhikkhave, bhavatha, mā āmisadāyādā’’tiādīsu (ma. ni. 1.30) kathane. Idhāpi kathane daṭṭhabbo. Tasmā vuttaṃ kathitaṃ bhāsitanti attho.

    ทุติโย ปน วุตฺตสโทฺท วจเน จิณฺณภาเว จ เวทิตโพฺพฯ หิ-อิติ ชาตุ วิพฺยตฺตนฺติ เอตสฺมิํ อเตฺถ นิปาโตฯ โส อิทานิ วุจฺจมานสุตฺตสฺส ภควโต วิพฺยตฺตํ ภาสิตภาวํ โชเตติฯ วาจกสทฺทสนฺนิธาเน หิ ปยุตฺตา นิปาตาฯ เตหิ วตฺตพฺพมตฺถํ โชเตนฺติฯ เอตนฺติ อยํ เอตสโทฺท –

    Dutiyo pana vuttasaddo vacane ciṇṇabhāve ca veditabbo. Hi-iti jātu vibyattanti etasmiṃ atthe nipāto. So idāni vuccamānasuttassa bhagavato vibyattaṃ bhāsitabhāvaṃ joteti. Vācakasaddasannidhāne hi payuttā nipātā. Tehi vattabbamatthaṃ jotenti. Etanti ayaṃ etasaddo –

    ‘‘โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ, สงฺฆญฺจ สรณํ คโต;

    ‘‘Yo ca buddhañca dhammañca, saṅghañca saraṇaṃ gato;

    จตฺตาริ อริยสจฺจานิ, สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติฯ

    Cattāri ariyasaccāni, sammappaññāya passati.

    ‘‘ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ, ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ;

    ‘‘Dukkhaṃ dukkhasamuppādaṃ, dukkhassa ca atikkamaṃ;

    อริยญฺจฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ, ทุกฺขูปสมคามินํฯ

    Ariyañcaṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ, dukkhūpasamagāminaṃ.

    ‘‘เอตํ โข สรณํ เขมํ, เอตํ สรณมุตฺตมํ;

    ‘‘Etaṃ kho saraṇaṃ khemaṃ, etaṃ saraṇamuttamaṃ;

    เอตํ สรณมาคมฺม, สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๙๐-๑๙๒) –

    Etaṃ saraṇamāgamma, sabbadukkhā pamuccatī’’ti. (dha. pa. 190-192) –

    อาทีสุ ยถาวุเตฺต อาสนฺนปจฺจเกฺข อาคโตฯ ‘‘อปฺปมตฺตกํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, โอรมตฺตกํ สีลมตฺตกํ, เยน ปุถุชฺชโน ตถาคตสฺส วณฺณํ วทมาโน วเทยฺยา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๗) ปน วกฺขมาเน อาสนฺนปจฺจเกฺขฯ อิธาปิ วกฺขมาเนเยว ทฎฺฐโพฺพฯ สงฺคายนวเสน วกฺขมานญฺหิ สุตฺตํ ธมฺมภณฺฑาคาริเกน พุทฺธิยํ ฐเปตฺวา ตทา ‘‘เอต’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Ādīsu yathāvutte āsannapaccakkhe āgato. ‘‘Appamattakaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, oramattakaṃ sīlamattakaṃ, yena puthujjano tathāgatassa vaṇṇaṃ vadamāno vadeyyā’’tiādīsu (dī. ni. 1.7) pana vakkhamāne āsannapaccakkhe. Idhāpi vakkhamāneyeva daṭṭhabbo. Saṅgāyanavasena vakkhamānañhi suttaṃ dhammabhaṇḍāgārikena buddhiyaṃ ṭhapetvā tadā ‘‘eta’’nti vuttaṃ.

    ภควตาติ เอตฺถ ภควาติ ครุวจนํฯ ครุํ หิ โลเก ภควาติ วทนฺติฯ ตถาคโต จ สพฺพคุณวิสิฎฺฐตาย สตฺตานํ ครุ, ตสฺมา ภควาติ เวทิตโพฺพฯ โปราเณหิปิ วุตฺตํ –

    Bhagavatāti ettha bhagavāti garuvacanaṃ. Garuṃ hi loke bhagavāti vadanti. Tathāgato ca sabbaguṇavisiṭṭhatāya sattānaṃ garu, tasmā bhagavāti veditabbo. Porāṇehipi vuttaṃ –

    ‘‘ภควาติ วจนํ เสฎฺฐํ, ภควาติ วจนมุตฺตมํ;

    ‘‘Bhagavāti vacanaṃ seṭṭhaṃ, bhagavāti vacanamuttamaṃ;

    ครุ คารวยุโตฺต โส, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ

    Garu gāravayutto so, bhagavā tena vuccatī’’ti.

    เสฎฺฐวาจกญฺหิ วจนํ เสฎฺฐคุณสหจรณโต เสฎฺฐนฺติ วุตฺตํฯ อถ วา วุจฺจตีติ วจนํ, อโตฺถฯ ตสฺมา ภควาติ วจนํ เสฎฺฐนฺติ ภควาติ อิมินา วจเนน วจนีโย โย อโตฺถ, โส เสโฎฺฐติ อโตฺถฯ ภควาติ วจนมุตฺตมนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ คารวยุโตฺตติ ครุภาวยุโตฺต ครุคุณโยคโต, ครุกรณํ วา สาติสยํ อรหตีติ คารวยุโตฺต, คารวารโหติ อโตฺถฯ เอวํ คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมครุคารวาธิวจนเมตํ ยทิทํ ภควาติฯ อปิจ –

    Seṭṭhavācakañhi vacanaṃ seṭṭhaguṇasahacaraṇato seṭṭhanti vuttaṃ. Atha vā vuccatīti vacanaṃ, attho. Tasmā bhagavātivacanaṃ seṭṭhanti bhagavāti iminā vacanena vacanīyo yo attho, so seṭṭhoti attho. Bhagavāti vacanamuttamanti etthāpi eseva nayo. Gāravayuttoti garubhāvayutto garuguṇayogato, garukaraṇaṃ vā sātisayaṃ arahatīti gāravayutto, gāravārahoti attho. Evaṃ guṇavisiṭṭhasattuttamagarugāravādhivacanametaṃ yadidaṃ bhagavāti. Apica –

    ‘‘ภคี ภชี ภาคี วิภตฺตวา อิติ,

    ‘‘Bhagī bhajī bhāgī vibhattavā iti,

    อกาสิ ภคฺคนฺติ ครูติ ภาคฺยวา;

    Akāsi bhagganti garūti bhāgyavā;

    พหูหิ ญาเยหิ สุภาวิตตฺตโน,

    Bahūhi ñāyehi subhāvitattano,

    ภวนฺตโค โส ภควาติ วุจฺจตี’’ติฯ –

    Bhavantago so bhagavāti vuccatī’’ti. –

    นิเทฺทเส อาคตนเยน –

    Niddese āgatanayena –

    ‘‘ภาคฺยวา ภคฺควา ยุโตฺต, ภเคหิ จ วิภตฺตวา;

    ‘‘Bhāgyavā bhaggavā yutto, bhagehi ca vibhattavā;

    ภตฺตวา วนฺตคมโน, ภเวสุ ภควา ตโต’’ติฯ

    Bhattavā vantagamano, bhavesu bhagavā tato’’ti.

    อิมิสฺสา คาถาย จ วเสน ภควาติ ปทสฺส อโตฺถ วตฺตโพฺพฯ โส ปนายํ อโตฺถ สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค พุทฺธานุสฺสตินิเทฺทเส วุโตฺตติฯ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ

    Imissā gāthāya ca vasena bhagavāti padassa attho vattabbo. So panāyaṃ attho sabbākārena visuddhimagge buddhānussatiniddese vuttoti. Tattha vuttanayeneva veditabbo.

    อปโร นโย – ภาควาติ ภควา, ภตวาติ ภควา, ภาเค วนีติ ภควา, ภเค วนีติ ภควา, ภตฺตวาติ ภควา, ภเค วมีติ ภควา, ภาเค วมีติ ภควาฯ

    Aparo nayo – bhāgavāti bhagavā, bhatavāti bhagavā, bhāge vanīti bhagavā, bhage vanīti bhagavā, bhattavāti bhagavā, bhage vamīti bhagavā, bhāge vamīti bhagavā.

    ‘‘ภาควา ภตวา ภาเค, ภเค จ วนิ ภตฺตวา;

    ‘‘Bhāgavā bhatavā bhāge, bhage ca vani bhattavā;

    ภเค วมิ ตถา ภาเค, วมีติ ภควา ชิโน’’ฯ

    Bhage vami tathā bhāge, vamīti bhagavā jino’’.

    ตตฺถ กถํ ภาควาติ ภควา? เย เต สีลาทโย ธมฺมกฺขนฺธา คุณโกฎฺฐาสา, เต อนญฺญสาธารณา นิรติสยา ตถาคตสฺส อตฺถิ อุปลพฺภนฺติฯ ตถา หิสฺส สีลํ, สมาธิ, ปญฺญา, วิมุตฺติ, วิมุตฺติญาณทสฺสนํ, หิรี, โอตฺตปฺปํ, สทฺธา, วีริยํ, สติ, สมฺปชญฺญํ, สีลวิสุทฺธิ, จิตฺตวิสุทฺธิ, ทิฎฺฐิวิสุทฺธิ, สมโถ, วิปสฺสนา, ตีณิ กุสลมูลานิ, ตีณิ สุจริตานิ, ตโย สมฺมาวิตกฺกา, ติโสฺส อนวชฺชสญฺญา, ติโสฺส ธาตุโย, จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา, จตฺตาโร อริยมคฺคา, จตฺตาริ อริยผลานิ , จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา, จตุโยนิปริเจฺฉทกญาณานิ, จตฺตาโร อริยวํสา, จตฺตาริ เวสารชฺชญาณานิ, ปญฺจ ปธานิยงฺคานิ, ปญฺจงฺคิโก สมฺมาสมาธิ, ปญฺจญาณิโก สมฺมาสมาธิ, ปญฺจินฺทฺริยานิ, ปญฺจ พลานิ, ปญฺจ นิสฺสารณียา ธาตุโย, ปญฺจ วิมุตฺตายตนญาณานิ, ปญฺจ วิมุตฺติปริปาจนียา สญฺญา, ฉ อนุสฺสติฎฺฐานานิ, ฉ คารวา, ฉ นิสฺสารณียา ธาตุโย, ฉ สตตวิหารา, ฉ อนุตฺตริยานิ, ฉ นิเพฺพธภาคิยา สญฺญา, ฉ อภิญฺญา, ฉ อสาธารณญาณานิ, สตฺต อปริหานิยา ธมฺมา, สตฺต อริยธนานิ, สตฺต โพชฺฌงฺคา, สตฺต สปฺปุริสธมฺมา, สตฺต นิชฺชรวตฺถูนิ, สตฺต สญฺญา, สตฺต ทกฺขิเณยฺยปุคฺคลเทสนา, สตฺต ขีณาสวพลเทสนา, อฎฺฐ ปญฺญาปฎิลาภเหตุเทสนา, อฎฺฐสมฺมตฺตานิ, อฎฺฐ โลกธมฺมาติกฺกโม, อฎฺฐ อารมฺภวตฺถูนิ, อฎฺฐ อกฺขณเทสนา, อฎฺฐ มหาปุริสวิตกฺกา, อฎฺฐ อภิภายตนเทสนา, อฎฺฐ วิโมกฺขา, นว โยนิโสมนสิการมูลกา ธมฺมา, นว ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคานิ, นว สตฺตาวาสเทสนา, นว อาฆาตปฺปฎิวินยา, นว สญฺญา, นว นานตฺตา, นว อนุปุพฺพวิหารา, ทส นาถกรณา ธมฺมา, ทส กสิณายตนานิ, ทส กุสลกมฺมปถา, ทส สมฺมตฺตานิ, ทส อริยวาสา, ทส อเสกฺขา ธมฺมา, ทส ตถาคตพลานิ, เอกาทส เมตฺตานิสํสา, ทฺวาทส ธมฺมจกฺกาการา, เตรส ธุตคุณา, จุทฺทส พุทฺธญาณานิ, ปญฺจทส วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา, โสฬสวิธา อานาปานสฺสติ, โสฬส อปรนฺตปนียา ธมฺมา, อฎฺฐารส พุทฺธธมฺมา, เอกูนวีสติ ปจฺจเวกฺขณญาณานิ, จตุจตฺตาลีส ญาณวตฺถูนิ, ปญฺญาส อุทยพฺพยญาณานิ, ปโรปณฺณาส กุสลธมฺมา, สตฺตสตฺตติ ญาณวตฺถูนิ, จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสมาปตฺติสญฺจาริมหาวชิรญาณํ, อนนฺตนยสมนฺตปฎฺฐานปวิจยปจฺจเวกฺขณเทสนาญาณานิ, ตถา อนนฺตาสุ โลกธาตูสุ อนนฺตานํ สตฺตานํ อาสยาทิวิภาวนญาณานิ จาติ, เอวมาทโย อนนฺตา อปริมาณเภทา อนญฺญสาธารณา นิรติสยา คุณภาคา คุณโกฎฺฐาสา วิชฺชนฺติ อุปลพฺภนฺติฯ ตสฺมา ยถาวุตฺตวิภาคา คุณภาคา อสฺส อตฺถีติ ภาควาติ วตฺตเพฺพฯ อาการสฺส รสฺสตฺตํ กตฺวา ‘‘ภควา’’ติ วุโตฺตฯ เอวํ ตาว ภาควาติ ภควาฯ

    Tattha kathaṃ bhāgavāti bhagavā? Ye te sīlādayo dhammakkhandhā guṇakoṭṭhāsā, te anaññasādhāraṇā niratisayā tathāgatassa atthi upalabbhanti. Tathā hissa sīlaṃ, samādhi, paññā, vimutti, vimuttiñāṇadassanaṃ, hirī, ottappaṃ, saddhā, vīriyaṃ, sati, sampajaññaṃ, sīlavisuddhi, cittavisuddhi, diṭṭhivisuddhi, samatho, vipassanā, tīṇi kusalamūlāni, tīṇi sucaritāni, tayo sammāvitakkā, tisso anavajjasaññā, tisso dhātuyo, cattāro satipaṭṭhānā, cattāro sammappadhānā, cattāro iddhipādā, cattāro ariyamaggā, cattāri ariyaphalāni , catasso paṭisambhidā, catuyoniparicchedakañāṇāni, cattāro ariyavaṃsā, cattāri vesārajjañāṇāni, pañca padhāniyaṅgāni, pañcaṅgiko sammāsamādhi, pañcañāṇiko sammāsamādhi, pañcindriyāni, pañca balāni, pañca nissāraṇīyā dhātuyo, pañca vimuttāyatanañāṇāni, pañca vimuttiparipācanīyā saññā, cha anussatiṭṭhānāni, cha gāravā, cha nissāraṇīyā dhātuyo, cha satatavihārā, cha anuttariyāni, cha nibbedhabhāgiyā saññā, cha abhiññā, cha asādhāraṇañāṇāni, satta aparihāniyā dhammā, satta ariyadhanāni, satta bojjhaṅgā, satta sappurisadhammā, satta nijjaravatthūni, satta saññā, satta dakkhiṇeyyapuggaladesanā, satta khīṇāsavabaladesanā, aṭṭha paññāpaṭilābhahetudesanā, aṭṭhasammattāni, aṭṭha lokadhammātikkamo, aṭṭha ārambhavatthūni, aṭṭha akkhaṇadesanā, aṭṭha mahāpurisavitakkā, aṭṭha abhibhāyatanadesanā, aṭṭha vimokkhā, nava yonisomanasikāramūlakā dhammā, nava pārisuddhipadhāniyaṅgāni, nava sattāvāsadesanā, nava āghātappaṭivinayā, nava saññā, nava nānattā, nava anupubbavihārā, dasa nāthakaraṇā dhammā, dasa kasiṇāyatanāni, dasa kusalakammapathā, dasa sammattāni, dasa ariyavāsā, dasa asekkhā dhammā, dasa tathāgatabalāni, ekādasa mettānisaṃsā, dvādasa dhammacakkākārā, terasa dhutaguṇā, cuddasa buddhañāṇāni, pañcadasa vimuttiparipācanīyā dhammā, soḷasavidhā ānāpānassati, soḷasa aparantapanīyā dhammā, aṭṭhārasa buddhadhammā, ekūnavīsati paccavekkhaṇañāṇāni, catucattālīsa ñāṇavatthūni, paññāsa udayabbayañāṇāni, paropaṇṇāsa kusaladhammā, sattasattati ñāṇavatthūni, catuvīsatikoṭisatasahassasamāpattisañcārimahāvajirañāṇaṃ, anantanayasamantapaṭṭhānapavicayapaccavekkhaṇadesanāñāṇāni, tathā anantāsu lokadhātūsu anantānaṃ sattānaṃ āsayādivibhāvanañāṇāni cāti, evamādayo anantā aparimāṇabhedā anaññasādhāraṇā niratisayā guṇabhāgā guṇakoṭṭhāsā vijjanti upalabbhanti. Tasmā yathāvuttavibhāgā guṇabhāgā assa atthīti bhāgavāti vattabbe. Ākārassa rassattaṃ katvā ‘‘bhagavā’’ti vutto. Evaṃ tāva bhāgavāti bhagavā.

    ‘‘ยสฺมา สีลาทโย สเพฺพ, คุณภาคา อเสสโต;

    ‘‘Yasmā sīlādayo sabbe, guṇabhāgā asesato;

    วิชฺชนฺติ สุคเต ตสฺมา, ภควาติ ปวุจฺจติ’’ฯ

    Vijjanti sugate tasmā, bhagavāti pavuccati’’.

    กถํ ภตวาติ ภควา? เย เต สพฺพโลกหิตาย อุสฺสุกฺกมาปเนฺนหิ มนุสฺสตฺตาทิเก อฎฺฐ ธเมฺม สโมธาเนตฺวา สมฺมาสโมฺพธิยา กตมหาภินีหาเรหิ มหาโพธิสเตฺตหิ ปริปูเรตพฺพา ทานปารมี, สีลเนกฺขมฺมปญฺญาวีริยขนฺติสจฺจอธิฎฺฐานเมตฺตาอุเปกฺขาปารมีติ ทส ปารมิโย, ทส อุปปารมิโย, ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมติํส ปารมิโย, ทานาทีนิ จตฺตาริ สงฺคหวตฺถูนิ, จตฺตาริ อธิฎฺฐานานิ, อตฺตปริจฺจาโค, นยนธนรชฺชปุตฺตทารปริจฺจาโคติ ปญฺจ มหาปริจฺจาคา, ปุพฺพโยโค, ปุพฺพจริยา, ธมฺมกฺขานํ, โลกตฺถจริยา, ญาตตฺถจริยา, พุทฺธตฺถจริยาติ เอวมาทโย สเงฺขปโต วา ปุญฺญสมฺภารญาณสมฺภารา พุทฺธกรธมฺมา, เต มหาภินีหารโต ปฎฺฐาย กปฺปานํ สตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ยถา หานภาคิยา, สํกิเลสภาคิยา , ฐิติภาคิยา, วา น โหนฺติ; อถ โข อุตฺตรุตฺตริ วิเสสภาคิยาว โหนฺติ; เอวํ สกฺกจฺจํ นิรนฺตรํ อนวเสสโต ภตา สมฺภตา อสฺส อตฺถีติ ภตวาติ ภควา; นิรุตฺตินเยน ตการสฺส คการํ กตฺวาฯ อถ วา ภตวาติ เตเยว ยถาวุเตฺต พุทฺธกรธเมฺม วุตฺตนเยน ภริ สมฺภริ ปริปูเรสีติ อโตฺถฯ เอวมฺปิ ภตวาติ ภควาฯ

    Kathaṃ bhatavāti bhagavā? Ye te sabbalokahitāya ussukkamāpannehi manussattādike aṭṭha dhamme samodhānetvā sammāsambodhiyā katamahābhinīhārehi mahābodhisattehi paripūretabbā dānapāramī, sīlanekkhammapaññāvīriyakhantisaccaadhiṭṭhānamettāupekkhāpāramīti dasa pāramiyo, dasa upapāramiyo, dasa paramatthapāramiyoti samatiṃsa pāramiyo, dānādīni cattāri saṅgahavatthūni, cattāri adhiṭṭhānāni, attapariccāgo, nayanadhanarajjaputtadārapariccāgoti pañca mahāpariccāgā, pubbayogo, pubbacariyā, dhammakkhānaṃ, lokatthacariyā, ñātatthacariyā, buddhatthacariyāti evamādayo saṅkhepato vā puññasambhārañāṇasambhārā buddhakaradhammā, te mahābhinīhārato paṭṭhāya kappānaṃ satasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni yathā hānabhāgiyā, saṃkilesabhāgiyā , ṭhitibhāgiyā, vā na honti; atha kho uttaruttari visesabhāgiyāva honti; evaṃ sakkaccaṃ nirantaraṃ anavasesato bhatā sambhatā assa atthīti bhatavāti bhagavā; niruttinayena takārassa gakāraṃ katvā. Atha vā bhatavāti teyeva yathāvutte buddhakaradhamme vuttanayena bhari sambhari paripūresīti attho. Evampi bhatavāti bhagavā.

    ‘‘ยสฺมา สโมฺพธิยา สเพฺพ, ทานปารมิอาทิเก;

    ‘‘Yasmā sambodhiyā sabbe, dānapāramiādike;

    สมฺภาเร ภตวา นาโถ, ตสฺมาปิ ภควา มโต’’ฯ

    Sambhāre bhatavā nātho, tasmāpi bhagavā mato’’.

    กถํ ภาเค วนีติ ภควา? เย เต จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขา เทวสิกํ วฬญฺชนกสมาปตฺติภาคา, เต อนวเสสโต โลกหิตตฺถํ อตฺตโน ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถญฺจ นิจฺจกปฺปํ วนิ ภชิ เสวิ พหุลมกาสีติ ภาเค วนีติ ภควาฯ อถ วา อภิเญฺญเยฺยสุ ธเมฺมสุ กุสลาทีสุ ขนฺธาทีสุ จ เย เต ปริเญฺญยฺยาทิวเสน สเงฺขปโต วา จตุพฺพิธา อภิสมยภาคา, วิตฺถารโต ปน ‘‘จกฺขุ ปริเญฺญยฺยํ …เป.… ชรามรณํ ปริเญฺญยฺย’’นฺติอาทินา (ปฎิ. ม. ๑.๒๑) อเนเก ปริเญฺญยฺยภาคา, ‘‘จกฺขุสฺส สมุทโย ปหาตโพฺพ…เป.… ชรามรณสฺส สมุทโย ปหาตโพฺพ’’ติอาทินา ปหาตพฺพภาคา, ‘‘จกฺขุสฺส นิโรโธ สจฺฉิกาตโพฺพ…เป.… ชรามรณสฺส นิโรโธ สจฺฉิกาตโพฺพ’’ติอาทินา สจฺฉิกาตพฺพภาคา, ‘‘จกฺขุนิโรธคามินีปฎิปทา ภาเวตพฺพา…เป.… จตฺตาโร สติปฎฺฐานา ภาเวตพฺพา’’ติอาทินา จ อเนกเภทา ภาเวตพฺพภาคา จ ธมฺมา, เต สเพฺพ วนิ ภชิ ยถารหํ โคจรภาวนาเสวนานํ วเสน เสวิฯ เอวมฺปิ ภาเค วนีติ ภควาฯ อถ วา เย อิเม สีลาทโย ธมฺมกฺขนฺธา สาวเกหิ สาธารณา คุณโกฎฺฐาสา คุณภาคา, กินฺติ นุ โข เต เวเนยฺยสนฺตาเนสุ ปติฎฺฐเปยฺยนฺติ มหากรุณาย วนิ อภิปตฺถยิฯ สา จสฺส อภิปตฺถนา ยถาธิเปฺปตผลาวหา อโหสิฯ เอวมฺปิ ภาเค วนีติ ภควาฯ

    Kathaṃ bhāge vanīti bhagavā? Ye te catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhā devasikaṃ vaḷañjanakasamāpattibhāgā, te anavasesato lokahitatthaṃ attano diṭṭhadhammasukhavihāratthañca niccakappaṃ vani bhaji sevi bahulamakāsīti bhāge vanīti bhagavā. Atha vā abhiññeyyesu dhammesu kusalādīsu khandhādīsu ca ye te pariññeyyādivasena saṅkhepato vā catubbidhā abhisamayabhāgā, vitthārato pana ‘‘cakkhu pariññeyyaṃ …pe… jarāmaraṇaṃ pariññeyya’’ntiādinā (paṭi. ma. 1.21) aneke pariññeyyabhāgā, ‘‘cakkhussa samudayo pahātabbo…pe… jarāmaraṇassa samudayo pahātabbo’’tiādinā pahātabbabhāgā, ‘‘cakkhussa nirodho sacchikātabbo…pe… jarāmaraṇassa nirodho sacchikātabbo’’tiādinā sacchikātabbabhāgā, ‘‘cakkhunirodhagāminīpaṭipadā bhāvetabbā…pe… cattāro satipaṭṭhānā bhāvetabbā’’tiādinā ca anekabhedā bhāvetabbabhāgā ca dhammā, te sabbe vani bhaji yathārahaṃ gocarabhāvanāsevanānaṃ vasena sevi. Evampi bhāge vanīti bhagavā. Atha vā ye ime sīlādayo dhammakkhandhā sāvakehi sādhāraṇā guṇakoṭṭhāsā guṇabhāgā, kinti nu kho te veneyyasantānesu patiṭṭhapeyyanti mahākaruṇāya vani abhipatthayi. Sā cassa abhipatthanā yathādhippetaphalāvahā ahosi. Evampi bhāge vanīti bhagavā.

    ‘‘ยสฺมา เญยฺยสมาปตฺติ-คุณภาเค ตถาคโต;

    ‘‘Yasmā ñeyyasamāpatti-guṇabhāge tathāgato;

    ภชิ ปตฺถยิ สตฺตานํ, หิตาย ภควา ตโต’’ฯ

    Bhaji patthayi sattānaṃ, hitāya bhagavā tato’’.

    กถํ ภเค วนีติ ภควา? สมาสโต ตาว กตปุเญฺญหิ ปโยคสมฺปเนฺนหิ ยถาวิภวํ ภชียนฺตีติ ภคา, โลกิยโลกุตฺตรา สมฺปตฺติโยฯ ตตฺถ โลกิเย ตาว ตถาคโต สโมฺพธิโต ปุเพฺพ โพธิสตฺตภูโต ปรมุกฺกํสคเต วนิ ภชิ เสวิ, ยตฺถ ปติฎฺฐาย นิรวเสสโต พุทฺธกรธเมฺม สมนฺนาเนโนฺต พุทฺธธเมฺม ปริปาเจสิฯ พุทฺธภูโต ปน เต นิรวชฺชสุขูปสํหิเต อนญฺญสาธารเณ โลกุตฺตเรปิ วนิ ภชิ เสวิฯ วิตฺถารโต ปน ปเทสรชฺชอิสฺสริยจกฺกวตฺติสมฺปตฺติเทวรชฺชสมฺปตฺติอาทิวเสน ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺติญาณทสฺสนมคฺคภาวนาผล- สจฺฉิกิริยาทิอุตฺตริมนุสฺสธมฺมวเสน จ อเนกวิหิเต อนญฺญสาธารเณ ภเค วนิ ภชิ เสวิฯ เอวํ ภเค วนีติ ภควาฯ

    Kathaṃ bhage vanīti bhagavā? Samāsato tāva katapuññehi payogasampannehi yathāvibhavaṃ bhajīyantīti bhagā, lokiyalokuttarā sampattiyo. Tattha lokiye tāva tathāgato sambodhito pubbe bodhisattabhūto paramukkaṃsagate vani bhaji sevi, yattha patiṭṭhāya niravasesato buddhakaradhamme samannānento buddhadhamme paripācesi. Buddhabhūto pana te niravajjasukhūpasaṃhite anaññasādhāraṇe lokuttarepi vani bhaji sevi. Vitthārato pana padesarajjaissariyacakkavattisampattidevarajjasampattiādivasena jhānavimokkhasamādhisamāpattiñāṇadassanamaggabhāvanāphala- sacchikiriyādiuttarimanussadhammavasena ca anekavihite anaññasādhāraṇe bhage vani bhaji sevi. Evaṃ bhage vanīti bhagavā.

    ‘‘ยา ตา สมฺปตฺติโย โลเก, ยา จ โลกุตฺตรา ปุถู;

    ‘‘Yā tā sampattiyo loke, yā ca lokuttarā puthū;

    สพฺพา ตา ภชิ สมฺพุโทฺธ, ตสฺมาปิ ภควา มโต’’ฯ

    Sabbā tā bhaji sambuddho, tasmāpi bhagavā mato’’.

    กถํ ภตฺตวาติ ภควา? ภตฺตา ทฬฺหภตฺติกา อสฺส พหู อตฺถีติ ภควาฯ ตถาคโต หิ มหากรุณาสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิอปริมิตนิรุปมปฺปภาวคุณวิเสสสมงฺคิภาวโต สพฺพสตฺตุตฺตโม, สพฺพานตฺถปริหารปุพฺพงฺคมาย นิรวเสสหิตสุขวิธานตปฺปราย นิรติสยาย ปโยคสมฺปตฺติยา สเทวมนุสฺสาย ปชาย อจฺจนฺตูปการิตาย ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณอสีติอนุพฺยญฺชนพฺยามปฺปภาทิ- อนญฺญสาธารณคุณวิเสสปฎิมณฺฑิตรูปกายตาย, ยถาภุจฺจคุณาธิคเตน ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินยปฺปวเตฺตน โลกตฺตยพฺยาปินา สุวิปุเลน สุวิสุเทฺธน จ ถุติโฆเสน สมนฺนาคตตฺตา อุกฺกํสปารมิปฺปตฺตาสุ อปฺปิจฺฉตาสนฺตุฎฺฐิตาทีสุ สุปฺปติฎฺฐิตภาวโต ทสพลจตุเวสารชฺชาทินิรติสยคุณวิเสสสมงฺคิภาวโต จ รูปปฺปมาโณ รูปปฺปสโนฺน, โฆสปฺปมาโณ โฆสปฺปสโนฺน, ลูขปฺปมาโณ ลูขปฺปสโนฺน, ธมฺมปฺปมาโณ ธมฺมปฺปสโนฺนติ เอวํ จตุปฺปมาณิเก โลกสนฺนิวาเส สพฺพถาปิ ปสาทาวหภาเวน สมนฺตปาสาทิกตฺตา อปริมาณานํ สตฺตานํ สเทวมนุสฺสานํ อาทรพหุมานคารวายตนตาย ปรมเปมสมฺภตฺติฎฺฐานํฯ เย จ ตสฺส โอวาเท ปติฎฺฐิตา อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคตา โหนฺติ, เกนจิ อสํหาริยา เตสํ สมฺภตฺติ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วาฯ ตถา หิ เต อตฺตโน ชีวิตปริจฺจาเคปิ ตตฺถ ปสาทํ น ปริจฺจชนฺติ, ตสฺส วา อาณํ ทฬฺหภตฺติภาวโตฯ เตเนวาห –

    Kathaṃ bhattavāti bhagavā? Bhattā daḷhabhattikā assa bahū atthīti bhagavā. Tathāgato hi mahākaruṇāsabbaññutaññāṇādiaparimitanirupamappabhāvaguṇavisesasamaṅgibhāvato sabbasattuttamo, sabbānatthaparihārapubbaṅgamāya niravasesahitasukhavidhānatapparāya niratisayāya payogasampattiyā sadevamanussāya pajāya accantūpakāritāya dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇaasītianubyañjanabyāmappabhādi- anaññasādhāraṇaguṇavisesapaṭimaṇḍitarūpakāyatāya, yathābhuccaguṇādhigatena ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinayappavattena lokattayabyāpinā suvipulena suvisuddhena ca thutighosena samannāgatattā ukkaṃsapāramippattāsu appicchatāsantuṭṭhitādīsu suppatiṭṭhitabhāvato dasabalacatuvesārajjādiniratisayaguṇavisesasamaṅgibhāvato ca rūpappamāṇo rūpappasanno, ghosappamāṇo ghosappasanno, lūkhappamāṇo lūkhappasanno, dhammappamāṇo dhammappasannoti evaṃ catuppamāṇike lokasannivāse sabbathāpi pasādāvahabhāvena samantapāsādikattā aparimāṇānaṃ sattānaṃ sadevamanussānaṃ ādarabahumānagāravāyatanatāya paramapemasambhattiṭṭhānaṃ. Ye ca tassa ovāde patiṭṭhitā aveccappasādena samannāgatā honti, kenaci asaṃhāriyā tesaṃ sambhatti samaṇena vā brāhmaṇena vā devena vā mārena vā brahmunā vā. Tathā hi te attano jīvitapariccāgepi tattha pasādaṃ na pariccajanti, tassa vā āṇaṃ daḷhabhattibhāvato. Tenevāha –

    ‘‘โย เว กตญฺญู กตเวทิ ธีโร;

    ‘‘Yo ve kataññū katavedi dhīro;

    กลฺยาณมิโตฺต ทฬฺหภตฺติ จ โหตี’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๗๘);

    Kalyāṇamitto daḷhabhatti ca hotī’’ti. (jā. 2.17.78);

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มหาสมุโทฺท ฐิตธโมฺม เวลํ นาติวตฺตติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยํ มยา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตํ มม สาวกา ชีวิตเหตุปิ นาติกฺกมนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๘.๒๐; อุทา. ๔๕; จูฬว. ๓๘๕) จฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, mahāsamuddo ṭhitadhammo velaṃ nātivattati; evameva kho, bhikkhave, yaṃ mayā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ, taṃ mama sāvakā jīvitahetupi nātikkamantī’’ti (a. ni. 8.20; udā. 45; cūḷava. 385) ca.

    เอวํ ภตฺตวาติ ภควา นิรุตฺตินเยน เอกสฺส ตการสฺส โลปํ กตฺวา อิตรสฺส คการํ กตฺวาฯ

    Evaṃ bhattavāti bhagavā niruttinayena ekassa takārassa lopaṃ katvā itarassa gakāraṃ katvā.

    ‘‘คุณาติสยยุตฺตสฺส, ยสฺมา โลกหิเตสิโน;

    ‘‘Guṇātisayayuttassa, yasmā lokahitesino;

    สมฺภตฺตา พหโว สตฺถุ, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ

    Sambhattā bahavo satthu, bhagavā tena vuccatī’’ti.

    กถํ ภเค วมีติ ภควา? ยสฺมา ตถาคโต โพธิสตฺตภูโตปิ ปุริมาสุ ชาตีสุ ปารมิโย ปูเรโนฺต ภคสงฺขาตํ สิริํ อิสฺสริยํ ยสญฺจ วมิ อุคฺคิริ เขฬปิณฺฑํ วิย อนเปโกฺข ฉฑฺฑยิฯ ตถา หิสฺส โสมนสฺสกุมารกาเล, หตฺถิปาลกุมารกาเล, อโยฆรปณฺฑิตกาเล, มูคปกฺขปณฺฑิตกาเล, จูฬสุตโสมกาเลติ เอวมาทีสุ เนกฺขมฺมปารมิปูรณวเสน เทวรชฺชสทิสาย รชฺชสิริยา ปริจฺจตฺตตฺตภาวานํ ปริมาณํ นตฺถิฯ จริมตฺตภาเวปิ หตฺถคตํ จกฺกวตฺติสิริํ เทวโลกาธิปจฺจสทิสํ จตุทฺทีปิสฺสริยํ จกฺกวตฺติสมฺปตฺติสนฺนิสฺสยํ สตฺตรตนสมุชฺชลํ ยสญฺจ ติณายปิ อมญฺญมาโน นิรเปโกฺข ปหาย อภินิกฺขมิตฺวา สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธฯ ตสฺมา อิเม สิริอาทิเก ภเค วมีติ ภควาฯ อถ วา ภานิ นาม นกฺขตฺตานิ, เตหิ สมํ คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺตีติ ภคา , สิเนรุยุคนฺธรอุตฺตรกุรุหิมวนฺตาทิภาชนโลกวิเสสสนฺนิสฺสยา โสภา กปฺปฎฺฐิติยภาวโตฯ เตปิ ภควา วมิ ตํนิวาสิสตฺตาวาสสมติกฺกมนโตตปฺปฎิพทฺธฉนฺทราคปฺปหาเนน ปชหีติฯ เอวมฺปิ ภเค วมีติ ภควาฯ

    Kathaṃ bhage vamīti bhagavā? Yasmā tathāgato bodhisattabhūtopi purimāsu jātīsu pāramiyo pūrento bhagasaṅkhātaṃ siriṃ issariyaṃ yasañca vami uggiri kheḷapiṇḍaṃ viya anapekkho chaḍḍayi. Tathā hissa somanassakumārakāle, hatthipālakumārakāle, ayogharapaṇḍitakāle, mūgapakkhapaṇḍitakāle, cūḷasutasomakāleti evamādīsu nekkhammapāramipūraṇavasena devarajjasadisāya rajjasiriyā pariccattattabhāvānaṃ parimāṇaṃ natthi. Carimattabhāvepi hatthagataṃ cakkavattisiriṃ devalokādhipaccasadisaṃ catuddīpissariyaṃ cakkavattisampattisannissayaṃ sattaratanasamujjalaṃ yasañca tiṇāyapi amaññamāno nirapekkho pahāya abhinikkhamitvā sammāsambodhiṃ abhisambuddho. Tasmā ime siriādike bhage vamīti bhagavā. Atha vā bhāni nāma nakkhattāni, tehi samaṃ gacchanti pavattantīti bhagā , sineruyugandharauttarakuruhimavantādibhājanalokavisesasannissayā sobhā kappaṭṭhitiyabhāvato. Tepi bhagavā vami taṃnivāsisattāvāsasamatikkamanatotappaṭibaddhachandarāgappahānena pajahīti. Evampi bhage vamīti bhagavā.

    ‘‘จกฺกวตฺติสิริํ ยสฺมา, ยสํ อิสฺสริยํ สุขํ;

    ‘‘Cakkavattisiriṃ yasmā, yasaṃ issariyaṃ sukhaṃ;

    ปหาสิ โลกจิตฺตญฺจ, สุคโต ภควา ตโต’’ฯ

    Pahāsi lokacittañca, sugato bhagavā tato’’.

    กถํ ภาเค วมีติ ภควา? ภาคา นาม โกฎฺฐาสาฯ เต ขนฺธายตนธาตาทิวเสน, ตตฺถาปิ รูปเวทนาทิวเสน, อตีตาทิวเสน จ อเนกวิธาฯ เต จ ภควา สพฺพํ ปปญฺจํ, สพฺพํ โยคํ, สพฺพํ คนฺถํ, สพฺพํ สํโยชนํ, สมุจฺฉินฺทิตฺวา อมตธาตุํ สมธิคจฺฉโนฺต วมิ อุคฺคิริ อนเปโกฺข ฉฑฺฑยิ, น ปจฺจาคมิฯ ตถา เหส สพฺพตฺถกเมว ปถวิํ, อาปํ, เตชํ, วายํ, จกฺขุํ, โสตํ, ฆานํ, ชีวฺหํ, กายํ, มนํ, รูเป, สเทฺท, คเนฺธ, รเส, โผฎฺฐเพฺพ, ธเมฺม, จกฺขุวิญฺญาณํ…เป.… มโนวิญฺญาณํ, จกฺขุสมฺผสฺสํ …เป.… มโนสมฺผสฺสํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ เวทนํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ เวทนํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ สญฺญํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ สญฺญํ; จกฺขุสมฺผสฺสชํ เจตนํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ เจตนํ; รูปตณฺหํ …เป.… ธมฺมตณฺหํ; รูปวิตกฺกํ…เป.… ธมฺมวิตกฺกํ; รูปวิจารํ…เป.… ธมฺมวิจารนฺติอาทินา อนุปทธมฺมวิภาควเสนปิ สเพฺพว ธมฺมโกฎฺฐาเส อนวเสสโต วมิ อุคฺคิริ อนเปกฺขปริจฺจาเคน ฉฑฺฑยิฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Kathaṃ bhāge vamīti bhagavā? Bhāgā nāma koṭṭhāsā. Te khandhāyatanadhātādivasena, tatthāpi rūpavedanādivasena, atītādivasena ca anekavidhā. Te ca bhagavā sabbaṃ papañcaṃ, sabbaṃ yogaṃ, sabbaṃ ganthaṃ, sabbaṃ saṃyojanaṃ, samucchinditvā amatadhātuṃ samadhigacchanto vami uggiri anapekkho chaḍḍayi, na paccāgami. Tathā hesa sabbatthakameva pathaviṃ, āpaṃ, tejaṃ, vāyaṃ, cakkhuṃ, sotaṃ, ghānaṃ, jīvhaṃ, kāyaṃ, manaṃ, rūpe, sadde, gandhe, rase, phoṭṭhabbe, dhamme, cakkhuviññāṇaṃ…pe… manoviññāṇaṃ, cakkhusamphassaṃ …pe… manosamphassaṃ, cakkhusamphassajaṃ vedanaṃ…pe… manosamphassajaṃ vedanaṃ, cakkhusamphassajaṃ saññaṃ…pe… manosamphassajaṃ saññaṃ; cakkhusamphassajaṃ cetanaṃ…pe… manosamphassajaṃ cetanaṃ; rūpataṇhaṃ …pe… dhammataṇhaṃ; rūpavitakkaṃ…pe… dhammavitakkaṃ; rūpavicāraṃ…pe… dhammavicārantiādinā anupadadhammavibhāgavasenapi sabbeva dhammakoṭṭhāse anavasesato vami uggiri anapekkhapariccāgena chaḍḍayi. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ยํ ตํ, อานนฺท, จตฺตํ วนฺตํ มุตฺตํ ปหีนํ ปฎินิสฺสฎฺฐํ, ตํ ตถาคโต ปุน ปจฺจาคมิสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๑๘๓) –

    ‘‘Yaṃ taṃ, ānanda, cattaṃ vantaṃ muttaṃ pahīnaṃ paṭinissaṭṭhaṃ, taṃ tathāgato puna paccāgamissatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti. (Dī. ni. 2.183) –

    เอวมฺปิ ภาเค วมีติ ภควาฯ อถ วา ภาเค วมีติ สเพฺพปิ กุสลากุสเล สาวชฺชานวเชฺช หีนปฺปณีเต กณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาเค ธเมฺม อริยมคฺคญาณมุเขน วมิ อุคฺคิริ อนเปโกฺข ปริจฺจชิ ปชหิ, ปเรสญฺจ ตถตฺตาย ธมฺมํ เทเสสิฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Evampi bhāge vamīti bhagavā. Atha vā bhāge vamīti sabbepi kusalākusale sāvajjānavajje hīnappaṇīte kaṇhasukkasappaṭibhāge dhamme ariyamaggañāṇamukhena vami uggiri anapekkho pariccaji pajahi, paresañca tathattāya dhammaṃ desesi. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ธมฺมาปิ โว, ภิกฺขเว, ปหาตพฺพา ปเคว อธมฺมา, กุลฺลูปมํ, โว ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสสฺสามิ, นิตฺถรณตฺถาย โน คหณตฺถายา’’ติอาทิฯ (ม. นิ. ๑.๒๔๐) –

    ‘‘Dhammāpi vo, bhikkhave, pahātabbā pageva adhammā, kullūpamaṃ, vo bhikkhave, dhammaṃ desessāmi, nittharaṇatthāya no gahaṇatthāyā’’tiādi. (Ma. ni. 1.240) –

    เอวมฺปิ ภาเค วมีติ ภควาฯ

    Evampi bhāge vamīti bhagavā.

    ‘‘ขนฺธายตนธาตาทิ-ธมฺมเภทา มเหสินา;

    ‘‘Khandhāyatanadhātādi-dhammabhedā mahesinā;

    กณฺหสุกฺกา ยโต วนฺตา, ตโตปิ ภควา มโต’’ฯ

    Kaṇhasukkā yato vantā, tatopi bhagavā mato’’.

    เตน วุตฺตํ –

    Tena vuttaṃ –

    ‘‘ภาควา ภตวา ภาเค, ภเค จ วนิ ภตฺตวา;

    ‘‘Bhāgavā bhatavā bhāge, bhage ca vani bhattavā;

    ภเค วมิ ตถา ภาเค, วมีติ ภควา ชิโน’’ติฯ

    Bhage vami tathā bhāge, vamīti bhagavā jino’’ti.

    เตน ภควตาฯ อรหตาติ กิเลเสหิ อารกตฺตา, อนวเสสานํ วา กิเลสารีนํ หตตฺตา, สํสารจกฺกสฺส วา อรานํ หตตฺตา, ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตา, ปาปกรเณ รหาภาวาติ อิเมหิ การเณหิ อรหตาฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ

    Tena bhagavatā. Arahatāti kilesehi ārakattā, anavasesānaṃ vā kilesārīnaṃ hatattā, saṃsāracakkassa vā arānaṃ hatattā, paccayādīnaṃ arahattā, pāpakaraṇe rahābhāvāti imehi kāraṇehi arahatā. Ayamettha saṅkhepo. Vitthāro pana visuddhimagge vuttanayena veditabbo.

    เอตฺถ จ ภควตาติ อิมินาสฺส ภาคฺยวนฺตตาทีปเนน กปฺปานํ อเนเกสุ อสเงฺขฺยเยฺยสุ อุปจิตปุญฺญสมฺภารภาวโต สตปุญฺญลกฺขณธรสฺส ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณอสีติอนุพฺยญฺชน- พฺยามปฺปภาเกตุมาลาทิปฎิมณฺฑิตา อนญฺญสาธารณา รูปกายสมฺปตฺติทีปิตา โหติฯ อรหตาติ อิมินาสฺส อนวเสสกิเลสปฺปหานทีปเนน อาสวกฺขยปทฎฺฐานสพฺพญฺญุตญฺญาณาธิคมปริทีปนโต ทสพลจตุเวสารชฺชฉอสาธารณญาณอฎฺฐารสาเวณิกพุทฺธธมฺมาทิ- อจิเนฺตยฺยาปริเมยฺยธมฺมกายสมฺปตฺติ ทีปิตา โหติฯ ตทุภเยนปิ โลกิยสริกฺขกานํ พหุมตภาโว, คหฎฺฐปพฺพชิเตหิ อภิคมนียตา, ตถา อภิคตานญฺจ เตสํ กายิกเจตสิกทุกฺขาปนยเน ปฎิพลภาโว, อามิสทานธมฺมทาเนหิ อุปการิตา, โลกิยโลกุตฺตเรหิ คุเณหิ สํโยชนสมตฺถตา จ ปกาสิตา โหติฯ

    Ettha ca bhagavatāti imināssa bhāgyavantatādīpanena kappānaṃ anekesu asaṅkhyeyyesu upacitapuññasambhārabhāvato satapuññalakkhaṇadharassa dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇaasītianubyañjana- byāmappabhāketumālādipaṭimaṇḍitā anaññasādhāraṇā rūpakāyasampattidīpitā hoti. Arahatāti imināssa anavasesakilesappahānadīpanena āsavakkhayapadaṭṭhānasabbaññutaññāṇādhigamaparidīpanato dasabalacatuvesārajjachaasādhāraṇañāṇaaṭṭhārasāveṇikabuddhadhammādi- acinteyyāparimeyyadhammakāyasampatti dīpitā hoti. Tadubhayenapi lokiyasarikkhakānaṃ bahumatabhāvo, gahaṭṭhapabbajitehi abhigamanīyatā, tathā abhigatānañca tesaṃ kāyikacetasikadukkhāpanayane paṭibalabhāvo, āmisadānadhammadānehi upakāritā, lokiyalokuttarehi guṇehi saṃyojanasamatthatā ca pakāsitā hoti.

    ตถา ภควตาติ อิมินา จรณธเมฺมสุ มุทฺธภูตทิพฺพวิหาราทิวิหารวิเสสสมาโยคปริทีปเนน จรณสมฺปทา ทีปิตา โหติฯ อรหตาติ อิมินา สพฺพวิชฺชาสุ สิขาปฺปตฺตอาสวกฺขยญาณาธิคมปริทีปเนน วิชฺชาสมฺปทา ทีปิตา โหติฯ ปุริเมน วา อนฺตรายิกนิยฺยานิกธมฺมานํ อวิปรีตวิภตฺตภาวทีปเนน ปจฺฉิมเวสารชฺชทฺวยสมาโยโค, ปจฺฉิเมน สวาสนนิรวเสสกิเลสปฺปหานทีปเนน ปุริมเวสารชฺชทฺวยสมาโยโค วิภาวิโต โหติฯ

    Tathā bhagavatāti iminā caraṇadhammesu muddhabhūtadibbavihārādivihāravisesasamāyogaparidīpanena caraṇasampadā dīpitā hoti. Arahatāti iminā sabbavijjāsu sikhāppattaāsavakkhayañāṇādhigamaparidīpanena vijjāsampadā dīpitā hoti. Purimena vā antarāyikaniyyānikadhammānaṃ aviparītavibhattabhāvadīpanena pacchimavesārajjadvayasamāyogo, pacchimena savāsananiravasesakilesappahānadīpanena purimavesārajjadvayasamāyogo vibhāvito hoti.

    ตถา ปุริเมน ตถาคตสฺส ปฎิญฺญาสจฺจวจีสจฺจญาณสจฺจปริทีปเนน, กามคุณโลกิยาธิปจฺจยสลาภสกฺการาทิปริจฺจาคปริทีปเนน, อนวเสสกิเลสาภิสงฺขารปริจฺจาคปริทีปเนน, จ สจฺจาธิฎฺฐานจาคาธิฎฺฐานปาริปูริ ปกาสิตา โหติ; ทุติเยน สพฺพสงฺขารูปสมสมธิคมปริทีปเนน, สมฺมาสโมฺพธิปริทีปเนน จ, อุปสมาธิฎฺฐานปญฺญาธิฎฺฐานปาริปูริ ปกาสิตา โหติฯ ตถา หิ ภควโต โพธิสตฺตภูตสฺส โลกุตฺตรคุเณ กตาภินีหารสฺส มหากรุณาโยเคน ยถาปฎิญฺญํ สพฺพปารมิตานุฎฺฐาเนน สจฺจาธิฎฺฐานํ, ปารมิตาปฎิปกฺขปริจฺจาเคน จาคาธิฎฺฐานํ, ปารมิตาคุเณหิ จิตฺตวูปสเมน อุปสมาธิฎฺฐานํ, ปารมิตาหิ เอว ปรหิตูปายโกสลฺลโต ปญฺญาธิฎฺฐานํ ปาริปูริคตํฯ

    Tathā purimena tathāgatassa paṭiññāsaccavacīsaccañāṇasaccaparidīpanena, kāmaguṇalokiyādhipaccayasalābhasakkārādipariccāgaparidīpanena, anavasesakilesābhisaṅkhārapariccāgaparidīpanena, ca saccādhiṭṭhānacāgādhiṭṭhānapāripūri pakāsitā hoti; dutiyena sabbasaṅkhārūpasamasamadhigamaparidīpanena, sammāsambodhiparidīpanena ca, upasamādhiṭṭhānapaññādhiṭṭhānapāripūri pakāsitā hoti. Tathā hi bhagavato bodhisattabhūtassa lokuttaraguṇe katābhinīhārassa mahākaruṇāyogena yathāpaṭiññaṃ sabbapāramitānuṭṭhānena saccādhiṭṭhānaṃ, pāramitāpaṭipakkhapariccāgena cāgādhiṭṭhānaṃ, pāramitāguṇehi cittavūpasamena upasamādhiṭṭhānaṃ, pāramitāhi eva parahitūpāyakosallato paññādhiṭṭhānaṃ pāripūrigataṃ.

    ตถา ‘ยาจกชนํ อวิสํวาเทตฺวา ทสฺสามี’ติ ปฎิชานเนน ปฎิญฺญํ อวิสํวาเทตฺวา ทาเนน จ สจฺจาธิฎฺฐานํ, เทยฺยปริจฺจาคโต จาคาธิฎฺฐานํ, เทยฺยปฎิคฺคาหกทานเทยฺยปริกฺขเยสุ โลภโทสโมหภยวูปสเมน อุปสมาธิฎฺฐานํ, ยถารหํ ยถากาลํ ยถาวิธิ จ ทาเนน ปญฺญุตฺตรตาย จ ปญฺญาธิฎฺฐานํ ปาริปูริคตํฯ อิมินา นเยน เสสปารมีสุปิ จตุราธิฎฺฐานปาริปูริ เวทิตพฺพาฯ สพฺพา หิ ปารมิโย สจฺจปฺปภาวิตา จาคาภิพฺยญฺชิตา อุปสมานุพฺรูหิตา ปญฺญาปริสุทฺธาติ เอวํ จตุราธิฎฺฐานสมุทาคตสฺส ตถาคตสฺส สจฺจาธิฎฺฐานํ สจฺจาธิฎฺฐานสมุทาคเมน สีลวิสุทฺธิ, จาคาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อาชีววิสุทฺธิ, อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคเมน จิตฺตวิสุทฺธิ, ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคเมน ทิฎฺฐิวิสุทฺธิฯ ตถา สจฺจาธิฎฺฐานสมุทาคเมนสฺส สํวาเสน สีลํ เวทิตพฺพํ, จาคาธิฎฺฐานสมุทาคเมน สํโวหาเรน โสเจยฺยํ เวทิตพฺพํ, อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อาปทาสุ ถาโม เวทิตโพฺพ, ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคเมน สากจฺฉาย ปญฺญา เวทิตพฺพาฯ

    Tathā ‘yācakajanaṃ avisaṃvādetvā dassāmī’ti paṭijānanena paṭiññaṃ avisaṃvādetvā dānena ca saccādhiṭṭhānaṃ, deyyapariccāgato cāgādhiṭṭhānaṃ, deyyapaṭiggāhakadānadeyyaparikkhayesu lobhadosamohabhayavūpasamena upasamādhiṭṭhānaṃ, yathārahaṃ yathākālaṃ yathāvidhi ca dānena paññuttaratāya ca paññādhiṭṭhānaṃ pāripūrigataṃ. Iminā nayena sesapāramīsupi caturādhiṭṭhānapāripūri veditabbā. Sabbā hi pāramiyo saccappabhāvitā cāgābhibyañjitā upasamānubrūhitā paññāparisuddhāti evaṃ caturādhiṭṭhānasamudāgatassa tathāgatassa saccādhiṭṭhānaṃ saccādhiṭṭhānasamudāgamena sīlavisuddhi, cāgādhiṭṭhānasamudāgamena ājīvavisuddhi, upasamādhiṭṭhānasamudāgamena cittavisuddhi, paññādhiṭṭhānasamudāgamena diṭṭhivisuddhi. Tathā saccādhiṭṭhānasamudāgamenassa saṃvāsena sīlaṃ veditabbaṃ, cāgādhiṭṭhānasamudāgamena saṃvohārena soceyyaṃ veditabbaṃ, upasamādhiṭṭhānasamudāgamena āpadāsu thāmo veditabbo, paññādhiṭṭhānasamudāgamena sākacchāya paññā veditabbā.

    ตถา สจฺจาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อทุโฎฺฐ อธิวาเสติ, จาคาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อลุโทฺธ ปฎิเสวติ, อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อภีโต ปริวเชฺชติ, ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อมูโฬฺห วิโนเทติฯ ตถา สจฺจาธิฎฺฐานสมุทาคเมน จสฺส เนกฺขมฺมสุขปฺปตฺติ, จาคาธิฎฺฐานสมุทาคเมน ปวิเวกสุขปฺปตฺติ, อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อุปสมสุขปฺปตฺติ, ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคเมน สโมฺพธิสุขปฺปตฺติ ทีปิตา โหติฯ สจฺจาธิฎฺฐานสมุทาคเมน วา วิเวกชปีติสุขปฺปตฺติ, จาคาธิฎฺฐานสมุทาคเมน สมาธิชปีติสุขปฺปตฺติ, อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อปีติชกายสุขปฺปตฺติ, ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคเมน สติปาริสุทฺธิชอุเปกฺขาสุขปฺปตฺติฯ ตถา สจฺจาธิฎฺฐานสมุทาคเมน ปริวารสมฺปตฺติลกฺขณปจฺจยสุขสมาโยโค ปริทีปิโต โหติ อวิสํวาทนโต, จาคาธิฎฺฐานสมุทาคเมน สนฺตุฎฺฐิลกฺขณสภาวสุขสมาโยโค อโลภภาวโต, อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคเมน กตปุญฺญตาลกฺขณเหตุสุขสมาโยโค กิเลเสหิ อนภิภูตภาวโต, ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคเมน วิมุตฺติสมฺปตฺติลกฺขณทุกฺขูปสมสุขสมาโยโค ปริทีปิโต โหติ, ญาณสมฺปตฺติยา นิพฺพานาธิคมนโตฯ

    Tathā saccādhiṭṭhānasamudāgamena aduṭṭho adhivāseti, cāgādhiṭṭhānasamudāgamena aluddho paṭisevati, upasamādhiṭṭhānasamudāgamena abhīto parivajjeti, paññādhiṭṭhānasamudāgamena amūḷho vinodeti. Tathā saccādhiṭṭhānasamudāgamena cassa nekkhammasukhappatti, cāgādhiṭṭhānasamudāgamena pavivekasukhappatti, upasamādhiṭṭhānasamudāgamena upasamasukhappatti, paññādhiṭṭhānasamudāgamena sambodhisukhappatti dīpitā hoti. Saccādhiṭṭhānasamudāgamena vā vivekajapītisukhappatti, cāgādhiṭṭhānasamudāgamena samādhijapītisukhappatti, upasamādhiṭṭhānasamudāgamena apītijakāyasukhappatti, paññādhiṭṭhānasamudāgamena satipārisuddhijaupekkhāsukhappatti. Tathā saccādhiṭṭhānasamudāgamena parivārasampattilakkhaṇapaccayasukhasamāyogo paridīpito hoti avisaṃvādanato, cāgādhiṭṭhānasamudāgamena santuṭṭhilakkhaṇasabhāvasukhasamāyogo alobhabhāvato, upasamādhiṭṭhānasamudāgamena katapuññatālakkhaṇahetusukhasamāyogo kilesehi anabhibhūtabhāvato, paññādhiṭṭhānasamudāgamena vimuttisampattilakkhaṇadukkhūpasamasukhasamāyogo paridīpito hoti, ñāṇasampattiyā nibbānādhigamanato.

    ตถา สจฺจาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อริยสฺส สีลกฺขนฺธสฺส อนุโพธปฺปฎิเวธสิทฺธิ, จาคาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อริยสฺส สมาธิกฺขนฺธสฺส, ปญฺญาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อริยสฺส ปญฺญากฺขนฺธสฺส, อุปสมาธิฎฺฐานสมุทาคเมน อริยสฺส วิมุตฺติกฺขนฺธสฺส อนุโพธปฺปฎิเวธสิทฺธิ ทีปิตา โหติฯ สจฺจาธิฎฺฐานปริปูรเณน จ ตปสิทฺธิ, จาคาธิฎฺฐานปริปูรเณน สพฺพนิสฺสคฺคสิทฺธิ, อุปสมาธิฎฺฐานปริปูรเณน อินฺทฺริยสํวรสิทฺธิ, ปญฺญาธิฎฺฐานปริปูรเณน พุทฺธิสิทฺธิ, เตน จ นิพฺพานสิทฺธิฯ ตถา สจฺจาธิฎฺฐานปริปูรเณน จตุอริยสจฺจาภิสมยปฺปฎิลาโภ, จาคาธิฎฺฐานปริปูรเณน จตุอริยวํสปฺปฎิลาโภ, ๐.อุปสมาธิฎฺฐานปริปูรเณน จตุอริยวิหารปฺปฎิลาโภ, ปญฺญาธิฎฺฐานปริปูรเณน จตุอริยโวหารปฺปฎิลาโภ ทีปิโต โหติฯ

    Tathā saccādhiṭṭhānasamudāgamena ariyassa sīlakkhandhassa anubodhappaṭivedhasiddhi, cāgādhiṭṭhānasamudāgamena ariyassa samādhikkhandhassa, paññādhiṭṭhānasamudāgamena ariyassa paññākkhandhassa, upasamādhiṭṭhānasamudāgamena ariyassa vimuttikkhandhassa anubodhappaṭivedhasiddhi dīpitā hoti. Saccādhiṭṭhānaparipūraṇena ca tapasiddhi, cāgādhiṭṭhānaparipūraṇena sabbanissaggasiddhi, upasamādhiṭṭhānaparipūraṇena indriyasaṃvarasiddhi, paññādhiṭṭhānaparipūraṇena buddhisiddhi, tena ca nibbānasiddhi. Tathā saccādhiṭṭhānaparipūraṇena catuariyasaccābhisamayappaṭilābho, cāgādhiṭṭhānaparipūraṇena catuariyavaṃsappaṭilābho, 0.upasamādhiṭṭhānaparipūraṇena catuariyavihārappaṭilābho, paññādhiṭṭhānaparipūraṇena catuariyavohārappaṭilābho dīpito hoti.

    อปโร นโย – ภควตาติ เอเตน สตฺตานํ โลกิยโลกุตฺตรสมฺปตฺติอภิกงฺขาทีปเนน ตถาคตสฺส มหากรุณา ปกาสิตา โหติฯ อรหตาติ เอเตน ปหานสมฺปตฺติทีปเนน ปหานปญฺญา ปกาสิตา โหติฯ ตตฺถ ปญฺญายสฺส ธมฺมรชฺชปตฺติ, กรุณาย ธมฺมสํวิภาโค; ปญฺญาย สํสารทุกฺขนิพฺพิทา, กรุณาย สํสารทุกฺขสหนํ; ปญฺญาย ปรทุกฺขปริชานนํ, กรุณาย ปรทุกฺขปฺปฎิการารโมฺภฯ ปญฺญาย ปรินิพฺพานาภิมุขภาโว , กรุณาย ตทธิคโม; ปญฺญาย สยํ ตรณํ, กรุณาย ปเรสํ ตารณํ; ปญฺญาย พุทฺธภาวสิทฺธิ, กรุณาย พุทฺธกิจฺจสิทฺธิฯ กรุณาย วา โพธิสตฺตภูมิยํ สํสาราภิมุขภาโว, ปญฺญาย ตตฺถ อนภิรติฯ ตถา กรุณาย ปเรสํ อวิหิํสนํ, ปญฺญาย สยํ ปเรหิ อภายนํ; กรุณาย ปรํ รกฺขโนฺต อตฺตานํ รกฺขติ, ปญฺญาย อตฺตานํ รกฺขโนฺต ปรํ รกฺขติฯ ตถา กรุณาย อปรนฺตโป, ปญฺญาย อนตฺตนฺตโปฯ เตน อตฺตหิตาย ปฎิปนฺนาทีสุ จตุตฺถปุคฺคลภาโว สิโทฺธ โหติ ฯ

    Aparo nayo – bhagavatāti etena sattānaṃ lokiyalokuttarasampattiabhikaṅkhādīpanena tathāgatassa mahākaruṇā pakāsitā hoti. Arahatāti etena pahānasampattidīpanena pahānapaññā pakāsitā hoti. Tattha paññāyassa dhammarajjapatti, karuṇāya dhammasaṃvibhāgo; paññāya saṃsāradukkhanibbidā, karuṇāya saṃsāradukkhasahanaṃ; paññāya paradukkhaparijānanaṃ, karuṇāya paradukkhappaṭikārārambho. Paññāya parinibbānābhimukhabhāvo , karuṇāya tadadhigamo; paññāya sayaṃ taraṇaṃ, karuṇāya paresaṃ tāraṇaṃ; paññāya buddhabhāvasiddhi, karuṇāya buddhakiccasiddhi. Karuṇāya vā bodhisattabhūmiyaṃ saṃsārābhimukhabhāvo, paññāya tattha anabhirati. Tathā karuṇāya paresaṃ avihiṃsanaṃ, paññāya sayaṃ parehi abhāyanaṃ; karuṇāya paraṃ rakkhanto attānaṃ rakkhati, paññāya attānaṃ rakkhanto paraṃ rakkhati. Tathā karuṇāya aparantapo, paññāya anattantapo. Tena attahitāya paṭipannādīsu catutthapuggalabhāvo siddho hoti .

    ตถา กรุณาย โลกนาถตา, ปญฺญาย อตฺตนาถตา; กรุณาย จสฺส นินฺนตาภาโว, ปญฺญาย อุนฺนตาภาโวฯ ตถา กรุณาย สพฺพสเตฺตสุ ชนิตานุคฺคโห, ปญฺญานุคตตฺตา น จ น สพฺพตฺถ วิรตฺตจิโตฺต; ปญฺญาย สพฺพธเมฺมสุ วิรตฺตจิโตฺต, กรุณานุคตตฺตา น จ น สพฺพสตฺตานุคฺคหาย ปวโตฺตฯ ยถา หิ กรุณา ตถาคตสฺส สิเนหโสกวิรหิตา, เอวํ ปญฺญา อหํการมมํการวินิมุตฺตาติ อญฺญมญฺญํ วิโสธิตา ปรมวิสุทฺธาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ตตฺถ ปญฺญาเขตฺตํ พลานิ, กรุณาเขตฺตํ เวสารชฺชานิฯ เตสุ พลสมาโยเคน ปเรหิ น อภิภุยฺยติ, เวสารชฺชสมาโยเคน ปเร อภิภวติฯ พเลหิ สตฺถุสมฺปทาสิทฺธิ, เวสารเชฺชหิ สาสนสมฺปทาสิทฺธิฯ ตถา พเลหิ พุทฺธรตนสิทฺธิ, เวสารเชฺชหิ ธมฺมรตนสิทฺธีติ อยเมตฺถ ‘‘ภควตา อรหตา’’ติ ปททฺวยสฺส อตฺถโยชนาย มุขมตฺตทสฺสนํฯ

    Tathā karuṇāya lokanāthatā, paññāya attanāthatā; karuṇāya cassa ninnatābhāvo, paññāya unnatābhāvo. Tathā karuṇāya sabbasattesu janitānuggaho, paññānugatattā na ca na sabbattha virattacitto; paññāya sabbadhammesu virattacitto, karuṇānugatattā na ca na sabbasattānuggahāya pavatto. Yathā hi karuṇā tathāgatassa sinehasokavirahitā, evaṃ paññā ahaṃkāramamaṃkāravinimuttāti aññamaññaṃ visodhitā paramavisuddhāti daṭṭhabbā. Tattha paññākhettaṃ balāni, karuṇākhettaṃ vesārajjāni. Tesu balasamāyogena parehi na abhibhuyyati, vesārajjasamāyogena pare abhibhavati. Balehi satthusampadāsiddhi, vesārajjehi sāsanasampadāsiddhi. Tathā balehi buddharatanasiddhi, vesārajjehi dhammaratanasiddhīti ayamettha ‘‘bhagavatā arahatā’’ti padadvayassa atthayojanāya mukhamattadassanaṃ.

    กสฺมา ปเนตฺถ ‘‘วุตฺตเญฺหตํ ภควตา’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํ? อนุสฺสวปฎิเกฺขเปน นิยมทสฺสนตฺถํฯ ยถา หิ เกนจิ ปรโต สุตฺวา วุตฺตํ ยทิปิ จ ชานเนฺตน วุตฺตํ, น เตเนว วุตฺตํ ปเรนปิ วุตฺตตฺตาฯ น จ ตํ เตน วุตฺตเมว, อปิจ โข สุตมฺปิ, น เอวมิธฯ ภควตา หิ ปรโต อสุตฺวา สยมฺภุญาเณน อตฺตนา อธิคตเมว วุตฺตนฺติ อิมสฺส วิเสสสฺส ทสฺสนตฺถํ ทฺวิกฺขตฺตุํ ‘‘วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘วุตฺตเญฺหตํ ภควตา’’ ตญฺจ โข ภควตาว วุตฺตํ, น อเญฺญน, วุตฺตเมว จ, น สุตนฺติฯ อธิกวจนญฺหิ อญฺญมตฺถํ โพเธตีติ น ปุนรุตฺติโทโสฯ เอส นโย อิโต ปเรสุปิฯ

    Kasmā panettha ‘‘vuttañhetaṃ bhagavatā’’ti vatvā puna ‘‘vutta’’nti vuttaṃ? Anussavapaṭikkhepena niyamadassanatthaṃ. Yathā hi kenaci parato sutvā vuttaṃ yadipi ca jānantena vuttaṃ, na teneva vuttaṃ parenapi vuttattā. Na ca taṃ tena vuttameva, apica kho sutampi, na evamidha. Bhagavatā hi parato asutvā sayambhuñāṇena attanā adhigatameva vuttanti imassa visesassa dassanatthaṃ dvikkhattuṃ ‘‘vutta’’nti vuttaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘vuttañhetaṃ bhagavatā’’ tañca kho bhagavatāva vuttaṃ, na aññena, vuttameva ca, na sutanti. Adhikavacanañhi aññamatthaṃ bodhetīti na punaruttidoso. Esa nayo ito paresupi.

    ตถา ปุพฺพรจนาภาวทสฺสนตฺถํ ทฺวิกฺขตฺตุํ ‘‘วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ ภควา หิ สมฺมาสมฺพุทฺธตาย ฐานุปฺปตฺติกปฺปฎิภาเนน สมฺปตฺตปริสาย อชฺฌาสยานุรูปํ ธมฺมํ เทเสติ, น ตสฺส การณา ทานาทีนํ วิย ปุพฺพรจนากิจฺจํ อตฺถิฯ เตเนตํ ทเสฺสติ – ‘‘วุตฺตเญฺหตํ ภควตา, ตญฺจ โข น ปุพฺพรจนาวเสน ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ, อปิจ โข เวเนยฺยชฺฌาสยานุรูปํ ฐานโส วุตฺตเมวา’’ติฯ

    Tathā pubbaracanābhāvadassanatthaṃ dvikkhattuṃ ‘‘vutta’’nti vuttaṃ. Bhagavā hi sammāsambuddhatāya ṭhānuppattikappaṭibhānena sampattaparisāya ajjhāsayānurūpaṃ dhammaṃ deseti, na tassa kāraṇā dānādīnaṃ viya pubbaracanākiccaṃ atthi. Tenetaṃ dasseti – ‘‘vuttañhetaṃ bhagavatā, tañca kho na pubbaracanāvasena takkapariyāhataṃ vīmaṃsānucaritaṃ, apica kho veneyyajjhāsayānurūpaṃ ṭhānaso vuttamevā’’ti.

    อปฺปฎิวตฺติยวจนภาวทสฺสนตฺถํ วา ทฺวิกฺขตฺตุํ ‘‘วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ ยญฺหิ ภควตา วุตฺตํ, วุตฺตเมว ตํ, น เกนจิ ปฎิกฺขิปิตุํ สกฺกา อกฺขรสมฺปตฺติยา อตฺถสมฺปตฺติยา จฯ วุตฺตํ เหตํ –

    Appaṭivattiyavacanabhāvadassanatthaṃ vā dvikkhattuṃ ‘‘vutta’’nti vuttaṃ. Yañhi bhagavatā vuttaṃ, vuttameva taṃ, na kenaci paṭikkhipituṃ sakkā akkharasampattiyā atthasampattiyā ca. Vuttaṃ hetaṃ –

    ‘‘เอตํ ภควตา พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ อปฺปฎิวตฺติยํ เกนจิ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๗)ฯ

    ‘‘Etaṃ bhagavatā bārāṇasiyaṃ isipatane migadāye anuttaraṃ dhammacakkaṃ pavattitaṃ appaṭivattiyaṃ kenaci samaṇena vā brāhmaṇena vā’’tiādi (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 17).

    อปรมฺปิ วุตฺตํ –

    Aparampi vuttaṃ –

    ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, อาคเจฺฉยฺย สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ‘น ยิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ, ยํ สมเณน โคตเมน ปญฺญตฺตํ, อหมิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ฐเปตฺวา อญฺญํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปญฺญาเปสฺสามี’ติ, เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติอาทิฯ –

    ‘‘Idha, bhikkhave, āgaccheyya samaṇo vā brāhmaṇo vā ‘na yidaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ, yaṃ samaṇena gotamena paññattaṃ, ahamidaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ ṭhapetvā aññaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ paññāpessāmī’ti, netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’tiādi. –

    ตสฺมา อปฺปฎิวตฺติยวจนภาวทสฺสนตฺถมฺปิ ทฺวิกฺขตฺตุํ ‘‘วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Tasmā appaṭivattiyavacanabhāvadassanatthampi dvikkhattuṃ ‘‘vutta’’nti vuttaṃ.

    อถ วา โสตูนํ อตฺถนิปฺผาทกภาวทสฺสนตฺถํ ทฺวิกฺขตฺตุํ ‘‘วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ ยญฺหิ ปเรสํ อาสยาทิํ อชานเนฺตน อสพฺพญฺญุนา อเทเส อกาเล วา วุตฺตํ, ตํ สจฺจมฺปิ สมานํ โสตูนํ อตฺถนิปฺผาทเน อสมตฺถตาย อวุตฺตํ นาม สิยา, ปเคว อสจฺจํฯ ภควตา ปน สมฺมาสมฺพุทฺธภาวโต สมฺมเทว ปเรสํ อาสยาทิํ เทสกาลํ อตฺถสิทฺธิญฺจ ชานเนฺตน วุตฺตํ เอกเนฺตน โสตูนํ ยถาธิเปฺปตตฺถนิปฺผาทนโต วุตฺตเมว, นตฺถิ ตสฺส อวุตฺตตาปริยาโยฯ ตสฺมา โสตูนํ อตฺถนิปฺผาทกภาวทสฺสนตฺถมฺปิ ทฺวิกฺขตฺตุํ ‘‘วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ อปิจ ยถา น ตํ สุตํ นาม, ยํ น วิญฺญาตตฺถํ ยญฺจ น ตถตฺตาย ปฎิปนฺนํ, เอวํ น ตํ วุตฺตํ นาม, ยํ น สมฺมา ปฎิคฺคหิตํฯ ภควโต ปน วจนํ จตโสฺสปิ ปริสา สมฺมเทว ปฎิคฺคเหตฺวา ตถตฺตาย ปฎิปชฺชนฺติฯ ตสฺมา สมฺมเทว ปฎิคฺคหิตภาวทสฺสนตฺถมฺปิ ทฺวิกฺขตฺตุํ ‘‘วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Atha vā sotūnaṃ atthanipphādakabhāvadassanatthaṃ dvikkhattuṃ ‘‘vutta’’nti vuttaṃ. Yañhi paresaṃ āsayādiṃ ajānantena asabbaññunā adese akāle vā vuttaṃ, taṃ saccampi samānaṃ sotūnaṃ atthanipphādane asamatthatāya avuttaṃ nāma siyā, pageva asaccaṃ. Bhagavatā pana sammāsambuddhabhāvato sammadeva paresaṃ āsayādiṃ desakālaṃ atthasiddhiñca jānantena vuttaṃ ekantena sotūnaṃ yathādhippetatthanipphādanato vuttameva, natthi tassa avuttatāpariyāyo. Tasmā sotūnaṃ atthanipphādakabhāvadassanatthampi dvikkhattuṃ ‘‘vutta’’nti vuttaṃ. Apica yathā na taṃ sutaṃ nāma, yaṃ na viññātatthaṃ yañca na tathattāya paṭipannaṃ, evaṃ na taṃ vuttaṃ nāma, yaṃ na sammā paṭiggahitaṃ. Bhagavato pana vacanaṃ catassopi parisā sammadeva paṭiggahetvā tathattāya paṭipajjanti. Tasmā sammadeva paṭiggahitabhāvadassanatthampi dvikkhattuṃ ‘‘vutta’’nti vuttaṃ.

    อถ วา อริเยหิ อวิรุทฺธวจนภาวทสฺสนตฺถํ ทฺวิกฺขตฺตุํ ‘‘วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ ยถา หิ ภควา กุสลากุสลสาวชฺชานวชฺชเภเท ธเมฺม ปวตฺตินิวตฺติโย สมฺมุติปรมเตฺถ จ อวิสํวาเทโนฺต วทติ, เอวํ ธมฺมเสนาปติปฺปภุตโย อริยาปิ ภควติ ธรมาเน ปรินิพฺพุเต จ ตเสฺสว เทสนํ อนุคนฺตฺวา วทนฺติ, น ตตฺถ นานาวาทตาฯ ตสฺมา วุตฺตมรหตา ตโต ปรภาเค อรหตา อริยสเงฺฆนาปีติ เอวํ อริเยหิ อวิรุทฺธวจนภาวทสฺสนตฺถมฺปิ เอวํ วุตฺตํฯ

    Atha vā ariyehi aviruddhavacanabhāvadassanatthaṃ dvikkhattuṃ ‘‘vutta’’nti vuttaṃ. Yathā hi bhagavā kusalākusalasāvajjānavajjabhede dhamme pavattinivattiyo sammutiparamatthe ca avisaṃvādento vadati, evaṃ dhammasenāpatippabhutayo ariyāpi bhagavati dharamāne parinibbute ca tasseva desanaṃ anugantvā vadanti, na tattha nānāvādatā. Tasmā vuttamarahatā tato parabhāge arahatā ariyasaṅghenāpīti evaṃ ariyehi aviruddhavacanabhāvadassanatthampi evaṃ vuttaṃ.

    อถ วา ปุริเมหิ สมฺมาสมฺพุเทฺธหิ วุตฺตนยภาวทสฺสนตฺถํ ทฺวิกฺขตฺตุํ ‘‘วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ สติปิ หิ ชาติโคตฺตายุปฺปมาณาทิวิเสเส ทสพลาทิคุเณหิ วิย ธมฺมเทสนาย พุทฺธานํ วิเสโส นตฺถิ, อญฺญมญฺญํ อตฺตนา จ เต ปุเพฺพนาปรํ อวิรุทฺธเมว วทนฺติฯ ตสฺมา วุตฺตเญฺหตํ ยถา พุเทฺธหิ อตฺตนา จ ปุเพฺพ, อิทานิปิ อมฺหากํ ภควตา ตเถว วุตฺตํ อรหตาติ เอวํ ปุริมพุเทฺธหิ อตฺตนา จ สุตฺตนฺตเรสุ วุตฺตนยภาวทสฺสนตฺถมฺปิ ทฺวิกฺขตฺตุํ ‘‘วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ เตน พุทฺธานํ เทสนาย สพฺพตฺถ อวิโรโธ ทีปิโต โหติฯ

    Atha vā purimehi sammāsambuddhehi vuttanayabhāvadassanatthaṃ dvikkhattuṃ ‘‘vutta’’nti vuttaṃ. Satipi hi jātigottāyuppamāṇādivisese dasabalādiguṇehi viya dhammadesanāya buddhānaṃ viseso natthi, aññamaññaṃ attanā ca te pubbenāparaṃ aviruddhameva vadanti. Tasmā vuttañhetaṃ yathā buddhehi attanā ca pubbe, idānipi amhākaṃ bhagavatā tatheva vuttaṃ arahatāti evaṃ purimabuddhehi attanā ca suttantaresu vuttanayabhāvadassanatthampi dvikkhattuṃ ‘‘vutta’’nti vuttaṃ. Tena buddhānaṃ desanāya sabbattha avirodho dīpito hoti.

    อถ วา ‘‘วุตฺต’’นฺติ ยเทตํ ทุติยํ ปทํ, ตํ อรหนฺตวุตฺตภาววจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – วุตฺตเญฺหตํ ภควตา อรหตาปิ วุตฺตํ – ‘‘เอกธมฺมํ, ภิกฺขเว’’ติอาทิกํ อิทานิ วุจฺจมานํ วจนนฺติฯ อถ วา ‘‘วุตฺต’’นฺติ ยเทตํ ทุติยํ ปทํ, ตํ น วจนตฺถํ, อถ โข วปนตฺถํ ทฎฺฐพฺพํฯ เตเนตํ ทเสฺสติ – ‘‘วุตฺตเญฺหตํ ภควตา, ตญฺจ โข น วุตฺตมตฺตํ, น กถิตมตฺตํ; อถ โข เวเนยฺยานํ กุสลมูลํ วปิต’’นฺติ อโตฺถฯ อถ วา ยเทตํ วุตฺตนฺติ ทุติยํ ปทํ, ตํ วตฺตนตฺถํฯ อยํ หิสฺส อโตฺถ – วุตฺตเญฺหตํ ภควตา อรหตา, ตญฺจ โข น วุตฺตมตฺตํ, อปิจ ตทตฺถชาตํ วุตฺตํ จริตนฺติฯ เตน ‘‘ยถา วาที ภควา ตถา การี’’ติ ทเสฺสติฯ อถ วา วุตฺตํ ภควตา, วุตฺตวจนํ อรหตา วตฺตุํ ยุเตฺตนาติ อโตฺถฯ

    Atha vā ‘‘vutta’’nti yadetaṃ dutiyaṃ padaṃ, taṃ arahantavuttabhāvavacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – vuttañhetaṃ bhagavatā arahatāpi vuttaṃ – ‘‘ekadhammaṃ, bhikkhave’’tiādikaṃ idāni vuccamānaṃ vacananti. Atha vā ‘‘vutta’’nti yadetaṃ dutiyaṃ padaṃ, taṃ na vacanatthaṃ, atha kho vapanatthaṃ daṭṭhabbaṃ. Tenetaṃ dasseti – ‘‘vuttañhetaṃ bhagavatā, tañca kho na vuttamattaṃ, na kathitamattaṃ; atha kho veneyyānaṃ kusalamūlaṃ vapita’’nti attho. Atha vā yadetaṃ vuttanti dutiyaṃ padaṃ, taṃ vattanatthaṃ. Ayaṃ hissa attho – vuttañhetaṃ bhagavatā arahatā, tañca kho na vuttamattaṃ, apica tadatthajātaṃ vuttaṃ caritanti. Tena ‘‘yathā vādī bhagavā tathā kārī’’ti dasseti. Atha vā vuttaṃ bhagavatā, vuttavacanaṃ arahatā vattuṃ yuttenāti attho.

    อถ วา ‘‘วุตฺต’’นฺติ สเงฺขปกถาอุทฺทิสนํ สนฺธายาห, ปุน ‘‘วุตฺต’’นฺติ วิตฺถารกถานิทสฺสนํฯ ภควา หิ สเงฺขปโต วิตฺถารโต จ ธมฺมํ เทเสติฯ อถ วา ภควโต ทุรุตฺตวจนาภาวทสฺสนตฺถํ ‘‘วุตฺตเญฺหตํ ภควตา’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ สพฺพทา ญาณานุคตวจีกมฺมตาย หิ ภควโต สวาสนปหีนสพฺพโทสสฺส อกฺขลิตพฺยปฺปถสฺส กทาจิปิ ทุรุตฺตํ นาม นตฺถิฯ ยถา เกจิ โลเก สติสโมฺมเสน วา ทวา วา รวา วา กิญฺจิ วตฺวา อถ ปฎิลทฺธสญฺญา ปุเพฺพ วุตฺตํ อวุตฺตํ วา กโรนฺติ ปฎิสงฺขโรนฺติ วา, น เอวํ ภควาฯ ภควา ปน นิจฺจกาลํ สมาหิโตฯ อสโมฺมสธโมฺม อสโมฺมหธโมฺม จ สพฺพญฺญุตญฺญาณสมุปพฺยูฬฺหาย ปฎิภานปฎิสมฺภิทาย อุปนีตมตฺถํ อปริมิตกาลํ สมฺภตปุญฺญสมฺภารสมุทาคเตหิ อนญฺญสาธารเณหิ วิสทวิสุเทฺธหิ กรณวิเสเสหิ โสตายตนรสายนภูตํ สุณนฺตานํ อมตวสฺสํ วสฺสโนฺต วิย โสตพฺพสารํ สวนานุตฺตริยํ จตุสจฺจํ ปกาเสโนฺต กรวีกรุตมญฺชุนา สเรน สภาวนิรุตฺติยา เวเนยฺยชฺฌาสยานุรูปํ วจนํ วทติ, นตฺถิ ตตฺถ วาลคฺคมตฺตมฺปิ อวกฺขลิตํ, กุโต ปน ทุรุตฺตาวกาโสฯ ตสฺมา ‘‘ยํ ภควตา วุตฺตํ, ตํ วุตฺตเมว, น อวุตฺตํ ทุรุตฺตํ วา กทาจิ โหตี’’ติ ทสฺสนตฺถํ – ‘‘วุตฺตเญฺหตํ ภควตา’’ติ วตฺวา ปุน – ‘‘วุตฺตมรหตา’’ติ วุตฺตนฺติ น เอตฺถ ปุนรุตฺติโทโสติฯ เอวเมตฺถ ปุนรุตฺตสทฺทสฺส สาตฺถกตา เวทิตพฺพาฯ

    Atha vā ‘‘vutta’’nti saṅkhepakathāuddisanaṃ sandhāyāha, puna ‘‘vutta’’nti vitthārakathānidassanaṃ. Bhagavā hi saṅkhepato vitthārato ca dhammaṃ deseti. Atha vā bhagavato duruttavacanābhāvadassanatthaṃ ‘‘vuttañhetaṃ bhagavatā’’ti vatvā puna ‘‘vutta’’nti vuttaṃ. Sabbadā ñāṇānugatavacīkammatāya hi bhagavato savāsanapahīnasabbadosassa akkhalitabyappathassa kadācipi duruttaṃ nāma natthi. Yathā keci loke satisammosena vā davā vā ravā vā kiñci vatvā atha paṭiladdhasaññā pubbe vuttaṃ avuttaṃ vā karonti paṭisaṅkharonti vā, na evaṃ bhagavā. Bhagavā pana niccakālaṃ samāhito. Asammosadhammo asammohadhammo ca sabbaññutaññāṇasamupabyūḷhāya paṭibhānapaṭisambhidāya upanītamatthaṃ aparimitakālaṃ sambhatapuññasambhārasamudāgatehi anaññasādhāraṇehi visadavisuddhehi karaṇavisesehi sotāyatanarasāyanabhūtaṃ suṇantānaṃ amatavassaṃ vassanto viya sotabbasāraṃ savanānuttariyaṃ catusaccaṃ pakāsento karavīkarutamañjunā sarena sabhāvaniruttiyā veneyyajjhāsayānurūpaṃ vacanaṃ vadati, natthi tattha vālaggamattampi avakkhalitaṃ, kuto pana duruttāvakāso. Tasmā ‘‘yaṃ bhagavatā vuttaṃ, taṃ vuttameva, na avuttaṃ duruttaṃ vā kadāci hotī’’ti dassanatthaṃ – ‘‘vuttañhetaṃ bhagavatā’’ti vatvā puna – ‘‘vuttamarahatā’’ti vuttanti na ettha punaruttidosoti. Evamettha punaruttasaddassa sātthakatā veditabbā.

    อิติ เม สุตนฺติ เอตฺถ อิตีติ อยํ อิติสโทฺท เหตุปริสมาปนาทิปทตฺถวิปริยายปการนิทสฺสนาวธารณาทิอเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถา เหส – ‘‘รุปฺปตีติ โข, ภิกฺขเว, ตสฺมา รูปนฺติ วุจฺจตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๗๙) เหตุอเตฺถ ทิสฺสติฯ ‘‘ตสฺมาติห เม, ภิกฺขเว, ธมฺมทายาทา ภวถ, มา อามิสทายาทาฯ อตฺถิ เม ตุเมฺหสุ อนุกมฺปา – กินฺติ เม สาวกา ธมฺมทายาทา ภเวยฺยุํ, โน อามิสทายาทา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๐) ปริสมาปเนฯ ‘‘อิติ วา อิติ เอวรูปา วิสูกทสฺสนา ปฎิวิรโต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๑๐) อาทิอเตฺถฯ ‘‘มาคณฺฑิโยติ วา ตสฺส พฺราหฺมณสฺส สงฺขา สมญฺญา ปญฺญตฺติ โวหาโร นามํ นามกมฺมํ นามเธยฺยํ นิรุตฺติ พฺยญฺชนํ อภิลาโป’’ติอาทีสุ (มหานิ. ๗๕) ปทตฺถวิปริยาเยฯ ‘‘อิติ โข, ภิกฺขเว, สปฺปฎิภโย พาโล, อปฺปฎิภโย ปณฺฑิโต; สอุปทฺทโว พาโล, อนุปทฺทโว ปณฺฑิโต; สอุปสโคฺค พาโล , อนุปสโคฺค ปณฺฑิโต’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๑) ปกาเรฯ ‘‘สพฺพมตฺถีติ โข, กจฺจาน, อยเมโก อโนฺต, สพฺพํ นตฺถีติ โข, กจฺจาน, อยํ ทุติโย อโนฺต’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๑๕) นิทสฺสเน ฯ ‘‘อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา ชรามรณนฺติ อิติ ปุเฎฺฐน สตา, อานนฺท, อตฺถีติสฺส วจนียํฯ กิํปจฺจยา ชรามรณนฺติ อิติ เจ วเทยฺย, ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺติ อิจฺจสฺส วจนีย’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๙๖) อวธารเณ, สนฺนิฎฺฐาเนติ อโตฺถฯ สฺวายมิธ ปการนิทสฺสนาวธารเณสุ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Iti me sutanti ettha itīti ayaṃ itisaddo hetuparisamāpanādipadatthavipariyāyapakāranidassanāvadhāraṇādianekatthappabhedo. Tathā hesa – ‘‘ruppatīti kho, bhikkhave, tasmā rūpanti vuccatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.79) hetuatthe dissati. ‘‘Tasmātiha me, bhikkhave, dhammadāyādā bhavatha, mā āmisadāyādā. Atthi me tumhesu anukampā – kinti me sāvakā dhammadāyādā bhaveyyuṃ, no āmisadāyādā’’tiādīsu (ma. ni. 1.30) parisamāpane. ‘‘Iti vā iti evarūpā visūkadassanā paṭivirato’’tiādīsu (dī. ni. 1.10) ādiatthe. ‘‘Māgaṇḍiyoti vā tassa brāhmaṇassa saṅkhā samaññā paññatti vohāro nāmaṃ nāmakammaṃ nāmadheyyaṃ nirutti byañjanaṃ abhilāpo’’tiādīsu (mahāni. 75) padatthavipariyāye. ‘‘Iti kho, bhikkhave, sappaṭibhayo bālo, appaṭibhayo paṇḍito; saupaddavo bālo, anupaddavo paṇḍito; saupasaggo bālo , anupasaggo paṇḍito’’tiādīsu (a. ni. 3.1) pakāre. ‘‘Sabbamatthīti kho, kaccāna, ayameko anto, sabbaṃ natthīti kho, kaccāna, ayaṃ dutiyo anto’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.15) nidassane . ‘‘Atthi idappaccayā jarāmaraṇanti iti puṭṭhena satā, ānanda, atthītissa vacanīyaṃ. Kiṃpaccayā jarāmaraṇanti iti ce vadeyya, jātipaccayā jarāmaraṇanti iccassa vacanīya’’ntiādīsu (dī. ni. 2.96) avadhāraṇe, sanniṭṭhāneti attho. Svāyamidha pakāranidassanāvadhāraṇesu daṭṭhabbo.

    ตตฺถ ปการเตฺถน อิติสเทฺทน เอตมตฺถํ ทีเปติ – นานานยนิปุณมเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ วิวิธปาฎิหาริยํ ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธคมฺภีรํ สพฺพสตฺตานํ สกสกภาสานุรูปโต โสตปถมาคจฺฉนฺตํ ตสฺส ภควโต วจนํ สพฺพปฺปกาเรน โก สมโตฺถ วิญฺญาตุํ, สพฺพถาเมน ปน โสตุกามตํ ชเนตฺวาปิ อิติ เม สุตํ, มยาปิ เอเกน ปกาเรน สุตนฺติฯ

    Tattha pakāratthena itisaddena etamatthaṃ dīpeti – nānānayanipuṇamanekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ atthabyañjanasampannaṃ vividhapāṭihāriyaṃ dhammatthadesanāpaṭivedhagambhīraṃ sabbasattānaṃ sakasakabhāsānurūpato sotapathamāgacchantaṃ tassa bhagavato vacanaṃ sabbappakārena ko samattho viññātuṃ, sabbathāmena pana sotukāmataṃ janetvāpi iti me sutaṃ, mayāpi ekena pakārena sutanti.

    เอตฺถ จ เอกตฺตนานตฺตอพฺยาปารเอวํธมฺมตาสงฺขาตา นนฺทิยาวตฺตติปุกฺขลสีหวิกฺกีฬิตทิสาโลจนองฺกุสสงฺขาตา จ วิสยาทิเภเทน นานาวิธา นยา นานานยาฯ นยา วา ปาฬิคติโย, ตา จ ปญฺญตฺติอนุปญฺญตฺติอาทิวเสน สํกิเลสภาคิยาทิโลกิยาทิตทุภยโวมิสฺสตาทิวเสน, กุสลาทิวเสน, ขนฺธาทิวเสน, สงฺคหาทิวเสน, สมยวิมุตฺตาทิวเสน, ฐปนาทิวเสน, กุสลมูลาทิวเสน, ติกปฎฺฐานาทิวเสน จ นานปฺปการาติ นานานยาฯ เตหิ นิปุณํ สณฺหํ สุขุมนฺติ นานานยนิปุณํ

    Ettha ca ekattanānattaabyāpāraevaṃdhammatāsaṅkhātā nandiyāvattatipukkhalasīhavikkīḷitadisālocanaaṅkusasaṅkhātā ca visayādibhedena nānāvidhā nayā nānānayā. Nayā vā pāḷigatiyo, tā ca paññattianupaññattiādivasena saṃkilesabhāgiyādilokiyāditadubhayavomissatādivasena, kusalādivasena, khandhādivasena, saṅgahādivasena, samayavimuttādivasena, ṭhapanādivasena, kusalamūlādivasena, tikapaṭṭhānādivasena ca nānappakārāti nānānayā. Tehi nipuṇaṃ saṇhaṃ sukhumanti nānānayanipuṇaṃ.

    อาสโยว อชฺฌาสโย, โส จ สสฺสตาทิเภเทน อปฺปรชกฺขตาทิเภเทน จ อเนกวิโธฯ อตฺตชฺฌาสยาทิโก เอว วา อเนโก อชฺฌาสโย อเนกชฺฌาสโยฯ โส สมุฎฺฐานํ อุปฺปตฺติเหตุ เอตสฺสาติ อเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํ

    Āsayova ajjhāsayo, so ca sassatādibhedena apparajakkhatādibhedena ca anekavidho. Attajjhāsayādiko eva vā aneko ajjhāsayo anekajjhāsayo. So samuṭṭhānaṃ uppattihetu etassāti anekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ.

    กุสลาทิอตฺถสมฺปตฺติยา ตพฺพิภาวนพฺยญฺชนสมฺปตฺติยา สงฺกาสนปกาสนวิวรณวิภชนอุตฺตานีกรณปญฺญตฺติวเสน ฉหิ อตฺถปเทหิ อกฺขรปทพฺยญฺชนาการนิรุตฺตินิเทฺทสวเสน ฉหิ พฺยญฺชนปเทหิ จ สมนฺนาคตตฺตา อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ

    Kusalādiatthasampattiyā tabbibhāvanabyañjanasampattiyā saṅkāsanapakāsanavivaraṇavibhajanauttānīkaraṇapaññattivasena chahi atthapadehi akkharapadabyañjanākāraniruttiniddesavasena chahi byañjanapadehi ca samannāgatattā atthabyañjanasampannaṃ.

    อิทฺธิอาเทสนานุสาสนีเภเทน เตสุ จ เอเกกสฺส วิสยาทิเภเทน วิวิธํ พหุวิธํ วา ปาฎิหาริยํ เอตสฺสาติ วิวิธปาฎิหาริยํฯ ตตฺถ ปฎิปกฺขหรณโต ราคาทิกิเลสาปนยนโต ปฎิหาริยนฺติ อเตฺถ สติ ภควโต ปฎิปกฺขา ราคาทโย น สนฺติ เย หริตพฺพา, ปุถุชฺชนานมฺปิ วิคตูปกฺกิเลเส อฎฺฐคุณสมนฺนาคเต จิเตฺต หตปฎิปเกฺข อิทฺธิวิธํ ปวตฺตติฯ ตสฺมา ตตฺถ ปวตฺตโวหาเรน จ น สกฺกา อิธ ปาฎิหาริยนฺติ วตฺตุํฯ ยสฺมฺมาอา ปน มหาการุณิกสฺส ภควโต เวเนยฺยคตา จ กิเลสา ปฎิปกฺขา, ตสฺมา เตสํ หรณโต ปาฎิหาริยํฯ อถ วา ภควโต สาสนสฺส จ ปฎิปกฺขา ติตฺถิยา, เตสํ หรณโต ปาฎิหาริยํฯ เต หิ ทิฎฺฐิหรณวเสน ทิฎฺฐิปฺปกาสเน อสมตฺถภาเวน จ อิทฺธิอาเทสนานุสาสนีหิ หริตา อปนีตา โหนฺติฯ ปฎีติ วา ปจฺฉาติ อโตฺถฯ ตสฺมา สมาหิเต จิเตฺต วิคตูปกฺกิเลเส กตกิเจฺจน ปจฺฉา หริตพฺพํ ปวเตฺตตพฺพนฺติ ปฎิหาริยํฯ อตฺตโน วา อุปกฺกิเลเสสุ จตุตฺถชฺฌานมเคฺคหิ หริเตสุ ปจฺฉา หรณํ ปฎิหาริยํฯ อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิโย จ วิคตูปกฺกิเลเสน กตกิเจฺจน สตฺตหิตตฺถํ ปุน ปวเตฺตตพฺพา, หริเตสุ จ อตฺตโน อุปกฺกิเลเสสุ ปรสนฺตาเน อุปกฺกิเลสหรณานิ โหนฺตีติ ปฎิหาริยานิ ภวนฺติฯ ปฎิหาริยเมว ปาฎิหาริยํ, ปฎิหาริเย วา อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิสมุทาเย ภวํ เอเกกํ ปาฎิหาริยนฺติ วุจฺจติฯ ปฎิหาริยํ วา จตุตฺถชฺฌานํ มโคฺค จ ปฎิปกฺขหรณโต, ตตฺถ ชาตํ, ตสฺมิํ วา นิมิตฺตภูเต, ตโต วา อาคตนฺติ ปาฎิหาริยํฯ

    Iddhiādesanānusāsanībhedena tesu ca ekekassa visayādibhedena vividhaṃ bahuvidhaṃ vā pāṭihāriyaṃ etassāti vividhapāṭihāriyaṃ. Tattha paṭipakkhaharaṇato rāgādikilesāpanayanato paṭihāriyanti atthe sati bhagavato paṭipakkhā rāgādayo na santi ye haritabbā, puthujjanānampi vigatūpakkilese aṭṭhaguṇasamannāgate citte hatapaṭipakkhe iddhividhaṃ pavattati. Tasmā tattha pavattavohārena ca na sakkā idha pāṭihāriyanti vattuṃ. Yasmmāā pana mahākāruṇikassa bhagavato veneyyagatā ca kilesā paṭipakkhā, tasmā tesaṃ haraṇato pāṭihāriyaṃ. Atha vā bhagavato sāsanassa ca paṭipakkhā titthiyā, tesaṃ haraṇato pāṭihāriyaṃ. Te hi diṭṭhiharaṇavasena diṭṭhippakāsane asamatthabhāvena ca iddhiādesanānusāsanīhi haritā apanītā honti. Paṭīti vā pacchāti attho. Tasmā samāhite citte vigatūpakkilese katakiccena pacchā haritabbaṃ pavattetabbanti paṭihāriyaṃ. Attano vā upakkilesesu catutthajjhānamaggehi haritesu pacchā haraṇaṃ paṭihāriyaṃ. Iddhiādesanānusāsaniyo ca vigatūpakkilesena katakiccena sattahitatthaṃ puna pavattetabbā, haritesu ca attano upakkilesesu parasantāne upakkilesaharaṇāni hontīti paṭihāriyāni bhavanti. Paṭihāriyameva pāṭihāriyaṃ, paṭihāriye vā iddhiādesanānusāsanisamudāye bhavaṃ ekekaṃ pāṭihāriyanti vuccati. Paṭihāriyaṃ vā catutthajjhānaṃ maggo ca paṭipakkhaharaṇato, tattha jātaṃ, tasmiṃ vā nimittabhūte, tato vā āgatanti pāṭihāriyaṃ.

    ยสฺมา ปน ตนฺติอตฺถเทสนาตโพฺพหาราภิสมยสงฺขาตา เหตุเหตุผลตทุภยปญฺญตฺติปฎิเวธสงฺขาตา วา ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธา คมฺภีรา, อนุปจิตสมฺภาเรหิ สสาทีหิ วิย มหาสมุโทฺท ทุโกฺขคาฬฺหา อลพฺภเนยฺยปฺปติฎฺฐา จฯ ตสฺมา เตหิ จตูหิ คมฺภีรภาเวหิ ยุตฺตนฺติ ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธคมฺภีรํ

    Yasmā pana tantiatthadesanātabbohārābhisamayasaṅkhātā hetuhetuphalatadubhayapaññattipaṭivedhasaṅkhātā vā dhammatthadesanāpaṭivedhā gambhīrā, anupacitasambhārehi sasādīhi viya mahāsamuddo dukkhogāḷhā alabbhaneyyappatiṭṭhā ca. Tasmā tehi catūhi gambhīrabhāvehi yuttanti dhammatthadesanāpaṭivedhagambhīraṃ.

    เอโก เอว ภควโต ธมฺมเทสนาโฆโส เอกสฺมิํ ขเณ ปวตฺตมาโน นานาภาสานํ สตฺตานํ อตฺตโน อตฺตโน ภาสาวเสน อปุพฺพํ อจริมํ คหณูปโค หุตฺวา อตฺถาธิคมาย โหติฯ อจิเนฺตโยฺย หิ พุทฺธานํ พุทฺธานุภาโวติ สพฺพสตฺตานํ สกสกภาสานุรูปโต โสตปถมาคจฺฉตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Eko eva bhagavato dhammadesanāghoso ekasmiṃ khaṇe pavattamāno nānābhāsānaṃ sattānaṃ attano attano bhāsāvasena apubbaṃ acarimaṃ gahaṇūpago hutvā atthādhigamāya hoti. Acinteyyo hi buddhānaṃ buddhānubhāvoti sabbasattānaṃ sakasakabhāsānurūpato sotapathamāgacchatīti veditabbaṃ.

    นิทสฺสนเตฺถน – ‘‘นาหํ สยมฺภู, น มยา อิทํ สจฺฉิกต’’นฺติ อตฺตานํ ปริโมเจโนฺต – ‘‘อิติ เม สุตํ, มยาปิ เอวํ สุต’’นฺติ อิทานิ วตฺตพฺพํ สกลํ สุตฺตํ นิทเสฺสติฯ

    Nidassanatthena – ‘‘nāhaṃ sayambhū, na mayā idaṃ sacchikata’’nti attānaṃ parimocento – ‘‘iti me sutaṃ, mayāpi evaṃ suta’’nti idāni vattabbaṃ sakalaṃ suttaṃ nidasseti.

    อวธารณเตฺถน – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ พหุสฺสุตานํ ยทิทํ อานโนฺท, คติมนฺตานํ, สติมนฺตานํ, ธิติมนฺตานํ, อุปฎฺฐากานํ ยทิทํ อานโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙-๒๒๓) เอวํ ภควตา, ‘‘อายสฺมา อานโนฺท อตฺถกุสโล ธมฺมกุสโล พฺยญฺชนกุสโล นิรุตฺติกุสโล ปุพฺพาปรกุสโล’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๖๙) เอวํ ธมฺมเสนาปตินา จ ปสตฺถภาวานุรูปํ อตฺตโน ธารณพลํ ทเสฺสโนฺต สตฺตานํ โสตุกมฺยตํ ชเนติ – ‘‘อิติ เม สุตํ, ตญฺจ โข อตฺถโต วา พฺยญฺชนโต วา อนูนมนธิกํ, เอวเมว, น อญฺญถา, ทฎฺฐพฺพ’’นฺติฯ อญฺญถาติ ภควโต สมฺมุขา สุตาการโต อญฺญถา, น ปน ภควตา เทสิตาการโตฯ อจิเนฺตยฺยานุภาวา หิ ภควโต เทสนา, สา น สพฺพากาเรน สกฺกา วิญฺญาตุนฺติ วุโตฺตวายมโตฺถฯ สุตาการาวิรุชฺฌนเมว หิ ธารณพลํฯ น เหตฺถ อตฺถนฺตรตาปริหาโร ทฺวินฺนมฺปิ อตฺถานํ เอกวิสยตฺตาฯ อิตรถา หิ เถโร ภควโต เทสนาย สพฺพถา ปฎิคฺคหเณ สมโตฺถ อสมโตฺถติ วา อาปเชฺชยฺยาติฯ

    Avadhāraṇatthena – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ bahussutānaṃ yadidaṃ ānando, gatimantānaṃ, satimantānaṃ, dhitimantānaṃ, upaṭṭhākānaṃ yadidaṃ ānando’’ti (a. ni. 1.219-223) evaṃ bhagavatā, ‘‘āyasmā ānando atthakusalo dhammakusalo byañjanakusalo niruttikusalo pubbāparakusalo’’ti (a. ni. 5.169) evaṃ dhammasenāpatinā ca pasatthabhāvānurūpaṃ attano dhāraṇabalaṃ dassento sattānaṃ sotukamyataṃ janeti – ‘‘iti me sutaṃ, tañca kho atthato vā byañjanato vā anūnamanadhikaṃ, evameva, na aññathā, daṭṭhabba’’nti. Aññathāti bhagavato sammukhā sutākārato aññathā, na pana bhagavatā desitākārato. Acinteyyānubhāvā hi bhagavato desanā, sā na sabbākārena sakkā viññātunti vuttovāyamattho. Sutākārāvirujjhanameva hi dhāraṇabalaṃ. Na hettha atthantaratāparihāro dvinnampi atthānaṃ ekavisayattā. Itarathā hi thero bhagavato desanāya sabbathā paṭiggahaṇe samattho asamatthoti vā āpajjeyyāti.

    เม-สโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิสฺส – ‘‘คาถาภิคีตํ เม อโภชเนยฺย’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๙๔; สุ. นิ. ๘๑) มยาติ อโตฺถฯ ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต, ภควา สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๘๘; ๕.๓๘๑; อ. นิ. ๔.๒๕๗) มยฺหนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว, ภวถา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๙) มมาติ อโตฺถฯ อิธ ปน ‘‘มยา สุต’’นฺติ จ ‘‘มม สุต’’นฺติ จ อตฺถทฺวเย ยุชฺชติฯ

    Me-saddo tīsu atthesu dissati. Tathā hissa – ‘‘gāthābhigītaṃ me abhojaneyya’’ntiādīsu (saṃ. ni. 1.194; su. ni. 81) mayāti attho. ‘‘Sādhu me, bhante, bhagavā saṃkhittena dhammaṃ desetū’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.88; 5.381; a. ni. 4.257) mayhanti attho. ‘‘Dhammadāyādā me, bhikkhave, bhavathā’’tiādīsu (ma. ni. 1.29) mamāti attho. Idha pana ‘‘mayā suta’’nti ca ‘‘mama suta’’nti ca atthadvaye yujjati.

    เอตฺถ จ โย ปโร น โหติ, โส อตฺตาติ เอวํ วตฺตเพฺพ นิยกชฺฌตฺตสงฺขาเต สกสนฺตาเน วตฺตนโต ติวิโธปิ เม-สโทฺท ยทิปิ เอกสฺมิํเยว อเตฺถ ทิสฺสติ, กรณสมฺปทานาทิวิเสสสงฺขาโต ปนสฺส วิชฺชเตวายํ อตฺถเภโทติ อาห – ‘‘เม-สโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสตี’’ติฯ

    Ettha ca yo paro na hoti, so attāti evaṃ vattabbe niyakajjhattasaṅkhāte sakasantāne vattanato tividhopi me-saddo yadipi ekasmiṃyeva atthe dissati, karaṇasampadānādivisesasaṅkhāto panassa vijjatevāyaṃ atthabhedoti āha – ‘‘me-saddo tīsu atthesu dissatī’’ti.

    สุตนฺติ อยํ สุต-สโทฺท สอุปสโคฺค อนุปสโคฺค จ คมนวิสฺสุตกิลินฺนูปจิตานุโยคโสตวิเญฺญยฺยโสตทฺวารานุสารวิญฺญาตาทิอเนกตฺถปฺปเภโทฯ กิญฺจาปิ หิ กิริยาวิเสสโก อุปสโคฺค, โชตกภาวโต ปน สติปิ ตสฺมิํ สุต-สโทฺท เอว ตํ ตํ อตฺถํ วทตีติ อนุปสคฺคสฺส สุตสทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเร สอุปสโคฺคปิ อุทาหรียติฯ

    Sutanti ayaṃ suta-saddo saupasaggo anupasaggo ca gamanavissutakilinnūpacitānuyogasotaviññeyyasotadvārānusāraviññātādianekatthappabhedo. Kiñcāpi hi kiriyāvisesako upasaggo, jotakabhāvato pana satipi tasmiṃ suta-saddo eva taṃ taṃ atthaṃ vadatīti anupasaggassa sutasaddassa atthuddhāre saupasaggopi udāharīyati.

    ตตฺถ ‘‘เสนาย ปสุโต’’ติอาทีสุ คจฺฉโนฺตติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต’’ติอาทีสุ (อุทา. ๑๑) วิสฺสุตธมฺมสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺสา’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๖๕๗) กิลินฺนา กิลินฺนสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘ตุเมฺหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปก’’นฺติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๗.๑๒) อุปจิตนฺติ อโตฺถฯ ‘‘เย ฌานปฺปสุตา ธีรา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๘๑) ฌานานุยุตฺตาติ อโตฺถฯ ‘‘ทิฎฺฐํ สุตํ มุต’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๔๑) โสตวิเญฺญยฺยนฺติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธโร สุตสนฺนิจโย’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๓๙) โสตทฺวารานุสารวิญฺญาตธโรติ อโตฺถฯ อิธ ปนสฺส ‘‘โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาริต’’นฺติ วา ‘‘อุปธารณ’’นฺติ วา อโตฺถฯ เม-สทฺทสฺส หิ มยาติ อเตฺถ สติ ‘‘อิติ เม สุตํ, มยา โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาริต’’นฺติ อโตฺถฯ มมาติ อเตฺถ สติ ‘‘อิติ มม สุตํ โสตทฺวารานุสาเรน อุปธารณ’’นฺติ อโตฺถฯ

    Tattha ‘‘senāya pasuto’’tiādīsu gacchantoti attho. ‘‘Sutadhammassa passato’’tiādīsu (udā. 11) vissutadhammassāti attho. ‘‘Avassutā avassutassā’’tiādīsu (pāci. 657) kilinnā kilinnassāti attho. ‘‘Tumhehi puññaṃ pasutaṃ anappaka’’ntiādīsu (khu. pā. 7.12) upacitanti attho. ‘‘Ye jhānappasutā dhīrā’’tiādīsu (dha. pa. 181) jhānānuyuttāti attho. ‘‘Diṭṭhaṃ sutaṃ muta’’ntiādīsu (ma. ni. 1.241) sotaviññeyyanti attho. ‘‘Sutadharo sutasannicayo’’tiādīsu (ma. ni. 1.339) sotadvārānusāraviññātadharoti attho. Idha panassa ‘‘sotadvārānusārena upadhārita’’nti vā ‘‘upadhāraṇa’’nti vā attho. Me-saddassa hi mayāti atthe sati ‘‘iti me sutaṃ, mayā sotadvārānusārena upadhārita’’nti attho. Mamāti atthe sati ‘‘iti mama sutaṃ sotadvārānusārena upadhāraṇa’’nti attho.

    เอวเมเตสุ ตีสุ ปเทสุ ยสฺมา สุตสทฺทสนฺนิธาเน ปยุเตฺตน อิติสเทฺทน สวนกิริยาโชตเกน ภวิตพฺพํฯ ตสฺมา อิตีติ โสตวิญฺญาณาทิวิญฺญาณกิจฺจนิทสฺสนํฯ เมติ วุตฺตวิญฺญาณสมงฺคิปุคฺคลนิทสฺสนํฯ สพฺพานิปิ วากฺยานิ เอวการตฺถสหิตานิเยว อวธารณผลตฺตาฯ เตน สุตนฺติ อสฺสวนภาวปฺปฎิเกฺขปโต อนูนาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสนํฯ ยถา หิ สุตํ สุตเมวาติ วตฺตพฺพตํ อรหติ, ตํ สมฺมา สุตํ อนูนคฺคหณํ อวิปรีตคฺคหณญฺจ โหตีติฯ อถ วา สทฺทนฺตรตฺถาโปหนวเสน สโทฺท อตฺถํ วทตีติ, ยสฺมา สุตนฺติ เอตสฺส อสุตํ น โหตีติ อยมโตฺถ, ตสฺมา สุตนฺติ อสฺสวนภาวปฺปฎิเกฺขปโต อนูนาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อิติ เม สุตํ, น ทิฎฺฐํ, น สยมฺภุญาเณน สจฺฉิกตํ, น อญฺญถา วา อุปลทฺธํ, อปิจ สุตํว, ตญฺจ โข สมฺมเทวาติฯ อวธารณเตฺถ วา อิติสเทฺท อยมตฺถโยชนาติ ตทเปกฺขสฺส สุต-สทฺทสฺส นิยมโตฺถ สมฺภวตีติ อสฺสวนภาวปฺปฎิเกฺขโป, อนูนาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสนตา จ เวทิตพฺพาฯ เอวํ สวนเหตุสวนวิเสสวเสน ปทตฺตยสฺส อตฺถโยชนา กตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Evametesu tīsu padesu yasmā sutasaddasannidhāne payuttena itisaddena savanakiriyājotakena bhavitabbaṃ. Tasmā itīti sotaviññāṇādiviññāṇakiccanidassanaṃ. Meti vuttaviññāṇasamaṅgipuggalanidassanaṃ. Sabbānipi vākyāni evakāratthasahitāniyeva avadhāraṇaphalattā. Tena sutanti assavanabhāvappaṭikkhepato anūnāviparītaggahaṇanidassanaṃ. Yathā hi sutaṃ sutamevāti vattabbataṃ arahati, taṃ sammā sutaṃ anūnaggahaṇaṃ aviparītaggahaṇañca hotīti. Atha vā saddantaratthāpohanavasena saddo atthaṃ vadatīti, yasmā sutanti etassa asutaṃ na hotīti ayamattho, tasmā sutanti assavanabhāvappaṭikkhepato anūnāviparītaggahaṇanidassanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – iti me sutaṃ, na diṭṭhaṃ, na sayambhuñāṇena sacchikataṃ, na aññathā vā upaladdhaṃ, apica sutaṃva, tañca kho sammadevāti. Avadhāraṇatthe vā itisadde ayamatthayojanāti tadapekkhassa suta-saddassa niyamattho sambhavatīti assavanabhāvappaṭikkhepo, anūnāviparītaggahaṇanidassanatā ca veditabbā. Evaṃ savanahetusavanavisesavasena padattayassa atthayojanā katāti daṭṭhabbaṃ.

    ตถา อิตีติ โสตทฺวารานุสาเรน ปวตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณโต นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺติภาวปฺปกาสนํ อาการโตฺถ อิติสโทฺทติ กตฺวาฯ เมติ อตฺตปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ธมฺมปฺปกาสนํ ยถาวุตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา ปริยตฺติธมฺมารมฺมณตฺตาฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขโป – นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา การณภูตาย มยา น อญฺญํ กตํ, อิทํ ปน กตํ, อยํ ธโมฺม สุโตติฯ

    Tathā itīti sotadvārānusārena pavattāya viññāṇavīthiyā nānatthabyañjanaggahaṇato nānappakārena ārammaṇe pavattibhāvappakāsanaṃ ākārattho itisaddoti katvā. Meti attappakāsanaṃ. Sutanti dhammappakāsanaṃ yathāvuttāya viññāṇavīthiyā pariyattidhammārammaṇattā. Ayañhettha saṅkhepo – nānappakārena ārammaṇe pavattāya viññāṇavīthiyā kāraṇabhūtāya mayā na aññaṃ kataṃ, idaṃ pana kataṃ, ayaṃ dhammo sutoti.

    ตถา อิตีติ นิทสฺสิตพฺพปฺปกาสนํ นิทสฺสนโตฺถ อิติ-สโทฺทติ กตฺวา นิทเสฺสตพฺพสฺส นิทสฺสิตพฺพตฺตาภาวาภาวโตฯ ตสฺมา อิติสเทฺทน สกลมฺปิ สุตํ ปจฺจามฎฺฐนฺติ เวทิตพฺพํฯ เมติ ปุคฺคลปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ปุคฺคลกิจฺจปฺปกาสนํฯ สุต-สเทฺทน หิ ลพฺภมานา สวนกิริยา สวนวิญฺญาณปฺปพนฺธปฺปฎิพทฺธา, ตตฺถ จ ปุคฺคลโวหาโรฯ น หิ ปุคฺคลโวหารรหิเต ธมฺมปฺปพเนฺธ สวนกิริยา ลพฺภติฯ ตสฺสายํ สเงฺขปโตฺถ – ยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิสฺสามิ, ตํ มยา อิติ สุตนฺติฯ

    Tathā itīti nidassitabbappakāsanaṃ nidassanattho iti-saddoti katvā nidassetabbassa nidassitabbattābhāvābhāvato. Tasmā itisaddena sakalampi sutaṃ paccāmaṭṭhanti veditabbaṃ. Meti puggalappakāsanaṃ. Sutanti puggalakiccappakāsanaṃ. Suta-saddena hi labbhamānā savanakiriyā savanaviññāṇappabandhappaṭibaddhā, tattha ca puggalavohāro. Na hi puggalavohārarahite dhammappabandhe savanakiriyā labbhati. Tassāyaṃ saṅkhepattho – yaṃ suttaṃ niddisissāmi, taṃ mayā iti sutanti.

    ตถา อิตีติ ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นานารมฺมณปฺปวตฺติยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณํ โหติ, ตสฺส นานาการนิเทฺทโส อาการโตฺถ อิติสโทฺทติ กตฺวาฯ อิตีติ หิ อยํ อาการปญฺญตฺติ ธมฺมานํ ตํ ตํ ปวตฺติอาการํ อุปาทาย ปญฺญาเปตพฺพสภาวตฺตาฯ เมติ กตฺตุนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ วิสยนิเทฺทโสฯ โสตโพฺพ หิ ธโมฺม สวนกิริยากตฺตุปุคฺคลสฺส สวนกิริยาวเสน ปวตฺติฎฺฐานํ โหติฯ เอตฺตาวตา นานปฺปการปฺปวเตฺตน จิตฺตสนฺตาเนน ตํสมงฺคิโน กตฺตุ วิสเย คหณสนฺนิฎฺฐานํ ทสฺสิตํ โหติฯ

    Tathā itīti yassa cittasantānassa nānārammaṇappavattiyā nānatthabyañjanaggahaṇaṃ hoti, tassa nānākāraniddeso ākārattho itisaddoti katvā. Itīti hi ayaṃ ākārapaññatti dhammānaṃ taṃ taṃ pavattiākāraṃ upādāya paññāpetabbasabhāvattā. Meti kattuniddeso. Sutanti visayaniddeso. Sotabbo hi dhammo savanakiriyākattupuggalassa savanakiriyāvasena pavattiṭṭhānaṃ hoti. Ettāvatā nānappakārappavattena cittasantānena taṃsamaṅgino kattu visaye gahaṇasanniṭṭhānaṃ dassitaṃ hoti.

    อถ วา อิตีติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโสฯ สุตานญฺหิ ธมฺมานํ คหิตาการสฺส นิทสฺสนสฺส อวธารณสฺส วา ปกาสนภาเวน อิติสเทฺทน ตทาการาทิธารณสฺส ปุคฺคลโวหารูปาทานธมฺมพฺยาปารภาวโต ปุคฺคลกิจฺจํ นาม นิทฺทิฎฺฐํ โหตีติฯ สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโสฯ ปุคฺคลวาทิโนปิ หิ สวนกิริยา วิญฺญาณนิรเปกฺขา น โหตีติฯ เมติ อุภยกิจฺจยุตฺตปุคฺคลนิเทฺทโส ฯ เมติ หิ สทฺทปฺปวตฺติ เอกเนฺตเนว สตฺตวิเสสวิสยา, วิญฺญาณกิจฺจญฺจ ตเตฺถว สโมทหิตพฺพนฺติฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโป – มยา สวนกิจฺจวิญฺญาณสมงฺคินา ปุคฺคเลน วิญฺญาณวเสน ลทฺธสฺสวนกิจฺจโวหาเรน สุตนฺติฯ

    Atha vā itīti puggalakiccaniddeso. Sutānañhi dhammānaṃ gahitākārassa nidassanassa avadhāraṇassa vā pakāsanabhāvena itisaddena tadākārādidhāraṇassa puggalavohārūpādānadhammabyāpārabhāvato puggalakiccaṃ nāma niddiṭṭhaṃ hotīti. Sutanti viññāṇakiccaniddeso. Puggalavādinopi hi savanakiriyā viññāṇanirapekkhā na hotīti. Meti ubhayakiccayuttapuggalaniddeso . Meti hi saddappavatti ekanteneva sattavisesavisayā, viññāṇakiccañca tattheva samodahitabbanti. Ayaṃ panettha saṅkhepo – mayā savanakiccaviññāṇasamaṅginā puggalena viññāṇavasena laddhassavanakiccavohārena sutanti.

    ตถา อิตีติ จ เมติ จ สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อวิชฺชมานปญฺญตฺติฯ สพฺพสฺส หิ สทฺทาธิคมนียสฺส อตฺถสฺส ปญฺญตฺติมุเขเนว ปฎิปชฺชิตพฺพตฺตา สพฺพปญฺญตฺตีนญฺจ วิชฺชมานาทีสุ ฉเสฺวว ปญฺญตฺตีสุ อวโรโธ, ตสฺมา โย มายามรีจิอาทโย วิย อภูตโตฺถ, อนุสฺสวาทีหิ คเหตโพฺพ วิย อนุตฺตมโตฺถ จ น โหติฯ โส รูปสทฺทาทิโก รุปฺปนานุภวนาทิโก จ ปรมตฺถสภาโว สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน วิชฺชติฯ โย ปน อิตีติ จ เมติ จ วุจฺจมาโน อาการาทิอปรมตฺถสภาโว สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อนุปลพฺภมาโน อวิชฺชมานปญฺญตฺติ นาม, กิเมตฺถ ตํ ปรมตฺถโต อตฺถิ, ยํ อิตีติ วา เมติ วา นิเทฺทสํ ลเภถฯ สุตนฺติ วิชฺชมานปญฺญตฺติฯ ยญฺหิ ตํ โสเตน อุปลทฺธํ, ตํ ปรมตฺถโต วิชฺชมานนฺติฯ

    Tathā itīti ca meti ca saccikaṭṭhaparamatthavasena avijjamānapaññatti. Sabbassa hi saddādhigamanīyassa atthassa paññattimukheneva paṭipajjitabbattā sabbapaññattīnañca vijjamānādīsu chasveva paññattīsu avarodho, tasmā yo māyāmarīciādayo viya abhūtattho, anussavādīhi gahetabbo viya anuttamattho ca na hoti. So rūpasaddādiko ruppanānubhavanādiko ca paramatthasabhāvo saccikaṭṭhaparamatthavasena vijjati. Yo pana itīti ca meti ca vuccamāno ākārādiaparamatthasabhāvo saccikaṭṭhaparamatthavasena anupalabbhamāno avijjamānapaññatti nāma, kimettha taṃ paramatthato atthi, yaṃ itīti vā meti vā niddesaṃ labhetha. Sutanti vijjamānapaññatti. Yañhi taṃ sotena upaladdhaṃ, taṃ paramatthato vijjamānanti.

    ตถา อิตีติ โสตปถมาคเต ธเมฺม อุปาทาย เตสํ อุปธาริตาการาทีนํ ปจฺจามสนวเสนฯ เมติ สสนฺตติปริยาปเนฺน ขเนฺธ กรณาทิวิเสสวิสิเฎฺฐ อุปาทาย วตฺตพฺพโต อุปาทาปญฺญตฺติฯ สุตนฺติ ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตพฺพโต อุปนิธาปญฺญตฺติฯ ทิฎฺฐาทิสภาวรหิเต สทฺทายตเน ปวตฺตมาโนปิ สุตโวหาโร ทุติยํ, ตติยนฺติ อาทิโก วิย ปฐมาทิํ นิสฺสาย ‘‘ยํ น ทิฎฺฐมุตวิญฺญาตนิรเปกฺขํ, ตํ สุต’’นฺติ วิเญฺญยฺยตฺตา ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตโพฺพ โหติฯ อสุตํ น โหตีติ หิ สุตนฺติ ปกาสิโตยมโตฺถติฯ

    Tathā itīti sotapathamāgate dhamme upādāya tesaṃ upadhāritākārādīnaṃ paccāmasanavasena. Meti sasantatipariyāpanne khandhe karaṇādivisesavisiṭṭhe upādāya vattabbato upādāpaññatti. Sutanti diṭṭhādīni upanidhāya vattabbato upanidhāpaññatti. Diṭṭhādisabhāvarahite saddāyatane pavattamānopi sutavohāro dutiyaṃ, tatiyanti ādiko viya paṭhamādiṃ nissāya ‘‘yaṃ na diṭṭhamutaviññātanirapekkhaṃ, taṃ suta’’nti viññeyyattā diṭṭhādīni upanidhāya vattabbo hoti. Asutaṃ na hotīti hi sutanti pakāsitoyamatthoti.

    เอตฺถ จ อิตีติ วจเนน อสโมฺมหํ ทีเปติฯ ปฎิวิทฺธา หิ อตฺถสฺส ปการวิเสสา อิตีติ อิธ อายสฺมตา อานเนฺทน ปจฺจามฎฺฐา, เตนสฺส อสโมฺมโห ทีปิโตฯ น หิ สมฺมูโฬฺห นานปฺปการปฺปฎิเวธสมโตฺถ โหติ, โลภปฺปหานาทิวเสน นานปฺปการา ทุปฺปฎิวิทฺธา จ สุตฺตตฺถา นิทฺทิสียนฺติ ฯ สุตนฺติ วจเนน อสโมฺมสํ ทีเปติ สุตาการสฺส ยาถาวโต ทสฺสิยมานตฺตา ยสฺส หิ สุตํ สมฺมุฎฺฐํ โหติ, น โส กาลนฺตเร มยา สุตนฺติ ปฎิชานาติฯ อิจฺจสฺส อสโมฺมเหน สโมฺมหาภาเวน ปญฺญาย เอว วา สวนกาลสมฺภูตาย ตทุตฺตริกาลปญฺญาสิทฺธิ, ตถา อสโมฺมเสน สติสิทฺธิฯ ตตฺถ ปญฺญาปุพฺพงฺคมาย สติยา พฺยญฺชนาวธารณสมตฺถตาฯ พฺยญฺชนานญฺหิ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ อากาโร นาติคมฺภีโร, ยถาสุตธารณเมว ตตฺถ กรณียนฺติ สติยา พฺยาปาโร อธิโก, ปญฺญา ตตฺถ คุณีภูตา โหติ ปญฺญาย ปุพฺพงฺคมาติ กตฺวาฯ สติปุพฺพงฺคมาย ปญฺญาย อตฺถปฺปฎิเวธสมตฺถตาฯ อตฺถสฺส หิ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ อากาโร คมฺภีโรติ ปญฺญาย พฺยาปาโร อธิโก, สติ ตตฺถ คุณีภูตา โหติ สติยา ปุพฺพงฺคมาติ กตฺวาฯ ตทุภยสมตฺถตาโยเคน อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺส ธมฺมโกสสฺส อนุปาลนสมตฺถตาย ธมฺมภณฺฑาคาริกตฺตสิทฺธิฯ

    Ettha ca itīti vacanena asammohaṃ dīpeti. Paṭividdhā hi atthassa pakāravisesā itīti idha āyasmatā ānandena paccāmaṭṭhā, tenassa asammoho dīpito. Na hi sammūḷho nānappakārappaṭivedhasamattho hoti, lobhappahānādivasena nānappakārā duppaṭividdhā ca suttatthā niddisīyanti . Sutanti vacanena asammosaṃ dīpeti sutākārassa yāthāvato dassiyamānattā yassa hi sutaṃ sammuṭṭhaṃ hoti, na so kālantare mayā sutanti paṭijānāti. Iccassa asammohena sammohābhāvena paññāya eva vā savanakālasambhūtāya taduttarikālapaññāsiddhi, tathā asammosena satisiddhi. Tattha paññāpubbaṅgamāya satiyā byañjanāvadhāraṇasamatthatā. Byañjanānañhi paṭivijjhitabbo ākāro nātigambhīro, yathāsutadhāraṇameva tattha karaṇīyanti satiyā byāpāro adhiko, paññā tattha guṇībhūtā hoti paññāya pubbaṅgamāti katvā. Satipubbaṅgamāya paññāya atthappaṭivedhasamatthatā. Atthassa hi paṭivijjhitabbo ākāro gambhīroti paññāya byāpāro adhiko, sati tattha guṇībhūtā hoti satiyā pubbaṅgamāti katvā. Tadubhayasamatthatāyogena atthabyañjanasampannassa dhammakosassa anupālanasamatthatāya dhammabhaṇḍāgārikattasiddhi.

    อปโร นโย – อิตีติ วจเนน โยนิโสมนสิการํ ทีเปติฯ เตน วุจฺจมานานํ อาการนิทสฺสนาวธารณตฺถานํ อุปริ วกฺขมานานํ นานปฺปการปฺปฎิเวธโชตกานํ อวิปรีตสทฺธมฺมวิสยตฺตาฯ น หิ อโยนิโส มนสิกโรโต นานปฺปการปฺปฎิเวโธ สมฺภวติฯ สุตนฺติ วจเนน อวิเกฺขปํ ทีเปติ, นิทานปุจฺฉาวเสน ปกรณปฺปตฺตสฺส วกฺขมานสฺส สุตฺตสฺส สวนํ น สมาธานมนฺตเรน สมฺภวติ วิกฺขิตฺตจิตฺตสฺส สวนาภาวโตฯ ตถา หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต ปุคฺคโล สพฺพสมฺปตฺติยา วุจฺจมาโนปิ ‘‘น มยา สุตํ, ปุน ภณถา’’ติ วทติฯ โยนิโสมนสิกาเรน เจตฺถ อตฺตสมฺมาปณิธิํ ปุเพฺพกตปุญฺญตญฺจ สาเธติ, สมฺมา อปฺปณิหิตตฺตสฺส ปุเพฺพ อกตปุญฺญสฺส วา ตทภาวโตฯ อวิเกฺขเปน สทฺธมฺมสฺสวนํ สปฺปุริสูปนิสฺสยญฺจ สาเธติ, อสฺสุตวโต สปฺปุริสูปนิสฺสยรหิตสฺส จ ตทภาวโตฯ น หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต สทฺธมฺมํ โสตุํ สโกฺกติ, น จ สปฺปุริเส อนุปสฺสยมานสฺส สวนํ อตฺถิฯ

    Aparo nayo – itīti vacanena yonisomanasikāraṃ dīpeti. Tena vuccamānānaṃ ākāranidassanāvadhāraṇatthānaṃ upari vakkhamānānaṃ nānappakārappaṭivedhajotakānaṃ aviparītasaddhammavisayattā. Na hi ayoniso manasikaroto nānappakārappaṭivedho sambhavati. Sutanti vacanena avikkhepaṃ dīpeti, nidānapucchāvasena pakaraṇappattassa vakkhamānassa suttassa savanaṃ na samādhānamantarena sambhavati vikkhittacittassa savanābhāvato. Tathā hi vikkhittacitto puggalo sabbasampattiyā vuccamānopi ‘‘na mayā sutaṃ, puna bhaṇathā’’ti vadati. Yonisomanasikārena cettha attasammāpaṇidhiṃ pubbekatapuññatañca sādheti, sammā appaṇihitattassa pubbe akatapuññassa vā tadabhāvato. Avikkhepena saddhammassavanaṃ sappurisūpanissayañca sādheti, assutavato sappurisūpanissayarahitassa ca tadabhāvato. Na hi vikkhittacitto saddhammaṃ sotuṃ sakkoti, na ca sappurise anupassayamānassa savanaṃ atthi.

    อปโร นโย – ‘‘ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นานาการปฺปวตฺติยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณํ โหติ, ตสฺส นานาการนิเทฺทโส’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา จ โส ภควโต วจนสฺส อตฺถพฺยญฺชนปฺปเภทปริเจฺฉทวเสน สกลสาสนสมฺปติโอคาหเนน นิรวเสสปรหิตปาริปูริการณภูโต เอวํภทฺทโก อากาโร น สมฺมา อปฺปณิหิตตฺตโน ปุเพฺพ อกตปุญฺญสฺส วา โหติ, ตสฺมา อิตีติ อิมินา ภทฺทเกน อากาเรน ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติมตฺตโน ทีเปติ, สุตนฺติ สวนโยเคน ปุริมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติํฯ น หิ อปฺปติรูเป เทเส วสโต สปฺปุริสูปนิสฺสยรหิตสฺส วา สวนํ อตฺถิฯ อิจฺจสฺส ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสิทฺธิยา อาสยสุทฺธิ สิทฺธา โหติ, สมฺมา ปณิหิตโตฺต ปุเพฺพ จ กตปุโญฺญ วิสุทฺธาสโย โหติ, ตทวิสุทฺธิเหตูนํ กิเลสานํ ทูรีภาวโตฯ ตถา หิ วุตฺตํ – ‘‘สมฺมา ปณิหิตํ จิตฺตํ, เสยฺยโส นํ ตโต กเร’’ติ (ธ. ป. ๔๓) ‘‘กตปุโญฺญสิ ตฺวํ, อานนฺท, ปธานมนุยุญฺช, ขิปฺปํ โหหิสิ อนาสโว’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๐๗) จฯ ปุริมจกฺกทฺวยสิทฺธิยา ปโยคสุทฺธิฯ ปติรูปเทสวาเสน หิ สปฺปุริสูปนิสฺสเยน จ สาธูนํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชเนนปิ วิสุทฺธปฺปโยโค โหติฯ ตาย จ อาสยสุทฺธิยา อธิคมพฺยตฺติสิทฺธิ, ปุเพฺพ เอว ตณฺหาทิฎฺฐิสํกิเลสานํ วิโสธิตตฺตา ปโยคสุทฺธิยา อาคมพฺยตฺติสิทฺธิฯ สุปริสุทฺธกายวจีปโยโค หิ วิปฺปฎิสาราภาวโต อวิกฺขิตฺตจิโตฺต ปริยตฺติยํ วิสารโท โหติฯ อิติ ปโยคาสยสุทฺธสฺส อาคมาธิคมสมฺปนฺนสฺส วจนํ อรุณุคฺคมนํ วิย สูริยสฺส อุทยโต, โยนิโสมนสิกาโร วิย จ กุสลธมฺมสฺส, อรหติ ภควโต วจนสฺส ปุพฺพงฺคมํ ภวิตุนฺติ ฐาเน นิทานํ ฐเปโนฺต อิติ เม สุตนฺติอาทิมาหฯ

    Aparo nayo – ‘‘yassa cittasantānassa nānākārappavattiyā nānatthabyañjanaggahaṇaṃ hoti, tassa nānākāraniddeso’’ti vuttaṃ. Yasmā ca so bhagavato vacanassa atthabyañjanappabhedaparicchedavasena sakalasāsanasampatiogāhanena niravasesaparahitapāripūrikāraṇabhūto evaṃbhaddako ākāro na sammā appaṇihitattano pubbe akatapuññassa vā hoti, tasmā itīti iminā bhaddakena ākārena pacchimacakkadvayasampattimattano dīpeti, sutanti savanayogena purimacakkadvayasampattiṃ. Na hi appatirūpe dese vasato sappurisūpanissayarahitassa vā savanaṃ atthi. Iccassa pacchimacakkadvayasiddhiyā āsayasuddhi siddhā hoti, sammā paṇihitatto pubbe ca katapuñño visuddhāsayo hoti, tadavisuddhihetūnaṃ kilesānaṃ dūrībhāvato. Tathā hi vuttaṃ – ‘‘sammā paṇihitaṃ cittaṃ, seyyaso naṃ tato kare’’ti (dha. pa. 43) ‘‘katapuññosi tvaṃ, ānanda, padhānamanuyuñja, khippaṃ hohisi anāsavo’’ti (dī. ni. 2.207) ca. Purimacakkadvayasiddhiyā payogasuddhi. Patirūpadesavāsena hi sappurisūpanissayena ca sādhūnaṃ diṭṭhānugatiāpajjanenapi visuddhappayogo hoti. Tāya ca āsayasuddhiyā adhigamabyattisiddhi, pubbe eva taṇhādiṭṭhisaṃkilesānaṃ visodhitattā payogasuddhiyā āgamabyattisiddhi. Suparisuddhakāyavacīpayogo hi vippaṭisārābhāvato avikkhittacitto pariyattiyaṃ visārado hoti. Iti payogāsayasuddhassa āgamādhigamasampannassa vacanaṃ aruṇuggamanaṃ viya sūriyassa udayato, yonisomanasikāro viya ca kusaladhammassa, arahati bhagavato vacanassa pubbaṅgamaṃ bhavitunti ṭhāne nidānaṃ ṭhapento iti me sutantiādimāha.

    อปโร นโย – อิตีติ อิมินา ปุเพฺพ วุตฺตนเยน นานปฺปการปฺปฎิเวธทีปเกน อตฺตโน อตฺถปฎิภานปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติสพฺภาวํ ทีเปติฯ สุตนฺติ อิมินา อิติสทฺทสนฺนิธานโต วกฺขมานาเปกฺขาย วา โสตพฺพเภทปฺปฎิเวธทีปเกน ธมฺมนิรุตฺติปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติสพฺภาวํ ทีเปติฯ อิตีติ จ อิทํ วุตฺตนเยเนว โยนิโสมนสิการทีปกํ วจนํ ภาสมาโน ‘‘เอเต มยา ธมฺมา มนสานุเปกฺขิตา ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธา’’ติ ทีเปติฯ ปริยตฺติธมฺมา หิ ‘‘อิธ สีลํ กถิตํ, อิธ สมาธิ, อิธ ปญฺญา, เอตฺตกา เอตฺถ อนุสนฺธิโย’’ติอาทินา นเยน มนสา อนุเปกฺขิตา อนุสฺสวาการปริวิตกฺกสหิตาย ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติภูตาย ญาตปริญฺญาสงฺขาตาย วา ทิฎฺฐิยา ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตรูปารูปธเมฺม ‘‘อิติ รูปํ, เอตฺตกํ รูป’’นฺติอาทินา นเยน สุฎฺฐุ ววตฺถเปตฺวา ปฎิวิทฺธา อตฺตโน ปเรสญฺจ หิตสุขาวหา โหนฺตีติฯ สุตฺตนฺติ อิทํ สวนโยคปริทีปกวจนํ ภาสมาโน ‘‘พหู มยา ธมฺมา สุตา ธาตา วจสา ปริจิตา’’ติ ทีเปติฯ โสตาวธานปฺปฎิพทฺธา หิ ปริยตฺติธมฺมสฺส สวนธารณปริจยาฯ ตทุภเยนปิ ธมฺมสฺส สฺวากฺขาตภาเวน อตฺถพฺยญฺชนปาริปูริํ ทีเปโนฺต สวเน อาทรํ ชเนติฯ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณญฺหิ ธมฺมํ อาทเรน อสฺสุณโนฺต มหตา หิตา ปริพาหิโร โหตีติ อาทรํ ชเนตฺวา สกฺกจฺจํ ธโมฺม โสตโพฺพฯ

    Aparo nayo – itīti iminā pubbe vuttanayena nānappakārappaṭivedhadīpakena attano atthapaṭibhānapaṭisambhidāsampattisabbhāvaṃ dīpeti. Sutanti iminā itisaddasannidhānato vakkhamānāpekkhāya vā sotabbabhedappaṭivedhadīpakena dhammaniruttipaṭisambhidāsampattisabbhāvaṃ dīpeti. Itīti ca idaṃ vuttanayeneva yonisomanasikāradīpakaṃ vacanaṃ bhāsamāno ‘‘ete mayā dhammā manasānupekkhitā diṭṭhiyā suppaṭividdhā’’ti dīpeti. Pariyattidhammā hi ‘‘idha sīlaṃ kathitaṃ, idha samādhi, idha paññā, ettakā ettha anusandhiyo’’tiādinā nayena manasā anupekkhitā anussavākāraparivitakkasahitāya dhammanijjhānakkhantibhūtāya ñātapariññāsaṅkhātāya vā diṭṭhiyā tattha tattha vuttarūpārūpadhamme ‘‘iti rūpaṃ, ettakaṃ rūpa’’ntiādinā nayena suṭṭhu vavatthapetvā paṭividdhā attano paresañca hitasukhāvahā hontīti. Suttanti idaṃ savanayogaparidīpakavacanaṃ bhāsamāno ‘‘bahū mayā dhammā sutā dhātā vacasā paricitā’’ti dīpeti. Sotāvadhānappaṭibaddhā hi pariyattidhammassa savanadhāraṇaparicayā. Tadubhayenapi dhammassa svākkhātabhāvena atthabyañjanapāripūriṃ dīpento savane ādaraṃ janeti. Atthabyañjanaparipuṇṇañhi dhammaṃ ādarena assuṇanto mahatā hitā paribāhiro hotīti ādaraṃ janetvā sakkaccaṃ dhammo sotabbo.

    อิติ เม สุตนฺติ อิมินา ปน สกเลน วจเนน อายสฺมา อานโนฺท ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ อตฺตโน อทหโนฺต อสปฺปุริสภูมิํ อติกฺกมติ, สาวกตฺตํ ปฎิชานโนฺต สปฺปุริสภูมิํ โอกฺกมติฯ ตถา อสทฺธมฺมา จิตฺตํ วุฎฺฐาเปติ, สทฺธเมฺม จิตฺตํ ปติฎฺฐาเปติฯ ‘‘เกวลํ สุตเมเวตํ มยา, ตเสฺสว ปน ภควโต วจน’’นฺติ ทีเปโนฺต อตฺตานํ ปริโมเจติ, สตฺถารํ อปทิสติ, ชินวจนํ อเปฺปติ, ธมฺมเนตฺติํ ปติฎฺฐาเปติฯ

    Iti me sutanti iminā pana sakalena vacanena āyasmā ānando tathāgatappaveditaṃ dhammavinayaṃ attano adahanto asappurisabhūmiṃ atikkamati, sāvakattaṃ paṭijānanto sappurisabhūmiṃ okkamati. Tathā asaddhammā cittaṃ vuṭṭhāpeti, saddhamme cittaṃ patiṭṭhāpeti. ‘‘Kevalaṃ sutamevetaṃ mayā, tasseva pana bhagavato vacana’’nti dīpento attānaṃ parimoceti, satthāraṃ apadisati, jinavacanaṃ appeti, dhammanettiṃ patiṭṭhāpeti.

    อปิจ อิติ เม สุตนฺติ อตฺตนา อุปฺปาทิตภาวํ อปฺปฎิชานโนฺต ปุริมสฺสวนํ วิวรโนฺต สมฺมุขา ปฎิคฺคหิตมิทํ มยา ตสฺส ภควโต จตุเวสารชฺชวิสารทสฺส ทสพลธรสฺส อาสภฎฺฐานฎฺฐายิโน สีหนาทนาทิโน สพฺพสตฺตุตฺตมสฺส ธมฺมิสฺสรสฺส ธมฺมราชสฺส ธมฺมาธิปติโน ธมฺมทีปสฺส ธมฺมสรณสฺส สทฺธมฺมวรจกฺกวตฺติโน สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ น เอตฺถ อเตฺถ วา ธเมฺม วา ปเท วา พฺยญฺชเน วา กงฺขา วา วิมติ วา กาตพฺพาติ สพฺพเทวมนุสฺสานํ อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย อสฺสทฺธิยํ วินาเสติ, สทฺธาสมฺปทํ อุปฺปาเทติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Apica iti me sutanti attanā uppāditabhāvaṃ appaṭijānanto purimassavanaṃ vivaranto sammukhā paṭiggahitamidaṃ mayā tassa bhagavato catuvesārajjavisāradassa dasabaladharassa āsabhaṭṭhānaṭṭhāyino sīhanādanādino sabbasattuttamassa dhammissarassa dhammarājassa dhammādhipatino dhammadīpassa dhammasaraṇassa saddhammavaracakkavattino sammāsambuddhassa. Na ettha atthe vā dhamme vā pade vā byañjane vā kaṅkhā vā vimati vā kātabbāti sabbadevamanussānaṃ imasmiṃ dhammavinaye assaddhiyaṃ vināseti, saddhāsampadaṃ uppādeti. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘วินาสยติ อสฺสทฺธํ, สทฺธํ วเฑฺฒติ สาสเน;

    ‘‘Vināsayati assaddhaṃ, saddhaṃ vaḍḍheti sāsane;

    อิติ เม สุตมิเจฺจวํ, วทํ โคตมสาวโก’’ติฯ

    Iti me sutamiccevaṃ, vadaṃ gotamasāvako’’ti.

    เอตฺถาห – ‘‘กสฺมา ปเนตฺถ ยถา อเญฺญสุ สุเตฺตสุ ‘เอวํ เม สุตํ, เอกํ สมยํ ภควา’ติอาทินา กาลเทเส อปทิสิตฺวาว นิทานํ ภาสิตํ, เอวํ น ภาสิต’’นฺติ? อปเร ตาว อาหุ – น ปน เถเรน ภาสิตตฺตาฯ อิทญฺหิ นิทานํ น อายสฺมตา อานเนฺทน ปฐมํ ภาสิตํ ขุชฺชุตฺตราย ปน ภควตา อุปาสิกาสุ พหุสฺสุตภาเวน เอตทเคฺค ฐปิตาย เสกฺขปฺปฎิสมฺภิทาปฺปตฺตาย อริยสาวิกาย สามาวติปฺปมุขานํ ปญฺจนฺนํ อิตฺถิสตานํ ปฐมํ ภาสิตํฯ

    Etthāha – ‘‘kasmā panettha yathā aññesu suttesu ‘evaṃ me sutaṃ, ekaṃ samayaṃ bhagavā’tiādinā kāladese apadisitvāva nidānaṃ bhāsitaṃ, evaṃ na bhāsita’’nti? Apare tāva āhu – na pana therena bhāsitattā. Idañhi nidānaṃ na āyasmatā ānandena paṭhamaṃ bhāsitaṃ khujjuttarāya pana bhagavatā upāsikāsu bahussutabhāvena etadagge ṭhapitāya sekkhappaṭisambhidāppattāya ariyasāvikāya sāmāvatippamukhānaṃ pañcannaṃ itthisatānaṃ paṭhamaṃ bhāsitaṃ.

    ตตฺรายํ อนุปุพฺพีกถา – อิโต กิร กปฺปสตสหสฺสมตฺถเก ปทุมุตฺตโร นาม สมฺมาสมฺพุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก หํสวติยํ วิหรติฯ อเถกทิวสํ หํสวติยํ เอกา กุลธีตา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ โสตุํ คจฺฉนฺตีหิ อุปาสิกาหิ สทฺธิํ อารามํ คตาฯ สตฺถารํ เอกํ อุปาสิกํ พหุสฺสุตานํ เอตทเคฺค ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สตฺถาปิ นํ พฺยากาสิ ‘‘อนาคเต โคตมสฺส นาม สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาวิกานํ อุปาสิกานํ พหุสฺสุตานํ อคฺคา ภวิสฺสตี’’ติฯ ตสฺสา ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา ปุน มนุเสฺสสูติ เอวํ เทวมนุเสฺสสุ สํสรนฺติยา กปฺปสตสหสฺสํ อติกฺกนฺตํฯ อถ อิมสฺมิํ ภทฺทกเปฺป อมฺหากํ ภควโต กาเล สา เทวโลกโต จวิตฺวา โฆสกเสฎฺฐิสฺส เคเห ทาสิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, อุตฺตราติสฺสา นามํ อกํสุฯ สา ชาตกาเล ขุชฺชา อโหสีติ ขุชฺชุตฺตราเตฺวว ปญฺญายิตฺถฯ สา อปรภาเค โฆสกเสฎฺฐินา รโญฺญ อุเตนสฺส สามาวติยา ทินฺนกาเล ตสฺสา ปริจาริกภาเวน ทินฺนา รโญฺญ อุเตนสฺส อเนฺตปุเร วสติฯ

    Tatrāyaṃ anupubbīkathā – ito kira kappasatasahassamatthake padumuttaro nāma sammāsambuddho loke uppajjitvā pavattitavaradhammacakko haṃsavatiyaṃ viharati. Athekadivasaṃ haṃsavatiyaṃ ekā kuladhītā satthu dhammadesanaṃ sotuṃ gacchantīhi upāsikāhi saddhiṃ ārāmaṃ gatā. Satthāraṃ ekaṃ upāsikaṃ bahussutānaṃ etadagge ṭhapentaṃ disvā adhikāraṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Satthāpi naṃ byākāsi ‘‘anāgate gotamassa nāma sammāsambuddhassa sāvikānaṃ upāsikānaṃ bahussutānaṃ aggā bhavissatī’’ti. Tassā yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devaloke nibbattitvā puna manussesūti evaṃ devamanussesu saṃsarantiyā kappasatasahassaṃ atikkantaṃ. Atha imasmiṃ bhaddakappe amhākaṃ bhagavato kāle sā devalokato cavitvā ghosakaseṭṭhissa gehe dāsiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi, uttarātissā nāmaṃ akaṃsu. Sā jātakāle khujjā ahosīti khujjuttarātveva paññāyittha. Sā aparabhāge ghosakaseṭṭhinā rañño utenassa sāmāvatiyā dinnakāle tassā paricārikabhāvena dinnā rañño utenassa antepure vasati.

    เตน จ สมเยน โกสมฺพิยํ โฆสกเสฎฺฐิกุกฺกุฎเสฎฺฐิปาวาริกเสฎฺฐิโน ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส ตโย วิหาเร กาเรตฺวา ชนปทจาริกํ จรเนฺต ตถาคเต โกสมฺพินครํ สมฺปเตฺต พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส วิหาเร นิยฺยาเทตฺวา มหาทานานิ ปวเตฺตสุํ, มาสมตฺตํ อติกฺกมิฯ อถ เนสํ เอตทโหสิ – ‘‘พุทฺธา นาม สพฺพโลกานุกมฺปกา, อเญฺญสมฺปิ โอกาสํ ทสฺสามา’’ติ โกสมฺพินครวาสิโนปิ ชนสฺส โอกาสํ อกํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย นาครา วีถิสภาเคน คณสภาเคน มหาทานํ เทนฺติฯ อเถกทิวสํ สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต มาลาการเชฎฺฐกสฺส เคเห นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ ขุชฺชุตฺตรา สามาวติยา ปุปฺผานิ คเหตุํ อฎฺฐ กหาปเณ อาทาย ตํ เคหํ อคมาสิฯ มาลาการเชฎฺฐโก ตํ ทิสฺวา ‘‘อมฺม อุตฺตเร, อชฺช ตุยฺหํ ปุปฺผานิ ทาตุํ ขโณ นตฺถิ, อหํ พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสามิ, ตฺวมฺปิ ปริเวสนาย สหายิกา โหหิ, เอวํ อิโต ปเรสํ เวยฺยาวจฺจกรณโต มุจฺจิสฺสสี’’ติ อาหฯ ตโต ขุชฺชุตฺตรา พุทฺธานํ ภตฺตเคฺค เวยฺยาวจฺจํ อกาสิฯ สา สตฺถารา อุปนิสินฺนกถาวเสน กถิตํ สพฺพเมว ธมฺมํ อุคฺคณฺหิ, อนุโมทนํ ปน สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ

    Tena ca samayena kosambiyaṃ ghosakaseṭṭhikukkuṭaseṭṭhipāvārikaseṭṭhino bhagavantaṃ uddissa tayo vihāre kāretvā janapadacārikaṃ carante tathāgate kosambinagaraṃ sampatte buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa vihāre niyyādetvā mahādānāni pavattesuṃ, māsamattaṃ atikkami. Atha nesaṃ etadahosi – ‘‘buddhā nāma sabbalokānukampakā, aññesampi okāsaṃ dassāmā’’ti kosambinagaravāsinopi janassa okāsaṃ akaṃsu. Tato paṭṭhāya nāgarā vīthisabhāgena gaṇasabhāgena mahādānaṃ denti. Athekadivasaṃ satthā bhikkhusaṅghaparivuto mālākārajeṭṭhakassa gehe nisīdi. Tasmiṃ khaṇe khujjuttarā sāmāvatiyā pupphāni gahetuṃ aṭṭha kahāpaṇe ādāya taṃ gehaṃ agamāsi. Mālākārajeṭṭhako taṃ disvā ‘‘amma uttare, ajja tuyhaṃ pupphāni dātuṃ khaṇo natthi, ahaṃ buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ parivisāmi, tvampi parivesanāya sahāyikā hohi, evaṃ ito paresaṃ veyyāvaccakaraṇato muccissasī’’ti āha. Tato khujjuttarā buddhānaṃ bhattagge veyyāvaccaṃ akāsi. Sā satthārā upanisinnakathāvasena kathitaṃ sabbameva dhammaṃ uggaṇhi, anumodanaṃ pana sutvā sotāpattiphale patiṭṭhāsi.

    สา อเญฺญสุ ทิวเสสุ จตฺตาโรว กหาปเณ ทตฺวา ปุปฺผานิ คเหตฺวา คจฺฉติ, ตสฺมิํ ปน ทิวเส ทิฎฺฐสจฺจภาเวน ปรสนฺตเก จิตฺตํ อนุปฺปาเทตฺวา อฎฺฐปิ กหาปเณ ทตฺวา ปจฺฉิํ ปูเรตฺวา ปุปฺผานิ คเหตฺวา สามาวติยา สนฺติกํ อคมาสิฯ อถ นํ สา ปุจฺฉิ ‘‘อมฺม อุตฺตเร, ตฺวํ อเญฺญสุ ทิวเสสุ น พหูนิ ปุปฺผานิ อาหรสิ, อชฺช ปน พหุกานิ, กิํ โน ราชา อุตฺตริตรํ ปสโนฺน’’ติ? สา มุสา วตฺตุํ อภพฺพตาย อตีเต อตฺตนา กตํ อนิคูหิตฺวา สพฺพํ กเถสิฯ อถ ‘‘กสฺมา อชฺช พหูนิ อาหรสี’’ติ จ วุตฺตา ‘‘อชฺชาหํ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ธมฺมํ สุตฺวา อมตํ สจฺฉากาสิํ, ตสฺมา ตุเมฺห น วเญฺจมี’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา ‘‘อเร ทุฎฺฐทาสิ, เอตฺตกํ กาลํ ตยา คหิเต กหาปเณ เทหี’’ติ อตเชฺชตฺวา ปุพฺพเหตุนา โจทิยมานา ‘‘อมฺม, ตยา ปีตํ อมตํ, อเมฺหปิ ปาเยหี’’ติ วตฺวา ‘‘เตน หิ มํ นฺหาเปหี’’ติ วุเตฺต โสฬสหิ คโนฺธทกฆเฎหิ นฺหาเปตฺวา เทฺว มฎฺฐสาฎเก ทาเปสิฯ สา เอกํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา อาสเน นิสีทิตฺวา วิจิตฺรพีชนิํ อาทาย นีจาสเนสุ นิสินฺนานิ ปญฺจ มาตุคามสตานิ อามเนฺตตฺวา เสขปฺปฎิสมฺภิทาสุ ฐตฺวา สตฺถารา เทสิตนิยาเมเนว ตาสํ ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาวสาเน ตา สพฺพา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ ตา สพฺพาปิ ขุชฺชุตฺตรํ วนฺทิตฺวา ‘‘อมฺม, อชฺช ปฎฺฐาย ตฺวํ กิลิฎฺฐกมฺมํ มา กริ, อมฺหากํ มาตุฎฺฐาเน อาจริยฎฺฐาเน จ ปติฎฺฐาหี’’ติ ครุฎฺฐาเน ฐปยิํสุฯ

    Sā aññesu divasesu cattārova kahāpaṇe datvā pupphāni gahetvā gacchati, tasmiṃ pana divase diṭṭhasaccabhāvena parasantake cittaṃ anuppādetvā aṭṭhapi kahāpaṇe datvā pacchiṃ pūretvā pupphāni gahetvā sāmāvatiyā santikaṃ agamāsi. Atha naṃ sā pucchi ‘‘amma uttare, tvaṃ aññesu divasesu na bahūni pupphāni āharasi, ajja pana bahukāni, kiṃ no rājā uttaritaraṃ pasanno’’ti? Sā musā vattuṃ abhabbatāya atīte attanā kataṃ anigūhitvā sabbaṃ kathesi. Atha ‘‘kasmā ajja bahūni āharasī’’ti ca vuttā ‘‘ajjāhaṃ sammāsambuddhassa dhammaṃ sutvā amataṃ sacchākāsiṃ, tasmā tumhe na vañcemī’’ti āha. Taṃ sutvā ‘‘are duṭṭhadāsi, ettakaṃ kālaṃ tayā gahite kahāpaṇe dehī’’ti atajjetvā pubbahetunā codiyamānā ‘‘amma, tayā pītaṃ amataṃ, amhepi pāyehī’’ti vatvā ‘‘tena hi maṃ nhāpehī’’ti vutte soḷasahi gandhodakaghaṭehi nhāpetvā dve maṭṭhasāṭake dāpesi. Sā ekaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā āsanaṃ paññāpetvā āsane nisīditvā vicitrabījaniṃ ādāya nīcāsanesu nisinnāni pañca mātugāmasatāni āmantetvā sekhappaṭisambhidāsu ṭhatvā satthārā desitaniyāmeneva tāsaṃ dhammaṃ desesi. Desanāvasāne tā sabbā sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu. Tā sabbāpi khujjuttaraṃ vanditvā ‘‘amma, ajja paṭṭhāya tvaṃ kiliṭṭhakammaṃ mā kari, amhākaṃ mātuṭṭhāne ācariyaṭṭhāne ca patiṭṭhāhī’’ti garuṭṭhāne ṭhapayiṃsu.

    กสฺมา ปเนสา ทาสี หุตฺวา นิพฺพตฺตาติ? สา กิร กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล พาราณสิยํ เสฎฺฐิธีตา หุตฺวา นิพฺพตฺตาฯ เอกาย ขีณาสวเตฺถริยา อุปฎฺฐากกุลํ คตาย ‘‘เอตํ เม อเยฺย, ปสาธนเปฬิกํ เทถา’’ติ เวยฺยาวจฺจํ กาเรสิฯ เถรีปิ ‘‘อเทนฺติยา มยิ อาฆาตํ อุปฺปาเทตฺวา นิรเย นิพฺพตฺติสฺสติ, เทนฺติยา ปเรสํ ทาสี หุตฺวา นิพฺพตฺติสฺสติ, นิรยสนฺตาปโต ทาสิภาโว เสโยฺย’’ติ อนุทฺทยํ ปฎิจฺจ ตสฺสา วจนํ อกาสิฯ สา เตน กเมฺมน ปญฺจ ชาติสตานิ ปเรสํ ทาสีเยว หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ

    Kasmā panesā dāsī hutvā nibbattāti? Sā kira kassapasammāsambuddhakāle bārāṇasiyaṃ seṭṭhidhītā hutvā nibbattā. Ekāya khīṇāsavattheriyā upaṭṭhākakulaṃ gatāya ‘‘etaṃ me ayye, pasādhanapeḷikaṃ dethā’’ti veyyāvaccaṃ kāresi. Therīpi ‘‘adentiyā mayi āghātaṃ uppādetvā niraye nibbattissati, dentiyā paresaṃ dāsī hutvā nibbattissati, nirayasantāpato dāsibhāvo seyyo’’ti anuddayaṃ paṭicca tassā vacanaṃ akāsi. Sā tena kammena pañca jātisatāni paresaṃ dāsīyeva hutvā nibbatti.

    กสฺมา ปน ขุชฺชา อโหสิ? อนุปฺปเนฺน กิร พุเทฺธ อยํ พาราณสิรโญฺญ เคเห วสนฺตี เอกํ ราชกุลูปกํ ปเจฺจกพุทฺธํ โถกํ ขุชฺชธาตุกํ ทิสฺวา อตฺตนา สหวาสีนํ มาตุคามานํ ปุรโต ปริหาสํ กโรนฺตี ยถาวชฺชํ เกฬิวเสน ขุชฺชาการํ ทเสฺสสิ, ตสฺมา ขุชฺชา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ

    Kasmā pana khujjā ahosi? Anuppanne kira buddhe ayaṃ bārāṇasirañño gehe vasantī ekaṃ rājakulūpakaṃ paccekabuddhaṃ thokaṃ khujjadhātukaṃ disvā attanā sahavāsīnaṃ mātugāmānaṃ purato parihāsaṃ karontī yathāvajjaṃ keḷivasena khujjākāraṃ dassesi, tasmā khujjā hutvā nibbatti.

    กิํ ปน กตฺวา ปญฺญวนฺตี ชาตาติ? อนุปฺปเนฺน กิร พุเทฺธ อยํ พาราณสิรโญฺญ เคเห วสนฺตี อฎฺฐ ปเจฺจกพุเทฺธ ราชเคหโต อุณฺหปายาสสฺส ปูริเต ปเตฺต ปริวตฺติตฺวา ปริวตฺติตฺวา คณฺหเนฺต ทิสฺวา อตฺตโน สนฺตกานิ อฎฺฐ ทนฺตวลยานิ ‘‘อิธ ฐเปตฺวา คณฺหถา’’ติ อทาสิฯ เต ตถา กตฺวา โอโลเกสุํฯ ‘‘ตุมฺหากเญฺญว ตานิ ปริจฺจตฺตานิ, คเหตฺวา คจฺฉถา’’ติ อาหฯ เต นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมํสุฯ อชฺชาปิ ตานิ วลยานิ อโรคาเนวฯ สา ตสฺส นิสฺสเนฺทน ปญฺญวนฺตี ชาตาฯ

    Kiṃ pana katvā paññavantī jātāti? Anuppanne kira buddhe ayaṃ bārāṇasirañño gehe vasantī aṭṭha paccekabuddhe rājagehato uṇhapāyāsassa pūrite patte parivattitvā parivattitvā gaṇhante disvā attano santakāni aṭṭha dantavalayāni ‘‘idha ṭhapetvā gaṇhathā’’ti adāsi. Te tathā katvā olokesuṃ. ‘‘Tumhākaññeva tāni pariccattāni, gahetvā gacchathā’’ti āha. Te nandamūlakapabbhāraṃ agamaṃsu. Ajjāpi tāni valayāni arogāneva. Sā tassa nissandena paññavantī jātā.

    อถ นํ สามาวติปฺปมุขานิ ปญฺจ อิตฺถิสตานิ ‘‘อมฺม, ตฺวํ ทิวเส ทิวเส สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ภควตา เทสิตํ ธมฺมํ สุตฺวา อมฺหากํ เทเสหี’’ติ วทิํสุฯ สา ตถา กโรนฺตี อปรภาเค ติปิฎกธรา ชาตาฯ ตสฺมา นํ สตฺถา – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวิกานํ พหุสฺสุตานํ อุปาสิกานํ ยทิทํ ขุชฺชุตฺตรา’’ติ เอตทเคฺค ฐเปสิฯ อิติ อุปาสิกาสุ พหุสฺสุตภาเวน สตฺถารา เอตทเคฺค ฐปิตา ปฎิสมฺภิทาปฺปตฺตา ขุชฺชุตฺตรา อริยสาวิกา สตฺถริ โกสมฺพิยํ วิหรเนฺต กาเลน กาลํ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา อเนฺตปุรํ คนฺตฺวา สามาวติปฺปมุขานํ ปญฺจนฺนํ อิตฺถิสตานํ อริยสาวิกานํ สตฺถารา เทสิตนิยาเมน ยถาสุตํ ธมฺมํ กเถนฺตี อตฺตานํ ปริโมเจตฺวา สตฺถุ สนฺติเก สุตภาวํ ปกาเสนฺตี ‘‘วุตฺตเญฺหตํ ภควตา วุตฺตมรหตาติ เม สุต’’นฺติ นิทานํ อาโรเปสิฯ

    Atha naṃ sāmāvatippamukhāni pañca itthisatāni ‘‘amma, tvaṃ divase divase satthu santikaṃ gantvā bhagavatā desitaṃ dhammaṃ sutvā amhākaṃ desehī’’ti vadiṃsu. Sā tathā karontī aparabhāge tipiṭakadharā jātā. Tasmā naṃ satthā – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvikānaṃ bahussutānaṃ upāsikānaṃ yadidaṃ khujjuttarā’’ti etadagge ṭhapesi. Iti upāsikāsu bahussutabhāvena satthārā etadagge ṭhapitā paṭisambhidāppattā khujjuttarā ariyasāvikā satthari kosambiyaṃ viharante kālena kālaṃ satthu santikaṃ gantvā dhammaṃ sutvā antepuraṃ gantvā sāmāvatippamukhānaṃ pañcannaṃ itthisatānaṃ ariyasāvikānaṃ satthārā desitaniyāmena yathāsutaṃ dhammaṃ kathentī attānaṃ parimocetvā satthu santike sutabhāvaṃ pakāsentī ‘‘vuttañhetaṃ bhagavatā vuttamarahatāti me suta’’nti nidānaṃ āropesi.

    ยสฺมา ปน ตสฺมิํเยว นคเร ภควโต สมฺมุขา สุตฺวา ตทเหว ตาย ตาสํ ภาสิตํ, ตสฺมา ‘‘เอกํ สมยํ ภควา โกสมฺพิยํ วิหรตี’’ติ กาลเทสํ อปทิสิตุํ ปโยชนสมฺภโวว นตฺถิ สุปากฎภาวโตฯ ภิกฺขุนิโย จสฺสา สนฺติเก อิมานิ สุตฺตานิ คณฺหิํสุฯ เอวํ ปรมฺปราย ภิกฺขูสุปิ ตาย อาโรปิตํ นิทานํ ปากฎํ อโหสิฯ อถ อายสฺมา อานโนฺท ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานโต อปรภาเค สตฺตปณฺณิคุหายํ อชาตสตฺตุนา การาปิเต สทฺธมฺมมณฺฑเป มหากสฺสปปฺปมุขสฺส วสีคณสฺส มเชฺฌ นิสีทิตฺวา ธมฺมํ สงฺคายโนฺต อิเมสํ สุตฺตานํ นิทานสฺส เทฺวฬฺหกํ ปริหรโนฺต ตาย อาโรปิตนิยาเมเนว นิทานํ อาโรเปสีติฯ

    Yasmā pana tasmiṃyeva nagare bhagavato sammukhā sutvā tadaheva tāya tāsaṃ bhāsitaṃ, tasmā ‘‘ekaṃ samayaṃ bhagavā kosambiyaṃ viharatī’’ti kāladesaṃ apadisituṃ payojanasambhavova natthi supākaṭabhāvato. Bhikkhuniyo cassā santike imāni suttāni gaṇhiṃsu. Evaṃ paramparāya bhikkhūsupi tāya āropitaṃ nidānaṃ pākaṭaṃ ahosi. Atha āyasmā ānando tathāgatassa parinibbānato aparabhāge sattapaṇṇiguhāyaṃ ajātasattunā kārāpite saddhammamaṇḍape mahākassapappamukhassa vasīgaṇassa majjhe nisīditvā dhammaṃ saṅgāyanto imesaṃ suttānaṃ nidānassa dveḷhakaṃ pariharanto tāya āropitaniyāmeneva nidānaṃ āropesīti.

    เกจิ ปเนตฺถ พหุปฺปกาเร ปปเญฺจนฺติฯ กิํ เตหิ? อปิจ นานานเยหิ สงฺคีติการา ธมฺมวินยํ สงฺคายิํสุฯ อนุพุทฺธา หิ ธมฺมสงฺคาหกมหาเถรา, เต สมฺมเทว ธมฺมวินยสฺส สงฺคายนาการํ ชานนฺตา กตฺถจิ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทินา, กตฺถจิ ‘‘เตน สมเยนา’’ติอาทินา, กตฺถจิ คาถาพนฺธวเสน นิทานํ ฐเปนฺตา, กตฺถจิ สเพฺพน สพฺพํ นิทานํ อฎฺฐเปนฺตา วคฺคสงฺคหาทิวเสน ธมฺมวินยํ สงฺคายิํสุฯ ตตฺถ อิธ วุตฺตเญฺหตนฺติอาทินา นิทานํ ฐเปตฺวา สงฺคายิํสุ, กิญฺจิ สุตฺตเคยฺยาทิวเสน นวงฺคมิทํ พุทฺธวจนํฯ ยถา เจตํ, เอวํ สเพฺพสมฺปิ สมฺมาสมฺพุทฺธานํฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อปฺปกญฺจ เนสํ อโหสิ สุตฺตํ เคยฺย’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ อิติวุตฺตกงฺคสฺส อญฺญํ กิญฺจิ น ปญฺญายติ ตพฺภาวนิมิตฺตํ ฐเปตฺวา ‘‘วุตฺตเญฺหตํ…เป.… เม สุต’’นฺติ อิทํ วจนํฯ เตนาหุ อฎฺฐกถาจริยา ‘‘วุตฺตเญฺหตํ ภควตาติ อาทินยปฺปวตฺตา ทฺวาทสุตฺตรสตสุตฺตนฺตา อิติวุตฺตก’’นฺติฯ ตสฺมา สตฺถุ อธิปฺปายํ ชานเนฺตหิ ธมฺมสงฺคาหเกหิ อริยสาวิกาย วา อิเมสํ สุตฺตานํ อิติวุตฺตกงฺคภาวญาปนตฺถํ อิมินาว นเยน นิทานํ ฐปิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Keci panettha bahuppakāre papañcenti. Kiṃ tehi? Apica nānānayehi saṅgītikārā dhammavinayaṃ saṅgāyiṃsu. Anubuddhā hi dhammasaṅgāhakamahātherā, te sammadeva dhammavinayassa saṅgāyanākāraṃ jānantā katthaci ‘‘evaṃ me suta’’ntiādinā, katthaci ‘‘tena samayenā’’tiādinā, katthaci gāthābandhavasena nidānaṃ ṭhapentā, katthaci sabbena sabbaṃ nidānaṃ aṭṭhapentā vaggasaṅgahādivasena dhammavinayaṃ saṅgāyiṃsu. Tattha idha vuttañhetantiādinā nidānaṃ ṭhapetvā saṅgāyiṃsu, kiñci suttageyyādivasena navaṅgamidaṃ buddhavacanaṃ. Yathā cetaṃ, evaṃ sabbesampi sammāsambuddhānaṃ. Vuttañhetaṃ ‘‘appakañca nesaṃ ahosi suttaṃ geyya’’ntiādi. Tattha itivuttakaṅgassa aññaṃ kiñci na paññāyati tabbhāvanimittaṃ ṭhapetvā ‘‘vuttañhetaṃ…pe… me suta’’nti idaṃ vacanaṃ. Tenāhu aṭṭhakathācariyā ‘‘vuttañhetaṃ bhagavatāti ādinayappavattā dvādasuttarasatasuttantā itivuttaka’’nti. Tasmā satthu adhippāyaṃ jānantehi dhammasaṅgāhakehi ariyasāvikāya vā imesaṃ suttānaṃ itivuttakaṅgabhāvañāpanatthaṃ imināva nayena nidānaṃ ṭhapitanti veditabbaṃ.

    กิมตฺถํ ปน ธมฺมวินยสงฺคเห กยิรมาเน นิทานวจนํ? นนุ ภควตา ภาสิตวจนเสฺสว สงฺคโห กาตโพฺพติ? วุจฺจเต – เทสนาย ฐิติอสโมฺมสสเทฺธยฺยภาวสมฺปาทนตฺถํฯ กาลเทสเทสกปริสาปเทเสหิ อุปนิพนฺธิตฺวา ฐปิตา หิ เทสนา จิรฎฺฐิติกา โหติ อสโมฺมสธมฺมา สเทฺธยฺยา จ เทสกาลกตฺตุเหตุนิมิเตฺตหิ อุปนิพโทฺธ วิย โวหารวินิจฺฉโยฯ เตเนว จ อายสฺมตา มหากสฺสเปน พฺรหฺมชาลมูลปริยายสุตฺตาทีนํ เทสาทิปุจฺฉาสุ กตาสุ ตาสํ วิสฺสชฺชนํ กโรเนฺตน ธมฺมภณฺฑาคาริเกน ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทินา นิทานํ ภาสิตํฯ อิธ ปน เทสกาลสฺส อคฺคหเณ การณํ วุตฺตเมวฯ

    Kimatthaṃ pana dhammavinayasaṅgahe kayiramāne nidānavacanaṃ? Nanu bhagavatā bhāsitavacanasseva saṅgaho kātabboti? Vuccate – desanāya ṭhitiasammosasaddheyyabhāvasampādanatthaṃ. Kāladesadesakaparisāpadesehi upanibandhitvā ṭhapitā hi desanā ciraṭṭhitikā hoti asammosadhammā saddheyyā ca desakālakattuhetunimittehi upanibaddho viya vohāravinicchayo. Teneva ca āyasmatā mahākassapena brahmajālamūlapariyāyasuttādīnaṃ desādipucchāsu katāsu tāsaṃ vissajjanaṃ karontena dhammabhaṇḍāgārikena ‘‘evaṃ me suta’’ntiādinā nidānaṃ bhāsitaṃ. Idha pana desakālassa aggahaṇe kāraṇaṃ vuttameva.

    อปิจ สตฺถุ สมฺปตฺติปฺปกาสนตฺถํ นิทานวจนํฯ ตถาคตสฺส หิ ภควโต ปุพฺพรจนานุมานาคมตกฺกาภาวโต สมฺมาสมฺพุทฺธภาวสิทฺธิฯ น หิ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปุพฺพรจนาทีหิ อโตฺถ อตฺถิ สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตญาณาจารตาย เอกปฺปมาณตฺตา จ เญยฺยธเมฺมสุฯ ตถา อาจริยมุฎฺฐิธมฺมมจฺฉริยสาสนสาวกานุราคาภาวโต ขีณาสวภาวสิทฺธิฯ น หิ สพฺพโส ขีณาสวสฺส เต สมฺภวนฺตีติ สุวิสุทฺธสฺส ปรานุคฺคหปวตฺติฯ เอวํ เทสกสํกิเลสภูตานํ ทิฎฺฐิสีลสมฺปทาทูสกานํ อวิชฺชาตณฺหานํ อจฺจนฺตาภาวสํสูจเกหิ ญาณสมฺปทาปหานสมฺปทาภิพฺยญฺชเกหิ จ สมฺพุทฺธวิสุทฺธภาเวหิ ปุริมเวสารชฺชทฺวยสิทฺธิ, ตโต จ อนฺตรายิกนิยฺยานิกธเมฺมสุ อสโมฺมหภาวสิทฺธิโต ปจฺฉิมเวสารชฺชทฺวยสิทฺธีติ ภควโต จตุเวสารชฺชสมนฺนาคโม อตฺตหิตปรหิตปฎิปตฺติ จ นิทานวจเนน ปกาสิตา โหติ, ตตฺถ ตตฺถ สมฺปตฺตปริสาย อชฺฌาสยานุรูปํ ฐานุปฺปตฺติกปฺปฎิภาเนน ธมฺมเทสนาทีปนโตฯ อิธ ปน อนวเสสโต กามโทสปฺปหานํ วิธาย เทสนาทีปนโต จาติ โยเชตพฺพํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สตฺถุ สมฺปตฺติปฺปกาสนตฺถํ นิทานวจน’’นฺติฯ เอตฺถ จ ‘‘ภควตา อรหตา’’ติ อิเมหิ ปเทหิ ยถาวุตฺตอตฺถวิภาวนตา เหฎฺฐา ทสฺสิตา เอวฯ

    Apica satthu sampattippakāsanatthaṃ nidānavacanaṃ. Tathāgatassa hi bhagavato pubbaracanānumānāgamatakkābhāvato sammāsambuddhabhāvasiddhi. Na hi sammāsambuddhassa pubbaracanādīhi attho atthi sabbattha appaṭihatañāṇācāratāya ekappamāṇattā ca ñeyyadhammesu. Tathā ācariyamuṭṭhidhammamacchariyasāsanasāvakānurāgābhāvato khīṇāsavabhāvasiddhi. Na hi sabbaso khīṇāsavassa te sambhavantīti suvisuddhassa parānuggahapavatti. Evaṃ desakasaṃkilesabhūtānaṃ diṭṭhisīlasampadādūsakānaṃ avijjātaṇhānaṃ accantābhāvasaṃsūcakehi ñāṇasampadāpahānasampadābhibyañjakehi ca sambuddhavisuddhabhāvehi purimavesārajjadvayasiddhi, tato ca antarāyikaniyyānikadhammesu asammohabhāvasiddhito pacchimavesārajjadvayasiddhīti bhagavato catuvesārajjasamannāgamo attahitaparahitapaṭipatti ca nidānavacanena pakāsitā hoti, tattha tattha sampattaparisāya ajjhāsayānurūpaṃ ṭhānuppattikappaṭibhānena dhammadesanādīpanato. Idha pana anavasesato kāmadosappahānaṃ vidhāya desanādīpanato cāti yojetabbaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘satthu sampattippakāsanatthaṃ nidānavacana’’nti. Ettha ca ‘‘bhagavatā arahatā’’ti imehi padehi yathāvuttaatthavibhāvanatā heṭṭhā dassitā eva.

    ตถา สาสนสมฺปตฺติปฺปกาสนตฺถํ นิทานวจนํฯ ญาณกรุณาปริคฺคหิตสพฺพกิริยสฺส หิ ภควโต นตฺถิ นิรตฺถกา ปฎิปตฺติ อตฺตหิตา วาฯ ตสฺมา ปเรสํเยวตฺถาย ปวตฺตสพฺพกิริยสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สกลมฺปิ กายวจีมโนกมฺมํ ยถาปวตฺตํ วุจฺจมานํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ ยถารหํ สตฺตานํ อนุสาสนเตฺถน สาสนํ, น กพฺพรจนาฯ ตยิทํ สตฺถุ จริตํ กาลเทสเทสกปริสาปเทเสหิ ตตฺถ ตตฺถ นิทานวจเนหิ ยถารหํ ปกาสิยติฯ อิธ ปน เทสกปริสาปเทเสหีติ โยเชตพฺพํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สาสนสมฺปตฺติปฺปกาสนตฺถํ นิทานวจน’’นฺติฯ

    Tathā sāsanasampattippakāsanatthaṃ nidānavacanaṃ. Ñāṇakaruṇāpariggahitasabbakiriyassa hi bhagavato natthi niratthakā paṭipatti attahitā vā. Tasmā paresaṃyevatthāya pavattasabbakiriyassa sammāsambuddhassa sakalampi kāyavacīmanokammaṃ yathāpavattaṃ vuccamānaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi yathārahaṃ sattānaṃ anusāsanatthena sāsanaṃ, na kabbaracanā. Tayidaṃ satthu caritaṃ kāladesadesakaparisāpadesehi tattha tattha nidānavacanehi yathārahaṃ pakāsiyati. Idha pana desakaparisāpadesehīti yojetabbaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘sāsanasampattippakāsanatthaṃ nidānavacana’’nti.

    อปิจ สตฺถุโน ปมาณภาวปฺปกาสเนน สาสนสฺส ปมาณภาวทสฺสนตฺถํ นิทานวจนํฯ ตญฺจสฺส ปมาณภาวทสฺสนํ เหฎฺฐา วุตฺตนยานุสาเรน ‘‘ภควตา อรหตา’’ติ อิเมหิ ปเทหิ วิภาวิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิทเมตฺถ นิทานวจนปฺปโยชนสฺส มุขมตฺตนิทสฺสนนฺติฯ

    Apica satthuno pamāṇabhāvappakāsanena sāsanassa pamāṇabhāvadassanatthaṃ nidānavacanaṃ. Tañcassa pamāṇabhāvadassanaṃ heṭṭhā vuttanayānusārena ‘‘bhagavatā arahatā’’ti imehi padehi vibhāvitanti veditabbaṃ. Idamettha nidānavacanappayojanassa mukhamattanidassananti.

    นิทานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nidānavaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact