Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-อภินว-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-abhinava-ṭīkā

    นิทานวณฺณนา

    Nidānavaṇṇanā

    เอวํ รตนตฺตยปณามาทิสหิตํ สญฺญาทิกํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ‘‘ปาติโมกฺขสฺส วณฺณนํ วณฺณยิสฺสามี’’ติ วุตฺตตฺตา ปาติโมกฺขํ ตาว วจนตฺถโต, สรูปเภทโต, คนฺถเภทโต, อุเทฺทสวิภาคโต, อุเทฺทสปริเจฺฉทโต จ ววตฺถเปตฺวา ตทุเทฺทสกฺกเมนายํ วณฺณนา ภวิสฺสตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ ปาติโมกฺข’’นฺติอาทิ อารทฺธํฯ

    Evaṃ ratanattayapaṇāmādisahitaṃ saññādikaṃ dassetvā idāni ‘‘pātimokkhassa vaṇṇanaṃ vaṇṇayissāmī’’ti vuttattā pātimokkhaṃ tāva vacanatthato, sarūpabhedato, ganthabhedato, uddesavibhāgato, uddesaparicchedato ca vavatthapetvā taduddesakkamenāyaṃ vaṇṇanā bhavissatīti dassetuṃ ‘‘tattha pātimokkha’’ntiādi āraddhaṃ.

    ตตฺถ ตตฺถาติ ตสฺมิํ คาถาปเทฯ ปอติโมกฺขนฺติ ปการโต อติวิย สีเลสุ มุขภูตํฯ อติปโมกฺขนฺติ ตเมว ปทํ อุปสคฺคพฺยตฺตเยน วทติฯ อถ วา ป อติ โมกฺขนฺติ ปทเจฺฉโท, ตสฺส อุปสคฺคพฺยตฺตเยนตฺถมาห ‘‘อติปโมกฺข’’นฺติฯ เอวํ ปเภทโต ปทวณฺณนํ กตฺวา สทฺทตฺถโต วทติ ‘‘อติเสฎฺฐํ อติอุตฺตมนฺติ อโตฺถ’’ติฯ เอตฺถ จ สีลปาติโมกฺขํ สพฺพคุณานํ มูลภาวโต เสฎฺฐํ, คนฺถปาติโมกฺขํ ปน เสฎฺฐคุณสหจรณโต เสฎฺฐนฺติ เวทิตพฺพํฯ อุตฺตมนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ อิตีติ เอวํฯ อิมินา ยถาวุตฺตวจนตฺถํ นิทเสฺสติฯ นิทสฺสนโตฺถ หิ อยํ อิติ-สโทฺท ‘‘สพฺพมตฺถีติ โข, กจฺจาน, อยเมโก อโนฺต, สพฺพํ นตฺถีติ โข, กจฺจาน, อยํ ทุติโย อโนฺต’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๑๕; ๓.๙๐) วิยฯ อิมินาติ อาสนฺนปจฺจกฺขวจนํ อิติ-สเทฺทน อนนฺตรนิทสฺสิตสฺส, ปฎิคฺคาหเกหิ จ โสตวิญฺญาณาทิวีถิยา ปฎิปนฺนสฺส วจนตฺถสฺส วจนโตฯ อถ วา อิมินาติ อาสนฺนปจฺจกฺขภาวกรณวจนํ ยถาวุตฺตสฺส วจนตฺถสฺส อภิมุขีกรณโตฯ วจนเตฺถนาติ ‘‘อติเสฎฺฐ’’นฺติ สทฺทเตฺถนฯ เอกวิธมฺปีติ เอกโกฎฺฐาสมฺปิฯ สีลคนฺถเภทโต ทุวิธํ โหตีติ ปุน สีลคนฺถสงฺขาเตน ปเภเทน ทุวิธํ โหติ, สีลปาติโมกฺขํ, คนฺถปาติโมกฺขญฺจาติ ทุวิธํ โหตีติ อโตฺถฯ

    Tattha tatthāti tasmiṃ gāthāpade. Paatimokkhanti pakārato ativiya sīlesu mukhabhūtaṃ. Atipamokkhanti tameva padaṃ upasaggabyattayena vadati. Atha vā pa ati mokkhanti padacchedo, tassa upasaggabyattayenatthamāha ‘‘atipamokkha’’nti. Evaṃ pabhedato padavaṇṇanaṃ katvā saddatthato vadati ‘‘atiseṭṭhaṃ atiuttamanti attho’’ti. Ettha ca sīlapātimokkhaṃ sabbaguṇānaṃ mūlabhāvato seṭṭhaṃ, ganthapātimokkhaṃ pana seṭṭhaguṇasahacaraṇato seṭṭhanti veditabbaṃ. Uttamanti etthāpi eseva nayo. Itīti evaṃ. Iminā yathāvuttavacanatthaṃ nidasseti. Nidassanattho hi ayaṃ iti-saddo ‘‘sabbamatthīti kho, kaccāna, ayameko anto, sabbaṃ natthīti kho, kaccāna, ayaṃ dutiyo anto’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.15; 3.90) viya. Imināti āsannapaccakkhavacanaṃ iti-saddena anantaranidassitassa, paṭiggāhakehi ca sotaviññāṇādivīthiyā paṭipannassa vacanatthassa vacanato. Atha vā imināti āsannapaccakkhabhāvakaraṇavacanaṃ yathāvuttassa vacanatthassa abhimukhīkaraṇato. Vacanatthenāti ‘‘atiseṭṭha’’nti saddatthena. Ekavidhampīti ekakoṭṭhāsampi. Sīlaganthabhedato duvidhaṃ hotīti puna sīlaganthasaṅkhātena pabhedena duvidhaṃ hoti, sīlapātimokkhaṃ, ganthapātimokkhañcāti duvidhaṃ hotīti attho.

    อิทานิ ตทุภยสฺสาปิ สุเตฺต อาคตภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตถา หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปาติ รกฺขตีติ ปาติ, ตํ โมเกฺขติ โมเจติ อาปายิกาทีหิ ทุเกฺขหีติ ปาติโมกฺขํ, สํวรณํ สํวโร, กายวาจาหิ อวีติกฺกโม, ปาติโมกฺขเมว สํวโร ปาติโมกฺขสํวโร, ปาติโมกฺขสํวเรน สํวุโต สมนฺนาคโต ปาติโมกฺขสํวรสํวุโตฯ วิหรตีติ วตฺตติฯ

    Idāni tadubhayassāpi sutte āgatabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘tathā hī’’tiādi vuttaṃ. Tattha pāti rakkhatīti pāti, taṃ mokkheti moceti āpāyikādīhi dukkhehīti pātimokkhaṃ, saṃvaraṇaṃ saṃvaro, kāyavācāhi avītikkamo, pātimokkhameva saṃvaro pātimokkhasaṃvaro, pātimokkhasaṃvarena saṃvuto samannāgato pātimokkhasaṃvarasaṃvuto. Viharatīti vattati.

    อาทิเมตนฺติ เอตํ สิกฺขาปทสีลํ ปุพฺพุปฺปตฺติอเตฺถน อาทิฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Ādimetanti etaṃ sikkhāpadasīlaṃ pubbuppattiatthena ādi. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ตสฺมาติห ตฺวํ, อุตฺติย, อาทิเมว วิโสเธหิ กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ โก จาทิ กุสลานํ ธมฺมานํ? สีลญฺจ สุวิสุทฺธํ, ทิฎฺฐิ จ อุชุกา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๘๒)ฯ

    ‘‘Tasmātiha tvaṃ, uttiya, ādimeva visodhehi kusalesu dhammesu. Ko cādi kusalānaṃ dhammānaṃ? Sīlañca suvisuddhaṃ, diṭṭhi ca ujukā’’ti (saṃ. ni. 5.382).

    ยถา หิ นครวฑฺฒกี นครํ มาเปตุกาโม ปฐมํ นครฎฺฐานํ โสเธติ, ตโต อปรภาเค วีถิจตุกฺกสิงฺฆาฎกาทิปริเจฺฉเทน วิภชิตฺวา นครํ มาเปติ, ยถา วา ปน รชโก ปฐมํ ตีหิ ขาเรหิ วตฺถํ โธวิตฺวา ปริสุเทฺธ วเตฺถ ยทิจฺฉกํ รงฺคชาตํ อุปเนติ, ยถา วา ปน เฉโก จิตฺตกาโร รูปํ ลิขิตุกาโม อาทิโตว ภิตฺติปริกมฺมํ กโรติ, ตโต อปรภาเค รูปํ สมุฎฺฐาเปติ, เอวเมว โยคาวจโร อาทิโตว สีลํ วิโสเธตฺวา อปรภาเค สมถวิปสฺสนาทโย ธเมฺม สจฺฉิกโรติฯ ตสฺมา สีลํ ‘‘อาที’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘มุขเมต’’นฺติอาทีนิ วุตฺตตฺถาเนวฯ อาทิสเทฺทน ‘‘ปาติโมเกฺข จ สํวโร’’ติอาทิปาฬิํ (ที. นิ. ๒.๙๐; ธ. ป. ๑๘๕) สงฺคณฺหาติฯ

    Yathā hi nagaravaḍḍhakī nagaraṃ māpetukāmo paṭhamaṃ nagaraṭṭhānaṃ sodheti, tato aparabhāge vīthicatukkasiṅghāṭakādiparicchedena vibhajitvā nagaraṃ māpeti, yathā vā pana rajako paṭhamaṃ tīhi khārehi vatthaṃ dhovitvā parisuddhe vatthe yadicchakaṃ raṅgajātaṃ upaneti, yathā vā pana cheko cittakāro rūpaṃ likhitukāmo āditova bhittiparikammaṃ karoti, tato aparabhāge rūpaṃ samuṭṭhāpeti, evameva yogāvacaro āditova sīlaṃ visodhetvā aparabhāge samathavipassanādayo dhamme sacchikaroti. Tasmā sīlaṃ ‘‘ādī’’ti vuttaṃ. ‘‘Mukhameta’’ntiādīni vuttatthāneva. Ādisaddena ‘‘pātimokkhe ca saṃvaro’’tiādipāḷiṃ (dī. ni. 2.90; dha. pa. 185) saṅgaṇhāti.

    สีลนฺติ จาริตฺตวาริตฺตวเสน ทุวิธํ วินยปิฎกปริยาปนฺนํ สิกฺขาปทสีลํ, ธมฺมโต ปน สีลํ นาม ปาณาติปาตาทีหิ วา วิรมนฺตสฺส, วตฺตปฎิปตฺติํ วา ปูเรนฺตสฺส เจตนาทโย ธมฺมา เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ปฎิสมฺภิทายํ ‘‘กิํ สีลนฺติ เจตนา สีลํ เจตสิกํ สีลํ สํวโร สีลํ อวีติกฺกโม สีล’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๑.๓๙) ‘‘อุภยานิ โข ปนสฺส ปาติโมกฺขานี’’ติ ภิกฺขุภิกฺขุนีปาติโมกฺขวเสน อุภยานิ ปาติโมกฺขานิ, เทฺว มาติกาติ อโตฺถฯ อสฺสาติ ภิกฺขุโนวาทกสฺส ฯ วิตฺถาเรนาติ อุภโตวิภเงฺคน สทฺธิํฯ สฺวาคตานีติ สุฎฺฐุ อาคตานิฯ อาทิสเทฺทน ‘‘ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยา’’ติอาทิปาฬิํ (มหาว. ๑๓๔) สงฺคณฺหาติฯ ตตฺถาติ เตสุ สีลคนฺถปาติโมเกฺขสุฯ โยติ อนิยมนิเทฺทโส, โย โกจิ ปุคฺคโลฯ นฺติ วินยปริยาปนฺนสีลํฯ รกฺขตีติ สมาทิยิตฺวา อวิโกเปโนฺต ปาเลติฯ ตํ ‘‘ปาตี’’ติ ลทฺธนามํ ปาติโมกฺขสีเล ฐิตํฯ โมเจตีติ สหการิการณภาวโต โมเกฺขติฯ อปาเย ชาตํ อาปายิกํ, ทุกฺขํ, ตํ อาทิ เยสํ ตานิ อาปายิกาทีนิอาทิสเทฺทน ตทญฺญํ สพฺพํ สํสารทุกฺขํ สงฺคณฺหาติฯ อตฺตานุวาทาทีหีติ อตฺตานํ อนุวาโท อตฺตานุวาโท, โส อาทิ เยสํ ตานิ อตฺตานุวาทาทีนิ, เตหิ อตฺตานุวาทาทีหิฯ อาทิสเทฺทน ปรานุวาททณฺฑทุคฺคติภยานิ สงฺคณฺหาติฯ ตสฺส ปาติโมกฺขสฺส โชตกตฺตาติ ตสฺส สีลปาติโมกฺขสฺส ทีปนตฺตาฯ อาทิมฺหิ ปน วุโตฺต วจนโตฺถติ ‘‘อติเสฎฺฐ’’นฺติอาทินา อาทิมฺหิ วุโตฺต วจนโตฺถฯ อุภินฺนมฺปิ สาธารโณ โหติ สีลปาติโมกฺขํ สพฺพคุณานํ มูลภาวโต เสฎฺฐํ, คนฺถปาติโมกฺขํ เสฎฺฐคุณสหจรณโต เสฎฺฐนฺติฯ

    Sīlanti cārittavārittavasena duvidhaṃ vinayapiṭakapariyāpannaṃ sikkhāpadasīlaṃ, dhammato pana sīlaṃ nāma pāṇātipātādīhi vā viramantassa, vattapaṭipattiṃ vā pūrentassa cetanādayo dhammā veditabbā. Vuttañhetaṃ paṭisambhidāyaṃ ‘‘kiṃ sīlanti cetanā sīlaṃ cetasikaṃ sīlaṃ saṃvaro sīlaṃ avītikkamo sīla’’nti (paṭi. ma. 1.39) ‘‘ubhayāni kho panassa pātimokkhānī’’ti bhikkhubhikkhunīpātimokkhavasena ubhayāni pātimokkhāni, dve mātikāti attho. Assāti bhikkhunovādakassa . Vitthārenāti ubhatovibhaṅgena saddhiṃ. Svāgatānīti suṭṭhu āgatāni. Ādisaddena ‘‘pātimokkhaṃ uddiseyyā’’tiādipāḷiṃ (mahāva. 134) saṅgaṇhāti. Tatthāti tesu sīlaganthapātimokkhesu. Yoti aniyamaniddeso, yo koci puggalo. Nanti vinayapariyāpannasīlaṃ. Rakkhatīti samādiyitvā avikopento pāleti. Taṃ ‘‘pātī’’ti laddhanāmaṃ pātimokkhasīle ṭhitaṃ. Mocetīti sahakārikāraṇabhāvato mokkheti. Apāye jātaṃ āpāyikaṃ, dukkhaṃ, taṃ ādi yesaṃ tāni āpāyikādīni. Ādisaddena tadaññaṃ sabbaṃ saṃsāradukkhaṃ saṅgaṇhāti. Attānuvādādīhīti attānaṃ anuvādo attānuvādo, so ādi yesaṃ tāni attānuvādādīni, tehi attānuvādādīhi. Ādisaddena parānuvādadaṇḍaduggatibhayāni saṅgaṇhāti. Tassa pātimokkhassa jotakattāti tassa sīlapātimokkhassa dīpanattā. Ādimhi pana vutto vacanatthoti ‘‘atiseṭṭha’’ntiādinā ādimhi vutto vacanattho. Ubhinnampi sādhāraṇo hoti sīlapātimokkhaṃ sabbaguṇānaṃ mūlabhāvato seṭṭhaṃ, ganthapātimokkhaṃ seṭṭhaguṇasahacaraṇato seṭṭhanti.

    ตตฺถาติ เตสุ สีลปาติโมกฺขคนฺถปาติโมเกฺขสุฯ ‘‘อยํ วณฺณนา’’ติ วกฺขมานวณฺณนมาหฯ คนฺถปาติโมกฺขสฺส ตาว ยุชฺชตุ, กถํ สีลปาติโมกฺขสฺส ยุชฺชตีติ อาห ‘‘คเนฺถ หี’’ติอาทิฯ หีติ การณเตฺถ นิปาโตฯ ตสฺสาติ คนฺถสฺสฯ อโตฺถติ สีลํฯ วณฺณิโตว โหตีติ คนฺถวณฺณนามุเขน อตฺถเสฺสว วณฺณนโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยสฺมา คเนฺถ วณฺณิเต ตทวินาภาวโต ตสฺสโตฺถ วณฺณิโต โหติ, ตสฺมา สีลปาติโมกฺขสฺสปิ ยุชฺชตีติฯ

    Tatthāti tesu sīlapātimokkhaganthapātimokkhesu. ‘‘Ayaṃ vaṇṇanā’’ti vakkhamānavaṇṇanamāha. Ganthapātimokkhassa tāva yujjatu, kathaṃ sīlapātimokkhassa yujjatīti āha ‘‘ganthe hī’’tiādi. ti kāraṇatthe nipāto. Tassāti ganthassa. Atthoti sīlaṃ. Vaṇṇitova hotīti ganthavaṇṇanāmukhena atthasseva vaṇṇanato. Idaṃ vuttaṃ hoti – yasmā ganthe vaṇṇite tadavinābhāvato tassattho vaṇṇito hoti, tasmā sīlapātimokkhassapi yujjatīti.

    เอวํ สรูปเภทโต ววตฺถเปตฺวา อิทานิ คนฺถเภทโต ววตฺถเปตุํ ‘‘ตํ ปเนต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถาติ เตสุ ภิกฺขุปาติโมกฺขภิกฺขุนีปาติโมเกฺขสุ ทฺวีสุฯ อุเทฺทสา ปริจฺฉิชฺชนฺติ เยหิ วกฺขมานวจนปฺปพเนฺธหิ, เต อุเทฺทสปริเจฺฉทา, เตหิฯ ววตฺถิตนฺติ อสงฺกรโต ฐิตํฯ

    Evaṃ sarūpabhedato vavatthapetvā idāni ganthabhedato vavatthapetuṃ ‘‘taṃ paneta’’ntiādimāha. Tatthāti tesu bhikkhupātimokkhabhikkhunīpātimokkhesu dvīsu. Uddesā paricchijjanti yehi vakkhamānavacanappabandhehi, te uddesaparicchedā, tehi. Vavatthitanti asaṅkarato ṭhitaṃ.

    เอวํ คนฺถเภทโต ววตฺถเปตฺวา อิทานิ อุเทฺทสวิภาคโต ววตฺถเปตุํ ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิมาหฯ อุทฺทิสียติ สรูเปน กถียติ เอตฺถ, เอเตนาติ วา อุเทฺทโส, นิทานสฺส อุเทฺทโสติ นิทานุเทฺทโสฯ เอวํ เสเสสุปิฯ วิตฺถาโรว อุเทฺทโส วิตฺถารุเทฺทโส

    Evaṃ ganthabhedato vavatthapetvā idāni uddesavibhāgato vavatthapetuṃ ‘‘tatthā’’tiādimāha. Uddisīyati sarūpena kathīyati ettha, etenāti vā uddeso, nidānassa uddesoti nidānuddeso. Evaṃ sesesupi. Vitthārova uddeso vitthāruddeso.

    อิทานิ นิทานุเทฺทสาทีนํ ปริเจฺฉททสฺสนตฺถํ ‘‘ตตฺถ นิทานุเทฺทโส’’ติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ ตตฺถาติ เตสุ ปญฺจสุ อุเทฺทเสสุฯ นิทานุเทฺทโส อุทฺทิโฎฺฐ โหตีติ สมฺพโนฺธฯ ยํ ปเนตฺถ นิทานุเทฺทสปริเจฺฉทํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ…เป.… อาวิกตา หิสฺส ผาสุ โหตี’’ติ อิธาคตนิทานปาฬิํ ทเสฺสตฺวา ตทนนฺตรํ อุเทฺทสกาเล วตฺตพฺพสฺสาปิ ‘‘อุทฺทิฎฺฐํ โข อายสฺมโนฺต นิทาน’’นฺติ อิมสฺส ปาฐสฺส โยชนํ อกตฺวา ‘‘ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามี’’ติอาทินา อนุสาวนาทิกเมว โยเชตฺวา ทสฺสิตํ, ตํ ปน อปริปุณฺณนิทานปาฬิทสฺสนปุพฺพกนิทานุเทฺทสปริเจฺฉททสฺสนตฺถํ, ขุทฺทกเปยฺยาลวเสน วา ปากฎตฺตา ตสฺส อโยชนํ กตนฺติ เวทิตพฺพํ, อุเทฺทสกาเล ปน โยเชตฺวาว วตฺตพฺพํฯ วกฺขติ หิ ‘‘ตํ ปเนตํ ปาราชิกาทีนํ อวสาเน ทิสฺสติ, น นิทานาวสาเนฯ กิญฺจาปิ น ทิสฺสติ, อถ โข อุเทฺทสกาเล ‘อาวิกตา หิสฺส ผาสุ โหตี’ติ วตฺวา ‘อุทฺทิฎฺฐํ โข อายสฺมโนฺต นิทานํ, ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามี’ติอาทินา นเยน วตฺตพฺพเมวา’’ติอาทิฯ อวเสเส สุเตน สาวิเตติ อวสิฎฺฐํ ปาราชิกุเทฺทสาทิจตุกฺกํ ‘‘สุตา โข ปนายสฺมเนฺตหิ จตฺตาโร ปาราชิกา ธมฺมา…เป.… อวิวทมาเนหิ สิกฺขิตพฺพ’’นฺติ เอวํ สุตวเสน สาวิเตฯ

    Idāni nidānuddesādīnaṃ paricchedadassanatthaṃ ‘‘tattha nidānuddeso’’tiādi āraddhaṃ. Tattha tatthāti tesu pañcasu uddesesu. Nidānuddeso uddiṭṭho hotīti sambandho. Yaṃ panettha nidānuddesaparicchedaṃ dassentena ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho…pe… āvikatā hissa phāsu hotī’’ti idhāgatanidānapāḷiṃ dassetvā tadanantaraṃ uddesakāle vattabbassāpi ‘‘uddiṭṭhaṃ kho āyasmanto nidāna’’nti imassa pāṭhassa yojanaṃ akatvā ‘‘tatthāyasmante pucchāmī’’tiādinā anusāvanādikameva yojetvā dassitaṃ, taṃ pana aparipuṇṇanidānapāḷidassanapubbakanidānuddesaparicchedadassanatthaṃ, khuddakapeyyālavasena vā pākaṭattā tassa ayojanaṃ katanti veditabbaṃ, uddesakāle pana yojetvāva vattabbaṃ. Vakkhati hi ‘‘taṃ panetaṃ pārājikādīnaṃ avasāne dissati, na nidānāvasāne. Kiñcāpi na dissati, atha kho uddesakāle ‘āvikatā hissa phāsu hotī’ti vatvā ‘uddiṭṭhaṃ kho āyasmanto nidānaṃ, tatthāyasmante pucchāmī’tiādinā nayena vattabbamevā’’tiādi. Avasese sutena sāviteti avasiṭṭhaṃ pārājikuddesādicatukkaṃ ‘‘sutā kho panāyasmantehi cattāro pārājikā dhammā…pe… avivadamānehi sikkhitabba’’nti evaṃ sutavasena sāvite.

    เอเตเนว นเยน เสสา ตโย ปาติโมกฺขุเทฺทสปริเจฺฉทา เวทิตพฺพาติ ทเสฺสตุํ ‘‘ปาราชิกุเทฺทสาทีน’’นฺติอาทิมาหฯ ปาราชิกุเทฺทสาทีนํ ปริเจฺฉทา โยเชตพฺพาติ สมฺพโนฺธฯ นิทานสฺส อาทิโต ปฎฺฐาย ปาราชิกาทีนิ โอสาเปตฺวาติ นิทานํ, ปาราชิกญฺจ, ตทุภยํ สงฺฆาทิเสสญฺจ, ตํติกํ อนิยตญฺจาติ เอวํ ยถากฺกมํ อุทฺทิสิตฺวา ปาราชิกาทีนิ ปริโยสาเปตฺวาฯ โยเชตพฺพาติ ‘‘อวเสเส สุเตน สาวิเต อุทฺทิโฎฺฐ โหติ ปาราชิกุเทฺทโส’’ติอาทินา โยเชตพฺพาฯ อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพนฺติ วจนโตติ อุโปสถกฺขนฺธเก –

    Eteneva nayena sesā tayo pātimokkhuddesaparicchedā veditabbāti dassetuṃ ‘‘pārājikuddesādīna’’ntiādimāha. Pārājikuddesādīnaṃ paricchedā yojetabbāti sambandho. Nidānassa ādito paṭṭhāya pārājikādīni osāpetvāti nidānaṃ, pārājikañca, tadubhayaṃ saṅghādisesañca, taṃtikaṃ aniyatañcāti evaṃ yathākkamaṃ uddisitvā pārājikādīni pariyosāpetvā. Yojetabbāti ‘‘avasese sutena sāvite uddiṭṭho hoti pārājikuddeso’’tiādinā yojetabbā. Avasesaṃ sutena sāvetabbanti vacanatoti uposathakkhandhake –

    ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, ปาติโมกฺขุเทฺทสา นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ, อยํ ปฐโม ปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา จตฺตาริ ปาราชิกานิ อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ, อยํ ทุติโย ปาติโมกฺขุเทฺทโส’’ติอาทีสุ (มหาว. ๑๕๐) –

    ‘‘Pañcime, bhikkhave, pātimokkhuddesā nidānaṃ uddisitvā avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ, ayaṃ paṭhamo pātimokkhuddeso. Nidānaṃ uddisitvā cattāri pārājikāni uddisitvā avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ, ayaṃ dutiyo pātimokkhuddeso’’tiādīsu (mahāva. 150) –

    เอวํ วุตฺตตฺตาฯ ยสฺมิํ วิปฺปกเตติ ยสฺมิํ อุเทฺทเส อปริโยสิเตฯ อนฺตราโย อุปฺปชฺชตีติ ทสสุ อนฺตราเยสุ โย โกจิ อนฺตราโย อุปฺปชฺชติ ฯ ทส อนฺตรายา นาม – ราชนฺตราโย, โจรนฺตราโย, อคฺยนฺตราโย, อุทกนฺตราโย, มนุสฺสนฺตราโย, อมนุสฺสนฺตราโย, วาฬนฺตราโย, สรีสปนฺตราโย, ชีวิตนฺตราโย, พฺรหฺมจริยนฺตราโยติฯ ตตฺถ สเจ ภิกฺขูสุ ‘‘อุโปสถํ กริสฺสามา’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๕๐) นิสิเนฺนสุ ราชา อาคจฺฉติ, อยํ ราชนฺตราโยฯ โจรา อาคจฺฉนฺติ, อยํ โจรนฺตราโยฯ ทวทาโห วา อาคจฺฉติ, อาวาเส วา อคฺคิ อุฎฺฐหติ, อยํ อคฺยนฺตราโยฯ เมโฆ วา อุฎฺฐหติ, โอโฆ วา อาคจฺฉติ, อยํ อุทกนฺตราโยฯ พหู มนุสฺสา อาคจฺฉนฺติ, อยํ มนุสฺสนฺตราโยฯ ภิกฺขุํ ยโกฺข คณฺหาติ, อยํ อมนุสฺสนฺตราโยฯ พฺยคฺฆาทโย จณฺฑมิคา อาคจฺฉนฺติ, อยํ วาฬนฺตราโยฯ ภิกฺขุํ สปฺปาทโย ฑํสนฺติ, อยํ สรีสปนฺตราโยฯ ภิกฺขุ คิลาโน วา โหติ, กาลํ วา กโรติ, เวริโน วา ตํ มาเรตุกามา คณฺหนฺติ, อยํ ชีวิตนฺตราโยฯ มนุสฺสา เอกํ วา พหู วา ภิกฺขู พฺรหฺมจริยา จาเวตุกามา คณฺหนฺติ, อยํ พฺรหฺมจริยนฺตราโยฯ อิติ ยํ วุตฺตํ ‘‘อนฺตราโย อุปฺปชฺชตีติ ทสสุ อนฺตราเยสุ โย โกจิ อนฺตราโย อุปฺปชฺชตี’’ติ, ตสฺสโตฺถ ปกาสิโต โหตีติฯ

    Evaṃ vuttattā. Yasmiṃ vippakateti yasmiṃ uddese apariyosite. Antarāyo uppajjatīti dasasu antarāyesu yo koci antarāyo uppajjati . Dasa antarāyā nāma – rājantarāyo, corantarāyo, agyantarāyo, udakantarāyo, manussantarāyo, amanussantarāyo, vāḷantarāyo, sarīsapantarāyo, jīvitantarāyo, brahmacariyantarāyoti. Tattha sace bhikkhūsu ‘‘uposathaṃ karissāmā’’ti (mahāva. aṭṭha. 150) nisinnesu rājā āgacchati, ayaṃ rājantarāyo. Corā āgacchanti, ayaṃ corantarāyo. Davadāho vā āgacchati, āvāse vā aggi uṭṭhahati, ayaṃ agyantarāyo. Megho vā uṭṭhahati, ogho vā āgacchati, ayaṃ udakantarāyo. Bahū manussā āgacchanti, ayaṃ manussantarāyo. Bhikkhuṃ yakkho gaṇhāti, ayaṃ amanussantarāyo. Byagghādayo caṇḍamigā āgacchanti, ayaṃ vāḷantarāyo. Bhikkhuṃ sappādayo ḍaṃsanti, ayaṃ sarīsapantarāyo. Bhikkhu gilāno vā hoti, kālaṃ vā karoti, verino vā taṃ māretukāmā gaṇhanti, ayaṃ jīvitantarāyo. Manussā ekaṃ vā bahū vā bhikkhū brahmacariyā cāvetukāmā gaṇhanti, ayaṃ brahmacariyantarāyo. Iti yaṃ vuttaṃ ‘‘antarāyo uppajjatīti dasasu antarāyesu yo koci antarāyo uppajjatī’’ti, tassattho pakāsito hotīti.

    เตน สทฺธินฺติ วิปฺปกตุเทฺทเสน สทฺธิํฯ อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ อุทฺทิฎฺฐอุเทฺทสาเปกฺขตฺตา อวเสสวจนสฺสฯ ยถาห ‘‘นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา’’ติอาทิ (มหาว. ๑๕๐)ฯ เตนาห ‘‘นิทานุเทฺทเส ปนา’’ติอาทิฯ สุเตน สาเวตพฺพํ นาม นตฺถิ อุโปสถสฺส อนฺตราโยว โหตีติ อธิปฺปาโยฯ อนิยตุเทฺทโส ปริหายตีติ ภิกฺขุนีนํ อนิยตสิกฺขาปทปญฺญตฺติยา อภาวโตฯ ตทภาโว จ ‘‘อิทเมว ลกฺขณํ ตตฺถาปิ อนุคต’’นฺติ กตฺวาติ เวทิตพฺพํฯ เสสนฺติ อวเสสุเทฺทสปริเจฺฉททสฺสนํฯ เอเตสํ ทฺวินฺนํ ปาติโมกฺขานนฺติ สมฺพโนฺธฯ ตาวาติ ปฐมํฯ อิทนฺติ อิทานิ วตฺตพฺพํ พุทฺธิยํ วิปริวตฺตมานํ สามเญฺญน ทเสฺสติ, อิทํ อกฺขรปทนิยมิตคนฺถิตํ วจนํ วุจฺจติ กถียตีติ อโตฺถฯ กิํ ตนฺติ อาห, ‘‘สุณาตุ เมติอาทีน’’นฺติอาทิฯ

    Tena saddhinti vippakatuddesena saddhiṃ. Avasesaṃ sutena sāvetabbaṃ uddiṭṭhauddesāpekkhattā avasesavacanassa. Yathāha ‘‘nidānaṃ uddisitvā’’tiādi (mahāva. 150). Tenāha ‘‘nidānuddese panā’’tiādi. Sutena sāvetabbaṃ nāma natthi uposathassa antarāyova hotīti adhippāyo. Aniyatuddeso parihāyatīti bhikkhunīnaṃ aniyatasikkhāpadapaññattiyā abhāvato. Tadabhāvo ca ‘‘idameva lakkhaṇaṃ tatthāpi anugata’’nti katvāti veditabbaṃ. Sesanti avasesuddesaparicchedadassanaṃ. Etesaṃ dvinnaṃ pātimokkhānanti sambandho. Tāvāti paṭhamaṃ. Idanti idāni vattabbaṃ buddhiyaṃ viparivattamānaṃ sāmaññena dasseti, idaṃ akkharapadaniyamitaganthitaṃ vacanaṃ vuccati kathīyatīti attho. Kiṃ tanti āha, ‘‘suṇātu metiādīna’’ntiādi.

    ตตฺถ สุณาตุ เมติอาทีนนฺติ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ อชฺชุโปสโถ’’ติอาทีนํ ภิกฺขุปาติโมเกฺข อาคตานํ สุตฺตปทานํฯ อตฺถนิจฺฉยนฺติ อภิเธยฺยตฺถสฺส เจว อธิปฺปายตฺถสฺส จ นิจฺฉยนํ, ววตฺถาปนนฺติ อโตฺถฯ อิมาย หิ อฎฺฐกถาย เตสํ อภิเธยฺยโตฺถ เจว อธิปฺปายโตฺถ จ อเนกธา ววตฺถาปียติฯ อถ วา นิจฺฉิโนฺนติ นิจฺฉโยฯ คณฺฐิฎฺฐาเนสุ ขีลมทฺทนากาเรน ปวตฺตา วิมติเจฺฉทกถา, อโตฺถ จ นิจฺฉโย จ อตฺถนิจฺฉโย, ตํ อตฺถนิจฺฉยํ, มยา วุจฺจมานํ อตฺถญฺจ วินิจฺฉยญฺจาติ วุตฺตํ โหติฯ สีลสมฺปนฺนาติ สมนฺตโต ปนฺนํ ปตฺตํ ปุณฺณนฺติ สมฺปนฺนํ, สีลํ สมฺปนฺนเมเตสนฺติ สีลสมฺปนฺนา, ปริปุณฺณสีลาติ อโตฺถฯ อถ วา สมฺมเทว ปนฺนา คตา อุปาคตาติ สมฺปนฺนา, สีเลน สมฺปนฺนา สีลสมฺปนฺนา, ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปตาติ อโตฺถฯ อธิสีลอธิจิตฺตอธิปญฺญาสงฺขาตา ติโสฺสปิ สิกฺขิตพฺพเฎฺฐน สิกฺขา, ตํ กาเมนฺตีติ สิกฺขากามาฯ สุณนฺตุ เมติ เต สเพฺพปิ ภิกฺขโว มม สนฺติกา นิสาเมนฺตุฯ อิมินา อตฺตโน สํวณฺณนาย สกฺกจฺจํ สวเน นิโยเชติฯ สกฺกจฺจสวนปฎิพทฺธา หิ สพฺพาปิ สาสนสมฺปตฺตีติฯ เอตฺถ จ สีลสมฺปนฺนานํ สิกฺขากามานํเยว ภิกฺขูนํ คหณํ ตทเญฺญสํ อิมิสฺสา สํวณฺณนาย อภาชนภาวโตฯ น หิ เต วินยํ โสตพฺพํ, ปฎิปชฺชิตพฺพญฺจ มญฺญิสฺสนฺติฯ

    Tattha suṇātu metiādīnanti ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho ajjuposatho’’tiādīnaṃ bhikkhupātimokkhe āgatānaṃ suttapadānaṃ. Atthanicchayanti abhidheyyatthassa ceva adhippāyatthassa ca nicchayanaṃ, vavatthāpananti attho. Imāya hi aṭṭhakathāya tesaṃ abhidheyyattho ceva adhippāyattho ca anekadhā vavatthāpīyati. Atha vā nicchinnoti nicchayo. Gaṇṭhiṭṭhānesu khīlamaddanākārena pavattā vimaticchedakathā, attho ca nicchayo ca atthanicchayo, taṃ atthanicchayaṃ, mayā vuccamānaṃ atthañca vinicchayañcāti vuttaṃ hoti. Sīlasampannāti samantato pannaṃ pattaṃ puṇṇanti sampannaṃ, sīlaṃ sampannametesanti sīlasampannā, paripuṇṇasīlāti attho. Atha vā sammadeva pannā gatā upāgatāti sampannā, sīlena sampannā sīlasampannā, pātimokkhasaṃvarena upetāti attho. Adhisīlaadhicittaadhipaññāsaṅkhātā tissopi sikkhitabbaṭṭhena sikkhā, taṃ kāmentīti sikkhākāmā. Suṇantu meti te sabbepi bhikkhavo mama santikā nisāmentu. Iminā attano saṃvaṇṇanāya sakkaccaṃ savane niyojeti. Sakkaccasavanapaṭibaddhā hi sabbāpi sāsanasampattīti. Ettha ca sīlasampannānaṃ sikkhākāmānaṃyeva bhikkhūnaṃ gahaṇaṃ tadaññesaṃ imissā saṃvaṇṇanāya abhājanabhāvato. Na hi te vinayaṃ sotabbaṃ, paṭipajjitabbañca maññissanti.

    เอตฺถาติ เอตสฺมิํ คาถาปเท, เอเตสํ วา คาถาย สงฺคหิตานํ ‘‘สุณาตุ เม’’ติอาทีนํ ปทานมนฺตเรฯ สวเน อาณตฺติวจนํ สวนาณตฺติวจนํฯ กิญฺจาปิ สวนาณตฺติวจนํ, ตถาปิ ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน เอวํ วตฺตพฺพนฺติ ภควตา วุตฺตตฺตา ภควโต อาณตฺติ, น อุเทฺทสกสฺสาติ นวกตเรนาปิ อิทํ วตฺตุํ วฎฺฎติ สงฺฆคารเวน, สงฺฆพหุมาเนน จ สหิตตฺตา สคารวสปฺปติสฺสวจนํฯ สโงฺฆ หิ สุปฺปฎิปนฺนตาทิคุณวิเสสยุตฺตตฺตา อุตฺตมํ คารวปฺปติสฺสวฎฺฐานํฯ อิทญฺจ สพฺพํ เกน กตฺถ กทา วุตฺตนฺติ อาห ‘‘สพฺพเมว เจต’’นฺติอาทิฯ ปาติโมกฺขุเทฺทสํ อนุชานเนฺตนาติ –

    Etthāti etasmiṃ gāthāpade, etesaṃ vā gāthāya saṅgahitānaṃ ‘‘suṇātu me’’tiādīnaṃ padānamantare. Savane āṇattivacanaṃ savanāṇattivacanaṃ. Kiñcāpi savanāṇattivacanaṃ, tathāpi pātimokkhuddesakena evaṃ vattabbanti bhagavatā vuttattā bhagavato āṇatti, na uddesakassāti navakatarenāpi idaṃ vattuṃ vaṭṭati saṅghagāravena, saṅghabahumānena ca sahitattā sagāravasappatissavacanaṃ. Saṅgho hi suppaṭipannatādiguṇavisesayuttattā uttamaṃ gāravappatissavaṭṭhānaṃ. Idañca sabbaṃ kena kattha kadā vuttanti āha ‘‘sabbameva ceta’’ntiādi. Pātimokkhuddesaṃ anujānantenāti –

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตุํ, เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อุทฺทิสิตพฺพํ, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ ‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ’’’ติ (มหาว. ๑๓๓-๑๓๔) –

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pātimokkhaṃ uddisituṃ, evañca pana, bhikkhave, uddisitabbaṃ, byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo ‘suṇātu me, bhante, saṅgho’’’ti (mahāva. 133-134) –

    เอวมาทินา อนุชานเนฺตนฯ ราชคเหติ เอวํนามเก นคเรฯ ตญฺหิ มนฺธาตุมหาโควินฺทาทีหิ ปริคฺคหิตตฺตา ‘‘ราชคห’’นฺติ วุจฺจติฯ ตํ ปเนตํ พุทฺธกาเล, จกฺกวตฺติกาเล จ นครํ โหติ, เสสกาเล สุญฺญํ โหติ ยกฺขปริคฺคหิตํ, เตสํ วสนฎฺฐานํ หุตฺวา ติฎฺฐติฯ ตสฺมาติ ยสฺมา อิทํ ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน วตฺตพฺพวจนํ, ตสฺมาฯ กิํ เต อุโภปิ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติ, เยเนวํ วตฺตพฺพนฺติ อาห ‘‘สงฺฆเตฺถโร วา หี’’ติอาทิฯ เถราธิกนฺติ เถราธีนํ, เถรายตฺตํ ภวิตุนฺติ อโตฺถฯ ‘‘เถราเธยฺย’’นฺติ วา ปาโฐ, โสเยวโตฺถฯ ตตฺถาติ ติสฺสํ ปริสายํฯ พฺยโตฺตติ ปญฺญาเวยฺยตฺติเยน สมนฺนาคโต, ปคุณมาติโกติ อโตฺถฯ ปฎิพโลติ วตฺตุํ สมโตฺถ, อภีโตติ วุตฺตํ โหติฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ ทหรสฺสาปิ พฺยตฺตสฺส ปาติโมโกฺข อนุญฺญาโต, อถ โข เอตฺถายํ อธิปฺปาโย – สเจ เถรสฺส ปญฺจ วา จตฺตาโร วา ตโย วา ปาติโมกฺขุเทฺทสา นาคจฺฉนฺติ, เทฺว ปน อกฺขณฺฑา สุวิสทา วาจุคฺคตา โหนฺติ, เถรายโตฺตว ปาติโมโกฺขฯ สเจ ปน เอตฺตกมฺปิ วิสทํ กาตุํ น สโกฺกติ, พฺยตฺตสฺส ภิกฺขุโน อายโตฺตติฯ

    Evamādinā anujānantena. Rājagaheti evaṃnāmake nagare. Tañhi mandhātumahāgovindādīhi pariggahitattā ‘‘rājagaha’’nti vuccati. Taṃ panetaṃ buddhakāle, cakkavattikāle ca nagaraṃ hoti, sesakāle suññaṃ hoti yakkhapariggahitaṃ, tesaṃ vasanaṭṭhānaṃ hutvā tiṭṭhati. Tasmāti yasmā idaṃ pātimokkhuddesakena vattabbavacanaṃ, tasmā. Kiṃ te ubhopi pātimokkhaṃ uddisanti, yenevaṃ vattabbanti āha ‘‘saṅghatthero vā hī’’tiādi. Therādhikanti therādhīnaṃ, therāyattaṃ bhavitunti attho. ‘‘Therādheyya’’nti vā pāṭho, soyevattho. Tatthāti tissaṃ parisāyaṃ. Byattoti paññāveyyattiyena samannāgato, paguṇamātikoti attho. Paṭibaloti vattuṃ samattho, abhītoti vuttaṃ hoti. Ettha ca kiñcāpi daharassāpi byattassa pātimokkho anuññāto, atha kho etthāyaṃ adhippāyo – sace therassa pañca vā cattāro vā tayo vā pātimokkhuddesā nāgacchanti, dve pana akkhaṇḍā suvisadā vācuggatā honti, therāyattova pātimokkho. Sace pana ettakampi visadaṃ kātuṃ na sakkoti, byattassa bhikkhuno āyattoti.

    อิทานิ ‘‘สโงฺฆ’’ติ อวิเสเสน วุตฺตตฺตา อิธาธิเปฺปตสงฺฆํ วิเสเสตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘สโงฺฆติ อิมินา ปน ปเทนา’’ติอาทิมาห กิญฺจาปีติ อนุคฺคหเตฺถ นิปาโต, ตสฺส ยทิ นามาติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ทกฺขนฺติ เอตาย สตฺตา ยถาธิเปฺปตาหิ สมฺปตฺตีหิ วฑฺฒนฺตีติ ทกฺขิณา, ปรโลกํ สทฺทหิตฺวา ทาตพฺพํ ทานํ, ตํ ทกฺขิณํ อรหติ, ทกฺขิณาย วา หิโต, ยสฺมา นํ มหปฺผลการิตาย วิโสเธตีติ ทกฺขิเณโยฺย, ทิฎฺฐิสีลสงฺฆาเตน สํหโตติ สโงฺฆ, ทกฺขิเณโยฺย จ โส สโงฺฆ จาติ ทกฺขิเณยฺยสโงฺฆฯ สมฺมุติยา จตุวคฺคาทิวินยปญฺญตฺติยา สิโทฺธ สโงฺฆ สมฺมุติสโงฺฆฯ อวิเสเสนาติ ‘‘อริยา’’ติ วา ‘‘ปุถุชฺชนา’’ติ วา อวิเสเสตฺวา สามเญฺญนฯ โสติ สมฺมุติสโงฺฆฯ อิธาติ อิมิสฺสํ อุโปสถญตฺติยํฯ อธิเปฺปโต อุโปสถญตฺติยา อวิเสสตฺตาฯ นนุ จ โสปิ ปญฺจวิโธ โหติ, ตตฺถ กตโม อิธาธิเปฺปโตติ อนุโยคํ สนฺธายาห ‘‘โส ปเนสา’’ติอาทิฯ กมฺมวเสนาติ วินยกมฺมวเสนฯ ปญฺจ วิธา ปการา อสฺส สมฺมุติสงฺฆสฺสาติ ปญฺจวิโธฯ ตถา หิ วิธยุตฺตคตปฺปการสเทฺท สมานเตฺถ วณฺณยนฺติฯ จตุนฺนํ วโคฺค สมูโหติ จตุวโคฺค, จตุปริมาณยุโตฺต วา วโคฺค จตุวโคฺคฯ เอวํ ปญฺจวคฺคาทิฯ

    Idāni ‘‘saṅgho’’ti avisesena vuttattā idhādhippetasaṅghaṃ visesetvā dassetuṃ ‘‘saṅghoti iminā pana padenā’’tiādimāha kiñcāpīti anuggahatthe nipāto, tassa yadi nāmāti attho veditabbo. Dakkhanti etāya sattā yathādhippetāhi sampattīhi vaḍḍhantīti dakkhiṇā, paralokaṃ saddahitvā dātabbaṃ dānaṃ, taṃ dakkhiṇaṃ arahati, dakkhiṇāya vā hito, yasmā naṃ mahapphalakāritāya visodhetīti dakkhiṇeyyo, diṭṭhisīlasaṅghātena saṃhatoti saṅgho, dakkhiṇeyyo ca so saṅgho cāti dakkhiṇeyyasaṅgho. Sammutiyā catuvaggādivinayapaññattiyā siddho saṅgho sammutisaṅgho. Avisesenāti ‘‘ariyā’’ti vā ‘‘puthujjanā’’ti vā avisesetvā sāmaññena. Soti sammutisaṅgho. Idhāti imissaṃ uposathañattiyaṃ. Adhippeto uposathañattiyā avisesattā. Nanu ca sopi pañcavidho hoti, tattha katamo idhādhippetoti anuyogaṃ sandhāyāha ‘‘so panesā’’tiādi. Kammavasenāti vinayakammavasena. Pañca vidhā pakārā assa sammutisaṅghassāti pañcavidho. Tathā hi vidhayuttagatappakārasadde samānatthe vaṇṇayanti. Catunnaṃ vaggo samūhoti catuvaggo, catuparimāṇayutto vā vaggo catuvaggo. Evaṃ pañcavaggādi.

    อิทานิ เยสํ กมฺมานํ วเสนายํ ปญฺจวิโธ โหติ, ตํ วิเสเสตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตตฺถาติ ปญฺจวิเธ สเงฺฆฯ มชฺฌิเมสุ ชนปเทสุ อุปสมฺปทกมฺมสฺส ทสวคฺคกรณียตฺตา วุตฺตํ ‘‘ฐเปตฺวา…เป.… อุปสมฺปทญฺจา’’ติฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘น กิญฺจิ สงฺฆกมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ อิมมตฺถํ อติทิสติฯ ยทิ เอวํ กิมตฺถํ อติเรกวีสติวโคฺค วุโตฺตติ อาห ‘‘โส ปนา’’ติอาทิฯ อติเรกตเรนาติ จตุวคฺคาทิกรณียํ ปญฺจวคฺคาทินา อติเรกตเรน, ทสวคฺคกรณียญฺจ เอกาทสวคฺคาทินา อติเรกตเรนฯ ทสฺสนตฺถนฺติ ญาปนตฺถํฯ อิทเมว จาเนน กตฺตพฺพํ กมฺมนฺติ ‘‘กมฺมวเสน ปญฺจวิโธ’’ติ วุตฺตํฯ กมฺมสฺสานิยเม กถเมตํ ยุเชฺชยฺยาติ อีทิสี โจทนา อนวกาสาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถติ อุโปสเถฯ

    Idāni yesaṃ kammānaṃ vasenāyaṃ pañcavidho hoti, taṃ visesetvā dassetuṃ ‘‘tatthā’’tiādimāha. Tattha tatthāti pañcavidhe saṅghe. Majjhimesu janapadesu upasampadakammassa dasavaggakaraṇīyattā vuttaṃ ‘‘ṭhapetvā…pe… upasampadañcā’’ti. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘na kiñci saṅghakammaṃ kātuṃ na vaṭṭatī’’ti imamatthaṃ atidisati. Yadi evaṃ kimatthaṃ atirekavīsativaggo vuttoti āha ‘‘so panā’’tiādi. Atirekatarenāti catuvaggādikaraṇīyaṃ pañcavaggādinā atirekatarena, dasavaggakaraṇīyañca ekādasavaggādinā atirekatarena. Dassanatthanti ñāpanatthaṃ. Idameva cānena kattabbaṃ kammanti ‘‘kammavasena pañcavidho’’ti vuttaṃ. Kammassāniyame kathametaṃ yujjeyyāti īdisī codanā anavakāsāti daṭṭhabbaṃ. Imasmiṃ panattheti uposathe.

    อุโปสถสโทฺท ปนายํ ปาติโมกฺขุเทฺทสสีลอุปวาสปญฺญตฺติทิวเสสุ วตฺตติฯ ตถา เหส ‘‘อายามาวุโส กปฺปิน, อุโปสถํ คมิสฺสามา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๕๐; ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๘๕) ติโมกฺขุเทฺทเส อาคโต, ‘‘เอวํ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคโต โข, วิสาเข, อุโปสโถ อุปวุโตฺถ’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๔๓) สีเล, ‘‘สุทฺธสฺส เว สทา ผคฺคุ, สุทฺธสฺสุโปสโถ สทา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๗๙) อุปวาเส, ‘‘อุโปสโถ นาม นาคราชา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๔๖) ปญฺญตฺติยํ, ‘‘น, ภิกฺขเว, ตทหุโปสเถ สภิกฺขุกา อาวาสา’’ติอาทีสุ (มหาว. ๑๘๑) ทิวเส, อิธาปิ ทิวเสเยว วตฺตมาโน อธิเปฺปโตติ อาห ‘‘อชฺช อุโปสถทิวโส’’ติอาทิฯ อุปวสนฺติ เอตฺถาติ อุโปสโถอุปวสนฺตีติ สีเลน วา สพฺพโส อาหารสฺส อภุญฺชนสงฺขาเตน อนสเนน วา ขีรปานมธุปานาทิมเตฺตน วา อุเปตา หุตฺวา วสนฺตีติ อโตฺถฯ

    Uposathasaddo panāyaṃ pātimokkhuddesasīlaupavāsapaññattidivasesu vattati. Tathā hesa ‘‘āyāmāvuso kappina, uposathaṃ gamissāmā’’tiādīsu (dī. ni. aṭṭha. 1.150; ma. ni. aṭṭha. 3.85) timokkhuddese āgato, ‘‘evaṃ aṭṭhaṅgasamannāgato kho, visākhe, uposatho upavuttho’’tiādīsu (a. ni. 8.43) sīle, ‘‘suddhassa ve sadā phaggu, suddhassuposatho sadā’’tiādīsu (ma. ni. 1.79) upavāse, ‘‘uposatho nāma nāgarājā’’tiādīsu (dī. ni. 2.246) paññattiyaṃ, ‘‘na, bhikkhave, tadahuposathe sabhikkhukā āvāsā’’tiādīsu (mahāva. 181) divase, idhāpi divaseyeva vattamāno adhippetoti āha ‘‘ajja uposathadivaso’’tiādi. Upavasanti etthāti uposatho. Upavasantīti sīlena vā sabbaso āhārassa abhuñjanasaṅkhātena anasanena vā khīrapānamadhupānādimattena vā upetā hutvā vasantīti attho.

    สเพฺพสมฺปิ วากฺยานํ เอว-การตฺถสหิตตฺตา ‘‘อุโปสโถ’’ติ เอตสฺส ‘‘อุโปสโถ เอวา’’ติ อยมโตฺถ ลพฺภตีติ อาห ‘‘เอเตน อนุโปสถทิวสํ ปฎิกฺขิปตี’’ติฯ อิมินา อวธารเณน นิรากตํ ทเสฺสติ, อถ วา สทฺทนฺตรตฺถาโปหนวเสน สโทฺท อตฺถํ วทตีติ ‘‘อุโปสโถ’’ติ เอตสฺส ‘‘อนุโปสโถ น โหตี’’ติ อยมโตฺถติ วุตฺตํ ‘‘เอเตน อนุโปสถทิวสํ ปฎิกฺขิปตี’’ติฯ ‘‘เอส นโย ปนฺนรโส’’ติ อิมินา อญฺญํ อุโปสถทิวสํ ปฎิกฺขิปตีติ เอตฺถาปิฯ เอเตนาติ ‘‘อุโปสโถ’’ติ เอเตน สเทฺทนฯ ปญฺจทสนฺนํ ติถีนํ ปูรณวเสน ปนฺนรโสฯ ปนฺนรโสติ อิมินา อญฺญํ อุโปสถทิวสํ ปฎิกฺขิปตี’’ติ สํขิเตฺตน วุตฺตมตฺถํ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ ‘‘ทิวสวเสน หี’’ติอาทิมาหฯ จตุทฺทสิยํ นิยุโตฺต จาตุทฺทสิโกฯ เอวํ ปนฺนรสิโกฯ สามคฺคิอุโปสโถ นาม สงฺฆสามคฺคิกตทิวเส กาตพฺพอุโปสโถฯ เหมนฺตคิมฺหวสฺสานานํ ติณฺณํ อุตูนนฺติ เอตฺถ เหมนฺตอุตุ นาม อปรกตฺติกสฺส กาฬปกฺขปาฎิปทโต ปฎฺฐาย ผคฺคุนปุณฺณมปริโยสานา จตฺตาโร มาสา, คิมฺหอุตุ นาม ผคฺคุนสฺส กาลปกฺขปาฎิปทโต ปฎฺฐาย อาสาฬฺหปุณฺณมปริโยสานา จตฺตาโร มาสา, วสฺสานอุตุ นาม อาสาฬฺหสฺส กาฬปกฺขปาฎิปทโต ปฎฺฐาย อปรกตฺติกปุณฺณมปริโยสานา จตฺตาโร มาสาฯ ตติยสตฺตมปเกฺขสุ เทฺว เทฺว กตฺวา ฉ จาตุทฺทสิกาติ เหมนฺตสฺส อุตุโน ตติเย จ สตฺตเม จ ปเกฺข เทฺว จาตุทฺทสิกา, เอวมิตเรสํ อุตูนนฺติ ฉ จาตุทฺทสิกาฯ เสสา ปนฺนรสิกาติ เสสา อฎฺฐารส ปนฺนรสิกาฯ โหนฺติ เจตฺถ –

    Sabbesampi vākyānaṃ eva-kāratthasahitattā ‘‘uposatho’’ti etassa ‘‘uposatho evā’’ti ayamattho labbhatīti āha ‘‘etena anuposathadivasaṃ paṭikkhipatī’’ti. Iminā avadhāraṇena nirākataṃ dasseti, atha vā saddantaratthāpohanavasena saddo atthaṃ vadatīti ‘‘uposatho’’ti etassa ‘‘anuposatho na hotī’’ti ayamatthoti vuttaṃ ‘‘etena anuposathadivasaṃ paṭikkhipatī’’ti. ‘‘Esa nayo pannaraso’’ti iminā aññaṃ uposathadivasaṃpaṭikkhipatīti etthāpi. Etenāti ‘‘uposatho’’ti etena saddena. Pañcadasannaṃ tithīnaṃ pūraṇavasena pannaraso. Pannarasoti iminā aññaṃ uposathadivasaṃ paṭikkhipatī’’ti saṃkhittena vuttamatthaṃ vitthārato dassetuṃ ‘‘divasavasena hī’’tiādimāha. Catuddasiyaṃ niyutto cātuddasiko. Evaṃ pannarasiko. Sāmaggiuposatho nāma saṅghasāmaggikatadivase kātabbauposatho. Hemantagimhavassānānaṃ tiṇṇaṃ utūnanti ettha hemantautu nāma aparakattikassa kāḷapakkhapāṭipadato paṭṭhāya phaggunapuṇṇamapariyosānā cattāro māsā, gimhautu nāma phaggunassa kālapakkhapāṭipadato paṭṭhāya āsāḷhapuṇṇamapariyosānā cattāro māsā, vassānautu nāma āsāḷhassa kāḷapakkhapāṭipadato paṭṭhāya aparakattikapuṇṇamapariyosānā cattāro māsā. Tatiyasattamapakkhesu dve dve katvā cha cātuddasikāti hemantassa utuno tatiye ca sattame ca pakkhe dve cātuddasikā, evamitaresaṃ utūnanti cha cātuddasikā. Sesā pannarasikāti sesā aṭṭhārasa pannarasikā. Honti cettha –

    ‘‘กตฺติกสฺส จ กาฬมฺหา, ยาว ผคฺคุนปุณฺณมา;

    ‘‘Kattikassa ca kāḷamhā, yāva phaggunapuṇṇamā;

    ‘เหมนฺตกาโล’ติ วิเญฺญโยฺย, อฎฺฐ โหนฺติ อุโปสถาฯ

    ‘Hemantakālo’ti viññeyyo, aṭṭha honti uposathā.

    ‘‘ผคฺคุนสฺส จ กาฬมฺหา, ยาว อาสาฬฺหปุณฺณมา;

    ‘‘Phaggunassa ca kāḷamhā, yāva āsāḷhapuṇṇamā;

    ‘คิมฺหกาโล’ติ วิเญฺญโยฺย, อฎฺฐ โหนฺติ อุโปสถาฯ

    ‘Gimhakālo’ti viññeyyo, aṭṭha honti uposathā.

    ‘‘อาสาฬฺหสฺส จ กาฬมฺหา, ยาว กตฺติกปุณฺณมา;

    ‘‘Āsāḷhassa ca kāḷamhā, yāva kattikapuṇṇamā;

    ‘วสฺสกาโล’ติ วิเญฺญโยฺย, อฎฺฐ โหนฺติ อุโปสถาฯ

    ‘Vassakālo’ti viññeyyo, aṭṭha honti uposathā.

    ‘‘อุตูนํ ปน ติณฺณนฺนํ, ปเกฺข ตติยสตฺตเม;

    ‘‘Utūnaṃ pana tiṇṇannaṃ, pakkhe tatiyasattame;

    ‘จาตุทฺทโส’ติ ปาติโมกฺขํ, อุทฺทิสนฺติ นยญฺญุโน’’ติฯ

    ‘Cātuddaso’ti pātimokkhaṃ, uddisanti nayaññuno’’ti.

    ปกติยา นพหุตราวาสิกาทิปจฺจเยน กาตพฺพํ ปกติจาริตฺตํฯ พหุตราวาสิกาทิปจฺจเย ปน สติ อญฺญสฺมิํ จาตุทฺทเสปิ กาตุํ วฎฺฎติฯ เตนาห ‘‘สกิ’’นฺติอาทิฯ สกินฺติ เอกสฺมิํ วาเร ฯ อาวาสิกานํ อนุวตฺติตพฺพนฺติ อาวาสิเกหิ ‘‘อชฺชุโปสโถ จาตุทฺทโส’’ติ ปุพฺพกิเจฺจ กริยมาเน อนุวตฺติตพฺพํ, น ปฎิโกฺกสิตพฺพํฯ อาทิสเทฺทน ‘‘อาวาสิเกหิ อาคนฺตุกานํ อนุวตฺติตพฺพ’’นฺติ (มหาว. ๑๗๘) วจนํ, ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เตหิ ภิกฺขูหิ เทฺว ตโย อุโปสเถ จาตุทฺทสิเก กาตุํ, กถํ มยํ เตหิ ภิกฺขูหิ ปฐมตรํ ปวาเรยฺยามา’’ติ (มหาว. ๒๔๐) วจนญฺจ สงฺคณฺหาติฯ เอตฺถ จ ปฐมสุตฺตสฺส เอเกกสฺส อุตุโน ตติยสตฺตมปกฺขสฺส จาตุทฺทเส วา อวเสสสฺส ปนฺนรเส วา สกิํ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตพฺพนฺติ ปกติจาริตฺตวเสนปิ อตฺถสมฺภวโต ‘‘อาคนฺตุเกหี’’ติอาทีนิ สุตฺตานิ ทสฺสิตานีติ เวทิตพฺพํฯ ตถารูปปจฺจเย สตีติ อญฺญสฺมิมฺปิ จาตุทฺทสิเก อุโปสถํ กาตุํ อนุรูเป ‘‘อาวาสิกา พหุตรา โหนฺตี’’ติ เอวมาทิเก ปจฺจเย สติฯ อญฺญสฺมิมฺปิ จาตุทฺทเสติ ติณฺณํ อุตูนํ ตติยสตฺตมปกฺขจาตุทฺทสโต อญฺญสฺมิํ จาตุทฺทเสฯ

    Pakatiyā nabahutarāvāsikādipaccayena kātabbaṃ pakaticārittaṃ. Bahutarāvāsikādipaccaye pana sati aññasmiṃ cātuddasepi kātuṃ vaṭṭati. Tenāha ‘‘saki’’ntiādi. Sakinti ekasmiṃ vāre . Āvāsikānaṃ anuvattitabbanti āvāsikehi ‘‘ajjuposatho cātuddaso’’ti pubbakicce kariyamāne anuvattitabbaṃ, na paṭikkositabbaṃ. Ādisaddena ‘‘āvāsikehi āgantukānaṃ anuvattitabba’’nti (mahāva. 178) vacanaṃ, ‘‘anujānāmi, bhikkhave, tehi bhikkhūhi dve tayo uposathe cātuddasike kātuṃ, kathaṃ mayaṃ tehi bhikkhūhi paṭhamataraṃ pavāreyyāmā’’ti (mahāva. 240) vacanañca saṅgaṇhāti. Ettha ca paṭhamasuttassa ekekassa utuno tatiyasattamapakkhassa cātuddase vā avasesassa pannarase vā sakiṃ pātimokkhaṃ uddisitabbanti pakaticārittavasenapi atthasambhavato ‘‘āgantukehī’’tiādīni suttāni dassitānīti veditabbaṃ. Tathārūpapaccaye satīti aññasmimpi cātuddasike uposathaṃ kātuṃ anurūpe ‘‘āvāsikā bahutarā hontī’’ti evamādike paccaye sati. Aññasmimpi cātuddaseti tiṇṇaṃ utūnaṃ tatiyasattamapakkhacātuddasato aññasmiṃ cātuddase.

    น เกวลํ อุโปสถทิวสาว โหนฺตีติ อาห ‘‘ปุริมวสฺสํวุฎฺฐานํ ปนา’’ติอาทิฯ มา อิติ จโนฺท วุจฺจติ ตสฺส คติยา ทิวสสฺส มินิตพฺพโต, โส เอตฺถ สพฺพกลาปาริปูริยา ปุโณฺณติ ปุณฺณมา, ปุพฺพกตฺติกาย ปุณฺณมา ปุพฺพกตฺติกปุณฺณมา, อสฺสยุชปุณฺณมาฯ สา หิ ปจฺฉิมกตฺติกํ นิวเตฺตตุํ เอวํ วุตฺตาฯ เตสํเยวาติ ปุริมวสฺสํวุฎฺฐานํเยวฯ ภณฺฑนการเกหีติ กลหการเกหิฯ ปจฺจุกฺกฑฺฒนฺตีติ อุกฺกฑฺฒนฺติฯ ภณฺฑนการเกหิ อนุวาทวเสน อสฺสยุชปุณฺณมาทิํ ปริจฺจชนฺตา ปวารณํ กาฬปกฺขํ, ชุณฺหปกฺขนฺติ อุทฺธํ กฑฺฒนฺตีติ อโตฺถฯ ‘‘สุณนฺตุ เม อายสฺมโนฺต อาวาสิกา, ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิทานิ อุโปสถํ กเรยฺยาม, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยาม, อาคเม กาเฬ ปวาเรยฺยามา’’ติ (มหาว. ๒๔๐) ‘‘สุณนฺตุ เม อายสฺมโนฺต อาวาสิกา, ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิทานิ อุโปสถํ กเรยฺยาม, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยาม, อาคเม ชุเณฺห ปวาเรยฺยามา’’ติ จ เอวํ ญตฺติยา ปวารณํ อุกฺกฑฺฒนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Na kevalaṃ uposathadivasāva hontīti āha ‘‘purimavassaṃvuṭṭhānaṃ panā’’tiādi. iti cando vuccati tassa gatiyā divasassa minitabbato, so ettha sabbakalāpāripūriyā puṇṇoti puṇṇamā, pubbakattikāya puṇṇamā pubbakattikapuṇṇamā, assayujapuṇṇamā. Sā hi pacchimakattikaṃ nivattetuṃ evaṃ vuttā. Tesaṃyevāti purimavassaṃvuṭṭhānaṃyeva. Bhaṇḍanakārakehīti kalahakārakehi. Paccukkaḍḍhantīti ukkaḍḍhanti. Bhaṇḍanakārakehi anuvādavasena assayujapuṇṇamādiṃ pariccajantā pavāraṇaṃ kāḷapakkhaṃ, juṇhapakkhanti uddhaṃ kaḍḍhantīti attho. ‘‘Suṇantu me āyasmanto āvāsikā, yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, idāni uposathaṃ kareyyāma, pātimokkhaṃ uddiseyyāma, āgame kāḷe pavāreyyāmā’’ti (mahāva. 240) ‘‘suṇantu me āyasmanto āvāsikā, yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, idāni uposathaṃ kareyyāma, pātimokkhaṃ uddiseyyāma, āgame juṇhe pavāreyyāmā’’ti ca evaṃ ñattiyā pavāraṇaṃ ukkaḍḍhantīti vuttaṃ hoti.

    อถาติ อนนฺตรเตฺถ นิปาโตฯ จตุทฺทสนฺนํ ปูรโณ จาตุทฺทโส, ทิวโสฯ ยํ สนฺธาย ‘‘อาคเม ชุเณฺห ปวาเรยฺยามา’’ติ ญตฺติํ ฐปยิํสุ, ตสฺมิํ ปน อาคเม ชุเณฺห โกมุทิยา จาตุมาสินิยา อวสฺสํ ปวาเรตพฺพํฯ น หิ ตํ อติกฺกมิตฺวา ปวาเรตุํ ลพฺภติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Athāti anantaratthe nipāto. Catuddasannaṃ pūraṇo cātuddaso, divaso. Yaṃ sandhāya ‘‘āgame juṇhe pavāreyyāmā’’ti ñattiṃ ṭhapayiṃsu, tasmiṃ pana āgame juṇhe komudiyā cātumāsiniyā avassaṃ pavāretabbaṃ. Na hi taṃ atikkamitvā pavāretuṃ labbhati. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เต เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู ภณฺฑนการกา กลหการกา วิวาทการกา ภสฺสการกา สเงฺฆ อธิกรณการกา ตมฺปิ ชุณฺหํ อนุวเสยฺยุํ, เตหิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขูหิ สเพฺพเหว อาคเม ชุเณฺห โกมุทิยา จาตุมาสินิยา อกามา ปวาเรตพฺพ’’นฺติ (มหาว. ๒๔๐)ฯ

    ‘‘Te ce, bhikkhave, bhikkhū bhaṇḍanakārakā kalahakārakā vivādakārakā bhassakārakā saṅghe adhikaraṇakārakā tampi juṇhaṃ anuvaseyyuṃ, tehi, bhikkhave, bhikkhūhi sabbeheva āgame juṇhe komudiyā cātumāsiniyā akāmā pavāretabba’’nti (mahāva. 240).

    เตเนวาห ‘‘ปจฺฉิมวสฺสํวุฎฺฐานญฺจ ปจฺฉิมกตฺติกปุณฺณมา เอวา’’ติฯ ยทิ หิ ตํ อติกฺกมิตฺวา ปวาเรยฺย, ทุกฺกฎาปตฺติํ อาปเชฺชยฺยฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘น จ, ภิกฺขเว, อปวารณาย ปวาเรตพฺพํ อญฺญตฺร สงฺฆสามคฺคิยา’’ติ (มหาว. ๒๓๓)ฯ วิสุทฺธิปวารณาโยคโต ปวารณาทิวสาปิสเทฺทน น เกวลํ ปวารณาทิวสาเยว, อถ โข อุโปสถทิวสาปิ โหนฺตีติ ทเสฺสติฯ อิทานิ โย โส สามคฺคิอุโปสถทิวโส วุโตฺต, ตญฺจ ตปฺปสเงฺคน สามคฺคิปวารณาทิวสญฺจ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยทา ปนา’’ติอาทิมาหฯ โอสาริเต ตสฺมิํ ภิกฺขุสฺมินฺติ อุกฺขิตฺตเก ภิกฺขุสฺมิํ โอสาริเต, ตํ คเหตฺวา สีมํ คนฺตฺวา อาปตฺติํ เทสาเปตฺวา กมฺมวาจาย กมฺมปฺปฎิปฺปสฺสทฺธิวเสน ปเวสิเตติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺส วตฺถุสฺสาติ ตสฺส อธิกรณสฺสฯ ตทา ฐเปตฺวา…เป.… อุโปสถทิวโส นาม โหตีติ สมฺพโนฺธฯ กิํ การณนฺติ อาห ‘‘ตาวเทวา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ตาวเทวาติ ตํ ทิวสเมวฯ วจนโตติ โกสมฺพกกฺขนฺธเก (มหาว. ๔๗๕) วุตฺตตฺตาฯ ยตฺถ ปน ปตฺตจีวราทีนํ อตฺถาย อปฺปมตฺตเกน การเณน วิวทนฺตา อุโปสถํ วา ปวารณํ วา ฐเปนฺติ, ตตฺถ ตสฺมิํ อธิกรเณ วินิจฺฉิเต ‘‘สมคฺคา ชาตมฺหา’’ติ อนฺตรา สามคฺคิอุโปสถํ กาตุํ น ลภนฺติฯ กโรเนฺตหิ อนุโปสเถ อุโปสโถ กโต นาม โหติฯ กตฺติกมาสพฺภนฺตเรติ เอตฺถ กตฺติกมาโส นาม ปุพฺพกตฺติกมาสสฺส กาฬปกฺขปาฎิปทโต ปฎฺฐาย ยาว อปรกตฺติกปุณฺณมา, ตาว เอกูนติํสรตฺติทิโว, ตสฺสพฺภนฺตเร, ตโต ปจฺฉา วา ปน ปุเร วา น วฎฺฎติฯ อยเมว โย โกจิ ทิวโสเยวฯ อิธาปิ โกสมฺพกกฺขนฺธเก สามคฺคิยา สทิสาว สามคฺคี เวทิตพฺพาฯ เย ปน กิสฺมิญฺจิเทว อปฺปมตฺตเก ปวารณํ ฐเปตฺวา สมคฺคา โหนฺติ, เตหิ ปวารณายเมว ปวารณา กาตพฺพา, ตาวเทว น กาตพฺพาฯ กโรเนฺตหิ อปฺปวารณาย ปวารณา กตา โหติฯ น กาตโพฺพเยวาติ นิยเมน ยทิ กโรติ, ทุกฺกฎนฺติ ทเสฺสติฯ ตตฺถ หิ อุโปสถกรเณ ทุกฺกฎํฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘น, ภิกฺขเว, อนุโปสเถ อุโปสโถ กาตโพฺพ อญฺญตฺร สงฺฆสามคฺคิยา’’ติ (มหาว. ๑๘๓)ฯ

    Tenevāha ‘‘pacchimavassaṃvuṭṭhānañca pacchimakattikapuṇṇamā evā’’ti. Yadi hi taṃ atikkamitvā pavāreyya, dukkaṭāpattiṃ āpajjeyya. Vuttañhetaṃ ‘‘na ca, bhikkhave, apavāraṇāya pavāretabbaṃ aññatra saṅghasāmaggiyā’’ti (mahāva. 233). Visuddhipavāraṇāyogato pavāraṇādivasā. Pisaddena na kevalaṃ pavāraṇādivasāyeva, atha kho uposathadivasāpi hontīti dasseti. Idāni yo so sāmaggiuposathadivaso vutto, tañca tappasaṅgena sāmaggipavāraṇādivasañca dassento ‘‘yadā panā’’tiādimāha. Osārite tasmiṃ bhikkhusminti ukkhittake bhikkhusmiṃ osārite, taṃ gahetvā sīmaṃ gantvā āpattiṃ desāpetvā kammavācāya kammappaṭippassaddhivasena pavesiteti vuttaṃ hoti. Tassa vatthussāti tassa adhikaraṇassa. Tadā ṭhapetvā…pe… uposathadivaso nāma hotīti sambandho. Kiṃ kāraṇanti āha ‘‘tāvadevā’’tiādi. Tattha tāvadevāti taṃ divasameva. Vacanatoti kosambakakkhandhake (mahāva. 475) vuttattā. Yattha pana pattacīvarādīnaṃ atthāya appamattakena kāraṇena vivadantā uposathaṃ vā pavāraṇaṃ vā ṭhapenti, tattha tasmiṃ adhikaraṇe vinicchite ‘‘samaggā jātamhā’’ti antarā sāmaggiuposathaṃ kātuṃ na labhanti. Karontehi anuposathe uposatho kato nāma hoti. Kattikamāsabbhantareti ettha kattikamāso nāma pubbakattikamāsassa kāḷapakkhapāṭipadato paṭṭhāya yāva aparakattikapuṇṇamā, tāva ekūnatiṃsarattidivo, tassabbhantare, tato pacchā vā pana pure vā na vaṭṭati. Ayameva yo koci divasoyeva. Idhāpi kosambakakkhandhake sāmaggiyā sadisāva sāmaggī veditabbā. Ye pana kismiñcideva appamattake pavāraṇaṃ ṭhapetvā samaggā honti, tehi pavāraṇāyameva pavāraṇā kātabbā, tāvadeva na kātabbā. Karontehi appavāraṇāya pavāraṇā katā hoti. Na kātabboyevāti niyamena yadi karoti, dukkaṭanti dasseti. Tattha hi uposathakaraṇe dukkaṭaṃ. Vuttañhetaṃ ‘‘na, bhikkhave, anuposathe uposatho kātabbo aññatra saṅghasāmaggiyā’’ti (mahāva. 183).

    ‘‘ปตฺตกาลเมว ปตฺตกลฺล’’นฺติ อิมินา สกเตฺถ ภาวปฺปจฺจโยติ ทเสฺสติฯ นาสตีติ อนฺวยโต วุตฺตเมว พฺยติเรกโต ทฬฺหํ กโรติฯ

    ‘‘Pattakālamevapattakalla’’nti iminā sakatthe bhāvappaccayoti dasseti. Nāsatīti anvayato vuttameva byatirekato daḷhaṃ karoti.

    อนุรูปาติ อรหา อนุจฺฉวิกา, สามิโนติ วุตฺตํ โหติฯ สพฺพนฺติเมนาติ สพฺพเหฎฺฐิเมน จตฺตาโร, น เตหิ วินา ตํ อุโปสถกมฺมํ กรียติ, น เตสํ ฉโนฺท วา ปาริสุทฺธิ วา เอติฯ อวเสสา ปน สเจปิ สหสฺสมตฺตา โหนฺติ, สเจ สมานสํวาสกา, สเพฺพ ฉนฺทารหาว โหนฺติ, ฉนฺทปาริสุทฺธิํ ทตฺวา อาคจฺฉนฺตุ วา, มา วา, กมฺมํ น กุปฺปติฯ ปกตตฺตาติ อนุกฺขิตฺตา, ปาราชิกํ อนชฺฌาปนฺนา จฯ หตฺถปาโส นาม ทิยฑฺฒหตฺถปฺปมาโณฯ

    Anurūpāti arahā anucchavikā, sāminoti vuttaṃ hoti. Sabbantimenāti sabbaheṭṭhimena cattāro, na tehi vinā taṃ uposathakammaṃ karīyati, na tesaṃ chando vā pārisuddhi vā eti. Avasesā pana sacepi sahassamattā honti, sace samānasaṃvāsakā, sabbe chandārahāva honti, chandapārisuddhiṃ datvā āgacchantu vā, mā vā, kammaṃ na kuppati. Pakatattāti anukkhittā, pārājikaṃ anajjhāpannā ca. Hatthapāso nāma diyaḍḍhahatthappamāṇo.

    สีมา จ นาเมสา กตมา, ยตฺถ หตฺถปาสํ อวิชหิตฺวา ฐิตา กมฺมปฺปตฺตา นาม โหนฺตีติ อนุโยคํ สนฺธาย สีมํ ทเสฺสโนฺต วิภาควนฺตานํ สภาววิภาวนํ วิภาคทสฺสนมุเขเนว โหตีติ ‘‘สีมา จ นาเมสา’’ติอาทิมาหฯ สมฺภินฺทเนฺตนาติ มิสฺสีกโรเนฺตนฯ อโชฺฌตฺถรเนฺตนาติ มทฺทเนฺตน, อโนฺต กโรเนฺตนาติ วุตฺตํ โหติฯ อิมา วิปตฺติสีมาโย นามาติ สมฺพโนฺธฯ กสฺมา วิปตฺติสีมาโย นามาติ อาห ‘‘เอกาทสหี’’ติอาทิฯ อากาเรหีติ การเณหิฯ วจนโตติ กมฺมวเคฺค (ปริ. ๔๘๒ อาทโย) กถิตตฺตาฯ สงฺฆกมฺมํ นาเมตํ วีสติวคฺคกรณียปรมนฺติ อาห ‘‘ยตฺถ เอกวีสติ ภิกฺขู นิสีทิตุํ น สโกฺกนฺตี’’ติฯ ยสฺสํ สีมายํ เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน กมฺมารเหน สทฺธิํ เอกวีสติ ภิกฺขู ปริมณฺฑลากาเรน นิสีทิตุํ น สโกฺกนฺติ, อยํ อติขุทฺทกา นามาติ อโตฺถฯ เอวรูปา จ สีมา สมฺมตาปิ อสมฺมตา, คามเขตฺตสทิสาว โหติ, ตตฺถ กตํ กมฺมํ กุปฺปติฯ เอส นโย เสสสีมาสุปิฯ

    Sīmā ca nāmesā katamā, yattha hatthapāsaṃ avijahitvā ṭhitā kammappattā nāma hontīti anuyogaṃ sandhāya sīmaṃ dassento vibhāgavantānaṃ sabhāvavibhāvanaṃ vibhāgadassanamukheneva hotīti ‘‘sīmā ca nāmesā’’tiādimāha. Sambhindantenāti missīkarontena. Ajjhottharantenāti maddantena, anto karontenāti vuttaṃ hoti. Imā vipattisīmāyo nāmāti sambandho. Kasmā vipattisīmāyo nāmāti āha ‘‘ekādasahī’’tiādi. Ākārehīti kāraṇehi. Vacanatoti kammavagge (pari. 482 ādayo) kathitattā. Saṅghakammaṃ nāmetaṃ vīsativaggakaraṇīyaparamanti āha ‘‘yattha ekavīsati bhikkhū nisīdituṃ na sakkontī’’ti. Yassaṃ sīmāyaṃ heṭṭhimaparicchedena kammārahena saddhiṃ ekavīsati bhikkhū parimaṇḍalākārena nisīdituṃ na sakkonti, ayaṃ atikhuddakā nāmāti attho. Evarūpā ca sīmā sammatāpi asammatā, gāmakhettasadisāva hoti, tattha kataṃ kammaṃ kuppati. Esa nayo sesasīmāsupi.

    สมฺมตาติ พทฺธา, วาจิตกมฺมวาจาติ อโตฺถฯ กมฺมวาจาย วาจนเมว หิ พนฺธนํ นามฯ นิมิตฺตํ น อุปคจฺฉตีติ อนิมิตฺตุปโค, ตํ อนิมิตฺตุปคํ, อนิมิตฺตารหนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตจสารรุโกฺข นาม ตาลนาฬิเกราทิกาฯ ปํสุปุญฺชวาลุกาปุญฺชานนฺติ ปํสุราสิวาลุการาสีนํ มเชฺฌฯ นิทฺธารเณ เจตํ สามิวจนํฯ โปตฺถเกสุ ปน กตฺถจิ ‘‘ปํสุปุญฺชํ วา วาลุกาปุญฺชํ วา อญฺญตร’’นฺติ ปาโฐ ทิสฺสติ, โส ปน อปาโฐฯ น หิ โส ‘‘อญฺญตร’’นฺติ อิมินา ยุชฺชตีติฯ อนฺตราติ นิมิตฺตุปคนิมิตฺตานมนฺตราฯ เอตฺถ จ ยา ตีหิ นิมิเตฺตหิ พชฺฌมานา อนิมิตฺตุปเคสุ ตจสารรุกฺขาทีสุ อญฺญตรํ อนฺตรา เอกํ นิมิตฺตํ กตฺวา สมฺมตา, สา ขณฺฑนิมิตฺตา นาม โหติฯ ยา ปน จตุปญฺจนิมิตฺตาทีหิ พชฺฌมานา อิเมสุ ตจสารรุกฺขาทีสุ อญฺญตรํ อนฺตรา เอกํ นิมิตฺตํ กตฺวา สมฺมตา, สา ขณฺฑนิมิตฺตา นาม น โหตีติ วิญฺญายติ นิมิตฺตุปคานํ นิมิตฺตานํ ติณฺณํ สพฺภาวโตฯ อฎฺฐกถาสุ ปน อวิเสเสน วุตฺตํ, ตสฺมา อุปปริกฺขิตฺวา คเหตพฺพํฯ สเพฺพน สพฺพนฺติ สพฺพปฺปกาเรนฯ นิมิตฺตานํ พหิ ฐิเตน สมฺมตาติ เตสํ พหิ ฐิเตน วาจิตกมฺมวาจาฯ นิมิตฺตานิ ปน อโนฺต จ พหิ จ ฐตฺวา กิเตฺตตุํ วฎฺฎนฺติฯ

    Sammatāti baddhā, vācitakammavācāti attho. Kammavācāya vācanameva hi bandhanaṃ nāma. Nimittaṃ na upagacchatīti animittupago, taṃ animittupagaṃ, animittārahanti vuttaṃ hoti. Tacasārarukkho nāma tālanāḷikerādikā. Paṃsupuñjavālukāpuñjānanti paṃsurāsivālukārāsīnaṃ majjhe. Niddhāraṇe cetaṃ sāmivacanaṃ. Potthakesu pana katthaci ‘‘paṃsupuñjaṃ vā vālukāpuñjaṃ vā aññatara’’nti pāṭho dissati, so pana apāṭho. Na hi so ‘‘aññatara’’nti iminā yujjatīti. Antarāti nimittupaganimittānamantarā. Ettha ca yā tīhi nimittehi bajjhamānā animittupagesu tacasārarukkhādīsu aññataraṃ antarā ekaṃ nimittaṃ katvā sammatā, sā khaṇḍanimittā nāma hoti. Yā pana catupañcanimittādīhi bajjhamānā imesu tacasārarukkhādīsu aññataraṃ antarā ekaṃ nimittaṃ katvā sammatā, sā khaṇḍanimittā nāma na hotīti viññāyati nimittupagānaṃ nimittānaṃ tiṇṇaṃ sabbhāvato. Aṭṭhakathāsu pana avisesena vuttaṃ, tasmā upaparikkhitvā gahetabbaṃ. Sabbena sabbanti sabbappakārena. Nimittānaṃ bahi ṭhitena sammatāti tesaṃ bahi ṭhitena vācitakammavācā. Nimittāni pana anto ca bahi ca ṭhatvā kittetuṃ vaṭṭanti.

    เอวํ สมฺมตาปีติ นิมิตฺตานิ กิเตฺตตฺวา กมฺมวาจาย สมฺมตาปิฯ อิมสฺส ‘‘อสมฺมตาว โหตี’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ สพฺพา, ภิกฺขเว, นที อสีมาติ ยา กาจิ นทีลกฺขณปฺปตฺตา นที นิมิตฺตานิ กิเตฺตตฺวา ‘‘เอตํ พทฺธสีมํ กโรมา’’ติ กตาปิ อสีมา, พทฺธสีมา น โหตีติ อโตฺถฯ อตฺตโน สภาเวน ปน สา พทฺธสีมาสทิสาฯ สพฺพตฺถ สงฺฆกมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติฯ สมุทฺทชาตสฺสเรสุปิ เอเสว นโยฯ ‘‘สํสฎฺฐวิฎปา’’ติ อิมินา อญฺญมญฺญสฺส อาสนฺนตํ ทีเปติฯ พทฺธา โหตีติ ปจฺฉิมทิสาภาเค สีมํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตสฺสา ปเทสนฺติ ตสฺสา เอกเทสํฯ ยตฺถ ฐตฺวา ภิกฺขูหิ กมฺมํ กาตุํ สกฺกา โหติ, ตาทิสํ เอกเทสนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ยตฺถ ปน ฐิเตหิ กมฺมํ กาตุํ น สกฺกา, ตาทิสํ ปเทสํ อโนฺต กริตฺวา พนฺธนฺตา สีมาย สีมํ สมฺภินฺทนฺติ นาม, น ตุ อโชฺฌตฺถรนฺติ นามาติ คเหตพฺพํฯ คณฺฐิปเทสุ ปน ‘‘สมฺภินฺทนํ ปเรสํ สีมาย เอกํ วา เทฺว วา นิมิเตฺต กิเตฺตตฺวา เลขามตฺตํ คเหตฺวา พนฺธนํฯ อโชฺฌตฺถรณํ นาม ปเรสํ สีมาย นิมิเตฺต กิเตฺตตฺวา ตํ สกลํ วา ตเสฺสกเทสํ วา อโนฺต กโรเนฺตน ตสฺสา พหิ เอกิสฺสํ ทฺวีสุ วา ทิสาสุ นิมิเตฺต กิเตฺตตฺวา พนฺธน’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Evaṃ sammatāpīti nimittāni kittetvā kammavācāya sammatāpi. Imassa ‘‘asammatāva hotī’’ti iminā sambandho. Sabbā, bhikkhave, nadī asīmāti yā kāci nadīlakkhaṇappattā nadī nimittāni kittetvā ‘‘etaṃ baddhasīmaṃ karomā’’ti katāpi asīmā, baddhasīmā na hotīti attho. Attano sabhāvena pana sā baddhasīmāsadisā. Sabbattha saṅghakammaṃ kātuṃ vaṭṭati. Samuddajātassaresupi eseva nayo. ‘‘Saṃsaṭṭhaviṭapā’’ti iminā aññamaññassa āsannataṃ dīpeti. Baddhā hotīti pacchimadisābhāge sīmaṃ sandhāya vuttaṃ. Tassā padesanti tassā ekadesaṃ. Yattha ṭhatvā bhikkhūhi kammaṃ kātuṃ sakkā hoti, tādisaṃ ekadesanti vuttaṃ hoti. Yattha pana ṭhitehi kammaṃ kātuṃ na sakkā, tādisaṃ padesaṃ anto karitvā bandhantā sīmāya sīmaṃ sambhindanti nāma, na tu ajjhottharanti nāmāti gahetabbaṃ. Gaṇṭhipadesu pana ‘‘sambhindanaṃ paresaṃ sīmāya ekaṃ vā dve vā nimitte kittetvā lekhāmattaṃ gahetvā bandhanaṃ. Ajjhottharaṇaṃ nāma paresaṃ sīmāya nimitte kittetvā taṃ sakalaṃ vā tassekadesaṃ vā anto karontena tassā bahi ekissaṃ dvīsu vā disāsu nimitte kittetvā bandhana’’nti vuttaṃ.

    ปพฺพตาทีนํ นิมิตฺตานํ สมฺปทา นิมิตฺตสมฺปตฺติฯ ปพฺพโตว นิมิตฺตํ ปพฺพตนิมิตฺตํฯ เอวํ เสเสสุปิฯ เอวํ วุเตฺตสูติ อุโปสถกฺขนฺธเก (มหาว. ๑๓๘ อาทโย) สีมาสมฺมุติยํ วุเตฺตสุฯ อิเมหิ จ ปน อฎฺฐหิ นิมิเตฺตหิ อสมฺมิเสฺสหิปิ อญฺญมญฺญมิเสฺสหิปิ สีมํ สมฺมนฺนิตุํ วฎฺฎติฯ เตนาห ‘‘ตสฺมิํ ตสฺมิํ ทิสาภาเค ยถาลทฺธานิ นิมิตฺตุปคานิ นิมิตฺตานี’’ติฯ เอเกน, ปน ทฺวีหิ วา นิมิเตฺตหิ สมฺมนฺนิตุํ น วฎฺฎติ, ตีณิ ปน อาทิํ กตฺวา วุตฺตปฺปการานํ นิมิตฺตานํ สเตนาปิ วฎฺฎติฯ ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสาย กิํ นิมิตฺต’’นฺติ วินยธเรน ปุจฺฉิตพฺพํ, ‘‘ปพฺพโต, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ปุน วินยธเรเนว ‘‘เอโส ปพฺพโต นิมิตฺต’’นฺติ เอวํ นิมิตฺตํ กิเตฺตตพฺพํฯ ‘‘เอตํ ปพฺพตํ นิมิตฺตํ กโรม, นิมิตฺตํ กริสฺสาม, นิมิตฺตํ กโต, นิมิตฺตํ โหตุ, โหติ ภวิสฺสตี’’ติ เอวํ ปน กิเตฺตตุํ น วฎฺฎติฯ ปาสาณาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เตนาห ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสาย กิํ นิมิตฺต’’นฺติอาทิฯ ‘‘ปพฺพโต, ภเนฺต, อุทกํ, ภเนฺต’’ติ เอวํ ปน อุปสมฺปโนฺน วา อาจิกฺขตุ, อนุปสมฺปโนฺน วา, วฎฺฎติเยวฯ อาทิสเทฺทน ‘‘ปุรตฺถิมาย อนุทิสาย กิํ นิมิตฺตํ? ปาสาโณ, ภเนฺต, เอโส ปาสาโณ นิมิตฺตํฯ ทกฺขิณาย ทิสาย, ทกฺขิณาย อนุทิสาย, ปจฺฉิมาย ทิสาย, ปจฺฉิมาย อนุทิสาย, อุตฺตราย ทิสาย, อุตฺตราย อนุทิสาย กิํ นิมิตฺตํ? อุทกํ, ภเนฺต, เอตํ อุทกํ นิมิตฺต’’นฺติ อิทํ สงฺคณฺหาติฯ เอตฺถ ปน อฎฺฐตฺวา ปุน ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสาย กิํ นิมิตฺตํ? ปพฺพโต, ภเนฺต, เอโส ปพฺพโต นิมิตฺต’’นฺติ เอวํ ปฐมํ กิตฺติตนิมิตฺตํ กิเตฺตตฺวาว ฐเปตพฺพํฯ เอวญฺหิ นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ ฆฎิตํ โหติฯ สมฺมา กิเตฺตตฺวาติ อญฺญมญฺญนามวิปริยาเยน, อนิมิตฺตานํ นาเมน จ อกิเตฺตตฺวา ยถาวุเตฺตเนว นเยน กิเตฺตตฺวาฯ สมฺมตาติ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต’’ติอาทินา นเยน อุโปสถกฺขนฺธเก (มหาว. ๑๓๙ อาทโย) วุตฺตาย ปริสุทฺธาย ญตฺติทุติยกมฺมวาจาย พทฺธาฯ ตตฺถ นิมิตฺตานิ สกิํ กิตฺติตานิปิ กิตฺติตาเนว โหนฺติฯ อนฺธกฎฺฐกถายํ ปน ติกฺขตฺตุํ สีมมณฺฑลํ สมฺพนฺธเนฺตน นิมิตฺตํ กิเตฺตตพฺพ’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๓๘) วุตฺตํฯ

    Pabbatādīnaṃ nimittānaṃ sampadā nimittasampatti. Pabbatova nimittaṃ pabbatanimittaṃ. Evaṃ sesesupi. Evaṃ vuttesūti uposathakkhandhake (mahāva. 138 ādayo) sīmāsammutiyaṃ vuttesu. Imehi ca pana aṭṭhahi nimittehi asammissehipi aññamaññamissehipi sīmaṃ sammannituṃ vaṭṭati. Tenāha ‘‘tasmiṃ tasmiṃ disābhāge yathāladdhāni nimittupagāni nimittānī’’ti. Ekena, pana dvīhi vā nimittehi sammannituṃ na vaṭṭati, tīṇi pana ādiṃ katvā vuttappakārānaṃ nimittānaṃ satenāpi vaṭṭati. ‘‘Puratthimāya disāya kiṃ nimitta’’nti vinayadharena pucchitabbaṃ, ‘‘pabbato, bhante’’ti vutte puna vinayadhareneva ‘‘eso pabbato nimitta’’nti evaṃ nimittaṃ kittetabbaṃ. ‘‘Etaṃ pabbataṃ nimittaṃ karoma, nimittaṃ karissāma, nimittaṃ kato, nimittaṃ hotu, hoti bhavissatī’’ti evaṃ pana kittetuṃ na vaṭṭati. Pāsāṇādīsupi eseva nayo. Tenāha ‘‘puratthimāya disāya kiṃ nimitta’’ntiādi. ‘‘Pabbato, bhante, udakaṃ, bhante’’ti evaṃ pana upasampanno vā ācikkhatu, anupasampanno vā, vaṭṭatiyeva. Ādisaddena ‘‘puratthimāya anudisāya kiṃ nimittaṃ? Pāsāṇo, bhante, eso pāsāṇo nimittaṃ. Dakkhiṇāya disāya, dakkhiṇāya anudisāya, pacchimāya disāya, pacchimāya anudisāya, uttarāya disāya, uttarāya anudisāya kiṃ nimittaṃ? Udakaṃ, bhante, etaṃ udakaṃ nimitta’’nti idaṃ saṅgaṇhāti. Ettha pana aṭṭhatvā puna ‘‘puratthimāya disāya kiṃ nimittaṃ? Pabbato, bhante, eso pabbato nimitta’’nti evaṃ paṭhamaṃ kittitanimittaṃ kittetvāva ṭhapetabbaṃ. Evañhi nimittena nimittaṃ ghaṭitaṃ hoti. Sammā kittetvāti aññamaññanāmavipariyāyena, animittānaṃ nāmena ca akittetvā yathāvutteneva nayena kittetvā. Sammatāti ‘‘suṇātu me, bhante’’tiādinā nayena uposathakkhandhake (mahāva. 139 ādayo) vuttāya parisuddhāya ñattidutiyakammavācāya baddhā. Tattha nimittāni sakiṃ kittitānipi kittitāneva honti. Andhakaṭṭhakathāyaṃ pana tikkhattuṃ sīmamaṇḍalaṃ sambandhantena nimittaṃ kittetabba’’nti (mahāva. aṭṭha. 138) vuttaṃ.

    ตตฺราติ เตสุ อฎฺฐสุ นิมิเตฺตสุฯ นิมิตฺตุปคตาติ นิมิตฺตโยคฺยตาฯ ‘‘หตฺถิปฺปมาณโต ปฎฺฐายา’’ติ วจนโต หตฺถิปฺปมาโณปิ นิมิตฺตุปโคเยวฯ หตฺถี ปน สตฺตรตโน วา อฑฺฒฎฺฐรตโน (สารตฺถ. ฎี. มหาวคฺค ๓.๑๓๘) วาฯ ตโต โอมกตโรติ ตโต หตฺถิปฺปมาณโต ขุทฺทกตโรฯ สเจ จตูสุ ทิสาสุ จตฺตาโร วา ตีสุ วา ตโย ปพฺพตา โหนฺติ, จตูหิ, ตีหิ วา ปพฺพตนิมิเตฺตเหว สมฺมนฺนิตุมฺปิ วฎฺฎติ, ทฺวีหิ ปน นิมิเตฺตหิ, เอเกน วา สมฺมนฺนิตุํ น วฎฺฎติฯ อิโต ปเรสุ ปาสาณนิมิตฺตาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมา ปพฺพตนิมิตฺตํ กโรเนฺตน ปุจฺฉิตพฺพํ ‘‘เอกาพโทฺธ, น เอกาพโทฺธ’’ติฯ สเจ เอกาพโทฺธ โหติ, น กาตโพฺพฯ ตญฺหิ จตูสุ วา อฎฺฐสุ วา ทิสาสุ กิเตฺตเนฺตนาปิ เอกเมว นิมิตฺตํ กิตฺติตํ โหติฯ ตสฺมา โย เอวํ จกฺกสณฺฐาเนน วิหารํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิโต ปพฺพโต, ตํ เอกทิสาย กิเตฺตตฺวา อญฺญาสุ ทิสาสุ ตํ พหิทฺธา กตฺวา อโนฺต อญฺญานิ นิมิตฺตานิ กิเตฺตตพฺพานิฯ สเจ ปพฺพตสฺส ตติยภาคํ วา อุปฑฺฒํ วา อโนฺตสีมาย กตฺตุกามา โหนฺติ, ปพฺพตํ อกิเตฺตตฺวา ยตฺตกํ ปเทสํ อโนฺต กตฺตุกามา, ตสฺส ปรโต ตสฺมิํเยว ปพฺพเต ชาตรุกฺขวมฺมิกาทีสุ อญฺญตรํ นิมิตฺตํ กิเตฺตตพฺพํฯ สเจ โยชนทฺวิโยชนปฺปมาณํ สพฺพํ ปพฺพตํ อโนฺต กตฺตุกามา โหนฺติ, ปพฺพตสฺส ปรโต ภูมิยํ ชาตรุกฺขวมฺมิกาทีนิ นิมิตฺตานิ กิเตฺตตพฺพานิ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๓๘; วิ. สงฺค. อฎฺฐ. ๑๕๘)ฯ

    Tatrāti tesu aṭṭhasu nimittesu. Nimittupagatāti nimittayogyatā. ‘‘Hatthippamāṇato paṭṭhāyā’’ti vacanato hatthippamāṇopi nimittupagoyeva. Hatthī pana sattaratano vā aḍḍhaṭṭharatano (sārattha. ṭī. mahāvagga 3.138) vā. Tato omakataroti tato hatthippamāṇato khuddakataro. Sace catūsu disāsu cattāro vā tīsu vā tayo pabbatā honti, catūhi, tīhi vā pabbatanimitteheva sammannitumpi vaṭṭati, dvīhi pana nimittehi, ekena vā sammannituṃ na vaṭṭati. Ito paresu pāsāṇanimittādīsupi eseva nayo. Tasmā pabbatanimittaṃ karontena pucchitabbaṃ ‘‘ekābaddho, na ekābaddho’’ti. Sace ekābaddho hoti, na kātabbo. Tañhi catūsu vā aṭṭhasu vā disāsu kittentenāpi ekameva nimittaṃ kittitaṃ hoti. Tasmā yo evaṃ cakkasaṇṭhānena vihāraṃ parikkhipitvā ṭhito pabbato, taṃ ekadisāya kittetvā aññāsu disāsu taṃ bahiddhā katvā anto aññāni nimittāni kittetabbāni. Sace pabbatassa tatiyabhāgaṃ vā upaḍḍhaṃ vā antosīmāya kattukāmā honti, pabbataṃ akittetvā yattakaṃ padesaṃ anto kattukāmā, tassa parato tasmiṃyeva pabbate jātarukkhavammikādīsu aññataraṃ nimittaṃ kittetabbaṃ. Sace yojanadviyojanappamāṇaṃ sabbaṃ pabbataṃ anto kattukāmā honti, pabbatassa parato bhūmiyaṃ jātarukkhavammikādīni nimittāni kittetabbāni (mahāva. aṭṭha. 138; vi. saṅga. aṭṭha. 158).

    สงฺขํ คจฺฉตีติ คณนํ โวหารํ คจฺฉตีติ อโตฺถฯ ทฺวตฺติํสปลคุฬปิณฺฑปริมาโณติ ถูลตาย, น ตุลคณนายฯ ตตฺถ ‘‘เอกปลํ นาม ทสกลญฺช’’นฺติ วทนฺติฯ อิฎฺฐกา มหนฺตาปิ น วฎฺฎติฯ ตถา อนิมิตฺตุปคปาสาณานํ ราสิ, ปเคว ปํสุวาลุการาสิฯ ภูมิสโม ขลมณฺฑลสทิโส ปิฎฺฐิปาสาโณ วา ภูมิโต ขาณุโก วิย อุฎฺฐิตปาสาโณ วา โหติ, โสปิ ปมาณูปโค เจ, วฎฺฎติฯ ‘‘ปิฎฺฐิปาสาโณ ปน อติมหโนฺตปิ ปาสาณสงฺขเมว คจฺฉตีติ อาห ‘‘ปิฎฺฐิปาสาโณ ปนา’’ติอาทิฯ ตสฺมา สเจ มหโต ปิฎฺฐิปาสาณสฺส เอกํ ปเทสํ อโนฺตสีมายํ กตฺตุกามา โหนฺติ, ตํ อกิเตฺตตฺวา ตสฺสุปริ อโญฺญ ปาสาโณ กิเตฺตตโพฺพฯ สเจ ปิฎฺฐิปาสาณุปริ วิหารํ กโรนฺติ, วิหารมเชฺฌน จ ปิฎฺฐิปาสาโณ วินิวิชฺฌิตฺวา คจฺฉติ, เอวรูโป ปิฎฺฐิปาสาโณ น วฎฺฎติฯ สเจ หิ ตํ กิเตฺตนฺติ, นิมิตฺตสฺสุปริ วิหาโร โหติ, นิมิตฺตญฺจ นาม พหิสีมายํ โหติ, วิหาโรปิ พหิสีมายํ อาปชฺชติฯ วิหารํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตปิฎฺฐิปาสาโณ ปน เอกตฺถ กิเตฺตตฺวา อญฺญตฺถ น กิเตฺตตโพฺพฯ

    Saṅkhaṃ gacchatīti gaṇanaṃ vohāraṃ gacchatīti attho. Dvattiṃsapalaguḷapiṇḍaparimāṇoti thūlatāya, na tulagaṇanāya. Tattha ‘‘ekapalaṃ nāma dasakalañja’’nti vadanti. Iṭṭhakā mahantāpi na vaṭṭati. Tathā animittupagapāsāṇānaṃ rāsi, pageva paṃsuvālukārāsi. Bhūmisamo khalamaṇḍalasadiso piṭṭhipāsāṇo vā bhūmito khāṇuko viya uṭṭhitapāsāṇo vā hoti, sopi pamāṇūpago ce, vaṭṭati. ‘‘Piṭṭhipāsāṇo pana atimahantopi pāsāṇasaṅkhameva gacchatīti āha ‘‘piṭṭhipāsāṇo panā’’tiādi. Tasmā sace mahato piṭṭhipāsāṇassa ekaṃ padesaṃ antosīmāyaṃ kattukāmā honti, taṃ akittetvā tassupari añño pāsāṇo kittetabbo. Sace piṭṭhipāsāṇupari vihāraṃ karonti, vihāramajjhena ca piṭṭhipāsāṇo vinivijjhitvā gacchati, evarūpo piṭṭhipāsāṇo na vaṭṭati. Sace hi taṃ kittenti, nimittassupari vihāro hoti, nimittañca nāma bahisīmāyaṃ hoti, vihāropi bahisīmāyaṃ āpajjati. Vihāraṃ parikkhipitvā ṭhitapiṭṭhipāsāṇo pana ekattha kittetvā aññattha na kittetabbo.

    วนนิมิเตฺต ติณวนํ วา ตจสารรุกฺขวนํ วา น วฎฺฎตีติ อาห ‘‘อโนฺตสาเรหี’’ติอาทิฯ อโนฺตสารา นาม อมฺพชมฺพุปนสาทโยฯ อโนฺตสารมิสฺสเกหีติ อโนฺต สาโร เยสํ เต อโนฺตสารา, เตหิ มิสฺสกา อโนฺตสารมิสฺสกา, เตหิฯ จตุปญฺจรุกฺขมตฺตมฺปีติ เหฎฺฐิมปริเจฺฉทนาห ฯ อุกฺกํสโต ปน โยชนสติกมฺปิ วนํ วฎฺฎติฯ เอตฺถ ปน จตุรุกฺขมตฺตเญฺจ, ตโย สารโต, เอโก อสารโตฯ ปญฺจรุกฺขมตฺตเญฺจ, ตโย สารโต, เทฺว อสารโตติ คเหตพฺพํฯ สเจ ปน วนมเชฺฌ วิหารํ กโรนฺติ, ตํ วนํ น กิเตฺตตพฺพํฯ เอกเทสํ อโนฺตสีมายํ กตฺตุกาเมหิปิ วนํ อกิเตฺตตฺวา ตตฺถ รุกฺขปาสาณาทโย กิเตฺตตพฺพา, วิหารํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตวนํ เอกตฺถ กิเตฺตตฺวา อญฺญตฺถ น กิเตฺตตพฺพํ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๓๘)ฯ

    Vananimitte tiṇavanaṃ vā tacasārarukkhavanaṃ vā na vaṭṭatīti āha ‘‘antosārehī’’tiādi. Antosārā nāma ambajambupanasādayo. Antosāramissakehīti anto sāro yesaṃ te antosārā, tehi missakā antosāramissakā, tehi. Catupañcarukkhamattampīti heṭṭhimaparicchedanāha . Ukkaṃsato pana yojanasatikampi vanaṃ vaṭṭati. Ettha pana caturukkhamattañce, tayo sārato, eko asārato. Pañcarukkhamattañce, tayo sārato, dve asāratoti gahetabbaṃ. Sace pana vanamajjhe vihāraṃ karonti, taṃ vanaṃ na kittetabbaṃ. Ekadesaṃ antosīmāyaṃ kattukāmehipi vanaṃ akittetvā tattha rukkhapāsāṇādayo kittetabbā, vihāraṃ parikkhipitvā ṭhitavanaṃ ekattha kittetvā aññattha na kittetabbaṃ (mahāva. aṭṭha. 138).

    รุกฺขนิมิเตฺตปิ ตจสารรุโกฺข น วฎฺฎตีติ อาห ‘‘อโนฺตสาโร’’ติฯ ‘‘ภูมิยํ ปติฎฺฐิโต’’ติ อิมินา กุฎสราวาทีสุ ฐิตํ ปฎิกฺขิปติฯ ตโต อปเนตฺวา ปน ตงฺขณมฺปิ ภูมิยํ โรเปตฺวา โกฎฺฐกํ กตฺวา อุทกํ อาสิญฺจิตฺวา กิเตฺตตุํ วฎฺฎติ, นวมูลสาขานิคฺคมนํ อการณํฯ ขนฺธํ ฉินฺทิตฺวา โรปิเต ปน เอตํ ยุชฺชติฯ สูจิทณฺฑกปฺปมาโณติ ‘‘สีหฬทีเป เลขนทณฺฑปฺปมาโณ’’ติ วทนฺติ (สารตฺถ. ฎี. มหาวคฺค ๓.๑๓๘), โส จ กนิฎฺฐงฺคุลิปริมาโณติ ทฎฺฐโพฺพฯ อิทํ ปน รุกฺขนิมิตฺตํ กิเตฺตเนฺตน ‘‘รุโกฺข’’ติปิ, ‘‘สากรุโกฺข, สาลรุโกฺข’’ติปิ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ เอกาพทฺธํ ปน สุปฺปติฎฺฐิตนิโคฺรธสทิสํ รุกฺขํ เอกตฺถ กิเตฺตตฺวา อญฺญตฺถ กิเตฺตตุํ น วฎฺฎติฯ

    Rukkhanimittepi tacasārarukkho na vaṭṭatīti āha ‘‘antosāro’’ti. ‘‘Bhūmiyaṃ patiṭṭhito’’ti iminā kuṭasarāvādīsu ṭhitaṃ paṭikkhipati. Tato apanetvā pana taṅkhaṇampi bhūmiyaṃ ropetvā koṭṭhakaṃ katvā udakaṃ āsiñcitvā kittetuṃ vaṭṭati, navamūlasākhāniggamanaṃ akāraṇaṃ. Khandhaṃ chinditvā ropite pana etaṃ yujjati. Sūcidaṇḍakappamāṇoti ‘‘sīhaḷadīpe lekhanadaṇḍappamāṇo’’ti vadanti (sārattha. ṭī. mahāvagga 3.138), so ca kaniṭṭhaṅguliparimāṇoti daṭṭhabbo. Idaṃ pana rukkhanimittaṃ kittentena ‘‘rukkho’’tipi, ‘‘sākarukkho, sālarukkho’’tipi vattuṃ vaṭṭati. Ekābaddhaṃ pana suppatiṭṭhitanigrodhasadisaṃ rukkhaṃ ekattha kittetvā aññattha kittetuṃ na vaṭṭati.

    มคฺคนิมิเตฺต อรญฺญเขตฺตนทีตฬากมคฺคาทโย น วฎฺฎนฺตีติ อาห ‘‘ชงฺฆมโคฺค วา โหตู’’ติอาทิฯ โย ปน ชงฺฆมโคฺค สกฎมคฺคโต โอกฺกมิตฺวา ปุน สกฎมคฺคเมว โอตรติ, เย วา ชงฺฆมคฺคสกฎมคฺคา อวลญฺชิตา, เต น วฎฺฎนฺติฯ เตนาห ‘‘ชงฺฆสตฺถสกฎสเตฺถหี’’ติอาทิฯ เอตฺถ จ สเจ สกฎมคฺคสฺส อนฺติมจกฺกมคฺคํ นิมิตฺตํ กโรนฺติ, มโคฺค พหิสีมาย โหติฯ สเจ พาหิรจกฺกมคฺคํ นิมิตฺตํ กโรนฺติ, พาหิรจกฺกมโคฺคว พหิสีมาย โหติ, เสสํ อโนฺตสีมํ ภชตีติ เวทิตพฺพํฯ สเจปิ เทฺว มคฺคา นิกฺขมิตฺวา ปจฺฉา สกฎธุรมิว เอกีภวนฺติ, ทฺวิธา ภินฺนฎฺฐาเน วา สมฺพนฺธฎฺฐาเน วา สกิํ กิเตฺตตฺวา ปุน น กิเตฺตตพฺพาฯ เอกาพทฺธนิมิตฺตเญฺหตํ โหติฯ

    Magganimitte araññakhettanadītaḷākamaggādayo na vaṭṭantīti āha ‘‘jaṅghamaggo vā hotū’’tiādi. Yo pana jaṅghamaggo sakaṭamaggato okkamitvā puna sakaṭamaggameva otarati, ye vā jaṅghamaggasakaṭamaggā avalañjitā, te na vaṭṭanti. Tenāha ‘‘jaṅghasatthasakaṭasatthehī’’tiādi. Ettha ca sace sakaṭamaggassa antimacakkamaggaṃ nimittaṃ karonti, maggo bahisīmāya hoti. Sace bāhiracakkamaggaṃ nimittaṃ karonti, bāhiracakkamaggova bahisīmāya hoti, sesaṃ antosīmaṃ bhajatīti veditabbaṃ. Sacepi dve maggā nikkhamitvā pacchā sakaṭadhuramiva ekībhavanti, dvidhā bhinnaṭṭhāne vā sambandhaṭṭhāne vā sakiṃ kittetvā puna na kittetabbā. Ekābaddhanimittañhetaṃ hoti.

    สเจ วิหารํ ปริกฺขิปิตฺวา จตฺตาโร มคฺคา จตูสุ ทิสาสุ คจฺฉนฺติ, มเชฺฌ เอกํ กิเตฺตตฺวา อปรํ กิเตฺตตุํ น วฎฺฎติฯ เอกาพทฺธนิมิตฺตเญฺหตํฯ โกณํ วินิวิชฺฌิตฺวา คตํ ปน ปรภาเค กิเตฺตตุํ วฎฺฎติฯ วิหารมเชฺฌน วินิวิชฺฌิตฺวา คตมโคฺค ปน น กิเตฺตตโพฺพฯ กิตฺติเต ปน นิมิตฺตสฺส อุปริ วิหาโร โหติฯ อิมญฺจ มคฺคํ กิเตฺตเนฺตน ‘‘มโคฺค ปโชฺช ปโถ’’ติอาทินา (จูฬนิ. ปารายนตฺถุติคาถานิเทฺทส ๑๐๑) วุเตฺตสุ ทสสุ นาเมสุ เยน เกนจิ นาเมน กิเตฺตตุํ วฎฺฎติฯ ปริขาสณฺฐาเนน วิหารํ ปริกฺขิปิตฺวา คตมโคฺค เอกตฺถ กิเตฺตตฺวา อญฺญตฺถ กิเตฺตตุํ น วฎฺฎติฯ

    Sace vihāraṃ parikkhipitvā cattāro maggā catūsu disāsu gacchanti, majjhe ekaṃ kittetvā aparaṃ kittetuṃ na vaṭṭati. Ekābaddhanimittañhetaṃ. Koṇaṃ vinivijjhitvā gataṃ pana parabhāge kittetuṃ vaṭṭati. Vihāramajjhena vinivijjhitvā gatamaggo pana na kittetabbo. Kittite pana nimittassa upari vihāro hoti. Imañca maggaṃ kittentena ‘‘maggo pajjo patho’’tiādinā (cūḷani. pārāyanatthutigāthāniddesa 101) vuttesu dasasu nāmesu yena kenaci nāmena kittetuṃ vaṭṭati. Parikhāsaṇṭhānena vihāraṃ parikkhipitvā gatamaggo ekattha kittetvā aññattha kittetuṃ na vaṭṭati.

    ยํ ปน อพทฺธสีมาลกฺขเณ นทิํ วกฺขามาติ ‘‘ยสฺสา ธมฺมิกานํ ราชูนํ กาเล’’ติอาทินา (กงฺขา. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา) อุทกุเกฺขปสีมายํ นทิยา วกฺขมานตฺตา วุตฺตํฯ ยา ปน นที มโคฺค วิย สกฎธุรสณฺฐาเนน วา ปริขาสณฺฐาเนน วา วิหารํ ปริกฺขิปิตฺวา คตา, นํ เอกตฺถ กิเตฺตตฺวา อญฺญตฺถ กิเตฺตตุํ น วฎฺฎติฯ วิหารสฺส จตูสุ ทิสาสุ อญฺญมญฺญํ วินิวิชฺฌิตฺวา คเต นทีจตุเกฺกปิ เอเสว นโยฯ อสมฺมิสฺสนทิโย ปน จตโสฺสปิ กิเตฺตตุํ วฎฺฎติฯ สเจ วติํ กโรโนฺต วิย รุกฺขปาเท นิขณิตฺวา วลฺลิปลาลาทีหิ นทีโสตํ รุมฺภนฺติ, อุทกมฺปิ อโชฺฌตฺถริตฺวา อาวรณํ ปวตฺตติเยว, นิมิตฺตํ กาตุํ วฎฺฎติฯ ยถา ปน อุทกํ นปฺปวตฺตติ, เอวํ เสตุมฺหิ กเต อปฺปวตฺตมานา นที นิมิตฺตํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ ปวตฺตนฎฺฐาเน นทีนิมิตฺตํ, อปฺปวตฺตนฎฺฐาเน อุทกนิมิตฺตํ กาตุํ วฎฺฎติฯ

    Yaṃ pana abaddhasīmālakkhaṇe nadiṃ vakkhāmāti ‘‘yassā dhammikānaṃ rājūnaṃ kāle’’tiādinā (kaṅkhā. aṭṭha. nidānavaṇṇanā) udakukkhepasīmāyaṃ nadiyā vakkhamānattā vuttaṃ. Yā pana nadī maggo viya sakaṭadhurasaṇṭhānena vā parikhāsaṇṭhānena vā vihāraṃ parikkhipitvā gatā, naṃ ekattha kittetvā aññattha kittetuṃ na vaṭṭati. Vihārassa catūsu disāsu aññamaññaṃ vinivijjhitvā gate nadīcatukkepi eseva nayo. Asammissanadiyo pana catassopi kittetuṃ vaṭṭati. Sace vatiṃ karonto viya rukkhapāde nikhaṇitvā vallipalālādīhi nadīsotaṃ rumbhanti, udakampi ajjhottharitvā āvaraṇaṃ pavattatiyeva, nimittaṃ kātuṃ vaṭṭati. Yathā pana udakaṃ nappavattati, evaṃ setumhi kate appavattamānā nadī nimittaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Pavattanaṭṭhāne nadīnimittaṃ, appavattanaṭṭhāne udakanimittaṃ kātuṃ vaṭṭati.

    ยา ปน ทุพฺพุฎฺฐิกาเล วา คิเมฺห วา นิรุทกภาเวน นปฺปวตฺตติ, สา วฎฺฎติฯ มหานทิโต อุทกมาติกํ นีหรนฺติ, สา กุนฺนทีสทิสา หุตฺวา ตีณิ สสฺสานิ สมฺปาเทนฺตี นิจฺจํ ปวตฺตติฯ กิญฺจาปิ ปวตฺตติ, นิมิตฺตํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ ยา ปน มูเล มหานทิโต นิคฺคตาปิ กาลนฺตเรน เตเนว นิคฺคตมเคฺคน นทิํ ภินฺทิตฺวา สยเมว คจฺฉติ, คจฺฉนฺตี จ ปรโต สุสุมาราทิสมากิณฺณา นาวาทีหิ สญฺจริตพฺพา นที โหติ, ตํ นิมิตฺตํ กาตุํ วฎฺฎติฯ

    Yā pana dubbuṭṭhikāle vā gimhe vā nirudakabhāvena nappavattati, sā vaṭṭati. Mahānadito udakamātikaṃ nīharanti, sā kunnadīsadisā hutvā tīṇi sassāni sampādentī niccaṃ pavattati. Kiñcāpi pavattati, nimittaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Yā pana mūle mahānadito niggatāpi kālantarena teneva niggatamaggena nadiṃ bhinditvā sayameva gacchati, gacchantī ca parato susumārādisamākiṇṇā nāvādīhi sañcaritabbā nadī hoti, taṃ nimittaṃ kātuṃ vaṭṭati.

    อสนฺทมานนฺติ อปฺปวตฺตมานํฯ สนฺทมานํ นาม โอฆนทีอุทกวาหกมาติกาสุ อุทกํฯ วุตฺตปริเจฺฉทกาลํ อติฎฺฐนฺตนฺติ ‘‘ยาว กมฺมวาจาปริโยสานา สณฺฐมานก’’นฺติ วุตฺตปริเจฺฉทกาลํ อติฎฺฐนฺตํฯ ภาชนคตนฺติ นาวาจาฎิอาทีสุ ภาชเนสุ คตํฯ ยํ ปน อนฺธกฎฺฐกถายํ ‘‘คมฺภีเรสุ อาวาฎาทีสุ อุเกฺขปิมํ อุทกํ นิมิตฺตํ น กาตพฺพ’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๓๘; วิ. สงฺค. อฎฺฐ. ๑๕๘) วุตฺตํ, ตํ ทุวุตฺตํ , อตฺตโน มติมตฺตเมวฯ ฐิตํ ปน อนฺตมโส สูกรขตายปิ คามทารกานํ กีฬนวาปิยมฺปิ สเจ ยาว กมฺมวาจาปริโยสานํ ติฎฺฐติ, อปฺปํ วา โหตุ, พหุ วา, วฎฺฎติเยวฯ ตสฺมิํ ปน ฐาเน นิมิตฺตสญฺญากรณตฺถํ ปาสาณวาลิกาปํสุอาทิราสิ วา ปาสาณตฺถโมฺภ วา ทารุตฺถโมฺภ วา กาตโพฺพฯ

    Asandamānanti appavattamānaṃ. Sandamānaṃ nāma oghanadīudakavāhakamātikāsu udakaṃ. Vuttaparicchedakālaṃ atiṭṭhantanti ‘‘yāva kammavācāpariyosānā saṇṭhamānaka’’nti vuttaparicchedakālaṃ atiṭṭhantaṃ. Bhājanagatanti nāvācāṭiādīsu bhājanesu gataṃ. Yaṃ pana andhakaṭṭhakathāyaṃ ‘‘gambhīresu āvāṭādīsu ukkhepimaṃ udakaṃ nimittaṃ na kātabba’’nti (mahāva. aṭṭha. 138; vi. saṅga. aṭṭha. 158) vuttaṃ, taṃ duvuttaṃ , attano matimattameva. Ṭhitaṃ pana antamaso sūkarakhatāyapi gāmadārakānaṃ kīḷanavāpiyampi sace yāva kammavācāpariyosānaṃ tiṭṭhati, appaṃ vā hotu, bahu vā, vaṭṭatiyeva. Tasmiṃ pana ṭhāne nimittasaññākaraṇatthaṃ pāsāṇavālikāpaṃsuādirāsi vā pāsāṇatthambho vā dārutthambho vā kātabbo.

    เอวํ นิมิตฺตสมฺปตฺติยุตฺตตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เยหิ อากาเรหิ พทฺธา ปริสาสมฺปตฺติยุตฺตา นาม โหติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปริสาสมฺปตฺติยา ยุตฺตา นามา’’ติอาทิมาหฯ อิมสฺส ปน กมฺมสฺส จตุวคฺคกรณียตฺตา ‘‘จตูหิ ภิกฺขูหี’’ติ วุตฺตํฯ อิมญฺจ สีมํ พนฺธิตุกาเมหิ สามนฺตวิหาเรสุ ภิกฺขู ตสฺส ตสฺส วิหารสฺส สีมาปริเจฺฉทํ ปุจฺฉิตฺวา พทฺธสีมวิหารานํ สีมาย สีมนฺตริกํ, อพทฺธสีมวิหารานํ สีมาย อุปจารํ ฐเปตฺวา ทิสาจาริกภิกฺขูนํ นิสฺสญฺจารสมเย สเจ เอกสฺมิํ คามเขเตฺต สีมํ พนฺธิตุกามา, เย ตตฺถ พทฺธสีมวิหารา, เตสุ ภิกฺขูนํ ‘‘มยํ อชฺช สีมํ พนฺธิสฺสาม, ตุเมฺห สกสกสีมาปริเจฺฉทโต มา นิกฺขมิตฺถา’’ติ เปเสตพฺพํฯ เย อพทฺธสีมวิหารา, เตสุ ภิกฺขู เอกชฺฌํ สนฺนิปาตาเปตพฺพา, ฉนฺทารหานํ ฉโนฺท อาหราเปตโพฺพฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยาวติกา ตสฺมิํ คามเขเตฺต’’ติอาทิฯ ตสฺมิํ คามเขเตฺตติ ยสฺมิํ คามเขเตฺต ฐตฺวา กมฺมวาจํ วาเจนฺติ, ตสฺมิํ คามเขเตฺตฯ ‘‘สเจ อญฺญานิปิ คามเขตฺตานิ อโนฺต กตฺตุกามา, เตสุ คาเมสุ เย ภิกฺขู วสนฺติ, เตหิปิ อาคนฺตพฺพํ, อนาคจฺฉนฺตานํ ฉโนฺท อาหริตโพฺพ’’ติ มหาสุมเตฺถโร อาหฯ มหาปทุมเตฺถโร ปนาห ‘‘นานาคามเขตฺตานิ นาม ปาฎิเยกฺกํ พทฺธสีมาสทิสานิ, น ตโต ฉนฺทปาริสุทฺธิ อาคจฺฉติฯ อโนฺตนิมิตฺตคเตหิ ปน ภิกฺขูหิ อาคนฺตพฺพ’’นฺติ วตฺวา ปุน อาห ‘‘สมานสํวาสกสีมาสมฺมนฺนนกาเล อาคมนมฺปิ อนาคมนมฺปิ วฎฺฎติ, อวิปฺปวาสสีมาสมฺมนฺนนกาเล ปน อโนฺตนิมิตฺตคเตหิ อาคนฺตพฺพํฯ อนาคจฺฉนฺตานํ ฉโนฺท อาหริตโพฺพ’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๓๘)ฯ

    Evaṃ nimittasampattiyuttataṃ dassetvā idāni yehi ākārehi baddhā parisāsampattiyuttā nāma hoti, taṃ dassetuṃ ‘‘parisāsampattiyā yuttā nāmā’’tiādimāha. Imassa pana kammassa catuvaggakaraṇīyattā ‘‘catūhi bhikkhūhī’’ti vuttaṃ. Imañca sīmaṃ bandhitukāmehi sāmantavihāresu bhikkhū tassa tassa vihārassa sīmāparicchedaṃ pucchitvā baddhasīmavihārānaṃ sīmāya sīmantarikaṃ, abaddhasīmavihārānaṃ sīmāya upacāraṃ ṭhapetvā disācārikabhikkhūnaṃ nissañcārasamaye sace ekasmiṃ gāmakhette sīmaṃ bandhitukāmā, ye tattha baddhasīmavihārā, tesu bhikkhūnaṃ ‘‘mayaṃ ajja sīmaṃ bandhissāma, tumhe sakasakasīmāparicchedato mā nikkhamitthā’’ti pesetabbaṃ. Ye abaddhasīmavihārā, tesu bhikkhū ekajjhaṃ sannipātāpetabbā, chandārahānaṃ chando āharāpetabbo. Tena vuttaṃ ‘‘yāvatikā tasmiṃ gāmakhette’’tiādi. Tasmiṃ gāmakhetteti yasmiṃ gāmakhette ṭhatvā kammavācaṃ vācenti, tasmiṃ gāmakhette. ‘‘Sace aññānipi gāmakhettāni anto kattukāmā, tesu gāmesu ye bhikkhū vasanti, tehipi āgantabbaṃ, anāgacchantānaṃ chando āharitabbo’’ti mahāsumatthero āha. Mahāpadumatthero panāha ‘‘nānāgāmakhettāni nāma pāṭiyekkaṃ baddhasīmāsadisāni, na tato chandapārisuddhi āgacchati. Antonimittagatehi pana bhikkhūhi āgantabba’’nti vatvā puna āha ‘‘samānasaṃvāsakasīmāsammannanakāle āgamanampi anāgamanampi vaṭṭati, avippavāsasīmāsammannanakāle pana antonimittagatehi āgantabbaṃ. Anāgacchantānaṃ chando āharitabbo’’ti (mahāva. aṭṭha. 138).

    อิทานิ เยหิ อากาเรหิ สมฺมตา กมฺมวาจาสมฺปตฺติยุตฺตา นาม โหติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘กมฺมวาจาสมฺปตฺติยา ยุตฺตา นามา’’ติอาทิมาหฯ อาทิสเทฺทนฯ ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ เอเตหิ นิมิเตฺตหิ สีมํ สมฺมเนฺนยฺย สมานสํวาสํ เอกูโปสถํ, เอสา ญตฺติฯ สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, ยาวตา สมนฺตา นิมิตฺตา กิตฺติตา, สโงฺฆ เอเตหิ นิมิเตฺตหิ สีมํ สมฺมนฺนติ สมานสํวาสํ เอกูโปสถํ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ เอเตหิ นิมิเตฺตหิ สีมาย สมฺมุติ สมานสํวาสาย เอกูโปสถาย, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ สมฺมตา สีมา สเงฺฆน เอเตหิ นิมิเตฺตหิ สมานสํวาสา เอกูโปสถา, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ (มหาว. ๑๓๙) อิมํ ปาฬิเสสํ สงฺคณฺหาติฯ วุตฺตายาติ อุโปสถกฺขนฺธเก วุตฺตายฯ ญตฺติโทสอนุสฺสาวนโทเสหิ วิรหิตตฺตา ปริสุทฺธาย

    Idāni yehi ākārehi sammatā kammavācāsampattiyuttā nāma hoti, taṃ dassetuṃ ‘‘kammavācāsampattiyā yuttā nāmā’’tiādimāha. Ādisaddena. ‘‘Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho etehi nimittehi sīmaṃ sammanneyya samānasaṃvāsaṃ ekūposathaṃ, esā ñatti. Suṇātu me, bhante, saṅgho, yāvatā samantā nimittā kittitā, saṅgho etehi nimittehi sīmaṃ sammannati samānasaṃvāsaṃ ekūposathaṃ, yassāyasmato khamati etehi nimittehi sīmāya sammuti samānasaṃvāsāya ekūposathāya, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya. Sammatā sīmā saṅghena etehi nimittehi samānasaṃvāsā ekūposathā, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti (mahāva. 139) imaṃ pāḷisesaṃ saṅgaṇhāti. Vuttāyāti uposathakkhandhake vuttāya. Ñattidosaanussāvanadosehi virahitattā parisuddhāya.

    ขณฺฑสีมา (มหาว. อฎฺฐ. ๑๓๘; สารตฺถ. ฎี. มหาวคฺค ๓.๑๓๘; วชิร. ฎี. มหาวคฺค ๑๓๘) นาม ขุทฺทกสีมาฯ สมานสํวาสกตฺถํ สมฺมตา สีมา สมานสํวาสกสีมาฯ อวิปฺปวาสตฺถํ สมฺมตา สีมา อวิปฺปวาสสีมาฯ อิมาสุ ปน ตีสุ สีมํ สมฺมนฺนเนฺตหิ ปพฺพชฺชุปสมฺปทาทีนํ สงฺฆกมฺมานํ สุขกรณตฺถํ ปฐมํ ขณฺฑสีมา พนฺธิตพฺพาฯ ตํ ปน พนฺธเนฺตหิ วตฺตํ ชานิตพฺพํฯ สเจ หิ โพธิเจติยภตฺตสาลาทีนิ สพฺพวตฺถูนิ ปติฎฺฐาเปตฺวา กตวิหาเร พนฺธนฺติ, วิหารมเชฺฌ พหูนํ สโมสรณฎฺฐาเน อพนฺธิตฺวา วิหารปจฺจเนฺต วิวิโตฺตกาเส พนฺธิตพฺพาฯ อกตวิหาเร พนฺธเนฺตหิ โพธิเจติยาทีนํ สพฺพวตฺถูนํ ฐานํ สลฺลเกฺขตฺวา ยถา ปติฎฺฐิเตสุ วตฺถูสุ วิหารปจฺจเนฺต วิวิโตฺตกาเส โหติ, เอวํ พนฺธิตพฺพาฯ สา เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน สเจ เอกวีสติภิกฺขู คณฺหาติ, วฎฺฎติฯ ตโต โอรํ น วฎฺฎติฯ ปรํ ภิกฺขุสหสฺสํ คณฺหนฺตีปิ วฎฺฎติฯ ตํ พนฺธเนฺตหิ สีมามาฬกสฺส สมนฺตา นิมิตฺตุปคา ปาสาณา ฐเปตพฺพา, น ขณฺฑสีมาย ฐิเตหิ มหาสีมา พนฺธิตพฺพา, น มหาสีมาย ฐิเตหิ ขณฺฑสีมาฯ ขณฺฑสีมายเมว ปน ฐตฺวา ขณฺฑสีมา พนฺธิตพฺพา, มหาสีมายเมว ฐตฺวา มหาสีมาฯ

    Khaṇḍasīmā (mahāva. aṭṭha. 138; sārattha. ṭī. mahāvagga 3.138; vajira. ṭī. mahāvagga 138) nāma khuddakasīmā. Samānasaṃvāsakatthaṃ sammatā sīmā samānasaṃvāsakasīmā. Avippavāsatthaṃ sammatā sīmā avippavāsasīmā. Imāsu pana tīsu sīmaṃ sammannantehi pabbajjupasampadādīnaṃ saṅghakammānaṃ sukhakaraṇatthaṃ paṭhamaṃ khaṇḍasīmā bandhitabbā. Taṃ pana bandhantehi vattaṃ jānitabbaṃ. Sace hi bodhicetiyabhattasālādīni sabbavatthūni patiṭṭhāpetvā katavihāre bandhanti, vihāramajjhe bahūnaṃ samosaraṇaṭṭhāne abandhitvā vihārapaccante vivittokāse bandhitabbā. Akatavihāre bandhantehi bodhicetiyādīnaṃ sabbavatthūnaṃ ṭhānaṃ sallakkhetvā yathā patiṭṭhitesu vatthūsu vihārapaccante vivittokāse hoti, evaṃ bandhitabbā. Sā heṭṭhimaparicchedena sace ekavīsatibhikkhū gaṇhāti, vaṭṭati. Tato oraṃ na vaṭṭati. Paraṃ bhikkhusahassaṃ gaṇhantīpi vaṭṭati. Taṃ bandhantehi sīmāmāḷakassa samantā nimittupagā pāsāṇā ṭhapetabbā, na khaṇḍasīmāya ṭhitehi mahāsīmā bandhitabbā, na mahāsīmāya ṭhitehi khaṇḍasīmā. Khaṇḍasīmāyameva pana ṭhatvā khaṇḍasīmā bandhitabbā, mahāsīmāyameva ṭhatvā mahāsīmā.

    ตตฺรายํ พนฺธนวิธิ – สมนฺตา ‘‘เอโส ปาสาโณ นิมิตฺต’’นฺติ เอวํ นิมิตฺตานิ กิเตฺตตฺวา กมฺมวาจาย สีมา สมฺมนฺนิตพฺพาฯ อถ ตสฺสา เอว ทฬฺหีกมฺมตฺถํ อวิปฺปวาสกมฺมวาจา กาตพฺพาฯ เอวญฺหิ ‘‘สีมํ สมูหนิสฺสามา’’ติ อาคตา สมูหนิตุํ น สกฺขิสฺสนฺติฯ สีมํ สมฺมนฺนิตฺวา พหิ สีมนฺตริกปาสาณา ฐเปตพฺพา, สีมนฺตริกา ปจฺฉิมโกฎิยา จตุรงฺคุลปฺปมาณาปิ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๓๘; วิ. สงฺค. อฎฺฐ. ๑๖๓) วฎฺฎติฯ สเจ ปน วิหาโร มหา โหติ, เทฺวปิ ติโสฺสปิ ตตุตฺตริปิ ขณฺฑสีมาโย พนฺธิตพฺพาฯ

    Tatrāyaṃ bandhanavidhi – samantā ‘‘eso pāsāṇo nimitta’’nti evaṃ nimittāni kittetvā kammavācāya sīmā sammannitabbā. Atha tassā eva daḷhīkammatthaṃ avippavāsakammavācā kātabbā. Evañhi ‘‘sīmaṃ samūhanissāmā’’ti āgatā samūhanituṃ na sakkhissanti. Sīmaṃ sammannitvā bahi sīmantarikapāsāṇā ṭhapetabbā, sīmantarikā pacchimakoṭiyā caturaṅgulappamāṇāpi (mahāva. aṭṭha. 138; vi. saṅga. aṭṭha. 163) vaṭṭati. Sace pana vihāro mahā hoti, dvepi tissopi tatuttaripi khaṇḍasīmāyo bandhitabbā.

    เอวํ ขณฺฑสีมํ สมฺมนฺนิตฺวา มหาสีมาสมฺมุติกาเล ขณฺฑสีมโต นิกฺขมิตฺวา มหาสีมายํ ฐตฺวา สมนฺตา อนุปริยายเนฺตหิ สีมนฺตริกปาสาณา กิเตฺตตพฺพาฯ ตโต อวเสสนิมิเตฺต กิเตฺตตฺวา หตฺถปาสํ อวิชหเนฺตหิ กมฺมวาจาย สมานสํวาสกสีมํ สมฺมนฺนิตฺวา ตสฺสา ทฬฺหีกมฺมตฺถํ อวิปฺปวาสกมฺมวาจาปิ กาตพฺพาฯ เอวญฺหิ ‘‘สีมํ สมูหนิสฺสามา’’ติ อาคตา สมูหนิตุํ น สกฺขิสฺสนฺติฯ สเจ ปน ขณฺฑสีมาย นิมิตฺตานิ กิเตฺตตฺวา ตโต สีมนฺตริกาย นิมิตฺตานิ กิเตฺตตฺวา มหาสีมาย นิมิตฺตานิ กิเตฺตนฺติ, เอวํ ตีสุ ฐาเนสุ นิมิตฺตานิ กิเตฺตตฺวา ยํ สีมํ อิจฺฉนฺติ, ตํ ปฐมํ พนฺธิตุํ วฎฺฎติฯ เอวํ สเนฺตปิ ยถาวุตฺตนเยน ขณฺฑสีมโตว ปฎฺฐาย พนฺธิตพฺพาฯ เอวํ พทฺธาสุ ปน สีมาสุ ขณฺฑสีมายํ ฐิตา ภิกฺขู มหาสีมายํ กมฺมํ กโรนฺตานํ น โกเปนฺติ, มหาสีมายํ วา ฐิตา ขณฺฑสีมายํ กโรนฺตานํฯ สีมนฺตริกาย ปน ฐิตา อุภินฺนมฺปิ น โกปนฺติฯ คามเขเตฺต ฐตฺวา กมฺมํ กโรนฺตานํ ปน สีมนฺตริกาย ฐิตา โกเปนฺติฯ สีมนฺตริกา หิ คามเขตฺตํ ภชติฯ อวิปฺปวาสสีมาสมฺมนฺนเน กเต สติ สา จ อวิปฺปวาสสีมา นาม โหติฯ เตนาห ‘‘ตสฺสาเยว ปเภโท’’ติฯ ตสฺสาเยวาติ พทฺธสีมาย เอวฯ

    Evaṃ khaṇḍasīmaṃ sammannitvā mahāsīmāsammutikāle khaṇḍasīmato nikkhamitvā mahāsīmāyaṃ ṭhatvā samantā anupariyāyantehi sīmantarikapāsāṇā kittetabbā. Tato avasesanimitte kittetvā hatthapāsaṃ avijahantehi kammavācāya samānasaṃvāsakasīmaṃ sammannitvā tassā daḷhīkammatthaṃ avippavāsakammavācāpi kātabbā. Evañhi ‘‘sīmaṃ samūhanissāmā’’ti āgatā samūhanituṃ na sakkhissanti. Sace pana khaṇḍasīmāya nimittāni kittetvā tato sīmantarikāya nimittāni kittetvā mahāsīmāya nimittāni kittenti, evaṃ tīsu ṭhānesu nimittāni kittetvā yaṃ sīmaṃ icchanti, taṃ paṭhamaṃ bandhituṃ vaṭṭati. Evaṃ santepi yathāvuttanayena khaṇḍasīmatova paṭṭhāya bandhitabbā. Evaṃ baddhāsu pana sīmāsu khaṇḍasīmāyaṃ ṭhitā bhikkhū mahāsīmāyaṃ kammaṃ karontānaṃ na kopenti, mahāsīmāyaṃ vā ṭhitā khaṇḍasīmāyaṃ karontānaṃ. Sīmantarikāya pana ṭhitā ubhinnampi na kopanti. Gāmakhette ṭhatvā kammaṃ karontānaṃ pana sīmantarikāya ṭhitā kopenti. Sīmantarikā hi gāmakhettaṃ bhajati. Avippavāsasīmāsammannane kate sati sā ca avippavāsasīmā nāma hoti. Tenāha ‘‘tassāyeva pabhedo’’ti. Tassāyevāti baddhasīmāya eva.

    อยํ ปน วิเสโส – ‘‘ฐเปตฺวา คามญฺจ คามูปจารญฺจา’’ติ (มหาว. ๑๔๔) วจนโต อวิปฺปวาสสีมา คามญฺจ คามูปจารญฺจ น โอตรติ, สมานสํวาสกสีมา ปน ตตฺถาปิ โอตรติฯ สมานสํวาสกสีมา เจตฺถ อตฺตโน ธมฺมตาย คจฺฉติ, อวิปฺปวาสสีมา ปน ยตฺถ สมานสํวาสกสีมา, ตเตฺถว คจฺฉติฯ น หิ ตสฺสา วิสุํ นิมิตฺตกิตฺตนํ อตฺถิฯ ตตฺถ สเจ อวิปฺปวาสาย สมฺมุติกาเล คาโม อตฺถิ, ตํ สา น โอตรติฯ สเจ ปน สมฺมตาย สีมาย ปจฺฉา คาโม นิวิสติ, โสปิ สีมาสงฺขเมว คจฺฉติฯ ยถา จ ปจฺฉา นิวิโฎฺฐ, เอวํ ปฐมํ นิวิฎฺฐสฺส ปจฺฉา วฑฺฒิตปฺปเทโสปิ สีมาสงฺขเมว คจฺฉติฯ สเจปิ สีมาสมฺมุติกาเล เคหานิ กตานิ, ‘‘ปวิสิสฺสามา’’ติ อาลโยปิ อตฺถิ, มนุสฺสา ปน อปฺปวิฎฺฐา, โปราณคามํ วา สเคหเมว ฉเฑฺฑตฺวา อญฺญตฺถ คตา, อคาโมเยว เอส, สีมา โอตรติฯ สเจ ปน เอกมฺปิ กุลํ ปวิฎฺฐํ วา อคตํ วา อตฺถิ, คาโมเยว, สีมา น โอตรติฯ

    Ayaṃ pana viseso – ‘‘ṭhapetvā gāmañca gāmūpacārañcā’’ti (mahāva. 144) vacanato avippavāsasīmā gāmañca gāmūpacārañca na otarati, samānasaṃvāsakasīmā pana tatthāpi otarati. Samānasaṃvāsakasīmā cettha attano dhammatāya gacchati, avippavāsasīmā pana yattha samānasaṃvāsakasīmā, tattheva gacchati. Na hi tassā visuṃ nimittakittanaṃ atthi. Tattha sace avippavāsāya sammutikāle gāmo atthi, taṃ sā na otarati. Sace pana sammatāya sīmāya pacchā gāmo nivisati, sopi sīmāsaṅkhameva gacchati. Yathā ca pacchā niviṭṭho, evaṃ paṭhamaṃ niviṭṭhassa pacchā vaḍḍhitappadesopi sīmāsaṅkhameva gacchati. Sacepi sīmāsammutikāle gehāni katāni, ‘‘pavisissāmā’’ti ālayopi atthi, manussā pana appaviṭṭhā, porāṇagāmaṃ vā sagehameva chaḍḍetvā aññattha gatā, agāmoyeva esa, sīmā otarati. Sace pana ekampi kulaṃ paviṭṭhaṃ vā agataṃ vā atthi, gāmoyeva, sīmā na otarati.

    เอวํ พทฺธสีมํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อพทฺธสีมํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อพทฺธสีมา ปนา’’ติอาทิมาหฯ คาโม เอว สีมา คามสีมาฯ คามคฺคหเณน เจตฺถ นิคมนครานมฺปิ สงฺคโห เวทิตโพฺพฯ ยตฺตเก ปเทเส ตสฺส คามสฺส คามโภชกา พลิํ ลภนฺติ, โส ปเทโส อโปฺป วา โหตุ, มหโนฺต วา, เอกํ คามเขตฺตํ นามฯ ยมฺปิ เอกสฺมิํเยว คามเขเตฺต เอกํ ปเทสํ ‘‘อยํ วิสุํ คาโม โหตู’’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ราชา กสฺสจิ เทติ, โสปิ วิสุํคามสีมา โหติเยวฯ ตสฺมา สา จ อิตรา จ ปกติคามสีมา พทฺธสีมาสทิสาว โหติฯ เกวลํ ปน ติจีวรวิปฺปวาสปริหารํ น ลภตีติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๗)ฯ

    Evaṃ baddhasīmaṃ dassetvā idāni abaddhasīmaṃ dassento ‘‘abaddhasīmā panā’’tiādimāha. Gāmo eva sīmā gāmasīmā. Gāmaggahaṇena cettha nigamanagarānampi saṅgaho veditabbo. Yattake padese tassa gāmassa gāmabhojakā baliṃ labhanti, so padeso appo vā hotu, mahanto vā, ekaṃ gāmakhettaṃ nāma. Yampi ekasmiṃyeva gāmakhette ekaṃ padesaṃ ‘‘ayaṃ visuṃ gāmo hotū’’ti paricchinditvā rājā kassaci deti, sopi visuṃgāmasīmā hotiyeva. Tasmā sā ca itarā ca pakatigāmasīmā baddhasīmāsadisāva hoti. Kevalaṃ pana ticīvaravippavāsaparihāraṃ na labhatīti (mahāva. aṭṭha. 147).

    อคามเก อรเญฺญติ วิญฺฌาฎวิสทิเส อรเญฺญฯ เตนาห ‘‘อคามกํ นามา’’ติอาทิฯ อยํ ปน สีมา ติจีวรวิปฺปวาสปริหารมฺปิ ลภติฯ มจฺฉพนฺธานนฺติ เกวฎฺฎานํฯ อคมนปเถสูติ คนฺตุํ อสกฺกุเณยฺยปเถสุฯ ยตฺถ ตทเหว คนฺตฺวา ตทเหว ปจฺจาคนฺตุํ น สกฺกา โหติ, ตาทิเสสูติ วุตฺตํ โหติฯ เตสํ คมนปริยนฺตสฺส โอรโต ปน คามสีมาสงฺขํ คจฺฉติฯ ตตฺถ คามสีมํ อโสเธตฺวา กมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ มเชฺฌ ฐิตานํ สพฺพทิสาสุ สตฺตพฺภนฺตราติ มเชฺฌ ฐิตานํ ภิกฺขูนํ ฐิโตกาสโต สพฺพทิสาสุ สตฺตพฺภนฺตราฯ ตตฺถาติ เตสุ อพฺภนฺตเรสุฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ปริสวเสน วฑฺฒติ, ตสฺมาฯ อุปจารตฺถายาติ สีโมปจารตฺถายฯ สีมาภาวํ ปฎิกฺขิปิตฺวาติ พทฺธสีมาภาวํ ปฎิกฺขิปิตฺวาฯ สมาโน สํวาโส เอตฺถาติ สมานสํวาสาฯ เอโก อุโปสโถ เอตฺถาติ เอกูโปสถาฯ เอตฺถ จ อุโปสถสฺส วิสุํ คหิตตฺตา อวเสสกมฺมวเสน สมานสํวาสตา เวทิตพฺพาฯ วุตฺตาติ อพทฺธสีมาปริเจฺฉทํ ทเสฺสตุํ อุโปสถกฺขนฺธเก (มหาว. ๑๔๙) วุตฺตาฯ อนุ อนุ อฑฺฒมาสํ อนฺวฑฺฒมาสํ, อฑฺฒมาเส อฑฺฒมาเสติ อโตฺถฯ เอวํ ‘‘อนุทสาห’’นฺติอาทีสุปิฯ เทเวติ เมเฆฯ วลาหเกสุ วิคตมเตฺตสูติ ภาเวนภาวลกฺขเณ ภุมฺมํฯ โสตนฺติ อุทกปฺปวาโห วุจฺจติฯ ติเตฺถน วา อติเตฺถน วา โอตริตฺวาติ ปาฐเสโสฯ ติมณฺฑลํ ปฎิจฺฉาเทตฺวาติ ยถา ติมณฺฑลปฎิจฺฉาทนํ โหติ, เอวํ นิวาเสตฺวาฯ อุตฺตรนฺติยาติ ยตฺถ กตฺถจิ อุตฺตรนฺติยาฯ ภิกฺขุนีวิภเงฺค (ปาจิ. ๖๙๒) ภิกฺขุนิยา วเสน นทีลกฺขณสฺส ปาฬิยํ อาคตตฺตา ‘‘ภิกฺขุนิยา’’ติ วุตฺตํ, น ปน วิเสสสพฺภาวโตฯ

    Agāmake araññeti viñjhāṭavisadise araññe. Tenāha ‘‘agāmakaṃ nāmā’’tiādi. Ayaṃ pana sīmā ticīvaravippavāsaparihārampi labhati. Macchabandhānanti kevaṭṭānaṃ. Agamanapathesūti gantuṃ asakkuṇeyyapathesu. Yattha tadaheva gantvā tadaheva paccāgantuṃ na sakkā hoti, tādisesūti vuttaṃ hoti. Tesaṃ gamanapariyantassa orato pana gāmasīmāsaṅkhaṃ gacchati. Tattha gāmasīmaṃ asodhetvā kammaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Majjhe ṭhitānaṃ sabbadisāsu sattabbhantarāti majjhe ṭhitānaṃ bhikkhūnaṃ ṭhitokāsato sabbadisāsu sattabbhantarā. Tatthāti tesu abbhantaresu. Tasmāti yasmā parisavasena vaḍḍhati, tasmā. Upacāratthāyāti sīmopacāratthāya. Sīmābhāvaṃ paṭikkhipitvāti baddhasīmābhāvaṃ paṭikkhipitvā. Samāno saṃvāso etthāti samānasaṃvāsā. Eko uposatho etthāti ekūposathā. Ettha ca uposathassa visuṃ gahitattā avasesakammavasena samānasaṃvāsatā veditabbā. Vuttāti abaddhasīmāparicchedaṃ dassetuṃ uposathakkhandhake (mahāva. 149) vuttā. Anu anu aḍḍhamāsaṃ anvaḍḍhamāsaṃ, aḍḍhamāse aḍḍhamāseti attho. Evaṃ ‘‘anudasāha’’ntiādīsupi. Deveti meghe. Valāhakesu vigatamattesūti bhāvenabhāvalakkhaṇe bhummaṃ. Sotanti udakappavāho vuccati. Titthena vā atitthena vā otaritvāti pāṭhaseso. Timaṇḍalaṃ paṭicchādetvāti yathā timaṇḍalapaṭicchādanaṃ hoti, evaṃ nivāsetvā. Uttarantiyāti yattha katthaci uttarantiyā. Bhikkhunīvibhaṅge (pāci. 692) bhikkhuniyā vasena nadīlakkhaṇassa pāḷiyaṃ āgatattā ‘‘bhikkhuniyā’’ti vuttaṃ, na pana visesasabbhāvato.

    เกนจิ ขณิตฺวา อกโตติ อนฺตมโส ติรจฺฉาเนนปิ ขณิตฺวา อกโตฯ นทิํ วา สมุทฺทํ วา ภินฺทิตฺวาติ นทีกูลํ วา สมุทฺทเวลํ วา ภินฺทิตฺวาฯ เอตํ ลกฺขณนฺติ ‘‘ยตฺถ นทิยํ วุตฺตปฺปกาเร วสฺสกาเล อุทกํ สนฺติฎฺฐตี’’ติ (กงฺขา. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา) วุตฺตปฺปการลกฺขณํฯ โลณีปิ ชาตสฺสรสงฺขเมว คจฺฉติฯ ยตฺถ ปน วุตฺตปฺปกาเร วสฺสกาเล วเสฺส ปจฺฉินฺนมเตฺต ปิวิตุํ วา หตฺถปาเท โธวิตุํ วา อุทกํ น โหติ สุกฺขติ, อยํ ชาตสฺสโร คามเขตฺตสงฺขเมว คจฺฉติฯ

    Kenacikhaṇitvā akatoti antamaso tiracchānenapi khaṇitvā akato. Nadiṃ vā samuddaṃ vā bhinditvāti nadīkūlaṃ vā samuddavelaṃ vā bhinditvā. Etaṃ lakkhaṇanti ‘‘yattha nadiyaṃ vuttappakāre vassakāle udakaṃ santiṭṭhatī’’ti (kaṅkhā. aṭṭha. nidānavaṇṇanā) vuttappakāralakkhaṇaṃ. Loṇīpi jātassarasaṅkhameva gacchati. Yattha pana vuttappakāre vassakāle vasse pacchinnamatte pivituṃ vā hatthapāde dhovituṃ vā udakaṃ na hoti sukkhati, ayaṃ jātassaro gāmakhettasaṅkhameva gacchati.

    อุทกุเกฺขปาติ กรณเตฺถ นิสฺสกฺกวจนนฺติ อาห ‘‘อุทกุเกฺขเปนา’’ติฯ กถํ ปน อุทกํ ขิปิตพฺพนฺติ อาห ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิฯ มชฺฌิเมน ปุริเสนาติ ถามมชฺฌิเมน ปุริเสนฯ อยํ อุทกุเกฺขโป นามาติ อยํ อุทกุเกฺขเปน ปริจฺฉินฺนา สีมา นามาติ อโตฺถฯ ยาว ปริสา วฑฺฒติ, ตาว อยํ สีมาปิ วฑฺฒติ, ปริสปริยนฺตโต อุทกุเกฺขโปเยว ปมาณํฯ สเจ ปน นที นาติทีฆา โหติ, ปภวโต ปฎฺฐาย ยาว มุขทฺวารํ สพฺพตฺถ สโงฺฆ นิสีทติ, อุทกุเกฺขปสีมากมฺมํ นตฺถิฯ สกลาปิ นที เอเตสํเยว ภิกฺขูนํ ปโหติฯ

    Udakukkhepāti karaṇatthe nissakkavacananti āha ‘‘udakukkhepenā’’ti. Kathaṃ pana udakaṃ khipitabbanti āha ‘‘tatthā’’tiādi. Majjhimena purisenāti thāmamajjhimena purisena. Ayaṃ udakukkhepo nāmāti ayaṃ udakukkhepena paricchinnā sīmā nāmāti attho. Yāva parisā vaḍḍhati, tāva ayaṃ sīmāpi vaḍḍhati, parisapariyantato udakukkhepoyeva pamāṇaṃ. Sace pana nadī nātidīghā hoti, pabhavato paṭṭhāya yāva mukhadvāraṃ sabbattha saṅgho nisīdati, udakukkhepasīmākammaṃ natthi. Sakalāpi nadī etesaṃyeva bhikkhūnaṃ pahoti.

    ปกติวสฺสกาเลติ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปกาเร ปกติวสฺสกาเลฯ จตูสุ มาเสสูติ วสฺสานสฺส จตูสุ มาเสสุฯ อติวุฎฺฐิกาเล โอเฆน โอตฺถโตกาโส น คเหตโพฺพฯ โส หิ คามสีมาสงฺขเมว คจฺฉติฯ อโนฺตนทิยํ ชาตสฺสเร ชาตปิฎฺฐิปาสาณทีปเกสุปิ อยเมว วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ สเจ ปน นที ปริปุณฺณา โหติ สมติตฺถิกา, อุทกสาฎิกํ นิวาเสตฺวาปิ อโนฺตนทิยํเยว กมฺมํ กาตพฺพํฯ สเจ น สโกฺกนฺติ, นาวายปิ ฐตฺวา กาตพฺพํฯ คจฺฉนฺติยา ปน นาวาย กาตุํ น วฎฺฎติฯ กสฺมา? อุทกุเกฺขปมตฺตเมว หิ สีมา, ตํ นาวา สีฆเมว อติกฺกาเมติฯ เอวํ สติ อญฺญิสฺสา สีมาย ญตฺติ, อญฺญิสฺสา อนุสฺสาวนา โหติ, ตสฺมา นาวํ อริเตฺตน วา ฐเปตฺวา, ปาสาเณ วา ลมฺพิตฺวา, อโนฺตนทิยํ ชาตรุเกฺข วา พนฺธิตฺวา กมฺมํ กาตพฺพํฯ อโนฺตนทิยํ พทฺธอฎฺฎเกปิ อโนฺตนทิยํ ชาตรุเกฺขปิ ฐิเตหิ กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติฯ

    Pakativassakāleti pubbe vuttappakāre pakativassakāle. Catūsu māsesūti vassānassa catūsu māsesu. Ativuṭṭhikāle oghena otthatokāso na gahetabbo. So hi gāmasīmāsaṅkhameva gacchati. Antonadiyaṃ jātassare jātapiṭṭhipāsāṇadīpakesupi ayameva vinicchayo veditabbo. Sace pana nadī paripuṇṇā hoti samatitthikā, udakasāṭikaṃ nivāsetvāpi antonadiyaṃyeva kammaṃ kātabbaṃ. Sace na sakkonti, nāvāyapi ṭhatvā kātabbaṃ. Gacchantiyā pana nāvāya kātuṃ na vaṭṭati. Kasmā? Udakukkhepamattameva hi sīmā, taṃ nāvā sīghameva atikkāmeti. Evaṃ sati aññissā sīmāya ñatti, aññissā anussāvanā hoti, tasmā nāvaṃ arittena vā ṭhapetvā, pāsāṇe vā lambitvā, antonadiyaṃ jātarukkhe vā bandhitvā kammaṃ kātabbaṃ. Antonadiyaṃ baddhaaṭṭakepi antonadiyaṃ jātarukkhepi ṭhitehi kammaṃ kātuṃ vaṭṭati.

    สเจ ปน รุกฺขสฺส สาขา วา ตโต นิกฺขนฺตปาโรโห วา พหินทีตีเร วิหารสีมาย วา คามสีมาย วา ปติฎฺฐิโต, สีมํ วา โสเธตฺวา, สาขํ วา ฉินฺทิตฺวา กมฺมํ กาตพฺพํฯ พหินทีตีเร ชาตรุกฺขสฺส อโนฺตนทิยํ ปวิฎฺฐสาขาย วา ปาโรเห วา นาวํ พนฺธิตฺวา กมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ กโรเนฺตหิ สีมา วา โสเธตพฺพา, สาขํ ฉินฺทิตฺวา วา ตสฺส พหิปติฎฺฐิตภาโค นาเสตโพฺพฯ นทีตีเร ปน ขาณุกํ โกเฎฺฎตฺวา ตตฺถ พนฺธนาวาย น วฎฺฎติเยวฯ

    Sace pana rukkhassa sākhā vā tato nikkhantapāroho vā bahinadītīre vihārasīmāya vā gāmasīmāya vā patiṭṭhito, sīmaṃ vā sodhetvā, sākhaṃ vā chinditvā kammaṃ kātabbaṃ. Bahinadītīre jātarukkhassa antonadiyaṃ paviṭṭhasākhāya vā pārohe vā nāvaṃ bandhitvā kammaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Karontehi sīmā vā sodhetabbā, sākhaṃ chinditvā vā tassa bahipatiṭṭhitabhāgo nāsetabbo. Nadītīre pana khāṇukaṃ koṭṭetvā tattha bandhanāvāya na vaṭṭatiyeva.

    นทิยํ เสตุํ กโรนฺติ, สเจ อโนฺตนทิยํเยว เสตุ วา เสตุปาทา วา, เสตุมฺหิ ฐิเตหิ กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน เสตุ วา เสตุปาทา วา พหิตีเร ปติฎฺฐิตา, กมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎติ, สีมํ โสเธตฺวา กมฺมํ กาตพฺพํฯ อถ เสตุปาทา อโนฺต, เสตุ ปน อุภินฺนมฺปิ ตีรานํ อุปริอากาเส ฐิโต, วฎฺฎติฯ ชาตสฺสเรปิ เอเสว นโยฯ

    Nadiyaṃ setuṃ karonti, sace antonadiyaṃyeva setu vā setupādā vā, setumhi ṭhitehi kammaṃ kātuṃ vaṭṭati. Sace pana setu vā setupādā vā bahitīre patiṭṭhitā, kammaṃ kātuṃ na vaṭṭati, sīmaṃ sodhetvā kammaṃ kātabbaṃ. Atha setupādā anto, setu pana ubhinnampi tīrānaṃ upariākāse ṭhito, vaṭṭati. Jātassarepi eseva nayo.

    ‘‘ยสฺมิํ ปเทเส ปกติวีจิโย โอตฺถริตฺวา สณฺฐหนฺตี’’ติ เอเตน ยํ ปเทสํ อุทฺธํ วฑฺฒนกอุทกํ วา ปกติวีจิโย วา เวเคน อาคนฺตฺวา โอตฺถรนฺติ, ตตฺถ กมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎตีติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๗) ทเสฺสติฯ สเจ อูมิเวโค พาธติ, นาวาย วา อฎฺฎเก วา ฐตฺวา กาตพฺพํฯ เตสุ วินิจฺฉโย นทิยํ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ สเจ ปน สมุโทฺท คามสีมํ วา นิคมสีมํ วา โอตฺถริตฺวา ติฎฺฐติ, สมุโทฺทว โหติฯ ตตฺถ กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติฯ ตโต ปฎฺฐาย กปฺปิยภูมีติ โอตฺถริตฺวา สณฺฐิตอุทกนฺตโต ปฎฺฐาย อโนฺต นทีชาตสฺสรสมุโทฺท นามาติ อโตฺถฯ ทุพฺพุฎฺฐิกาเลติ วสฺสานเหมเนฺต สนฺธาย วุตฺตํฯ สุเกฺขสุปีติ นิรุทเกสุปิฯ ยถา จ วาปิขณเน, เอวํ อาวาฎโปกฺขรณีอาทีนํ ขณเนปิ คามเขตฺตํ โหติเยวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ วปฺปํ วา กโรนฺตีติ ลาพุติปุสกาทิวปฺปํ วา กโรนฺติฯ ตํ ฐานนฺติ ยตฺถ วาปิอาทิกํ กตํ, ตํ ฐานํฯ อญฺญํ ปน กปฺปิยภูมิฯ สเจ ปน ชาตสฺสรํ ปูเรตฺวา ถลํ กโรนฺติ, เอกสฺมิํ ทิสาภาเค ปาฬิํ พนฺธิตฺวา สพฺพเมว นํ มหาตฬากํ วา กโรนฺติ, สโพฺพปิ อชาตสฺสโร โหติฯ คามสีมาสงฺขเมว คจฺฉติฯ

    ‘‘Yasmiṃ padese pakativīciyo ottharitvā saṇṭhahantī’’ti etena yaṃ padesaṃ uddhaṃ vaḍḍhanakaudakaṃ vā pakativīciyo vā vegena āgantvā ottharanti, tattha kammaṃ kātuṃ na vaṭṭatīti (mahāva. aṭṭha. 147) dasseti. Sace ūmivego bādhati, nāvāya vā aṭṭake vā ṭhatvā kātabbaṃ. Tesu vinicchayo nadiyaṃ vuttanayeneva veditabbo. Sace pana samuddo gāmasīmaṃ vā nigamasīmaṃ vā ottharitvā tiṭṭhati, samuddova hoti. Tattha kammaṃ kātuṃ vaṭṭati. Tato paṭṭhāya kappiyabhūmīti ottharitvā saṇṭhitaudakantato paṭṭhāya anto nadījātassarasamuddo nāmāti attho. Dubbuṭṭhikāleti vassānahemante sandhāya vuttaṃ. Sukkhesupīti nirudakesupi. Yathā ca vāpikhaṇane, evaṃ āvāṭapokkharaṇīādīnaṃ khaṇanepi gāmakhettaṃ hotiyevāti daṭṭhabbaṃ. Vappaṃ vā karontīti lābutipusakādivappaṃ vā karonti. Taṃ ṭhānanti yattha vāpiādikaṃ kataṃ, taṃ ṭhānaṃ. Aññaṃ pana kappiyabhūmi. Sace pana jātassaraṃ pūretvā thalaṃ karonti, ekasmiṃ disābhāge pāḷiṃ bandhitvā sabbameva naṃ mahātaḷākaṃ vā karonti, sabbopi ajātassaro hoti. Gāmasīmāsaṅkhameva gacchati.

    สเจ นทิมฺปิ วินาเสตฺวา ตฬากํ กโรนฺติ, เหฎฺฐา ปาฬิ พทฺธา, อุทกํ อาคนฺตฺวา ตฬากํ ปูเรตฺวา ติฎฺฐติ, เอตฺถ กมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ อุปริ ปวตฺตนฎฺฐาเน ฉฑฺฑิตํ อุทกํ นทิํ โอตฺถริตฺวา สนฺทนฎฺฐานโต ปฎฺฐาย วฎฺฎติฯ กาจิ นที กาลนฺตเรน อุปฺปติตฺวา คามนิคมสีมํ โอตฺถริตฺวา ปวตฺตติ, นทีเยว โหติ, กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติฯ สเจ วิหารสีมํ โอตฺถรติ ‘‘วิหารสีมา’’เตฺวว สงฺขํ คจฺฉติฯ ตสฺมาติ ยสฺมา อโนฺต คจฺฉติ, ตสฺมาฯ สมนฺตา อุทกุเกฺขปปริเจฺฉโท กาตโพฺพติ ปโหนกฎฺฐานํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ยตฺถ ปน กุนฺนทีอาทีสุ นปฺปโหติ, ตตฺถ ปโหนกฎฺฐานโต อุทกุเกฺขปปริเจฺฉโท กาตโพฺพฯ อุปจารตฺถายาติ สีโมปจารตฺถายฯ

    Sace nadimpi vināsetvā taḷākaṃ karonti, heṭṭhā pāḷi baddhā, udakaṃ āgantvā taḷākaṃ pūretvā tiṭṭhati, ettha kammaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Upari pavattanaṭṭhāne chaḍḍitaṃ udakaṃ nadiṃ ottharitvā sandanaṭṭhānato paṭṭhāya vaṭṭati. Kāci nadī kālantarena uppatitvā gāmanigamasīmaṃ ottharitvā pavattati, nadīyeva hoti, kammaṃ kātuṃ vaṭṭati. Sace vihārasīmaṃ ottharati ‘‘vihārasīmā’’tveva saṅkhaṃ gacchati. Tasmāti yasmā anto gacchati, tasmā. Samantā udakukkhepaparicchedo kātabboti pahonakaṭṭhānaṃ sandhāya vuttaṃ. Yattha pana kunnadīādīsu nappahoti, tattha pahonakaṭṭhānato udakukkhepaparicchedo kātabbo. Upacāratthāyāti sīmopacāratthāya.

    กสฺมา ปน อญฺญเมกํ สตฺตพฺภนฺตรํ, อโญฺญ เอโก อุทกุเกฺขโป จ อุปจารตฺถาย ฐเปตโพฺพติ อาห ‘‘อยํ หี’’ติอาทิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ (สารตฺถ. ฎี. มหาวคฺค ๓.๑๔๗; วิ. วิ. ฎี. มหาวคฺค ๒.๑๔๗) – ยสฺมา อยํ สตฺตพฺภนฺตรสีมา จ อุทกุเกฺขปสีมา จ ภิกฺขูนํ ฐิโตกาสโต ปฎฺฐาย ลพฺภติ, เต จ ภิกฺขู น สพฺพทา เอกสทิสา, กทาจิ วฑฺฒนฺติ, กทาจิ ปริหายนฺติฯ ยทา จ วฑฺฒนฺติ, ตทา สีมาสงฺกโร โหติฯ ตสฺมา อญฺญเมกํ สตฺตพฺภนฺตรํ, อโญฺญ เอโก อุทกุเกฺขโป จ อุปจารตฺถาย ฐเปตโพฺพติฯ ยํ ปน มหาอฎฺฐกถายํ ‘‘ตโต อธิกํ วฎฺฎติเยว, อูนกํ ปน น วฎฺฎตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๗) วุตฺตํ, ตมฺปิ เอตทตฺถเมว, น ปน ตตฺถ กตสฺส กมฺมสฺส กุปฺปตฺตาติ คเหตพฺพํฯ ปริเจฺฉทโต พหิ อญฺญํ ตตฺตกํเยว ปริเจฺฉทํ อนติกฺกมิตฺวา ฐิโตปีติ อตฺตโน สตฺตพฺภนฺตเรน, อุทกุเกฺขเปน วา โย เตสํ สตฺตพฺภนฺตรสฺส, อุทกุเกฺขปสฺส วา ปริเจฺฉโท, ตโต พหิ อญฺญํ ตตฺตกํเยว ปริเจฺฉทํ อนติกฺกมิตฺวา ฐิโตปีติ อโตฺถฯ กถเมตํ วิญฺญายตีติ อาห ‘‘อิทํ สพฺพอฎฺฐกถาสุ สนฺนิฎฺฐาน’’นฺติ, อิทํ ‘‘กมฺมํ โกเปตี’’ติ มหาอฎฺฐกถาทีสุ ววตฺถานนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อิติ อิม’’นฺติอาทิ ยถาวุตฺตสฺส นิคมนํฯ โหติ เจตฺถ –

    Kasmā pana aññamekaṃ sattabbhantaraṃ, añño eko udakukkhepo ca upacāratthāya ṭhapetabboti āha ‘‘ayaṃ hī’’tiādi. Idaṃ vuttaṃ hoti (sārattha. ṭī. mahāvagga 3.147; vi. vi. ṭī. mahāvagga 2.147) – yasmā ayaṃ sattabbhantarasīmā ca udakukkhepasīmā ca bhikkhūnaṃ ṭhitokāsato paṭṭhāya labbhati, te ca bhikkhū na sabbadā ekasadisā, kadāci vaḍḍhanti, kadāci parihāyanti. Yadā ca vaḍḍhanti, tadā sīmāsaṅkaro hoti. Tasmā aññamekaṃ sattabbhantaraṃ, añño eko udakukkhepo ca upacāratthāya ṭhapetabboti. Yaṃ pana mahāaṭṭhakathāyaṃ ‘‘tato adhikaṃ vaṭṭatiyeva, ūnakaṃ pana na vaṭṭatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 147) vuttaṃ, tampi etadatthameva, na pana tattha katassa kammassa kuppattāti gahetabbaṃ. Paricchedato bahi aññaṃ tattakaṃyeva paricchedaṃ anatikkamitvā ṭhitopīti attano sattabbhantarena, udakukkhepena vā yo tesaṃ sattabbhantarassa, udakukkhepassa vā paricchedo, tato bahi aññaṃ tattakaṃyeva paricchedaṃ anatikkamitvā ṭhitopīti attho. Kathametaṃ viññāyatīti āha ‘‘idaṃ sabbaaṭṭhakathāsu sanniṭṭhāna’’nti, idaṃ ‘‘kammaṃ kopetī’’ti mahāaṭṭhakathādīsu vavatthānanti attho. ‘‘Iti ima’’ntiādi yathāvuttassa nigamanaṃ. Hoti cettha –

    ‘‘พทฺธาพทฺธวเสเนธ, สีมา นาม ทฺวิธา ตหิํ;

    ‘‘Baddhābaddhavasenedha, sīmā nāma dvidhā tahiṃ;

    ติสมฺปตฺติยุตฺตา วชฺชิ-เตกาทส วิปตฺติกา;

    Tisampattiyuttā vajji-tekādasa vipattikā;

    พทฺธสีมา ติธา ขณฺฑา-ทิโต คามาทิโต ปรา’’ติฯ

    Baddhasīmā tidhā khaṇḍā-dito gāmādito parā’’ti.

    สภาคาปตฺติ จ นาเมสา ทุวิธา วตฺถุสภาคา, อาปตฺติสภาคาติฯ ตตฺถ อิธ วตฺถุสภาคา อธิเปฺปตา, เนตราติ ทเสฺสตุํ ‘‘ยํ สโพฺพ สโงฺฆ วิกาลโภชนาทินา’’ติอาทิมาหฯ ลหุกาปตฺตินฺติ ลหุเกน วินยกเมฺมน วิสุชฺฌนโต ลหุกา ถุลฺลจฺจยปาจิตฺติยปาฎิเทสนียทุกฺกฎทุพฺภาสิตสงฺขาตา ปญฺจาปตฺติโยฯ วตฺถุสภาคาย สงฺฆาทิเสสาปตฺติยาปิ สติ อุโปสถกมฺมํ ปตฺตกลฺลํ น โหติเยวฯ ยถาห ‘‘สภาคสงฺฆาทิเสสํ อาปนฺนสฺส ปน สนฺติเก อาวิ กาตุํ น วฎฺฎติฯ สเจ อาวิ กโรติ, อาปตฺติ อาวิกตา โหติ, ทุกฺกฎา ปน น มุจฺจตี’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒)ฯ ตสฺสา ปน อเทสนาคามินิโต เอวํ วุตฺตํฯ วตฺถุสภาคาติ วตฺถุวเสน สมานภาคา, เอกโกฎฺฐาสาติ วุตฺตํ โหติฯ อิมเมว วตฺถุสภาคํ เทเสตุํ น วฎฺฎติ ‘‘น, ภิกฺขเว, สภาคา อาปตฺติ เทเสตพฺพา, โย เทเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๖๙) วุตฺตตฺตา, น ปน อาปตฺติสภาคํฯ เตนาห ‘‘วิกาลโภชนปจฺจยา อาปนฺนํ ปนา’’ติอาทิฯ อาปตฺติสภาคนฺติ อาปตฺติยา สมานภาคํฯ

    Sabhāgāpatti ca nāmesā duvidhā vatthusabhāgā, āpattisabhāgāti. Tattha idha vatthusabhāgā adhippetā, netarāti dassetuṃ ‘‘yaṃ sabbo saṅgho vikālabhojanādinā’’tiādimāha. Lahukāpattinti lahukena vinayakammena visujjhanato lahukā thullaccayapācittiyapāṭidesanīyadukkaṭadubbhāsitasaṅkhātā pañcāpattiyo. Vatthusabhāgāya saṅghādisesāpattiyāpi sati uposathakammaṃ pattakallaṃ na hotiyeva. Yathāha ‘‘sabhāgasaṅghādisesaṃ āpannassa pana santike āvi kātuṃ na vaṭṭati. Sace āvi karoti, āpatti āvikatā hoti, dukkaṭā pana na muccatī’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102). Tassā pana adesanāgāminito evaṃ vuttaṃ. Vatthusabhāgāti vatthuvasena samānabhāgā, ekakoṭṭhāsāti vuttaṃ hoti. Imameva vatthusabhāgaṃ desetuṃ na vaṭṭati ‘‘na, bhikkhave, sabhāgā āpatti desetabbā, yo deseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 169) vuttattā, na pana āpattisabhāgaṃ. Tenāha ‘‘vikālabhojanapaccayā āpannaṃ panā’’tiādi. Āpattisabhāganti āpattiyā samānabhāgaṃ.

    สามนฺตา อาวาสาติ สามนฺตอาวาสํ, สมีปวิหารนฺติ อโตฺถฯ สชฺชุกนฺติ ตทเหวาคมนตฺถายฯ ปาเหตโพฺพติ เปเสตโพฺพฯ อิเจฺจตํ กุสลนฺติ อิติ เอตํ สุนฺทรํ ภทฺทกํ, ลทฺธกปฺปนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โน เจ ลเภถาติ วิหารานํ ทูรตาย วา มเคฺค ปริปนฺถาทินา วา ยทิ น ลเภถฯ ‘‘ตสฺส สนฺติเก ปฎิกริสฺสตี’’ติ อิมินา วจเนน สภาคาปตฺติ อาวิ กาตุมฺปิ น ลพฺภตีติ ทีปิตํ โหติฯ ยทิ ลเภยฺย, อาวิ กตฺวาปิ อุโปสถํ กเรยฺยฯ ยทิ ปน สโพฺพ สโงฺฆ สภาคํ สงฺฆาทิเสสํ อาปโนฺน โหติ, ญตฺติํ ฐเปตฺวา อุโปสถํ กาตุํ น วฎฺฎติ, อุโปสถสฺส อนฺตราโยว โหติฯ อุโภปิ ทุกฺกฎํ อาปชฺชนฺติ ‘‘น, ภิกฺขเว, สภาคา อาปตฺติ เทเสตพฺพา, โย เทเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ น, ภิกฺขเว, สภาคา อาปตฺติ ปฎิคฺคเหตพฺพา, โย ปฎิคฺคเณฺหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๖๙) วุตฺตตฺตาฯ วิมติ สํสโย, ตตฺถ นิยุโตฺต เวมติโกฯ ‘‘ปุน นิเพฺพมติโก หุตฺวา เทเสตพฺพเมวา’’ติ เนว ปาฬิยํ, น จ อฎฺฐกถายํ อตฺถิ, เทสิเต ปน โทโส นตฺถิฯ วุตฺตนเยเนวาติ ‘‘ปาริสุทฺธิํ อายสฺมโนฺต อาโรเจถา’’ติอาทินา นเยน สาปตฺติกสฺส อุโปสถกรเณ ปญฺญตฺตํ ทุกฺกฎํ อาปชฺชนฺตีติ วุตฺตนเยเนวฯ กสฺมา สภาคาปตฺติเยว วุตฺตาติ อาห ‘‘เอตาสุ หี’’ติอาทิฯ วิสภาคาปตฺตีสุ วิชฺชมานาสุปิ ปตฺตกลฺลํ โหติเยวาติ วิสภาคาสุ ปน วิชฺชมานาสุ เตสํเยว ปุคฺคลานํ อาปตฺติ, น สงฺฆสฺสาติ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ โหติเยวฯ

    Sāmantā āvāsāti sāmantaāvāsaṃ, samīpavihāranti attho. Sajjukanti tadahevāgamanatthāya. Pāhetabboti pesetabbo. Iccetaṃ kusalanti iti etaṃ sundaraṃ bhaddakaṃ, laddhakappanti vuttaṃ hoti. No ce labhethāti vihārānaṃ dūratāya vā magge paripanthādinā vā yadi na labhetha. ‘‘Tassa santike paṭikarissatī’’ti iminā vacanena sabhāgāpatti āvi kātumpi na labbhatīti dīpitaṃ hoti. Yadi labheyya, āvi katvāpi uposathaṃ kareyya. Yadi pana sabbo saṅgho sabhāgaṃ saṅghādisesaṃ āpanno hoti, ñattiṃ ṭhapetvā uposathaṃ kātuṃ na vaṭṭati, uposathassa antarāyova hoti. Ubhopi dukkaṭaṃ āpajjanti ‘‘na, bhikkhave, sabhāgā āpatti desetabbā, yo deseyya, āpatti dukkaṭassa. Na, bhikkhave, sabhāgā āpatti paṭiggahetabbā, yo paṭiggaṇheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 169) vuttattā. Vimati saṃsayo, tattha niyutto vematiko. ‘‘Puna nibbematiko hutvā desetabbamevā’’ti neva pāḷiyaṃ, na ca aṭṭhakathāyaṃ atthi, desite pana doso natthi. Vuttanayenevāti ‘‘pārisuddhiṃ āyasmanto ārocethā’’tiādinā nayena sāpattikassa uposathakaraṇe paññattaṃ dukkaṭaṃ āpajjantīti vuttanayeneva. Kasmā sabhāgāpattiyeva vuttāti āha ‘‘etāsu hī’’tiādi. Visabhāgāpattīsu vijjamānāsupi pattakallaṃ hotiyevāti visabhāgāsu pana vijjamānāsu tesaṃyeva puggalānaṃ āpatti, na saṅghassāti saṅghassa pattakallaṃ hotiyeva.

    อนฺติมวตฺถุอชฺฌาปนฺนโก นาม จตุนฺนํ ปาราชิกานํ อญฺญตรํ อชฺฌาปนฺนโกฯ ปณฺฑกาทีนํ วินิจฺฉโย ปรโต ปาราชิกุเทฺทเส อาวิ ภวิสฺสติ ฯ ติรจฺฉานคโตติ อนฺตมโส สกฺกํ เทวราชานํ อุปาทาย โย โกจิ นาคมาณวกาทิโก อมนุสฺสชาติโก เวทิตโพฺพ, น อสฺสโคณาทโยฯ เตนาห ‘‘เอตฺถ จา’’ติอาทิฯ ตตฺถ เอตฺถาติ เอติสฺสํ วชฺชนียปุคฺคลกถายํฯ ยสฺส อุปสมฺปทา ปฎิกฺขิตฺตาติ ‘‘ติรจฺฉานคโต, ภิกฺขเว, อนุปสมฺปโนฺน, น อุปสมฺปาเทตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๑๑๑) ยสฺส นาคสุปณฺณาทิโน ติรจฺฉานคตสฺส อุปสมฺปทา ปฎิกฺขิตฺตา , โส อิธาปิ ติรจฺฉานคโต นามาติ อโตฺถฯ ตตฺถ หิ อนฺตมโส เทเว อุปาทาย นาคมาณวกาทิโก โย โกจิ อมนุสฺสชาติโก ‘‘ติรจฺฉานคโต’’ติ อธิเปฺปโตฯ วุตฺตญฺหิ สมนฺตปาสาทิกายํ ‘‘ติรจฺฉานคโต, ภิกฺขเวติ เอตฺถ นาโค วา โหตุ สุปณฺณมาณวกาทีนํ วา อญฺญตโร, อนฺตมโส สกฺกํ เทวราชานํ อุปาทาย โย โกจิ อมนุสฺสชาติโย, โส สโพฺพว อิมสฺมิํ อเตฺถ ‘ติรจฺฉานคโต’ติ เวทิตโพฺพ’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๑)ฯ ติตฺถํ วุจฺจติ ลทฺธิ, ตํ เอเตสํ อตฺถีติ ติตฺถิกา, ติตฺถิกา เอว ติตฺถิยา, อิโต อญฺญลทฺธิกาติ อโตฺถฯ

    Antimavatthuajjhāpannako nāma catunnaṃ pārājikānaṃ aññataraṃ ajjhāpannako. Paṇḍakādīnaṃ vinicchayo parato pārājikuddese āvi bhavissati . Tiracchānagatoti antamaso sakkaṃ devarājānaṃ upādāya yo koci nāgamāṇavakādiko amanussajātiko veditabbo, na assagoṇādayo. Tenāha ‘‘ettha cā’’tiādi. Tattha etthāti etissaṃ vajjanīyapuggalakathāyaṃ. Yassa upasampadā paṭikkhittāti ‘‘tiracchānagato, bhikkhave, anupasampanno, na upasampādetabbo’’ti (mahāva. 111) yassa nāgasupaṇṇādino tiracchānagatassa upasampadā paṭikkhittā , so idhāpi tiracchānagato nāmāti attho. Tattha hi antamaso deve upādāya nāgamāṇavakādiko yo koci amanussajātiko ‘‘tiracchānagato’’ti adhippeto. Vuttañhi samantapāsādikāyaṃ ‘‘tiracchānagato, bhikkhaveti ettha nāgo vā hotu supaṇṇamāṇavakādīnaṃ vā aññataro, antamaso sakkaṃ devarājānaṃ upādāya yo koci amanussajātiyo, so sabbova imasmiṃ atthe ‘tiracchānagato’ti veditabbo’’ti (mahāva. aṭṭha. 111). Titthaṃ vuccati laddhi, taṃ etesaṃ atthīti titthikā, titthikā eva titthiyā, ito aññaladdhikāti attho.

    สุตฺตสฺส อุเทฺทโส สุตฺตุเทฺทโสฯ ปาริสุทฺธิ เอว อุโปสโถ ปาริสุทฺธิอุโปสโถฯ เอเสว นโย อธิฎฺฐานุโปสโถติ เอตฺถาปิฯ โสติ ปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ โอวาโทว ปาติโมกฺขํ, ตสฺส อุเทฺทโส สรูเปน กถนํ โอวาทปาติโมกฺขุเทฺทโสฯ ‘‘อิมสฺมิํ วีติกฺกเม อยํ นาม อาปตฺตี’’ติ เอวํ อาปตฺติวเสน อาณาปนํ ปญฺญาปนํ อาณา, เสสํ อนนฺตรสทิสเมวฯ

    Suttassa uddeso suttuddeso. Pārisuddhi eva uposatho pārisuddhiuposatho. Eseva nayo adhiṭṭhānuposathoti etthāpi. Soti pātimokkhuddeso. Ovādova pātimokkhaṃ, tassa uddeso sarūpena kathanaṃ ovādapātimokkhuddeso. ‘‘Imasmiṃ vītikkame ayaṃ nāma āpattī’’ti evaṃ āpattivasena āṇāpanaṃ paññāpanaṃ āṇā, sesaṃ anantarasadisameva.

    ขนฺตี ปรมํ ตโป ติติกฺขา…เป.… วุตฺตา ติโสฺส คาถาโย นาม –

    Khantī paramaṃ tapo titikkhā…pe… vuttā tisso gāthāyo nāma –

    ‘‘ขนฺตี ปรมํ ตโป ติติกฺขา;

    ‘‘Khantī paramaṃ tapo titikkhā;

    นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา;

    Nibbānaṃ paramaṃ vadanti buddhā;

    น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี;

    Na hi pabbajito parūpaghātī;

    น สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยโนฺตฯ

    Na samaṇo hoti paraṃ viheṭhayanto.

    ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณํ, กุสลสฺส อุปสมฺปทา;

    ‘‘Sabbapāpassa akaraṇaṃ, kusalassa upasampadā;

    สจิตฺตปริโยทปนํ, เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

    Sacittapariyodapanaṃ, etaṃ buddhāna sāsanaṃ.

    ‘‘อนูปวาโท อนูปฆาโต, ปาติโมเกฺข จ สํวโร;

    ‘‘Anūpavādo anūpaghāto, pātimokkhe ca saṃvaro;

    มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมิํ, ปนฺตญฺจ สยนาสนํ;

    Mattaññutā ca bhattasmiṃ, pantañca sayanāsanaṃ;

    อธิจิเตฺต จ อาโยโค, เอตํ พุทฺธาน สาสน’’นฺติฯ(ที. นิ. ๒.๙๐; ธ. ป. ๑๘๓-๑๘๕) –

    Adhicitte ca āyogo, etaṃ buddhāna sāsana’’nti.(dī. ni. 2.90; dha. pa. 183-185) –

    อิมา ติโสฺส คาถาโยฯ

    Imā tisso gāthāyo.

    ตตฺถ ขนฺตี ปรมํ ตโปติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๙๐; ธ. ป. อฎฺฐ. ๒.๑๘๕) อธิวาสนขนฺติ นาม ปรมํ ตโปฯ ติติกฺขาติ ขนฺติยา เอว เววจนํ, ติติกฺขาสงฺขาตา อธิวาสนขนฺติ อุตฺตมํ ตโปติ อโตฺถฯ นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺตีติ สพฺพากาเรน ปน นิพฺพานํ ‘‘ปรม’’นฺติ วทนฺติ พุทฺธาฯ น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตีติ โย อธิวาสนขนฺติวิรหิตตฺตา ปรํ อุปฆาเตติ พาธติ วิหิํสติ, โส ปพฺพชิโต นาม น โหติฯ จตุตฺถปาโท ปน ตเสฺสว เววจนํฯ ‘‘น หิ ปพฺพชิโต’’ติ เอตสฺส หิ ‘‘นสมโณ โหตี’’ติ เววจนํฯ ‘‘ปรูปฆาตี’’ติ เอตสฺส ‘‘ปรํ วิเหฐยโนฺต’’ติ เววจนํฯ อถ วา ปรูปฆาตีติ สีลูปฆาตีฯ สีลญฺหิ อุตฺตมเฎฺฐน ‘‘ปร’’นฺติ วุจฺจติฯ โย จ สมโณ ปรํ ยํ กญฺจิ สตฺตํ วิเหฐยโนฺต ปรูปฆาตี โหติ, อตฺตโน สีลวินาสโก, โส ปพฺพชิโต นาม น โหตีติ อโตฺถฯ อถ วา โย อธิวาสนขนฺติยา อภาวา ปรูปฆาตี โหติ, ปรํ อนฺตมโส ฑํสมกสมฺปิ สญฺจิจฺจ ชีวิตา โวโรเปติ, โส น หิ ปพฺพชิโตฯ กิํ การณา? มลสฺส อปพฺพาชิตตฺตาฯ ‘‘ปพฺพาชยมตฺตโน มลํ, ตสฺมา ‘ปพฺพชิโต’ติ วุจฺจตี’’ติ (ธ. ป. ๓๘๘) อิทญฺหิ ปพฺพชิตลกฺขณํฯ โยปิ น เหว โข อุปฆาเตติ น มาเรติ, อปิจ ทณฺฑาทีหิ วิเหเฐติ, โส ปรํ วิเหฐยโนฺต สมโณ น โหติฯ กิํ การณา? วิเหสาย อสมิตตฺตาฯ ‘‘สมิตตฺตา หิ ปาปานํ, ‘สมโณ’ติ ปวุจฺจตี’’ติ (ธ. ป. ๒๖๕) อิทญฺหิ สมณลกฺขณํฯ

    Tattha khantī paramaṃ tapoti (dī. ni. aṭṭha. 2.90; dha. pa. aṭṭha. 2.185) adhivāsanakhanti nāma paramaṃ tapo. Titikkhāti khantiyā eva vevacanaṃ, titikkhāsaṅkhātā adhivāsanakhanti uttamaṃ tapoti attho. Nibbānaṃ paramaṃ vadantīti sabbākārena pana nibbānaṃ ‘‘parama’’nti vadanti buddhā. Na hi pabbajito parūpaghātīti yo adhivāsanakhantivirahitattā paraṃ upaghāteti bādhati vihiṃsati, so pabbajito nāma na hoti. Catutthapādo pana tasseva vevacanaṃ. ‘‘Na hi pabbajito’’ti etassa hi ‘‘nasamaṇo hotī’’ti vevacanaṃ. ‘‘Parūpaghātī’’ti etassa ‘‘paraṃ viheṭhayanto’’ti vevacanaṃ. Atha vā parūpaghātīti sīlūpaghātī. Sīlañhi uttamaṭṭhena ‘‘para’’nti vuccati. Yo ca samaṇo paraṃ yaṃ kañci sattaṃ viheṭhayanto parūpaghātī hoti, attano sīlavināsako, so pabbajito nāma na hotīti attho. Atha vā yo adhivāsanakhantiyā abhāvā parūpaghātī hoti, paraṃ antamaso ḍaṃsamakasampi sañcicca jīvitā voropeti, so na hi pabbajito. Kiṃ kāraṇā? Malassa apabbājitattā. ‘‘Pabbājayamattano malaṃ, tasmā ‘pabbajito’ti vuccatī’’ti (dha. pa. 388) idañhi pabbajitalakkhaṇaṃ. Yopi na heva kho upaghāteti na māreti, apica daṇḍādīhi viheṭheti, so paraṃ viheṭhayanto samaṇo na hoti. Kiṃ kāraṇā? Vihesāya asamitattā. ‘‘Samitattā hi pāpānaṃ, ‘samaṇo’ti pavuccatī’’ti (dha. pa. 265) idañhi samaṇalakkhaṇaṃ.

    ทุติยคาถาย สพฺพปาปสฺสาติ สพฺพากุสลสฺสฯ อกรณนฺติ อนุปฺปาทนํฯ กุสลสฺสาติ จตุภูมกกุสลสฺสฯ อุปสมฺปทาติ อุปสมฺปาทนํ ปฎิลาโภฯ สจิตฺตปริโยทปนนฺติ อตฺตโน จิตฺตสฺส โวทาปนํ ปภสฺสรภาวกรณํ สพฺพโส ปริโสธนํ, ตํ ปน อรหเตฺตน โหติฯ อิติ สีลสํวเรน สพฺพปาปํ ปหาย โลกิยโลกุตฺตราหิ สมถวิปสฺสนาหิ กุสลํ สมฺปาเทตฺวา อรหตฺตผเลน จิตฺตํ ปริโยทาเปตพฺพนฺติ เอตํ พุทฺธานํ สาสนํ โอวาโท อนุสิฎฺฐิฯ

    Dutiyagāthāya sabbapāpassāti sabbākusalassa. Akaraṇanti anuppādanaṃ. Kusalassāti catubhūmakakusalassa. Upasampadāti upasampādanaṃ paṭilābho. Sacittapariyodapananti attano cittassa vodāpanaṃ pabhassarabhāvakaraṇaṃ sabbaso parisodhanaṃ, taṃ pana arahattena hoti. Iti sīlasaṃvarena sabbapāpaṃ pahāya lokiyalokuttarāhi samathavipassanāhi kusalaṃ sampādetvā arahattaphalena cittaṃ pariyodāpetabbanti etaṃ buddhānaṃ sāsanaṃ ovādo anusiṭṭhi.

    ตติยคาถาย อนูปวาโทติ วาจาย กสฺสจิ อนุปวทนํฯ อนูปฆาโตติ กาเยน กสฺสจิ อุปฆาตสฺส อกรณํฯ ปาติโมเกฺขติ ยํ ตํ ปาติโมกฺขํ ปอติโมกฺขํ อติปโมกฺขํ อุตฺตมํ สีลํ, ปาติ วา อคติวิเสเสหิ, โมเกฺขติ ทุคฺคติภเยหิฯ โย วา นํ ปาติ, ตํ โมเกฺขตีติ ‘‘ปาติโมกฺข’’นฺติ วุจฺจติ, ตสฺมิํ ปาติโมเกฺข จฯ สํวโรติ สตฺตนฺนํ อาปตฺติกฺขนฺธานํ อวีติกฺกมลกฺขโณ สํวโรฯ มตฺตญฺญุตาติ ปฎิคฺคหณปริโภควเสน ปมาณญฺญุตาฯ ปนฺตญฺจ สยนาสนนฺติ ชนสงฺฆฎฺฎนวิรหิตํ นิชฺชนสมฺพาธํ วิวิตฺตํ, เสนาสนญฺจฯ เอตฺถ จ ทฺวิหิเยว ปจฺจเยหิ จตุปจฺจยสโนฺตโส ทีปิโตติ เวทิตโพฺพ ปจฺจยสโนฺตสสามเญฺญน อิตรทฺวยสฺสาปิ ลกฺขณหารนเยน โชติตตฺตาฯ อธิจิเตฺต จ อาโยโคติ วิปสฺสนาปาทกํ อฎฺฐสมาปตฺติจิตฺตํ, ตโตปิ มคฺคผลจิตฺตเมว อธิจิตฺตํ, ตสฺมิํ ยถาวุเตฺต อธิจิเตฺต อาโยโค จ อนุโยโค จาติ อโตฺถฯ เอตํ พุทฺธาน สาสนนฺติ เอตํ ปรสฺส อนุปวทนํ, อนุปฆาตนํ, ปาติโมเกฺข สํวโร, ปฎิคฺคหณปริโภเคสุ มตฺตญฺญุตา, อฎฺฐสมาปตฺติวสิภาวาย วิวิตฺตเสนาสนเสวนญฺจ พุทฺธานํ สาสนํ โอวาโท อนุสิฎฺฐีติฯ อิมา ปน ติโสฺส คาถา สพฺพพุทฺธานํ ปาติโมกฺขุเทฺทสคาถาโย โหนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ ตํ พุทฺธา เอว อุทฺทิสนฺติ, น สาวกาฯ

    Tatiyagāthāya anūpavādoti vācāya kassaci anupavadanaṃ. Anūpaghātoti kāyena kassaci upaghātassa akaraṇaṃ. Pātimokkheti yaṃ taṃ pātimokkhaṃ paatimokkhaṃ atipamokkhaṃ uttamaṃ sīlaṃ, pāti vā agativisesehi, mokkheti duggatibhayehi. Yo vā naṃ pāti, taṃ mokkhetīti ‘‘pātimokkha’’nti vuccati, tasmiṃ pātimokkhe ca. Saṃvaroti sattannaṃ āpattikkhandhānaṃ avītikkamalakkhaṇo saṃvaro. Mattaññutāti paṭiggahaṇaparibhogavasena pamāṇaññutā. Pantañca sayanāsananti janasaṅghaṭṭanavirahitaṃ nijjanasambādhaṃ vivittaṃ, senāsanañca. Ettha ca dvihiyeva paccayehi catupaccayasantoso dīpitoti veditabbo paccayasantosasāmaññena itaradvayassāpi lakkhaṇahāranayena jotitattā. Adhicitte ca āyogoti vipassanāpādakaṃ aṭṭhasamāpatticittaṃ, tatopi maggaphalacittameva adhicittaṃ, tasmiṃ yathāvutte adhicitte āyogo ca anuyogo cāti attho. Etaṃ buddhāna sāsananti etaṃ parassa anupavadanaṃ, anupaghātanaṃ, pātimokkhe saṃvaro, paṭiggahaṇaparibhogesu mattaññutā, aṭṭhasamāpattivasibhāvāya vivittasenāsanasevanañca buddhānaṃ sāsanaṃ ovādo anusiṭṭhīti. Imā pana tisso gāthā sabbabuddhānaṃ pātimokkhuddesagāthāyo hontīti veditabbā. Taṃ buddhā eva uddisanti, na sāvakā.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ’’ติอาทินา (มหาว. ๑๓๔) นเยน วุตฺตํ อาณาปาติโมกฺขํ นามฯ ตํ สาวกา เอว อุทฺทิสนฺติ, น พุทฺธา สงฺฆกมฺมํ กโรนฺติ, น จ ตตฺถ ปริยาปนฺนาติ อาห ‘‘ตํ สาวกา เอว อุทฺทิสนฺติ, น พุทฺธา’’ติฯ อิมสฺมิํ อเตฺถติ ‘‘ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยา’’ติ เอตสฺมิํ อเตฺถฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho’’tiādinā (mahāva. 134) nayena vuttaṃ āṇāpātimokkhaṃ nāma. Taṃ sāvakā eva uddisanti, na buddhā saṅghakammaṃ karonti, na ca tattha pariyāpannāti āha ‘‘taṃ sāvakā eva uddisanti, na buddhā’’ti. Imasmiṃ attheti ‘‘pātimokkhaṃ uddiseyyā’’ti etasmiṃ atthe.

    อนุปคโต นาม ตเตฺถว อุปสมฺปโนฺน, อสติยา ปุริมิกาย อนุปคโต วาฯ จาตุมาสินิยนฺติ จาตุมาสิยํฯ สา หิ จตุนฺนํ มาสานํ ปาริปูริภูตาติ จาตุมาสี, สา เอว ‘‘จาตุมาสินี’’ติ วุจฺจติ, ตสฺสํ จาตุมาสินิยํฯ ปจฺฉิมกตฺติกปุณฺณมาสินิยนฺติ อโตฺถฯ กายสามคฺคินฺติ กาเยน สมคฺคภาวํ, หตฺถปาสูปคมนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Anupagato nāma tattheva upasampanno, asatiyā purimikāya anupagato vā. Cātumāsiniyanti cātumāsiyaṃ. Sā hi catunnaṃ māsānaṃ pāripūribhūtāti cātumāsī, sā eva ‘‘cātumāsinī’’ti vuccati, tassaṃ cātumāsiniyaṃ. Pacchimakattikapuṇṇamāsiniyanti attho. Kāyasāmagginti kāyena samaggabhāvaṃ, hatthapāsūpagamananti vuttaṃ hoti.

    อยํ ปเนตฺถ วินิจฺฉโย – สเจ ปุริมิกาย ปญฺจ ภิกฺขู วสฺสํ อุปคตา, ปจฺฉิมิกายปิ ปญฺจ, ปุริเมหิ ญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาริเต ปจฺฉิเมหิ เตสํ สนฺติเก ปาริสุทฺธิอุโปสโถ กาตโพฺพ, น เอกสฺมิํ อุโปสถเคฺค เทฺว ญตฺติโย ฐเปตพฺพาฯ สเจปิ ปจฺฉิมิกาย อุปคตา จตฺตาโร, ตโย, เทฺว, เอโก วา โหติ, เอเสว นโยฯ อถ ปุริมิกาย จตฺตาโร, ปจฺฉิมิกายปิ จตฺตาโร, ตโย, เทฺว, เอโก วา, เอเสว นโยฯ อถ ปุริมิกาย ตโย, ปจฺฉิมิกาย ตโย, เทฺว วา, เอเสว นโยฯ อิทเญฺหตฺถ ลกฺขณํ – สเจ ปุริมิกาย อุปคเตหิ ปจฺฉิมิกาย อุปคตา โถกตรา เจว โหนฺติ สมสมา จ, สงฺฆปฺปวารณาย จ คณํ ปูเรนฺติ, สงฺฆปฺปวารณาวเสน ญตฺติํ ฐเปตฺวา ปุริเมหิ ปวาเรตพฺพาฯ สเจ ปน ปุริมิกาย ตโย, ปจฺฉิมิกาย เอโก โหติ, เตน สทฺธิํ เต จตฺตาโร โหนฺติ, จตุนฺนํ สงฺฆญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาเรตุํ น วฎฺฎติฯ คณญตฺติยา ปน โส คณปูรโก โหติ, ตสฺมา คณวเสน ญตฺติํ ฐเปตฺวา ปุริเมหิ ปวาเรตพฺพํ, อิตเรน เตสํ สนฺติเก ปาริสุทฺธิอุโปสโถ กาตโพฺพฯ สเจ ปุริมิกาย เทฺว, ปจฺฉิมิกาย เทฺว วา เอโก วา, เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สเจ ปุริมิกาย เอโก, ปจฺฉิมิกายปิ เอโก, เอเกน เอกสฺส สนฺติเก ปวาเรตพฺพํ, เอเกน ปาริสุทฺธิอุโปสโถ กาตโพฺพ ฯ สเจ ปุริมวสฺสูปคเตหิ ปจฺฉิมวสฺสูปคตา เอเกนปิ อธิกตรา โหนฺติ, ปฐมํ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตฺวา ปจฺฉา โถกตเรหิ เตสํ สนฺติเก ปวาเรตพฺพํฯ กตฺติกจาตุมาสินิปวารณาย ปน สเจ ปฐมํ วสฺสูปคเตหิ มหาปวารณาย ปวาริเตหิ ปจฺฉา อุปคตา อธิกตรา วา สมสมา วา โหนฺติ, ปวารณาญตฺติํ ฐเปตฺวา ปวาเรตพฺพํฯ เตหิ ปวาริเต ปจฺฉา อิตเรหิ ปาริสุทฺธิอุโปสโถ กาตโพฺพฯ อถ มหาปวารณาย ปวาริตา พหู โหนฺติ, ปจฺฉา วสฺสูปคตา โถกา วา เอโก วา, ปาติโมเกฺข อุทฺทิเฎฺฐ ปจฺฉา เตสํ สนฺติเก เตน ปวาเรตพฺพนฺติฯ

    Ayaṃ panettha vinicchayo – sace purimikāya pañca bhikkhū vassaṃ upagatā, pacchimikāyapi pañca, purimehi ñattiṃ ṭhapetvā pavārite pacchimehi tesaṃ santike pārisuddhiuposatho kātabbo, na ekasmiṃ uposathagge dve ñattiyo ṭhapetabbā. Sacepi pacchimikāya upagatā cattāro, tayo, dve, eko vā hoti, eseva nayo. Atha purimikāya cattāro, pacchimikāyapi cattāro, tayo, dve, eko vā, eseva nayo. Atha purimikāya tayo, pacchimikāya tayo, dve vā, eseva nayo. Idañhettha lakkhaṇaṃ – sace purimikāya upagatehi pacchimikāya upagatā thokatarā ceva honti samasamā ca, saṅghappavāraṇāya ca gaṇaṃ pūrenti, saṅghappavāraṇāvasena ñattiṃ ṭhapetvā purimehi pavāretabbā. Sace pana purimikāya tayo, pacchimikāya eko hoti, tena saddhiṃ te cattāro honti, catunnaṃ saṅghañattiṃ ṭhapetvā pavāretuṃ na vaṭṭati. Gaṇañattiyā pana so gaṇapūrako hoti, tasmā gaṇavasena ñattiṃ ṭhapetvā purimehi pavāretabbaṃ, itarena tesaṃ santike pārisuddhiuposatho kātabbo. Sace purimikāya dve, pacchimikāya dve vā eko vā, etthāpi eseva nayo. Sace purimikāya eko, pacchimikāyapi eko, ekena ekassa santike pavāretabbaṃ, ekena pārisuddhiuposatho kātabbo . Sace purimavassūpagatehi pacchimavassūpagatā ekenapi adhikatarā honti, paṭhamaṃ pātimokkhaṃ uddisitvā pacchā thokatarehi tesaṃ santike pavāretabbaṃ. Kattikacātumāsinipavāraṇāya pana sace paṭhamaṃ vassūpagatehi mahāpavāraṇāya pavāritehi pacchā upagatā adhikatarā vā samasamā vā honti, pavāraṇāñattiṃ ṭhapetvā pavāretabbaṃ. Tehi pavārite pacchā itarehi pārisuddhiuposatho kātabbo. Atha mahāpavāraṇāya pavāritā bahū honti, pacchā vassūpagatā thokā vā eko vā, pātimokkhe uddiṭṭhe pacchā tesaṃ santike tena pavāretabbanti.

    เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวาติ เอกสฺมิํ อํเส สาธุกํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวาติ อโตฺถฯ อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวาติ ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ อุกฺขิปิตฺวาฯ สเจ ปน ตตฺถ ปาริวาสิโกปิ อตฺถิ, สงฺฆนวกฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา ตเตฺถว นิสิเนฺนน อตฺตโน ปาฬิยา ปาริสุทฺธิอุโปสโถ กาตโพฺพฯ ปาติโมเกฺข อุทฺทิสิยมาเน ปน ปาฬิยา อนิสีทิตฺวา ปาฬิํ วิหาย หตฺถปาสํ อมุญฺจเนฺตน นิสีทิตพฺพํฯ ปวารณายปิ เอเสว นโยฯ

    Ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvāti ekasmiṃ aṃse sādhukaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvāti attho. Añjaliṃ paggahetvāti dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ ukkhipitvā. Sace pana tattha pārivāsikopi atthi, saṅghanavakaṭṭhāne nisīditvā tattheva nisinnena attano pāḷiyā pārisuddhiuposatho kātabbo. Pātimokkhe uddisiyamāne pana pāḷiyā anisīditvā pāḷiṃ vihāya hatthapāsaṃ amuñcantena nisīditabbaṃ. Pavāraṇāyapi eseva nayo.

    สพฺพํ ปุพฺพกรณียนฺติ สมฺมชฺชนาทิํ นววิธํ ปุพฺพกิจฺจํฯ ยถา จ สโพฺพ สโงฺฆ สภาคาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ…เป.… ปฎิกริสฺสตี’’ติ (มหาว. ๑๗๑) ญตฺติํ ฐเปตฺวา อุโปสถํ กาตุํ ลภติ, เอวเมตฺถาปิ ตีหิ ‘‘สุณนฺตุ เม อายสฺมนฺตา อิเม ภิกฺขู สภาคํ อาปตฺติํ อาปนฺนา, ยทา อญฺญํ ภิกฺขุํ สุทฺธํ อนาปตฺติกํ ปสฺสิสฺสนฺติ, ตทา ตสฺส สนฺติเก ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสนฺตี’’ติ คณญตฺติํ ฐเปตฺวา, ทฺวีหิปิ ‘‘อญฺญํ สุทฺธํ ปสฺสิตฺวา ปฎิกริสฺสามา’’ติ วตฺวา อุโปสถํ กาตุํ วฎฺฎติฯ เอเกนาปิ ‘‘ปริสุทฺธํ ลภิตฺวา ปฎิกริสฺสามี’’ติ อาโภคํ กตฺวา กาตุํ วฎฺฎติฯ ตทหูติ ตสฺมิํ อหุ, ตสฺมิํ ทิวเสติ อโตฺถฯ นานาสํวาสเกหีติ ลทฺธินานาสํวาสเกหิฯ อนาวาโส นาม นวกมฺมสาลาทิโก โย โกจิ ปเทโสฯ อญฺญตฺร สเงฺฆนาติ สงฺฆปฺปโหนเกหิ ภิกฺขูหิ วินาฯ อญฺญตฺร อนฺตรายาติ ปุเพฺพ วุตฺตํ ทสวิธมนฺตรายํ วินาฯ สพฺพนฺติเมน ปน ปริเจฺฉเทน อตฺตจตุเตฺถน อนฺตราเย วา สติ คนฺตุํ วฎฺฎติฯ ยถา จ อาวาสาทโย น คนฺตพฺพา, เอวํ สเจ วิหาเร อุโปสถํ กโรนฺติ, อุโปสถาธิฎฺฐานตฺถํ สีมาปิ นทีปิ น คนฺตพฺพาฯ สเจ ปเนตฺถ โกจิ ภิกฺขุ โหติ, ตสฺส สนฺติกํ คนฺตุํ วฎฺฎติฯ วิสฺสฎฺฐอุโปสถาปิ อาวาสา คนฺตุํ วฎฺฎติฯ เอวํ คโต อธิฎฺฐาตุมฺปิ ลภติฯ อารญฺญเกนาปิ ภิกฺขุนา อุโปสถทิวเส คาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา อตฺตโน วิหารเมว อาคนฺตพฺพํฯ สเจ อญฺญํ วิหารํ โอกฺกมติ, ตตฺถ อุโปสถํ กตฺวาว อาคนฺตพฺพํ, อกตฺวา อาคนฺตุํ น วฎฺฎติฯ ยํ ชญฺญา ‘‘อเชฺชว ตตฺถ คนฺตุํ สโกฺกมี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๘๑) เอวรูโป ปน อาวาโส คนฺตโพฺพฯ ตตฺถ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ อุโปสถํ กโรเนฺตนาปิ หิ อิมินา เนว อุโปสถนฺตราโย กโต ภวิสฺสตีติฯ

    Sabbaṃpubbakaraṇīyanti sammajjanādiṃ navavidhaṃ pubbakiccaṃ. Yathā ca sabbo saṅgho sabhāgāpattiṃ āpajjitvā ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho…pe… paṭikarissatī’’ti (mahāva. 171) ñattiṃ ṭhapetvā uposathaṃ kātuṃ labhati, evametthāpi tīhi ‘‘suṇantu me āyasmantā ime bhikkhū sabhāgaṃ āpattiṃ āpannā, yadā aññaṃ bhikkhuṃ suddhaṃ anāpattikaṃ passissanti, tadā tassa santike taṃ āpattiṃ paṭikarissantī’’ti gaṇañattiṃ ṭhapetvā, dvīhipi ‘‘aññaṃ suddhaṃ passitvā paṭikarissāmā’’ti vatvā uposathaṃ kātuṃ vaṭṭati. Ekenāpi ‘‘parisuddhaṃ labhitvā paṭikarissāmī’’ti ābhogaṃ katvā kātuṃ vaṭṭati. Tadahūti tasmiṃ ahu, tasmiṃ divaseti attho. Nānāsaṃvāsakehīti laddhinānāsaṃvāsakehi. Anāvāso nāma navakammasālādiko yo koci padeso. Aññatra saṅghenāti saṅghappahonakehi bhikkhūhi vinā. Aññatra antarāyāti pubbe vuttaṃ dasavidhamantarāyaṃ vinā. Sabbantimena pana paricchedena attacatutthena antarāye vā sati gantuṃ vaṭṭati. Yathā ca āvāsādayo na gantabbā, evaṃ sace vihāre uposathaṃ karonti, uposathādhiṭṭhānatthaṃ sīmāpi nadīpi na gantabbā. Sace panettha koci bhikkhu hoti, tassa santikaṃ gantuṃ vaṭṭati. Vissaṭṭhauposathāpi āvāsā gantuṃ vaṭṭati. Evaṃ gato adhiṭṭhātumpi labhati. Āraññakenāpi bhikkhunā uposathadivase gāme piṇḍāya caritvā attano vihārameva āgantabbaṃ. Sace aññaṃ vihāraṃ okkamati, tattha uposathaṃ katvāva āgantabbaṃ, akatvā āgantuṃ na vaṭṭati. Yaṃ jaññā ‘‘ajjeva tattha gantuṃ sakkomī’’ti (mahāva. aṭṭha. 181) evarūpo pana āvāso gantabbo. Tattha bhikkhūhi saddhiṃ uposathaṃ karontenāpi hi iminā neva uposathantarāyo kato bhavissatīti.

    อุทกํ อาสเนน จาติ อาสเนน สห ปานียปริโภชนียํ อุทกญฺจาติ อโตฺถฯ สงฺฆสนฺนิปาตโต ปฐมํ กตฺตพฺพํ ปุพฺพกรณํฯ ปุพฺพกรณโต ปจฺฉา กตฺตพฺพมฺปิ อุโปสถกมฺมโต ปฐมํ กตฺตพฺพตฺตา ปุพฺพกิจฺจํฯ อุภยมฺปิ เจตํ อุโปสถกมฺมโต ปฐมํ กตฺตพฺพตฺตา ‘‘ปุพฺพกิจฺจ’’มิเจฺจว เอตฺถ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘เอวํ ทฺวีหิ นาเมหิ นววิธํ ปุพฺพกิจฺจํ ทสฺสิต’’นฺติฯ กิํ ตํ กตนฺติ ปุจฺฉตีติ อาห ‘‘น หี’’ติอาทิฯ ตํ อกตฺวา อุโปสถํ กาตุํ น วฎฺฎติ ‘‘น, ภิกฺขเว, เถเรน อาณเตฺตน อคิลาเนน น สมฺมชฺชิตพฺพํ, โย น สมฺมเชฺชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติอาทิ (มหาว. ๑๕๙) วจนโตฯ เตเนวาห ‘‘ตสฺมา เถเรน อาณเตฺตนา’’ติอาทิฯ

    Udakaṃ āsanena cāti āsanena saha pānīyaparibhojanīyaṃ udakañcāti attho. Saṅghasannipātato paṭhamaṃ kattabbaṃ pubbakaraṇaṃ. Pubbakaraṇato pacchā kattabbampi uposathakammato paṭhamaṃ kattabbattā pubbakiccaṃ. Ubhayampi cetaṃ uposathakammato paṭhamaṃ kattabbattā ‘‘pubbakicca’’micceva ettha vuttanti āha ‘‘evaṃ dvīhi nāmehi navavidhaṃ pubbakiccaṃ dassita’’nti. Kiṃ taṃ katanti pucchatīti āha ‘‘na hī’’tiādi. Taṃ akatvā uposathaṃ kātuṃ na vaṭṭati ‘‘na, bhikkhave, therena āṇattena agilānena na sammajjitabbaṃ, yo na sammajjeyya, āpatti dukkaṭassā’’tiādi (mahāva. 159) vacanato. Tenevāha ‘‘tasmā therena āṇattenā’’tiādi.

    สเจ ปน อาณโตฺต สมฺมชฺชนิํ ตาวกาลิกมฺปิ น ลภติ, สาขาภงฺคํ กปฺปิยํ กาเรตฺวา สมฺมชฺชิตพฺพํฯ ตมฺปิ อลภนฺตสฺส ลทฺธกปฺปิยํ โหติฯ ปานียํ ปริโภชนียํ อุปฎฺฐาเปตพฺพนฺติ อาคนฺตุกานํ อตฺถาย ปานียปริโภชนียํ อุปฎฺฐาเปตพฺพํฯ อาสนํ ปญฺญาเปตพฺพนฺติ ปีฐผลกาทิอาสนํ ปญฺญาเปตพฺพํฯ สเจ อุโปสถาคาเร อาสนานิ นตฺถิ, สํฆิกาวาสโตปิ อาหริตฺวา ปญฺญาเปตฺวา ปุน หริตพฺพานิฯ อาสเนสุ อสติ กฎสารเกปิ ตฎฺฎิกาโยปิ ปญฺญาเปตุํ วฎฺฎติฯ ตฎฺฎิกาสุปิ อสติ สาขาภงฺคานิ กปฺปิยํ กาเรตฺวา ปญฺญาเปตพฺพานิฯ กปฺปิยการกํ อลภนฺตสฺส ลทฺธกปฺปิยํ โหติฯ ปทีโป กาตโพฺพติ ปทีเปตโพฺพ, ปทีปุชฺชลนํ กาตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อาณาเปเนฺตน ปน ‘‘อสุกสฺมิํ นาม โอกาเส เตลํ วา วฎฺฎิ วา กปลฺลิกา วา อตฺถิ, ตํ คเหตฺวา กโรหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ สเจ เตลาทีนิ นตฺถิ, ปริเยสิตพฺพานิฯ ปริเยสิตฺวา อลภนฺตสฺส ลทฺธกปฺปิยํ โหติฯ อปิจ กปาเล อคฺคิปิ ชาเลตโพฺพฯ อาณาเปเนฺตน จ กิญฺจิ กมฺมํ กโรโนฺต วา สทากาลเมว เอโก วา ภารนิตฺถรณโก วา สรภาณกธมฺมกถิกาทีสุ อญฺญตโร วา น อาณาเปตโพฺพ, อวเสสา ปน วาเรน อาณาเปตพฺพาฯ เตนาห ‘‘เถเรนาปิ ปติรูปํ ญตฺวา อาณาเปตพฺพ’’นฺติฯ

    Sace pana āṇatto sammajjaniṃ tāvakālikampi na labhati, sākhābhaṅgaṃ kappiyaṃ kāretvā sammajjitabbaṃ. Tampi alabhantassa laddhakappiyaṃ hoti. Pānīyaṃ paribhojanīyaṃ upaṭṭhāpetabbanti āgantukānaṃ atthāya pānīyaparibhojanīyaṃ upaṭṭhāpetabbaṃ. Āsanaṃ paññāpetabbanti pīṭhaphalakādiāsanaṃ paññāpetabbaṃ. Sace uposathāgāre āsanāni natthi, saṃghikāvāsatopi āharitvā paññāpetvā puna haritabbāni. Āsanesu asati kaṭasārakepi taṭṭikāyopi paññāpetuṃ vaṭṭati. Taṭṭikāsupi asati sākhābhaṅgāni kappiyaṃ kāretvā paññāpetabbāni. Kappiyakārakaṃ alabhantassa laddhakappiyaṃ hoti. Padīpo kātabboti padīpetabbo, padīpujjalanaṃ kātabbanti vuttaṃ hoti. Āṇāpentena pana ‘‘asukasmiṃ nāma okāse telaṃ vā vaṭṭi vā kapallikā vā atthi, taṃ gahetvā karohī’’ti vattabbo. Sace telādīni natthi, pariyesitabbāni. Pariyesitvā alabhantassa laddhakappiyaṃ hoti. Apica kapāle aggipi jāletabbo. Āṇāpentena ca kiñci kammaṃ karonto vā sadākālameva eko vā bhāranittharaṇako vā sarabhāṇakadhammakathikādīsu aññataro vā na āṇāpetabbo, avasesā pana vārena āṇāpetabbā. Tenāha ‘‘therenāpi patirūpaṃ ñatvā āṇāpetabba’’nti.

    พหิ อุโปสถํ กตฺวา อาคเตนาติ นทิยา วา สีมาย วา ยตฺถ กตฺถจิ อุโปสถํ กตฺวา อาคเตน ฉโนฺท ทาตโพฺพ, ‘‘กโต มยา อุโปสโถ’’ติ อจฺฉิตุํ น ลภตีติ อธิปฺปาโยฯ กิจฺจปฺปสุโต วาติ คิลานุปฎฺฐากาทิกิจฺจปฺปสุโต วาฯ สเจ คิลาโน ฉนฺทปาริสุทฺธิํ ทาตุํ น สโกฺกติ, มเญฺจน วา ปีเฐน วา สงฺฆมชฺฌํ อาเนตฺวา อุโปสโถ กาตโพฺพฯ สเจ คิลานุปฎฺฐากานํ ภิกฺขูนํ เอวํ โหติ ‘‘สเจ โข มยํ อิมํ คิลานํ ฐานา จาเวสฺสาม, อาพาโธ วา อภิวฑฺฒิสฺสติ, กาลกิริยา วา ภวิสฺสตี’’ติ, น เตฺวว โส คิลาโน ฐานา จาเวตโพฺพ, สเงฺฆน ตตฺถ คนฺตฺวา อุโปสโถ กาตโพฺพ, น เตฺวว วเคฺคน สเงฺฆน อุโปสโถ กาตโพฺพฯ กเรยฺย เจ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ สเจ พหู ตาทิสา คิลานา โหนฺติ, สเงฺฆน ปฎิปาฎิยา ฐตฺวา สเพฺพ หตฺถปาเส กาตพฺพาฯ สเจ ทูเร ทูเร โหนฺติ, สโงฺฆ นปฺปโหติ, ตํ ทิวสํ อุโปสโถ น กาตโพฺพ, น เตฺวว วเคฺคน สเงฺฆน อุโปสโถ กาตโพฺพฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตทหุโปสเถ ปาริสุทฺธิํ เทเนฺตน ฉนฺทมฺปิ ทาตุํ, สนฺติ สงฺฆสฺส กรณีย’’นฺติ (มหาว. ๑๖๕) วุตฺตตฺตา ภควโต อาณํ กโรเนฺตน ‘‘ฉนฺทํ ทมฺมี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ฉนฺทหารโก เจ, ภิกฺขเว, ทิเนฺน ฉเนฺท ตเตฺถว ปกฺกมติ, อญฺญสฺส ทาตโพฺพ ฉโนฺท’’ติอาทิวจนโต (มหาว. ๑๖๕) ปุน อตฺตโน ฉนฺททานปริสฺสมวิโนทนตฺถํ ‘‘ฉนฺทํ เม หรา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ฉนฺทหารโก เจ, ภิกฺขเว, ทิเนฺน ฉเนฺท สงฺฆปฺปโตฺต สญฺจิจฺจ น อาโรเจติ, อาหโฎ โหติ ฉโนฺท, ฉนฺทหารกสฺส อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๖๕) วุตฺตตฺตา ทุกฺกฎโต ตํ โมเจตุํ ‘‘ฉนฺทํ เม อาโรเจหี’’ติ วุตฺตํฯ

    Bahi uposathaṃ katvā āgatenāti nadiyā vā sīmāya vā yattha katthaci uposathaṃ katvā āgatena chando dātabbo, ‘‘kato mayā uposatho’’ti acchituṃ na labhatīti adhippāyo. Kiccappasuto vāti gilānupaṭṭhākādikiccappasuto vā. Sace gilāno chandapārisuddhiṃ dātuṃ na sakkoti, mañcena vā pīṭhena vā saṅghamajjhaṃ ānetvā uposatho kātabbo. Sace gilānupaṭṭhākānaṃ bhikkhūnaṃ evaṃ hoti ‘‘sace kho mayaṃ imaṃ gilānaṃ ṭhānā cāvessāma, ābādho vā abhivaḍḍhissati, kālakiriyā vā bhavissatī’’ti, na tveva so gilāno ṭhānā cāvetabbo, saṅghena tattha gantvā uposatho kātabbo, na tveva vaggena saṅghena uposatho kātabbo. Kareyya ce, āpatti dukkaṭassa. Sace bahū tādisā gilānā honti, saṅghena paṭipāṭiyā ṭhatvā sabbe hatthapāse kātabbā. Sace dūre dūre honti, saṅgho nappahoti, taṃ divasaṃ uposatho na kātabbo, na tveva vaggena saṅghena uposatho kātabbo. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, tadahuposathe pārisuddhiṃ dentena chandampi dātuṃ, santi saṅghassa karaṇīya’’nti (mahāva. 165) vuttattā bhagavato āṇaṃ karontena ‘‘chandaṃ dammī’’ti vuttaṃ. ‘‘Chandahārako ce, bhikkhave, dinne chande tattheva pakkamati, aññassa dātabbo chando’’tiādivacanato (mahāva. 165) puna attano chandadānaparissamavinodanatthaṃ ‘‘chandaṃ me harā’’ti vuttaṃ. ‘‘Chandahārako ce, bhikkhave, dinne chande saṅghappatto sañcicca na āroceti, āhaṭo hoti chando, chandahārakassa āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 165) vuttattā dukkaṭato taṃ mocetuṃ ‘‘chandaṃ me ārocehī’’ti vuttaṃ.

    กาเยน วา วาจาย วา อุภเยน วา วิญฺญาเปตโพฺพติ มนสา จิเนฺตตฺวา กายปฺปโยคํ กโรเนฺตน เยน เกนจิ องฺคปจฺจเงฺคน วา, วาจํ ปน นิจฺฉาเรตุํ สโกฺกเนฺตน ตเถว วาจาย วา, อุภยถาปิ สโกฺกเนฺตน กายวาจาหิ วา วิญฺญาเปตโพฺพ, ชานาเปตโพฺพติ อโตฺถฯ ‘‘อยํ อโตฺถ’’ติ วจนโต ปน ยาย กายจิปิ ภาสาย วิญฺญาเปตุํ วฎฺฎติ, ปาริสุทฺธิทาเนปิ ฉนฺททาเน วุตฺตสทิโสว วินิจฺฉโยฯ ตํ ปน เทเนฺตน ปฐมํ สนฺตี อาปตฺติ เทเสตพฺพาฯ น หิ สาปตฺติโก สมาโน ‘‘ปาริสุทฺธิํ ทมฺมิ, ปาริสุทฺธิํ เม หร, ปาริสุทฺธิํ เม อาโรเจหี’’ติ (มหาว. ๑๖๔) วตฺตุํ ลภติฯ ‘‘สนฺติ สงฺฆสฺส กรณียานี’’ติ วตฺตเพฺพ วจนวิปลฺลาเสน ‘‘สนฺติ สงฺฆสฺส กรณีย’’นฺติ วุตฺตํฯ เตสญฺจ อตฺตโน จ ฉนฺทปาริสุทฺธิํ เทตีติ เอตฺถ ฉโนฺท จ ฉนฺทปาริสุทฺธิ จ ฉนฺทปาริสุทฺธิ, ตํ เทตีติ สรูเปกเสสนเยน อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อิตราติ อเญฺญสํ ฉนฺทปาริสุทฺธิฯ พิฬาลสงฺขลิกา ฉนฺทปาริสุทฺธีติ เอตฺถ พิฬาลสงฺขลิกา นาม พิฬาลพนฺธนํฯ ตตฺถ หิ สงฺขลิกาย ปฐมวลยํ ทุติยวลยํเยว ปาปุณาติ, น ตติยํ, เอวมยมฺปิ ฉนฺทปาริสุทฺธิ ทายเกน ยสฺส ทินฺนา, ตโต อญฺญตฺถ น คจฺฉตีติ (สารตฺถ. ฎี. มหาวคฺค ๓.๑๖๔; วิ. วิ. ฎี. มหาวคฺค ๒.๑๖๔)ฯ ตสฺมา สา พิฬาลสงฺขลิกสทิสตฺตา ‘‘พิฬาลสงฺขลิกา’’ติ วุตฺตาฯ พิฬาลสงฺขลิกคฺคหณเญฺจตฺถ ยาสํ กาสญฺจิ สงฺขลิกานํ อุปลกฺขณมตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Kāyena vā vācāya vā ubhayena vā viññāpetabboti manasā cintetvā kāyappayogaṃ karontena yena kenaci aṅgapaccaṅgena vā, vācaṃ pana nicchāretuṃ sakkontena tatheva vācāya vā, ubhayathāpi sakkontena kāyavācāhi vā viññāpetabbo, jānāpetabboti attho. ‘‘Ayaṃ attho’’ti vacanato pana yāya kāyacipi bhāsāya viññāpetuṃ vaṭṭati, pārisuddhidānepi chandadāne vuttasadisova vinicchayo. Taṃ pana dentena paṭhamaṃ santī āpatti desetabbā. Na hi sāpattiko samāno ‘‘pārisuddhiṃ dammi, pārisuddhiṃ me hara, pārisuddhiṃ me ārocehī’’ti (mahāva. 164) vattuṃ labhati. ‘‘Santi saṅghassa karaṇīyānī’’ti vattabbe vacanavipallāsena ‘‘santi saṅghassa karaṇīya’’nti vuttaṃ. Tesañca attano ca chandapārisuddhiṃ detīti ettha chando ca chandapārisuddhi ca chandapārisuddhi, taṃ detīti sarūpekasesanayena attho daṭṭhabbo. Itarāti aññesaṃ chandapārisuddhi. Biḷālasaṅkhalikā chandapārisuddhīti ettha biḷālasaṅkhalikā nāma biḷālabandhanaṃ. Tattha hi saṅkhalikāya paṭhamavalayaṃ dutiyavalayaṃyeva pāpuṇāti, na tatiyaṃ, evamayampi chandapārisuddhi dāyakena yassa dinnā, tato aññattha na gacchatīti (sārattha. ṭī. mahāvagga 3.164; vi. vi. ṭī. mahāvagga 2.164). Tasmā sā biḷālasaṅkhalikasadisattā ‘‘biḷālasaṅkhalikā’’ti vuttā. Biḷālasaṅkhalikaggahaṇañcettha yāsaṃ kāsañci saṅkhalikānaṃ upalakkhaṇamattanti daṭṭhabbaṃ.

    อุตุกฺขานนฺติ ตํ ตํ กิริยํ อรติ วเตฺตตีติ อุตุ, ตสฺส อกฺขานํ อุตุกฺขานํ, อุตุอาจิกฺขนนฺติ อโตฺถฯ ยถา จ ตสฺส อาจิกฺขนํ, ตํ สรูปโต ทเสฺสตุํ ‘‘เหมนฺตาทีน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ คณนาติ กลนาฯ ภิกฺขุนีนํ อฎฺฐครุธเมฺมหิ โอวทนํ ภิกฺขุโนวาโทฯ เสฺว อุโปสโถติ อาคนฺตฺวาติ ‘‘เสฺว อุโปสโถ โหตี’’ติ วุเตฺต อเชฺชว อาคนฺตฺวา ปนฺนรสิเก อุโปสเถ ปกฺขสฺส จาตุทฺทสิยํ, จาตุทฺทสิเก เตรสิยํ อาคนฺตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘ปกฺขสฺส เตรสิยํเยว อาคนฺตฺวา ‘อยํ อุโปสโถ จาตุทฺทสิโก วา ปนฺนรสิโก วา’ติ ปุจฺฉิตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๔๙) วุตฺตํฯ เอวํ ปุจฺฉิเตน จ ภิกฺขุนา สเจ จาตุทฺทสิยํ อุโปสถํ กโรนฺติ, ‘‘จาตุทฺทสิโก ภคินี’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ ปนฺนรสิยํ กโรนฺติ, ‘‘ปนฺนรสิโก ภคินี’’ติ วตฺตพฺพํฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ฐเปตฺวา พาลํ, ฐเปตฺวา คิลานํ, ฐเปตฺวา คมิกํ อวเสเสหิ โอวาทํ คเหตุ’’นฺติ (จูฬว. ๔๑๔) วุตฺตตฺตา ‘‘ตํ ฐเปตฺวา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อาโรจนวิธานํ อชานโนฺต พาโลฯ จาตุทฺทสิกปนฺนรสิเกสุ อุโปสเถสุ วา ปาฎิปเท วา คนฺตุกาโม คมิโย, ทุติยปกฺขทิวสโต ปน ปฎฺฐาย ตโต อุทฺธํ คจฺฉโนฺต อิธ คมิโย นาม น โหติฯ อรเญฺญ นิวาโส อสฺสาติ อารญฺญิโกฯ โสปิ ‘‘อหํ อรญฺญวาสี, เสฺว อุโปสโถ, วิหาเร น วสามี’’ติ อปฺปฎิคฺคหิตุํ น ลภติฯ ยทิ น คเณฺหยฺย, ทุกฺกฎํ อาปเชฺชยฺยฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘น, ภิกฺขเว, โอวาโท น คเหตโพฺพ, โย น คเณฺหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๔๑๔)ฯ เตน ปน ปจฺจาหรณตฺถาย สเงฺกโต กาตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อารญฺญิเกน ภิกฺขุนา โอวาทํ คเหตุํ, สเงฺกตญฺจ กาตุํ อตฺร ปติหริสฺสามี’’ติ (จูฬว. ๔๑๕)ฯ ตสฺมา อารญฺญิเกน ภิกฺขุนา สเจ ภิกฺขุนีนํ วสนคาเม ภิกฺขา ลพฺภติ, ตเตฺถว จริตฺวา ภิกฺขุนิโย ทิสฺวา อาโรเจตฺวา คนฺตพฺพํฯ โน จสฺส ตตฺถ ภิกฺขา สุลภา โหติ, สามนฺตคาเม จริตฺวา ภิกฺขุนีนํ คามํ อาคมฺม ตเถว กาตพฺพํฯ สเจ ทูรํ คนฺตพฺพํ โหติ, สเงฺกโต กาตโพฺพ ‘‘อหํ อสุกํ นาม ตุมฺหากํ คามทฺวาเร สภํ วา มณฺฑปํ วา รุกฺขมูลํ วา อุปสงฺกมิสฺสามิ, ตตฺร อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติฯ ภิกฺขุนีหิ ตตฺร คนฺตพฺพํ, อคนฺตุํ น ลพฺภติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘น, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนิยา สเงฺกตํ น คนฺตพฺพํ, ยา น คเจฺฉยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๔๑๕)ฯ อุโปสถเคฺคติ อุโปสถกรณฎฺฐาเนฯ อฎฺฐหิ อเงฺคหีติ –

    Utukkhānanti taṃ taṃ kiriyaṃ arati vattetīti utu, tassa akkhānaṃ utukkhānaṃ, utuācikkhananti attho. Yathā ca tassa ācikkhanaṃ, taṃ sarūpato dassetuṃ ‘‘hemantādīna’’ntiādi vuttaṃ. Gaṇanāti kalanā. Bhikkhunīnaṃ aṭṭhagarudhammehi ovadanaṃ bhikkhunovādo. Sve uposathoti āgantvāti ‘‘sve uposatho hotī’’ti vutte ajjeva āgantvā pannarasike uposathe pakkhassa cātuddasiyaṃ, cātuddasike terasiyaṃ āgantvāti vuttaṃ hoti. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘pakkhassa terasiyaṃyeva āgantvā ‘ayaṃ uposatho cātuddasiko vā pannarasiko vā’ti pucchitabba’’nti (pāci. aṭṭha. 149) vuttaṃ. Evaṃ pucchitena ca bhikkhunā sace cātuddasiyaṃ uposathaṃ karonti, ‘‘cātuddasiko bhaginī’’ti vattabbaṃ. Sace pannarasiyaṃ karonti, ‘‘pannarasiko bhaginī’’ti vattabbaṃ. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ṭhapetvā bālaṃ, ṭhapetvā gilānaṃ, ṭhapetvā gamikaṃ avasesehi ovādaṃ gahetu’’nti (cūḷava. 414) vuttattā ‘‘taṃ ṭhapetvā’’tiādimāha. Tattha ārocanavidhānaṃ ajānanto bālo. Cātuddasikapannarasikesu uposathesu vā pāṭipade vā gantukāmo gamiyo, dutiyapakkhadivasato pana paṭṭhāya tato uddhaṃ gacchanto idha gamiyo nāma na hoti. Araññe nivāso assāti āraññiko. Sopi ‘‘ahaṃ araññavāsī, sve uposatho, vihāre na vasāmī’’ti appaṭiggahituṃ na labhati. Yadi na gaṇheyya, dukkaṭaṃ āpajjeyya. Vuttañhetaṃ ‘‘na, bhikkhave, ovādo na gahetabbo, yo na gaṇheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 414). Tena pana paccāharaṇatthāya saṅketo kātabbo. Vuttañhetaṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, āraññikena bhikkhunā ovādaṃ gahetuṃ, saṅketañca kātuṃ atra patiharissāmī’’ti (cūḷava. 415). Tasmā āraññikena bhikkhunā sace bhikkhunīnaṃ vasanagāme bhikkhā labbhati, tattheva caritvā bhikkhuniyo disvā ārocetvā gantabbaṃ. No cassa tattha bhikkhā sulabhā hoti, sāmantagāme caritvā bhikkhunīnaṃ gāmaṃ āgamma tatheva kātabbaṃ. Sace dūraṃ gantabbaṃ hoti, saṅketo kātabbo ‘‘ahaṃ asukaṃ nāma tumhākaṃ gāmadvāre sabhaṃ vā maṇḍapaṃ vā rukkhamūlaṃ vā upasaṅkamissāmi, tatra āgaccheyyāthā’’ti. Bhikkhunīhi tatra gantabbaṃ, agantuṃ na labbhati. Vuttañhetaṃ ‘‘na, bhikkhave, bhikkhuniyā saṅketaṃ na gantabbaṃ, yā na gaccheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 415). Uposathaggeti uposathakaraṇaṭṭhāne. Aṭṭhahi aṅgehīti –

    ‘‘สีลวา โหติ, ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรติ อาจารโคจรสมฺปโนฺน, อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวี สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุฯ พหุสฺสุโต โหติ สุตธโร สุตสนฺนิจโย, เย เต ธมฺมา อาทิกลฺยาณา มเชฺฌกลฺยาณา ปริโยสานกลฺยาณา สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ อภิวทนฺติ, ตถารูปาสฺส ธมฺมา พหุสฺสุตา โหนฺติ, ธาตา วจสา ปริจิตา, มนสา อนุเปกฺขิตา, ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธาฯ อุภยานิ โข ปนสฺส ปาติโมกฺขานิ วิตฺถาเรน สฺวาคตานิ โหนฺติ สุวิภตฺตานิ สุปฺปวตฺตีนิ สุวินิจฺฉิตานิ สุตฺตโส อนุพฺยญฺชนโสฯ กลฺยาณวาโจ โหติ กลฺยาณวากฺกรโณฯ เยภุเยฺยน ภิกฺขุนีนํ ปิโย โหติ มนาโปฯ ปฎิพโล โหติ ภิกฺขุนิโย โอวทิตุํฯ น โข ปเนตํ ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิตาย กาสายวตฺถวสนาย ครุธมฺมํ อชฺฌาปนฺนปุโพฺพ โหติฯ วีสติวโสฺส วา โหติ อติเรกวีสติวโสฺส วา’’ติ (ปาจิ. ๑๔๗) –

    ‘‘Sīlavā hoti, pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharati ācāragocarasampanno, aṇumattesu vajjesu bhayadassāvī samādāya sikkhati sikkhāpadesu. Bahussuto hoti sutadharo sutasannicayo, ye te dhammā ādikalyāṇā majjhekalyāṇā pariyosānakalyāṇā sātthaṃ sabyañjanaṃ kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ abhivadanti, tathārūpāssa dhammā bahussutā honti, dhātā vacasā paricitā, manasā anupekkhitā, diṭṭhiyā suppaṭividdhā. Ubhayāni kho panassa pātimokkhāni vitthārena svāgatāni honti suvibhattāni suppavattīni suvinicchitāni suttaso anubyañjanaso. Kalyāṇavāco hoti kalyāṇavākkaraṇo. Yebhuyyena bhikkhunīnaṃ piyo hoti manāpo. Paṭibalo hoti bhikkhuniyo ovadituṃ. Na kho panetaṃ bhagavantaṃ uddissa pabbajitāya kāsāyavatthavasanāya garudhammaṃ ajjhāpannapubbo hoti. Vīsativasso vā hoti atirekavīsativasso vā’’ti (pāci. 147) –

    อิเมหิ อฎฺฐหิ อเงฺคหิฯ ปาสาทิเกนาติ ปสาทาวเหน นิโทฺทเสน กายวจีมโนกเมฺมนฯ สมฺปาเทตูติ ติวิธํ สิกฺขํ สมฺปาเทตุฯ ยทา ปน ตาหิ ภิกฺขุนีหิ ปาติโมกฺขุเทฺทสกํเยว ทิสฺวา โอวาโท ยาจิโต, ตทา อุโปสถเคฺค สนฺนิปติเตหิ ภิกฺขุสเงฺฆหิ ปุพฺพกิจฺจวเสน ‘‘อตฺถิ กาจิ ภิกฺขุนิโย โอวาทํ ยาจมานา’’ติ ปุจฺฉิเต ‘‘เอวํ วเทหี’’ติ อตฺตนา วตฺตพฺพวจนํ อเญฺญน กถาเปตฺวา ‘‘อตฺถิ โกจิ ภิกฺขุ ภิกฺขุโนวาทโก สมฺมโต’’ติอาทิํ สยํ วตฺวา ปุน สยเมว คนฺตฺวา ภิกฺขุนีนํ อาโรเจตพฺพํฯ อเญฺญน วา ภิกฺขุนา ตสฺมิํ ทิวเส ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสาเปตพฺพํฯ อิทนฺติ ‘‘ตาหี’’ติ พหุวจนํฯ เอกโต สเหวฯ

    Imehi aṭṭhahi aṅgehi. Pāsādikenāti pasādāvahena niddosena kāyavacīmanokammena. Sampādetūti tividhaṃ sikkhaṃ sampādetu. Yadā pana tāhi bhikkhunīhi pātimokkhuddesakaṃyeva disvā ovādo yācito, tadā uposathagge sannipatitehi bhikkhusaṅghehi pubbakiccavasena ‘‘atthi kāci bhikkhuniyo ovādaṃ yācamānā’’ti pucchite ‘‘evaṃ vadehī’’ti attanā vattabbavacanaṃ aññena kathāpetvā ‘‘atthi koci bhikkhu bhikkhunovādako sammato’’tiādiṃ sayaṃ vatvā puna sayameva gantvā bhikkhunīnaṃ ārocetabbaṃ. Aññena vā bhikkhunā tasmiṃ divase pātimokkhaṃ uddisāpetabbaṃ. Idanti ‘‘tāhī’’ti bahuvacanaṃ. Ekato saheva.

    ญตฺติฎฺฐปเกน วาติ ยตฺถ ติณฺณํ วสนฎฺฐาเน ปาติโมกฺขุเทฺทโส นตฺถิ, ตตฺถ ญตฺติฎฺฐปนเกน วาฯ อิตเรน วาติ ยตฺถ เทฺว ภิกฺขู วสนฺติ, เอโก วา, ตตฺถ อิตเรน วา ภิกฺขุนา สเจ สยเมว สมฺมโต, ‘‘อห’’นฺติ วตฺตพฺพํ ฯ ตเถวาติ อุโปสถเคฺค วุตฺตสทิสเมวฯ ‘‘อาโรเจตฺวาวา’’ติ อิมินา อนาโรจนํ ปฎิกฺขิปติฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, โอวาโท น อาโรเจตโพฺพ, โย น อาโรเจยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๔๑๕) วจนโต โอวาทํ คเหตฺวา อุโปสถเคฺค อนาโรเจตุํ น วฎฺฎติฯ

    Ñattiṭṭhapakena vāti yattha tiṇṇaṃ vasanaṭṭhāne pātimokkhuddeso natthi, tattha ñattiṭṭhapanakena vā. Itarena vāti yattha dve bhikkhū vasanti, eko vā, tattha itarena vā bhikkhunā sace sayameva sammato, ‘‘aha’’nti vattabbaṃ . Tathevāti uposathagge vuttasadisameva. ‘‘Ārocetvāvā’’ti iminā anārocanaṃ paṭikkhipati. ‘‘Na, bhikkhave, ovādo na ārocetabbo, yo na āroceyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 415) vacanato ovādaṃ gahetvā uposathagge anārocetuṃ na vaṭṭati.

    ปริสุทฺธภาวนฺติ อาปตฺติยา ปริสุทฺธตํฯ อาโรเจถาติ อาวิ กโรถฯ เอตฺถ สิยาติ ‘‘ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิสฺสามี’’ติ เอตสฺมิํ ปเท อยมนุโยโค ภเวยฺยฯ กิํ ตํ, ยํ สิยาติ อาห ‘‘สโงฺฆ อุโปสถํ กเรยฺยา’’ติอาทิฯ ปุเพฺพนาปรํ สนฺธิยตีติ ปุพฺพวจเนน อปรํ วจนํ สนฺธานํ คจฺฉติฯ สามคฺคิยาติ กายจิเตฺตหิ สหิตตายฯ คณสฺสาติ อุเทฺทสกํ ฐเปตฺวา จตุวเคฺค เสสภิกฺขูนํฯ สงฺฆสฺส อุทฺทิฎฺฐํ โหตีติ สเงฺฆน อุทฺทิฎฺฐํ โหติฯ กรณเตฺถ เจตํ สามิวจนํฯ เอตฺถาติ ปาติโมกฺขุเทฺทเสฯ ลกฺขณนฺติ สภาโวฯ

    Parisuddhabhāvanti āpattiyā parisuddhataṃ. Ārocethāti āvi karotha. Ettha siyāti ‘‘pātimokkhaṃ uddisissāmī’’ti etasmiṃ pade ayamanuyogo bhaveyya. Kiṃ taṃ, yaṃ siyāti āha ‘‘saṅgho uposathaṃ kareyyā’’tiādi. Pubbenāparaṃ sandhiyatīti pubbavacanena aparaṃ vacanaṃ sandhānaṃ gacchati. Sāmaggiyāti kāyacittehi sahitatāya. Gaṇassāti uddesakaṃ ṭhapetvā catuvagge sesabhikkhūnaṃ. Saṅghassa uddiṭṭhaṃ hotīti saṅghena uddiṭṭhaṃ hoti. Karaṇatthe cetaṃ sāmivacanaṃ. Etthāti pātimokkhuddese. Lakkhaṇanti sabhāvo.

    เถรา จ นวา จ มชฺฌิมา จาติ เอตฺถ ทสวสฺสา, อติเรกทสวสฺสา จ เถราฯ อูนปญฺจวสฺสา นวาฯ ปญฺจวสฺสา, อติเรกปญฺจวสฺสา จ มชฺฌิมาอฎฺฐิํ กตฺวาติ อตฺตานํ เตน ปาติโมเกฺขน อตฺถิกํ กตฺวา, ตํ วา ปาติโมกฺขํ ‘‘อิทํ มยฺหํ ปาติโมกฺข’’นฺติ อตฺถิํ กตฺวาฯ มนสิ กริตฺวาติ จิเตฺต ฐเปตฺวาฯ โสตทฺวารวเสนาติ โสตทฺวาริกชวนวิญฺญาณวเสนฯ สพฺพเจตสา สมนฺนาหรามาติ จิตฺตสฺส โถกมฺปิ พหิ คนฺตุํ อเทนฺตา สเพฺพน จิเตฺตน อาวเชฺชม, สลฺลเกฺขมาติ อโตฺถฯ มนสิ กโรมาติ อาวเชฺชม, สมนฺนาหรามาติ อโตฺถฯ โส จ โข มนสิกาโร น เอตฺถ อารมฺมณปฺปฎิปาทนลกฺขโณ, อถ โข วีถิปฺปฎิปาทนชวนปฺปฎิปาทนมนสิการปุพฺพกจิเตฺต ฐปนลกฺขโณติ อาห ‘‘เอกคฺคจิตฺตา หุตฺวา จิเตฺต ฐเปยฺยามา’’ติฯ น สเมตีติ น สํคจฺฉติฯ กสฺมา น สํคจฺฉตีติ อาห ‘‘สมคฺคสฺส หี’’ติอาทิฯ กิญฺจ ภิโยฺยติ อาห ‘‘ปาติโมกฺขุเทฺทสโก จา’’ติอาทิฯ สงฺฆปริยาปโนฺนติ สเงฺฆ ปริยาปโนฺน อโนฺตคโธฯ

    Therāca navā ca majjhimā cāti ettha dasavassā, atirekadasavassā ca therā. Ūnapañcavassā navā. Pañcavassā, atirekapañcavassā ca majjhimā. Aṭṭhiṃ katvāti attānaṃ tena pātimokkhena atthikaṃ katvā, taṃ vā pātimokkhaṃ ‘‘idaṃ mayhaṃ pātimokkha’’nti atthiṃ katvā. Manasi karitvāti citte ṭhapetvā. Sotadvāravasenāti sotadvārikajavanaviññāṇavasena. Sabbacetasā samannāharāmāti cittassa thokampi bahi gantuṃ adentā sabbena cittena āvajjema, sallakkhemāti attho. Manasi karomāti āvajjema, samannāharāmāti attho. So ca kho manasikāro na ettha ārammaṇappaṭipādanalakkhaṇo, atha kho vīthippaṭipādanajavanappaṭipādanamanasikārapubbakacitte ṭhapanalakkhaṇoti āha ‘‘ekaggacittā hutvā citte ṭhapeyyāmā’’ti. Na sametīti na saṃgacchati. Kasmā na saṃgacchatīti āha ‘‘samaggassa hī’’tiādi. Kiñca bhiyyoti āha ‘‘pātimokkhuddesako cā’’tiādi. Saṅghapariyāpannoti saṅghe pariyāpanno antogadho.

    อิทานิ ตํ ทเสฺสตุนฺติ สมฺพโนฺธฯ อายสฺมโนฺตติ สนฺนิปติตานํ ปิยวจเนน อาลปนํฯ

    Idāni taṃ dassetunti sambandho. Āyasmantoti sannipatitānaṃ piyavacanena ālapanaṃ.

    อลชฺชิตาติ อลชฺชิตาย, อลชฺชนภาเวนาติ อโตฺถฯ ตติยเตฺถ หิ อิทํ ปจฺจตฺตวจนํฯ ‘‘อญฺญาณตา’’ติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ กุกฺกุจฺจปฺปกตตาติ กุกฺกุเจฺจน อภิภูตตายฯ สติสโมฺมสาติ สติวิปฺปวาสโตฯ วีติกฺกมนฺติ สิกฺขาปทวีติกฺกมนํฯ

    Alajjitāti alajjitāya, alajjanabhāvenāti attho. Tatiyatthe hi idaṃ paccattavacanaṃ. ‘‘Aññāṇatā’’tiādīsupi eseva nayo. Kukkuccappakatatāti kukkuccena abhibhūtatāya. Satisammosāti sativippavāsato. Vītikkamanti sikkhāpadavītikkamanaṃ.

    สญฺจิจฺจาติ สเญฺจเตตฺวา, อกปฺปิยภาวํ ชานโนฺตเยว วีติกฺกมจิตฺตํ เปเสตฺวาติ อโตฺถฯ ปริคูหตีติ นิคูหติ น เทเสติ น วุฎฺฐาติฯ ลชฺชาย ปริคูหโนฺต อลชฺชี น โหติ, ‘‘กิํ อิมินา’’ติ อนาทริเยน ปริคูหโนฺต อลชฺชี โหตีติ ทเสฺสติฯ อคติคมนญฺจ คจฺฉตีติ ภณฺฑภาชนียฎฺฐานาทีสุ ฉนฺทาคติอาทิเภทํ อคติคมนญฺจ คจฺฉติฯ อลชฺชิปุคฺคโลติ อชฺฌตฺติกสมุฎฺฐานลชฺชาวิรหิโต ปุคฺคโลฯ เอตฺถ จ ‘‘สญฺจิจฺจา’’ติ อิมินา อนาทริยวเสเนว อาปตฺติํ อาปชฺชโนฺต, อาปนฺนญฺจ อาปตฺติํ ปริคูหโนฺต, ภณฺฑภาชนียฎฺฐานาทีสุ อคติคมนํ คจฺฉโนฺต จ อลชฺชี โหติ, น อิตโรติ ทเสฺสติฯ

    Sañciccāti sañcetetvā, akappiyabhāvaṃ jānantoyeva vītikkamacittaṃ pesetvāti attho. Parigūhatīti nigūhati na deseti na vuṭṭhāti. Lajjāya parigūhanto alajjī na hoti, ‘‘kiṃ iminā’’ti anādariyena parigūhanto alajjī hotīti dasseti. Agatigamanañca gacchatīti bhaṇḍabhājanīyaṭṭhānādīsu chandāgatiādibhedaṃ agatigamanañca gacchati. Alajjipuggaloti ajjhattikasamuṭṭhānalajjāvirahito puggalo. Ettha ca ‘‘sañciccā’’ti iminā anādariyavaseneva āpattiṃ āpajjanto, āpannañca āpattiṃ parigūhanto, bhaṇḍabhājanīyaṭṭhānādīsu agatigamanaṃ gacchanto ca alajjī hoti, na itaroti dasseti.

    มโนฺทติ มนฺทปโญฺญ, อปญฺญเสฺสเวตํ นามํฯ โมมูโหติ อติสํมูโฬฺหฯ วิราเธตีติ น ราเธติ น สาเธติฯ กุกฺกุเจฺจติ วินยสํสเยฯ กปฺปิยํ เจ กตฺตพฺพํ สิยาติ วินยธรํ ปุจฺฉิตฺวา เตน วตฺถุํ โอโลเกตฺวา มาติกํ, ปทภาชนํ, อนฺตราปตฺติํ, อนาปตฺติญฺจ โอโลเกตฺวา ‘‘กปฺปติ, อาวุโส, มา เอตฺถ กงฺขี’’ติ วุเตฺต กตฺตพฺพํ ภเวยฺยฯ

    Mandoti mandapañño, apaññassevetaṃ nāmaṃ. Momūhoti atisaṃmūḷho. Virādhetīti na rādheti na sādheti. Kukkucceti vinayasaṃsaye. Kappiyaṃ ce kattabbaṃ siyāti vinayadharaṃ pucchitvā tena vatthuṃ oloketvā mātikaṃ, padabhājanaṃ, antarāpattiṃ, anāpattiñca oloketvā ‘‘kappati, āvuso, mā ettha kaṅkhī’’ti vutte kattabbaṃ bhaveyya.

    สหเสยฺยจีวรวิปฺปวาสาทีนีติ เอตฺถ สหเสยฺยา นาม อนุปสมฺปเนฺนน อุตฺตริทิรตฺตติรตฺตํ สหเสยฺยาปตฺติ, วิปฺปวาโส นาม เอกรตฺตฉารตฺตวเสน วิปฺปวาโสฯ อาทิสเทฺทน สตฺตาหาติกฺกมาทีสุ อาปตฺติํ สงฺคณฺหาติฯ สตฺตนฺนํ อาปตฺติกฺขนฺธานนฺติ ปาราชิกสงฺฆาทิเสสถุลฺลจฺจยปาจิตฺติยปาฎิเทสนียทุกฺกฎทุพฺภาสิตสงฺขาตานํ สตฺตนฺนํ อาปตฺติกฺขนฺธานํฯ

    Sahaseyyacīvaravippavāsādīnīti ettha sahaseyyā nāma anupasampannena uttaridirattatirattaṃ sahaseyyāpatti, vippavāso nāma ekarattachārattavasena vippavāso. Ādisaddena sattāhātikkamādīsu āpattiṃ saṅgaṇhāti. Sattannaṃ āpattikkhandhānanti pārājikasaṅghādisesathullaccayapācittiyapāṭidesanīyadukkaṭadubbhāsitasaṅkhātānaṃ sattannaṃ āpattikkhandhānaṃ.

    เทเสตุ วา ปกาเสตุ วาติ สงฺฆมเชฺฌ วา คณมเชฺฌ วา เอกปุคฺคเล วา เทเสตุ วา ปกาเสตุ วาฯ เอตฺถ จ ปาราชิกาปตฺติเทสนา นาม ภิกฺขุภาวสฺส ปริจฺจาโคฯ วุฎฺฐานํ ปน เทสนาวิเสสตฺตา ‘‘เทสนา’’ติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปกาเสตุ วาติ อาโรเจตุ วาฯ

    Desetu vā pakāsetu vāti saṅghamajjhe vā gaṇamajjhe vā ekapuggale vā desetu vā pakāsetu vā. Ettha ca pārājikāpattidesanā nāma bhikkhubhāvassa pariccāgo. Vuṭṭhānaṃ pana desanāvisesattā ‘‘desanā’’ti daṭṭhabbaṃ. Pakāsetu vāti ārocetu vā.

    เอวํ อนาปนฺนา วาติ เอวํ ฉนฺนํ อาการานํ อญฺญตเรน อนาปนฺนา วาฯ วุฎฺฐิตา วาติ ปริวาสาทินา วุฎฺฐิตา วาฯ อาโรจิตา วาติ อาวิกตา วาฯ อาโรเจโนฺต จ ‘‘ตุยฺหํ สนฺติเก เอกํ อาปตฺติํ อาวิกโรมี’’ติ วา ‘‘อาจิกฺขามี’’ติ วา ‘‘อาโรเจมี’’ติ วา ‘‘มม เอกํ อาปตฺติํ อาปนฺนภาวํ ชานาหี’’ติ วา วทตุ, ‘‘เอกํ ครุกํ อาปตฺติํ อาวิกโรมี’’ติ วา อาทินา นเยน วทตุ, สเพฺพหิปิ อากาเรหิ อาโรจิตาว โหติฯ สเจ ปน ครุกาปตฺติํ อาวิกโรโนฺต ‘‘ลหุกาปตฺติํ อาวิกโรมี’’ติอาทินา นเยน วทติ, อนาวิกตา โหติ อาปตฺติฯ วตฺถุํ อาโรเจติ, อาปตฺติํ อาโรเจติ, อุภยํ อาโรเจติ, ติวิเธนาปิ อาโรจิตาว โหติฯ อสนฺติยา อาปตฺติยาติ ภาเวนภาวลกฺขเณ ภุมฺมํฯ ตุณฺหีภาเวนาปิ หีติ เอตฺถ น เกวลํ ‘‘อาม, มยํ ปริสุทฺธา’’ติ วุเตฺตเยว, อถ โข ตุณฺหีภาเวนาปีติ อปิสทฺทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Evaṃ anāpannā vāti evaṃ channaṃ ākārānaṃ aññatarena anāpannā vā. Vuṭṭhitā vāti parivāsādinā vuṭṭhitā vā. Ārocitā vāti āvikatā vā. Ārocento ca ‘‘tuyhaṃ santike ekaṃ āpattiṃ āvikaromī’’ti vā ‘‘ācikkhāmī’’ti vā ‘‘ārocemī’’ti vā ‘‘mama ekaṃ āpattiṃ āpannabhāvaṃ jānāhī’’ti vā vadatu, ‘‘ekaṃ garukaṃ āpattiṃ āvikaromī’’ti vā ādinā nayena vadatu, sabbehipi ākārehi ārocitāva hoti. Sace pana garukāpattiṃ āvikaronto ‘‘lahukāpattiṃ āvikaromī’’tiādinā nayena vadati, anāvikatā hoti āpatti. Vatthuṃ āroceti, āpattiṃ āroceti, ubhayaṃ āroceti, tividhenāpi ārocitāva hoti. Asantiyā āpattiyāti bhāvenabhāvalakkhaṇe bhummaṃ. Tuṇhībhāvenāpi hīti ettha na kevalaṃ ‘‘āma, mayaṃ parisuddhā’’ti vutteyeva, atha kho tuṇhībhāvenāpīti apisaddassa attho veditabbo.

    กิํ ตํ ยาวตติยานุสาวิตํ นาม, กถเญฺจตํ ยาวตติยานุสาวิตํ โหตีติ วิจารณายํ อาจริยานํ มติเภทมุเขน ตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยาวตติยํ อนุสาวิตํ โหตีติ เอตฺถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยเทตํ ติกฺขตฺตุํ อนุสาวิตนฺติ สมฺพโนฺธฯ อตฺถพฺยญฺชนเภทโตติ อรียติ ญายตีติ อโตฺถ, อภิเธยฺยํ, พฺยญฺชียติ อโตฺถ อเนนาติ พฺยญฺชนํ, อกฺขรํ, อโตฺถ จ พฺยญฺชนญฺจ อตฺถพฺยญฺชนานิ, เตสํ เภโท อตฺถพฺยญฺชนเภโท, ตโต, อตฺถสฺส จ พฺยญฺชนสฺส จ วิสทิสตฺตาติ อโตฺถฯ

    Kiṃ taṃ yāvatatiyānusāvitaṃ nāma, kathañcetaṃ yāvatatiyānusāvitaṃ hotīti vicāraṇāyaṃ ācariyānaṃ matibhedamukhena tamatthaṃ dassetuṃ ‘‘yāvatatiyaṃ anusāvitaṃ hotīti etthā’’tiādi vuttaṃ. Tattha yadetaṃ tikkhattuṃ anusāvitanti sambandho. Atthabyañjanabhedatoti arīyati ñāyatīti attho, abhidheyyaṃ, byañjīyati attho anenāti byañjanaṃ, akkharaṃ, attho ca byañjanañca atthabyañjanāni, tesaṃ bhedo atthabyañjanabhedo, tato, atthassa ca byañjanassa ca visadisattāti attho.

    อิทานิ ตเมวตฺถํ วิภาเวตุํ ‘‘อนุสาวนญฺหิ นามา’’ติอาทิมาหฯ หีติ การณเตฺถ นิปาโตฯ ตสฺส ปน ‘‘อภินฺน’’นฺติ อิมินา สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ เตนาติ ภินฺนตฺตาฯ อสฺสาติ ‘‘ยสฺส สิยา’’ติอาทิวจนตฺตยสฺสฯ อวสฺสเญฺจตเมวํ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํ, อญฺญถา อติปฺปสโงฺคปิ สิยาติ ทเสฺสตุํ ‘‘ยทิ เจต’’นฺติอาทิมาหฯ เอตนฺติ ‘‘ยสฺส สิยา’’ติอาทิวจนตฺตยํฯ อปเร ‘‘อนุสาวิต’’นฺติ ปทํ น อตีตตฺถํ ทีเปติ, อถ โข อนาคตตฺถํฯ ธาตฺวตฺถสมฺพโนฺธ กาลนฺตรวิหิโตปิ ปจฺจโย กาลนฺตเร สาธุ โหตีติ วิกเปฺปสุํฯ เตนาห ‘‘อปเร ‘อนุสาวิต’นฺติ ปทสฺสา’’ติอาทิฯ อุปริ อุเทฺทสาวสาเนติ ปาราชิกุเทฺทสาวสาเนฯ อตฺถยุตฺตีนํ อภาวโตติ อนาคตตฺถสฺส จ การณสฺส จ อภาวโตฯ อิทานิ ตเมว วิภาเวตุํ ‘‘อิทํ หี’’ติอาทิมาหฯ กถเมตํ วิญฺญายตีติ อาห ‘‘ยทิ จสฺสา’’ติอาทิฯ อยนฺติ อนาคตกาโลฯ อนุสาวิตํ เหสฺสตีติ วเทยฺยาติ อนุปฺปโยคํ อนาคตกาลํ กตฺวา ‘‘อนุสาวิตํ เหสฺสตี’’ติ พุโทฺธ วเทยฺยฯ อยํ เหตฺถาธิปฺปาโย – ยทิ เจตฺถ ธาตฺวตฺถสมฺพโนฺธ -ปจฺจโย สิยา, ตถา สติ ธาตฺวตฺถสมฺพโนฺธ นาม วิเสสนวิเสสฺยภาโว, โส จ อนุปฺปโยคสฺส สมานตฺถภาเว สติ อุปฺปชฺชติ, นาสตีติ ‘‘เหสฺสตี’’ติ อนุปฺปโยคํ วเทยฺย, น จ วุตฺตํฯ ตสฺมา อนาคตํ น ทีเปติ, อตีตกาลเมว ทีเปตีติฯ อนุสาวิยมาเนติ วจนโตติ ‘‘อนุสาวิยมาเน’’ติ วตฺตมานกาลวจนโตฯ ยทิ เอวํ ‘‘ยาวตติยํ อนุสาวิตํ โหตี’’ติ กิมิทนฺติ อาห ‘‘ยาวตติย’’นฺติอาทิฯ กิํ เตน ลกฺขียติ, เยเนตํ ลกฺขณวจนมตฺตํ สิยาติ อาห ‘‘เตนา’’ติอาทิฯ เตนาติ ลกฺขณวจนมเตฺตน เหตุนาฯ

    Idāni tamevatthaṃ vibhāvetuṃ ‘‘anusāvanañhi nāmā’’tiādimāha. ti kāraṇatthe nipāto. Tassa pana ‘‘abhinna’’nti iminā sambandho veditabbo. Tenāti bhinnattā. Assāti ‘‘yassa siyā’’tiādivacanattayassa. Avassañcetamevaṃ sampaṭicchitabbaṃ, aññathā atippasaṅgopi siyāti dassetuṃ ‘‘yadi ceta’’ntiādimāha. Etanti ‘‘yassa siyā’’tiādivacanattayaṃ. Apare ‘‘anusāvita’’nti padaṃ na atītatthaṃ dīpeti, atha kho anāgatatthaṃ. Dhātvatthasambandho kālantaravihitopi paccayo kālantare sādhu hotīti vikappesuṃ. Tenāha ‘‘apare ‘anusāvita’nti padassā’’tiādi. Upari uddesāvasāneti pārājikuddesāvasāne. Atthayuttīnaṃ abhāvatoti anāgatatthassa ca kāraṇassa ca abhāvato. Idāni tameva vibhāvetuṃ ‘‘idaṃ hī’’tiādimāha. Kathametaṃ viññāyatīti āha ‘‘yadi cassā’’tiādi. Ayanti anāgatakālo. Anusāvitaṃ hessatīti vadeyyāti anuppayogaṃ anāgatakālaṃ katvā ‘‘anusāvitaṃ hessatī’’ti buddho vadeyya. Ayaṃ hetthādhippāyo – yadi cettha dhātvatthasambandho ta-paccayo siyā, tathā sati dhātvatthasambandho nāma visesanavisesyabhāvo, so ca anuppayogassa samānatthabhāve sati uppajjati, nāsatīti ‘‘hessatī’’ti anuppayogaṃ vadeyya, na ca vuttaṃ. Tasmā anāgataṃ na dīpeti, atītakālameva dīpetīti. Anusāviyamāneti vacanatoti ‘‘anusāviyamāne’’ti vattamānakālavacanato. Yadi evaṃ ‘‘yāvatatiyaṃ anusāvitaṃ hotī’’ti kimidanti āha ‘‘yāvatatiya’’ntiādi. Kiṃ tena lakkhīyati, yenetaṃ lakkhaṇavacanamattaṃ siyāti āha ‘‘tenā’’tiādi. Tenāti lakkhaṇavacanamattena hetunā.

    ตเทตนฺติ ปาติโมกฺขํฯ ตํ ปเนตนฺติ ‘‘ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามี’’ติอาทิกํ ยาวตติยานุสาวนํฯ น ทิสฺสตีติ โนปลพฺภติฯ อิมเมว จ อตฺถนฺติ อิมํ อเมฺหหิ วุตฺตเมวตฺถํฯ ยทิ หิ ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺตี’’ติอาทิวจนตฺตยํ ยาวตติยานุสาวนํ สิยา, ตเทว อุโปสถกฺขนฺธเก (มหาว. ๑๓๒ อาทโย) วเทยฺย, น ปน ‘‘สกิมฺปิ อนุสาวิตํ โหตี’’ติอาทิกนฺติ อธิปฺปาโยฯ นนุ จายํ วินิจฺฉโย อฎฺฐกถาสุ น อาคโต, อถ กุโต ลโทฺธติ อาห ‘‘อยเมตฺถา’’ติอาทิฯ วินยฎฺฐาเนสุ กตปริจยานํ อาจริยานํ ตํ ตํ อตฺถํ ญาเปนฺตี ปเวณิ อาจริยปรมฺปรา, ตาย อาภโต อานีโต อาจริยปรมฺปราภโต

    Tadetanti pātimokkhaṃ. Taṃ panetanti ‘‘tatthāyasmante pucchāmī’’tiādikaṃ yāvatatiyānusāvanaṃ. Na dissatīti nopalabbhati. Imameva ca atthanti imaṃ amhehi vuttamevatthaṃ. Yadi hi ‘‘yassa siyā āpattī’’tiādivacanattayaṃ yāvatatiyānusāvanaṃ siyā, tadeva uposathakkhandhake (mahāva. 132 ādayo) vadeyya, na pana ‘‘sakimpi anusāvitaṃ hotī’’tiādikanti adhippāyo. Nanu cāyaṃ vinicchayo aṭṭhakathāsu na āgato, atha kuto laddhoti āha ‘‘ayametthā’’tiādi. Vinayaṭṭhānesu kataparicayānaṃ ācariyānaṃ taṃ taṃ atthaṃ ñāpentī paveṇi ācariyaparamparā, tāya ābhato ānīto ācariyaparamparābhato.

    นนุ สมฺปชานมุสาวาเท ปาจิตฺติเยน ภวิตพฺพํ, อถ กถํ ทุกฺกฎาปตฺติ โหตีติ อาห ‘‘สา จ โข น มุสาวาทลกฺขเณนา’’ติอาทิฯ สมฺปชานมุสาวาเท กิํ โหตีติ ยฺวายํ ‘‘สมฺปชานมุสาวาโท อสฺส โหตี’’ติ วุโตฺต, โส อาปตฺติโต กิํ โหติ, กตรา อาปตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ ทุกฺกฎํ โหตีติ ทุกฺกฎาปตฺติ โหติฯ วจีทฺวาเร อกิริยสมุฎฺฐานาปตฺติ โหตีติ อสฺส หิ ภิกฺขุโน อธมฺมิกาย ปฎิญฺญาย ตุณฺหีภูตสฺส นิสินฺนสฺส มโนทฺวาเร อาปตฺติ นาม นตฺถิฯ ยสฺมา ปน อาวิกาตพฺพํ นาวิกาสิ, เตนสฺส วจีทฺวาเร อกิริยโต อยํ อาปตฺติ สมุฎฺฐาตีติ เวทิตพฺพาฯ อิทานิ วุตฺตเมวตฺถํ ปาฬิยา สาเธตุํ ‘‘วุตฺตมฺปิ เจต’’นฺติอาทิมาหฯ เอตํ อุปาลิเตฺถเรน ปริวาเร เสทโมจนคาถาสุ (ปริ. ๔๗๙) วุตฺตมฺปิ จาติ อโตฺถฯ

    Nanu sampajānamusāvāde pācittiyena bhavitabbaṃ, atha kathaṃ dukkaṭāpatti hotīti āha ‘‘sā ca kho na musāvādalakkhaṇenā’’tiādi. Sampajānamusāvāde kiṃ hotīti yvāyaṃ ‘‘sampajānamusāvādo assa hotī’’ti vutto, so āpattito kiṃ hoti, katarā āpatti hotīti attho. Dukkaṭaṃ hotīti dukkaṭāpatti hoti. Vacīdvāre akiriyasamuṭṭhānāpatti hotīti assa hi bhikkhuno adhammikāya paṭiññāya tuṇhībhūtassa nisinnassa manodvāre āpatti nāma natthi. Yasmā pana āvikātabbaṃ nāvikāsi, tenassa vacīdvāre akiriyato ayaṃ āpatti samuṭṭhātīti veditabbā. Idāni vuttamevatthaṃ pāḷiyā sādhetuṃ ‘‘vuttampi ceta’’ntiādimāha. Etaṃ upālittherena parivāre sedamocanagāthāsu (pari. 479) vuttampi cāti attho.

    อนาลปโนฺต มนุเชน เกนจิ วาจาติ เกนจิ มนุเชน วาจาย อนาลปโนฺตฯ คิรํ โน จ ปเร ภเณยฺยาติ ‘‘อิติ อิเม โสสฺสนฺตี’’ติ ปรปุคฺคเล สนฺธาย สทฺทมฺปิ น นิจฺฉาเรยฺยฯ อาปเชฺชยฺย วาจสิกนฺติ วาจโต สมุฎฺฐิตํ อาปตฺติํ อาปเชฺชยฺยฯ ปญฺหาเมสา กุสเลหิ จินฺติตาติ เอตฺถ ปญฺหาเมสาติ ลิงฺคพฺยตฺตเยน วุตฺตํ, เอโส ปโญฺห กุสเลหิ จินฺติโตติ อโตฺถฯ อยํ ปโญฺห อิมเมว มุสาวาทํ สนฺธาย วุโตฺตฯ

    Anālapanto manujena kenaci vācāti kenaci manujena vācāya anālapanto. Giraṃ no ca pare bhaṇeyyāti ‘‘iti ime sossantī’’ti parapuggale sandhāya saddampi na nicchāreyya. Āpajjeyya vācasikanti vācato samuṭṭhitaṃ āpattiṃ āpajjeyya. Pañhāmesā kusalehi cintitāti ettha pañhāmesāti liṅgabyattayena vuttaṃ, eso pañho kusalehi cintitoti attho. Ayaṃ pañho imameva musāvādaṃ sandhāya vutto.

    ตํตํสมฺปตฺติยา วิพนฺธนวเสน สตฺตสนฺตานสฺส อนฺตเร เวมเชฺฌ เอติ อาคจฺฉตีติ อนฺตราโย, ทิฎฺฐธมฺมิกาทิอนโตฺถ, อติกฺกมนเฎฺฐน ตสฺมิํ อนฺตราเย นิยุโตฺต, อนฺตรายํ วา ผลํ อรหติ, อนฺตรายสฺส วา กรณสีโลติ อนฺตรายิโกฯ เตนาห ‘‘วิปฺปฎิสารวตฺถุตายา’’ติอาทิฯ ตตฺถ วิปฺปฎิสารวตฺถุตายาติ วิปฺปฎิสาโร นาม ปจฺฉานุตาปวเสน จิตฺตวิปฺปฎิสาโร, ตสฺส การณตายาติ อโตฺถฯ ปฐมชฺฌานาทิปจฺจยภูตออปฺปฎิสารวิรุทฺธสฺส วิปฺปฎิสารสฺส ปจฺจยตฺตาติ วุตฺตํ โหติฯ ปาโมชฺชาทิสมฺภวนฺติ ทุพฺพลตรุณา ปีติ ปาโมชฺชํ, ตํ อาทิ เยสํ เต ปาโมชฺชาทโย, เตสํ สมฺภโว ปฎิลาโภ ปาโมชฺชาทิสมฺภโว, ตํฯ อาทิสเทฺทน ปีติปฺปสฺสทฺธาทีนํ คหณํฯ ปฐมชฺฌานาทีนนฺติ เอตฺถาทิสเทฺทน ปน ‘‘ทุติยสฺส ฌานสฺส อธิคมาย อนฺตรายิโก, ตติยสฺส ฌานสฺส อธิคมาย อนฺตรายิโก, จตุตฺถสฺส ฌานสฺส อธิคมาย อนฺตรายิโก, ฌานานํ, วิโมกฺขานํ, สมาธีนํ, สมาปตฺตีนํ, เนกฺขมฺมานํ, นิสฺสรณานํ, ปวิเวกานํ, กุสลานํ ธมฺมานํ อธิคมาย อนฺตรายิโก’’ติ (มหาว. ๑๓๕) วุตฺตทุติยชฺฌานาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘ตสฺมา’’ติ วุเตฺต ยํตํสทฺทานํ อพฺยภิจาริตสมฺพนฺธตาย ‘‘ยสฺมา’’ติ อยมโตฺถ อุปฎฺฐิโตเยว โหตีติ อาห ‘‘ตสฺมาติ ยสฺมา’’ติอาทิฯ ชานเนฺตนาติ ชานมาเนนฯ อิมินาสฺส สมฺปชานมุสาวาทสฺส สจิตฺตกตํ ทเสฺสติฯ วิสุทฺธิํ อเปกฺขตีติ วิสุทฺธาเปโกฺข, เตน วิสุทฺธาเปเกฺขนฯ สา จ วิสุทฺธิ อิธ วุฎฺฐานาทีติ อาห ‘‘วุฎฺฐาตุกาเมน วิสุชฺฌิตุกาเมนา’’ติฯ วุฎฺฐานคามินิโต สงฺฆาทิเสสโต วุฎฺฐาตุกาเมน, เทสนาคามินิโต วิสุชฺฌิตุกาเมนาติ อโตฺถฯ สงฺฆมเชฺฌ วา คณมเชฺฌ วา เอกปุคฺคเล วาติ อุโปสถเคฺค สงฺฆสฺส อาโรจนวเสน สงฺฆมเชฺฌ วา ตเตฺถว อุภโต นิสินฺนานํ อาโรจนวเสน คณมเชฺฌ วา อนนฺตรสฺส อาโรจนวเสน เอกปุคฺคเล วา ปกาเสตพฺพาฯ อิโต วุฎฺฐหิตฺวาติ อิโต อุโปสถคฺคโต วุฎฺฐายฯ เอตฺถ ปน สภาโคเยว วตฺตโพฺพฯ วิสภาคสฺส หิ วุจฺจมาเน ภณฺฑนกลหสงฺฆเภทาทีนิปิ โหนฺติฯ ตสฺมา ตสฺส อวตฺวา ‘‘อิโต วุฎฺฐหิตฺวา ปฎิกริสฺสามี’’ติ อาโภคํ กตฺวา อุโปสโถ กาตโพฺพติ อนฺธกฎฺฐกถายํ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๗๐) วุตฺตํฯ

    Taṃtaṃsampattiyā vibandhanavasena sattasantānassa antare vemajjhe eti āgacchatīti antarāyo, diṭṭhadhammikādianattho, atikkamanaṭṭhena tasmiṃ antarāye niyutto, antarāyaṃ vā phalaṃ arahati, antarāyassa vā karaṇasīloti antarāyiko. Tenāha ‘‘vippaṭisāravatthutāyā’’tiādi. Tattha vippaṭisāravatthutāyāti vippaṭisāro nāma pacchānutāpavasena cittavippaṭisāro, tassa kāraṇatāyāti attho. Paṭhamajjhānādipaccayabhūtaaappaṭisāraviruddhassa vippaṭisārassa paccayattāti vuttaṃ hoti. Pāmojjādisambhavanti dubbalataruṇā pīti pāmojjaṃ, taṃ ādi yesaṃ te pāmojjādayo, tesaṃ sambhavo paṭilābho pāmojjādisambhavo, taṃ. Ādisaddena pītippassaddhādīnaṃ gahaṇaṃ. Paṭhamajjhānādīnanti etthādisaddena pana ‘‘dutiyassa jhānassa adhigamāya antarāyiko, tatiyassa jhānassa adhigamāya antarāyiko, catutthassa jhānassa adhigamāya antarāyiko, jhānānaṃ, vimokkhānaṃ, samādhīnaṃ, samāpattīnaṃ, nekkhammānaṃ, nissaraṇānaṃ, pavivekānaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ adhigamāya antarāyiko’’ti (mahāva. 135) vuttadutiyajjhānādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. ‘‘Tasmā’’ti vutte yaṃtaṃsaddānaṃ abyabhicāritasambandhatāya ‘‘yasmā’’ti ayamattho upaṭṭhitoyeva hotīti āha ‘‘tasmāti yasmā’’tiādi. Jānantenāti jānamānena. Imināssa sampajānamusāvādassa sacittakataṃ dasseti. Visuddhiṃ apekkhatīti visuddhāpekkho, tena visuddhāpekkhena. Sā ca visuddhi idha vuṭṭhānādīti āha ‘‘vuṭṭhātukāmena visujjhitukāmenā’’ti. Vuṭṭhānagāminito saṅghādisesato vuṭṭhātukāmena, desanāgāminito visujjhitukāmenāti attho. Saṅghamajjhe vā gaṇamajjhe vā ekapuggale vāti uposathagge saṅghassa ārocanavasena saṅghamajjhe vā tattheva ubhato nisinnānaṃ ārocanavasena gaṇamajjhe vā anantarassa ārocanavasena ekapuggale vā pakāsetabbā. Ito vuṭṭhahitvāti ito uposathaggato vuṭṭhāya. Ettha pana sabhāgoyeva vattabbo. Visabhāgassa hi vuccamāne bhaṇḍanakalahasaṅghabhedādīnipi honti. Tasmā tassa avatvā ‘‘ito vuṭṭhahitvā paṭikarissāmī’’ti ābhogaṃ katvā uposatho kātabboti andhakaṭṭhakathāyaṃ (mahāva. aṭṭha. 170) vuttaṃ.

    กรณเตฺถติ ตติยาวิภตฺติอเตฺถฯ กตฺตริ เหตํ ปจฺจตฺตวจนํ โหติ ผาสุสทฺทาเปกฺขายฯ ปจฺจตฺตวจนนฺติ ปฐมาวจนํฯ ปฐมชฺฌานาทีนํ อธิคมาย ผาสุ โหตีติ อธิคมตฺถํ ตสฺส ภิกฺขุโน ผาสุ โหติ สุขํ โหติ สํวรสฺส อวิปฺปฎิสารเหตุตฺตาฯ เตนาห ‘‘อวิปฺปฎิสารมูลกาน’’นฺติอาทิฯ ปาปปุญฺญานํ กตากตวเสน จิตฺตวิปฺปฎิสาราภาโว อวิปฺปฎิสาโร, โส มูลํ การณํ เยสํ เต อวิปฺปฎิสารมูลา, อวิปฺปฎิสารมูลาเยว อวิปฺปฎิสารมูลกา, เตสํ อวิปฺปฎิสารมูลกานํฯ สุขปฺปฎิปทา สมฺปชฺชตีติ สุขา ปฎิปทา สมิชฺฌติ, ปฐมชฺฌานาทีนํ สุเขน อธิคโม โหตีติ อธิปฺปาโยฯ โหติ เจตฺถ –

    Karaṇattheti tatiyāvibhattiatthe. Kattari hetaṃ paccattavacanaṃ hoti phāsusaddāpekkhāya. Paccattavacananti paṭhamāvacanaṃ. Paṭhamajjhānādīnaṃ adhigamāya phāsu hotīti adhigamatthaṃ tassa bhikkhuno phāsu hoti sukhaṃ hoti saṃvarassa avippaṭisārahetuttā. Tenāha ‘‘avippaṭisāramūlakāna’’ntiādi. Pāpapuññānaṃ katākatavasena cittavippaṭisārābhāvo avippaṭisāro, so mūlaṃ kāraṇaṃ yesaṃ te avippaṭisāramūlā, avippaṭisāramūlāyeva avippaṭisāramūlakā, tesaṃ avippaṭisāramūlakānaṃ. Sukhappaṭipadā sampajjatīti sukhā paṭipadā samijjhati, paṭhamajjhānādīnaṃ sukhena adhigamo hotīti adhippāyo. Hoti cettha –

    ‘‘นิทาเน ญตฺติฎฺฐปนํ, ปุพฺพกิจฺจสฺส ปุจฺฉนํ;

    ‘‘Nidāne ñattiṭṭhapanaṃ, pubbakiccassa pucchanaṃ;

    นิทานุเทฺทสสวเน, วิสุทฺธาโรจเน วิธิ;

    Nidānuddesasavane, visuddhārocane vidhi;

    อนาโรจเน จาปตฺติ, เญยฺยํ ปิณฺฑตฺถปญฺจก’’นฺติฯ

    Anārocane cāpatti, ñeyyaṃ piṇḍatthapañcaka’’nti.

    อิติ กงฺขาวิตรณิยา ปาติโมกฺขวณฺณนาย

    Iti kaṅkhāvitaraṇiyā pātimokkhavaṇṇanāya

    วินยตฺถมญฺชูสายํ ลีนตฺถปฺปกาสนิยํ

    Vinayatthamañjūsāyaṃ līnatthappakāsaniyaṃ

    นิทานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nidānavaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact