Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-ปุราณ-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-purāṇa-ṭīkā

    นิทานวณฺณนา

    Nidānavaṇṇanā

    ‘‘อาวิกตา หิสฺส ผาสุ โหติ, ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามิ…เป.… ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ วตฺวา ‘‘อุทฺทิฎฺฐํ โข อายสฺมโนฺต นิทาน’’นฺติอาทินา นเยน วุตฺตํฯ เอเตฺถว ยาวตติยานุสาวนกถาวสาเน อถ โข อุเทฺทสกาเล ‘‘อาวิกตา หิสฺส ผาสุ โหตี’’ติ วตฺวา ‘‘อุทฺทิฎฺฐํ โข อายสฺมโนฺต นิทานํฯ ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามี’’ติอาทินา นเยน อาคตํฯ อุโปสถกฺขนฺธเกปิ เอวเมว อาคตํฯ ตตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตํ ปจฺฉา อาคตสุเตฺตน วิรุชฺฌติฯ ตสฺมา ยถา น วิรุชฺฌติ, ตถา อุปปริกฺขิตฺวา คเหตพฺพํฯ เอวํ น วิรุชฺฌตีติ เอเกฯ กถํ? ‘‘อาวิกตา หิสฺส ผาสุ โหตี’’ติ วตฺวา ‘‘อุทฺทิฎฺฐํ โข อายสฺมโนฺต นิทานํฯ ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามี’’ติอาทินา สุอุทฺทิฎฺฐํ โหตีติ เอตํ อุเทฺทสลกฺขณํ อิธาปิ ขนฺธเกปิ วุตฺตตฺตาฯ ตสฺมา ‘‘ผาสุ โหตี’’ติ วตฺวา ‘‘ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามี’’ติ วุตฺตฎฺฐาเน อวุตฺตมฺปิ อาเนตฺวา คเหตพฺพํฯ กสฺมา? อิธ นิทานํ น ทสฺสิตํ, อุเทฺทโส อุเทฺทสกาเล อุทฺทิสิตพฺพลกฺขณสฺส ตตฺถ วุตฺตตฺตาฯ อปิจ ‘‘นิทานุเทฺทโส’’ติ ปทํ อุทฺธริตฺวา นิทานุเทฺทสํ ทเสฺสตุกาโมปิ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ…เป.… อาวิกตา หิสฺส ผาสุ โหตี’’ติ ปาฐวเสน อาคตํ นิทานํ นิฎฺฐาเปตฺวา อุปริ อฎฺฐกถาวเสน โยเชตพฺพํ ปาฬิํ อิธ โยเชตฺวา ‘‘ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามิ…เป.… ธารยามี’’ติ นิทานปาฬิํ ปริปุณฺณํ กตฺวา ปุน ‘‘ตตฺถ นิทานุเทฺทโส’’ติ อุทฺธฎปทวเสน สเงฺขปโต นิทานุเทฺทสลกฺขณํ ทเสฺสตุํ ‘‘เอวเมตํ ธารยามี’’ติ วตฺวา ‘‘อุทฺทิฎฺฐํ โข อายสฺมโนฺต นิทาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํ, ตสฺมา เอวํ อุปริ จ ขนฺธเก จ, อถ โข อุเทฺทสกาเล ‘‘อาวิกตา หิสฺส ผาสุ โหตี’’ติ วตฺวา ‘‘อุทฺทิฎฺฐํ โข อายสฺมโนฺต นิทานํฯ ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามี’’ติอาทิ นิทานุเทฺทโสว ทสฺสิโต, น นิทานํฯ

    ‘‘Āvikatā hissa phāsu hoti, tatthāyasmante pucchāmi…pe… tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti vatvā ‘‘uddiṭṭhaṃ kho āyasmanto nidāna’’ntiādinā nayena vuttaṃ. Ettheva yāvatatiyānusāvanakathāvasāne atha kho uddesakāle ‘‘āvikatā hissa phāsu hotī’’ti vatvā ‘‘uddiṭṭhaṃ kho āyasmanto nidānaṃ. Tatthāyasmante pucchāmī’’tiādinā nayena āgataṃ. Uposathakkhandhakepi evameva āgataṃ. Tattha pubbe vuttaṃ pacchā āgatasuttena virujjhati. Tasmā yathā na virujjhati, tathā upaparikkhitvā gahetabbaṃ. Evaṃ na virujjhatīti eke. Kathaṃ? ‘‘Āvikatā hissa phāsu hotī’’ti vatvā ‘‘uddiṭṭhaṃ kho āyasmanto nidānaṃ. Tatthāyasmante pucchāmī’’tiādinā suuddiṭṭhaṃ hotīti etaṃ uddesalakkhaṇaṃ idhāpi khandhakepi vuttattā. Tasmā ‘‘phāsu hotī’’ti vatvā ‘‘tatthāyasmante pucchāmī’’ti vuttaṭṭhāne avuttampi ānetvā gahetabbaṃ. Kasmā? Idha nidānaṃ na dassitaṃ, uddeso uddesakāle uddisitabbalakkhaṇassa tattha vuttattā. Apica ‘‘nidānuddeso’’ti padaṃ uddharitvā nidānuddesaṃ dassetukāmopi ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho…pe… āvikatā hissa phāsu hotī’’ti pāṭhavasena āgataṃ nidānaṃ niṭṭhāpetvā upari aṭṭhakathāvasena yojetabbaṃ pāḷiṃ idha yojetvā ‘‘tatthāyasmante pucchāmi…pe… dhārayāmī’’ti nidānapāḷiṃ paripuṇṇaṃ katvā puna ‘‘tattha nidānuddeso’’ti uddhaṭapadavasena saṅkhepato nidānuddesalakkhaṇaṃ dassetuṃ ‘‘evametaṃ dhārayāmī’’ti vatvā ‘‘uddiṭṭhaṃ kho āyasmanto nidāna’’ntiādi vuttaṃ, tasmā evaṃ upari ca khandhake ca, atha kho uddesakāle ‘‘āvikatā hissa phāsu hotī’’ti vatvā ‘‘uddiṭṭhaṃ kho āyasmanto nidānaṃ. Tatthāyasmante pucchāmī’’tiādi nidānuddesova dassito, na nidānaṃ.

    สวนาณตฺติวจนนฺติ เอตฺถ สงฺฆนวกตเรน วตฺตุํ อยุตฺตนฺติ เจ? ยุตฺตเมวฯ ‘‘ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน เอวํ วตฺตพฺพ’’นฺติ ภควตา วุตฺตตฺตา ภควโตว อาณตฺติ, น อุเทฺทสกสฺสฯ อิธ นวกตรวเสน วุตฺตํฯ เถโรปิ ปน อุทฺทิสิตุํ ลภตีติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘เถราธิกํ ปาติโมกฺข’’นฺติ วุตฺตํฯ อิมินา สุเตฺตน นวกตโร น ลภตีติ เจ? ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘โย ตตฺถ ภิกฺขู’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Savanāṇattivacananti ettha saṅghanavakatarena vattuṃ ayuttanti ce? Yuttameva. ‘‘Pātimokkhuddesakena evaṃ vattabba’’nti bhagavatā vuttattā bhagavatova āṇatti, na uddesakassa. Idha navakataravasena vuttaṃ. Theropi pana uddisituṃ labhatīti dassanatthaṃ ‘‘therādhikaṃ pātimokkha’’nti vuttaṃ. Iminā suttena navakataro na labhatīti ce? Taṃ dassetuṃ ‘‘yo tattha bhikkhū’’tiādi vuttaṃ.

    ยถา จตุวเคฺคน ฐเปตฺวา อุปสมฺปทาปวารณาอพฺภานานิ สพฺพํ สงฺฆกมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติ, เอวํ ‘‘อติเรกวีสติวเคฺคน อิมํ นาม กมฺมํ กาตพฺพ’’นฺติ อวตฺวา อติเรกวจนตฺตา อญฺญํ อตฺถํ สูเจติ, กิํ ตนฺติ ‘‘จตุวคฺคาทินา’’ติอาทิฯ ตญฺหิ เตหิ เอว สิทฺธํฯ กถํ? จตุวเคฺคน อุปสมฺปทาปวารณา…เป.… วีสติวเคฺคน น กิญฺจิ สงฺฆกมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎตีติฯ เอตฺถ ‘‘ทสวเคฺคน อพฺภานกมฺมมตฺตํ ฐเปตฺวา’’ติ วทเนฺตน จตุปญฺจวเคฺคน กรณียานิปิ ทสวเคฺคน กาตุํ อนุญฺญาตานิฯ ตสฺมา อติเรเกน วฎฺฎตีติ ทีปิตํ, ‘‘ฐเปตฺวา’’ติ วจเนน อูนตเรน น วฎฺฎตีติ ทีปิตเมวฯ ตสฺมา น วตฺตพฺพํ อติเรกวีสติวโคฺคติ เจ? วตฺตพฺพเมวฯ จตุปญฺจวเคฺคน กตฺตพฺพํ ฉสตฺตอฎฺฐนววเคฺคน กาตพฺพนฺติ จ, ทสวเคฺคน กาตพฺพํ เอกาทสทฺวาทส…เป.… เอกูนวีสติวเคฺคน กาตพฺพนฺติ จ ทีปิตํฯ อูนตเรน น วฎฺฎตีติ ทีปิตํ ปากฎโตฯ สพฺพปฺปกาเรน ปน อติเรกวีสติอนติเรกวีสติวเคฺค วุเตฺตปิ ทีปิตํ โหตีติ วชิรพุทฺธิเตฺถเรน ลิขิตํฯ อิโต ปฎฺฐาย ‘‘ลิขิต’’นฺติ วุเตฺต วชิรพุทฺธิเตฺถเรนาติ คเหตพฺพํฯ

    Yathā catuvaggena ṭhapetvā upasampadāpavāraṇāabbhānāni sabbaṃ saṅghakammaṃ kātuṃ vaṭṭati, evaṃ ‘‘atirekavīsativaggena imaṃ nāma kammaṃ kātabba’’nti avatvā atirekavacanattā aññaṃ atthaṃ sūceti, kiṃ tanti ‘‘catuvaggādinā’’tiādi. Tañhi tehi eva siddhaṃ. Kathaṃ? Catuvaggena upasampadāpavāraṇā…pe… vīsativaggena na kiñci saṅghakammaṃ kātuṃ na vaṭṭatīti. Ettha ‘‘dasavaggena abbhānakammamattaṃ ṭhapetvā’’ti vadantena catupañcavaggena karaṇīyānipi dasavaggena kātuṃ anuññātāni. Tasmā atirekena vaṭṭatīti dīpitaṃ, ‘‘ṭhapetvā’’ti vacanena ūnatarena na vaṭṭatīti dīpitameva. Tasmā na vattabbaṃ atirekavīsativaggoti ce? Vattabbameva. Catupañcavaggena kattabbaṃ chasattaaṭṭhanavavaggena kātabbanti ca, dasavaggena kātabbaṃ ekādasadvādasa…pe… ekūnavīsativaggena kātabbanti ca dīpitaṃ. Ūnatarena na vaṭṭatīti dīpitaṃ pākaṭato. Sabbappakārena pana atirekavīsatianatirekavīsativagge vuttepi dīpitaṃ hotīti vajirabuddhittherena likhitaṃ. Ito paṭṭhāya ‘‘likhita’’nti vutte vajirabuddhittherenāti gahetabbaṃ.

    สเจ อนุโปสเถปิ วเฎฺฎยฺย, ‘‘อุโปสถํ กเรยฺยา’’ติ น วเทยฺย, ยสฺมา อนุโปสเถ กาตุํ น วฎฺฎติ, ตสฺมา ‘‘อชฺชุโปสโถ’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘อุโปสถํ กเรยฺยา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ปจฺฉิมกตฺติกปุณฺณมา เอวา’’ติ อวธารณํ ตโต ปรํ ปวารณาทิวสสฺส นตฺถิตาย กตํฯ อุทฺธํ ปกติอุโปสเถ วุเตฺตน ปกติจาริเตฺตน สทฺธิํ อิทมฺปิ

    Sace anuposathepi vaṭṭeyya, ‘‘uposathaṃ kareyyā’’ti na vadeyya, yasmā anuposathe kātuṃ na vaṭṭati, tasmā ‘‘ajjuposatho’’ti vatvā puna ‘‘uposathaṃ kareyyā’’ti vuttaṃ. ‘‘Pacchimakattikapuṇṇamā evā’’ti avadhāraṇaṃ tato paraṃ pavāraṇādivasassa natthitāya kataṃ. Uddhaṃ pakatiuposathe vuttena pakaticārittena saddhiṃ idampi.

    ‘‘นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ สมฺพนฺธิตฺวา’’ติ น วตฺตพฺพํ ‘‘ติวิธสมฺปตฺติยุตฺตา’’ติ วุตฺตตฺตาติ เจ? วตฺตพฺพเมวฯ กสฺมา? ติวิธสมฺปตฺติ นาม นิมิตฺตสมฺปตฺติ, ปริสาสมฺปตฺติ, กมฺมวาจาสมฺปตฺตีติอาทิํ วตฺวา ‘‘นิมิตฺตสมฺปตฺติ นาม ปพฺพตนิมิตฺตํ, ปาสาณนิมิตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํ, น นิมิเตฺตน นิมิตฺตสมฺพนฺธนํ วุตฺตํฯ อปิจ ‘‘ติวิธสมฺปตฺติยุตฺตา’’ติ สมฺปโยคเงฺคสุ ทเสฺสตฺวา ปุน ตเมว ปหานเงฺคสุ ทเสฺสตุํ ‘‘นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ สมฺพนฺธิตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ นทิสมุทฺทชาตสฺสเรสุ สมฺมตสีมาโต กมฺมานิ น วิปชฺชนฺติ อุทกุเกฺขปสีมตฺตาติ ‘‘วิปตฺติสีมาโย นามา’’ติ กสฺมา วุตฺตาติ เจ? เสสลกฺขณานิ สมฺปาเทตฺวา นทิยํ สีมาย พทฺธาย อุทกปริยนฺตํ กตฺวา สีมาคตตฺตา ปุน ตํ นทิํ อโนฺต กตฺวา ตฬาเก กเต สเจ ตสฺสา สีมาย กมฺมํ กาตุํ วเฎฺฎยฺย, สีมาโต กมฺมานิ น วิปเชฺชยฺยุํฯ ยสฺมา ปน เอวํ กาตุํ น วฎฺฎติ, ตสฺมา ‘‘อุทกุเกฺขปสีมตฺตา’’ติ วุตฺตํ อการณํฯ

    ‘‘Nimittena nimittaṃ sambandhitvā’’ti na vattabbaṃ ‘‘tividhasampattiyuttā’’ti vuttattāti ce? Vattabbameva. Kasmā? Tividhasampatti nāma nimittasampatti, parisāsampatti, kammavācāsampattītiādiṃ vatvā ‘‘nimittasampatti nāma pabbatanimittaṃ, pāsāṇanimitta’’ntiādi vuttaṃ, na nimittena nimittasambandhanaṃ vuttaṃ. Apica ‘‘tividhasampattiyuttā’’ti sampayogaṅgesu dassetvā puna tameva pahānaṅgesu dassetuṃ ‘‘nimittena nimittaṃ sambandhitvā’’ti vuttaṃ. Nadisamuddajātassaresu sammatasīmāto kammāni na vipajjanti udakukkhepasīmattāti ‘‘vipattisīmāyo nāmā’’ti kasmā vuttāti ce? Sesalakkhaṇāni sampādetvā nadiyaṃ sīmāya baddhāya udakapariyantaṃ katvā sīmāgatattā puna taṃ nadiṃ anto katvā taḷāke kate sace tassā sīmāya kammaṃ kātuṃ vaṭṭeyya, sīmāto kammāni na vipajjeyyuṃ. Yasmā pana evaṃ kātuṃ na vaṭṭati, tasmā ‘‘udakukkhepasīmattā’’ti vuttaṃ akāraṇaṃ.

    วีสติวคฺคกรณียตฺตา สงฺฆกมฺมสฺส กมฺมารเหน สทฺธิํ เอกวีสติ ภิกฺขู นิสีทิตุํ น สโกฺกนฺตี’’ติ วุตฺตํ, สุขนิสชฺชาวเสน นิสีทิตุนฺติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘ปริมณฺฑลากาเรน นิสีทิตุ’’นฺติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ ติโยชนํ อติกฺกมิตฺวาติ มเชฺฌ ฐตฺวา ทิยฑฺฒํ กตฺวา ติโยชนํฯ โกณโต หิ โกณํ ติโยชนํ อติกฺกาเมติ, อาปตฺติญฺจ อาปชฺชติ, สีมา จ อสีมา โหติฯ กิเตฺตตฺวาติ นิมิตฺตานิ สมฺปนฺนานิปิ อญฺญมญฺญนามวิปริยาเยน, อนิมิตฺตานํ นาเมหิ จ กิเตฺตตฺวาติ อโตฺถฯ

    Vīsativaggakaraṇīyattā saṅghakammassa kammārahena saddhiṃ ekavīsati bhikkhū nisīdituṃ na sakkontī’’ti vuttaṃ, sukhanisajjāvasena nisīditunti adhippāyo. ‘‘Parimaṇḍalākārena nisīditu’’nti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Tiyojanaṃ atikkamitvāti majjhe ṭhatvā diyaḍḍhaṃ katvā tiyojanaṃ. Koṇato hi koṇaṃ tiyojanaṃ atikkāmeti, āpattiñca āpajjati, sīmā ca asīmā hoti. Kittetvāti nimittāni sampannānipi aññamaññanāmavipariyāyena, animittānaṃ nāmehi ca kittetvāti attho.

    ราสิกตํ ปํสุปิ รุเกฺขสุ ชาเตสุ สุทฺธปํสุปพฺพโต โหติฯ คุฬปิณฺฑปริมาโณ ถูลตาย, น ตุลคณนายฯ ภูมิยํ ปติฎฺฐิโต’’ติ อิมินา กุฎสราวาทีสุ โรปิตํ ปฎิกฺขิปติ, ตโต อปเนตฺวา ปน ตงฺขณมฺปิ ภูมิยํ โรปิโต วฎฺฎติฯ นวมูลสาขานิคฺคมนํ ปน อการณํฯ ขนฺธํ ฉินฺทิตฺวา โรปิเต ปน เอตํ ยุชฺชติฯ สูจิทณฺฑกปฺปมาโณ กนิฎฺฐงฺคุลิปริมาณมโตฺตฯ ‘‘อฎฺฐงฺคุลุเพฺพโธ’’ติ อิมินา อุเพฺพโธ ปริจฺฉิโนฺน โหติ, ‘‘โควิสาณมโตฺต’’ติ อิมินา ปริณาโหฯ ‘‘เอวํ สเนฺตปิ โควิสาณปริณาเห ปริเจฺฉโท นตฺถิ, ตสฺมา ขุทฺทโกปิ มหโนฺตปิ วฎฺฎติ เอวาติ วทนฺติฯ

    Rāsikataṃ paṃsupi rukkhesu jātesu suddhapaṃsupabbato hoti. Guḷapiṇḍaparimāṇo thūlatāya, na tulagaṇanāya. Bhūmiyaṃ patiṭṭhito’’ti iminā kuṭasarāvādīsu ropitaṃ paṭikkhipati, tato apanetvā pana taṅkhaṇampi bhūmiyaṃ ropito vaṭṭati. Navamūlasākhāniggamanaṃ pana akāraṇaṃ. Khandhaṃ chinditvā ropite pana etaṃ yujjati. Sūcidaṇḍakappamāṇo kaniṭṭhaṅguliparimāṇamatto. ‘‘Aṭṭhaṅgulubbedho’’ti iminā ubbedho paricchinno hoti, ‘‘govisāṇamatto’’ti iminā pariṇāho. ‘‘Evaṃ santepi govisāṇapariṇāhe paricchedo natthi, tasmā khuddakopi mahantopi vaṭṭati evāti vadanti.

    ชาตสฺสเร ปริปุณฺณเมว อุทกํ นิมิตฺตูปคํ ทิสฺวา อปริปุณฺณํ อนฺตรา ฐิติภูตํ ‘‘ชาตสฺสเร สมฺมตา’’ติ วุตฺตํ วิปตฺติํ น อาปชฺชตีติ ‘‘นทิยา สมฺมตา, สมุเทฺท สมฺมตา, ชาตสฺสเร สมฺมตา’’ติ เอตฺถาปิ โลณี น คหิตาฯ พทฺธสีมํ วา นทิสมุทฺทชาตสฺสเร วา อโนกฺกมิตฺวาติ เอตฺถาปิ ‘‘นทิยา วา, ภิกฺขเว, สมุเทฺท วา ชาตสฺสเร วา’’ติ (มหาว. ๑๔๗) เอตฺถาปิ น คหิตาฯ ตสฺมา โลณี น อพทฺธสีมาติ เจ? อพทฺธสีมาวฯ ‘‘โยปิ นทิํ วา สมุทฺทํ วา ภินฺทิตฺวา นิกฺขนฺตอุทเกน กโต โสโพฺภ เอตํ ลกฺขณํ ปาปุณาติ, อยมฺปิ ชาตสฺสโรเยวา’’ติ (กงฺขา. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา) วุตฺตตฺตา ชาตสฺสรคฺคหเณน คหิตาติ ตตฺถ ตตฺถ อวุตฺตาฯ ‘‘ยาวติกา ตสฺมิํ คามเขเตฺต’’ติ วุตฺตตฺตา อญฺญมฺปิ คามํ อโนฺต กตฺวา สมานสํวาสกสีมาสมฺมนฺนนกาเล ตสฺมิํ คาเม ภิกฺขู อาคจฺฉนฺตุ วา มา วา, วฎฺฎติฯ อวิปฺปวาสสีมาสมฺมนฺนนกาเล อาคนฺตพฺพเมวฯ

    Jātassare paripuṇṇameva udakaṃ nimittūpagaṃ disvā aparipuṇṇaṃ antarā ṭhitibhūtaṃ ‘‘jātassare sammatā’’ti vuttaṃ vipattiṃ na āpajjatīti ‘‘nadiyā sammatā, samudde sammatā, jātassare sammatā’’ti etthāpi loṇī na gahitā. Baddhasīmaṃ vā nadisamuddajātassare vā anokkamitvāti etthāpi ‘‘nadiyā vā, bhikkhave, samudde vā jātassare vā’’ti (mahāva. 147) etthāpi na gahitā. Tasmā loṇī na abaddhasīmāti ce? Abaddhasīmāva. ‘‘Yopi nadiṃ vā samuddaṃ vā bhinditvā nikkhantaudakena kato sobbho etaṃ lakkhaṇaṃ pāpuṇāti, ayampi jātassaroyevā’’ti (kaṅkhā. aṭṭha. nidānavaṇṇanā) vuttattā jātassaraggahaṇena gahitāti tattha tattha avuttā. ‘‘Yāvatikā tasmiṃ gāmakhette’’ti vuttattā aññampi gāmaṃ anto katvā samānasaṃvāsakasīmāsammannanakāle tasmiṃ gāme bhikkhū āgacchantu vā mā vā, vaṭṭati. Avippavāsasīmāsammannanakāle āgantabbameva.

    อคมนปเถสูติ เอตฺถ เอกทิวเสน คนฺตฺวา ปจฺจาคนฺตุํ อสกฺกุเณยฺยฎฺฐาเนติ วทนฺติ, พทฺธสีมาภาวํ ปฎิกฺขิปิตฺวาติ อโตฺถฯ

    Agamanapathesūti ettha ekadivasena gantvā paccāgantuṃ asakkuṇeyyaṭṭhāneti vadanti, baddhasīmābhāvaṃ paṭikkhipitvāti attho.

    ‘‘สมนฺตา อุทกุเกฺขปา’’ติ วุตฺตตฺตา สพฺพทิสาสุ คเหตพฺพเมวาติ เจ? ยโต ลพฺภติ, ตโต คเหตโพฺพ ‘‘ยสฺมิํ ปเทเส ปกติวีจิโย โอตฺถริตฺวา สณฺฐหนฺติ, ตโต ปฎฺฐาย กปฺปิยภูมิ, ตตฺถ ฐตฺวา อุโปสถาทิกมฺมํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตตฺตาฯ อนุพโนฺธ อฑฺฒมาโส อนฺวฑฺฒมาโส, อฑฺฒมาสสฺส วา อนุฯ โย ปน เกนจิ อนฺตมโส ติรจฺฉาเนนปิ ขณิตฺวา อกโตติ อธิปฺปาโยฯ

    ‘‘Samantā udakukkhepā’’ti vuttattā sabbadisāsu gahetabbamevāti ce? Yato labbhati, tato gahetabbo ‘‘yasmiṃ padese pakativīciyo ottharitvā saṇṭhahanti, tato paṭṭhāya kappiyabhūmi, tattha ṭhatvā uposathādikammaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vuttattā. Anubandho aḍḍhamāso anvaḍḍhamāso, aḍḍhamāsassa vā anu. Yo pana kenaci antamaso tiracchānenapi khaṇitvā akatoti adhippāyo.

    ‘‘อญฺญํ ตตฺตกํเยว ปริเจฺฉทํ อนติกฺกมิตฺวา ฐิโตปิ กมฺมํ โกเปตี’’ติ วุตฺตตฺตา อติกฺกมิตฺวา ฐิโต น โกเปตีติ ทีปิตเมว โหตีติ อุปติสฺสเตฺถโร, ตํ ปน ‘‘ทฺวินฺนํ อุทกุเกฺขปานํ อนฺตเร อโญฺญ เอโก อุทกุเกฺขโป อุปจารตฺถาย ฐเปตโพฺพ’’ติ วจเนน วิรุชฺฌติฯ สมนฺตปาสาทิกายญฺหิ ‘‘อญฺญํ ตตฺตกํเยวา’’ติ ปทํ นตฺถิฯ ตสฺมา ตสฺสาธิปฺปาโย ปริเยสิตโพฺพฯ อโนฺตอุทกุเกฺขปสีมาย อุปจารตฺถาย ฐปิตํ อุทกุเกฺขปปริเจฺฉทํ อนติกฺกมิตฺวาติ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ เถเรน อญฺญถา ปปญฺจิตฺวา ลิขิตํฯ

    ‘‘Aññaṃ tattakaṃyeva paricchedaṃ anatikkamitvā ṭhitopi kammaṃ kopetī’’ti vuttattā atikkamitvā ṭhito na kopetīti dīpitameva hotīti upatissatthero, taṃ pana ‘‘dvinnaṃ udakukkhepānaṃ antare añño eko udakukkhepo upacāratthāya ṭhapetabbo’’ti vacanena virujjhati. Samantapāsādikāyañhi ‘‘aññaṃ tattakaṃyevā’’ti padaṃ natthi. Tasmā tassādhippāyo pariyesitabbo. Antoudakukkhepasīmāya upacāratthāya ṭhapitaṃ udakukkhepaparicchedaṃ anatikkamitvāti attho gahetabbo. Therena aññathā papañcitvā likhitaṃ.

    ‘‘สภาควตฺถุนา ลหุกาปตฺติ’’นฺติ วุตฺตตฺตา สภาคสงฺฆาทิเสสํ อาโรเจตุํ วฎฺฎตีติ เจ? น วฎฺฎติ เทสนาคามินิํ สนฺธาย อิธ วุตฺตตฺตาฯ ตสฺมา เอว สมุจฺจยกฺขนฺธเก ‘‘สภาคสงฺฆาทิเสสํ อาปนฺนสฺส ปน สนฺติเก อาวิกาตุํ น วฎฺฎติฯ สเจ อาวิกโรติ, อาปตฺติ อาวิกตา โหติ, ทุกฺกฎา ปน น มุจฺจตี’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) วุตฺตํฯ ยถา สเงฺฆน ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ…เป.… ปฎิกริสฺสตี’’ติ วตฺวา อุโปสถํ กาตุํ ลภติ, เอวํ ตีหิ ทฺวีหิปิ อญฺญํ สุทฺธํ ปสฺสิตฺวา ‘‘ปฎิกริสฺสามา’’ติ วตฺวา อุโปสถํ กาตุํ วฎฺฎติฯ เอเกนาปิ ‘‘ปริสุทฺธํ ลภิตฺวา ปฎิกริสฺสามี’’ติ อาโภคํ กตฺวา อุโปสถํ กาตุํ วฎฺฎตีติฯ อฎฺฐกถายมฺปิ ‘‘สามโนฺต ภิกฺขุ เอวมสฺส วจนีโยติ เอตฺถ สภาโค เอว วตฺตโพฺพฯ วิสภาคสฺส หิ วุจฺจมาเน ภณฺฑนกลหสงฺฆเภทาทีนิปิ โหนฺติ, ตสฺมา ตสฺส อวตฺวา อิโต วุฎฺฐหิตฺวา ปฎิกริสฺสามี’’ติ อาโภคํ กตฺวา อุโปสโถ กาตโพฺพติ อนฺธกฎฺฐกถายํ วุตฺต’’นฺติ วตฺวา ตสฺส อปฺปฎิกฺขิตฺตตฺตา วฎฺฎตีติ ทีปิตเมวฯ ‘‘ยทา อญฺญํ สุทฺธํ ภิกฺขุํ อนาปตฺติกํ ปสฺสิสฺสติ, ตทา ตสฺส สนฺติเก’’ติ วุตฺตตฺตา ลหุกเสฺสว อนุญฺญาตตฺตา สมุจฺจยกฺขนฺธเก วุตฺตตฺตา สภาคสงฺฆาทิเสสํ ปน ญตฺติยา อาโรเจตฺวา อุโปสถํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ

    ‘‘Sabhāgavatthunā lahukāpatti’’nti vuttattā sabhāgasaṅghādisesaṃ ārocetuṃ vaṭṭatīti ce? Na vaṭṭati desanāgāminiṃ sandhāya idha vuttattā. Tasmā eva samuccayakkhandhake ‘‘sabhāgasaṅghādisesaṃ āpannassa pana santike āvikātuṃ na vaṭṭati. Sace āvikaroti, āpatti āvikatā hoti, dukkaṭā pana na muccatī’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102) vuttaṃ. Yathā saṅghena ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho…pe… paṭikarissatī’’ti vatvā uposathaṃ kātuṃ labhati, evaṃ tīhi dvīhipi aññaṃ suddhaṃ passitvā ‘‘paṭikarissāmā’’ti vatvā uposathaṃ kātuṃ vaṭṭati. Ekenāpi ‘‘parisuddhaṃ labhitvā paṭikarissāmī’’ti ābhogaṃ katvā uposathaṃ kātuṃ vaṭṭatīti. Aṭṭhakathāyampi ‘‘sāmanto bhikkhu evamassa vacanīyoti ettha sabhāgo eva vattabbo. Visabhāgassa hi vuccamāne bhaṇḍanakalahasaṅghabhedādīnipi honti, tasmā tassa avatvā ito vuṭṭhahitvā paṭikarissāmī’’ti ābhogaṃ katvā uposatho kātabboti andhakaṭṭhakathāyaṃ vutta’’nti vatvā tassa appaṭikkhittattā vaṭṭatīti dīpitameva. ‘‘Yadā aññaṃ suddhaṃ bhikkhuṃ anāpattikaṃ passissati, tadā tassa santike’’ti vuttattā lahukasseva anuññātattā samuccayakkhandhake vuttattā sabhāgasaṅghādisesaṃ pana ñattiyā ārocetvā uposathaṃ kātuṃ na vaṭṭati.

    เทวพฺรหฺมา ปน ‘‘ติรจฺฉานคโต’’ติ ปทํ ฐเปตฺวา เยน เกนจิ ปเทน อสงฺคหิตาปิ อิมินา สงฺคหิตาติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ยสฺส อุปสมฺปทา ปฎิกฺขิตฺตา’’ติ วุตฺตํฯ

    Devabrahmā pana ‘‘tiracchānagato’’ti padaṃ ṭhapetvā yena kenaci padena asaṅgahitāpi iminā saṅgahitāti dassanatthaṃ ‘‘yassa upasampadā paṭikkhittā’’ti vuttaṃ.

    ‘‘จาตุมาสินิยํ ปน ปวาริตานํ สนฺติเก อนุปคเตน วา ฉินฺนวเสฺสน วา วุฎฺฐวเสฺสน วา’’ติ อวตฺวา ‘‘อนุปคเตน วา ฉินฺนวเสฺสน วา’’ติ เอตฺตกเมว วุตฺตํฯ วุฎฺฐวโสฺส ปน ตสฺมิํ กาเล อนุปคตตฺตา ‘‘อนุปคโต’’ติ สงฺขฺยํ คโตติฯ สพฺพาย วุฎฺฐิตาย สเพฺพ วุฎฺฐหิตฺวา คเต สนฺนิปาเตตุํ น สกฺกา, เอกเจฺจ สนฺนิปาเตตฺวา ปาริสุทฺธิํ อาโรเจตุํ วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ กสฺมา? ญตฺติํ ฐเปตฺวา กตฺตพฺพสงฺฆกมฺมาภาวา วคฺคํ น โหตีติฯ ปวารณายปิ เอเสว นโยฯ อยเญฺหตฺถ วิเสโส – สเจ ปุริมิกาย อุปคเตหิ ปจฺฉิมิกาย อุปคตา โถกตรา เจว โหนฺติ สมสมา จ, สงฺฆปวารณาย จ คณํ ปูเรนฺติ, สงฺฆปวารณาวเสน ญตฺติ ฐเปตพฺพาติฯ ‘‘เอโกว ภิกฺขุ โหติ…เป.… อเญฺญสํ อนาคตภาวํ ญตฺวา’’ติ วุตฺตตฺตา อธิฎฺฐานุโปสถํ สีมํ ปวิสิตฺวา กาตุํ น สกฺกาติ วทนฺติฯ

    ‘‘Cātumāsiniyaṃ pana pavāritānaṃ santike anupagatena vā chinnavassena vā vuṭṭhavassena vā’’ti avatvā ‘‘anupagatena vā chinnavassena vā’’ti ettakameva vuttaṃ. Vuṭṭhavasso pana tasmiṃ kāle anupagatattā ‘‘anupagato’’ti saṅkhyaṃ gatoti. Sabbāya vuṭṭhitāya sabbe vuṭṭhahitvā gate sannipātetuṃ na sakkā, ekacce sannipātetvā pārisuddhiṃ ārocetuṃ vaṭṭatīti vadanti. Kasmā? Ñattiṃ ṭhapetvā kattabbasaṅghakammābhāvā vaggaṃ na hotīti. Pavāraṇāyapi eseva nayo. Ayañhettha viseso – sace purimikāya upagatehi pacchimikāya upagatā thokatarā ceva honti samasamā ca, saṅghapavāraṇāya ca gaṇaṃ pūrenti, saṅghapavāraṇāvasena ñatti ṭhapetabbāti. ‘‘Ekova bhikkhu hoti…pe… aññesaṃ anāgatabhāvaṃ ñatvā’’ti vuttattā adhiṭṭhānuposathaṃ sīmaṃ pavisitvā kātuṃ na sakkāti vadanti.

    ‘‘กิํ สงฺฆสฺส ปุพฺพกิจฺจ’’นฺติ อิทํ น ญตฺติํ ฐเปตฺวา วตฺตพฺพํฯ ตญฺหิ ญตฺติโต ปุเรตรเมว กรียติฯ ตสฺมา ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, กิํ สงฺฆสฺส ปุพฺพกิจฺจํ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺล’’นฺติ วตฺตพฺพํ สิยาติฯ ตถาปิ น วตฺตพฺพํฯ น หิ ตํ ญตฺติยา อโนฺต กรียตีติฯ เอวํ สเนฺต เนตํ วตฺตพฺพนฺติ อาปชฺชติ ปโยชนาภาวาติ เจ? น, ยถาคตฎฺฐาเน เอว วตฺตพฺพโต, ปรปทาเปกฺขตายาติ วุตฺตํ โหติฯ อิทํ ปุพฺพกิจฺจํ อกตฺวา อุโปสถกมฺมํ กโรโนฺต สโงฺฆ, ปุคฺคโล วา ฐปนเกฺขตฺตาติกฺกเม อาปชฺชติฯ ตสฺมิญฺหิ เขเตฺต อติกฺกเนฺต สมฺมชฺชนาทิกรเณ อาปตฺติโมโกฺข น โหติ อุโปสถกมฺมโต ปุเพฺพ กตฺตพฺพกมฺมากรณปจฺจยตฺตา ตสฺสา อาปตฺติยาฯ น สา กมฺมปริโยสานาเปกฺขา เอตฺถาคตสมฺปชานมุสาวาทาปตฺติ วิย, ตสฺมา ปาติโมกฺขุเทฺทสโก ภิกฺขุ ‘‘ปาริสุทฺธิํ อายสฺมโนฺต อาโรเจถา’’ติ วตฺตุกาโม ปฐมเมว ปาริสุทฺธาปาริสุทฺธิปจฺจยํ ปุพฺพกิจฺจํ สราเปติฯ ตญฺหิ กตํ ปาริสุทฺธิปจฺจโย โหติ, อกตํ อปาริสุทฺธิปจฺจโยฯ เตเนว อุภยาเปกฺขาธิปฺปาเยน กตํ, น กตนฺติ อวตฺวา ‘‘กิํ สงฺฆสฺส ปุพฺพกิจฺจ’’มิเจฺจวาหฯ ตตฺถ อกตปเกฺข ตาว ปาริสุทฺธิอาโรจนกฺกมนิทสฺสนตฺถํ ปรโต ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺติ, โส อาวิกเรยฺยา’’ติ จ, กตปเกฺข ‘‘อสนฺติยา อาปตฺติยา ตุณฺหี ภวิตพฺพ’’นฺติ จ วกฺขติฯ

    ‘‘Kiṃ saṅghassa pubbakicca’’nti idaṃ na ñattiṃ ṭhapetvā vattabbaṃ. Tañhi ñattito puretarameva karīyati. Tasmā ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, kiṃ saṅghassa pubbakiccaṃ, yadi saṅghassa pattakalla’’nti vattabbaṃ siyāti. Tathāpi na vattabbaṃ. Na hi taṃ ñattiyā anto karīyatīti. Evaṃ sante netaṃ vattabbanti āpajjati payojanābhāvāti ce? Na, yathāgataṭṭhāne eva vattabbato, parapadāpekkhatāyāti vuttaṃ hoti. Idaṃ pubbakiccaṃ akatvā uposathakammaṃ karonto saṅgho, puggalo vā ṭhapanakkhettātikkame āpajjati. Tasmiñhi khette atikkante sammajjanādikaraṇe āpattimokkho na hoti uposathakammato pubbe kattabbakammākaraṇapaccayattā tassā āpattiyā. Na sā kammapariyosānāpekkhā etthāgatasampajānamusāvādāpatti viya, tasmā pātimokkhuddesako bhikkhu ‘‘pārisuddhiṃ āyasmanto ārocethā’’ti vattukāmo paṭhamameva pārisuddhāpārisuddhipaccayaṃ pubbakiccaṃ sarāpeti. Tañhi kataṃ pārisuddhipaccayo hoti, akataṃ apārisuddhipaccayo. Teneva ubhayāpekkhādhippāyena kataṃ, na katanti avatvā ‘‘kiṃ saṅghassa pubbakicca’’miccevāha. Tattha akatapakkhe tāva pārisuddhiārocanakkamanidassanatthaṃ parato ‘‘yassa siyā āpatti, so āvikareyyā’’ti ca, katapakkhe ‘‘asantiyā āpattiyā tuṇhī bhavitabba’’nti ca vakkhati.

    ‘‘สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน จตูหิ ภิกฺขูหิ สนฺนิปติตฺวา’’ติ จ, ‘‘อุโปสถกรณตฺถํ สนฺนิปติเต สเงฺฆ พหิ…เป.… อเทเนฺตน ฉโนฺท ทาตโพฺพ’’ติ จ วทนฺติฯ อสนฺนิปติเตปิ ปน วฎฺฎติฯ อิทญฺหิ ฉนฺททานสมยทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ อุโปสถกรณตฺถํ สนฺนิปติเต สเงฺฆ พหิ อุโปสถํ กตฺวา อาคตสฺส กตฺตพฺพาการทสฺสนตฺถญฺจ วุตฺตํฯ ปธานฆรวาสิโน ปธานฆรํ ปวิสิตุกามา อตฺตโน สภาคภิกฺขูนํ ฉนฺทํ ทตฺวา สเจ สโงฺฆ สนฺนิปตติ, ‘‘มยฺหํ ฉโนฺท อาโรเจตโพฺพ’’ติ วตฺวา ปธานฆรํ ปวิสนฺติฯ อยํ สีหฬทีเป ปโยโคฯ อาโรเจเนฺตน ปน สนฺนิปติเต อาโรเจตพฺพํฯ ปญฺจสุ ภิกฺขูสุ เอกสฺมิํ วิหาเร วสเนฺตสุ เอกสฺส ฉนฺทปาริสุทฺธิํ อาหริตฺวา จตุนฺนํ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตุํ อนุญฺญาตตฺตา สนฺนิปติเต ฉโนฺท คเหตโพฺพ อาโรเจตโพฺพติ วจนํ นิรตฺถกํ วิยฯ ‘‘เถยฺยสํวาสโก ปฎิชานาตีติ (มหาว. ๑๖๕) วจนโต สามเณเรน อาหฎาปิ วฎฺฎติฯ กมฺมํ น โกเปตี’’ติ จ, ‘‘สเจ ปุเพฺพ ฉนฺทํ ทตฺวา พหิสีมาคโต ปุน ปวิสติ, ปจฺฉา ฉนฺทคฺคหณกิจฺจํ นตฺถิ, ตสฺส ปโยโค สีมาสมฺมุติวเสน เวทิตโพฺพ’’ติ จ ‘‘ฉนฺททาเน ติกฺขตฺตุํ วจเน อิทํ ปโยชนํ – ปฐมํ สมคฺคภาวํ, ทุติยํ ปจฺฉา วิธาตพฺพภาวํ, ตติยํ ฉนฺทหารกสฺส ทุกฺกฎโมจนํ ทีเปตี’’ติ (วชิร. ฎี. มหาวคฺค ๑๖๔) จ ลิขิตํฯ พิฬาลสงฺขลิกาพทฺธาว โหติ อโนฺตเคเห เอว สมฺปโยชนตฺตา, ยถา สา น กตฺถจิ คจฺฉติ, ตถา สาปิ น กตฺถจิ คจฺฉตีติ อธิปฺปาโยฯ อิตรถา วิเสสนํ นิรตฺถกํ โหตีติ อาจริเยน คหิตํฯ

    ‘‘Sabbantimena paricchedena catūhi bhikkhūhi sannipatitvā’’ti ca, ‘‘uposathakaraṇatthaṃ sannipatite saṅghe bahi…pe… adentena chando dātabbo’’ti ca vadanti. Asannipatitepi pana vaṭṭati. Idañhi chandadānasamayadassanatthaṃ vuttaṃ. Uposathakaraṇatthaṃ sannipatite saṅghe bahi uposathaṃ katvā āgatassa kattabbākāradassanatthañca vuttaṃ. Padhānagharavāsino padhānagharaṃ pavisitukāmā attano sabhāgabhikkhūnaṃ chandaṃ datvā sace saṅgho sannipatati, ‘‘mayhaṃ chando ārocetabbo’’ti vatvā padhānagharaṃ pavisanti. Ayaṃ sīhaḷadīpe payogo. Ārocentena pana sannipatite ārocetabbaṃ. Pañcasu bhikkhūsu ekasmiṃ vihāre vasantesu ekassa chandapārisuddhiṃ āharitvā catunnaṃ pātimokkhaṃ uddisituṃ anuññātattā sannipatite chando gahetabbo ārocetabboti vacanaṃ niratthakaṃ viya. ‘‘Theyyasaṃvāsako paṭijānātīti (mahāva. 165) vacanato sāmaṇerena āhaṭāpi vaṭṭati. Kammaṃ na kopetī’’ti ca, ‘‘sace pubbe chandaṃ datvā bahisīmāgato puna pavisati, pacchā chandaggahaṇakiccaṃ natthi, tassa payogo sīmāsammutivasena veditabbo’’ti ca ‘‘chandadāne tikkhattuṃ vacane idaṃ payojanaṃ – paṭhamaṃ samaggabhāvaṃ, dutiyaṃ pacchā vidhātabbabhāvaṃ, tatiyaṃ chandahārakassa dukkaṭamocanaṃ dīpetī’’ti (vajira. ṭī. mahāvagga 164) ca likhitaṃ. Biḷālasaṅkhalikābaddhāva hoti antogehe eva sampayojanattā, yathā sā na katthaci gacchati, tathā sāpi na katthaci gacchatīti adhippāyo. Itarathā visesanaṃ niratthakaṃ hotīti ācariyena gahitaṃ.

    ‘‘น หิ ตํ อกตฺวา อุโปสถํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ ปุเพฺพ ทสฺสิตตฺตา ‘‘อิทมฺปิ หิ อุภย’’นฺติ กสฺมา วุตฺตนฺติ เจ? เสสานิ เถเรน อาณเตฺตน กาตพฺพานิ ทสฺสิตานิ, อิเม ปน เทฺว เถเรน วา ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน วา ญตฺติฎฺฐปนเกน วา เยน วา เตน วา กาตพฺพานีติ จ, สมฺมชฺชนาทีนิ ตตฺถ ตตฺถ ตาทิสานิ ปโยชนานิ นิปฺผาเทนฺติ, อิเม ปน เทฺว ตตฺถ ตตฺถ น กิญฺจิ กมฺมํ สาเธนฺติ, ตสฺมา ‘‘กิํ อิมินา’’ติ อวตฺวา กาตพฺพเมวาติ ทเสฺสตุญฺจ ‘‘อิทมฺปิ หิ อุภย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘อายสฺมนฺตานํ ปาเท วนฺทตี’’ติ คณวเสน วตฺวา ปุคฺคลวเสน น วุตฺตํ เตน อาโรเจตพฺพสฺส อญฺญสฺส อภาวาฯ

    ‘‘Na hi taṃ akatvā uposathaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti pubbe dassitattā ‘‘idampi hi ubhaya’’nti kasmā vuttanti ce? Sesāni therena āṇattena kātabbāni dassitāni, ime pana dve therena vā pātimokkhuddesakena vā ñattiṭṭhapanakena vā yena vā tena vā kātabbānīti ca, sammajjanādīni tattha tattha tādisāni payojanāni nipphādenti, ime pana dve tattha tattha na kiñci kammaṃ sādhenti, tasmā ‘‘kiṃ iminā’’ti avatvā kātabbamevāti dassetuñca ‘‘idampi hi ubhaya’’ntiādi vuttaṃ. ‘‘Āyasmantānaṃ pāde vandatī’’ti gaṇavasena vatvā puggalavasena na vuttaṃ tena ārocetabbassa aññassa abhāvā.

    สงฺฆสฺส อุทฺทิฎฺฐํ โหตีติ สเงฺฆน อุทฺทิฎฺฐํ โหตีติ อโตฺถฯ สมคฺคสฺส หิ สงฺฆสฺสาติ เอตฺถ สมคฺคภาวสฺส กายสามคฺคิการณตฺตา นตฺถิ โทโสติ เจ? ตํ น, อุเทฺทเสปิ สวเนปิ สมคฺคภาวสฺส อิจฺฉิตพฺพตฺตาฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต’’ติ หิ อิมินา จิตฺตสามคฺคิํ ทีเปติ สวเน สเพฺพหิ เอกีภูตภาวโตฯ

    Saṅghassa uddiṭṭhaṃ hotīti saṅghena uddiṭṭhaṃ hotīti attho. Samaggassa hi saṅghassāti ettha samaggabhāvassa kāyasāmaggikāraṇattā natthi dosoti ce? Taṃ na, uddesepi savanepi samaggabhāvassa icchitabbattā. ‘‘Suṇātu me, bhante’’ti hi iminā cittasāmaggiṃ dīpeti savane sabbehi ekībhūtabhāvato.

    สญฺจิจฺจ อาปตฺติํ อาปชฺชตีติ เอตฺถ อนาทริยวเสน อาปชฺชโนฺต เอว อลชฺชี โหติ, น อิตโรติฯ อาปตฺติํ ปริคูหตีติ เอตฺถ ลชฺชาย ปริคูหโนฺต อลชฺชี น โหติ, ‘กิํ อิมินา’ติ อนาทริยวเสน ปริคูหโนฺต โหตี’’ติ จ ลิขิตํฯ

    Sañcicca āpattiṃ āpajjatīti ettha anādariyavasena āpajjanto eva alajjī hoti, na itaroti. Āpattiṃ parigūhatīti ettha lajjāya parigūhanto alajjī na hoti, ‘kiṃ iminā’ti anādariyavasena parigūhanto hotī’’ti ca likhitaṃ.

    ‘‘สตฺตนฺนํ อาปตฺติกฺขนฺธาน’’นฺติ น วตฺตพฺพํ, ‘‘ฉนฺน’’นฺติ วตฺตพฺพนฺติ เจ? สตฺตนฺนเมวาติ วตฺตพฺพํฯ ปาราชิกาปตฺติํ อาปโนฺน หิ สเจ อตฺตโน สาปตฺติกภาวํ ปกาเสติ, สงฺฆสฺส จ อุโปสโถ สมฺปชฺชติ, ตสฺส จ คิหิภาเวน วา สามเณรภาเวน วา สุทฺธิ โหตีติฯ

    ‘‘Sattannaṃ āpattikkhandhāna’’nti na vattabbaṃ, ‘‘channa’’nti vattabbanti ce? Sattannamevāti vattabbaṃ. Pārājikāpattiṃ āpanno hi sace attano sāpattikabhāvaṃ pakāseti, saṅghassa ca uposatho sampajjati, tassa ca gihibhāvena vā sāmaṇerabhāvena vā suddhi hotīti.

    เอกเจฺจ อาจริยา นาม ธมฺมภาริโก กิร อาจริโยฯ กสฺมา เอวํ วุตฺตนฺติ เจ? ยาวตติยานุสาวนา นาม ติกฺขตฺตุํ วจนํฯ ตถา ปาเฐ อนาคตตฺตา เกวลํ ‘‘ยาวตติยํ อนุสาวิต’’นฺติ ปทเมว ทิสฺวา ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺติ, โส อาวิกเรยฺยา’’ติ อิทํ ‘‘สเจ อาปตฺติํ อาปนฺนา, อาวิกโรถา’’ติ อิมมตฺถํ ทีเปติฯ ‘‘อสนฺติยา อาปตฺติยา ตุณฺหี ภวิตพฺพ’’นฺติ อิทมฺปิ ตเมวตฺถํ ทีเปติฯ ‘‘ตุณฺหีภาเวน โข ปนายสฺมเนฺต ปริสุทฺธาติ เวทิสฺสามี’’ติ อิทมฺปิ ตเมวาติ เอวมตฺถํ คเหตฺวา วุตฺตํ กิรฯ

    Ekacce ācariyā nāma dhammabhāriko kira ācariyo. Kasmā evaṃ vuttanti ce? Yāvatatiyānusāvanā nāma tikkhattuṃ vacanaṃ. Tathā pāṭhe anāgatattā kevalaṃ ‘‘yāvatatiyaṃ anusāvita’’nti padameva disvā ‘‘yassa siyā āpatti, so āvikareyyā’’ti idaṃ ‘‘sace āpattiṃ āpannā, āvikarothā’’ti imamatthaṃ dīpeti. ‘‘Asantiyā āpattiyā tuṇhī bhavitabba’’nti idampi tamevatthaṃ dīpeti. ‘‘Tuṇhībhāvena kho panāyasmante parisuddhāti vedissāmī’’ti idampi tamevāti evamatthaṃ gahetvā vuttaṃ kira.

    อปเรติ อตฺถทสฺสิเตฺถโร กิรฯ เอตํ สนฺธายาติ เอตฺถ ‘‘สกิมฺปิ อนุสาวิต’’นฺติ ปทสฺส วจเนน ติกฺขตฺตุํ อนุสาวนา กาตพฺพาติ เอตฺตกเมว ทีปิตํ วิย ทิสฺสติฯ

    Apareti atthadassitthero kira. Etaṃ sandhāyāti ettha ‘‘sakimpi anusāvita’’nti padassa vacanena tikkhattuṃ anusāvanā kātabbāti ettakameva dīpitaṃ viya dissati.

    อิมมตฺถํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ กถํ วิญฺญายตีติ เจ? ‘‘อยเมตฺถ อาจริยปรมฺปราภโต วินิจฺฉโย’’ติ วุตฺตํฯ

    Imamatthaṃ sandhāya vuttanti kathaṃ viññāyatīti ce? ‘‘Ayamettha ācariyaparamparābhato vinicchayo’’ti vuttaṃ.

    ‘‘สรมาเนนา’’ติ อิมินา สมฺปชานมุสาวาทสฺส สจิตฺตกตฺตํ ทเสฺสติฯ สงฺฆมเชฺฌ วาติอาทิ ลกฺขณวจนํ กิรฯ สงฺฆุโปสถกรณตฺถํ สงฺฆมเชฺฌ เจ นิสิโนฺน, ตสฺมิํ สงฺฆมเชฺฌ อาวิกาตพฺพาฯ คณุโปสถกรณตฺถเญฺจ คณมเชฺฌ นิสิโนฺน, ตสฺมิํ คณมเชฺฌฯ เอกเสฺสว สนฺติเก เจ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กตฺตุกาโม, ตสฺมิํ เอกปุคฺคเล อาวิกาตพฺพาติ, เอเตน น เกวลํ สงฺฆมเชฺฌ เอวายํ มุสาวาโท สมฺภวติ, อถ โข เอตฺถ วุตฺตลกฺขเณน อสติปิ ‘‘ปาริสุทฺธิํ อายสฺมโนฺต อาโรเจถา’’ติอาทิวิธาเน คณุโปสเถปิ สาปตฺติโก หุตฺวา อุโปสถํ กตฺตุกาโม อนาโรเจตฺวา ตุณฺหีภูโตว เจ กโรติ, อยํ สมฺปชานมุสาวาทาปตฺติํ อาปชฺชตีติ อิมสฺสตฺถสฺส อาวิกรณโต ลกฺขณวจนํ กิเรตนฺติ วุตฺตนฺติ ตกฺกิกาฯ อญฺญถา ‘‘คณมเชฺฌ วา’’ติ น วตฺตพฺพนฺติ เตสํ อธิปฺปาโยฯ อาโรจนาธิปฺปายวเสน วุตฺตนฺติ อาจริยสฺส ตโกฺกฯ อาโรเจโนฺต หิ ‘‘สงฺฆสฺส อาโรเจมี’’ติ อธิปฺปาเยน อาวิกโรโนฺต สงฺฆมเชฺฌ อาวิกโรติ นาม, อุภโตปเสฺส นิสินฺนานํ อาโรเจโนฺต คณมเชฺฌ อาวิกโรติ นาม, ‘‘เอกเสฺสว อาโรเจสฺสามี’’ติ อธิปฺปาเยน อาวิกโรโนฺต เอกปุคฺคเล อาวิกโรติ นามฯ สเจปิ เวมติโก โหติ…เป.… ปฎิกริสฺสามีติ เอวํ กเต ยาว เวมติโก โหติ, ตาว สภาคาปตฺติํ ปฎิคฺคเหตุํ ลภติ, อเญฺญสญฺจ กมฺมานํ ปริสุโทฺธ นาม โหติฯ ปุน นิเพฺพมติโก หุตฺวา เทเสตพฺพํ วา น วาติ เนว ปาฬิยํ, น อฎฺฐกถายํ อตฺถิ, เทสิเต ปน โทโส นตฺถิฯ ตถา อิโต วุฎฺฐหิตฺวา ตํ อาปตฺติํ ปฎิกริสฺสามีติ เอตฺถ จ สกลสเงฺฆ สภาคาปตฺติํ อาปเนฺน, เวมติเก จาติ ลิขิตํ (วชิร. ฎี. มหาวคฺค ๑๖๙-๑๗๐)ฯ

    ‘‘Saramānenā’’ti iminā sampajānamusāvādassa sacittakattaṃ dasseti. Saṅghamajjhe vātiādi lakkhaṇavacanaṃ kira. Saṅghuposathakaraṇatthaṃ saṅghamajjhe ce nisinno, tasmiṃ saṅghamajjhe āvikātabbā. Gaṇuposathakaraṇatthañce gaṇamajjhe nisinno, tasmiṃ gaṇamajjhe. Ekasseva santike ce pārisuddhiuposathaṃ kattukāmo, tasmiṃ ekapuggale āvikātabbāti, etena na kevalaṃ saṅghamajjhe evāyaṃ musāvādo sambhavati, atha kho ettha vuttalakkhaṇena asatipi ‘‘pārisuddhiṃ āyasmanto ārocethā’’tiādividhāne gaṇuposathepi sāpattiko hutvā uposathaṃ kattukāmo anārocetvā tuṇhībhūtova ce karoti, ayaṃ sampajānamusāvādāpattiṃ āpajjatīti imassatthassa āvikaraṇato lakkhaṇavacanaṃ kiretanti vuttanti takkikā. Aññathā ‘‘gaṇamajjhe vā’’ti na vattabbanti tesaṃ adhippāyo. Ārocanādhippāyavasena vuttanti ācariyassa takko. Ārocento hi ‘‘saṅghassa ārocemī’’ti adhippāyena āvikaronto saṅghamajjhe āvikaroti nāma, ubhatopasse nisinnānaṃ ārocento gaṇamajjhe āvikaroti nāma, ‘‘ekasseva ārocessāmī’’ti adhippāyena āvikaronto ekapuggale āvikaroti nāma. Sacepi vematiko hoti…pe… paṭikarissāmīti evaṃ kate yāva vematiko hoti, tāva sabhāgāpattiṃ paṭiggahetuṃ labhati, aññesañca kammānaṃ parisuddho nāma hoti. Puna nibbematiko hutvā desetabbaṃ vā na vāti neva pāḷiyaṃ, na aṭṭhakathāyaṃ atthi, desite pana doso natthi. Tathā ito vuṭṭhahitvā taṃ āpattiṃ paṭikarissāmīti ettha ca sakalasaṅghe sabhāgāpattiṃ āpanne, vematike cāti likhitaṃ (vajira. ṭī. mahāvagga 169-170).

    นิทานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nidānavaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact