Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā

    กามาวจรกุสลํ

    Kāmāvacarakusalaṃ

    นิเทฺทสวารกถาวณฺณนา

    Niddesavārakathāvaṇṇanā

    . สเนฺตติ สภาวโต วิชฺชมาเนฯ ผสฺสสฺส วิสยวิสยีนํ สนฺนิปตนากาเรน คเหตพฺพตฺตา ผุสนํ วิสเย จิตฺตสฺส สนฺนิปตนํ วุตฺตํฯ ‘‘จินฺตนเฎฺฐน จิตฺตํ, มนนเฎฺฐน มโน’’ติอาทินา จิตฺตาทิสทฺทา จินฺตนาทิพฺยาปารมุเขน อตฺตโน อตฺถํ วิภาเวนฺตีติ อาห ‘‘จิตฺตํ มโนติอาทีสุ วิย กิจฺจวิเสสํ อนเปกฺขิตฺวา’’ติฯ ยถา โลเก วิกตเมว เวกตํ, วิสโย เอว เวสยนฺติ วุจฺจติ, เอวํ มโน เอว มานสนฺติ สทฺทมตฺตวิเสโสฯ นีลาทิ-สทฺทา วิย วตฺถาทีสุ จิเตฺตสุ ปริสุทฺธภาวนิพนฺธนา ปณฺฑรสทฺทสฺส ปวตฺตีติ ตสฺส คุณวิเสสาเปกฺขตา วุตฺตาฯ ยถา กายิกํ สาตนฺติ เอตฺถ กายปฺปสาทนิสฺสิตนฺติ อโตฺถ, เอวํ เจตสิกํ สาตนฺติ เอตฺถ เจโตนิสฺสิตํ สาตนฺติ นิสฺสยวิเสสาเปกฺขตา วุตฺตาฯ เอกกฺขณิกา นานากฺขณิกา จ จิตฺตสฺส ฐิติ นาม, ตสฺส อวตฺถาวิเสโสติ อวตฺถาวิเสสาเปโกฺข จิตฺตสฺส ฐิตีติ เอวํปกาโร นิเทฺทโสฯ ‘‘น ลุพฺภตี’’ติ วุตฺตสฺส จิตฺตสฺส, ปุคฺคลสฺส วา ปวตฺติอาการภาเวน อลุพฺภนาติ อโลโภ วุโตฺตติ อญฺญสฺส กิริยาภาววิเสสาเปโกฺข อลุพฺภนาติ นิเทฺทโสฯ วุตฺตนเยเนว อลุพฺภิตสฺส ภาโว อลุพฺภิตตฺตนฺติ อยํ นิเทฺทโส อญฺญสฺส ภาวภูตตาวิเสสาเปโกฺข วุโตฺตฯ กตฺตุกรณภาวาทโย สภาวธมฺมานํ อชฺฌาโรปนวเสเนว สิชฺฌนฺติ , ภาวนิเทฺทโส ปน อชฺฌาโรปนานเปโกฺข, ตโตเยว จ วิเสสนฺตรวินิมุโตฺต วินิวโตฺต วิเสสโต นิชฺชีวภาวคิภาวโต สภาวนิเทฺทโส นาม โหตีติ ผโสฺสติ อิทํ ผุสนเฎฺฐน ‘‘ธมฺมมตฺตทีปนํ สภาวปท’’นฺติ วุตฺตํฯ อารมฺมณํ ผุสนฺตสฺส จิตฺตสฺส ปวตฺติอากาโร ผุสนพฺยาปาโร โหตีติ ‘‘ผุสนกิริยา ผุสนากาโร’’ติ วุตฺตํฯ สมฺผุสนาติ สํ-สโทฺท ‘‘สมุทโย’’ติอาทีสุ วิย สมาคมตฺถทีปโกติ อาห ‘‘สมาคมผุสนา’’ติฯ ‘‘ผุสามิ เนกฺขมฺมสุข’’นฺติอาทีสุ (ธ. ป. ๒๗๒) ปฎิลาโภปิ ผุสนา สมฺผุสนาติ จ วุจฺจตีติ อาห ‘‘น ปฎิลาภสมฺผุสนา’’ติฯ

    2. Santeti sabhāvato vijjamāne. Phassassa visayavisayīnaṃ sannipatanākārena gahetabbattā phusanaṃ visaye cittassa sannipatanaṃ vuttaṃ. ‘‘Cintanaṭṭhena cittaṃ, mananaṭṭhena mano’’tiādinā cittādisaddā cintanādibyāpāramukhena attano atthaṃ vibhāventīti āha ‘‘cittaṃ manotiādīsu viya kiccavisesaṃ anapekkhitvā’’ti. Yathā loke vikatameva vekataṃ, visayo eva vesayanti vuccati, evaṃ mano eva mānasanti saddamattaviseso. Nīlādi-saddā viya vatthādīsu cittesu parisuddhabhāvanibandhanā paṇḍarasaddassa pavattīti tassa guṇavisesāpekkhatā vuttā. Yathā kāyikaṃ sātanti ettha kāyappasādanissitanti attho, evaṃ cetasikaṃ sātanti ettha cetonissitaṃ sātanti nissayavisesāpekkhatā vuttā. Ekakkhaṇikā nānākkhaṇikā ca cittassa ṭhiti nāma, tassa avatthāvisesoti avatthāvisesāpekkho cittassa ṭhitīti evaṃpakāro niddeso. ‘‘Na lubbhatī’’ti vuttassa cittassa, puggalassa vā pavattiākārabhāvena alubbhanāti alobho vuttoti aññassa kiriyābhāvavisesāpekkho alubbhanāti niddeso. Vuttanayeneva alubbhitassa bhāvo alubbhitattanti ayaṃ niddeso aññassa bhāvabhūtatāvisesāpekkho vutto. Kattukaraṇabhāvādayo sabhāvadhammānaṃ ajjhāropanavaseneva sijjhanti , bhāvaniddeso pana ajjhāropanānapekkho, tatoyeva ca visesantaravinimutto vinivatto visesato nijjīvabhāvagibhāvato sabhāvaniddeso nāma hotīti phassoti idaṃ phusanaṭṭhena ‘‘dhammamattadīpanaṃ sabhāvapada’’nti vuttaṃ. Ārammaṇaṃ phusantassa cittassa pavattiākāro phusanabyāpāro hotīti ‘‘phusanakiriyā phusanākāro’’ti vuttaṃ. Samphusanāti saṃ-saddo ‘‘samudayo’’tiādīsu viya samāgamatthadīpakoti āha ‘‘samāgamaphusanā’’ti. ‘‘Phusāmi nekkhammasukha’’ntiādīsu (dha. pa. 272) paṭilābhopi phusanā samphusanāti ca vuccatīti āha ‘‘na paṭilābhasamphusanā’’ti.

    อปเรน เววจเนนฯ พหุสฺสุตภาวสมฺปาทิกาย ปญฺญาย ปณฺฑิจฺจปริยาโยฯ สิปฺปายตนาทีสุ ทกฺขตาภูตาย โกสลฺลปริยาโย, ยตฺถ กตฺถจิ ติกฺขสุขุมาย เนปุญฺญปริยาโย, สมฺมา ธเมฺม ปญฺญเปนฺติยา เวภพฺยาปริยาโยติ เอวมาทินา เตสุ เตสุ ปญฺญาวิเสเสสุ เต เต ปริยายวิเสสา วิเสเสน ปวตฺตาติ เตสํ ปญฺญาวิเสสานํ นานากาเล ลพฺภมานตา วุตฺตา, อิตเรปิ อนุคตา โหนฺติ เยภุเยฺยนาติ อธิปฺปาโยฯ อตฺถนานเตฺตน ปญฺญาทิอตฺถวิเสเสนฯ โกโธ กุชฺฌนา กุชฺฌิตตฺตนฺติ เอวํปการา นิเทฺทสา สภาวาการภาวทีปนวเสน พฺยญฺชนวเสเนว วิภาควจนํฯ ปณฺฑิจฺจนฺติอาทโย ปญฺญาวิเสสนิพนฺธนตฺตา อตฺถวเสน วิภาควจนนฺติ อิมมตฺถมาห ‘‘อถ วา’’ติอาทินาฯ เอวมากาโร ปนาติ ปุริมาการโต วิเสโส อตฺถโต วิภตฺติคมนสฺส การณํ วุตฺตํฯ

    Aparena vevacanena. Bahussutabhāvasampādikāya paññāya paṇḍiccapariyāyo. Sippāyatanādīsu dakkhatābhūtāya kosallapariyāyo, yattha katthaci tikkhasukhumāya nepuññapariyāyo, sammā dhamme paññapentiyā vebhabyāpariyāyoti evamādinā tesu tesu paññāvisesesu te te pariyāyavisesā visesena pavattāti tesaṃ paññāvisesānaṃ nānākāle labbhamānatā vuttā, itarepi anugatā honti yebhuyyenāti adhippāyo. Atthanānattena paññādiatthavisesena. Kodho kujjhanā kujjhitattanti evaṃpakārā niddesā sabhāvākārabhāvadīpanavasena byañjanavaseneva vibhāgavacanaṃ. Paṇḍiccantiādayo paññāvisesanibandhanattā atthavasena vibhāgavacananti imamatthamāha ‘‘atha vā’’tiādinā. Evamākāro panāti purimākārato viseso atthato vibhattigamanassa kāraṇaṃ vuttaṃ.

    ปฎิกฺขิปนํ ปฎิเสธนํ ปฎิเกฺขโป, ตสฺส นานตฺตํ วิเสโส ปฎิเกฺขปนานตฺตํ, สทฺธมฺมครุตาย ปฎิเกฺขโป สทฺธมฺมครุตาปฎิเกฺขโป, เตน สทฺธมฺมครุตาปฎิเกฺขเปน นานตฺตํ สทฺธมฺมครุตาปฎิเกฺขปนานตฺตํฯ ตํ สทฺธมฺมครุตาปฎิเกฺขปนานตฺตํ ปน โกธครุตาทิเภทภินฺนนฺติ ‘‘โกธครุตาทิวิสิเฎฺฐนา’’ติ วุตฺตํฯ โกธาทีหิ วิสิโฎฺฐ ภิโนฺน สทฺธมฺมครุตาย ปฎิเกฺขโป ปฎิเสธนํ โกธาทิวิสิฎฺฐปฎิเกฺขโปฯ โกธครุตาทิเยว, ตสฺส นานเตฺตน สทฺธมฺมครุตาปฎิปกฺขนานเตฺตนาติ โกธครุตา สทฺธมฺมครุตาย ปฎิปโกฺขฯ มกฺขลาภสกฺการครุตา สทฺธมฺมครุตาย ปฎิปโกฺขติ สทฺธมฺมครุตาย ปฎิปกฺขภาววิเสเสน อสทฺธมฺมครุตา ตพฺภาเวน เอกีภูตาปิ นานตฺตํ คตาฯ ยสฺมา ปน โกโธ อตฺถโต โทโสเยวฯ มโกฺข โทสปฺปธานา ปรคุณวิทฺธํสนาการปฺปวตฺตา อกุสลา ขนฺธาฯ ตคฺครุตา จ เตสํ สาทรอภิสงฺขรณวเสน ปวตฺตนเมวฯ ลาภครุตา จตุนฺนํ ปจฺจยานํ สกฺการครุตา, เตสํเยว สุสงฺขตานํ ลทฺธกามตาฯ ตทุภเยสุ จ อาทรกิริยา ตถาปวตฺตา อิจฺฉาเยว, ตสฺมา ‘‘สทฺธมฺมครุตาปฎิปกฺขนานเตฺตน อสทฺธมฺมา นานตฺตํ คตา’’ติ วุตฺตํฯ ตถา หิ จตฺตาโร อสทฺธมฺมา อิเจฺจว อุทฺทิฎฺฐาฯ อสทฺธมฺมครุตาติ เอตฺถ จ ปุริมสฺมิํ วิกเปฺป ‘‘น สทฺธมฺมครุตา’’ติ สทฺธมฺมครุตา น โหตีติ อโตฺถฯ ทุติยสฺมิํ สทฺธมฺมครุตาย ปฎิปโกฺขติ สทฺธมฺมครุตา เอว วา ปฎิปโกฺข, ตสฺส นานเตฺตน สทฺธมฺมครุตาปฎิปกฺขนานเตฺตนาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ โกธมกฺขครุตานญฺหิ สทฺธมฺมวิเสสา ปวตฺติเภทภินฺนา เมตฺตา ปฎิปโกฺขฯ ลาภสกฺการครุตานํ อปฺปิจฺฉตา สโนฺตสาฯ เตน โกธครุตา น สทฺธมฺมครุตาติ โกธครุตา กายจิ สทฺธมฺมครุตาย ปฎิปโกฺขติ อยมโตฺถ วุโตฺต โหติฯ ตถา มกฺขครุตาทีสุปิฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘จตฺตาโร สทฺธมฺมา สทฺธมฺมครุตา น โกธครุตา…เป.… สทฺธมฺมครุตา น สกฺการครุตา’’ติ (อ. นิ. ๔.๔๔) อาคตตนฺติปิ สมตฺถิตา ภวติฯ โลโภ น โหตีติ อโลโภ ลุพฺภนา น โหตีติ อลุพฺภนาติ เอวมาทิโก อโลโภติอาทีนํ โลภาทิวิสิโฎฺฐ ปฎิเกฺขโป ‘‘ผโสฺส ผุสนา’’ติอาทิเกหิ วิสทิสภาวโต ‘‘ผสฺสาทีหิ นานตฺต’’นฺติ วุโตฺตฯ ผสฺสาทีหีติ เจตฺถ อลุพฺภนาทโยปิ อาทิ-สเทฺทน สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ โลภาทิปฎิปเกฺขนาติ ‘‘โลภปฎิปโกฺข อโลโภ’’ติอาทินา โยเชตพฺพํฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ อโลภาโทสาโมหานํ วิธุรตาย ปฎิปกฺขภาเวน จ ลพฺภมาโน อญฺญมญฺญวิสทิโส โลภาทิวิสิฎฺฐปฎิเกฺขปภาเวน โลภาทิปฎิปกฺขภาเวน จ วิญฺญายตีติ อาห ‘‘อโลภา…เป.… โยเชตพฺพ’’นฺติฯ พหูหิ ปกาเรหิ ทีเปตพฺพตฺถตา มหตฺถตาอาทรวเสน โสตูนํฯ

    Paṭikkhipanaṃ paṭisedhanaṃ paṭikkhepo, tassa nānattaṃ viseso paṭikkhepanānattaṃ, saddhammagarutāya paṭikkhepo saddhammagarutāpaṭikkhepo, tena saddhammagarutāpaṭikkhepena nānattaṃ saddhammagarutāpaṭikkhepanānattaṃ. Taṃ saddhammagarutāpaṭikkhepanānattaṃ pana kodhagarutādibhedabhinnanti ‘‘kodhagarutādivisiṭṭhenā’’ti vuttaṃ. Kodhādīhi visiṭṭho bhinno saddhammagarutāya paṭikkhepo paṭisedhanaṃ kodhādivisiṭṭhapaṭikkhepo. Kodhagarutādiyeva, tassa nānattena saddhammagarutāpaṭipakkhanānattenāti kodhagarutā saddhammagarutāya paṭipakkho. Makkhalābhasakkāragarutā saddhammagarutāya paṭipakkhoti saddhammagarutāya paṭipakkhabhāvavisesena asaddhammagarutā tabbhāvena ekībhūtāpi nānattaṃ gatā. Yasmā pana kodho atthato dosoyeva. Makkho dosappadhānā paraguṇaviddhaṃsanākārappavattā akusalā khandhā. Taggarutā ca tesaṃ sādaraabhisaṅkharaṇavasena pavattanameva. Lābhagarutā catunnaṃ paccayānaṃ sakkāragarutā, tesaṃyeva susaṅkhatānaṃ laddhakāmatā. Tadubhayesu ca ādarakiriyā tathāpavattā icchāyeva, tasmā ‘‘saddhammagarutāpaṭipakkhanānattena asaddhammā nānattaṃ gatā’’ti vuttaṃ. Tathā hi cattāro asaddhammā icceva uddiṭṭhā. Asaddhammagarutāti ettha ca purimasmiṃ vikappe ‘‘na saddhammagarutā’’ti saddhammagarutā na hotīti attho. Dutiyasmiṃ saddhammagarutāya paṭipakkhoti saddhammagarutā eva vā paṭipakkho, tassa nānattena saddhammagarutāpaṭipakkhanānattenāti evamettha attho daṭṭhabbo. Kodhamakkhagarutānañhi saddhammavisesā pavattibhedabhinnā mettā paṭipakkho. Lābhasakkāragarutānaṃ appicchatā santosā. Tena kodhagarutā na saddhammagarutāti kodhagarutā kāyaci saddhammagarutāya paṭipakkhoti ayamattho vutto hoti. Tathā makkhagarutādīsupi. Evañca katvā ‘‘cattāro saddhammā saddhammagarutā na kodhagarutā…pe… saddhammagarutā na sakkāragarutā’’ti (a. ni. 4.44) āgatatantipi samatthitā bhavati. Lobho na hotīti alobho lubbhanā na hotīti alubbhanāti evamādiko alobhotiādīnaṃ lobhādivisiṭṭho paṭikkhepo ‘‘phasso phusanā’’tiādikehi visadisabhāvato ‘‘phassādīhi nānatta’’nti vutto. Phassādīhīti cettha alubbhanādayopi ādi-saddena saṅgahitāti daṭṭhabbaṃ. Lobhādipaṭipakkhenāti ‘‘lobhapaṭipakkho alobho’’tiādinā yojetabbaṃ. Sesaṃ purimasadisameva. Alobhādosāmohānaṃ vidhuratāya paṭipakkhabhāvena ca labbhamāno aññamaññavisadiso lobhādivisiṭṭhapaṭikkhepabhāvena lobhādipaṭipakkhabhāvena ca viññāyatīti āha ‘‘alobhā…pe… yojetabba’’nti. Bahūhi pakārehi dīpetabbatthatā mahatthatā. Ādaravasena sotūnaṃ.

    . ยทิปิ เอกสฺมิํ ขเณ เอกํเยว อารมฺมณํ โหติ, ฉสุปิ ปน อารมฺมเณสุ อุปฺปตฺติรหตฺตา ‘‘เตหิ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตสฺสาติ สาตสฺส สุขสฺสฯ ชาตาติ เอตสฺส อตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘การณภาเวน ผสฺสตฺถํ ปวตฺตา’’ติ วุตฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา เจตสิกสาตสงฺขาตา โสมนสฺสเวทนา สเหว อุปฺปชฺชติ, เอวํ ตทนุรูปผสฺสสหิตา หุตฺวา ปวตฺตา ตชฺชาติ วุตฺตาฯ สาทยตีติ อธิคมาสีสาย อนญฺญนินฺนํ กโรติฯ

    3. Yadipi ekasmiṃ khaṇe ekaṃyeva ārammaṇaṃ hoti, chasupi pana ārammaṇesu uppattirahattā ‘‘tehi vā’’tiādi vuttaṃ. Tassāti sātassa sukhassa. Jātāti etassa atthaṃ dassetuṃ ‘‘kāraṇabhāvena phassatthaṃ pavattā’’ti vuttaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā cetasikasātasaṅkhātā somanassavedanā saheva uppajjati, evaṃ tadanurūpaphassasahitā hutvā pavattā tajjāti vuttā. Sādayatīti adhigamāsīsāya anaññaninnaṃ karoti.

    . น ตสฺสา ตชฺชตาติ ตสฺสา มโนวิญฺญาณธาตุยา ตสฺสารุปฺปา ‘‘ตสฺส ชาตา’’ติ วา อุภยถาปิ ตชฺชตา น ยุชฺชติฯ ยทิปิ ผโสฺส วิญฺญาณสฺส วิเสสปจฺจโย น โหติ, ตถาปิ โส ตสฺส ปจฺจโย โหติเยวาติ ตสฺส ตชฺชามโนวิญฺญาณธาตุสมฺผสฺสชตา วตฺตพฺพาติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘น จ ตเทวา’’ติอาทิฯ เตหิ อารมฺมเณหิ ชาตา ตชฺชาติ อิมินาปิ อเตฺถน ตชฺชา มโนวิญฺญาณธาตุสมฺผสฺสชาติ วตฺตุํ น สกฺกาฯ วิญฺญาณสฺส ปน ตชฺชตาปญฺญตฺติ ลพฺภเตวฯ ตถา หิ ‘‘กิํ วา เอเตนา’’ติอาทินา ผสฺสาทีนํ ตถา เทเสตพฺพตํ อาหฯ

    5. Na tassā tajjatāti tassā manoviññāṇadhātuyā tassāruppā ‘‘tassa jātā’’ti vā ubhayathāpi tajjatā na yujjati. Yadipi phasso viññāṇassa visesapaccayo na hoti, tathāpi so tassa paccayo hotiyevāti tassa tajjāmanoviññāṇadhātusamphassajatā vattabbāti codanaṃ sandhāyāha ‘‘na ca tadevā’’tiādi. Tehi ārammaṇehi jātā tajjāti imināpi atthena tajjā manoviññāṇadhātusamphassajāti vattuṃ na sakkā. Viññāṇassa pana tajjatāpaññatti labbhateva. Tathā hi ‘‘kiṃ vā etenā’’tiādinā phassādīnaṃ tathā desetabbataṃ āha.

    . จิตฺตสฺส อารมฺมเณ อานยนาการปฺปวโตฺต วิตโกฺก อตฺถโต อารมฺมณํ ตตฺถ อากฑฺฒโนฺต วิย โหตีติ ‘‘อารมฺมณสฺส อากฑฺฒนํ วิตกฺกน’’นฺติ วุตฺตํฯ

    7. Cittassa ārammaṇe ānayanākārappavatto vitakko atthato ārammaṇaṃ tattha ākaḍḍhanto viya hotīti ‘‘ārammaṇassa ākaḍḍhanaṃ vitakkana’’nti vuttaṃ.

    . อารมฺมณสฺส อนุมชฺชนาการปฺปวโตฺต วิจาโร ตตฺถ ปริพฺภมโนฺต วิย สมนฺตโต จรโนฺต วิย จ โหตีติ ‘‘สมนฺตโต จรณํ วิจรณ’’นฺติ วุตฺตํฯ

    8. Ārammaṇassa anumajjanākārappavatto vicāro tattha paribbhamanto viya samantato caranto viya ca hotīti ‘‘samantato caraṇaṃ vicaraṇa’’nti vuttaṃ.

    ๑๑. ตถา อวฎฺฐานมตฺตภาวโตติ ปาณวธาทิสาธนอวฎฺฐานมตฺตภาวโต, น พลวภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ

    11. Tathā avaṭṭhānamattabhāvatoti pāṇavadhādisādhanaavaṭṭhānamattabhāvato, na balavabhāvatoti adhippāyo.

    ๑๔. เยน ธเมฺมน จิเตฺต อารมฺมณํ อุปติฎฺฐติ โชตติ จ, โส ธโมฺม อุปฎฺฐานํ โชตนนฺติ จ วุโตฺตติ อาห ‘‘อุปฎฺฐานํ โชตนญฺจ สติเยวา’’ติฯ

    14. Yena dhammena citte ārammaṇaṃ upatiṭṭhati jotati ca, so dhammo upaṭṭhānaṃ jotananti ca vuttoti āha ‘‘upaṭṭhānaṃ jotanañca satiyevā’’ti.

    ๑๖. สณฺหเฎฺฐนาติ สุขุมเฎฺฐนฯ

    16. Saṇhaṭṭhenāti sukhumaṭṭhena.

    ๓๐. ภาโวติ หิริยนํ วทติฯ

    30. Bhāvoti hiriyanaṃ vadati.

    ๓๓. พฺยาปาเทตโพฺพติ อพฺยาปชฺช-สทฺทสฺส กมฺมตฺถตํ อาหฯ

    33. Nabyāpādetabboti abyāpajja-saddassa kammatthataṃ āha.

    ๔๒-๔๓. ยทิ อนวชฺชธมฺมานํ สีฆสีฆปริวตฺตนสมตฺถตา ลหุตา, สาวชฺชธมฺมานํ กถนฺติ อาห ‘‘อวิชฺชานีวรณาน’’นฺติอาทิฯ เตสํ ภาโว ครุตาติ เอเตน สติปิ สเพฺพสํ อรูปธมฺมานํ สมานขณเตฺต โมหสมฺปยุตฺตานํ สาติสโย ทโนฺธ ปวตฺติอากาโรติ ทเสฺสติฯ โส ปน เตสํ ทนฺธากาโร สนฺตาเน ปากโฎ โหติฯ

    42-43. Yadi anavajjadhammānaṃ sīghasīghaparivattanasamatthatā lahutā, sāvajjadhammānaṃ kathanti āha ‘‘avijjānīvaraṇāna’’ntiādi. Tesaṃ bhāvogarutāti etena satipi sabbesaṃ arūpadhammānaṃ samānakhaṇatte mohasampayuttānaṃ sātisayo dandho pavattiākāroti dasseti. So pana tesaṃ dandhākāro santāne pākaṭo hoti.

    ๔๔-๔๕. อปฺปฎิฆาโต อวิโลมนํฯ

    44-45. Appaṭighāto avilomanaṃ.

    ๔๖-๔๗. กิลินฺนนฺติ อวสฺสุตํฯ

    46-47. Kilinnanti avassutaṃ.

    ๕๐-๕๑. ปโจฺจสกฺกนํ มายา ยา อจฺจสราติปิ วุจฺจติฯ อรุมกฺขนํ วณาเลปนํฯ เวฬุ เอว ทาตพฺพภาเวน ปริคฺคหิโต เวฬุทานํ นามฯ

    50-51. Paccosakkanaṃ māyā yā accasarātipi vuccati. Arumakkhanaṃ vaṇālepanaṃ. Veḷu eva dātabbabhāvena pariggahito veḷudānaṃ nāma.

    นิเทฺทสวารกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Niddesavārakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / กามาวจรกุสลํ • Kāmāvacarakusalaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā / กามาวจรกุสลํ นิเทฺทสวารกถา • Kāmāvacarakusalaṃ niddesavārakathā

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā / นิเทฺทสวารกถาวณฺณนา • Niddesavārakathāvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact