Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทกปาฐ-อฎฺฐกถา • Khuddakapāṭha-aṭṭhakathā |
๘. นิธิกณฺฑสุตฺตวณฺณนา
8. Nidhikaṇḍasuttavaṇṇanā
นิเกฺขปการณํ
Nikkhepakāraṇaṃ
อิทานิ ยทิทํ ติโรกุฎฺฎานนฺตรํ ‘‘นิธิํ นิเธติ ปุริโส’’ติอาทินา นิธิกณฺฑํ นิกฺขิตฺตํ, ตสฺส –
Idāni yadidaṃ tirokuṭṭānantaraṃ ‘‘nidhiṃ nidheti puriso’’tiādinā nidhikaṇḍaṃ nikkhittaṃ, tassa –
‘‘ภาสิตฺวา นิธิกณฺฑสฺส, อิธ นิเกฺขปการณํ;
‘‘Bhāsitvā nidhikaṇḍassa, idha nikkhepakāraṇaṃ;
อฎฺฐุปฺปตฺติญฺจ ทีเปตฺวา, กริสฺสามตฺถวณฺณนํ’’ฯ
Aṭṭhuppattiñca dīpetvā, karissāmatthavaṇṇanaṃ’’.
ตตฺถ อิธ นิเกฺขปการณํ ตาวสฺส เอวํ เวทิตพฺพํฯ อิทญฺหิ นิธิกณฺฑํ ภควตา อิมินา อนุกฺกเมน อวุตฺตมฺปิ ยสฺมา อนุโมทนวเสน วุตฺตสฺส ติโรกุฎฺฎสฺส มิถุนภูตํ, ตสฺมา อิธ นิกฺขิตฺตํฯ ติโรกุเฎฺฎน วา ปุญฺญวิรหิตานํ วิปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิมินา กตปุญฺญานํ สมฺปตฺติทสฺสนตฺถมฺปิ อิทํ อิธ นิกฺขิตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิทมสฺส อิธ นิเกฺขปการณํฯ
Tattha idha nikkhepakāraṇaṃ tāvassa evaṃ veditabbaṃ. Idañhi nidhikaṇḍaṃ bhagavatā iminā anukkamena avuttampi yasmā anumodanavasena vuttassa tirokuṭṭassa mithunabhūtaṃ, tasmā idha nikkhittaṃ. Tirokuṭṭena vā puññavirahitānaṃ vipattiṃ dassetvā iminā katapuññānaṃ sampattidassanatthampi idaṃ idha nikkhittanti veditabbaṃ. Idamassa idha nikkhepakāraṇaṃ.
สุตฺตฎฺฐุปฺปตฺติ
Suttaṭṭhuppatti
อฎฺฐุปฺปตฺติ ปนสฺส – สาวตฺถิยํ กิร อญฺญตโร กุฎุมฺพิโก อโฑฺฒ มหทฺธโน มหาโภโคฯ โส จ สโทฺธ โหติ ปสโนฺน, วิคตมลมเจฺฉเรน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติฯ โส เอกสฺมิํ ทิวเส พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานํ เทติฯ เตน จ สมเยน ราชา ธนตฺถิโก โหติ, โส ตสฺส สนฺติเก ปุริสํ เปเสสิ ‘‘คจฺฉ, ภเณ, อิตฺถนฺนามํ กุฎุมฺพิกํ อาเนหี’’ติฯ โส คนฺตฺวา ตํ กุฎุมฺพิกํ อาห ‘‘ราชา ตํ คหปติ อามเนฺตตี’’ติฯ กุฎุมฺพิโก สทฺธาทิคุณสมนฺนาคเตน เจตสา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสโนฺต อาห ‘‘คจฺฉ, โภ ปุริส, ปจฺฉา อาคมิสฺสามิ, อิทานิ ตาวมฺหิ นิธิํ นิเธโนฺต ฐิโต’’ติฯ อถ ภควา ภุตฺตาวี ปวาริโต ตเมว ปุญฺญสมฺปทํ ปรมตฺถโต นิธีติ ทเสฺสตุํ ตสฺส กุฎุมฺพิกสฺส อนุโมทนตฺถํ ‘‘นิธิํ นิเธติ ปุริโส’’ติ อิมา คาถาโย อภาสิฯ อยมสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติฯ
Aṭṭhuppatti panassa – sāvatthiyaṃ kira aññataro kuṭumbiko aḍḍho mahaddhano mahābhogo. So ca saddho hoti pasanno, vigatamalamaccherena cetasā agāraṃ ajjhāvasati. So ekasmiṃ divase buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa dānaṃ deti. Tena ca samayena rājā dhanatthiko hoti, so tassa santike purisaṃ pesesi ‘‘gaccha, bhaṇe, itthannāmaṃ kuṭumbikaṃ ānehī’’ti. So gantvā taṃ kuṭumbikaṃ āha ‘‘rājā taṃ gahapati āmantetī’’ti. Kuṭumbiko saddhādiguṇasamannāgatena cetasā buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ parivisanto āha ‘‘gaccha, bho purisa, pacchā āgamissāmi, idāni tāvamhi nidhiṃ nidhento ṭhito’’ti. Atha bhagavā bhuttāvī pavārito tameva puññasampadaṃ paramatthato nidhīti dassetuṃ tassa kuṭumbikassa anumodanatthaṃ ‘‘nidhiṃ nidheti puriso’’ti imā gāthāyo abhāsi. Ayamassa aṭṭhuppatti.
เอวมสฺส –
Evamassa –
‘‘ภาสิตฺวา นิธิกณฺฑสฺส, อิธ นิเกฺขปการณํ;
‘‘Bhāsitvā nidhikaṇḍassa, idha nikkhepakāraṇaṃ;
อฎฺฐุปฺปตฺติญฺจ ทีเปตฺวา, กริสฺสามตฺถวณฺณนํ’’ฯ
Aṭṭhuppattiñca dīpetvā, karissāmatthavaṇṇanaṃ’’.
ปฐมคาถาวณฺณนา
Paṭhamagāthāvaṇṇanā
๑. ตตฺถ นิธิํ นิเธติ ปุริโสติ นิธียตีติ นิธิ, ฐปียติ รกฺขียติ โคปียตีติ อโตฺถฯ โส จตุพฺพิโธ ถาวโร, ชงฺคโม, องฺคสโม, อนุคามิโกติฯ ตตฺถ ถาวโร นาม ภูมิคตํ วา เวหาสฎฺฐํ วา หิรญฺญํ วา สุวณฺณํ วา เขตฺตํ วา วตฺถุ วา, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ เอวรูปํ อิริยาปถวิรหิตํ, อยํ ถาวโร นิธิฯ ชงฺคโม นาม ทาสิทาสํ หตฺถิควสฺสวฬวํ อเชฬกํ กุกฺกุฎสูกรํ ยํ วา ปนญฺญมฺปิ เอวรูปํ อิริยาปถปฎิสํยุตฺตํฯ อยํ ชงฺคโม นิธิ องฺคสโม นาม กมฺมายตนํ, สิปฺปายตนํ, วิชฺชาฎฺฐานํ, พาหุสจฺจํ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ เอวรูปํ สิกฺขิตฺวา คหิตํ องฺคปจฺจงฺคมิว อตฺตภาวปฺปฎิพทฺธํ, อยํ องฺคสโม นิธิฯ อนุคามิโก นาม ทานมยํ ปุญฺญํ สีลมยํ ภาวนามยํ ธมฺมสฺสวนมยํ ธมฺมเทสนามยํ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ เอวรูปํ ปุญฺญํ ตตฺถ ตตฺถ อนุคนฺตฺวา วิย อิฎฺฐผลมนุปฺปเทติ, อยํ อนุคามิโก นิธิฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน ถาวโร อธิเปฺปโตฯ
1. Tattha nidhiṃ nidheti purisoti nidhīyatīti nidhi, ṭhapīyati rakkhīyati gopīyatīti attho. So catubbidho thāvaro, jaṅgamo, aṅgasamo, anugāmikoti. Tattha thāvaro nāma bhūmigataṃ vā vehāsaṭṭhaṃ vā hiraññaṃ vā suvaṇṇaṃ vā khettaṃ vā vatthu vā, yaṃ vā panaññampi evarūpaṃ iriyāpathavirahitaṃ, ayaṃ thāvaro nidhi. Jaṅgamo nāma dāsidāsaṃ hatthigavassavaḷavaṃ ajeḷakaṃ kukkuṭasūkaraṃ yaṃ vā panaññampi evarūpaṃ iriyāpathapaṭisaṃyuttaṃ. Ayaṃ jaṅgamo nidhi aṅgasamo nāma kammāyatanaṃ, sippāyatanaṃ, vijjāṭṭhānaṃ, bāhusaccaṃ, yaṃ vā panaññampi evarūpaṃ sikkhitvā gahitaṃ aṅgapaccaṅgamiva attabhāvappaṭibaddhaṃ, ayaṃ aṅgasamo nidhi. Anugāmiko nāma dānamayaṃ puññaṃ sīlamayaṃ bhāvanāmayaṃ dhammassavanamayaṃ dhammadesanāmayaṃ, yaṃ vā panaññampi evarūpaṃ puññaṃ tattha tattha anugantvā viya iṭṭhaphalamanuppadeti, ayaṃ anugāmiko nidhi. Imasmiṃ pana ṭhāne thāvaro adhippeto.
นิเธตีติ ฐเปติ ปฎิสาเมติ โคเปติฯ ปุริโสติ มนุโสฺสฯ กามญฺจ ปุริโสปิ อิตฺถีปิ ปณฺฑโกปิ นิธิํ นิเธติ, อิธ ปน ปุริสสีเสน เทสนา กตา, อตฺถโต ปน เตสมฺปิ อิธ สโมธานํ ทฎฺฐพฺพํฯ คมฺภีเร โอทกนฺติเกติ โอคาเหตพฺพเฎฺฐน คมฺภีรํ, อุทกสฺส อนฺติกภาเวน โอทกนฺติกํฯ อตฺถิ คมฺภีรํ น โอทกนฺติกํ ชงฺคเล ภูมิภาเค สติกโปริโส อาวาโฎ วิย, อตฺถิ โอทกนฺติกํ น คมฺภีรํ นิเนฺน ปลฺลเล เอกทฺวิวิทตฺถิโก อาวาโฎ วิย, อตฺถิ คมฺภีรเญฺจว โอทกนฺติกญฺจ ชงฺคเล ภูมิภาเค ยาว อิทานิ อุทกํ อาคมิสฺสตีติ, ตาว ขโต อาวาโฎ วิยฯ ตํ สนฺธาย อิทํ วุตฺตํ ‘‘คมฺภีเร โอทกนฺติเก’’ติฯ อเตฺถ กิเจฺจ สมุปฺปเนฺนติ อตฺถา อนเปตนฺติ อตฺถํ, อตฺถาวหํ หิตาวหนฺติ วุตฺตํ โหติฯ กาตพฺพนฺติ กิจฺจํ, กิญฺจิเทว กรณียนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อุปฺปนฺนํ เอว สมุปฺปนฺนํ, กตฺตพฺพภาเวน อุปฎฺฐิตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺมิํ อเตฺถ กิเจฺจ สมุปฺปเนฺนฯ อตฺถาย เม ภวิสฺสตีติ นิธานปฺปโยชนนิทสฺสนเมตํฯ เอตทตฺถญฺหิ โส นิเธติ ‘‘อตฺถาวเห กิสฺมิญฺจิเทว กรณีเย สมุปฺปเนฺน อตฺถาย เม ภวิสฺสติ, ตสฺส เม กิจฺจสฺส นิปฺผตฺติยา ภวิสฺสตี’’ติฯ กิจฺจนิปฺผตฺติเยว หิ ตสฺส กิเจฺจ สมุปฺปเนฺน อโตฺถติ เวทิตโพฺพฯ
Nidhetīti ṭhapeti paṭisāmeti gopeti. Purisoti manusso. Kāmañca purisopi itthīpi paṇḍakopi nidhiṃ nidheti, idha pana purisasīsena desanā katā, atthato pana tesampi idha samodhānaṃ daṭṭhabbaṃ. Gambhīre odakantiketi ogāhetabbaṭṭhena gambhīraṃ, udakassa antikabhāvena odakantikaṃ. Atthi gambhīraṃ na odakantikaṃ jaṅgale bhūmibhāge satikaporiso āvāṭo viya, atthi odakantikaṃ na gambhīraṃ ninne pallale ekadvividatthiko āvāṭo viya, atthi gambhīrañceva odakantikañca jaṅgale bhūmibhāge yāva idāni udakaṃ āgamissatīti, tāva khato āvāṭo viya. Taṃ sandhāya idaṃ vuttaṃ ‘‘gambhīre odakantike’’ti. Atthe kicce samuppanneti atthā anapetanti atthaṃ, atthāvahaṃ hitāvahanti vuttaṃ hoti. Kātabbanti kiccaṃ, kiñcideva karaṇīyanti vuttaṃ hoti. Uppannaṃ eva samuppannaṃ, kattabbabhāvena upaṭṭhitanti vuttaṃ hoti. Tasmiṃ atthe kicce samuppanne. Atthāya me bhavissatīti nidhānappayojananidassanametaṃ. Etadatthañhi so nidheti ‘‘atthāvahe kismiñcideva karaṇīye samuppanne atthāya me bhavissati, tassa me kiccassa nipphattiyā bhavissatī’’ti. Kiccanipphattiyeva hi tassa kicce samuppanne atthoti veditabbo.
ทุติยคาถาวณฺณนา
Dutiyagāthāvaṇṇanā
เอวํ นิธานปฺปโยชนํ ทเสฺสโนฺต อตฺถาธิคมาธิปฺปายํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อนตฺถาปคมาธิปฺปายํ ทเสฺสตุมาห –
Evaṃ nidhānappayojanaṃ dassento atthādhigamādhippāyaṃ dassetvā idāni anatthāpagamādhippāyaṃ dassetumāha –
๒. ‘‘ราชโต วา ทุรุตฺตสฺส, โจรโต ปีฬิตสฺส วาฯ
2. ‘‘Rājato vā duruttassa, corato pīḷitassa vā.
อิณสฺส วา ปโมกฺขาย, ทุพฺภิเกฺข อาปทาสุ วา’’ติฯ
Iṇassa vā pamokkhāya, dubbhikkhe āpadāsu vā’’ti.
ตสฺสโตฺถ ‘‘อตฺถาย เม ภวิสฺสตี’’ติ จ ‘‘อิณสฺส วา ปโมกฺขายา’’ติ จ เอตฺถ วุเตฺตหิ ทฺวีหิ ภวิสฺสติปโมกฺขาย-ปเทหิ สทฺธิํ ยถาสมฺภวํ โยเชตฺวา เวทิตโพฺพฯ
Tassattho ‘‘atthāya me bhavissatī’’ti ca ‘‘iṇassa vā pamokkhāyā’’ti ca ettha vuttehi dvīhi bhavissatipamokkhāya-padehi saddhiṃ yathāsambhavaṃ yojetvā veditabbo.
ตตฺถายํ โยชนา – น เกวลํ อตฺถาย เม ภวิสฺสตีติ เอว ปุริโส นิธิํ นิเธติ, กินฺตุ ‘‘อยํ โจโร’’ติ วา ‘‘ปารทาริโก’’ติ วา ‘‘สุงฺกฆาตโก’’ติ วา เอวมาทินา นเยน ปจฺจตฺถิเกหิ ปจฺจามิเตฺตหิ ทุรุตฺตสฺส เม สโต ราชโต วา ปโมกฺขาย ภวิสฺสติ, สนฺธิเจฺฉทาทีหิ ธนหรเณน วา, ‘‘เอตฺตกํ หิรญฺญสุวณฺณํ เทหี’’ติ ชีวคฺคาเหน วา โจเรหิ เม ปีฬิตสฺส สโต โจรโต วา ปโมกฺขาย ภวิสฺสติฯ สนฺติ เม อิณายิกา, เต มํ ‘‘อิณํ เทหี’’ติ โจเทสฺสนฺติ, เตหิ เม โจทิยมานสฺส อิณสฺส วา ปโมกฺขาย ภวิสฺสติฯ โหติ โส สมโย, ยํ ทุพฺภิกฺขํ โหติ ทุสฺสสฺสํ ทุลฺลภปิณฺฑํ, ตตฺถ น สุกรํ อปฺปธเนน ยาเปตุํ, ตถาวิเธ อาคเต ทุพฺภิเกฺข วา เม ภวิสฺสติ ฯ ยถารูปา อาปทา อุปฺปชฺชนฺติ อคฺคิโต วา อุทกโต วา อปฺปิยทายาทโต วา, ตถารูปาสุ วา อุปฺปนฺนาสุ อาปทาสุ เม ภวิสฺสตีติปิ ปุริโส นิธิํ นิเธตีติฯ
Tatthāyaṃ yojanā – na kevalaṃ atthāya me bhavissatīti eva puriso nidhiṃ nidheti, kintu ‘‘ayaṃ coro’’ti vā ‘‘pāradāriko’’ti vā ‘‘suṅkaghātako’’ti vā evamādinā nayena paccatthikehi paccāmittehi duruttassa me sato rājato vā pamokkhāya bhavissati, sandhicchedādīhi dhanaharaṇena vā, ‘‘ettakaṃ hiraññasuvaṇṇaṃ dehī’’ti jīvaggāhena vā corehi me pīḷitassa sato corato vā pamokkhāya bhavissati. Santi me iṇāyikā, te maṃ ‘‘iṇaṃ dehī’’ti codessanti, tehi me codiyamānassa iṇassa vā pamokkhāya bhavissati. Hoti so samayo, yaṃ dubbhikkhaṃ hoti dussassaṃ dullabhapiṇḍaṃ, tattha na sukaraṃ appadhanena yāpetuṃ, tathāvidhe āgate dubbhikkhe vā me bhavissati . Yathārūpā āpadā uppajjanti aggito vā udakato vā appiyadāyādato vā, tathārūpāsu vā uppannāsu āpadāsu me bhavissatītipi puriso nidhiṃ nidhetīti.
เอวํ อตฺถาธิคมาธิปฺปายํ อนตฺถาปคมาธิปฺปายญฺจาติ ทฺวีหิ คาถาหิ ทุวิธํ นิธานปฺปโยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตเมว ทุวิธํ ปโยชนํ นิคเมโนฺต อาห –
Evaṃ atthādhigamādhippāyaṃ anatthāpagamādhippāyañcāti dvīhi gāthāhi duvidhaṃ nidhānappayojanaṃ dassetvā idāni tameva duvidhaṃ payojanaṃ nigamento āha –
‘‘เอตทตฺถาย โลกสฺมิํ, นิธิ นาม นิธียตี’’ติฯ
‘‘Etadatthāya lokasmiṃ, nidhi nāma nidhīyatī’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ยฺวายํ ‘‘อตฺถาย เม ภวิสฺสตี’’ติ จ ‘‘ราชโต วา ทุรุตฺตสฺสา’’ติ เอวมาทีหิ จ อตฺถาธิคโม อนตฺถาปคโม จ ทสฺสิโตฯ เอตทตฺถาย เอเตสํ นิปฺผาทนตฺถาย อิมสฺมิํ โอกาสโลเก โย โกจิ หิรญฺญสุวณฺณาทิเภโท นิธิ นาม นิธียติ ฐปียติ ปฎิสามียตีติฯ
Tassattho – yvāyaṃ ‘‘atthāya me bhavissatī’’ti ca ‘‘rājato vā duruttassā’’ti evamādīhi ca atthādhigamo anatthāpagamo ca dassito. Etadatthāya etesaṃ nipphādanatthāya imasmiṃ okāsaloke yo koci hiraññasuvaṇṇādibhedo nidhi nāma nidhīyati ṭhapīyati paṭisāmīyatīti.
ตติยคาถาวณฺณนา
Tatiyagāthāvaṇṇanā
อิทานิ ยสฺมา เอวํ นิหิโตปิ โส นิธิ ปุญฺญวตํเยว อธิเปฺปตตฺถสาธโก โหติ, น อเญฺญสํ, ตสฺมา ตมตฺถํ ทีเปโนฺต อาห –
Idāni yasmā evaṃ nihitopi so nidhi puññavataṃyeva adhippetatthasādhako hoti, na aññesaṃ, tasmā tamatthaṃ dīpento āha –
๓. ‘‘ตาวสฺสุนิหิโต สโนฺต, คมฺภีเร โอทกนฺติเกฯ
3. ‘‘Tāvassunihito santo, gambhīre odakantike.
น สโพฺพ สพฺพทา เอว, ตสฺส ตํ อุปกปฺปตี’’ติฯ
Na sabbo sabbadā eva, tassa taṃ upakappatī’’ti.
ตสฺสโตฺถ – โส นิธิ ตาว สุนิหิโต สโนฺต, ตาว สุฎฺฐุ นิขณิตฺวา ฐปิโต สมาโนติ วุตฺตํ โหติฯ กีว สุฎฺฐูติ? คมฺภีเร โอทกนฺติเก, ยาว คมฺภีเร โอทกนฺติเก นิหิโตติ สงฺขํ คจฺฉติ, ตาว สุฎฺฐูติ วุตฺตํ โหติฯ น สโพฺพ สพฺพทา เอว, ตสฺส ตํ อุปกปฺปตีติ เยน ปุริเสน นิหิโต, ตสฺส สโพฺพปิ สพฺพกาลํ น อุปกปฺปติ น สมฺปชฺชติ, ยถาวุตฺตกิจฺจกรณสมโตฺถ น โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ กินฺตุ โกจิเทว กทาจิเทว อุปกปฺปติ, เนว วา อุปกปฺปตีติฯ เอตฺถ จ นฺติ ปทปูรณมเตฺต นิปาโต ทฎฺฐโพฺพ ‘‘ยถา ตํ อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๘-๑๙; ๓.๑๕๔) วิยฯ ลิงฺคเภทํ วา กตฺวา ‘‘โส’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ต’’นฺติ วุตฺตํฯ เอวํ หิ วุจฺจมาเน โส อโตฺถ สุขํ พุชฺฌตีติฯ
Tassattho – so nidhi tāva sunihito santo, tāva suṭṭhu nikhaṇitvā ṭhapito samānoti vuttaṃ hoti. Kīva suṭṭhūti? Gambhīre odakantike, yāva gambhīre odakantike nihitoti saṅkhaṃ gacchati, tāva suṭṭhūti vuttaṃ hoti. Na sabbo sabbadā eva, tassa taṃ upakappatīti yena purisena nihito, tassa sabbopi sabbakālaṃ na upakappati na sampajjati, yathāvuttakiccakaraṇasamattho na hotīti vuttaṃ hoti. Kintu kocideva kadācideva upakappati, neva vā upakappatīti. Ettha ca nti padapūraṇamatte nipāto daṭṭhabbo ‘‘yathā taṃ appamattassa ātāpino’’ti evamādīsu (ma. ni. 2.18-19; 3.154) viya. Liṅgabhedaṃ vā katvā ‘‘so’’ti vattabbe ‘‘ta’’nti vuttaṃ. Evaṃ hi vuccamāne so attho sukhaṃ bujjhatīti.
จตุตฺถปญฺจมคาถาวณฺณนา
Catutthapañcamagāthāvaṇṇanā
เอวํ ‘‘น สโพฺพ สพฺพทา เอว, ตสฺส ตํ อุปกปฺปตี’’ติ วตฺวา อิทานิ เยหิ การเณหิ น อุปกปฺปติ, ตานิ ทเสฺสโนฺต อาห –
Evaṃ ‘‘na sabbo sabbadā eva, tassa taṃ upakappatī’’ti vatvā idāni yehi kāraṇehi na upakappati, tāni dassento āha –
๔. ‘‘นิธิ วา ฐานา จวติ, สญฺญา วาสฺส วิมุยฺหติฯ
4. ‘‘Nidhi vā ṭhānā cavati, saññā vāssa vimuyhati.
นาคา วา อปนาเมนฺติ, ยสฺมา วาปิ หรนฺติ นํฯ
Nāgā vā apanāmenti, yasmā vāpi haranti naṃ.
๕. ‘‘อปฺปิยา วาปิ ทายาทา, อุทฺธรนฺติ อปสฺสโต’’ติฯ
5. ‘‘Appiyā vāpi dāyādā, uddharanti apassato’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ยสฺมิํ ฐาเน สุนิหิโต โหติ นิธิ, โส วา นิธิ ตมฺหา ฐานา จวติ อเปติ วิคจฺฉติ, อเจตโนปิ สมาโน ปุญฺญกฺขยวเสน อญฺญํ ฐานํ คจฺฉติฯ สญฺญา วา อสฺส วิมุยฺหติ, ยสฺมิํ ฐาเน นิหิโต นิธิ, ตํ น ชานาติ, อสฺส ปุญฺญกฺขยโจทิตา นาคา วา ตํ นิธิํ อปนาเมนฺติ อญฺญํ ฐานํ คเมนฺติฯ ยกฺขา วาปิ หรนฺติ เยนิจฺฉกํ อาทาย คจฺฉนฺติฯ อปสฺสโต วา อสฺส อปฺปิยา วา ทายาทา ภูมิํ ขณิตฺวา ตํ นิธิํ อุทฺธรนฺติฯ เอวมสฺส เอเตหิ ฐานา จวนาทีหิ การเณหิ โส นิธิ น อุปกปฺปตีติฯ
Tassattho – yasmiṃ ṭhāne sunihito hoti nidhi, so vā nidhi tamhā ṭhānā cavati apeti vigacchati, acetanopi samāno puññakkhayavasena aññaṃ ṭhānaṃ gacchati. Saññā vā assa vimuyhati, yasmiṃ ṭhāne nihito nidhi, taṃ na jānāti, assa puññakkhayacoditā nāgā vā taṃ nidhiṃ apanāmenti aññaṃ ṭhānaṃ gamenti. Yakkhā vāpi haranti yenicchakaṃ ādāya gacchanti. Apassato vā assa appiyā vā dāyādā bhūmiṃ khaṇitvā taṃ nidhiṃ uddharanti. Evamassa etehi ṭhānā cavanādīhi kāraṇehi so nidhi na upakappatīti.
เอวํ ฐานา จวนาทีนิ โลกสมฺมตานิ อนุปกปฺปนการณานิ วตฺวา อิทานิ ยํ ตํ เอเตสมฺปิ การณานํ มูลภูตํ เอกเญฺญว ปุญฺญกฺขยสญฺญิตํ การณํ, ตํ ทเสฺสโนฺต อาห –
Evaṃ ṭhānā cavanādīni lokasammatāni anupakappanakāraṇāni vatvā idāni yaṃ taṃ etesampi kāraṇānaṃ mūlabhūtaṃ ekaññeva puññakkhayasaññitaṃ kāraṇaṃ, taṃ dassento āha –
‘‘ยทา ปุญฺญกฺขโย โหติ, สพฺพเมตํ วินสฺสตี’’ติฯ
‘‘Yadā puññakkhayo hoti, sabbametaṃ vinassatī’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ยสฺมิํ สมเย โภคสมฺปตฺตินิปฺผาทกสฺส ปุญฺญสฺส ขโย โหติ, โภคปาริชุญฺญสํวตฺตนิกมปุญฺญโมกาสํ กตฺวา ฐิตํ โหติ, อถ ยํ นิธิํ นิเธเนฺตน นิหิตํ หิรญฺญสุวณฺณาทิธนชาตํ, สพฺพเมตํ วินสฺสตีติฯ
Tassattho – yasmiṃ samaye bhogasampattinipphādakassa puññassa khayo hoti, bhogapārijuññasaṃvattanikamapuññamokāsaṃ katvā ṭhitaṃ hoti, atha yaṃ nidhiṃ nidhentena nihitaṃ hiraññasuvaṇṇādidhanajātaṃ, sabbametaṃ vinassatīti.
ฉฎฺฐคาถาวณฺณนา
Chaṭṭhagāthāvaṇṇanā
เอวํ ภควา เตน เตน อธิปฺปาเยน นิหิตมฺปิ ยถาธิปฺปายํ อนุปกปฺปนฺตํ นานปฺปกาเรหิ นสฺสนธมฺมํ โลกสมฺมตํ นิธิํ วตฺวา อิทานิ ยํ ปุญฺญสมฺปทํ ปรมตฺถโต นิธีติ ทเสฺสตุํ ตสฺส กุฎุมฺพิกสฺส อนุโมทนตฺถมิทํ นิธิกณฺฑมารทฺธํ, ตํ ทเสฺสโนฺต อาห –
Evaṃ bhagavā tena tena adhippāyena nihitampi yathādhippāyaṃ anupakappantaṃ nānappakārehi nassanadhammaṃ lokasammataṃ nidhiṃ vatvā idāni yaṃ puññasampadaṃ paramatthato nidhīti dassetuṃ tassa kuṭumbikassa anumodanatthamidaṃ nidhikaṇḍamāraddhaṃ, taṃ dassento āha –
๖. ‘‘ยสฺส ทาเนน สีเลน, สํยเมน ทเมน จฯ
6. ‘‘Yassa dānena sīlena, saṃyamena damena ca.
นิธี สุนิหิโต โหติ, อิตฺถิยา ปุริสสฺส วา’’ติฯ
Nidhī sunihito hoti, itthiyā purisassa vā’’ti.
ตตฺถ ทานนฺติ ‘‘ทานญฺจ ธมฺมจริยา จา’’ติ เอตฺถ วุตฺตนเยเนว คเหตพฺพํฯ สีลนฺติ กายิกวาจสิโก อวีติกฺกโมฯ ปญฺจงฺคทสงฺคปาติโมกฺขสํวราทิ วา สพฺพมฺปิ สีลํ อิธ สีลนฺติ อธิเปฺปตํฯ สํยโมติ สํยมนํ สํยโม, เจตโส นานารมฺมณคตินิวารณนฺติ วุตฺตํ โหติ, สมาธิเสฺสตํ อธิวจนํฯ เยน สํยเมน สมนฺนาคโต ‘‘หตฺถสํยโต, ปาทสํยโต, วาจาสํยโต, สํยตุตฺตโม’’ติ เอตฺถ สํยตุตฺตโมติ วุโตฺตฯ อปเร อาหุ ‘‘สํยมนํ สํยโม, สํวรณนฺติ วุตฺตํ โหติ, อินฺทฺริยสํวรเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติฯ ทโมติ ทมนํ, กิเลสูปสมนนฺติ วุตฺตํ โหติ, ปญฺญาเยตํ อธิวจนํฯ ปญฺญา หิ กตฺถจิ ปญฺญาเตฺวว วุจฺจติ ‘‘สุสฺสูสา ลภเต ปญฺญ’’นฺติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖; สุ. นิ. ๑๘๘)ฯ กตฺถจิ ธโมฺมติ ‘‘สจฺจํ ธโมฺม ธิติ จาโค’’ติ เอวมาทีสุฯ กตฺถจิ ทโมติ ‘‘ยทิ สจฺจา ทมา จาคา, ขนฺตฺยา ภิโยฺย น วิชฺชตี’’ติอาทีสุฯ
Tatthadānanti ‘‘dānañca dhammacariyā cā’’ti ettha vuttanayeneva gahetabbaṃ. Sīlanti kāyikavācasiko avītikkamo. Pañcaṅgadasaṅgapātimokkhasaṃvarādi vā sabbampi sīlaṃ idha sīlanti adhippetaṃ. Saṃyamoti saṃyamanaṃ saṃyamo, cetaso nānārammaṇagatinivāraṇanti vuttaṃ hoti, samādhissetaṃ adhivacanaṃ. Yena saṃyamena samannāgato ‘‘hatthasaṃyato, pādasaṃyato, vācāsaṃyato, saṃyatuttamo’’ti ettha saṃyatuttamoti vutto. Apare āhu ‘‘saṃyamanaṃ saṃyamo, saṃvaraṇanti vuttaṃ hoti, indriyasaṃvarassetaṃ adhivacana’’nti. Damoti damanaṃ, kilesūpasamananti vuttaṃ hoti, paññāyetaṃ adhivacanaṃ. Paññā hi katthaci paññātveva vuccati ‘‘sussūsā labhate pañña’’nti evamādīsu (saṃ. ni. 1.246; su. ni. 188). Katthaci dhammoti ‘‘saccaṃ dhammo dhiti cāgo’’ti evamādīsu. Katthaci damoti ‘‘yadi saccā damā cāgā, khantyā bhiyyo na vijjatī’’tiādīsu.
เอวํ ทานาทีนิ ญตฺวา อิทานิ เอวํ อิมิสฺสา คาถาย สมฺปิเณฺฑตฺวา อโตฺถ เวทิตโพฺพ – ยสฺส อิตฺถิยา วา ปุริสสฺส วา ทาเนน สีเลน สํยเมน ทเมน จาติ อิเมหิ จตูหิ ธเมฺมหิ ยถา หิรเญฺญน สุวเณฺณน มุตฺตาย มณินา วา ธนมโย นิธิ เตสํ สุวณฺณาทีนํ เอกตฺถ ปกฺขิปเนน นิธียติ, เอวํ ปุญฺญมโย นิธิ เตสํ ทานาทีนํ เอกจิตฺตสนฺตาเน เจติยาทิมฺหิ วา วตฺถุมฺหิ สุฎฺฐุ กรเณน สุนิหิโต โหตีติฯ
Evaṃ dānādīni ñatvā idāni evaṃ imissā gāthāya sampiṇḍetvā attho veditabbo – yassa itthiyā vā purisassa vā dānena sīlena saṃyamena damena cāti imehi catūhi dhammehi yathā hiraññena suvaṇṇena muttāya maṇinā vā dhanamayo nidhi tesaṃ suvaṇṇādīnaṃ ekattha pakkhipanena nidhīyati, evaṃ puññamayo nidhi tesaṃ dānādīnaṃ ekacittasantāne cetiyādimhi vā vatthumhi suṭṭhu karaṇena sunihito hotīti.
สตฺตมคาถาวณฺณนา
Sattamagāthāvaṇṇanā
เอวํ ภควา ‘‘ยสฺส ทาเนนา’’ติ อิมาย คาถาย ปุญฺญสมฺปทาย ปรมตฺถโต นิธิภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยตฺถ นิหิโต, โส นิธิ สุนิหิโต โหติ, ตํ วตฺถุํ ทเสฺสโนฺต อาห –
Evaṃ bhagavā ‘‘yassa dānenā’’ti imāya gāthāya puññasampadāya paramatthato nidhibhāvaṃ dassetvā idāni yattha nihito, so nidhi sunihito hoti, taṃ vatthuṃ dassento āha –
๗. ‘‘เจติยมฺหิ จ สเงฺฆ วา, ปุคฺคเล อติถีสุ วาฯ
7. ‘‘Cetiyamhi ca saṅghe vā, puggale atithīsu vā.
มาตริ ปิตริ จาปิ, อโถ เชฎฺฐมฺหิ ภาตรี’’ติฯ
Mātari pitari cāpi, atho jeṭṭhamhi bhātarī’’ti.
ตตฺถ จยิตพฺพนฺติ เจติยํ, ปูเชตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติ, จิตตฺตา วา เจติยํฯ ตํ ปเนตํ เจติยํ ติวิธํ โหติ ปริโภคเจติยํ , อุทฺทิสฺสกเจติยํ, ธาตุกเจติยนฺติฯ ตตฺถ โพธิรุโกฺข ปริโภคเจติยํ, พุทฺธปฎิมา อุทฺทิสฺสกเจติยํ, ธาตุคพฺภถูปา สธาตุกา ธาตุกเจติยํฯ สโงฺฆติ พุทฺธปฺปมุขาทีสุ โย โกจิฯ ปุคฺคโลติ คหฎฺฐปพฺพชิเตสุ โย โกจิฯ นตฺถิ อสฺส ติถิ, ยมฺหิ วา ตมฺหิ ทิวเส อาคจฺฉตีติ อติถิฯ ตงฺขเณ อาคตปาหุนกเสฺสตํ อธิวจนํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
Tattha cayitabbanti cetiyaṃ, pūjetabbanti vuttaṃ hoti, citattā vā cetiyaṃ. Taṃ panetaṃ cetiyaṃ tividhaṃ hoti paribhogacetiyaṃ , uddissakacetiyaṃ, dhātukacetiyanti. Tattha bodhirukkho paribhogacetiyaṃ, buddhapaṭimā uddissakacetiyaṃ, dhātugabbhathūpā sadhātukā dhātukacetiyaṃ. Saṅghoti buddhappamukhādīsu yo koci. Puggaloti gahaṭṭhapabbajitesu yo koci. Natthi assa tithi, yamhi vā tamhi divase āgacchatīti atithi. Taṅkhaṇe āgatapāhunakassetaṃ adhivacanaṃ. Sesaṃ vuttanayameva.
เอวํ เจติยาทีนิ ญตฺวา อิทานิ เอวํ อิมิสฺสา คาถาย สมฺปิเณฺฑตฺวา อโตฺถ เวทิตโพฺพ – โย โส นิธิ ‘‘สุนิหิโต โหตี’’ติ วุโตฺต, โส อิเมสุ วตฺถูสุ สุนิหิโต โหติฯ กสฺมา? ทีฆรตฺตํ อิฎฺฐผลานุปฺปทานสมตฺถตายฯ ตถา หิ อปฺปกมฺปิ เจติยมฺหิ ทตฺวา ทีฆรตฺตํ อิฎฺฐผลลาภิโน โหนฺติฯ ยถาห –
Evaṃ cetiyādīni ñatvā idāni evaṃ imissā gāthāya sampiṇḍetvā attho veditabbo – yo so nidhi ‘‘sunihito hotī’’ti vutto, so imesu vatthūsu sunihito hoti. Kasmā? Dīgharattaṃ iṭṭhaphalānuppadānasamatthatāya. Tathā hi appakampi cetiyamhi datvā dīgharattaṃ iṭṭhaphalalābhino honti. Yathāha –
‘‘เอกปุปฺผํ ยชิตฺวาน, อสีติกปฺปโกฎิโย;
‘‘Ekapupphaṃ yajitvāna, asītikappakoṭiyo;
ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, ปุปฺผทานสฺสิทํ ผล’’นฺติ จฯ
Duggatiṃ nābhijānāmi, pupphadānassidaṃ phala’’nti ca.
‘‘มตฺตาสุขปริจฺจาคา, ปเสฺส เจ วิปุลํ สุข’’นฺติ จฯ (ธ. ป. ๒๙๐);
‘‘Mattāsukhapariccāgā, passe ce vipulaṃ sukha’’nti ca. (dha. pa. 290);
เอวํ ทกฺขิณาวิสุทฺธิเวลามสุตฺตาทีสุ วุตฺตนเยน สงฺฆาทิวตฺถูสุปิ ทานผลวิภาโค เวทิตโพฺพฯ ยถา จ เจติยาทีสุ ทานสฺส ปวตฺติ ผลวิภูติ จ ทสฺสิตา, เอวํ ยถาโยคํ สพฺพตฺถ ตํ ตํ อารภิตฺวา จาริตฺตวาริตฺตวเสน สีลสฺส, พุทฺธานุสฺสติวเสน สํยมสฺส, ตพฺพตฺถุกวิปสฺสนามนสิการปจฺจเวกฺขณวเสน ทมสฺส จ ปวตฺติ ตสฺส ตสฺส ผลวิภูติ จ เวทิตพฺพาฯ
Evaṃ dakkhiṇāvisuddhivelāmasuttādīsu vuttanayena saṅghādivatthūsupi dānaphalavibhāgo veditabbo. Yathā ca cetiyādīsu dānassa pavatti phalavibhūti ca dassitā, evaṃ yathāyogaṃ sabbattha taṃ taṃ ārabhitvā cārittavārittavasena sīlassa, buddhānussativasena saṃyamassa, tabbatthukavipassanāmanasikārapaccavekkhaṇavasena damassa ca pavatti tassa tassa phalavibhūti ca veditabbā.
อฎฺฐมคาถาวณฺณนา
Aṭṭhamagāthāvaṇṇanā
เอวํ ภควา ทานาทีหิ นิธียมานสฺส ปุญฺญมยนิธิโน เจติยาทิเภทํ วตฺถุํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เอเตสุ วตฺถูสุ สุนิหิตสฺส ตสฺส นิธิโน คมฺภีเร โอทกนฺติเก นิหิตนิธิโต วิเสสํ ทเสฺสโนฺต อาห –
Evaṃ bhagavā dānādīhi nidhīyamānassa puññamayanidhino cetiyādibhedaṃ vatthuṃ dassetvā idāni etesu vatthūsu sunihitassa tassa nidhino gambhīre odakantike nihitanidhito visesaṃ dassento āha –
๘. ‘‘เอโส นิธิ สุนิหิโต, อเชโยฺย อนุคามิโกฯ
8. ‘‘Eso nidhi sunihito, ajeyyo anugāmiko.
ปหาย คมนีเยสุ, เอตํ อาทาย คจฺฉตี’’ติฯ
Pahāya gamanīyesu, etaṃ ādāya gacchatī’’ti.
ตตฺถ ปุพฺพปเทน ตํ ทานาทีหิ สุนิหิตนิธิํ นิทฺทิสติ ‘‘เอโส นิธิ สุนิหิโต’’ติฯ อเชโยฺยติ ปเรหิ เชตฺวา คเหตุํ น สกฺกา, อเจฺจโยฺยติปิ ปาโฐ, ตสฺส อจฺจิตโพฺพ อจฺจนารโห หิตสุขตฺถิเกน อุปจิตโพฺพติ อโตฺถฯ เอตสฺมิญฺจ ปาเฐ เอโส นิธิ อเจฺจโยฺยติ สมฺพนฺธิตฺวา ปุน ‘‘กสฺมา’’ติ อนุโยคํ ทเสฺสตฺวา ‘‘ยสฺมา สุนิหิโต อนุคามิโก’’ติ สมฺพนฺธิตพฺพํฯ อิตรถา หิ สุนิหิตสฺส อเจฺจยฺยตฺตํ วุตฺตํ ภเวยฺย, น จ สุนิหิโต อจฺจนีโยฯ อจฺจิโต เอว หิ โสติฯ อนุคจฺฉตีติ อนุคามิโก, ปรโลกํ คจฺฉนฺตมฺปิ ตตฺถ ตตฺถ ผลทาเนน น วิชหตีติ อโตฺถฯ
Tattha pubbapadena taṃ dānādīhi sunihitanidhiṃ niddisati ‘‘eso nidhi sunihito’’ti. Ajeyyoti parehi jetvā gahetuṃ na sakkā, acceyyotipi pāṭho, tassa accitabbo accanāraho hitasukhatthikena upacitabboti attho. Etasmiñca pāṭhe eso nidhi acceyyoti sambandhitvā puna ‘‘kasmā’’ti anuyogaṃ dassetvā ‘‘yasmā sunihito anugāmiko’’ti sambandhitabbaṃ. Itarathā hi sunihitassa acceyyattaṃ vuttaṃ bhaveyya, na ca sunihito accanīyo. Accito eva hi soti. Anugacchatīti anugāmiko, paralokaṃ gacchantampi tattha tattha phaladānena na vijahatīti attho.
ปหาย คมนีเยสุ เอตํ อาทาย คจฺฉตีติ มรณกาเล ปจฺจุปฎฺฐิเต สพฺพโภเคสุ ปหาย คมนีเยสุ เอตํ นิธิํ อาทาย ปรโลกํ คจฺฉตีติ อยํ กิร เอตสฺส อโตฺถฯ โส ปน น ยุชฺชติฯ กสฺมา? โภคานํ อคมนียโตฯ ปหาตพฺพา เอว หิ เต เต โภคา, น คมนียา, คมนียา ปน เต เต คติวิเสสาฯ ยโต ยทิ เอส อโตฺถ สิยา, ปหาย โภเค คมนีเยสุ คติวิเสเสสุ อิติ วเทยฺยฯ ตสฺมา เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพ – ‘‘นิธิ วา ฐานา จวตี’’ติ เอวมาทินา ปกาเรน ปหาย มจฺจํ โภเคสุ คจฺฉเนฺตสุ เอตํ อาทาย คจฺฉตีติฯ เอโส หิ อนุคามิกตฺตา ตํ นปฺปชหตีติฯ
Pahāyagamanīyesu etaṃ ādāya gacchatīti maraṇakāle paccupaṭṭhite sabbabhogesu pahāya gamanīyesu etaṃ nidhiṃ ādāya paralokaṃ gacchatīti ayaṃ kira etassa attho. So pana na yujjati. Kasmā? Bhogānaṃ agamanīyato. Pahātabbā eva hi te te bhogā, na gamanīyā, gamanīyā pana te te gativisesā. Yato yadi esa attho siyā, pahāya bhoge gamanīyesu gativisesesu iti vadeyya. Tasmā evamettha attho veditabbo – ‘‘nidhi vā ṭhānā cavatī’’ti evamādinā pakārena pahāya maccaṃ bhogesu gacchantesu etaṃ ādāya gacchatīti. Eso hi anugāmikattā taṃ nappajahatīti.
ตตฺถ สิยา ‘‘คมนีเยสูติ เอตฺถ คนฺตเพฺพสูติ อโตฺถ, น คจฺฉเนฺตสู’’ติฯ ตํ น เอกํสโต คเหตพฺพํฯ ยถา หิ ‘‘อริยา นิยฺยานิกา’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๔๑) เอตฺถ นิยฺยนฺตาติ อโตฺถ, น นิยฺยาตพฺพาติ, เอวมิธาปิ คจฺฉเนฺตสูติ อโตฺถ, น คนฺตเพฺพสูติฯ
Tattha siyā ‘‘gamanīyesūti ettha gantabbesūti attho, na gacchantesū’’ti. Taṃ na ekaṃsato gahetabbaṃ. Yathā hi ‘‘ariyā niyyānikā’’ti (dī. ni. 2.141) ettha niyyantāti attho, na niyyātabbāti, evamidhāpi gacchantesūti attho, na gantabbesūti.
อถ วา ยสฺมา เอส มรณกาเล กสฺสจิ ทาตุกาโม โภเค อามสิตุมฺปิ น ลภติ, ตสฺมา เตน เต โภคา ปุพฺพํ กาเยน ปหาตพฺพา, ปจฺฉา วิหตาเสน เจตสา คนฺตพฺพา, อติกฺกมิตพฺพาติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺมา ปุพฺพํ กาเยน ปหาย ปจฺฉา เจตสา คมนีเยสุ โภเคสูติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ปุริมสฺมิํ อเตฺถ นิทฺธารเณ ภุมฺมวจนํ, ปหาย คมนีเยสุ โภเคสุ เอกเมเวตํ ปุญฺญนิธิวิภวํ ตโต นีหริตฺวา อาทาย คจฺฉตีติฯ ปจฺฉิเม อเตฺถ ภาเวนภาวลกฺขเณ ภุมฺมวจนํฯ โภคานญฺหิ คมนียภาเวน เอตสฺส นิธิสฺส อาทาย คมนียภาโว ลกฺขียตีติฯ
Atha vā yasmā esa maraṇakāle kassaci dātukāmo bhoge āmasitumpi na labhati, tasmā tena te bhogā pubbaṃ kāyena pahātabbā, pacchā vihatāsena cetasā gantabbā, atikkamitabbāti vuttaṃ hoti. Tasmā pubbaṃ kāyena pahāya pacchā cetasā gamanīyesu bhogesūti evamettha attho daṭṭhabbo. Purimasmiṃ atthe niddhāraṇe bhummavacanaṃ, pahāya gamanīyesu bhogesu ekamevetaṃ puññanidhivibhavaṃ tato nīharitvā ādāya gacchatīti. Pacchime atthe bhāvenabhāvalakkhaṇe bhummavacanaṃ. Bhogānañhi gamanīyabhāvena etassa nidhissa ādāya gamanīyabhāvo lakkhīyatīti.
นวมคาถาวณฺณนา
Navamagāthāvaṇṇanā
เอวํ ภควา อิมสฺส ปุญฺญนิธิโน คมฺภีเร โอทกนฺติเก นิหิตนิธิโต วิเสสํ ทเสฺสตฺวา ปุน อตฺตโน ภณฺฑคุณสํวณฺณเนน กยชนสฺส อุสฺสาหํ ชเนโนฺต อุฬารภณฺฑวาณิโช วิย อตฺตนา เทสิตปุญฺญนิธิคุณสํวณฺณเนน ตสฺมิํ ปุญฺญนิธิมฺหิ เทวมนุสฺสานํ อุสฺสาหํ ชเนโนฺต อาห –
Evaṃ bhagavā imassa puññanidhino gambhīre odakantike nihitanidhito visesaṃ dassetvā puna attano bhaṇḍaguṇasaṃvaṇṇanena kayajanassa ussāhaṃ janento uḷārabhaṇḍavāṇijo viya attanā desitapuññanidhiguṇasaṃvaṇṇanena tasmiṃ puññanidhimhi devamanussānaṃ ussāhaṃ janento āha –
๙. ‘‘อสาธารณมเญฺญสํ, อโจราหรโณ นิธิฯ
9. ‘‘Asādhāraṇamaññesaṃ, acorāharaṇo nidhi.
กยิราถ ธีโร ปุญฺญานิ, โย นิธิ อนุคามิโก’’ติฯ
Kayirātha dhīro puññāni, yo nidhi anugāmiko’’ti.
ตตฺถ อสาธารณมเญฺญสนฺติ อสาธารโณ อเญฺญสํ, มกาโร ปทสนฺธิกโร ‘‘อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา’’ติอาทีสุ วิยฯ น โจเรหิ อาหรโณ อโจราหรโณ, โจเรหิ อาทาตโพฺพ น โหตีติ อโตฺถฯ นิธาตโพฺพติ นิธิฯ เอวํ ทฺวีหิ ปเทหิ ปุญฺญนิธิคุณํ สํวเณฺณตฺวา ตโต ทฺวีหิ ตตฺถ อุสฺสาหํ ชเนติ ‘‘กยิราถ ธีโร ปุญฺญานิ, โย นิธิ อนุคามิโก’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ยสฺมา ปุญฺญานิ นาม อสาธารโณ อเญฺญสํ, อโจราหรโณ จ นิธิ โหติฯ น เกวลญฺจ อสาธารโณ อโจราหรโณ จ นิธิ, อถ โข ปน ‘‘เอโส นิธิ สุนิหิโต, อเชโยฺย อนุคามิโก’’ติ เอตฺถ วุโตฺต โย นิธิ อนุคามิโกฯ โส จ ยสฺมา ปุญฺญานิเยว, ตสฺมา กยิราถ กเรยฺย ธีโร พุทฺธิสมฺปโนฺน ธิติสมฺปโนฺน จ ปุคฺคโล ปุญฺญานีติฯ
Tattha asādhāraṇamaññesanti asādhāraṇo aññesaṃ, makāro padasandhikaro ‘‘adukkhamasukhāya vedanāya sampayuttā’’tiādīsu viya. Na corehi āharaṇo acorāharaṇo, corehi ādātabbo na hotīti attho. Nidhātabboti nidhi. Evaṃ dvīhi padehi puññanidhiguṇaṃ saṃvaṇṇetvā tato dvīhi tattha ussāhaṃ janeti ‘‘kayirātha dhīro puññāni, yo nidhi anugāmiko’’ti. Tassattho – yasmā puññāni nāma asādhāraṇo aññesaṃ, acorāharaṇo ca nidhi hoti. Na kevalañca asādhāraṇo acorāharaṇo ca nidhi, atha kho pana ‘‘eso nidhi sunihito, ajeyyo anugāmiko’’ti ettha vutto yo nidhi anugāmiko. So ca yasmā puññāniyeva, tasmā kayirātha kareyya dhīro buddhisampanno dhitisampanno ca puggalo puññānīti.
ทสมคาถาวณฺณนา
Dasamagāthāvaṇṇanā
เอวํ ภควา คุณสํวณฺณเนน ปุญฺญนิธิมฺหิ เทวมนุสฺสานํ อุสฺสาหํ ชเนตฺวา อิทานิ เย อุสฺสหิตฺวา ปุญฺญนิธิกิริยาย สมฺปาเทนฺติ, เตสํ โส ยํ ผลํ เทติ, ตํ สเงฺขปโต ทเสฺสโนฺต อาห –
Evaṃ bhagavā guṇasaṃvaṇṇanena puññanidhimhi devamanussānaṃ ussāhaṃ janetvā idāni ye ussahitvā puññanidhikiriyāya sampādenti, tesaṃ so yaṃ phalaṃ deti, taṃ saṅkhepato dassento āha –
๑๐.
10.
‘‘เอส เทวมนุสฺสานํ, สพฺพกามทโท นิธี’’ติฯ
‘‘Esa devamanussānaṃ, sabbakāmadado nidhī’’ti.
อิทานิ ยสฺมา ปตฺถนาย ปฎิพนฺธิตสฺส สพฺพกามททตฺตํ, น วินา ปตฺถนํ โหติฯ ยถาห –
Idāni yasmā patthanāya paṭibandhitassa sabbakāmadadattaṃ, na vinā patthanaṃ hoti. Yathāha –
‘‘อากเงฺขยฺย เจ คหปตโย ธมฺมจารี สมจารี ‘อโห วตาหํ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ขตฺติยมหาสาลานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺย’นฺติ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ขตฺติยมหาสาลานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺยฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ โส ธมฺมจารี สมจารี’’ (ม. นิ. ๑.๔๔๒)ฯ
‘‘Ākaṅkheyya ce gahapatayo dhammacārī samacārī ‘aho vatāhaṃ kāyassa bhedā paraṃ maraṇā khattiyamahāsālānaṃ sahabyataṃ upapajjeyya’nti, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati yaṃ so kāyassa bhedā paraṃ maraṇā khattiyamahāsālānaṃ sahabyataṃ upapajjeyya. Taṃ kissa hetu? Tathā hi so dhammacārī samacārī’’ (ma. ni. 1.442).
เอวํ ‘‘อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ โส ธมฺมจารี สมจารี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๔๒)ฯ
Evaṃ ‘‘anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyya. Taṃ kissa hetu? Tathā hi so dhammacārī samacārī’’ti (ma. ni. 1.442).
ตถา จาห –
Tathā cāha –
‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สทฺธาย สมนฺนาคโต โหติ, สีเลน, สุเตน, จาเคน, ปญฺญาย สมนฺนาคโต โหติ, ตสฺส เอวํ โหติ ‘อโห วตาหํ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ขตฺติยมหาสาลานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺย’นฺติฯ โส ตํ จิตฺตํ ปทหติ, ตํ จิตฺตํ อธิฎฺฐาติ, ตํ จิตฺตํ ภาเวติฯ ตสฺส เต สงฺขารา จ วิหารา จ เอวํ ภาวิตา เอวํ พหุลีกตา ตตฺรูปปตฺติยา สํวตฺตนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๖๑) เอวมาทิฯ
‘‘Idha, bhikkhave, bhikkhu saddhāya samannāgato hoti, sīlena, sutena, cāgena, paññāya samannāgato hoti, tassa evaṃ hoti ‘aho vatāhaṃ kāyassa bhedā paraṃ maraṇā khattiyamahāsālānaṃ sahabyataṃ upapajjeyya’nti. So taṃ cittaṃ padahati, taṃ cittaṃ adhiṭṭhāti, taṃ cittaṃ bhāveti. Tassa te saṅkhārā ca vihārā ca evaṃ bhāvitā evaṃ bahulīkatā tatrūpapattiyā saṃvattantī’’ti (ma. ni. 3.161) evamādi.
ตสฺมา ตํ ตถา ตถา อากงฺขปริยายํ จิตฺตปทหนาธิฎฺฐานภาวนาปริกฺขารํ ปตฺถนํ ตสฺส สพฺพกามททเตฺต เหตุํ ทเสฺสโนฺต อาห –
Tasmā taṃ tathā tathā ākaṅkhapariyāyaṃ cittapadahanādhiṭṭhānabhāvanāparikkhāraṃ patthanaṃ tassa sabbakāmadadatte hetuṃ dassento āha –
‘‘ยํ ยเทวาภิปเตฺถนฺติ, สพฺพเมเตน ลพฺภตี’’ติฯ
‘‘Yaṃ yadevābhipatthenti, sabbametena labbhatī’’ti.
เอกาทสมคาถาวณฺณนา
Ekādasamagāthāvaṇṇanā
๑๑. อิทานิ ยํ ตํ สพฺพํ เอเตน ลพฺภติ, ตํ โอธิโส โอธิโส ทเสฺสโนฺต ‘‘สุวณฺณตา สุสรตา’’ติ เอวมาทิคาถาโย อาหฯ
11. Idāni yaṃ taṃ sabbaṃ etena labbhati, taṃ odhiso odhiso dassento ‘‘suvaṇṇatā susaratā’’ti evamādigāthāyo āha.
ตตฺถ ปฐมคาถาย ตาว สุวณฺณตา นาม สุนฺทรจฺฉวิวณฺณตา กญฺจนสนฺนิภตฺตจตา, สาปิ เอเตน ปุญฺญนิธินา ลพฺภติฯ ยถาห –
Tattha paṭhamagāthāya tāva suvaṇṇatā nāma sundaracchavivaṇṇatā kañcanasannibhattacatā, sāpi etena puññanidhinā labbhati. Yathāha –
‘‘ยมฺปิ, ภิกฺขเว, ตถาคโต ปุริมํ ชาติํ…เป.… ปุเพฺพ มนุสฺสภูโต สมาโน อโกฺกธโน อโหสิ อนุปายาสพหุโล, พหุมฺปิ วุโตฺต สมาโน นาภิสชฺชิ น กุปฺปิ น พฺยาปชฺชิ น ปติตฺถียิ, น โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตฺวากาสิ, ทาตา จ อโหสิ สุขุมานํ มุทุกานํ อตฺถรณานํ ปาวุรณานํ โขมสุขุมานํ กปฺปาสิก…เป.… โกเสยฺย…เป.… กมฺพลสุขุมานํฯ โส ตสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา…เป.… อิตฺถตฺตํ อาคโต สมาโน อิมํ มหาปุริสลกฺขณํ ปฎิลภติฯ สุวณฺณวโณฺณ โหติ กญฺจนสนฺนิภตฺตโจ’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๑๘)ฯ
‘‘Yampi, bhikkhave, tathāgato purimaṃ jātiṃ…pe… pubbe manussabhūto samāno akkodhano ahosi anupāyāsabahulo, bahumpi vutto samāno nābhisajji na kuppi na byāpajji na patitthīyi, na kopañca dosañca appaccayañca pātvākāsi, dātā ca ahosi sukhumānaṃ mudukānaṃ attharaṇānaṃ pāvuraṇānaṃ khomasukhumānaṃ kappāsika…pe… koseyya…pe… kambalasukhumānaṃ. So tassa kammassa katattā upacitattā…pe… itthattaṃ āgato samāno imaṃ mahāpurisalakkhaṇaṃ paṭilabhati. Suvaṇṇavaṇṇo hoti kañcanasannibhattaco’’ti (dī. ni. 3.218).
สุสรตา นาม พฺรหฺมสฺสรตา กรวีกภาณิตา, สาปิ เอเตน ลพฺภติฯ ยถาห –
Susaratā nāma brahmassaratā karavīkabhāṇitā, sāpi etena labbhati. Yathāha –
‘‘ยมฺปิ , ภิกฺขเว, ตถาคโต ปุริมํ ชาติํ…เป.… ผรุสํ วาจํ ปหาย ผรุสาย วาจาย ปฎิวิรโต อโหสิ, ยา สา วาจา เนลา กณฺณสุขา…เป.… ตถารูปิํ วาจํ ภาสิตา อโหสิฯ โส ตสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา…เป.… อิตฺถตฺตํ อาคโต สมาโน อิมานิ เทฺว มหาปุริสลกฺขณานิ ปฎิลภติฯ ปหุตชิโวฺห จ โหติ พฺรหฺมสฺสโร จ กรวีกภาณี’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๓๖)ฯ
‘‘Yampi , bhikkhave, tathāgato purimaṃ jātiṃ…pe… pharusaṃ vācaṃ pahāya pharusāya vācāya paṭivirato ahosi, yā sā vācā nelā kaṇṇasukhā…pe… tathārūpiṃ vācaṃ bhāsitā ahosi. So tassa kammassa katattā upacitattā…pe… itthattaṃ āgato samāno imāni dve mahāpurisalakkhaṇāni paṭilabhati. Pahutajivho ca hoti brahmassaro ca karavīkabhāṇī’’ti (dī. ni. 3.236).
สุสณฺฐานาติ สุฎฺฐุ สณฺฐานตา, สมจิตวฎฺฎิตยุตฺตฎฺฐาเนสุ องฺคปจฺจงฺคานํ สมจิตวฎฺฎิตภาเวน สนฺนิเวโสติ วุตฺตํ โหติฯ สาปิ เอเตน ลพฺภติฯ ยถาห –
Susaṇṭhānāti suṭṭhu saṇṭhānatā, samacitavaṭṭitayuttaṭṭhānesu aṅgapaccaṅgānaṃ samacitavaṭṭitabhāvena sannivesoti vuttaṃ hoti. Sāpi etena labbhati. Yathāha –
‘‘ยมฺปิ, ภิกฺขเว, ตถาคโต ปุริมํ ชาติํ…เป.… ปุเพฺพ มนุสฺสภูโต สมาโน พหุชนสฺส อตฺถกาโม อโหสิ หิตกาโม ผาสุกาโม โยคเกฺขมกาโม ‘กินฺติ เม สทฺธาย วเฑฺฒยฺยุํ, สีเลน สุเตน จาเคน ปญฺญาย ธนธเญฺญน เขตฺตวตฺถุนา ทฺวิปทจตุปฺปเทหิ ปุตฺตทาเรหิ ทาสกมฺมกรโปริเสหิ ญาตีหิ มิเตฺตหิ พนฺธเวหิ วเฑฺฒยฺยุ’นฺติ, โส ตสฺส กมฺมสฺส…เป.… สมาโน อิมานิ ตีณิ มหาปุริสลกฺขณานิ ปฎิลภติ, สีหปุพฺพฑฺฒกาโย จ โหติ จิตนฺตรํโส จ สมวฎฺฎกฺขโนฺธ จา’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๒๔) เอวมาทิฯ
‘‘Yampi, bhikkhave, tathāgato purimaṃ jātiṃ…pe… pubbe manussabhūto samāno bahujanassa atthakāmo ahosi hitakāmo phāsukāmo yogakkhemakāmo ‘kinti me saddhāya vaḍḍheyyuṃ, sīlena sutena cāgena paññāya dhanadhaññena khettavatthunā dvipadacatuppadehi puttadārehi dāsakammakaraporisehi ñātīhi mittehi bandhavehi vaḍḍheyyu’nti, so tassa kammassa…pe… samāno imāni tīṇi mahāpurisalakkhaṇāni paṭilabhati, sīhapubbaḍḍhakāyo ca hoti citantaraṃso ca samavaṭṭakkhandho cā’’ti (dī. ni. 3.224) evamādi.
อิมินา นเยน อิโต ปเรสมฺปิ อิมินา ปุญฺญนิธินา ปฎิลาภสาธกานิ สุตฺตปทานิ ตโต ตโต อาเนตฺวา วตฺตพฺพานิฯ อติวิตฺถารภเยน ตุ สํขิตฺตํ, อิทานิ อวเสสปทานํ วณฺณนํ กริสฺสามิฯ
Iminā nayena ito paresampi iminā puññanidhinā paṭilābhasādhakāni suttapadāni tato tato ānetvā vattabbāni. Ativitthārabhayena tu saṃkhittaṃ, idāni avasesapadānaṃ vaṇṇanaṃ karissāmi.
สุรูปตาติ เอตฺถ สกลสรีรํ รูปนฺติ เวทิตพฺพํ ‘‘อากาโส ปริวาริโต รูปํเตฺวว สงฺขํ คจฺฉตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๐๖) วิย, ตสฺส รูปสฺส สุนฺทรตา สุรูปตา นาติทีฆตา นาติรสฺสตา นาติกิสตา นาติถูลตา นาติกาฬตา นโจฺจทาตตาติ วุตฺตํ โหติฯ อาธิปจฺจนฺติ อธิปติภาโว, ขตฺติยมหาสาลาทิภาเวน สามิกภาโวติ อโตฺถฯ ปริวาโรติ อคาริกานํ สชนปริชนสมฺปตฺติ, อนคาริกานํ ปริสสมฺปตฺติ, อาธิปจฺจญฺจ ปริวาโร จ อาธิปจฺจปริวาโรฯ เอตฺถ จ สุวณฺณตาทีหิ สรีรสมฺปตฺติ, อาธิปเจฺจน โภคสมฺปตฺติ, ปริวาเรน สชนปริชนสมฺปตฺติ วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ สพฺพเมเตน ลพฺภตีติ ยํ ตํ ‘‘ยํ ยเทวาภิปเตฺถนฺติ, สพฺพเมเตน ลพฺภตี’’ติ วุตฺตํ, ตตฺถ อิทมฺปิ ตาว ปฐมํ โอธิโส วุตฺตสุวณฺณตาทิ สพฺพเมเตน ลพฺภตีติ เวทิตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ
Surūpatāti ettha sakalasarīraṃ rūpanti veditabbaṃ ‘‘ākāso parivārito rūpaṃtveva saṅkhaṃ gacchatī’’tiādīsu (ma. ni. 1.306) viya, tassa rūpassa sundaratā surūpatā nātidīghatā nātirassatā nātikisatā nātithūlatā nātikāḷatā naccodātatāti vuttaṃ hoti. Ādhipaccanti adhipatibhāvo, khattiyamahāsālādibhāvena sāmikabhāvoti attho. Parivāroti agārikānaṃ sajanaparijanasampatti, anagārikānaṃ parisasampatti, ādhipaccañca parivāro ca ādhipaccaparivāro. Ettha ca suvaṇṇatādīhi sarīrasampatti, ādhipaccena bhogasampatti, parivārena sajanaparijanasampatti vuttāti veditabbā. Sabbametena labbhatīti yaṃ taṃ ‘‘yaṃ yadevābhipatthenti, sabbametena labbhatī’’ti vuttaṃ, tattha idampi tāva paṭhamaṃ odhiso vuttasuvaṇṇatādi sabbametena labbhatīti veditabbanti dasseti.
ทฺวาทสมคาถาวณฺณนา
Dvādasamagāthāvaṇṇanā
๑๒. เอวมิมาย คาถาย ปุญฺญานุภาเวน ลภิตพฺพํ รชฺชสมฺปตฺติโต โอรํ เทวมนุสฺสสมฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตทุภยรชฺชสมฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปเทสรชฺช’’นฺติ อิมํ คาถมาหฯ
12. Evamimāya gāthāya puññānubhāvena labhitabbaṃ rajjasampattito oraṃ devamanussasampattiṃ dassetvā idāni tadubhayarajjasampattiṃ dassento ‘‘padesarajja’’nti imaṃ gāthamāha.
ตตฺถ ปเทสรชฺชนฺติ เอกทีปมฺปิ สกลํ อปาปุณิตฺวา ปถวิยา เอกเมกสฺมิํ ปเทเส รชฺชํฯ อิสฺสรภาโว อิสฺสริยํ, อิมินา ทีปจกฺกวตฺติรชฺชํ ทเสฺสติฯ จกฺกวตฺติสุขํ ปิยนฺติ อิฎฺฐํ กนฺตํ มนาปํ จกฺกวตฺติสุขํฯ อิมินา จาตุรนฺตจกฺกวตฺติรชฺชํ ทเสฺสติฯ เทเวสุ รชฺชํ เทวรชฺชํ, เอเตน มนฺธาตาทีนมฺปิ มนุสฺสานํ เทวรชฺชํ ทสฺสิตํ โหติฯ อปิ ทิเพฺพสูติ อิมินา เย เต ทิวิ ภวตฺตา ‘‘ทิพฺพา’’ติ วุจฺจนฺติ, เตสุ ทิเพฺพสุ กาเยสุ อุปฺปนฺนานมฺปิ เทวรชฺชํ ทเสฺสติฯ สพฺพเมเตน ลพฺภตีติ ยํ ตํ ‘‘ยํ ยเทวาภิปเตฺถนฺติ, สพฺพเมเตน ลพฺภตี’’ติ วุตฺตํ, ตตฺถ อิทมฺปิ ทุติยํ โอธิโส ปเทสรชฺชาทิ สพฺพเมเตน ลพฺภตีติ เวทิตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ
Tattha padesarajjanti ekadīpampi sakalaṃ apāpuṇitvā pathaviyā ekamekasmiṃ padese rajjaṃ. Issarabhāvo issariyaṃ, iminā dīpacakkavattirajjaṃ dasseti. Cakkavattisukhaṃ piyanti iṭṭhaṃ kantaṃ manāpaṃ cakkavattisukhaṃ. Iminā cāturantacakkavattirajjaṃ dasseti. Devesu rajjaṃ devarajjaṃ, etena mandhātādīnampi manussānaṃ devarajjaṃ dassitaṃ hoti. Api dibbesūti iminā ye te divi bhavattā ‘‘dibbā’’ti vuccanti, tesu dibbesu kāyesu uppannānampi devarajjaṃ dasseti. Sabbametena labbhatīti yaṃ taṃ ‘‘yaṃ yadevābhipatthenti, sabbametena labbhatī’’ti vuttaṃ, tattha idampi dutiyaṃ odhiso padesarajjādi sabbametena labbhatīti veditabbanti dasseti.
เตรสมคาถาวณฺณนา
Terasamagāthāvaṇṇanā
๑๓. เอวมิมาย คาถาย ปุญฺญานุภาเวน ลภิตพฺพํ เทวมนุสฺสรชฺชสมฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ทฺวีหิ คาถาหิ วุตฺตํ สมฺปตฺติํ สมาสโต ปุรกฺขตฺวา นิพฺพานสมฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต ‘‘มานุสฺสิกา จ สมฺปตฺตี’’ติ อิมํ คาถมาหฯ
13. Evamimāya gāthāya puññānubhāvena labhitabbaṃ devamanussarajjasampattiṃ dassetvā idāni dvīhi gāthāhi vuttaṃ sampattiṃ samāsato purakkhatvā nibbānasampattiṃ dassento ‘‘mānussikā ca sampattī’’ti imaṃ gāthamāha.
ตสฺสายํ ปทวณฺณนา – มนุสฺสานํ อยนฺติ มานุสฺสี, มานุสฺสี เอว มานุสฺสิกาฯ สมฺปชฺชนํ สมฺปตฺติฯ เทวานํ โลโก เทวโลโกฯ ตสฺมิํ เทวโลเกฯ ยาติ อนวเสสปริยาทานํ, รมนฺติ เอตาย อชฺฌตฺตํ อุปฺปนฺนาย พหิทฺธา วา อุปกรณภูตายาติ รติ, สุขสฺส สุขวตฺถุโน เจตํ อธิวจนํฯ ยาติ อนิยตวจนํ จสโทฺท ปุพฺพสมฺปตฺติยา สห สมฺปิณฺฑนโตฺถฯ นิพฺพานํเยว นิพฺพานสมฺปตฺติฯ
Tassāyaṃ padavaṇṇanā – manussānaṃ ayanti mānussī, mānussī eva mānussikā. Sampajjanaṃ sampatti. Devānaṃ loko devaloko. Tasmiṃ devaloke. Yāti anavasesapariyādānaṃ, ramanti etāya ajjhattaṃ uppannāya bahiddhā vā upakaraṇabhūtāyāti rati, sukhassa sukhavatthuno cetaṃ adhivacanaṃ. Yāti aniyatavacanaṃ casaddo pubbasampattiyā saha sampiṇḍanattho. Nibbānaṃyeva nibbānasampatti.
อยํ ปน อตฺถวณฺณนา – ยา เอสา ‘‘สุวณฺณตา’’ติอาทีหิ ปเทหิ มานุสฺสิกา จ สมฺปตฺติ เทวโลเก จ ยา รติ วุตฺตา, สา จ สพฺพา, ยา จายมปรา สทฺธานุสาริภาวาทิวเสน ปตฺตพฺพา นิพฺพานสมฺปตฺติ, สา จาติ อิทํ ตติยมฺปิ โอธิโส สพฺพเมเตน ลพฺภตีติฯ
Ayaṃ pana atthavaṇṇanā – yā esā ‘‘suvaṇṇatā’’tiādīhi padehi mānussikā ca sampatti devaloke ca yā rati vuttā, sā ca sabbā, yā cāyamaparā saddhānusāribhāvādivasena pattabbā nibbānasampatti, sā cāti idaṃ tatiyampi odhiso sabbametena labbhatīti.
อถ วา ยา ปุเพฺพ สุวณฺณตาทีหิ อวุตฺตา ‘‘สูรา สติมโนฺต อิธ พฺรหฺมจริยวาโส’’ติ เอวมาทินา (อ. นิ. ๙.๒๑) นเยน นิทฺทิฎฺฐา ปญฺญาเวยฺยตฺติยาทิเภทา จ มานุสฺสิกา สมฺปตฺติ, อปรา เทวโลเก จ ยา ฌานาทิรติ, ยา จ ยถาวุตฺตปฺปการา นิพฺพานสมฺปตฺติ จาติ อิทมฺปิ ตติยํ โอธิโส สพฺพเมเตน ลพฺภตีติฯ เอวเมฺปตฺถ อตฺถวณฺณนา เวทิตพฺพาฯ
Atha vā yā pubbe suvaṇṇatādīhi avuttā ‘‘sūrā satimanto idha brahmacariyavāso’’ti evamādinā (a. ni. 9.21) nayena niddiṭṭhā paññāveyyattiyādibhedā ca mānussikā sampatti, aparā devaloke ca yā jhānādirati, yā ca yathāvuttappakārā nibbānasampatti cāti idampi tatiyaṃ odhiso sabbametena labbhatīti. Evampettha atthavaṇṇanā veditabbā.
จุทฺทสมคาถาวณฺณนา
Cuddasamagāthāvaṇṇanā
๑๔. เอวมิมาย คาถาย ปุญฺญานุภาเวน ลภิตพฺพํ สทฺธานุสารีภาวาทิวเสน ปตฺตพฺพํ นิพฺพานสมฺปตฺติมฺปิ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เตวิชฺชอุภโตภาควิมุตฺตภาววเสนปิ ปตฺตพฺพํ ตเมว ตสฺส อุปายญฺจ ทเสฺสโนฺต ‘‘มิตฺตสมฺปทมาคมฺมา’’ติ อิมํ คาถมาหฯ
14. Evamimāya gāthāya puññānubhāvena labhitabbaṃ saddhānusārībhāvādivasena pattabbaṃ nibbānasampattimpi dassetvā idāni tevijjaubhatobhāgavimuttabhāvavasenapi pattabbaṃ tameva tassa upāyañca dassento ‘‘mittasampadamāgammā’’ti imaṃ gāthamāha.
ตสฺสายํ ปทวณฺณนา – สมฺปชฺชติ เอตาย คุณวิภูติํ ปาปุณาตีติ สมฺปทา, มิโตฺต เอว สมฺปทา มิตฺตสมฺปทา, ตํ มิตฺตสมฺปทํ ฯ อาคมฺมาติ นิสฺสายฯ โยนิโสติ อุปาเยนฯ ปยุญฺชโตติ โยคานุฎฺฐานํ กโรโตฯ วิชานาติ เอตายาติ วิชฺชา, วิมุจฺจติ เอตาย, สยํ วา วิมุจฺจตีติ วิมุตฺติ, วิชฺชา จ วิมุตฺติ จ วิชฺชาวิมุตฺติโย, วิชฺชาวิมุตฺตีสุ วสีภาโว วิชฺชาวิมุตฺติวสีภาโวฯ
Tassāyaṃ padavaṇṇanā – sampajjati etāya guṇavibhūtiṃ pāpuṇātīti sampadā, mitto eva sampadā mittasampadā, taṃ mittasampadaṃ. Āgammāti nissāya. Yonisoti upāyena. Payuñjatoti yogānuṭṭhānaṃ karoto. Vijānāti etāyāti vijjā, vimuccati etāya, sayaṃ vā vimuccatīti vimutti, vijjā ca vimutti ca vijjāvimuttiyo, vijjāvimuttīsu vasībhāvo vijjāvimuttivasībhāvo.
อยํ ปน อตฺถวณฺณนา – ยฺวายํ มิตฺตสมฺปทมาคมฺม สตฺถารํ วา อญฺญตรํ วา ครุฎฺฐานิยํ สพฺรหฺมจาริํ นิสฺสาย ตโต โอวาทญฺจ อนุสาสนิญฺจ คเหตฺวา ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปตฺติยา โยนิโส ปยุญฺชโต ปุเพฺพนิวาสาทีสุ ตีสุ วิชฺชาสุ ‘‘ตตฺถ กตมา วิมุตฺติ? จิตฺตสฺส จ อธิมุตฺติ นิพฺพานญฺจา’’ติ (ธ. ส. ๑๓๘๑) เอวํ อาคตาย อฎฺฐสมาปตฺตินิพฺพานเภทาย วิมุตฺติยา จ ตถา ตถา อทนฺธายิตเตฺตน วสีภาโว, อิทมฺปิ จตุตฺถํ โอธิโส สพฺพเมเตน ลพฺภตีติฯ
Ayaṃ pana atthavaṇṇanā – yvāyaṃ mittasampadamāgamma satthāraṃ vā aññataraṃ vā garuṭṭhāniyaṃ sabrahmacāriṃ nissāya tato ovādañca anusāsaniñca gahetvā yathānusiṭṭhaṃ paṭipattiyā yoniso payuñjato pubbenivāsādīsu tīsu vijjāsu ‘‘tattha katamā vimutti? Cittassa ca adhimutti nibbānañcā’’ti (dha. sa. 1381) evaṃ āgatāya aṭṭhasamāpattinibbānabhedāya vimuttiyā ca tathā tathā adandhāyitattena vasībhāvo, idampi catutthaṃ odhiso sabbametena labbhatīti.
ปนฺนรสมคาถาวณฺณนา
Pannarasamagāthāvaṇṇanā
๑๕. เอวมิมาย คาถาย ปุเพฺพ กถิตวิชฺชาวิมุตฺติวสีภาวภาคิยปุญฺญานุภาเวน ลภิตพฺพํ เตวิชฺชอุภโตภาควิมุตฺตภาววเสนปิ ปตฺตพฺพํ นิพฺพานสมฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยสฺมา วิชฺชาวิมุตฺติวสีภาวปฺปตฺตา เตวิชฺชา อุภโตภาควิมุตฺตาปิ สเพฺพ ปฎิสมฺภิทาทิคุณวิภูติํ ลภนฺติ, อิมาย ปุญฺญสมฺปทาย จ ตสฺสา คุณวิภูติยา ปทฎฺฐานวเสน ตถา ตถา สาปิ ลพฺภติ, ตสฺมา ตมฺปิ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปฎิสมฺภิทา วิโมกฺขา จา’’ติ อิมํ คาถมาหฯ
15. Evamimāya gāthāya pubbe kathitavijjāvimuttivasībhāvabhāgiyapuññānubhāvena labhitabbaṃ tevijjaubhatobhāgavimuttabhāvavasenapi pattabbaṃ nibbānasampattiṃ dassetvā idāni yasmā vijjāvimuttivasībhāvappattā tevijjā ubhatobhāgavimuttāpi sabbe paṭisambhidādiguṇavibhūtiṃ labhanti, imāya puññasampadāya ca tassā guṇavibhūtiyā padaṭṭhānavasena tathā tathā sāpi labbhati, tasmā tampi dassento ‘‘paṭisambhidā vimokkhā cā’’ti imaṃ gāthamāha.
‘‘ยโต สมฺมา กเตน ยา จายํ ธมฺมตฺถนิรุตฺติปฎิภาเนสุ ปเภทคตา ปญฺญา ปฎิสมฺภิทา’’ติ วุจฺจติ, เย จิเม ‘‘รูปี รูปานิ ปสฺสตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๒.๑๒๙; ๓.๓๓๙) นเยน อฎฺฐ วิโมกฺขา, ยา จายํ ภควโต สาวเกหิ ปตฺตพฺพา สาวกสมฺปตฺติสาธิกา สาวกปารมี, ยา จ สยมฺภุภาวสาธิกา ปเจฺจกโพธิ, ยา จ สพฺพสตฺตุตฺตมภาวสาธิกา พุทฺธภูมิ, อิทมฺปิ ปญฺจมํ โอธิโส สพฺพเมเตน ลพฺภตีติ เวทิตพฺพํฯ
‘‘Yato sammā katena yā cāyaṃ dhammatthaniruttipaṭibhānesu pabhedagatā paññā paṭisambhidā’’ti vuccati, ye cime ‘‘rūpī rūpāni passatī’’tiādinā (dī. ni. 2.129; 3.339) nayena aṭṭha vimokkhā, yā cāyaṃ bhagavato sāvakehi pattabbā sāvakasampattisādhikā sāvakapāramī, yā ca sayambhubhāvasādhikā paccekabodhi, yā ca sabbasattuttamabhāvasādhikā buddhabhūmi, idampi pañcamaṃ odhiso sabbametena labbhatīti veditabbaṃ.
โสฬสมคาถาวณฺณนา
Soḷasamagāthāvaṇṇanā
๑๖. เอวํ ภควา ยํ ตํ ‘‘ยํ ยเทวาภิปเตฺถนฺติ, สพฺพเมเตน ลพฺภตี’’ติ วุตฺตํ, ตํ อิมาหิ ปญฺจหิ คาถาหิ โอธิโส โอธิโส ทเสฺสตฺวา อิทานิ สพฺพเมวิทํ สพฺพกามททนิธิสญฺญิตํ ปุญฺญสมฺปทํ ปสํสโนฺต ‘‘เอวํ มหตฺถิกา เอสา’’ติ อิมาย คาถาย เทสนํ นิฎฺฐเปสิฯ
16. Evaṃ bhagavā yaṃ taṃ ‘‘yaṃ yadevābhipatthenti, sabbametena labbhatī’’ti vuttaṃ, taṃ imāhi pañcahi gāthāhi odhiso odhiso dassetvā idāni sabbamevidaṃ sabbakāmadadanidhisaññitaṃ puññasampadaṃ pasaṃsanto ‘‘evaṃ mahatthikā esā’’ti imāya gāthāya desanaṃ niṭṭhapesi.
ตสฺสายํ ปทวณฺณนา – เอวนฺติ อตีตตฺถนิทสฺสนํฯ มหโนฺต อโตฺถ อสฺสาติ มหตฺถิกา, มหโต อตฺถาย สํวตฺตตีติ วุตฺตํ โหติ, มหิทฺธิกาติปิ ปาโฐฯ เอสาติ อุเทฺทสวจนํ, เตน ‘‘ยสฺส ทาเนน สีเลนา’’ติ อิโต ปภุติ ยาว ‘‘กยิราถ ธีโร ปุญฺญานี’’ติ วุตฺตํ ปุญฺญสมฺปทํ อุทฺทิสติฯ ยทิทนฺติ อภิมุขกรณเตฺถ นิปาโต, เตน เอสาติ อุทฺทิฎฺฐํ นิทฺทิสิตุํ ยา เอสาติ อภิมุขํ กโรติฯ ปุญฺญานํ สมฺปทา ปุญฺญสมฺปทา ฯ ตสฺมาติ การณวจนํฯ ธีราติ ธิติมโนฺตฯ ปสํสนฺตีติ วณฺณยนฺติฯ ปณฺฑิตาติ ปญฺญาสมฺปนฺนาฯ กตปุญฺญตนฺติ กตปุญฺญภาวํฯ
Tassāyaṃ padavaṇṇanā – evanti atītatthanidassanaṃ. Mahanto attho assāti mahatthikā, mahato atthāya saṃvattatīti vuttaṃ hoti, mahiddhikātipi pāṭho. Esāti uddesavacanaṃ, tena ‘‘yassa dānena sīlenā’’ti ito pabhuti yāva ‘‘kayirātha dhīro puññānī’’ti vuttaṃ puññasampadaṃ uddisati. Yadidanti abhimukhakaraṇatthe nipāto, tena esāti uddiṭṭhaṃ niddisituṃ yā esāti abhimukhaṃ karoti. Puññānaṃ sampadā puññasampadā. Tasmāti kāraṇavacanaṃ. Dhīrāti dhitimanto. Pasaṃsantīti vaṇṇayanti. Paṇḍitāti paññāsampannā. Katapuññatanti katapuññabhāvaṃ.
อยํ ปน อตฺถวณฺณนา – อิติ ภควา สุวณฺณตาทิํ พุทฺธภูมิปริโยสานํ ปุญฺญสมฺปทานุภาเวน อธิคนฺตพฺพมตฺถํ วณฺณยิตฺวา อิทานิ ตเมวตฺถํ สมฺปิเณฺฑตฺวา ทเสฺสโนฺต เตเนวเตฺถน ยถาวุตฺตปฺปการาย ปุญฺญสมฺปทาย มหตฺถิกตฺตํ ถุนโนฺต อาห – เอวํ มหโต อตฺถสฺส อาวหเนน มหตฺถิกา เอสา, ยทิทํ มยา ‘‘ยสฺส ทาเนน สีเลนา’’ติอาทินา นเยน เทสิตา ปุญฺญสมฺปทา, ตสฺมา มาทิสา สตฺตานํ หิตสุขาวหาย ธมฺมเทสนาย อกิลาสุตาย ยถาภูตคุเณน จ ธีรา ปณฺฑิตา ‘‘อสาธารณมเญฺญสํ, อโจราหรโณ นิธี’’ติอาทีหิ อิธ วุเตฺตหิ จ, อวุเตฺตหิ จ ‘‘มา, ภิกฺขเว, ปุญฺญานํ ภายิตฺถ, สุขเสฺสตํ, ภิกฺขเว, อธิวจนํ, ยทิทํ ปุญฺญานี’’ติอาทีหิ (อ. นิ. ๗.๖๒; อิติวุ. ๒๒; เนตฺติ. ๑๒๑) วจเนหิ อเนกาการโวการํ กตปุญฺญตํ ปสํสนฺติ, น ปกฺขปาเตนาติฯ
Ayaṃ pana atthavaṇṇanā – iti bhagavā suvaṇṇatādiṃ buddhabhūmipariyosānaṃ puññasampadānubhāvena adhigantabbamatthaṃ vaṇṇayitvā idāni tamevatthaṃ sampiṇḍetvā dassento tenevatthena yathāvuttappakārāya puññasampadāya mahatthikattaṃ thunanto āha – evaṃ mahato atthassa āvahanena mahatthikā esā, yadidaṃ mayā ‘‘yassa dānena sīlenā’’tiādinā nayena desitā puññasampadā, tasmā mādisā sattānaṃ hitasukhāvahāya dhammadesanāya akilāsutāya yathābhūtaguṇena ca dhīrā paṇḍitā ‘‘asādhāraṇamaññesaṃ, acorāharaṇo nidhī’’tiādīhi idha vuttehi ca, avuttehi ca ‘‘mā, bhikkhave, puññānaṃ bhāyittha, sukhassetaṃ, bhikkhave, adhivacanaṃ, yadidaṃ puññānī’’tiādīhi (a. ni. 7.62; itivu. 22; netti. 121) vacanehi anekākāravokāraṃ katapuññataṃ pasaṃsanti, na pakkhapātenāti.
เทสนาปริโยสาเน โส อุปาสโก พหุชเนน สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิ, รโญฺญ จ ปเสนทิโกสลสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา เอตมตฺถํ อาโรเจสิ, ราชา อติวิย ตุโฎฺฐ หุตฺวา ‘‘สาธุ, คหปติ, สาธุ โข ตฺวํ , คหปติ, มาทิเสหิปิ อนาหรณียํ นิธิํ นิเธสี’’ติ สํราเธตฺวา มหติํ ปูชมกาสีติฯ
Desanāpariyosāne so upāsako bahujanena saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhāsi, rañño ca pasenadikosalassa santikaṃ gantvā etamatthaṃ ārocesi, rājā ativiya tuṭṭho hutvā ‘‘sādhu, gahapati, sādhu kho tvaṃ , gahapati, mādisehipi anāharaṇīyaṃ nidhiṃ nidhesī’’ti saṃrādhetvā mahatiṃ pūjamakāsīti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทกปาฐ-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddakapāṭha-aṭṭhakathāya
นิธิกณฺฑสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Nidhikaṇḍasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ขุทฺทกปาฐปาฬิ • Khuddakapāṭhapāḷi / ๘. นิธิกณฺฑสุตฺตํ • 8. Nidhikaṇḍasuttaṃ