Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-ปุราณ-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-purāṇa-ṭīkā

    นิคมนวณฺณนา

    Nigamanavaṇṇanā

    ‘‘นามมตฺตวเสนา’’ติ ปาโฐฯ ‘‘นามโคตฺตวเสนา’’ติ ลิขิตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘อยํ กิริยา ภิกฺขูนํ กาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ ชานิตฺวา สเจ ฉาเทติ, ฉนฺนาว โหตีติ อโตฺถฯ สภาคมตฺตเมวาติ อเวริสภาคมตฺตเมวาติ อธิปฺปาโยฯ

    ‘‘Nāmamattavasenā’’ti pāṭho. ‘‘Nāmagottavasenā’’ti likhitaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘ayaṃ kiriyā bhikkhūnaṃ kātuṃ na vaṭṭatī’’ti jānitvā sace chādeti, channāva hotīti attho. Sabhāgamattamevāti averisabhāgamattamevāti adhippāyo.

    วตฺถุ เจว โคตฺตญฺจาติ เอตฺถ วตฺถูติ วีติกฺกมนํ อสุจิมุจฺจนํฯ โคตฺตนฺติ คํ ตายตีติ โคตฺตํ, สชาติโต อญฺญตฺถ คนฺตุํ อทตฺวา คํ พุทฺธิํ, วจนญฺจ ตายตีติ อโตฺถฯ วตฺถุ จ สชาติเมว คจฺฉติฯ สชาติ นาเมตฺถ อเญฺญหิ วิสิฎฺฐาวิสิฎฺฐภูตา กิริยา, น กายสํสคฺคาทิฯ นามเญฺจว อาปตฺติ จาติ เอตฺถ อาปตฺตีติ วีติกฺกเมนาปนฺนาปตฺติยา นามํฯ

    Vatthu ceva gottañcāti ettha vatthūti vītikkamanaṃ asucimuccanaṃ. Gottanti gaṃ tāyatīti gottaṃ, sajātito aññattha gantuṃ adatvā gaṃ buddhiṃ, vacanañca tāyatīti attho. Vatthu ca sajātimeva gacchati. Sajāti nāmettha aññehi visiṭṭhāvisiṭṭhabhūtā kiriyā, na kāyasaṃsaggādi. Nāmañceva āpatti cāti ettha āpattīti vītikkamenāpannāpattiyā nāmaṃ.

    ปุน อาคตาคตานํ ภิกฺขูนํ อาโรเจเนฺตนาติ เอตฺถ ทฺวินฺนํ อาโรเจเนฺตน ‘‘อายสฺมนฺตา ธาเรนฺตุ’’ติณฺณํ วา อติเรกานํ วา อาโรเจเนฺตน ‘‘อายสฺมโนฺต ธาเรนฺตู’’ติ เอวํ อาโรจนวิธานํ เวทิตพฺพํฯ วตฺตเภทญฺจ รตฺติเจฺฉทญฺจ อกตฺวาติ เอตฺถ ฐเปตฺวา นวกตรํ ปาริวาสิกํ อวเสสานํ อนฺตมโส มูลายปฎิกสฺสนารหาทีนมฺปิ อภิวาทนาทิสาทิยเน, ปฎิปาฎิยา นิสีทเน, โอวทเน, กมฺมิกานํ ครหเณ จาติอาทีสุ วตฺตเภโท โหติฯ ทสฺสนสวนวิสเยสุ อนาโรจเน จ ภิกฺขูหิ เอกจฺฉเนฺน วสเน จ อชานนฺตเสฺสว วิหาเร ภิกฺขูนํ อาคนฺตฺวา คมเน จาติอาทีสุ รตฺติเจฺฉโท โหติฯ นานาสํวาสเกหิ วินยกมฺมาภาวโต เตสํ อนาโรจเน รตฺติเจฺฉโท น โหติฯ ‘‘เทฺว เลฑฺฑุปาเต อติกฺกมิตฺวา’’ติ วจนโต อโนฺต น วฎฺฎติฯ นิกฺขิตฺตวเตฺตเนว หุตฺวา วิจรเนฺตน ยสฺส สนฺติเก ปุเพฺพ สมาทิยิตฺวา อาโรจิตํ, ตสฺสาปิ สนฺติเก ปจฺฉา นิกฺขิปนกาเล อาโรเจตฺวาว นิกฺขิปิตพฺพํฯ ตสฺมา ปุน สมาทานกาเลปิ โส เจ ตโต คจฺฉติ, ตํ ทิวสํ อคนฺตฺวา ทิวา อาโรเจตฺวาปิ ยทิ เอวํ อตีตทิวสํ โหติ, ‘‘อรุเณ อุฎฺฐิเต ตสฺส สนฺติเก อาโรเจตฺวา วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา วิหารํ คนฺตพฺพนฺติ ตสฺส สนฺติเก อาโรเจตฺวา วตฺตํ นิกฺขิปิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ อปิจ ‘‘วิหารํ คนฺตฺวา ยํ สพฺพปฐมํ ภิกฺขุํ ปสฺสติ, ตสฺส อาโรเจตฺวา นิกฺขิปิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ สเจ รตฺติเจฺฉโท โหติ, วิหารสีมาปริยาปนฺนานํ สเพฺพสํ อาโรเจตพฺพํ สิยาฯ ‘‘ตสฺส อาโรเจตฺวา’’ติ อิทํ ปน ปุเพฺพ อนาโรจิตํ สนฺธาย วตฺตเภทรกฺขณตฺถํ วุตฺตํฯ ตสฺมา เอว สมนฺตปาสาทิกายํ (จูฬว. อฎฺฐ. ๙๗) เอวํ วุตฺตํ ‘‘อญฺญํ วิหารโต นิกฺขนฺตํ วา อาคนฺตุกํ วา’’ติฯ

    Punaāgatāgatānaṃ bhikkhūnaṃ ārocentenāti ettha dvinnaṃ ārocentena ‘‘āyasmantā dhārentu’’tiṇṇaṃ vā atirekānaṃ vā ārocentena ‘‘āyasmanto dhārentū’’ti evaṃ ārocanavidhānaṃ veditabbaṃ. Vattabhedañca ratticchedañca akatvāti ettha ṭhapetvā navakataraṃ pārivāsikaṃ avasesānaṃ antamaso mūlāyapaṭikassanārahādīnampi abhivādanādisādiyane, paṭipāṭiyā nisīdane, ovadane, kammikānaṃ garahaṇe cātiādīsu vattabhedo hoti. Dassanasavanavisayesu anārocane ca bhikkhūhi ekacchanne vasane ca ajānantasseva vihāre bhikkhūnaṃ āgantvā gamane cātiādīsu ratticchedo hoti. Nānāsaṃvāsakehi vinayakammābhāvato tesaṃ anārocane ratticchedo na hoti. ‘‘Dve leḍḍupāte atikkamitvā’’ti vacanato anto na vaṭṭati. Nikkhittavatteneva hutvā vicarantena yassa santike pubbe samādiyitvā ārocitaṃ, tassāpi santike pacchā nikkhipanakāle ārocetvāva nikkhipitabbaṃ. Tasmā puna samādānakālepi so ce tato gacchati, taṃ divasaṃ agantvā divā ārocetvāpi yadi evaṃ atītadivasaṃ hoti, ‘‘aruṇe uṭṭhite tassa santike ārocetvā vattaṃ nikkhipitvā vihāraṃ gantabbanti tassa santike ārocetvā vattaṃ nikkhipitabba’’nti vuttaṃ. Apica ‘‘vihāraṃ gantvā yaṃ sabbapaṭhamaṃ bhikkhuṃ passati, tassa ārocetvā nikkhipitabba’’nti vuttaṃ. Sace ratticchedo hoti, vihārasīmāpariyāpannānaṃ sabbesaṃ ārocetabbaṃ siyā. ‘‘Tassa ārocetvā’’ti idaṃ pana pubbe anārocitaṃ sandhāya vattabhedarakkhaṇatthaṃ vuttaṃ. Tasmā eva samantapāsādikāyaṃ (cūḷava. aṭṭha. 97) evaṃ vuttaṃ ‘‘aññaṃ vihārato nikkhantaṃ vā āgantukaṃ vā’’ti.

    สุทฺธนฺตปริวาเส ปน สเจ ‘‘มาสมตฺตํ อสุโทฺธมฺหี’’ติ อคฺคเหสิ, ปริวสโนฺต ปุน อูนํ วา อธิกํ วา สนฺนิฎฺฐานํ กโรติ, ตตฺตกมฺปิ ปริวสิตพฺพเมว, ปริวาสทานกิจฺจํ นตฺถิฯ อยญฺหิ สุทฺธนฺตปริวาโส นาม อุทฺธมฺปิ อาโรหติ, เหฎฺฐาปิ โอโรหติฯ อิทมสฺส ลกฺขณํฯ

    Suddhantaparivāse pana sace ‘‘māsamattaṃ asuddhomhī’’ti aggahesi, parivasanto puna ūnaṃ vā adhikaṃ vā sanniṭṭhānaṃ karoti, tattakampi parivasitabbameva, parivāsadānakiccaṃ natthi. Ayañhi suddhantaparivāso nāma uddhampi ārohati, heṭṭhāpi orohati. Idamassa lakkhaṇaṃ.

    สโมทหิตฺวาติ มูลาปตฺติฎฺฐาเน ฐเปตฺวา, ปกฺขิปิตฺวาติ อโตฺถฯ อปฺปฎิจฺฉนฺนา เจ อนฺตราปตฺติ, มูลาย ปฎิกสฺสนํ อกตฺวา ปุเพฺพ คหิตปริวาเสเนว ปริวสิตพฺพํฯ โย ปน อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา วิพฺภมิตฺวา ปุน อุปสมฺปโนฺน หุตฺวาปิ ปฎิจฺฉาเทติ, โย จ ปุเพฺพ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปจฺฉา น ปฎิจฺฉาเทติ, โย จ อุภยตฺถ ปฎิจฺฉาเทติ, สเพฺพสํ ปฎิจฺฉนฺนทิวสวเสน ปริวาโส ทาตโพฺพฯ ‘‘ปุริมสฺมิํ อาปตฺติกฺขเนฺธ วา’’ติ จ ‘‘ปจฺฉิมสฺมิํ อาปตฺติกฺขเนฺธ วา’’ติ (จูฬว. ๑๖๖ อาทโย) จ ปาฬิยํ วุตฺตตฺตา เทฺว ภิกฺขู วิสุทฺธิกํ อาปนฺนา โหนฺติ, เต สุทฺธิกทิฎฺฐิโน โหนฺติฯ เอโก ฉาเทติ, เอโก น ฉาเทติฯ โย ฉาเทติ, โส ทุกฺกฎํ เทสาเปตโพฺพฯ ‘‘อุโภปิ ยถาธมฺมํ การาเปตพฺพา’’ติ (จูฬว. ๑๘๑) วจนโต ยํ กญฺจิ อาปตฺติํ ฉาเทตฺวา ทุกฺกฎํ อาปชฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Samodahitvāti mūlāpattiṭṭhāne ṭhapetvā, pakkhipitvāti attho. Appaṭicchannā ce antarāpatti, mūlāya paṭikassanaṃ akatvā pubbe gahitaparivāseneva parivasitabbaṃ. Yo pana āpattiṃ āpajjitvā vibbhamitvā puna upasampanno hutvāpi paṭicchādeti, yo ca pubbe paṭicchādetvā pacchā na paṭicchādeti, yo ca ubhayattha paṭicchādeti, sabbesaṃ paṭicchannadivasavasena parivāso dātabbo. ‘‘Purimasmiṃ āpattikkhandhe vā’’ti ca ‘‘pacchimasmiṃ āpattikkhandhe vā’’ti (cūḷava. 166 ādayo) ca pāḷiyaṃ vuttattā dve bhikkhū visuddhikaṃ āpannā honti, te suddhikadiṭṭhino honti. Eko chādeti, eko na chādeti. Yo chādeti, so dukkaṭaṃ desāpetabbo. ‘‘Ubhopi yathādhammaṃ kārāpetabbā’’ti (cūḷava. 181) vacanato yaṃ kañci āpattiṃ chādetvā dukkaṭaṃ āpajjatīti veditabbo.

    เตสุ คเตสุ วา อคเตสุ วา ปุริมนเยเนว ปฎิปชฺชิตพฺพนฺติ เอตฺถ อูเน คเณ จรณํ, อนุฎฺฐหนํ เอกรตฺตมฺปิ คเณน วิปฺปวาสํ, สเจ รตฺติยา เอกกฺขเณน สโงฺฆ วสติ, สเจ โส ปุเร อรุณเมว เกนจิ กรณีเยน คโตติ เอตฺถปิ มานเตฺตปิ เอวํ ชาเตฯ ‘‘อยญฺจ ยสฺมา คณสฺส อาโรเจตฺวา, ภิกฺขูนญฺจ อตฺถิภาวํ สลฺลเกฺขตฺวาว วสิ, เตนสฺส อูเน คเณ จรณโทโส วา วิปฺปวาโส วา น โหตี’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๙๗) สมนฺตปาสาทิกายํ วุตฺตํฯ ตสฺมา เตน อาโรจิเต มุหุตฺตมฺปิ นิสีทิตฺวา คเตปิ วิปฺปวาโส นตฺถิฯ ปาริวาสิกสฺส, อุกฺขิตฺตกสฺส จ ปกตเตฺตน ตสฺมิํ วสนํ อุทกปาเตน วาริตํ, ตสฺมา นานูปจาเรปิ เอกจฺฉเนฺน น วฎฺฎติฯ

    Tesu gatesu vā agatesu vā purimanayeneva paṭipajjitabbanti ettha ūne gaṇe caraṇaṃ, anuṭṭhahanaṃ ekarattampi gaṇena vippavāsaṃ, sace rattiyā ekakkhaṇena saṅgho vasati, sace so pure aruṇameva kenaci karaṇīyena gatoti etthapi mānattepi evaṃ jāte. ‘‘Ayañca yasmā gaṇassa ārocetvā, bhikkhūnañca atthibhāvaṃ sallakkhetvāva vasi, tenassa ūne gaṇe caraṇadoso vā vippavāso vā na hotī’’ti (cūḷava. aṭṭha. 97) samantapāsādikāyaṃ vuttaṃ. Tasmā tena ārocite muhuttampi nisīditvā gatepi vippavāso natthi. Pārivāsikassa, ukkhittakassa ca pakatattena tasmiṃ vasanaṃ udakapātena vāritaṃ, tasmā nānūpacārepi ekacchanne na vaṭṭati.

    อิทานิ ปาฐวิจารณา เวทิตพฺพา – ‘‘นว ปฐมาปตฺติกา จตฺตาโร ยาวตติยกา’’ติ อิทํ สภาวนิยมวจนํฯ เตน วุฎฺฐานํ อนิยมนฺติ ทเสฺสติฯ เอกจฺจาปตฺติวุฎฺฐานญฺหิ กมฺมโตปิ โหติ อกมฺมโตปิ, น เอวํ อาปชฺชนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อญฺญตรํ วา อญฺญตรํ วาติ เตสํ ทฺวิธา ภินฺนานมฺปิ วุฎฺฐานกฺกมเภทาภาวทีปกวจนํฯ ยาวตีหํ, ตาวตีหนฺติ เอตฺถ อหปริเจฺฉโท อรุณวเสนฯ ‘‘ชาน’’นฺติ อิมินา ชานนปฺปฎิจฺฉนฺนสฺส อกามา ปริวตฺถพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ เตน ภิกฺขุนา อกามา ปริวตฺถพฺพนฺติ เตน ภิกฺขุนา วสตา อกามา ปริวตฺถพฺพํ, น ปริวตฺติตลิเงฺคนาติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ปริวุตฺถปริวาเสนาติ อาทิมฺหิ ปริวุตฺถปริวาเสเนว ปริวาสโต อุตฺตริ อิติวาเรน อาทิโต ภิกฺขุนาว ฉารตฺตํ, ปริวตฺติตลิเงฺคน อุทฺธมฺปิ ภิกฺขุมานตฺตาย ปฎิปชฺชิตพฺพํ, น ปริวาเส วิย ตปฺปจฺจยา อจิณฺณมานโตฺตฯ จิณฺณมานโตฺตว อเพฺภตโพฺพ, น อิตโร, น ปริวาเส วิย มานตฺตารเห, ปกฺขมานตฺตญฺจ จรนฺติยา ภิกฺขุนิยา ลิงฺคํ ปริวตฺตาติกฺกเม สติ จิณฺณมานโตฺต ภิกฺขุ โหติ, ปุน ภิกฺขุมานตฺตํ คเหตฺวา จิณฺณมานโตฺตว ภิกฺขุ อเพฺภตโพฺพติ ทเสฺสติฯ

    Idāni pāṭhavicāraṇā veditabbā – ‘‘nava paṭhamāpattikā cattāro yāvatatiyakā’’ti idaṃ sabhāvaniyamavacanaṃ. Tena vuṭṭhānaṃ aniyamanti dasseti. Ekaccāpattivuṭṭhānañhi kammatopi hoti akammatopi, na evaṃ āpajjananti vuttaṃ hoti. Aññataraṃ vā aññataraṃ vāti tesaṃ dvidhā bhinnānampi vuṭṭhānakkamabhedābhāvadīpakavacanaṃ. Yāvatīhaṃ, tāvatīhanti ettha ahaparicchedo aruṇavasena. ‘‘Jāna’’nti iminā jānanappaṭicchannassa akāmā parivatthabbanti dasseti. Tena bhikkhunā akāmā parivatthabbanti tena bhikkhunā vasatā akāmā parivatthabbaṃ, na parivattitaliṅgenāti dassanatthaṃ vuttaṃ. Parivutthaparivāsenāti ādimhi parivutthaparivāseneva parivāsato uttari itivārena ādito bhikkhunāva chārattaṃ, parivattitaliṅgena uddhampi bhikkhumānattāya paṭipajjitabbaṃ, na parivāse viya tappaccayā aciṇṇamānatto. Ciṇṇamānattova abbhetabbo, na itaro, na parivāse viya mānattārahe, pakkhamānattañca carantiyā bhikkhuniyā liṅgaṃ parivattātikkame sati ciṇṇamānatto bhikkhu hoti, puna bhikkhumānattaṃ gahetvā ciṇṇamānattova bhikkhu abbhetabboti dasseti.

    ยตฺถ สิยาติ ยสฺสํ สมานสํวาสกสีมายมฺปิ วีสติคโณ ภิกฺขุสโงฺฆ อตฺถิฯ เอเกนปิ เจ อูโน วีสติคโณติ น ยุชฺชติ, อูโน เจฯ น หิ วีสติคโณ, สโงฺฆ เจ อูโนฯ ตสฺมา ‘‘เอเกนปิ เจ อูโน สโงฺฆ’’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพนฺติ เจ? น, จตุวคฺคปญฺจวคฺคทสวคฺคปฺปสงฺคนิวารณปฺปโยชนโตฯ ตสฺมา วีสติวโคฺค ภิกฺขุสโงฺฆ เจ ภิกฺขุนา เอเกนปิ อูโน, นโฎฺฐ ทฎฺฐโพฺพฯ เกจิ ปน วินเย อปฺปกตญฺญุโน ‘‘ยถา อติเรกจตุวโคฺคปิ สโงฺฆ จตุวคฺคกรณีเย กเมฺม ‘จตุวโคฺค’ติ วุจฺจติ, ตถา ปญฺจวคฺคทสวคฺคกรณีเย กเมฺม อติเรกปญฺจวคฺคทสวโคฺคปิ ‘ปญฺจวคฺคทสวโคฺค’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมา อูโนปิ จตุวคฺคปญฺจวคฺคทสวคฺควีสติวโคฺควา’’ติ มเญฺญยฺยุํ, เตสํ มญฺญนานิวารณตฺถํ ‘‘เอเกนปิ เจ อูโน’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อถ วา วีสติ ภิกฺขุสโงฺฆ เจ, ฐเปตฺวา เอเกนปิ เจ อูโน อปฺปกตโตฺต, ตํ ฐเปตฺวา เอเกนปิ เจติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อยํ ตตฺถ สามีจีติ วจนํ ยํ วุตฺตํ สพฺพตฺถ ‘‘ตสฺส อาปตฺติยา ปริวาสํ เทติ, มูลาย ปฎิกสฺสติ, มานตฺตํ เทติ, อเพฺภตี’’ติ, ตสฺส อาวิภาวกรณตฺถํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เตน เตสุ อยํ ยถาวุตฺตา สามีจิ นิยตา อิจฺฉิตพฺพา, น ราชสิกฺขาปทาทีสุ วิย อนิยตาฯ ตตฺถ หิ เกนจิ อนฺตราเยน ตํ สามีจิมกโรเนฺตปิ อนาปตฺตีติ ทีปิตํ โหติฯ

    Yattha siyāti yassaṃ samānasaṃvāsakasīmāyampi vīsatigaṇo bhikkhusaṅgho atthi. Ekenapi ce ūno vīsatigaṇoti na yujjati, ūno ce. Na hi vīsatigaṇo, saṅgho ce ūno. Tasmā ‘‘ekenapi ce ūno saṅgho’’ti ettakameva vattabbanti ce? Na, catuvaggapañcavaggadasavaggappasaṅganivāraṇappayojanato. Tasmā vīsativaggo bhikkhusaṅgho ce bhikkhunā ekenapi ūno, naṭṭho daṭṭhabbo. Keci pana vinaye appakataññuno ‘‘yathā atirekacatuvaggopi saṅgho catuvaggakaraṇīye kamme ‘catuvaggo’ti vuccati, tathā pañcavaggadasavaggakaraṇīye kamme atirekapañcavaggadasavaggopi ‘pañcavaggadasavaggo’ti vuccati. Tasmā ūnopi catuvaggapañcavaggadasavaggavīsativaggovā’’ti maññeyyuṃ, tesaṃ maññanānivāraṇatthaṃ ‘‘ekenapi ce ūno’’tiādi vuttaṃ. Atha vā vīsati bhikkhusaṅgho ce, ṭhapetvā ekenapi ce ūno appakatatto, taṃ ṭhapetvā ekenapi ceti evamettha attho daṭṭhabbo. Ayaṃ tattha sāmīcīti vacanaṃ yaṃ vuttaṃ sabbattha ‘‘tassa āpattiyā parivāsaṃ deti, mūlāya paṭikassati, mānattaṃ deti, abbhetī’’ti, tassa āvibhāvakaraṇatthaṃ vuttanti veditabbaṃ. Tena tesu ayaṃ yathāvuttā sāmīci niyatā icchitabbā, na rājasikkhāpadādīsu viya aniyatā. Tattha hi kenaci antarāyena taṃ sāmīcimakarontepi anāpattīti dīpitaṃ hoti.

    สงฺฆาทิเสสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saṅghādisesavaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact