Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๑๒] ๒. นิโคฺรธมิคชาตกวณฺณนา

    [12] 2. Nigrodhamigajātakavaṇṇanā

    นิโคฺรธเมว เสเวยฺยาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต กุมารกสฺสปเตฺถรสฺส มาตรํ อารพฺภ กเถสิฯ สา กิร ราชคหนคเร มหาวิภวสฺส เสฎฺฐิโน ธีตา อโหสิ อุสฺสนฺนกุสลมูลา ปริมทฺทิตสงฺขารา ปจฺฉิมภวิกา, อโนฺตฆเฎ ปทีโป วิย ตสฺสา หทเย อรหตฺตูปนิสฺสโย ชลติฯ สา อตฺตานํ ชานนกาลโต ปฎฺฐาย เคเห อนภิรตา ปพฺพชิตุกามา หุตฺวา มาตาปิตโร อาห – ‘‘อมฺมตาตา, มยฺหํ ฆราวาเส จิตฺตํ นาภิรมติ, อหํ นิยฺยานิเก พุทฺธสาสเน ปพฺพชิตุกามา, ปพฺพาเชถ ม’’นฺติฯ อมฺม, กิํ วเทสิ, อิทํ กุลํ พหุวิภวํ, ตฺวญฺจ อมฺหากํ เอกธีตา, น ลพฺภา ตยา ปพฺพชิตุนฺติฯ สา ปุนปฺปุนํ ยาจิตฺวาปิ มาตาปิตูนํ สนฺติกา ปพฺพชฺชํ อลภมานา จิเนฺตสิ ‘‘โหตุ, ปติกุลํ คตา สามิกํ อาราเธตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ สา วยปฺปตฺตา ปติกุลํ คนฺตฺวา ปติเทวตา หุตฺวา สีลวตี กลฺยาณธมฺมา อคารํ อชฺฌาวสิฯ

    Nigrodhameva seveyyāti idaṃ satthā jetavane viharanto kumārakassapattherassa mātaraṃ ārabbha kathesi. Sā kira rājagahanagare mahāvibhavassa seṭṭhino dhītā ahosi ussannakusalamūlā parimadditasaṅkhārā pacchimabhavikā, antoghaṭe padīpo viya tassā hadaye arahattūpanissayo jalati. Sā attānaṃ jānanakālato paṭṭhāya gehe anabhiratā pabbajitukāmā hutvā mātāpitaro āha – ‘‘ammatātā, mayhaṃ gharāvāse cittaṃ nābhiramati, ahaṃ niyyānike buddhasāsane pabbajitukāmā, pabbājetha ma’’nti. Amma, kiṃ vadesi, idaṃ kulaṃ bahuvibhavaṃ, tvañca amhākaṃ ekadhītā, na labbhā tayā pabbajitunti. Sā punappunaṃ yācitvāpi mātāpitūnaṃ santikā pabbajjaṃ alabhamānā cintesi ‘‘hotu, patikulaṃ gatā sāmikaṃ ārādhetvā pabbajissāmī’’ti. Sā vayappattā patikulaṃ gantvā patidevatā hutvā sīlavatī kalyāṇadhammā agāraṃ ajjhāvasi.

    อถสฺสา สํวาสมนฺวาย กุจฺฉิยํ คโพฺภ ปติฎฺฐหิฯ สา คพฺภสฺส ปติฎฺฐิตภาวํ น อญฺญาสิฯ อถ ตสฺมิํ นคเร นกฺขตฺตํ โฆสยิํสุ, สกลนครวาสิโน นกฺขตฺตํ กีฬิํสุ, นครํ เทวนครํ วิย อลงฺกตปฎิยตฺตํ อโหสิฯ สา ปน ตาว อุฬารายปิ นกฺขตฺตกีฬาย วตฺตมานาย อตฺตโน สรีรํ น วิลิมฺปติ นาลงฺกโรติ, ปกติเวเสเนว วิจรติฯ

    Athassā saṃvāsamanvāya kucchiyaṃ gabbho patiṭṭhahi. Sā gabbhassa patiṭṭhitabhāvaṃ na aññāsi. Atha tasmiṃ nagare nakkhattaṃ ghosayiṃsu, sakalanagaravāsino nakkhattaṃ kīḷiṃsu, nagaraṃ devanagaraṃ viya alaṅkatapaṭiyattaṃ ahosi. Sā pana tāva uḷārāyapi nakkhattakīḷāya vattamānāya attano sarīraṃ na vilimpati nālaṅkaroti, pakativeseneva vicarati.

    อถ นํ สามิโก อาห – ‘‘ภเทฺท, สกลนครํ นกฺขตฺตนิสฺสิตํ, ตฺวํ ปน สรีรํ นปฺปฎิชคฺคสี’’ติฯ อยฺยปุตฺต, ทฺวตฺติํสาย เม กุณเปหิ ปูริตํ สรีรํ, กิํ อิมินา อลงฺกเตน, อยญฺหิ กาโย เนว เทวนิมฺมิโต, น พฺรหฺมนิมฺมิโต, น สุวณฺณมโย, น มณิมโย, น หริจนฺทนมโย, น ปุณฺฑรีกกุมุทุปฺปลคพฺภสมฺภูโต , น อมโตสธปูริโต, อถ โข กุณเป ชาโต, มาตาเปตฺติกสมฺภโว, อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทนวิทฺธํสนธโมฺม, กฎสิวฑฺฒโน, ตณฺหูปาทิโนฺน, โสกานํ นิทานํ, ปริเทวานํ วตฺถุ, สพฺพโรคานํ อาลโย, กมฺมกรณานํ ปฎิคฺคโห, อโนฺตปูติ, พหิ นิจฺจปคฺฆรโณ, กิมิกุลานํ อาวาโส, สิวถิกปยาโต, มรณปริโยสาโน, สพฺพโลกสฺส จกฺขุปเถ วตฺตมาโนปิ –

    Atha naṃ sāmiko āha – ‘‘bhadde, sakalanagaraṃ nakkhattanissitaṃ, tvaṃ pana sarīraṃ nappaṭijaggasī’’ti. Ayyaputta, dvattiṃsāya me kuṇapehi pūritaṃ sarīraṃ, kiṃ iminā alaṅkatena, ayañhi kāyo neva devanimmito, na brahmanimmito, na suvaṇṇamayo, na maṇimayo, na haricandanamayo, na puṇḍarīkakumuduppalagabbhasambhūto , na amatosadhapūrito, atha kho kuṇape jāto, mātāpettikasambhavo, aniccucchādanaparimaddanabhedanaviddhaṃsanadhammo, kaṭasivaḍḍhano, taṇhūpādinno, sokānaṃ nidānaṃ, paridevānaṃ vatthu, sabbarogānaṃ ālayo, kammakaraṇānaṃ paṭiggaho, antopūti, bahi niccapaggharaṇo, kimikulānaṃ āvāso, sivathikapayāto, maraṇapariyosāno, sabbalokassa cakkhupathe vattamānopi –

    ‘‘อฎฺฐินหารุสํยุโตฺต, ตจมํสาวเลปโน;

    ‘‘Aṭṭhinahārusaṃyutto, tacamaṃsāvalepano;

    ฉวิยา กาโย ปฎิจฺฉโนฺน, ยถาภูตํ น ทิสฺสติฯ

    Chaviyā kāyo paṭicchanno, yathābhūtaṃ na dissati.

    ‘‘อนฺตปูโร อุทรปูโร, ยกนเปฬสฺส วตฺถิโน;

    ‘‘Antapūro udarapūro, yakanapeḷassa vatthino;

    หทยสฺส ปปฺผาสสฺส, วกฺกสฺส ปิหกสฺส จฯ

    Hadayassa papphāsassa, vakkassa pihakassa ca.

    ‘‘สิงฺฆาณิกาย เขฬสฺส, เสทสฺส จ เมทสฺส จ;

    ‘‘Siṅghāṇikāya kheḷassa, sedassa ca medassa ca;

    โลหิตสฺส ลสิกาย, ปิตฺตสฺส จ วสาย จฯ

    Lohitassa lasikāya, pittassa ca vasāya ca.

    ‘‘อถสฺส นวหิ โสเตหิ, อสุจี สวติ สพฺพทา;

    ‘‘Athassa navahi sotehi, asucī savati sabbadā;

    อกฺขิมฺหา อกฺขิคูถโก, กณฺณมฺหา กณฺณคูถโกฯ

    Akkhimhā akkhigūthako, kaṇṇamhā kaṇṇagūthako.

    ‘‘สิงฺฆาณิกา จ นาสโต, มุเขน วมเตกทา;

    ‘‘Siṅghāṇikā ca nāsato, mukhena vamatekadā;

    ปิตฺตํ เสมฺหญฺจ วมติ, กายมฺหา เสทชลฺลิกาฯ

    Pittaṃ semhañca vamati, kāyamhā sedajallikā.

    ‘‘อถสฺส สุสิรํ สีสํ, มตฺถลุงฺคสฺส ปูริตํ;

    ‘‘Athassa susiraṃ sīsaṃ, matthaluṅgassa pūritaṃ;

    สุภโต นํ มญฺญติ พาโล, อวิชฺชาย ปุรกฺขโตฯ (สุ. นิ. ๑๙๖-๒๐๑);

    Subhato naṃ maññati bālo, avijjāya purakkhato. (su. ni. 196-201);

    ‘‘อนนฺตาทีนโว กาโย, วิสรุกฺขสมูปโม;

    ‘‘Anantādīnavo kāyo, visarukkhasamūpamo;

    อาวาโส สพฺพโรคานํ, ปุโญฺช ทุกฺขสฺส เกวโลฯ (อป. เถร ๒.๕๔.๕๕);

    Āvāso sabbarogānaṃ, puñjo dukkhassa kevalo. (apa. thera 2.54.55);

    ‘‘สเจ อิมสฺส กายสฺส, อโนฺต พาหิรโก สิยา;

    ‘‘Sace imassa kāyassa, anto bāhirako siyā;

    ทณฺฑํ นูน คเหตฺวาน, กาเก โสเณ จ วารเยฯ

    Daṇḍaṃ nūna gahetvāna, kāke soṇe ca vāraye.

    ‘‘ทุคฺคโนฺธ อสุจิ กาโย, กุณโป อุกฺกรูปโม;

    ‘‘Duggandho asuci kāyo, kuṇapo ukkarūpamo;

    นินฺทิโต จกฺขุภูเตหิ, กาโย พาลาภินนฺทิโตฯ

    Nindito cakkhubhūtehi, kāyo bālābhinandito.

    ‘‘อลฺลจมฺมปฎิจฺฉโนฺน, นวทฺวาโร มหาวโณ;

    ‘‘Allacammapaṭicchanno, navadvāro mahāvaṇo;

    สมนฺตโต ปคฺฆรติ, อสุจี ปูติคนฺธิโย’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๒);

    Samantato paggharati, asucī pūtigandhiyo’’ti. (visuddhi. 1.122);

    อยฺยปุตฺต , อิมํ กายํ อลงฺกริตฺวา กิํ กริสฺสามิ? นนุ อิมสฺส อลงฺกตกรณํ คูถปุณฺณฆฎสฺส พหิ จิตฺตกมฺมกรณํ วิย โหตีติ? เสฎฺฐิปุโตฺต ตสฺสา วจนํ สุตฺวา อาห ‘‘ภเทฺท, ตฺวํ อิมสฺส สรีรสฺส อิเม โทเส ปสฺสมานา กสฺมา น ปพฺพชสี’’ติ? ‘‘อยฺยปุตฺต, อหํ ปพฺพชฺชํ ลภมานา อเชฺชว ปพฺพเชยฺย’’นฺติฯ เสฎฺฐิปุโตฺต ‘‘สาธุ, อหํ ตํ ปพฺพาเชสฺสามี’’ติ วตฺวา มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา มหาสกฺการํ กตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน ภิกฺขุนุปสฺสยํ เนตฺวา ตํ ปพฺพาเชโนฺต เทวทตฺตปกฺขิยานํ ภิกฺขุนีนํ สนฺติเก ปพฺพาเชสิฯ สา ปพฺพชฺชํ ลภิตฺวา ปริปุณฺณสงฺกปฺปา อตฺตมนา อโหสิฯ

    Ayyaputta , imaṃ kāyaṃ alaṅkaritvā kiṃ karissāmi? Nanu imassa alaṅkatakaraṇaṃ gūthapuṇṇaghaṭassa bahi cittakammakaraṇaṃ viya hotīti? Seṭṭhiputto tassā vacanaṃ sutvā āha ‘‘bhadde, tvaṃ imassa sarīrassa ime dose passamānā kasmā na pabbajasī’’ti? ‘‘Ayyaputta, ahaṃ pabbajjaṃ labhamānā ajjeva pabbajeyya’’nti. Seṭṭhiputto ‘‘sādhu, ahaṃ taṃ pabbājessāmī’’ti vatvā mahādānaṃ pavattetvā mahāsakkāraṃ katvā mahantena parivārena bhikkhunupassayaṃ netvā taṃ pabbājento devadattapakkhiyānaṃ bhikkhunīnaṃ santike pabbājesi. Sā pabbajjaṃ labhitvā paripuṇṇasaṅkappā attamanā ahosi.

    อถสฺสา คเพฺภ ปริปากํ คจฺฉเนฺต อินฺทฺริยานํ อญฺญถตฺตํ หตฺถปาทปิฎฺฐีนํ พหลตฺตํ อุทรปฎลสฺส จ มหนฺตตํ ทิสฺวา ภิกฺขุนิโย ตํ ปุจฺฉิํสุ ‘‘อเยฺย, ตฺวํ คพฺภินี วิย ปญฺญายสิ, กิํ เอต’’นฺติ? อเยฺย, ‘‘อิทํ นาม การณ’’นฺติ น ชานามิ, สีลํ ปน เม ปริปุณฺณนฺติ ฯ อถ นํ ตา ภิกฺขุนิโย เทวทตฺตสฺส สนฺติกํ เนตฺวา เทวทตฺตํ ปุจฺฉิํสุ ‘‘อยฺย, อยํ กุลธีตา กิเจฺฉน สามิกํ อาราเธตฺวา ปพฺพชฺชํ ลภิ, อิทานิ ปนสฺสา คโพฺภ ปญฺญายติ, มยํ อิมสฺส คพฺภสฺส คิหิกาเล วา ปพฺพชิตกาเล วา ลทฺธภาวํ น ชานาม, กิํทานิ กโรมา’’ติ? เทวทโตฺต อตฺตโน อพุทฺธภาเวน จ ขนฺติเมตฺตานุทฺทยานญฺจ นตฺถิตาย เอวํ จิเนฺตสิ ‘‘เทวทตฺตปกฺขิกา ภิกฺขุนี กุจฺฉินา คพฺภํ ปริหรติ, เทวทโตฺต จ ตํ อชฺฌุเปกฺขติเยวาติ มยฺหํ ครหา อุปฺปชฺชิสฺสติ, มยา อิมํ อุปฺปพฺพาเชตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส อวีมํสิตฺวาว เสลคุฬํ ปวฎฺฎยมาโน วิย ปกฺขนฺทิตฺวา ‘‘คจฺฉถ, อิมํ อุปฺปพฺพาเชถา’’ติ อาหฯ ตา ตสฺส วจนํ สุตฺวา อุฎฺฐาย วนฺทิตฺวา อุปสฺสยํ คตาฯ

    Athassā gabbhe paripākaṃ gacchante indriyānaṃ aññathattaṃ hatthapādapiṭṭhīnaṃ bahalattaṃ udarapaṭalassa ca mahantataṃ disvā bhikkhuniyo taṃ pucchiṃsu ‘‘ayye, tvaṃ gabbhinī viya paññāyasi, kiṃ eta’’nti? Ayye, ‘‘idaṃ nāma kāraṇa’’nti na jānāmi, sīlaṃ pana me paripuṇṇanti . Atha naṃ tā bhikkhuniyo devadattassa santikaṃ netvā devadattaṃ pucchiṃsu ‘‘ayya, ayaṃ kuladhītā kicchena sāmikaṃ ārādhetvā pabbajjaṃ labhi, idāni panassā gabbho paññāyati, mayaṃ imassa gabbhassa gihikāle vā pabbajitakāle vā laddhabhāvaṃ na jānāma, kiṃdāni karomā’’ti? Devadatto attano abuddhabhāvena ca khantimettānuddayānañca natthitāya evaṃ cintesi ‘‘devadattapakkhikā bhikkhunī kucchinā gabbhaṃ pariharati, devadatto ca taṃ ajjhupekkhatiyevāti mayhaṃ garahā uppajjissati, mayā imaṃ uppabbājetuṃ vaṭṭatī’’ti. So avīmaṃsitvāva selaguḷaṃ pavaṭṭayamāno viya pakkhanditvā ‘‘gacchatha, imaṃ uppabbājethā’’ti āha. Tā tassa vacanaṃ sutvā uṭṭhāya vanditvā upassayaṃ gatā.

    อถ สา ทหรา ตา ภิกฺขุนิโย อาห – ‘‘อเยฺย, น เทวทตฺตเตฺถโร พุโทฺธ, นาปิ มยฺหํ ตสฺส สนฺติเก ปพฺพชฺชา, โลเก ปน อคฺคปุคฺคลสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สนฺติเก มยฺหํ ปพฺพชฺชา, สา จ ปน เม ทุเกฺขน ลทฺธา, มา นํ อนฺตรธาเปถ, เอถ มํ คเหตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ เชตวนํ คจฺฉถา’’ติฯ ตา ตํ อาทาย ราชคหา ปญฺจจตฺตาลีสโยชนิกํ มคฺคํ อติกฺกมฺม อนุปุเพฺพน เชตวนํ ปตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ สตฺถา จิเนฺตสิ – ‘‘กิญฺจาปิ คิหิกาเล เอติสฺสา คโพฺภ ปติฎฺฐิโต, เอวํ สเนฺตปิ ‘สมโณ โคตโม เทวทเตฺตน ชหิตํ อาทาย จรตี’ติ ติตฺถิยานํ โอกาโส ภวิสฺสติฯ ตสฺมา อิมํ กถํ ปจฺฉินฺทิตุํ สราชิกาย ปริสาย มเชฺฌ อิมํ อธิกรณํ วินิจฺฉิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ปุนทิวเส ราชานํ ปเสนทิโกสลํ มหาอนาถปิณฺฑิกํ จูฬอนาถปิณฺฑิกํ วิสาขํ มหาอุปาสิกํ อญฺญานิ จ อภิญฺญาตานิ มหากุลานิ ปโกฺกสาเปตฺวา สายนฺหสมเย จตูสุ ปริสาสุ สนฺนิปติตาสุ อุปาลิเตฺถรํ อามเนฺตสิ ‘‘คจฺฉ, ตฺวํ จตุปริสมเชฺฌ อิมิสฺสา ทหรภิกฺขุนิยา กมฺมํ โสเธหี’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ เถโร ปริสมชฺฌํ คนฺตฺวา อตฺตโน ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิตฺวา รโญฺญ ปุรโต วิสาขํ อุปาสิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา อิมํ อธิกรณํ ปฎิจฺฉาเปสิ ‘‘คจฺฉ วิสาเข, ‘อยํ ทหรา อสุกมาเส อสุกทิวเส ปพฺพชิตา’ติ ตถโต ญตฺวา อิมสฺส คพฺภสฺส ปุเร วา ปจฺฉา วา ลทฺธภาวํ ชานาหี’’ติฯ อุปาสิกา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สาณิํ ปริกฺขิปาเปตฺวา อโนฺตสาณิยํ ทหรภิกฺขุนิยา หตฺถปาทนาภิอุทรปริโยสานาทีนิ โอโลเกตฺวา มาสทิวเส สมาเนตฺวา คิหิภาเว คพฺภสฺส ลทฺธภาวํ ตถโต ญตฺวา เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ เถโร จตุปริสมเชฺฌ ตํ ภิกฺขุนิํ สุทฺธํ อกาสิฯ สา สุทฺธา หุตฺวา ภิกฺขุสงฺฆญฺจ สตฺถารญฺจ วนฺทิตฺวา ภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ อุปสฺสยเมว คตาฯ สา คพฺภปริปากมนฺวาย ปทุมุตฺตรปาทมูเล ปตฺถิตปตฺถนํ มหานุภาวํ ปุตฺตํ วิชายิฯ

    Atha sā daharā tā bhikkhuniyo āha – ‘‘ayye, na devadattatthero buddho, nāpi mayhaṃ tassa santike pabbajjā, loke pana aggapuggalassa sammāsambuddhassa santike mayhaṃ pabbajjā, sā ca pana me dukkhena laddhā, mā naṃ antaradhāpetha, etha maṃ gahetvā satthu santikaṃ jetavanaṃ gacchathā’’ti. Tā taṃ ādāya rājagahā pañcacattālīsayojanikaṃ maggaṃ atikkamma anupubbena jetavanaṃ patvā satthāraṃ vanditvā tamatthaṃ ārocesuṃ. Satthā cintesi – ‘‘kiñcāpi gihikāle etissā gabbho patiṭṭhito, evaṃ santepi ‘samaṇo gotamo devadattena jahitaṃ ādāya caratī’ti titthiyānaṃ okāso bhavissati. Tasmā imaṃ kathaṃ pacchindituṃ sarājikāya parisāya majjhe imaṃ adhikaraṇaṃ vinicchituṃ vaṭṭatī’’ti. Punadivase rājānaṃ pasenadikosalaṃ mahāanāthapiṇḍikaṃ cūḷaanāthapiṇḍikaṃ visākhaṃ mahāupāsikaṃ aññāni ca abhiññātāni mahākulāni pakkosāpetvā sāyanhasamaye catūsu parisāsu sannipatitāsu upālittheraṃ āmantesi ‘‘gaccha, tvaṃ catuparisamajjhe imissā daharabhikkhuniyā kammaṃ sodhehī’’ti. ‘‘Sādhu, bhante’’ti thero parisamajjhaṃ gantvā attano paññattāsane nisīditvā rañño purato visākhaṃ upāsikaṃ pakkosāpetvā imaṃ adhikaraṇaṃ paṭicchāpesi ‘‘gaccha visākhe, ‘ayaṃ daharā asukamāse asukadivase pabbajitā’ti tathato ñatvā imassa gabbhassa pure vā pacchā vā laddhabhāvaṃ jānāhī’’ti. Upāsikā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā sāṇiṃ parikkhipāpetvā antosāṇiyaṃ daharabhikkhuniyā hatthapādanābhiudarapariyosānādīni oloketvā māsadivase samānetvā gihibhāve gabbhassa laddhabhāvaṃ tathato ñatvā therassa santikaṃ gantvā tamatthaṃ ārocesi. Thero catuparisamajjhe taṃ bhikkhuniṃ suddhaṃ akāsi. Sā suddhā hutvā bhikkhusaṅghañca satthārañca vanditvā bhikkhunīhi saddhiṃ upassayameva gatā. Sā gabbhaparipākamanvāya padumuttarapādamūle patthitapatthanaṃ mahānubhāvaṃ puttaṃ vijāyi.

    อเถกทิวสํ ราชา ภิกฺขุนุปสฺสยสมีเปน คจฺฉโนฺต ทารกสทฺทํ สุตฺวา อมเจฺจ ปุจฺฉิฯ อมจฺจา ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘เทว, ทหรภิกฺขุนี ปุตฺตํ วิชาตา, ตเสฺสโส สโทฺท’’ติ อาหํสุฯ ‘‘ภิกฺขุนีนํ, ภเณ, ทารกปฎิชคฺคนํ นาม ปลิโพโธ, มยํ นํ ปฎิชคฺคิสฺสามา’’ติ ราชา ตํ ทารกํ นาฎกิตฺถีนํ ทาเปตฺวา กุมารปริหาเรน วฑฺฒาเปสิฯ นามคฺคหณทิวเส จสฺส ‘‘กสฺสโป’’ติ นามํ อกํสุฯ อถ นํ กุมารปริหาเรน วฑฺฒิตตฺตา ‘‘กุมารกสฺสโป’’ติ สญฺชานิํสุฯ โส สตฺตวสฺสิกกาเล สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา ปริปุณฺณวโสฺส อุปสมฺปทํ ลภิตฺวา คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล ธมฺมกถิเกสุ จิตฺรกถี อโหสิฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ จิตฺตกถิกานํ ยทิทํ กุมารกสฺสโป’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๐๙, ๒๑๗) เอตทเคฺค ฐเปสิฯ โส ปจฺฉา วมฺมิกสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๒๔๙ อาทโย) อรหตฺตํ ปาปุณิฯ มาตาปิสฺส ภิกฺขุนี วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อคฺคผลํ ปตฺตาฯ กุมารกสฺสปเตฺถโร พุทฺธสาสเน คคนมเชฺฌ ปุณฺณจโนฺท วิย ปากโฎ ชาโตฯ

    Athekadivasaṃ rājā bhikkhunupassayasamīpena gacchanto dārakasaddaṃ sutvā amacce pucchi. Amaccā taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘deva, daharabhikkhunī puttaṃ vijātā, tasseso saddo’’ti āhaṃsu. ‘‘Bhikkhunīnaṃ, bhaṇe, dārakapaṭijagganaṃ nāma palibodho, mayaṃ naṃ paṭijaggissāmā’’ti rājā taṃ dārakaṃ nāṭakitthīnaṃ dāpetvā kumāraparihārena vaḍḍhāpesi. Nāmaggahaṇadivase cassa ‘‘kassapo’’ti nāmaṃ akaṃsu. Atha naṃ kumāraparihārena vaḍḍhitattā ‘‘kumārakassapo’’ti sañjāniṃsu. So sattavassikakāle satthu santike pabbajitvā paripuṇṇavasso upasampadaṃ labhitvā gacchante gacchante kāle dhammakathikesu citrakathī ahosi. Atha naṃ satthā ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ cittakathikānaṃ yadidaṃ kumārakassapo’’ti (a. ni. 1.209, 217) etadagge ṭhapesi. So pacchā vammikasutte (ma. ni. 1.249 ādayo) arahattaṃ pāpuṇi. Mātāpissa bhikkhunī vipassanaṃ vaḍḍhetvā aggaphalaṃ pattā. Kumārakassapatthero buddhasāsane gaganamajjhe puṇṇacando viya pākaṭo jāto.

    อเถกทิวสํ ตถาคโต ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต ภิกฺขูนํ โอวาทํ ทตฺวา คนฺธกุฎิํ ปาวิสิฯ ภิกฺขู โอวาทํ คเหตฺวา อตฺตโน อตฺตโน รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐาเนสุ ทิวสภาคํ เขเปตฺวา สายนฺหสมเย ธมฺมสภายํ สนฺนิปติตฺวา ‘‘อาวุโส, เทวทเตฺตน อตฺตโน อพุทฺธภาเวน เจว ขนฺติเมตฺตาทีนญฺจ อภาเวน กุมารกสฺสปเตฺถโร จ เถรี จ อุโภ นาสิตา, สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปน อตฺตโน ธมฺมราชตาย เจว ขนฺติเมตฺตานุทฺทยสมฺปตฺติยา จ อุภินฺนมฺปิ เตสํ ปจฺจโย ชาโต’’ติ พุทฺธคุเณ วณฺณยมานา นิสีทิํสุฯ สตฺถา พุทฺธลีลาย ธมฺมสภํ อาคนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากเมว คุณกถายา’’ติ สพฺพํ อาโรจยิํสุฯ น, ภิกฺขเว, ตถาคโต อิทาเนว อิเมสํ อุภินฺนํ ปจฺจโย จ ปติฎฺฐา จ ชาโต, ปุเพฺพปิ อโหสิเยวาติฯ ภิกฺขู ตสฺสตฺถสฺสาวิภาวตฺถาย ภควนฺตํ ยาจิํสุฯ ภควา ภวนฺตเรน ปฎิจฺฉนฺนํ การณํ ปากฎํ อกาสิฯ

    Athekadivasaṃ tathāgato pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto bhikkhūnaṃ ovādaṃ datvā gandhakuṭiṃ pāvisi. Bhikkhū ovādaṃ gahetvā attano attano rattiṭṭhānadivāṭṭhānesu divasabhāgaṃ khepetvā sāyanhasamaye dhammasabhāyaṃ sannipatitvā ‘‘āvuso, devadattena attano abuddhabhāvena ceva khantimettādīnañca abhāvena kumārakassapatthero ca therī ca ubho nāsitā, sammāsambuddho pana attano dhammarājatāya ceva khantimettānuddayasampattiyā ca ubhinnampi tesaṃ paccayo jāto’’ti buddhaguṇe vaṇṇayamānā nisīdiṃsu. Satthā buddhalīlāya dhammasabhaṃ āgantvā paññattāsane nisīditvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchi. ‘‘Bhante, tumhākameva guṇakathāyā’’ti sabbaṃ ārocayiṃsu. Na, bhikkhave, tathāgato idāneva imesaṃ ubhinnaṃ paccayo ca patiṭṭhā ca jāto, pubbepi ahosiyevāti. Bhikkhū tassatthassāvibhāvatthāya bhagavantaṃ yāciṃsu. Bhagavā bhavantarena paṭicchannaṃ kāraṇaṃ pākaṭaṃ akāsi.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ การยมาเน โพธิสโตฺต มิคโยนิยํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ โส มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขโนฺต สุวณฺณวโณฺณ อโหสิ, อกฺขีนิ ปนสฺส มณิคุฬสทิสานิ อเหสุํ, สิงฺคานิ รชตวณฺณานิ, มุขํ รตฺตกมฺพลปุญฺชวณฺณํ, หตฺถปาทปริยนฺตา ลาขารสปริกมฺมกตา วิย, วาลธิ จมรสฺส วิย อโหสิ, สรีรํ ปนสฺส มหนฺตํ อสฺสโปตกปฺปมาณํ อโหสิฯ โส ปญฺจสตมิคปริวาโร อรเญฺญ วาสํ กเปฺปสิ นาเมน นิโคฺรธมิคราชา นามฯ อวิทูเร ปนสฺส อโญฺญปิ ปญฺจสตมิคปริวาโร สาขมิโค นาม วสติ, โสปิ สุวณฺณวโณฺณว อโหสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārayamāne bodhisatto migayoniyaṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. So mātukucchito nikkhanto suvaṇṇavaṇṇo ahosi, akkhīni panassa maṇiguḷasadisāni ahesuṃ, siṅgāni rajatavaṇṇāni, mukhaṃ rattakambalapuñjavaṇṇaṃ, hatthapādapariyantā lākhārasaparikammakatā viya, vāladhi camarassa viya ahosi, sarīraṃ panassa mahantaṃ assapotakappamāṇaṃ ahosi. So pañcasatamigaparivāro araññe vāsaṃ kappesi nāmena nigrodhamigarājā nāma. Avidūre panassa aññopi pañcasatamigaparivāro sākhamigo nāma vasati, sopi suvaṇṇavaṇṇova ahosi.

    เตน สมเยน พาราณสิราชา มิควธปฺปสุโต โหติ, วินา มํเสน น ภุญฺชติ, มนุสฺสานํ กมฺมเจฺฉทํ กตฺวา สเพฺพ เนคมชานปเท สนฺนิปาเตตฺวา เทวสิกํ มิควํ คจฺฉติฯ มนุสฺสา จิเนฺตสุํ – ‘‘อยํ ราชา อมฺหากํ กมฺมเจฺฉทํ กโรติ, ยํนูน มยํ อุยฺยาเน มิคานํ นิวาปํ วปิตฺวา ปานียํ สมฺปาเทตฺวา พหู มิเค อุยฺยานํ ปเวเสตฺวา ทฺวารํ พนฺธิตฺวา รโญฺญ นิยฺยาเทยฺยามา’’ติฯ เต สเพฺพ อุยฺยาเน มิคานํ นิวาปติณานิ โรเปตฺวา อุทกํ สมฺปาเทตฺวา ทฺวารํ โยเชตฺวา วาคุรานิ อาทาย มุคฺคราทินานาวุธหตฺถา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา มิเค ปริเยสมานา ‘‘มเชฺฌ ฐิเต มิเค คณฺหิสฺสามา’’ติ โยชนมตฺตํ ฐานํ ปริกฺขิปิตฺวา สงฺขิปมานา นิโคฺรธมิคสาขมิคานํ วสนฎฺฐานํ มเชฺฌ กตฺวา ปริกฺขิปิํสุฯ อถ นํ มิคคณํ ทิสฺวา รุกฺขคุมฺพาทโย จ ภูมิญฺจ มุคฺคเรหิ ปหรนฺตา มิคคณํ คหนฎฺฐานโต นีหริตฺวา อสิสตฺติธนุอาทีนิ อาวุธานิ อุคฺคิริตฺวา มหานาทํ นทนฺตา ตํ มิคคณํ อุยฺยานํ ปเวเสตฺวา ทฺวารํ ปิธาย ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว, นิพทฺธํ มิควํ คจฺฉนฺตา อมฺหากํ กมฺมํ นาเสถ, อเมฺหหิ อรญฺญโต มิเค อาเนตฺวา ตุมฺหากํ อุยฺยานํ ปูริตํ, อิโต ปฎฺฐาย เตสํ มํสานิ ขาทถา’’ติ ราชานํ อาปุจฺฉิตฺวา ปกฺกมิํสุฯ

    Tena samayena bārāṇasirājā migavadhappasuto hoti, vinā maṃsena na bhuñjati, manussānaṃ kammacchedaṃ katvā sabbe negamajānapade sannipātetvā devasikaṃ migavaṃ gacchati. Manussā cintesuṃ – ‘‘ayaṃ rājā amhākaṃ kammacchedaṃ karoti, yaṃnūna mayaṃ uyyāne migānaṃ nivāpaṃ vapitvā pānīyaṃ sampādetvā bahū mige uyyānaṃ pavesetvā dvāraṃ bandhitvā rañño niyyādeyyāmā’’ti. Te sabbe uyyāne migānaṃ nivāpatiṇāni ropetvā udakaṃ sampādetvā dvāraṃ yojetvā vāgurāni ādāya muggarādinānāvudhahatthā araññaṃ pavisitvā mige pariyesamānā ‘‘majjhe ṭhite mige gaṇhissāmā’’ti yojanamattaṃ ṭhānaṃ parikkhipitvā saṅkhipamānā nigrodhamigasākhamigānaṃ vasanaṭṭhānaṃ majjhe katvā parikkhipiṃsu. Atha naṃ migagaṇaṃ disvā rukkhagumbādayo ca bhūmiñca muggarehi paharantā migagaṇaṃ gahanaṭṭhānato nīharitvā asisattidhanuādīni āvudhāni uggiritvā mahānādaṃ nadantā taṃ migagaṇaṃ uyyānaṃ pavesetvā dvāraṃ pidhāya rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘deva, nibaddhaṃ migavaṃ gacchantā amhākaṃ kammaṃ nāsetha, amhehi araññato mige ānetvā tumhākaṃ uyyānaṃ pūritaṃ, ito paṭṭhāya tesaṃ maṃsāni khādathā’’ti rājānaṃ āpucchitvā pakkamiṃsu.

    ราชา เตสํ วจนํ สุตฺวา อุยฺยานํ คนฺตฺวา มิเค โอโลเกโนฺต เทฺว สุวณฺณมิเค ทิสฺวา เตสํ อภยํ อทาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย ปน กทาจิ สยํ คนฺตฺวา เอกํ มิคํ วิชฺฌิตฺวา อาเนติ, กทาจิสฺส ภตฺตการโก คนฺตฺวา วิชฺฌิตฺวา อาหรติฯ มิคา ธนุํ ทิสฺวาว มรณภเยน ตชฺชิตา ปลายนฺติ, เทฺว ตโย ปหาเร ลภิตฺวา กิลมนฺติปิ, คิลานาปิ โหนฺติ, มรณมฺปิ ปาปุณนฺติฯ มิคคโณ ตํ ปวตฺติํ โพธิสตฺตสฺส อาโรเจสิฯ โส สาขํ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘สมฺม, พหู มิคา นสฺสนฺติ, เอกํเสน มริตเพฺพ สติ อิโต ปฎฺฐาย มา กเณฺฑน มิเค วิชฺฌนฺตุ, ธมฺมคณฺฑิกฎฺฐาเน มิคานํ วาโร โหตุฯ เอกทิวสํ มม ปริสาย วาโร ปาปุณาตุ, เอกทิวสํ ตว ปริสาย, วารปฺปโตฺต มิโค คนฺตฺวา ธมฺมคณฺฑิกาย คีวํ ฐเปตฺวา นิปชฺชตุ, เอวํ สเนฺต มิคา กิลนฺตา น ภวิสฺสนฺตี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ตโต ปฎฺฐาย วารปฺปโตฺตว มิโค คนฺตฺวา ธมฺมคณฺฑิกาย คีวํ ฐเปตฺวา นิปชฺชติ, ภตฺตการโก อาคนฺตฺวา ตตฺถ นิปนฺนกเมว คเหตฺวา คจฺฉติฯ

    Rājā tesaṃ vacanaṃ sutvā uyyānaṃ gantvā mige olokento dve suvaṇṇamige disvā tesaṃ abhayaṃ adāsi. Tato paṭṭhāya pana kadāci sayaṃ gantvā ekaṃ migaṃ vijjhitvā āneti, kadācissa bhattakārako gantvā vijjhitvā āharati. Migā dhanuṃ disvāva maraṇabhayena tajjitā palāyanti, dve tayo pahāre labhitvā kilamantipi, gilānāpi honti, maraṇampi pāpuṇanti. Migagaṇo taṃ pavattiṃ bodhisattassa ārocesi. So sākhaṃ pakkosāpetvā āha – ‘‘samma, bahū migā nassanti, ekaṃsena maritabbe sati ito paṭṭhāya mā kaṇḍena mige vijjhantu, dhammagaṇḍikaṭṭhāne migānaṃ vāro hotu. Ekadivasaṃ mama parisāya vāro pāpuṇātu, ekadivasaṃ tava parisāya, vārappatto migo gantvā dhammagaṇḍikāya gīvaṃ ṭhapetvā nipajjatu, evaṃ sante migā kilantā na bhavissantī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Tato paṭṭhāya vārappattova migo gantvā dhammagaṇḍikāya gīvaṃ ṭhapetvā nipajjati, bhattakārako āgantvā tattha nipannakameva gahetvā gacchati.

    อเถกทิวสํ สาขมิคสฺส ปริสาย เอกิสฺสา คพฺภินิมิคิยา วาโร ปาปุณิฯ สา สาขํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘สามิ, อหํ คพฺภินี, ปุตฺตํ วิชายิตฺวา เทฺว ชนา วารํ คมิสฺสาม, มยฺหํ วารํ อติกฺกาเมหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘น สกฺกา ตว วารํ อเญฺญสํ ปาเปตุํ, ตฺวเมว ตุยฺหํ วารํ ชานิสฺสสิ, คจฺฉาหี’’ติ อาหฯ สา ตสฺส สนฺติกา อนุคฺคหํ อลภมานา โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ โส ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ‘‘โหตุ คจฺฉ ตฺวํ, อหํ เต วารํ อติกฺกาเมสฺสามี’’ติ สยํ คนฺตฺวา ธมฺมคณฺฑิกาย สีสํ กตฺวา นิปชฺชิฯ ภตฺตการโก ตํ ทิสฺวา ‘‘ลทฺธาภโย มิคราชา ธมฺมคณฺฑิกาย นิปโนฺน, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ เวเคน คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ

    Athekadivasaṃ sākhamigassa parisāya ekissā gabbhinimigiyā vāro pāpuṇi. Sā sākhaṃ upasaṅkamitvā ‘‘sāmi, ahaṃ gabbhinī, puttaṃ vijāyitvā dve janā vāraṃ gamissāma, mayhaṃ vāraṃ atikkāmehī’’ti āha. So ‘‘na sakkā tava vāraṃ aññesaṃ pāpetuṃ, tvameva tuyhaṃ vāraṃ jānissasi, gacchāhī’’ti āha. Sā tassa santikā anuggahaṃ alabhamānā bodhisattaṃ upasaṅkamitvā tamatthaṃ ārocesi. So tassā vacanaṃ sutvā ‘‘hotu gaccha tvaṃ, ahaṃ te vāraṃ atikkāmessāmī’’ti sayaṃ gantvā dhammagaṇḍikāya sīsaṃ katvā nipajji. Bhattakārako taṃ disvā ‘‘laddhābhayo migarājā dhammagaṇḍikāya nipanno, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti vegena gantvā rañño ārocesi.

    ราชา ตาวเทว รถํ อารุยฺห มหเนฺตน ปริวาเรน อาคนฺตฺวา โพธิสตฺตํ ทิสฺวา อาห ‘‘สมฺม มิคราช, นนุ มยา ตุยฺหํ อภยํ ทินฺนํ, กสฺมา ตฺวํ อิธ นิปโนฺน’’ติฯ มหาราช, คพฺภินี มิคี อาคนฺตฺวา ‘‘มม วารํ อญฺญสฺส ปาเปหี’’ติ อาห, น สกฺกา โข ปน มยา เอกสฺส มรณทุกฺขํ อญฺญสฺส อุปริ นิกฺขิปิตุํ, สฺวาหํ อตฺตโน ชีวิตํ ตสฺสา ทตฺวา ตสฺสา สนฺตกํ มรณํ คเหตฺวา อิธ นิปโนฺน, มา อญฺญํ กิญฺจิ อาสงฺกิตฺถ, มหาราชาติฯ ราชา อาห – ‘‘สามิ, สุวณฺณวณฺณมิคราช, มยา น ตาทิโส ขนฺติเมตฺตานุทฺทยสมฺปโนฺน มนุเสฺสสุปิ ทิฎฺฐปุโพฺพ, เตน เต ปสโนฺนสฺมิ, อุเฎฺฐหิ, ตุยฺหญฺจ ตสฺสา จ อภยํ ทมฺมี’’ติฯ ‘‘ทฺวีหิ อภเย ลเทฺธ อวเสสา กิํ กริสฺสนฺติ, นรินฺทา’’ติ? ‘‘อวเสสานมฺปิ อภยํ ทมฺมิ, สามี’’ติฯ ‘‘มหาราช, เอวมฺปิ อุยฺยาเนเยว มิคา อภยํ ลภิสฺสนฺติ, เสสา กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? ‘‘เอเตสมฺปิ อภยํ ทมฺมิ, สามี’’ติฯ ‘‘มหาราช, มิคา ตาว อภยํ ลภนฺตุ, เสสา จตุปฺปทา กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ ? ‘‘เอเตสมฺปิ อภยํ ทมฺมิ, สามี’’ติฯ ‘‘มหาราช, จตุปฺปทา ตาว อภยํ ลภนฺตุ, ทิชคณา กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? ‘‘เอเตสมฺปิ อภยํ ทมฺมิ, สามี’’ติฯ ‘‘มหาราช, ทิชคณา ตาว อภยํ ลภนฺตุ, อุทเก วสนฺตา มจฺฉา กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? ‘‘เอเตสมฺปิ อภยํ ทมฺมิ, สามี’’ติฯ เอวํ มหาสโตฺต ราชานํ สพฺพสตฺตานํ อภยํ ยาจิตฺวา อุฎฺฐาย ราชานํ ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา ‘‘ธมฺมํ จร, มหาราช, มาตาปิตูสุ ปุตฺตธีตาสุ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคมชานปเทสุ ธมฺมํ จรโนฺต สมํ จรโนฺต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ คมิสฺสสี’’ติ รโญฺญ พุทฺธลีลาย ธมฺมํ เทเสตฺวา กติปาหํ อุยฺยาเน วสิตฺวา รโญฺญ โอวาทํ ทตฺวา มิคคณปริวุโต อรญฺญํ ปาวิสิฯ สาปิ โข มิคเธนุ ปุปฺผกณฺณิกสทิสํ ปุตฺตํ วิชายิฯ โส กีฬมาโน สาขมิคสฺส สนฺติกํ คจฺฉติฯ อถ นํ มาตา ตสฺส สนฺติกํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘ปุตฺต, อิโต ปฎฺฐาย มา เอตสฺส สนฺติกํ คจฺฉ, นิโคฺรธเสฺสว สนฺติกํ คเจฺฉยฺยาสี’’ติ โอวทนฺตี อิมํ คาถมาห –

    Rājā tāvadeva rathaṃ āruyha mahantena parivārena āgantvā bodhisattaṃ disvā āha ‘‘samma migarāja, nanu mayā tuyhaṃ abhayaṃ dinnaṃ, kasmā tvaṃ idha nipanno’’ti. Mahārāja, gabbhinī migī āgantvā ‘‘mama vāraṃ aññassa pāpehī’’ti āha, na sakkā kho pana mayā ekassa maraṇadukkhaṃ aññassa upari nikkhipituṃ, svāhaṃ attano jīvitaṃ tassā datvā tassā santakaṃ maraṇaṃ gahetvā idha nipanno, mā aññaṃ kiñci āsaṅkittha, mahārājāti. Rājā āha – ‘‘sāmi, suvaṇṇavaṇṇamigarāja, mayā na tādiso khantimettānuddayasampanno manussesupi diṭṭhapubbo, tena te pasannosmi, uṭṭhehi, tuyhañca tassā ca abhayaṃ dammī’’ti. ‘‘Dvīhi abhaye laddhe avasesā kiṃ karissanti, narindā’’ti? ‘‘Avasesānampi abhayaṃ dammi, sāmī’’ti. ‘‘Mahārāja, evampi uyyāneyeva migā abhayaṃ labhissanti, sesā kiṃ karissantī’’ti? ‘‘Etesampi abhayaṃ dammi, sāmī’’ti. ‘‘Mahārāja, migā tāva abhayaṃ labhantu, sesā catuppadā kiṃ karissantī’’ti ? ‘‘Etesampi abhayaṃ dammi, sāmī’’ti. ‘‘Mahārāja, catuppadā tāva abhayaṃ labhantu, dijagaṇā kiṃ karissantī’’ti? ‘‘Etesampi abhayaṃ dammi, sāmī’’ti. ‘‘Mahārāja, dijagaṇā tāva abhayaṃ labhantu, udake vasantā macchā kiṃ karissantī’’ti? ‘‘Etesampi abhayaṃ dammi, sāmī’’ti. Evaṃ mahāsatto rājānaṃ sabbasattānaṃ abhayaṃ yācitvā uṭṭhāya rājānaṃ pañcasu sīlesu patiṭṭhāpetvā ‘‘dhammaṃ cara, mahārāja, mātāpitūsu puttadhītāsu brāhmaṇagahapatikesu negamajānapadesu dhammaṃ caranto samaṃ caranto kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ gamissasī’’ti rañño buddhalīlāya dhammaṃ desetvā katipāhaṃ uyyāne vasitvā rañño ovādaṃ datvā migagaṇaparivuto araññaṃ pāvisi. Sāpi kho migadhenu pupphakaṇṇikasadisaṃ puttaṃ vijāyi. So kīḷamāno sākhamigassa santikaṃ gacchati. Atha naṃ mātā tassa santikaṃ gacchantaṃ disvā ‘‘putta, ito paṭṭhāya mā etassa santikaṃ gaccha, nigrodhasseva santikaṃ gaccheyyāsī’’ti ovadantī imaṃ gāthamāha –

    ๑๒.

    12.

    ‘‘นิโคฺรธเมว เสเวยฺย, น สาขมุปสํวเส;

    ‘‘Nigrodhameva seveyya, na sākhamupasaṃvase;

    นิโคฺรธสฺมิํ มตํ เสโยฺย, ยเญฺจ สาขสฺมิ ชีวิต’’นฺติฯ

    Nigrodhasmiṃ mataṃ seyyo, yañce sākhasmi jīvita’’nti.

    ตตฺถ นิโคฺรธเมว เสเวยฺยาติ ตาต ตฺวํ วา อโญฺญ วา อตฺตโน หิตกาโม นิโคฺรธเมว เสเวยฺย ภเชยฺย อุปสงฺกเมยฺย, น สาขมุปสํวเสติ สาขมิคํ ปน น อุปสํวเส อุปคมฺม น สํวเสยฺย, เอตํ นิสฺสาย ชีวิกํ น กเปฺปยฺยฯ นิโคฺรธสฺมิํ มตํ เสโยฺยติ นิโคฺรธรโญฺญ ปาทมูเล มรณมฺปิ เสโยฺย วรํ อุตฺตมํฯ ยเญฺจ สาขสฺมิ ชีวิตนฺติ ยํ ปน สาขสฺส สนฺติเก ชีวิตํ, ตํ เนว เสโยฺย น วรํ น อุตฺตมนฺติ อโตฺถฯ

    Tattha nigrodhameva seveyyāti tāta tvaṃ vā añño vā attano hitakāmo nigrodhameva seveyya bhajeyya upasaṅkameyya, na sākhamupasaṃvaseti sākhamigaṃ pana na upasaṃvase upagamma na saṃvaseyya, etaṃ nissāya jīvikaṃ na kappeyya. Nigrodhasmiṃ mataṃ seyyoti nigrodharañño pādamūle maraṇampi seyyo varaṃ uttamaṃ. Yañce sākhasmi jīvitanti yaṃ pana sākhassa santike jīvitaṃ, taṃ neva seyyo na varaṃ na uttamanti attho.

    ตโต ปฎฺฐาย จ ปน อภยลทฺธกา มิคา มนุสฺสานํ สสฺสานิ ขาทนฺติ, มนุสฺสา ‘‘ลทฺธาภยา อิเม มิคา’’ติ มิเค ปหริตุํ วา ปลาเปตุํ วา น วิสหนฺติ, เต ราชงฺคเณ สนฺนิปติตฺวา รโญฺญ ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘มยา ปสเนฺนน นิโคฺรธมิคราชสฺส วโร ทิโนฺน, อหํ รชฺชํ ชเหยฺยํ, น จ ตํ ปฎิญฺญํ ภินฺทามิ, คจฺฉถ น โกจิ มม วิชิเต มิเค ปหริตุํ ลภตี’’ติ อาหฯ นิโคฺรธมิโค ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา มิคคณํ สนฺนิปาตาเปตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย ปเรสํ สสฺสํ ขาทิตุํ น ลภิสฺสถา’’ติ มิเค โอวทิตฺวา มนุสฺสานํ อาโรจาเปสิ ‘‘อิโต ปฎฺฐาย สสฺสการกา มนุสฺสา สสฺสรกฺขณตฺถํ วติํ มา กโรนฺตุ, เขตฺตํ ปน อาวิชฺฌิตฺวา ปณฺณสญฺญํ พนฺธนฺตู’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย กิร เขเตฺตสุ ปณฺณพนฺธนสญฺญา อุทปาทิฯ ตโต ปฎฺฐาย ปณฺณสญฺญํ อติกฺกมนมิโค นาม นตฺถิฯ อยํ กิร เนสํ โพธิสตฺตโต ลทฺธโอวาโทฯ เอวํ มิคคณํ โอวทิตฺวา โพธิสโตฺต ยาวตายุกํ ฐตฺวา สทฺธิํ มิเคหิ ยถากมฺมํ คโต, ราชาปิ โพธิสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา ปุญฺญานิ กตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ

    Tato paṭṭhāya ca pana abhayaladdhakā migā manussānaṃ sassāni khādanti, manussā ‘‘laddhābhayā ime migā’’ti mige paharituṃ vā palāpetuṃ vā na visahanti, te rājaṅgaṇe sannipatitvā rañño tamatthaṃ ārocesuṃ. Rājā ‘‘mayā pasannena nigrodhamigarājassa varo dinno, ahaṃ rajjaṃ jaheyyaṃ, na ca taṃ paṭiññaṃ bhindāmi, gacchatha na koci mama vijite mige paharituṃ labhatī’’ti āha. Nigrodhamigo taṃ pavattiṃ sutvā migagaṇaṃ sannipātāpetvā ‘‘ito paṭṭhāya paresaṃ sassaṃ khādituṃ na labhissathā’’ti mige ovaditvā manussānaṃ ārocāpesi ‘‘ito paṭṭhāya sassakārakā manussā sassarakkhaṇatthaṃ vatiṃ mā karontu, khettaṃ pana āvijjhitvā paṇṇasaññaṃ bandhantū’’ti. Tato paṭṭhāya kira khettesu paṇṇabandhanasaññā udapādi. Tato paṭṭhāya paṇṇasaññaṃ atikkamanamigo nāma natthi. Ayaṃ kira nesaṃ bodhisattato laddhaovādo. Evaṃ migagaṇaṃ ovaditvā bodhisatto yāvatāyukaṃ ṭhatvā saddhiṃ migehi yathākammaṃ gato, rājāpi bodhisattassa ovāde ṭhatvā puññāni katvā yathākammaṃ gato.

    สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนวาหํ เถริยา จ กุมารกสฺสปสฺส จ อวสฺสโย, ปุเพฺพปิ อวสฺสโย เอวา’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา จตุสจฺจธมฺมเทสนํ วินิวเฎฺฎตฺวา เทฺว วตฺถูนิ กเถตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา สาขมิโค เทวทโตฺต อโหสิ, ปริสาปิสฺส เทวทตฺตปริสาว, มิคเธนุ เถรี อโหสิ, ปุโตฺต กุมารกสฺสโป, ราชา อานโนฺท, นิโคฺรธมิคราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā ‘‘na, bhikkhave, idānevāhaṃ theriyā ca kumārakassapassa ca avassayo, pubbepi avassayo evā’’ti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā catusaccadhammadesanaṃ vinivaṭṭetvā dve vatthūni kathetvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā sākhamigo devadatto ahosi, parisāpissa devadattaparisāva, migadhenu therī ahosi, putto kumārakassapo, rājā ānando, nigrodhamigarājā pana ahameva ahosi’’nti.

    นิโคฺรธมิคชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ

    Nigrodhamigajātakavaṇṇanā dutiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๒. นิโคฺรธมิคชาตกํ • 12. Nigrodhamigajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact