Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๔๑] ๔. นิมิชาตกวณฺณนา

    [541] 4. Nimijātakavaṇṇanā

    อเจฺฉรํ วต โลกสฺมินฺติ อิทํ สตฺถา มิถิลํ อุปนิสฺสาย มฆเทวอมฺพวเน วิหรโนฺต สิตปาตุกมฺมํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกทิวสญฺหิ สตฺถา สายนฺหสมเย สมฺพหุเลหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ตสฺมิํ อมฺพวเน จาริกํ จรมาโน เอกํ รมณียํ ภูมิปฺปเทสํ ทิสฺวา อตฺตโน ปุพฺพจริยํ กเถตุกาโม หุตฺวา สิตปาตุกมฺมํ กตฺวา อายสฺมตา อานนฺทเตฺถเรน สิตปาตุกมฺมการณํ ปุโฎฺฐ ‘‘อานนฺท, อยํ ภูมิปฺปเทโส ปุเพฺพ มยา มฆเทวราชกาเล ฌานกีฬฺหํ กีฬเนฺตน อชฺฌาวุฎฺฐปุโพฺพ’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Accheraṃvata lokasminti idaṃ satthā mithilaṃ upanissāya maghadevaambavane viharanto sitapātukammaṃ ārabbha kathesi. Ekadivasañhi satthā sāyanhasamaye sambahulehi bhikkhūhi saddhiṃ tasmiṃ ambavane cārikaṃ caramāno ekaṃ ramaṇīyaṃ bhūmippadesaṃ disvā attano pubbacariyaṃ kathetukāmo hutvā sitapātukammaṃ katvā āyasmatā ānandattherena sitapātukammakāraṇaṃ puṭṭho ‘‘ānanda, ayaṃ bhūmippadeso pubbe mayā maghadevarājakāle jhānakīḷhaṃ kīḷantena ajjhāvuṭṭhapubbo’’ti vatvā tena yācito paññattāsane nisīditvā atītaṃ āhari.

    อตีเต วิเทหรเฎฺฐ มิถิลนคเร มฆเทโว นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ โส จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ กุมารกีฬฺหํ กีฬิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ อุปรชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรโนฺต ‘‘ยทา เม สมฺม กปฺปก, สิรสฺมิํ ปลิตานิ ปเสฺสยฺยาสิ, ตทา เม อาโรเจยฺยาสี’’ติ อาหฯ อปรภาเค กปฺปโก ปลิตานิ ทิสฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ปลิตํ สุวณฺณสณฺฑาเสน อุทฺธราเปตฺวา หตฺถตเล ปติฎฺฐาเปตฺวา ปลิตํ โอโลเกตฺวา มจฺจุราเชน อาคนฺตฺวา นลาเฎ ลคฺคํ วิย มรณํ สมฺปสฺสมาโน ‘‘อิทานิ เม ปพฺพชิตกาโล’’ติ กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาต, รชฺชํ ปฎิจฺฉ, อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘กิํ การณา เทวา’’ติ วุเตฺต –

    Atīte videharaṭṭhe mithilanagare maghadevo nāma rājā rajjaṃ kāresi. So caturāsītivassasahassāni kumārakīḷhaṃ kīḷi, caturāsītivassasahassāni uparajjaṃ kāresi, caturāsītivassasahassāni rajjaṃ kārento ‘‘yadā me samma kappaka, sirasmiṃ palitāni passeyyāsi, tadā me āroceyyāsī’’ti āha. Aparabhāge kappako palitāni disvā rañño ārocesi. Rājā palitaṃ suvaṇṇasaṇḍāsena uddharāpetvā hatthatale patiṭṭhāpetvā palitaṃ oloketvā maccurājena āgantvā nalāṭe laggaṃ viya maraṇaṃ sampassamāno ‘‘idāni me pabbajitakālo’’ti kappakassa gāmavaraṃ datvā jeṭṭhaputtaṃ pakkosāpetvā ‘‘tāta, rajjaṃ paṭiccha, ahaṃ pabbajissāmī’’ti vatvā ‘‘kiṃ kāraṇā devā’’ti vutte –

    ‘‘อุตฺตมงฺครุหา มยฺหํ, อิเม ชาตา วโยหรา;

    ‘‘Uttamaṅgaruhā mayhaṃ, ime jātā vayoharā;

    ปาตุภูตา เทวทูตา, ปพฺพชฺชาสมโย มมา’’ติฯ –

    Pātubhūtā devadūtā, pabbajjāsamayo mamā’’ti. –

    วตฺวา ปุตฺตํ รเชฺช อภิสิญฺจิตฺวา ‘‘ตาต, ตฺวมฺปิ เอวรูปํ ปลิตํ ทิสฺวาว ปพฺพเชยฺยาสี’’ติ ตํ โอวทิตฺวา นครา นิกฺขมิตฺวา อมฺพวเน อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติฯ ปุโตฺตปิสฺส เอเตเนว อุปาเยน ปพฺพชิตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ ตถา ตสฺส ปุโตฺต, ตถา ตสฺส ปุโตฺตติ เอวํ ทฺวีหิ อูนานิ จตุราสีติขตฺติยสหสฺสานิ สีเส ปลิตํ ทิสฺวาว อิมสฺมิํ อมฺพวเน ปพฺพชิตฺวา จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ

    Vatvā puttaṃ rajje abhisiñcitvā ‘‘tāta, tvampi evarūpaṃ palitaṃ disvāva pabbajeyyāsī’’ti taṃ ovaditvā nagarā nikkhamitvā ambavane isipabbajjaṃ pabbajitvā caturāsītivassasahassāni cattāro brahmavihāre bhāvetvā brahmaloke nibbatti. Puttopissa eteneva upāyena pabbajitvā brahmalokaparāyaṇo ahosi. Tathā tassa putto, tathā tassa puttoti evaṃ dvīhi ūnāni caturāsītikhattiyasahassāni sīse palitaṃ disvāva imasmiṃ ambavane pabbajitvā cattāro brahmavihāre bhāvetvā brahmaloke nibbattiṃsu.

    เตสํ สพฺพปฐมํ นิพฺพโตฺต มฆเทวราชา พฺรหฺมโลเก ฐิโตว อตฺตโน วํสํ โอโลเกโนฺต ทฺวีหิ อูนานิ จตุราสีติขตฺติยสหสฺสานิ ปพฺพชิตานิ ทิสฺวา ตุฎฺฐมานโส หุตฺวา ‘‘อิโต นุ โข ปรํ ปวตฺติสฺสติ, น ปวตฺติสฺสตี’’ติ โอโลเกโนฺต อปฺปวตฺตนภาวํ ญตฺวา ‘‘มม วํสํ อหเมว ฆเฎสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตโต จวิตฺวา มิถิลนคเร รโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา ทสมาสจฺจเยน มาตุ กุจฺฉิโต นิกฺขมิฯ ราชา ตสฺส นามคฺคหณทิวเส เนมิตฺตเก พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา ปุจฺฉิฯ เต ตสฺส ลกฺขณานิ โอโลเกตฺวา ‘‘มหาราช, อยํ กุมาโร ตุมฺหากํ วํสํ ฆเฎโนฺต อุปฺปโนฺนฯ ตุมฺหากญฺหิ วํโส ปพฺพชิตวํโส, อิมสฺส ปรโต นาคมิสฺสตี’’ติ วทิํสุฯ ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อยํ กุมาโร รถจกฺกเนมิ วิย มม วํสํ ฆเฎโนฺต ชาโต, ตสฺมา ตสฺส ‘นิมิกุมาโร’ติ นามํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘นิมิกุมาโร’’ติสฺส นามํ อกาสิฯ

    Tesaṃ sabbapaṭhamaṃ nibbatto maghadevarājā brahmaloke ṭhitova attano vaṃsaṃ olokento dvīhi ūnāni caturāsītikhattiyasahassāni pabbajitāni disvā tuṭṭhamānaso hutvā ‘‘ito nu kho paraṃ pavattissati, na pavattissatī’’ti olokento appavattanabhāvaṃ ñatvā ‘‘mama vaṃsaṃ ahameva ghaṭessāmī’’ti cintetvā tato cavitvā mithilanagare rañño aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhitvā dasamāsaccayena mātu kucchito nikkhami. Rājā tassa nāmaggahaṇadivase nemittake brāhmaṇe pakkosāpetvā pucchi. Te tassa lakkhaṇāni oloketvā ‘‘mahārāja, ayaṃ kumāro tumhākaṃ vaṃsaṃ ghaṭento uppanno. Tumhākañhi vaṃso pabbajitavaṃso, imassa parato nāgamissatī’’ti vadiṃsu. Taṃ sutvā rājā ‘‘ayaṃ kumāro rathacakkanemi viya mama vaṃsaṃ ghaṭento jāto, tasmā tassa ‘nimikumāro’ti nāmaṃ karissāmī’’ti cintetvā ‘‘nimikumāro’’tissa nāmaṃ akāsi.

    โส ทหรกาลโต ปฎฺฐาย ทาเน สีเล อุโปสถกเมฺม จ อภิรโต อโหสิฯ อถสฺส ปิตา ปุริมนเยเนว ปลิตํ ทิสฺวา กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา ปุตฺตสฺส รชฺชํ นิยฺยาเทตฺวา อมฺพวเน ปพฺพชิตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ นิมิราชา ปน ทานชฺฌาสยตาย จตูสุ นครทฺวาเรสุ นครมเชฺฌ จาติ ปญฺจสุ ฐาเนสุ ปญฺจ ทานสาลาโย การาเปตฺวา มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ เอเกกาย ทานสาลาย สตสหสฺสํ สตสหสฺสํ กตฺวา เทวสิกํ ปญฺจ ปญฺจ กหาปณสตสหสฺสานิ ปริจฺจชิ, นิจฺจํ ปญฺจ สีลานิ รกฺขิ, ปกฺขทิวเสสุ อุโปสถํ สมาทิยิ, มหาชนมฺปิ ทานาทีสุ ปุเญฺญสุ สมาทเปสิ, สคฺคมคฺคํ อาจิกฺขิตฺวา นิรยภเยน ตเชฺชตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ ตสฺส โอวาเท ฐิตา มนุสฺสา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ตโต จุตา เทวโลเก นิพฺพตฺติํสุ, เทวโลโก ปริปูริ, นิรโย ตุโจฺฉ วิย อโหสิฯ ตทา ตาวติํสภวเน เทวสงฺฆา สุธมฺมายํ เทวสภายํ สนฺนิปติตฺวา ‘‘อโห, วต อมฺหากํ อาจริโย นิมิราชา, ตํ นิสฺสาย มยํ อิมํ พุทฺธญฺญเณนปิ อปริจฺฉินฺทนียํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวามา’’ติ วตฺวา มหาสตฺตสฺส คุเณ วณฺณยิํสุ ฯ มนุสฺสโลเกปิ มหาสมุทฺทปิเฎฺฐ อาสิตฺตเตลํ วิย มหาสตฺตสฺส คุณกถา ปตฺถริฯ สตฺถา ตมตฺถํ อาวิภูตํ กตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส กเถโนฺต อาห –

    So daharakālato paṭṭhāya dāne sīle uposathakamme ca abhirato ahosi. Athassa pitā purimanayeneva palitaṃ disvā kappakassa gāmavaraṃ datvā puttassa rajjaṃ niyyādetvā ambavane pabbajitvā brahmalokaparāyaṇo ahosi. Nimirājā pana dānajjhāsayatāya catūsu nagaradvāresu nagaramajjhe cāti pañcasu ṭhānesu pañca dānasālāyo kārāpetvā mahādānaṃ pavattesi. Ekekāya dānasālāya satasahassaṃ satasahassaṃ katvā devasikaṃ pañca pañca kahāpaṇasatasahassāni pariccaji, niccaṃ pañca sīlāni rakkhi, pakkhadivasesu uposathaṃ samādiyi, mahājanampi dānādīsu puññesu samādapesi, saggamaggaṃ ācikkhitvā nirayabhayena tajjetvā dhammaṃ desesi. Tassa ovāde ṭhitā manussā dānādīni puññāni katvā tato cutā devaloke nibbattiṃsu, devaloko paripūri, nirayo tuccho viya ahosi. Tadā tāvatiṃsabhavane devasaṅghā sudhammāyaṃ devasabhāyaṃ sannipatitvā ‘‘aho, vata amhākaṃ ācariyo nimirājā, taṃ nissāya mayaṃ imaṃ buddhaññaṇenapi aparicchindanīyaṃ dibbasampattiṃ anubhavāmā’’ti vatvā mahāsattassa guṇe vaṇṇayiṃsu . Manussalokepi mahāsamuddapiṭṭhe āsittatelaṃ viya mahāsattassa guṇakathā patthari. Satthā tamatthaṃ āvibhūtaṃ katvā bhikkhusaṅghassa kathento āha –

    ๔๒๑.

    421.

    ‘‘อเจฺฉรํ วต โลกสฺมิํ, อุปฺปชฺชนฺติ วิจกฺขณา;

    ‘‘Accheraṃ vata lokasmiṃ, uppajjanti vicakkhaṇā;

    ยทา อหุ นิมิราชา, ปณฺฑิโต กุสลตฺถิโกฯ

    Yadā ahu nimirājā, paṇḍito kusalatthiko.

    ๔๒๒.

    422.

    ‘‘ราชา สพฺพวิเทหานํ, อทา ทานํ อรินฺทโม;

    ‘‘Rājā sabbavidehānaṃ, adā dānaṃ arindamo;

    ตสฺส ตํ ททโต ทานํ, สงฺกโปฺป อุทปชฺชถ;

    Tassa taṃ dadato dānaṃ, saṅkappo udapajjatha;

    ทานํ วา พฺรหฺมจริยํ วา, กตมํ สุ มหปฺผล’’นฺติฯ

    Dānaṃ vā brahmacariyaṃ vā, katamaṃ su mahapphala’’nti.

    ตตฺถ ยทา อหูติ ภิกฺขเว, ยทา ปณฺฑิโต อตฺตโน จ ปเรสญฺจ กุสลตฺถิโก นิมิราชา อโหสิ, ตทา เทวมนุสฺสา ‘‘อเจฺฉรํ วต, โภ, เอวรูปาปิ นาม อนุปฺปเนฺน พุทฺธญาเณ มหาชนสฺส พุทฺธกิจฺจํ สาธยมานา โลกสฺมิํ วิจกฺขณา อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ เอวํ ตสฺส คุณกถํ กเถสุนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ยถา อหู’’ติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – ยถา อหุ นิมิราชา ปณฺฑิโต กุสลตฺถิโกเยว, ตถารูปา มหาชนสฺส พุทฺธกิจฺจํ สาธยมานา อุปฺปชฺชนฺติ วิจกฺขณาฯ ยํ เตสํ อุปฺปนฺนํ, ตํ อเจฺฉรํ วต โลกสฺมินฺติฯ อิติ สตฺถา สยเมว อจฺฉริยชาโต เอวมาหฯ สพฺพวิเทหานนฺติ สพฺพวิเทหรฎฺฐวาสีนํฯ กตมํ สูติ เอเตสุ ทฺวีสุ กตมํ นุ โข มหปฺผลนฺติ อโตฺถฯ

    Tattha yadā ahūti bhikkhave, yadā paṇḍito attano ca paresañca kusalatthiko nimirājā ahosi, tadā devamanussā ‘‘accheraṃ vata, bho, evarūpāpi nāma anuppanne buddhañāṇe mahājanassa buddhakiccaṃ sādhayamānā lokasmiṃ vicakkhaṇā uppajjantī’’ti evaṃ tassa guṇakathaṃ kathesunti attho. ‘‘Yathā ahū’’tipi pāṭho. Tassattho – yathā ahu nimirājā paṇḍito kusalatthikoyeva, tathārūpā mahājanassa buddhakiccaṃ sādhayamānā uppajjanti vicakkhaṇā. Yaṃ tesaṃ uppannaṃ, taṃ accheraṃ vata lokasminti. Iti satthā sayameva acchariyajāto evamāha. Sabbavidehānanti sabbavideharaṭṭhavāsīnaṃ. Katamaṃ sūti etesu dvīsu katamaṃ nu kho mahapphalanti attho.

    โส กิร ปนฺนรสีอุโปสถทิวเส อุโปสถิโก หุตฺวา สพฺพาภรณานิ โอมุญฺจิตฺวา สิริสยนปิเฎฺฐ นิปโนฺนว เทฺว ยาเม นิทฺทํ โอกฺกมิตฺวา ปจฺฉิมยาเม ปพุโทฺธ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา ‘‘อหํ มหาชนสฺส อปริมาณํ ทานมฺปิ เทมิ, สีลมฺปิ รกฺขามิ, ทานสฺส นุ โข มหนฺตํ ผลํ, อุทาหุ พฺรหฺมจริยสฺสา’’ติ จิเนฺตตฺวา อตฺตโน กงฺขํ ฉินฺทิตุํ นาสกฺขิฯ ตสฺมิํ ขเณ สกฺกสฺส ภวนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ตํ ตถา วิตเกฺกนฺตํ ทิสฺวา ‘‘กงฺขมสฺส ฉินฺทิสฺสามี’’ติ เอกโกว สีฆํ อาคนฺตฺวา สกลนิเวสนํ เอโกภาสํ กตฺวา สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา โอภาสํ ผริตฺวา อากาเส ฐตฺวา เตน ปุโฎฺฐ พฺยากาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    So kira pannarasīuposathadivase uposathiko hutvā sabbābharaṇāni omuñcitvā sirisayanapiṭṭhe nipannova dve yāme niddaṃ okkamitvā pacchimayāme pabuddho pallaṅkaṃ ābhujitvā ‘‘ahaṃ mahājanassa aparimāṇaṃ dānampi demi, sīlampi rakkhāmi, dānassa nu kho mahantaṃ phalaṃ, udāhu brahmacariyassā’’ti cintetvā attano kaṅkhaṃ chindituṃ nāsakkhi. Tasmiṃ khaṇe sakkassa bhavanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Sakko āvajjento taṃ tathā vitakkentaṃ disvā ‘‘kaṅkhamassa chindissāmī’’ti ekakova sīghaṃ āgantvā sakalanivesanaṃ ekobhāsaṃ katvā sirigabbhaṃ pavisitvā obhāsaṃ pharitvā ākāse ṭhatvā tena puṭṭho byākāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๔๒๓.

    423.

    ‘‘ตสฺส สงฺกปฺปมญฺญาย, มฆวา เทวกุญฺชโร;

    ‘‘Tassa saṅkappamaññāya, maghavā devakuñjaro;

    สหสฺสเนโตฺต ปาตุรหุ, วเณฺณน วิหนํ ตมํฯ

    Sahassanetto pāturahu, vaṇṇena vihanaṃ tamaṃ.

    ๔๒๔.

    424.

    ‘‘สโลมหโฎฺฐ มนุชิโนฺท, วาสวํ อวจา นิมิ;

    ‘‘Salomahaṭṭho manujindo, vāsavaṃ avacā nimi;

    เทวตา นุสิ คนฺธโพฺพ, อทุ สโกฺก ปุรินฺทโทฯ

    Devatā nusi gandhabbo, adu sakko purindado.

    ๔๒๕.

    425.

    ‘‘น จ เม ตาทิโส วโณฺณ, ทิโฎฺฐ วา ยทิ วา สุโต;

    ‘‘Na ca me tādiso vaṇṇo, diṭṭho vā yadi vā suto;

    อาจิกฺข เม ตฺวํ ภทฺทเนฺต, กถํ ชาเนมุ ตํ มยํฯ

    Ācikkha me tvaṃ bhaddante, kathaṃ jānemu taṃ mayaṃ.

    ๔๒๖.

    426.

    ‘‘สโลมหฎฺฐํ ญตฺวาน, วาสโว อวจา นิมิํ;

    ‘‘Salomahaṭṭhaṃ ñatvāna, vāsavo avacā nimiṃ;

    สโกฺกหมสฺมิ เทวิโนฺท, อาคโตสฺมิ ตวนฺติเก;

    Sakkohamasmi devindo, āgatosmi tavantike;

    อโลมหโฎฺฐ มนุชินฺท, ปุจฺฉ ปญฺหํ ยมิจฺฉสิฯ

    Alomahaṭṭho manujinda, puccha pañhaṃ yamicchasi.

    ๔๒๗.

    427.

    ‘‘โส จ เตน กโตกาโส, วาสวํ อวจา นิมิ;

    ‘‘So ca tena katokāso, vāsavaṃ avacā nimi;

    ปุจฺฉามิ ตํ มหาราช, สพฺพภูตานมิสฺสร;

    Pucchāmi taṃ mahārāja, sabbabhūtānamissara;

    ‘ทานํ วา พฺรหฺมจริยํ วา, กตมํสุ มหปฺผลํ’ฯ

    ‘Dānaṃ vā brahmacariyaṃ vā, katamaṃsu mahapphalaṃ’.

    ๔๒๘.

    428.

    ‘‘โส ปุโฎฺฐ นรเทเวน, วาสโว อวจา นิมิํ;

    ‘‘So puṭṭho naradevena, vāsavo avacā nimiṃ;

    วิปากํ พฺรหฺมจริยสฺส, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ brahmacariyassa, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๒๙.

    429.

    ‘‘หีเนน พฺรหฺมจริเยน, ขตฺติเย อุปปชฺชติ;

    ‘‘Hīnena brahmacariyena, khattiye upapajjati;

    มชฺฌิเมน จ เทวตฺตํ, อุตฺตเมน วิสุชฺฌติฯ

    Majjhimena ca devattaṃ, uttamena visujjhati.

    ๔๓๐.

    430.

    ‘‘น เหเต สุลภา กายา, ยาจโยเคน เกนจิ;

    ‘‘Na hete sulabhā kāyā, yācayogena kenaci;

    เย กาเย อุปปชฺชนฺติ, อนาคารา ตปสฺสิโน’’ติฯ

    Ye kāye upapajjanti, anāgārā tapassino’’ti.

    ตตฺถ สโลมหโฎฺฐติ ภิกฺขเว, โส นิมิราชา โอภาสํ ทิสฺวา อากาสํ โอโลเกโนฺต ตํ ทิพฺพาภรณปฎิมณฺฑิตํ ทิสฺวาว ภเยน โลมหโฎฺฐ หุตฺวา ‘‘เทวตา นุสิ คนฺธโพฺพ’’ติอาทินา ปุจฺฉิฯ อโลมหโฎฺฐติ นิพฺภโย อหฎฺฐโลโม หุตฺวา ปุจฺฉ, มหาราชาติฯ วาสวํ อวจาติ ตุฎฺฐมานโส หุตฺวา สกฺกํ อโวจฯ ชานํ อกฺขาสิชานโตติ ภิกฺขเว, โส สโกฺก อตีเต อตฺตนา ปจฺจกฺขโต ทิฎฺฐปุพฺพํ พฺรหฺมจริยสฺส วิปากํ ชานโนฺต ตสฺส อชานโต อกฺขาสิฯ

    Tattha salomahaṭṭhoti bhikkhave, so nimirājā obhāsaṃ disvā ākāsaṃ olokento taṃ dibbābharaṇapaṭimaṇḍitaṃ disvāva bhayena lomahaṭṭho hutvā ‘‘devatā nusi gandhabbo’’tiādinā pucchi. Alomahaṭṭhoti nibbhayo ahaṭṭhalomo hutvā puccha, mahārājāti. Vāsavaṃ avacāti tuṭṭhamānaso hutvā sakkaṃ avoca. Jānaṃ akkhāsijānatoti bhikkhave, so sakko atīte attanā paccakkhato diṭṭhapubbaṃ brahmacariyassa vipākaṃ jānanto tassa ajānato akkhāsi.

    หีเนนาติอาทีสุ ปุถุติตฺถายตเน เมถุนวิรติมตฺตํ สีลํ หีนํ นาม, เตน ขตฺติยกุเล อุปปชฺชติฯ ฌานสฺส อุปจารมตฺตํ มชฺฌิมํ นาม, เตน เทวตฺตํ อุปปชฺชติฯ อฎฺฐสมาปตฺตินิพฺพตฺตนํ ปน อุตฺตมํ นาม, เตน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตติ, ตํ พาหิรกา นิพฺพานนฺติ กเถนฺติฯ เตนาห ‘‘วิสุชฺฌตี’’ติฯ อิมสฺมิํ ปน พุทฺธสาสเน ปริสุทฺธสีลสฺส ภิกฺขุโน อญฺญตรํ เทวนิกายํ ปเตฺถนฺตสฺส พฺรหฺมจริยเจตนา หีนตาย หีนํ นาม, เตน ยถาปตฺถิเต เทวโลเก นิพฺพตฺตติฯ ปริสุทฺธสีลสฺส ภิกฺขุโน อฎฺฐสมาปตฺตินิพฺพตฺตนํ มชฺฌิมํ นาม, เตน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตติ ฯ ปริสุทฺธสีลสฺส วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตุปฺปตฺติ อุตฺตมํ นาม, เตน วิสุชฺฌตีติ ฯ อิติ สโกฺก ‘‘มหาราช, ทานโต สตคุเณน สหสฺสคุเณน สตสหสฺสคุเณน พฺรหฺมจริยวาโสว มหปฺผโล’’ติ วเณฺณติฯ กายาติ พฺรหฺมฆฎาฯ ยาจโยเคนาติ ยาจนยุตฺตเกน ยญฺญยุตฺตเกน วาติ อุภยตฺถาปิ ทายกเสฺสเวตํ นามํฯ ตปสฺสิโนติ ตปนิสฺสิตกาฯ

    Hīnenātiādīsu puthutitthāyatane methunaviratimattaṃ sīlaṃ hīnaṃ nāma, tena khattiyakule upapajjati. Jhānassa upacāramattaṃ majjhimaṃ nāma, tena devattaṃ upapajjati. Aṭṭhasamāpattinibbattanaṃ pana uttamaṃ nāma, tena brahmaloke nibbattati, taṃ bāhirakā nibbānanti kathenti. Tenāha ‘‘visujjhatī’’ti. Imasmiṃ pana buddhasāsane parisuddhasīlassa bhikkhuno aññataraṃ devanikāyaṃ patthentassa brahmacariyacetanā hīnatāya hīnaṃ nāma, tena yathāpatthite devaloke nibbattati. Parisuddhasīlassa bhikkhuno aṭṭhasamāpattinibbattanaṃ majjhimaṃ nāma, tena brahmaloke nibbattati . Parisuddhasīlassa vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattuppatti uttamaṃ nāma, tena visujjhatīti . Iti sakko ‘‘mahārāja, dānato sataguṇena sahassaguṇena satasahassaguṇena brahmacariyavāsova mahapphalo’’ti vaṇṇeti. Kāyāti brahmaghaṭā. Yācayogenāti yācanayuttakena yaññayuttakena vāti ubhayatthāpi dāyakassevetaṃ nāmaṃ. Tapassinoti tapanissitakā.

    อิมาย คาถาย พฺรหฺมจริยวาสเสฺสว มหปฺผลภาวํ ทีเปตฺวา อิทานิ เย อตีเต มหาทานํ ทตฺวา กามาวจรํ อติกฺกมิตุํ นาสกฺขิํสุ, เต ราชาโน ทเสฺสโนฺต อาห –

    Imāya gāthāya brahmacariyavāsasseva mahapphalabhāvaṃ dīpetvā idāni ye atīte mahādānaṃ datvā kāmāvacaraṃ atikkamituṃ nāsakkhiṃsu, te rājāno dassento āha –

    ๔๓๑.

    431.

    ‘‘ทุทีโป สาคโร เสโล, มุชกิโนฺท ภคีรโส;

    ‘‘Dudīpo sāgaro selo, mujakindo bhagīraso;

    อุสินฺทโร กสฺสโป จ, อสโก จ ปุถุชฺชโนฯ

    Usindaro kassapo ca, asako ca puthujjano.

    ๔๓๒.

    432.

    ‘‘เอเต จเญฺญ จ ราชาโน, ขตฺติยา พฺราหฺมณา พหู;

    ‘‘Ete caññe ca rājāno, khattiyā brāhmaṇā bahū;

    ปุถุยญฺญํ ยชิตฺวาน, เปตตฺตํ นาติวตฺติสุ’’นฺติฯ

    Puthuyaññaṃ yajitvāna, petattaṃ nātivattisu’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – มหาราช, ปุเพฺพ พาราณสิยํ ทุทีโป นาม ราชา ทานํ ทตฺวา มรณจเกฺกน ฉิโนฺน กามาวจเรเยว นิพฺพตฺติฯ ตถา สาคราทโย อฎฺฐาติ เอเต จ อเญฺญ จ พหู ราชาโน เจว ขตฺติยา พฺราหฺมณา จ ปุถุยญฺญํ ยชิตฺวาน อเนกปฺปการํ ทานํ ทตฺวา กามาวจรภูมิสงฺขาตํ เปตตฺตํ นาติวตฺติํสูติ อโตฺถฯ กามาวจรเทวตา หิ รูปาทิโน กิเลสวตฺถุสฺส การณา ปรํ ปจฺจาสีสนโต กปณตาย ‘‘เปตา’’ติ วุจฺจนฺติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Tassattho – mahārāja, pubbe bārāṇasiyaṃ dudīpo nāma rājā dānaṃ datvā maraṇacakkena chinno kāmāvacareyeva nibbatti. Tathā sāgarādayo aṭṭhāti ete ca aññe ca bahū rājāno ceva khattiyā brāhmaṇā ca puthuyaññaṃ yajitvāna anekappakāraṃ dānaṃ datvā kāmāvacarabhūmisaṅkhātaṃ petattaṃ nātivattiṃsūti attho. Kāmāvacaradevatā hi rūpādino kilesavatthussa kāraṇā paraṃ paccāsīsanato kapaṇatāya ‘‘petā’’ti vuccanti. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘เย อทุติยา น รมนฺติ เอกิกา, วิเวกชํ เย น ลภนฺติ ปีติํ;

    ‘‘Ye adutiyā na ramanti ekikā, vivekajaṃ ye na labhanti pītiṃ;

    กิญฺจาปิ เต อินฺทสมานโภคา, เต เว ปราธีนสุขา วรากา’’ติฯ

    Kiñcāpi te indasamānabhogā, te ve parādhīnasukhā varākā’’ti.

    เอวมฺปิ ทานผลโต พฺรหฺมจริยผลเสฺสว มหนฺตภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ พฺรหฺมจริยวาเสน เปตภวนํ อติกฺกมิตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตตาปเส ทเสฺสโนฺต อาห –

    Evampi dānaphalato brahmacariyaphalasseva mahantabhāvaṃ dassetvā idāni brahmacariyavāsena petabhavanaṃ atikkamitvā brahmaloke nibbattatāpase dassento āha –

    ๔๓๓.

    433.

    ‘‘อถ ยีเม อวตฺติํสุ, อนาคารา ตปสฺสิโน;

    ‘‘Atha yīme avattiṃsu, anāgārā tapassino;

    สตฺติสโย ยามหนุ, โสมยาโม มโนชโวฯ

    Sattisayo yāmahanu, somayāmo manojavo.

    ๔๓๔.

    434.

    ‘‘สมุโทฺท มาโฆ ภรโต จ, อิสิ กาลปุรกฺขโต;

    ‘‘Samuddo māgho bharato ca, isi kālapurakkhato;

    องฺคีรโส กสฺสโป จ, กิสวโจฺฉ อกตฺติ จา’’ติฯ

    Aṅgīraso kassapo ca, kisavaccho akatti cā’’ti.

    ตตฺถ อวตฺติํสูติ กามาวจรํ อติกฺกมิํสุฯ ตปสฺสิโนติ สีลตปเญฺจว สมาปตฺติตปญฺจ นิสฺสิตาฯ สตฺติสโยติ ยามหนุอาทโย สตฺต ภาตโรว สนฺธายาหฯ องฺคีรสาทีหิ จตูหิ สทฺธิํ เอกาทเสเต อวตฺติํสุ อติกฺกมิํสูติ อโตฺถฯ

    Tattha avattiṃsūti kāmāvacaraṃ atikkamiṃsu. Tapassinoti sīlatapañceva samāpattitapañca nissitā. Sattisayoti yāmahanuādayo satta bhātarova sandhāyāha. Aṅgīrasādīhi catūhi saddhiṃ ekādasete avattiṃsu atikkamiṃsūti attho.

    เอวํ ตาว สุตวเสเนว ทานผลโต พฺรหฺมจริยวาสเสฺสว มหปฺผลตํ วเณฺณตฺวา อิทานิ อตฺตนา ทิฎฺฐปุพฺพํ อาหรโนฺต อาห –

    Evaṃ tāva sutavaseneva dānaphalato brahmacariyavāsasseva mahapphalataṃ vaṇṇetvā idāni attanā diṭṭhapubbaṃ āharanto āha –

    ๔๓๕.

    435.

    ‘‘อุตฺตเรน นที สีทา, คมฺภีรา ทุรติกฺกมา;

    ‘‘Uttarena nadī sīdā, gambhīrā duratikkamā;

    นฬคฺคิวณฺณา โชตนฺติ, สทา กญฺจนปพฺพตาฯ

    Naḷaggivaṇṇā jotanti, sadā kañcanapabbatā.

    ๔๓๖.

    436.

    ‘‘ปรูฬฺหกจฺฉา ตครา, รูฬฺหกจฺฉา วนา นคา;

    ‘‘Parūḷhakacchā tagarā, rūḷhakacchā vanā nagā;

    ตตฺราสุํ ทสสหสฺสา, โปราณา อิสโย ปุเรฯ

    Tatrāsuṃ dasasahassā, porāṇā isayo pure.

    ๔๓๗.

    437.

    ‘‘อหํ เสโฎฺฐสฺมิ ทาเนน, สํยเมน ทเมน จ;

    ‘‘Ahaṃ seṭṭhosmi dānena, saṃyamena damena ca;

    อนุตฺตรํ วตํ กตฺวา, ปกิรจารี สมาหิเตฯ

    Anuttaraṃ vataṃ katvā, pakiracārī samāhite.

    ๔๓๘.

    438.

    ‘‘ชาติมนฺตํ อชจฺจญฺจ, อหํ อุชุคตํ นรํ;

    ‘‘Jātimantaṃ ajaccañca, ahaṃ ujugataṃ naraṃ;

    อติเวลํ นมสฺสิสฺสํ, กมฺมพนฺธู หิ มาณวาฯ

    Ativelaṃ namassissaṃ, kammabandhū hi māṇavā.

    ๔๓๙.

    439.

    ‘‘สเพฺพ วณฺณา อธมฺมฎฺฐา, ปตนฺติ นิรยํ อโธ;

    ‘‘Sabbe vaṇṇā adhammaṭṭhā, patanti nirayaṃ adho;

    สเพฺพ วณฺณา วิสุชฺฌนฺติ, จริตฺวา ธมฺมมุตฺตม’’นฺติฯ

    Sabbe vaṇṇā visujjhanti, caritvā dhammamuttama’’nti.

    ตตฺถ อุตฺตเรนาติ มหาราช, อตีเต อุตฺตรหิมวเนฺต ทฺวินฺนํ สุวณฺณปพฺพตานํ อนฺตเร ปวตฺตา สีทา นาม นที คมฺภีรา นาวาหิปิ ทุรติกฺกมา อโหสิฯ กิํ การณา? สา หิ อติสุขุโมทกา, สุขุมตฺตา อุทกสฺส อนฺตมโส โมรปิญฺฉ-มตฺตมฺปิ ตตฺถ ปติตํ นํ สณฺฐาติ, โอสีทิตฺวา เหฎฺฐาตลเมว คจฺฉติฯ เตเนว สา สีทา นาม อโหสิฯ เต ปน ตสฺสา ตีเรสุ กญฺจนปพฺพตา สทา นฬคฺคิวณฺณา หุตฺวา โชตนฺติ โอภาสนฺติฯ ปรูฬฺหกจฺฉา ตคราติ ตสฺสา ปน นทิยา ตีเร กจฺฉา ปรูฬฺหตครา อเหสุํ ตครคนฺธสุคนฺธิโนฯ รูฬฺหกจฺฉา วนา นคาติ เย ตตฺถ อเญฺญปิ ปพฺพตา, เตสมฺปิ อนฺตเร กจฺฉา รูฬฺหวนา อเหสุํ, ปุปฺผผลูปครุกฺขสญฺฉนฺนาติ อโตฺถฯ ตตฺราสุนฺติ ตสฺมิํ เอวํ รมณีเย ภูมิภาเค ทสสหสฺสา อิสโย อเหสุํฯ เต สเพฺพปิ อภิญฺญาสมาปตฺติลาภิโนวฯ เตสุ ภิกฺขาจารเวลาย เกจิ อุตฺตรกุรุํ คจฺฉนฺติ, เกจิ มหาชมฺพุทีเป ชมฺพุผลํ อาหรนฺติ, เกจิ หิมวเนฺตเยว มธุรผลาผลานิ อาหริตฺวา ขาทนฺติ, เกจิ ชมฺพุทีปตเล ตํ ตํ นครํ คจฺฉนฺติฯ เอโกปิ รสตณฺหาภิภูโต นตฺถิ, ฌานสุเขเนว วีตินาเมนฺติฯ ตทา เอโก ตาปโส อากาเสน พาราณสิํ คนฺตฺวา สุนิวโตฺถ สุปารุโต ปิณฺฑาย จรโนฺต ปุโรหิตสฺส เคหทฺวารํ ปาปุณิฯ โส ตสฺส อุปสเม ปสีทิตฺวา อโนฺตนิเวสนํ อาเนตฺวา โภเชตฺวา กติปาหํ ปฎิชคฺคโนฺต วิสฺสาเส อุปฺปเนฺน ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห กุหิํ วสถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อสุกฎฺฐาเน นามาวุโส’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ตุเมฺห เอกโกว ตตฺถ วสถ, อุทาหุ อเญฺญปิ อตฺถี’’ติ? ‘‘กิํ วเทสิ, อาวุโส, ตสฺมิํ ปเทเส ทสสหสฺสา อิสโย วสนฺติ, สเพฺพว อภิญฺญาสมาปตฺติลาภิโน’’ติฯ ตสฺส เตสํ คุณํ สุตฺวา ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ นมิฯ อถ นํ โส อาห – ‘‘ภเนฺต, มมฺปิ ตตฺถ เนตฺวา ปพฺพาเชถา’’ติฯ ‘‘อาวุโส, ตฺวํ ราชปุริโส, น ตํ สกฺกา ปพฺพาเชตุ’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, อชฺชาหํ ราชานํ อาปุจฺฉิสฺสามิ, ตุเมฺห เสฺวปิ อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติฯ โส อธิวาเสสิฯ

    Tattha uttarenāti mahārāja, atīte uttarahimavante dvinnaṃ suvaṇṇapabbatānaṃ antare pavattā sīdā nāma nadī gambhīrā nāvāhipi duratikkamā ahosi. Kiṃ kāraṇā? Sā hi atisukhumodakā, sukhumattā udakassa antamaso morapiñcha-mattampi tattha patitaṃ naṃ saṇṭhāti, osīditvā heṭṭhātalameva gacchati. Teneva sā sīdā nāma ahosi. Te pana tassā tīresu kañcanapabbatā sadā naḷaggivaṇṇā hutvā jotanti obhāsanti. Parūḷhakacchā tagarāti tassā pana nadiyā tīre kacchā parūḷhatagarā ahesuṃ tagaragandhasugandhino. Rūḷhakacchā vanā nagāti ye tattha aññepi pabbatā, tesampi antare kacchā rūḷhavanā ahesuṃ, pupphaphalūpagarukkhasañchannāti attho. Tatrāsunti tasmiṃ evaṃ ramaṇīye bhūmibhāge dasasahassā isayo ahesuṃ. Te sabbepi abhiññāsamāpattilābhinova. Tesu bhikkhācāravelāya keci uttarakuruṃ gacchanti, keci mahājambudīpe jambuphalaṃ āharanti, keci himavanteyeva madhuraphalāphalāni āharitvā khādanti, keci jambudīpatale taṃ taṃ nagaraṃ gacchanti. Ekopi rasataṇhābhibhūto natthi, jhānasukheneva vītināmenti. Tadā eko tāpaso ākāsena bārāṇasiṃ gantvā sunivattho supāruto piṇḍāya caranto purohitassa gehadvāraṃ pāpuṇi. So tassa upasame pasīditvā antonivesanaṃ ānetvā bhojetvā katipāhaṃ paṭijagganto vissāse uppanne ‘‘bhante, tumhe kuhiṃ vasathā’’ti pucchi. ‘‘Asukaṭṭhāne nāmāvuso’’ti. ‘‘Kiṃ pana tumhe ekakova tattha vasatha, udāhu aññepi atthī’’ti? ‘‘Kiṃ vadesi, āvuso, tasmiṃ padese dasasahassā isayo vasanti, sabbeva abhiññāsamāpattilābhino’’ti. Tassa tesaṃ guṇaṃ sutvā pabbajjāya cittaṃ nami. Atha naṃ so āha – ‘‘bhante, mampi tattha netvā pabbājethā’’ti. ‘‘Āvuso, tvaṃ rājapuriso, na taṃ sakkā pabbājetu’’nti. ‘‘Tena hi, bhante, ajjāhaṃ rājānaṃ āpucchissāmi, tumhe svepi āgaccheyyāthā’’ti. So adhivāsesi.

    อิตโรปิ ภุตฺตปาตราโส ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อิจฺฉามหํ, เทว , ปพฺพชิตุ’’นฺติ อาหฯ ‘‘กิํ การณา ปพฺพชิสฺสสี’’ติ? ‘‘กาเมสุ โทสํ เนกฺขเมฺม จ อานิสํสํ ทิสฺวา’’ติฯ ‘‘เตน หิ ปพฺพชาหิ, ปพฺพชิโตปิ มํ ทเสฺสยฺยาสี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อตฺตโน เคหํ คนฺตฺวา ปุตฺตทารํ อนุสาสิตฺวา สพฺพํ สาปเตยฺยํ ทเสฺสตฺวา อตฺตโน ปพฺพชิตปริกฺขารํ คเหตฺวา ตาปสสฺส อาคมนมคฺคํ โอโลเกโนฺตว นิสีทิฯ ตาปโสปิ ตเถว อากาเสนาคนฺตฺวา อโนฺตนครํ ปวิสิตฺวา ตสฺส เคหํ ปาวิสิฯ โส ตํ สกฺกจฺจํ ปริวิสิตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยา กถํ กาตพฺพ’’นฺติ อาหฯ โส ตํ พหินครํ เนตฺวา หเตฺถ อาทาย อตฺตโน อานุภาเวน ตตฺถ เนตฺวา ปพฺพาเชตฺวา ปุนทิวเส ตํ ตเตฺถว ฐเปตฺวา ภตฺตํ อาหริตฺวา ทตฺวา กสิณปริกมฺมํ อาจิกฺขิฯ โส กติปาเหเนว อภิญฺญาสมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา สยเมว ปิณฺฑาย จรติฯ

    Itaropi bhuttapātarāso rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘icchāmahaṃ, deva , pabbajitu’’nti āha. ‘‘Kiṃ kāraṇā pabbajissasī’’ti? ‘‘Kāmesu dosaṃ nekkhamme ca ānisaṃsaṃ disvā’’ti. ‘‘Tena hi pabbajāhi, pabbajitopi maṃ dasseyyāsī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā attano gehaṃ gantvā puttadāraṃ anusāsitvā sabbaṃ sāpateyyaṃ dassetvā attano pabbajitaparikkhāraṃ gahetvā tāpasassa āgamanamaggaṃ olokentova nisīdi. Tāpasopi tatheva ākāsenāgantvā antonagaraṃ pavisitvā tassa gehaṃ pāvisi. So taṃ sakkaccaṃ parivisitvā ‘‘bhante, mayā kathaṃ kātabba’’nti āha. So taṃ bahinagaraṃ netvā hatthe ādāya attano ānubhāvena tattha netvā pabbājetvā punadivase taṃ tattheva ṭhapetvā bhattaṃ āharitvā datvā kasiṇaparikammaṃ ācikkhi. So katipāheneva abhiññāsamāpattiyo nibbattetvā sayameva piṇḍāya carati.

    โส อปรภาเค ‘‘อหํ รโญฺญ อตฺตานํ ทเสฺสตุํ ปฎิญฺญํ อทาสิํ, ทเสฺสสฺสามสฺส อตฺตาน’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ตาปเส วนฺทิตฺวา อากาเสน พาราณสิํ คนฺตฺวา ภิกฺขํ จรโนฺต ราชทฺวารํ ปาปุณิฯ ราชา ตํ ทิสฺวา สญฺชานิตฺวา อโนฺตนิเวสนํ ปเวเสตฺวา สกฺการํ กตฺวา ‘‘ภเนฺต, กุหิํ วสถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อุตฺตรหิมวนฺตปเทเส กญฺจนปพฺพตนฺตเร ปวตฺตาย สีทานทิยา ตีเร, มหาราชา’’ติฯ ‘‘กิํ ปน, ภเนฺต, เอกโกว ตตฺถ วสถ, อุทาหุ อเญฺญปิ อตฺถี’’ติฯ ‘‘กิํ วเทสิ, มหาราช, ตตฺถ ทสสหสฺสา อิสโย วสนฺติ, สเพฺพว อภิญฺญาสมาปตฺติลาภิโน’’ติ? ราชา เตสํ คุณํ สุตฺวา สเพฺพสํ ภิกฺขํ ทาตุกาโม อโหสิฯ อถ นํ ราชา อาห – ‘‘ภเนฺต, อหํ เตสํ อิสีนํ ภิกฺขํ ทาตุกาโมมฺหิ, กิํ กโรมี’’ติ? ‘‘มหาราช, เต อิสโย ชิวฺหาวิเญฺญยฺยรเส อคิทฺธา, น สกฺกา อิธาเนตุ’’นฺติฯ ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห นิสฺสาย เต โภเชสฺสามิ, อุปายํ เม อาจิกฺขถา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, มหาราช, สเจ เตสํ ทานํ ทาตุกาโมสิ, อิโต นิกฺขมิตฺวา สีทานทีตีเร วสโนฺต เตสํ ทานํ เทหี’’ติฯ

    So aparabhāge ‘‘ahaṃ rañño attānaṃ dassetuṃ paṭiññaṃ adāsiṃ, dassessāmassa attāna’’nti cintetvā tāpase vanditvā ākāsena bārāṇasiṃ gantvā bhikkhaṃ caranto rājadvāraṃ pāpuṇi. Rājā taṃ disvā sañjānitvā antonivesanaṃ pavesetvā sakkāraṃ katvā ‘‘bhante, kuhiṃ vasathā’’ti pucchi. ‘‘Uttarahimavantapadese kañcanapabbatantare pavattāya sīdānadiyā tīre, mahārājā’’ti. ‘‘Kiṃ pana, bhante, ekakova tattha vasatha, udāhu aññepi atthī’’ti. ‘‘Kiṃ vadesi, mahārāja, tattha dasasahassā isayo vasanti, sabbeva abhiññāsamāpattilābhino’’ti? Rājā tesaṃ guṇaṃ sutvā sabbesaṃ bhikkhaṃ dātukāmo ahosi. Atha naṃ rājā āha – ‘‘bhante, ahaṃ tesaṃ isīnaṃ bhikkhaṃ dātukāmomhi, kiṃ karomī’’ti? ‘‘Mahārāja, te isayo jivhāviññeyyarase agiddhā, na sakkā idhānetu’’nti. ‘‘Bhante, tumhe nissāya te bhojessāmi, upāyaṃ me ācikkhathā’’ti. ‘‘Tena hi, mahārāja, sace tesaṃ dānaṃ dātukāmosi, ito nikkhamitvā sīdānadītīre vasanto tesaṃ dānaṃ dehī’’ti.

    โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สพฺพูปกรณานิ คาหาเปตฺวา จตุรงฺคินิยา เสนาย สทฺธิํ นิกฺขมิตฺวา อตฺตโน รชฺชสีมํ ปาปุณิฯ อถ นํ ตาปโส อตฺตโน อานุภาเวน สทฺธิํ เสนาย สีทานทีตีรํ เนตฺวา นทีตีเร ขนฺธาวารํ การาเปตฺวา อากาเสน อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปุนทิวเส ปจฺจาคมิฯ อถ นํ ราชา สกฺกจฺจํ โภเชตฺวา ‘‘เสฺว, ภเนฺต, ทสสหเสฺส อิสโย อาทาย อิเธว อาคจฺฉถา’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา คนฺตฺวา ปุนทิวเส ภิกฺขาจารเวลาย เตสํ อิสีนํ อาโรเจสิ ‘‘มาริสา, พาราณสิราชา ‘ตุมฺหากํ ภิกฺขํ ทสฺสามี’ติ อาคนฺตฺวา สีทานทีตีเร นิสิโนฺน เสฺว โว นิมเนฺตติ, ตสฺสานุกมฺปาย ขนฺธาวารํ คนฺตฺวา ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อากาเสน คนฺตฺวา ขนฺธาวารสฺส อวิทูเร โอตริํสุฯ ราชา เต ทิสฺวา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ขนฺธาวารํ ปเวเสตฺวา ปญฺญตฺตาสเนสุ นิสีทาเปตฺวา อิสิคณํ ปณีเตนาหาเรน สนฺตเปฺปตฺวา เตสํ อิริยาปเถ ปสโนฺน สฺวาตนายปิ นิมเนฺตสิฯ เอเตนุปาเยน ทสนฺนํ ตาปสสหสฺสานํ ทสวสฺสสหสฺสานิ ทานํ อทาสิฯ ททโนฺต จ ตสฺมิํเยว ปเทเส นครํ มาเปตฺวา สสฺสกมฺมํ กาเรสิฯ น โข ปน, มหาราช, ตทา โส ราชา อโญฺญ อโหสิ, อถ โข อหํ เสโฎฺฐสฺมิ ทาเนน, อหเมว หิ ตทา ทาเนน เสโฎฺฐ หุตฺวา ตํ มหาทานํ ทตฺวา อิมํ เปตโลกํ อติกฺกมิตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติตุํ นาสกฺขิํฯ มยา ทินฺนํ ปน ทานํ ภุญฺชิตฺวา สเพฺพว เต ตาปสา กามาวจรํ อติกฺกมิตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตา, อิมินาเปตํ เวทิตพฺพํ ‘‘พฺรหฺมจริยวาโสว มหปฺผโล’’ติฯ

    So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā sabbūpakaraṇāni gāhāpetvā caturaṅginiyā senāya saddhiṃ nikkhamitvā attano rajjasīmaṃ pāpuṇi. Atha naṃ tāpaso attano ānubhāvena saddhiṃ senāya sīdānadītīraṃ netvā nadītīre khandhāvāraṃ kārāpetvā ākāsena attano vasanaṭṭhānaṃ gantvā punadivase paccāgami. Atha naṃ rājā sakkaccaṃ bhojetvā ‘‘sve, bhante, dasasahasse isayo ādāya idheva āgacchathā’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā gantvā punadivase bhikkhācāravelāya tesaṃ isīnaṃ ārocesi ‘‘mārisā, bārāṇasirājā ‘tumhākaṃ bhikkhaṃ dassāmī’ti āgantvā sīdānadītīre nisinno sve vo nimanteti, tassānukampāya khandhāvāraṃ gantvā bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ākāsena gantvā khandhāvārassa avidūre otariṃsu. Rājā te disvā paccuggamanaṃ katvā khandhāvāraṃ pavesetvā paññattāsanesu nisīdāpetvā isigaṇaṃ paṇītenāhārena santappetvā tesaṃ iriyāpathe pasanno svātanāyapi nimantesi. Etenupāyena dasannaṃ tāpasasahassānaṃ dasavassasahassāni dānaṃ adāsi. Dadanto ca tasmiṃyeva padese nagaraṃ māpetvā sassakammaṃ kāresi. Na kho pana, mahārāja, tadā so rājā añño ahosi, atha kho ahaṃ seṭṭhosmi dānena, ahameva hi tadā dānena seṭṭho hutvā taṃ mahādānaṃ datvā imaṃ petalokaṃ atikkamitvā brahmaloke nibbattituṃ nāsakkhiṃ. Mayā dinnaṃ pana dānaṃ bhuñjitvā sabbeva te tāpasā kāmāvacaraṃ atikkamitvā brahmaloke nibbattā, imināpetaṃ veditabbaṃ ‘‘brahmacariyavāsova mahapphalo’’ti.

    เอวํ ทาเนน อตฺตโน เสฎฺฐภาวํ ปกาเสตฺวา อิตเรหิ ตีหิ ปเทหิ เตสํ อิสีนํ คุณํ ปกาเสติฯ ตตฺถ สํยเมนาติ สีเลนฯ ทเมนาติ อินฺทฺริยทเมนฯ อนุตฺตรนฺติ เอเตหิ คุเณหิ นิรนฺตรํ อุตฺตมํ วตํ สมาทานํ จริตฺวาฯ ปกิรจารีติ คณํ ปกิริตฺวา ปฎิกฺขิปิตฺวา ปหาย เอกจาริเก, เอกีภาวํ คเตติ อโตฺถฯ สมาหิเตติ อุปจารปฺปนาสมาธีหิ สมาหิตจิเตฺตฯ เอวรูเป อหํ ตปสฺสิโน อุปฎฺฐหินฺติ ทเสฺสติฯ อหํ อุชุคตนฺติ อหํ, มหาราช, เตสํ ทสสหสฺสานํ อิสีนํ อนฺตเร กายวงฺกาทีนํ อภาเวน อุชุคตํ เอกมฺปิ นรํ หีนชโจฺจ วา โหตุ ชาติสมฺปโนฺน วา, ชาติํ อวิจาเรตฺวา เตสํ คุเณสุ ปสนฺนมานโส หุตฺวา สพฺพเมว อติเวลํ นมสฺสิสฺสํ, นิจฺจกาลเมว นมสฺสิสฺสนฺติ วทติฯ กิํ การณา? กมฺมพนฺธู หิ มาณวาติ, สตฺตา หิ นาเมเต กมฺมพนฺธู กมฺมปฎิสรณา, เตเนว การเณน สเพฺพ วณฺณาติ เวทิตพฺพาฯ

    Evaṃ dānena attano seṭṭhabhāvaṃ pakāsetvā itarehi tīhi padehi tesaṃ isīnaṃ guṇaṃ pakāseti. Tattha saṃyamenāti sīlena. Damenāti indriyadamena. Anuttaranti etehi guṇehi nirantaraṃ uttamaṃ vataṃ samādānaṃ caritvā. Pakiracārīti gaṇaṃ pakiritvā paṭikkhipitvā pahāya ekacārike, ekībhāvaṃ gateti attho. Samāhiteti upacārappanāsamādhīhi samāhitacitte. Evarūpe ahaṃ tapassino upaṭṭhahinti dasseti. Ahaṃ ujugatanti ahaṃ, mahārāja, tesaṃ dasasahassānaṃ isīnaṃ antare kāyavaṅkādīnaṃ abhāvena ujugataṃ ekampi naraṃ hīnajacco vā hotu jātisampanno vā, jātiṃ avicāretvā tesaṃ guṇesu pasannamānaso hutvā sabbameva ativelaṃ namassissaṃ, niccakālameva namassissanti vadati. Kiṃ kāraṇā? Kammabandhū hi māṇavāti, sattā hi nāmete kammabandhū kammapaṭisaraṇā, teneva kāraṇena sabbe vaṇṇāti veditabbā.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘กิญฺจาปิ, มหาราช, ทานโต พฺรหฺมจริยเมว มหปฺผลํ, เทฺวปิ ปเนเต มหาปุริสวิตกฺกาว, ตสฺมา ทฺวีสุปิ อปฺปมโตฺตว หุตฺวา ทานญฺจ เทหิ, สีลญฺจ รกฺขาหี’’ติ ตํ โอวทิตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Evañca pana vatvā ‘‘kiñcāpi, mahārāja, dānato brahmacariyameva mahapphalaṃ, dvepi panete mahāpurisavitakkāva, tasmā dvīsupi appamattova hutvā dānañca dehi, sīlañca rakkhāhī’’ti taṃ ovaditvā sakaṭṭhānameva gato. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๔๔๐.

    440.

    ‘‘อิทํ วตฺวาน มฆวา, เทวราชา สุชมฺปติ;

    ‘‘Idaṃ vatvāna maghavā, devarājā sujampati;

    เวเทหมนุสาสิตฺวา, สคฺคกายํ อปกฺกมี’’ติฯ

    Vedehamanusāsitvā, saggakāyaṃ apakkamī’’ti.

    ตตฺถ อปกฺกมีติ ปกฺกมิ, สุธมฺมาเทวสภายํ นิสินฺนเมว อตฺตานํ ทเสฺสสีติ อโตฺถฯ

    Tattha apakkamīti pakkami, sudhammādevasabhāyaṃ nisinnameva attānaṃ dassesīti attho.

    อถ นํ เทวคณา อาหํสุ ‘‘มหาราช, นนุ น ปญฺญายิตฺถ, กุหิํ คตตฺถา’’ติ? ‘‘มาริสา มิถิลายํ นิมิรโญฺญ เอกา กงฺขา อุปฺปชฺชิ, ตสฺส ปญฺหํ กเถตฺวา ตํ ราชานํ นิกฺกงฺขํ กตฺวา อาคโตมฺหี’’ติ วตฺวา ปุน ตํ การณํ คาถาย กเถตุํ อาห –

    Atha naṃ devagaṇā āhaṃsu ‘‘mahārāja, nanu na paññāyittha, kuhiṃ gatatthā’’ti? ‘‘Mārisā mithilāyaṃ nimirañño ekā kaṅkhā uppajji, tassa pañhaṃ kathetvā taṃ rājānaṃ nikkaṅkhaṃ katvā āgatomhī’’ti vatvā puna taṃ kāraṇaṃ gāthāya kathetuṃ āha –

    ๔๔๑.

    441.

    ‘‘อิมํ โภโนฺต นิสาเมถ, ยาวเนฺตตฺถ สมาคตา;

    ‘‘Imaṃ bhonto nisāmetha, yāvantettha samāgatā;

    ธมฺมิกานํ มนุสฺสานํ, วณฺณํ อุจฺจาวจํ พหุํฯ

    Dhammikānaṃ manussānaṃ, vaṇṇaṃ uccāvacaṃ bahuṃ.

    ๔๔๒.

    442.

    ‘‘ยถา อยํ นิมิราชา, ปณฺฑิโต กุสลตฺถิโก;

    ‘‘Yathā ayaṃ nimirājā, paṇḍito kusalatthiko;

    ราชา สพฺพวิเทหานํ, อทา ทานํ อรินฺทโมฯ

    Rājā sabbavidehānaṃ, adā dānaṃ arindamo.

    ๔๔๓.

    443.

    ‘‘ตสฺส ตํ ททโต ทานํ, สงฺกโปฺป อุทปชฺชถ;

    ‘‘Tassa taṃ dadato dānaṃ, saṅkappo udapajjatha;

    ทานํ วา พฺรหฺมจริยํ วา, กตมํ สุ มหปฺผล’’นฺติฯ

    Dānaṃ vā brahmacariyaṃ vā, katamaṃ su mahapphala’’nti.

    ตตฺถ อิมนฺติ ธมฺมิกานํ กลฺยาณธมฺมานํ มนุสฺสานํ มยา วุจฺจมานํ สีลวเสน อุจฺจํ ทานวเสน อวจํ พหุํ อิมํ วณฺณํ นิสาเมถ สุณาถาติ อโตฺถฯ ยถา อยนฺติ อยํ นิมิราชา ยถา อติวิย ปณฺฑิโตติฯ

    Tattha imanti dhammikānaṃ kalyāṇadhammānaṃ manussānaṃ mayā vuccamānaṃ sīlavasena uccaṃ dānavasena avacaṃ bahuṃ imaṃ vaṇṇaṃ nisāmetha suṇāthāti attho. Yathā ayanti ayaṃ nimirājā yathā ativiya paṇḍitoti.

    อิติ โส อปริหาเปตฺวา รโญฺญ วณฺณํ กเถสิฯ ตํ สุตฺวา เทวสงฺฆา ราชานํ ทฎฺฐุกามา หุตฺวา ‘‘อมฺหากํ นิมิราชา อาจริโย, ตโสฺสวาเท ฐตฺวา ตํ นิสฺสาย อเมฺหหิ อยํ ทิพฺพสมฺปตฺติ ลทฺธา, มยํ ทฎฺฐุกามมฺหา, ตํ ปโกฺกสาเปหิ, มหาราชา’’ติ วทิํสุฯ สโกฺก ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มาตลิํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สมฺม มาตลิ, เวชยนฺตรถํ โยเชตฺวา มิถิลํ คนฺตฺวา นิมิราชานํ ทิพฺพยาเน อาโรเปตฺวา อาเนหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา รถํ โยเชตฺวา ปายาสิฯ สกฺกสฺส ปน เทเวหิ สทฺธิํ กเถนฺตสฺส มาตลิํ อาณาเปนฺตสฺส จ รถํ โยเชนฺตสฺส จ มนุสฺสคณนาย มาโส อติกฺกโนฺตฯ อิติ นิมิรโญฺญ ปุณฺณมายํ อุโปสถิกสฺส ปาจีนสีหปญฺชรํ วิวริตฺวา มหาตเล นิสีทิตฺวา อมจฺจคณปริวุตสฺส สีลํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ปาจีนโลกธาตุโต อุคฺคจฺฉเนฺตน จนฺทมณฺฑเลน สทฺธิํเยว โส รโถ ปญฺญายติฯ มนุสฺสา ภุตฺตสายมาสา ฆรทฺวาเรสุ นิสีทิตฺวา สุขกถํ กเถนฺตา ‘‘อชฺช เทฺว จนฺทา อุคฺคตา’’ติ อาหํสุฯ อถ เนสํ สลฺลปนฺตานเญฺญว รโถ ปากโฎ อโหสิฯ มหาชโน ‘‘นายํ, จโนฺท, รโถ’’ติ วตฺวา อนุกฺกเมน สินฺธวสหสฺสยุเตฺต มาตลิสงฺคาหเก เวชยนฺตรเถ จ ปากเฎ ชาเต ‘‘กสฺส นุ โข อิทํ ทิพฺพยานํ อาคจฺฉตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘น กสฺสจิ อญฺญสฺส, อมฺหากํ ราชา ธมฺมิโก, สเกฺกน เวชยนฺตรโถ เปสิโต ภวิสฺสติ, อมฺหากํ รโญฺญว อนุจฺฉวิโก’’ติ ตุฎฺฐปฺปหโฎฺฐ คาถมาห –

    Iti so aparihāpetvā rañño vaṇṇaṃ kathesi. Taṃ sutvā devasaṅghā rājānaṃ daṭṭhukāmā hutvā ‘‘amhākaṃ nimirājā ācariyo, tassovāde ṭhatvā taṃ nissāya amhehi ayaṃ dibbasampatti laddhā, mayaṃ daṭṭhukāmamhā, taṃ pakkosāpehi, mahārājā’’ti vadiṃsu. Sakko ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā mātaliṃ pakkosāpetvā ‘‘samma mātali, vejayantarathaṃ yojetvā mithilaṃ gantvā nimirājānaṃ dibbayāne āropetvā ānehī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā rathaṃ yojetvā pāyāsi. Sakkassa pana devehi saddhiṃ kathentassa mātaliṃ āṇāpentassa ca rathaṃ yojentassa ca manussagaṇanāya māso atikkanto. Iti nimirañño puṇṇamāyaṃ uposathikassa pācīnasīhapañjaraṃ vivaritvā mahātale nisīditvā amaccagaṇaparivutassa sīlaṃ paccavekkhantassa pācīnalokadhātuto uggacchantena candamaṇḍalena saddhiṃyeva so ratho paññāyati. Manussā bhuttasāyamāsā gharadvāresu nisīditvā sukhakathaṃ kathentā ‘‘ajja dve candā uggatā’’ti āhaṃsu. Atha nesaṃ sallapantānaññeva ratho pākaṭo ahosi. Mahājano ‘‘nāyaṃ, cando, ratho’’ti vatvā anukkamena sindhavasahassayutte mātalisaṅgāhake vejayantarathe ca pākaṭe jāte ‘‘kassa nu kho idaṃ dibbayānaṃ āgacchatī’’ti cintetvā ‘‘na kassaci aññassa, amhākaṃ rājā dhammiko, sakkena vejayantaratho pesito bhavissati, amhākaṃ raññova anucchaviko’’ti tuṭṭhappahaṭṭho gāthamāha –

    ๔๔๔.

    444.

    ‘‘อพฺภุโต วต โลกสฺมิํ, อุปฺปชฺชิ โลมหํสโน;

    ‘‘Abbhuto vata lokasmiṃ, uppajji lomahaṃsano;

    ทิโพฺพ รโถ ปาตุรหุ, เวเทหสฺส ยสสฺสิโน’’ติฯ

    Dibbo ratho pāturahu, vedehassa yasassino’’ti.

    ตตฺถ อพฺภุโตติ อภูตปุโพฺพฯ อจฺฉริโยติ เต วิมฺหยวเสเนวมาหํสุฯ

    Tattha abbhutoti abhūtapubbo. Acchariyoti te vimhayavasenevamāhaṃsu.

    ตสฺส ปน มหาชนสฺส เอวํ กเถนฺตเสฺสว มาตลิ วาตเวเคน อาคนฺตฺวา รถํ นิวเตฺตตฺวา สีหปญฺชรอุมฺมาเร ปจฺฉาภาเคน ฐเปตฺวา อาโรหณสชฺชํ กตฺวา อาโรหณตฺถาย ราชานํ นิมเนฺตสิ ฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Tassa pana mahājanassa evaṃ kathentasseva mātali vātavegena āgantvā rathaṃ nivattetvā sīhapañjaraummāre pacchābhāgena ṭhapetvā ārohaṇasajjaṃ katvā ārohaṇatthāya rājānaṃ nimantesi . Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๔๔๕.

    445.

    ‘‘เทวปุโตฺต มหิทฺธิโก, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Devaputto mahiddhiko, mātali devasārathi;

    นิมนฺตยิตฺถ ราชานํ, เวเทหํ มิถิลคฺคหํฯ

    Nimantayittha rājānaṃ, vedehaṃ mithilaggahaṃ.

    ๔๔๖.

    446.

    ‘‘เอหิมํ รถมารุยฺห, ราชเสฎฺฐ ทิสมฺปติ;

    ‘‘Ehimaṃ rathamāruyha, rājaseṭṭha disampati;

    เทวา ทสฺสนกามา เต, ตาวติํสา สอินฺทกา;

    Devā dassanakāmā te, tāvatiṃsā saindakā;

    สรมานา หิ เต เทวา, สุธมฺมายํ สมจฺฉเร’’ติฯ

    Saramānā hi te devā, sudhammāyaṃ samacchare’’ti.

    ตตฺถ มิถิลคฺคหนฺติ มิถิลายํ ปติฎฺฐิตเคหํ, จตูหิ วา สงฺคหวตฺถูหิ มิถิลายํ สงฺคาหกํฯ สมจฺฉเรติ ตเวว คุณกถํ กเถนฺตา นิสินฺนาติฯ

    Tattha mithilaggahanti mithilāyaṃ patiṭṭhitagehaṃ, catūhi vā saṅgahavatthūhi mithilāyaṃ saṅgāhakaṃ. Samacchareti taveva guṇakathaṃ kathentā nisinnāti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อทิฎฺฐปุพฺพํ เทวโลกญฺจ ปสฺสิสฺสามิ, มาตลิสฺส จ เม สงฺคโห กโต ภวิสฺสติ, คจฺฉิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อเนฺตปุรญฺจ มหาชนญฺจ อามเนฺตตฺวา ‘‘อหํ นจิรเสฺสว อาคมิสฺสามิ, ตุเมฺห อปฺปมตฺตา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรถา’’ติ วตฺวา รถํ อภิรุหิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘adiṭṭhapubbaṃ devalokañca passissāmi, mātalissa ca me saṅgaho kato bhavissati, gacchissāmī’’ti cintetvā antepurañca mahājanañca āmantetvā ‘‘ahaṃ nacirasseva āgamissāmi, tumhe appamattā dānādīni puññāni karothā’’ti vatvā rathaṃ abhiruhi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๔๔๗.

    447.

    ‘‘ตโต ราชา ตรมาโน, เวเทโห มิถิลคฺคโห;

    ‘‘Tato rājā taramāno, vedeho mithilaggaho;

    อาสนา วุฎฺฐหิตฺวาน, ปมุโข รถมารุหิฯ

    Āsanā vuṭṭhahitvāna, pamukho rathamāruhi.

    ๔๔๘.

    448.

    ‘‘อภิรูฬฺหํ รถํ ทิพฺพํ, มาตลิ เอตทพฺรวิ;

    ‘‘Abhirūḷhaṃ rathaṃ dibbaṃ, mātali etadabravi;

    เกน ตํ เนมิ มเคฺคน, ราชเสฎฺฐ ทิสมฺปติ;

    Kena taṃ nemi maggena, rājaseṭṭha disampati;

    เยน วา ปาปกมฺมนฺตา, ปุญฺญกมฺมา จ เย นรา’’ติฯ

    Yena vā pāpakammantā, puññakammā ca ye narā’’ti.

    ตตฺถ ปมุโขติ อุตฺตโม, อภิมุโข วา, มหาชนสฺส ปิฎฺฐิํ ทตฺวา อารูโฬฺหติ อโตฺถฯ เยน วาติ เยน มเคฺคน คนฺตฺวา ยตฺถ ปาปกมฺมนฺตา วสนฺติ, ตํ ฐานํ สกฺกา ทฎฺฐุํ, เยน วา คนฺตฺวา เย ปุญฺญกมฺมา นรา วสนฺติ, เตสํ ฐานํ สกฺกา ทฎฺฐุํ, เอเตสุ ทฺวีสุ เกน มเคฺคน ตํ เนมิฯ อิทํ โส สเกฺกน อนาณโตฺตปิ อตฺตโน ทูตวิเสสทสฺสนตฺถํ อาหฯ

    Tattha pamukhoti uttamo, abhimukho vā, mahājanassa piṭṭhiṃ datvā ārūḷhoti attho. Yena vāti yena maggena gantvā yattha pāpakammantā vasanti, taṃ ṭhānaṃ sakkā daṭṭhuṃ, yena vā gantvā ye puññakammā narā vasanti, tesaṃ ṭhānaṃ sakkā daṭṭhuṃ, etesu dvīsu kena maggena taṃ nemi. Idaṃ so sakkena anāṇattopi attano dūtavisesadassanatthaṃ āha.

    อถ นํ ราชา ‘‘มยา เทฺว ฐานานิ อทิฎฺฐปุพฺพานิ, เทฺวปิ ปสฺสิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Atha naṃ rājā ‘‘mayā dve ṭhānāni adiṭṭhapubbāni, dvepi passissāmī’’ti cintetvā āha –

    ๔๔๙.

    449.

    ‘‘อุภเยเนว มํ เนหิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Ubhayeneva maṃ nehi, mātali devasārathi;

    เยน วา ปาปกมฺมนฺตา, ปุญฺญกมฺมา จ เย นรา’’ติฯ

    Yena vā pāpakammantā, puññakammā ca ye narā’’ti.

    ตโต มาตลิ ‘‘เทฺวปิ เอกปหาเรเนว น สกฺกา ทเสฺสตุํ, ปุจฺฉิสฺสามิ น’’นฺติ ปุจฺฉโนฺต ปุน คาถมาห –

    Tato mātali ‘‘dvepi ekapahāreneva na sakkā dassetuṃ, pucchissāmi na’’nti pucchanto puna gāthamāha –

    ๔๕๐.

    450.

    ‘‘เกน ตํ ปฐมํ เนมิ, ราชเสฎฺฐ ทิสมฺปติ;

    ‘‘Kena taṃ paṭhamaṃ nemi, rājaseṭṭha disampati;

    เยน วา ปาปกมฺมนฺตา, ปุญฺญกมฺมา จ เย นรา’’ติฯ

    Yena vā pāpakammantā, puññakammā ca ye narā’’ti.

    นิรยกณฺฑํ

    Nirayakaṇḍaṃ

    ตโต ราชา ‘‘อหํ อวสฺสํ เทวโลกํ คมิสฺสามิ, นิรยํ ตาว ปสฺสิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อนนฺตรํ คาถมาห –

    Tato rājā ‘‘ahaṃ avassaṃ devalokaṃ gamissāmi, nirayaṃ tāva passissāmī’’ti cintetvā anantaraṃ gāthamāha –

    ๔๕๑.

    451.

    ‘‘นิรเย ตาว ปสฺสามิ, อาวาเส ปาปกมฺมินํ;

    ‘‘Niraye tāva passāmi, āvāse pāpakamminaṃ;

    ฐานานิ ลุทฺทกมฺมานํ, ทุสฺสีลานญฺจ ยา คตี’’ติฯ

    Ṭhānāni luddakammānaṃ, dussīlānañca yā gatī’’ti.

    ตตฺถ ยา คตีติ ยา เอเตสํ นิพฺพตฺติ, ตญฺจ ปสฺสามีติฯ

    Tattha yā gatīti yā etesaṃ nibbatti, tañca passāmīti.

    อถสฺส เวตรณิํ นทิํ ตาว ทเสฺสสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Athassa vetaraṇiṃ nadiṃ tāva dassesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๔๕๒.

    452.

    ‘‘ทเสฺสสิ มาตลิ รโญฺญ, ทุคฺคํ เวตรณิํ นทิํ;

    ‘‘Dassesi mātali rañño, duggaṃ vetaraṇiṃ nadiṃ;

    กุถิตํ ขารสํยุตฺตํ, ตตฺตํ อคฺคิสิขูปม’’นฺติฯ

    Kuthitaṃ khārasaṃyuttaṃ, tattaṃ aggisikhūpama’’nti.

    ตตฺถ เวตรณินฺติ ภิกฺขเว, มาตลิ รโญฺญ กถํ สุตฺวา นิรยาภิมุขํ รถํ เปเสตฺวา กมฺมปจฺจเย อุตุนา สมุฎฺฐิตํ เวตรณิํ นทิํ ตาว ทเสฺสสิฯ ตตฺถ นิรยปาลา ชลิตานิ อสิสตฺติโตมรภินฺทิวาลมุคฺคราทีนิ อาวุธานิ คเหตฺวา เนรยิกสเตฺต ปหรนฺติ วิชฺฌนฺติ วิเหเฐนฺติฯ เต ตํ ทุกฺขํ อสหนฺตา เวตรณิยํ ปตนฺติฯ สา อุปริ ภินฺทิวาลปฺปมาณาหิ สกณฺฎกาหิ เวตฺตลตาหิ สญฺฉนฺนาฯ เต ตตฺถ พหูนิ วสฺสสหสฺสานิ ปจฺจิํสุฯ เตสุ ปชฺชลเนฺตสุ ขุรธาราติขิเณสุ กณฺฎเกสุ ขณฺฑาขณฺฑิกา โหนฺติฯ เตสํ เหฎฺฐา ตาลกฺขนฺธปฺปมาณานิ ปชฺชลิตอยสูลานิ อุฎฺฐหนฺติฯ เนรยิกสตฺตา พหุํ อทฺธานํ วีตินาเมตฺวา เวตฺตลตาหิ คฬิตฺวา สูเลสุ ปติตฺวา วิทฺธสรีรา สูเลสุ อาวุณิตมจฺฉา วิย จิรํ ปจฺจนฺติฯ ตานิ สูลานิปิ ปชฺชลนฺติ, เนรยิกสตฺตาปิ ปชฺชลนฺติฯ สูลานํ เหฎฺฐา อุทกปิเฎฺฐ ชลิตานิ ขุรธาราสทิสานิ ติขิณานิ อโยโปกฺขรปตฺตานิ โหนฺติฯ เต สูเลหิ คฬิตฺวา อยโปกฺขรปเตฺตสุ ปติตฺวา จิรํ ทุกฺขเวทนํ อนุภวนฺติฯ ตโต ขาโรทเก ปตนฺติ, อุทกํ ปชฺชลติ, เนรยิกสตฺตาปิ ปชฺชลนฺติ, ธูโมปิ อุฎฺฐหติฯ อุทกสฺส ปน เหฎฺฐา นทีตลํ ขุรธาราหิ สญฺฉนฺนํฯ เต ‘‘เหฎฺฐา นุ โข กีทิส’’นฺติ อุทเก นิมุชฺชิตฺวา ขุรธาราสุ ขณฺฑาขณฺฑิกา โหนฺติฯ เต ตํ มหาทุกฺขํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกนฺตา มหนฺตํ เภรวํ วิรวนฺตา วิจรนฺติฯ กทาจิ อนุโสตํ วุยฺหนฺติ, กทาจิ ปฎิโสตํฯ อถ เน ตีเร ฐิตา นิรยปาลา อุสุสตฺติโตมราทีนิ อุกฺขิปิตฺวา มเจฺฉ วิย วิชฺฌนฺติฯ เต ทุกฺขเวทนาปฺปตฺตา มหาวิรวํ รวนฺติฯ อถ เน ปชฺชลิเตหิ อยพฬิเสหิ อุทฺธริตฺวา ปริกฑฺฒิตฺวา ปชฺชลิตอยปถวิยํ นิปชฺชาเปตฺวา เตสํ มุเข ตตฺตํ อโยคุฬฺหํ ปกฺขิปนฺติฯ

    Tattha vetaraṇinti bhikkhave, mātali rañño kathaṃ sutvā nirayābhimukhaṃ rathaṃ pesetvā kammapaccaye utunā samuṭṭhitaṃ vetaraṇiṃ nadiṃ tāva dassesi. Tattha nirayapālā jalitāni asisattitomarabhindivālamuggarādīni āvudhāni gahetvā nerayikasatte paharanti vijjhanti viheṭhenti. Te taṃ dukkhaṃ asahantā vetaraṇiyaṃ patanti. Sā upari bhindivālappamāṇāhi sakaṇṭakāhi vettalatāhi sañchannā. Te tattha bahūni vassasahassāni pacciṃsu. Tesu pajjalantesu khuradhārātikhiṇesu kaṇṭakesu khaṇḍākhaṇḍikā honti. Tesaṃ heṭṭhā tālakkhandhappamāṇāni pajjalitaayasūlāni uṭṭhahanti. Nerayikasattā bahuṃ addhānaṃ vītināmetvā vettalatāhi gaḷitvā sūlesu patitvā viddhasarīrā sūlesu āvuṇitamacchā viya ciraṃ paccanti. Tāni sūlānipi pajjalanti, nerayikasattāpi pajjalanti. Sūlānaṃ heṭṭhā udakapiṭṭhe jalitāni khuradhārāsadisāni tikhiṇāni ayopokkharapattāni honti. Te sūlehi gaḷitvā ayapokkharapattesu patitvā ciraṃ dukkhavedanaṃ anubhavanti. Tato khārodake patanti, udakaṃ pajjalati, nerayikasattāpi pajjalanti, dhūmopi uṭṭhahati. Udakassa pana heṭṭhā nadītalaṃ khuradhārāhi sañchannaṃ. Te ‘‘heṭṭhā nu kho kīdisa’’nti udake nimujjitvā khuradhārāsu khaṇḍākhaṇḍikā honti. Te taṃ mahādukkhaṃ adhivāsetuṃ asakkontā mahantaṃ bheravaṃ viravantā vicaranti. Kadāci anusotaṃ vuyhanti, kadāci paṭisotaṃ. Atha ne tīre ṭhitā nirayapālā ususattitomarādīni ukkhipitvā macche viya vijjhanti. Te dukkhavedanāppattā mahāviravaṃ ravanti. Atha ne pajjalitehi ayabaḷisehi uddharitvā parikaḍḍhitvā pajjalitaayapathaviyaṃ nipajjāpetvā tesaṃ mukhe tattaṃ ayoguḷhaṃ pakkhipanti.

    อิติ นิมิราชา เวตรณิยํ มหาทุกฺขปีฬิเต เนรยิกสเตฺต ทิสฺวา ภีตตสิโต สงฺกมฺปิตหทโย หุตฺวา ‘‘กิํ นาเมเต สตฺตา ปาปกมฺมํ อกํสู’’ติ มาตลิํ ปุจฺฉิฯ โสปิสฺส พฺยากาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต อาห –

    Iti nimirājā vetaraṇiyaṃ mahādukkhapīḷite nerayikasatte disvā bhītatasito saṅkampitahadayo hutvā ‘‘kiṃ nāmete sattā pāpakammaṃ akaṃsū’’ti mātaliṃ pucchi. Sopissa byākāsi. Tamatthaṃ pakāsento āha –

    ๔๕๓.

    453.

    ‘‘นิมี หเว มาตลิมชฺฌภาสถ, ทิสฺวา ชนํ ปตมานํ วิทุเคฺค;

    ‘‘Nimī have mātalimajjhabhāsatha, disvā janaṃ patamānaṃ vidugge;

    ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ ปาปํ, เยเม ชนา เวตรณิํ ปตนฺติฯ

    Ime nu maccā kimakaṃsu pāpaṃ, yeme janā vetaraṇiṃ patanti.

    ๔๕๔.

    454.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๕๕.

    455.

    ‘‘เย ทุพฺพเล พลวนฺตา ชีวโลเก, หิํ สนฺติ โรเสนฺติ สุปาปธมฺมา;

    ‘‘Ye dubbale balavantā jīvaloke, hiṃ santi rosenti supāpadhammā;

    เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ, เตเม ชนา เวตรณิํ ปตนฺตี’’ติฯ

    Te luddakammā pasavetva pāpaṃ, teme janā vetaraṇiṃ patantī’’ti.

    ตตฺถ วินฺทตีติ อหํ อตฺตโน อนิสฺสโร หุตฺวา ภยสนฺตโก วิย ชาโตฯ ทิสฺวาติ ปตมานํ ทิสฺวาฯ ชานนฺติ ภิกฺขเว, โส มาตลิ สยํ ชานโนฺต ตสฺส อชานโต อกฺขาสิฯ ทุพฺพเลติ สรีรพลโภคพลอาณาพลวิรหิเตฯ พลวนฺตาติ เตหิ พเลหิ สมนฺนาคตาฯ หิํสนฺตีติ ปาณิปฺปหาราทีหิ กิลเมนฺติฯ โรเสนฺตีติ นานปฺปกาเรหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อโกฺกสนฺติ ฆเฎนฺติฯ ปสเวตฺวาติ ชเนตฺวา, กตฺวาติ อโตฺถฯ

    Tattha vindatīti ahaṃ attano anissaro hutvā bhayasantako viya jāto. Disvāti patamānaṃ disvā. Jānanti bhikkhave, so mātali sayaṃ jānanto tassa ajānato akkhāsi. Dubbaleti sarīrabalabhogabalaāṇābalavirahite. Balavantāti tehi balehi samannāgatā. Hiṃsantīti pāṇippahārādīhi kilamenti. Rosentīti nānappakārehi akkosavatthūhi akkosanti ghaṭenti. Pasavetvāti janetvā, katvāti attho.

    เอวํ มาตลิ ตสฺส ปญฺหํ พฺยากริตฺวา รญฺญา เวตรณินิรเย ทิเฎฺฐ ตํ ปเทสํ อนฺตรธาเปตฺวา ปุรโต รถํ เปเสตฺวา สุนขาทีหิ ขาทนฎฺฐานํ ทเสฺสตฺวา ตํ ทิสฺวา ภีเตน รญฺญา ปญฺหํ ปุโฎฺฐ พฺยากาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Evaṃ mātali tassa pañhaṃ byākaritvā raññā vetaraṇiniraye diṭṭhe taṃ padesaṃ antaradhāpetvā purato rathaṃ pesetvā sunakhādīhi khādanaṭṭhānaṃ dassetvā taṃ disvā bhītena raññā pañhaṃ puṭṭho byākāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๔๕๖.

    456.

    ‘‘สามา จ โสณา สพลา จ คิชฺฌา, กาโกลสงฺฆา อทนฺติ เภรวา;

    ‘‘Sāmā ca soṇā sabalā ca gijjhā, kākolasaṅghā adanti bheravā;

    ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิํมกํสุ ปาปํ, เยเม ชเน กาโกลสงฺฆา อทนฺติฯ

    Ime nu maccā kiṃmakaṃsu pāpaṃ, yeme jane kākolasaṅghā adanti.

    ๔๕๗.

    457.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๕๘.

    458.

    ‘‘เย เกจิเม มจฺฉริโน กทริยา, ปริภาสกา สมณพฺราหฺมณานํ;

    ‘‘Ye kecime maccharino kadariyā, paribhāsakā samaṇabrāhmaṇānaṃ;

    หิํ สนฺติ โรเสนฺติ สุปาปธมฺมา, เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ;

    Hiṃ santi rosenti supāpadhammā, te luddakammā pasavetva pāpaṃ;

    เตเม ชเน กาโกลสงฺฆา อทนฺตี’’ติฯ

    Teme jane kākolasaṅghā adantī’’ti.

    อิโต ปเรสุ ปเญฺหสุ เจว พฺยากรเณสุ จ เอเสว นโยฯ ตตฺถ สามาติ รตฺตวณฺณาฯ โสณาติ สุนขาฯ สพลา จาติ กพรวณฺณา จ, เสตกาฬปีตโลหิตวณฺณา จาติ เอวํ ปญฺจวณฺณสุนเข ทเสฺสติฯ เต กิร มหาหตฺถิปฺปมาณา ชลิตอยปถวิยํ เนรยิกสเตฺต มิเค วิย อนุพนฺธิตฺวา ปิณฺฑิกมํเสสุ ฑํสิตฺวา เตสํ ติคาวุตปฺปมาณํ สรีรํ ชลิตอยปถวิยํ ปาเตตฺวา มหารวํ รวนฺตานํ ทฺวีหิ ปุริมปาเทหิ อุรํ อกฺกมิตฺวา อฎฺฐิเมว เสเสตฺวา มํสํ ลุญฺจิตฺวา ขาทนฺติฯ คิชฺฌาติ มหาภณฺฑสกฎปฺปมาณา โลหตุณฺฑา คิชฺฌาฯ เอเต เตสํ กณยสทิเสหิ ตุเณฺฑหิ อฎฺฐีนิ ภินฺทิตฺวา อฎฺฐิมิญฺชํ ขาทนฺติฯ กาโกลสงฺฆาติ โลหตุณฺฑกากคณาฯ เต อติวิย ภยานกา ทิเฎฺฐ ทิเฎฺฐ ขาทนฺติฯ เยเม ชเนติ เย อิเม เนรยิกสเตฺต กาโกลสงฺฆา ขาทนฺติ, อิเม นุ มจฺจา กิํ นาม ปาปํ อกํสูติ ปุจฺฉิฯ มจฺฉริโนติ อเญฺญสํ อทายกาฯ กทริยาติ ปเร เทเนฺตปิ ปฎิเสธกา ถทฺธมจฺฉริโนฯ สมณพฺราหฺมณานนฺติ สมิตพาหิตปาปานํฯ

    Ito paresu pañhesu ceva byākaraṇesu ca eseva nayo. Tattha sāmāti rattavaṇṇā. Soṇāti sunakhā. Sabalā cāti kabaravaṇṇā ca, setakāḷapītalohitavaṇṇā cāti evaṃ pañcavaṇṇasunakhe dasseti. Te kira mahāhatthippamāṇā jalitaayapathaviyaṃ nerayikasatte mige viya anubandhitvā piṇḍikamaṃsesu ḍaṃsitvā tesaṃ tigāvutappamāṇaṃ sarīraṃ jalitaayapathaviyaṃ pātetvā mahāravaṃ ravantānaṃ dvīhi purimapādehi uraṃ akkamitvā aṭṭhimeva sesetvā maṃsaṃ luñcitvā khādanti. Gijjhāti mahābhaṇḍasakaṭappamāṇā lohatuṇḍā gijjhā. Ete tesaṃ kaṇayasadisehi tuṇḍehi aṭṭhīni bhinditvā aṭṭhimiñjaṃ khādanti. Kākolasaṅghāti lohatuṇḍakākagaṇā. Te ativiya bhayānakā diṭṭhe diṭṭhe khādanti. Yeme janeti ye ime nerayikasatte kākolasaṅghā khādanti, ime nu maccā kiṃ nāma pāpaṃ akaṃsūti pucchi. Maccharinoti aññesaṃ adāyakā. Kadariyāti pare dentepi paṭisedhakā thaddhamaccharino. Samaṇabrāhmaṇānanti samitabāhitapāpānaṃ.

    ๔๕๙.

    459.

    ‘‘สโชติภูตา ปถวิํ กมนฺติ, ตเตฺตหิ ขเนฺธหิ จ โปถยนฺติ;

    ‘‘Sajotibhūtā pathaviṃ kamanti, tattehi khandhehi ca pothayanti;

    ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ ปาปํ, เยเม ชนา ขนฺธหตา สยนฺติฯ

    Ime nu maccā kimakaṃsu pāpaṃ, yeme janā khandhahatā sayanti.

    ๔๖๐.

    460.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๖๑.

    461.

    ‘‘เย ชีวโลกสฺมิ สุปาปธมฺมิโน, นรญฺจ นาริญฺจ อปาปธมฺมํ;

    ‘‘Ye jīvalokasmi supāpadhammino, narañca nāriñca apāpadhammaṃ;

    หิํ สนฺติ โรเสนฺติ สุปาปธมฺมา, เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ;

    Hiṃ santi rosenti supāpadhammā, te luddakammā pasavetva pāpaṃ;

    เตเม ชนา ขนฺธหตา สยนฺตี’’ติฯ

    Teme janā khandhahatā sayantī’’ti.

    ตตฺถ สโชติภูตาติ ปชฺชลิตสรีราฯ ปถวินฺติ ปชฺชลิตํ นวโยชนพหลํ อยปถวิํฯ กมนฺตีติ อกฺกมนฺติฯ ขเนฺธหิ จ โปถยนฺตีติ นิรยปาลา อนุพนฺธิตฺวา ตาลปฺปมาเณหิ ชลิตอยกฺขเนฺธหิ ชงฺฆาทีสุ ปหริตฺวา ปาเตตฺวา เตเหว ขเนฺธหิ โปถยนฺติ, จุณฺณวิจุณฺณํ กโรนฺติฯ สุปาปธมฺมิโนติ อตฺตนา สุฎฺฐุ ปาปธมฺมา หุตฺวาฯ อปาปธมฺมนฺติ สีลาจาราทิสมฺปนฺนํ, นิรปราธํ วาฯ

    Tattha sajotibhūtāti pajjalitasarīrā. Pathavinti pajjalitaṃ navayojanabahalaṃ ayapathaviṃ. Kamantīti akkamanti. Khandhehi ca pothayantīti nirayapālā anubandhitvā tālappamāṇehi jalitaayakkhandhehi jaṅghādīsu paharitvā pātetvā teheva khandhehi pothayanti, cuṇṇavicuṇṇaṃ karonti. Supāpadhamminoti attanā suṭṭhu pāpadhammā hutvā. Apāpadhammanti sīlācārādisampannaṃ, niraparādhaṃ vā.

    ๔๖๒.

    462.

    ‘‘องฺคารกาสุํ อปเร ผุณนฺติ, นรา รุทนฺตา ปริทฑฺฒคตฺตา;

    ‘‘Aṅgārakāsuṃ apare phuṇanti, narā rudantā paridaḍḍhagattā;

    ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิํ มกํสุ ปาปํ, เยเม ชนา องฺคารกาสุํ ผุณนฺติฯ

    Ime nu maccā kiṃ makaṃsu pāpaṃ, yeme janā aṅgārakāsuṃ phuṇanti.

    ๔๖๓.

    463.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๖๔.

    464.

    ‘‘เย เกจิ ปูคาย ธนสฺส เหตุ, สกฺขิํ กริตฺวา อิณํ ชาปยนฺติ;

    ‘‘Ye keci pūgāya dhanassa hetu, sakkhiṃ karitvā iṇaṃ jāpayanti;

    เต ชาปยิตฺวา ชนตํ ชนินฺท, เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ;

    Te jāpayitvā janataṃ janinda, te luddakammā pasavetva pāpaṃ;

    เตเม ชนา องฺคารกาสุํ ผุณนฺตี’’ติฯ

    Teme janā aṅgārakāsuṃ phuṇantī’’ti.

    ตตฺถ องฺคารกาสุนฺติ สมฺม มาตลิ, เก นาเมเต อปเร วชํ อปวิสนฺติโย คาโว วิย สมฺปริวาเรตฺวา นิรยปาเลหิ ชลิตอยคุเฬหิ โปถิยมานา องฺคารกาสุํ ปตนฺติฯ ตตฺร จ เนสํ ยาว กฎิปฺปมาณา นิมุคฺคานํ มหตีหิ อยปจฺฉีหิ อาทาย อุปริองฺคาเร โอกิรนฺติ, อถ เน องฺคาเร สมฺปฎิจฺฉิตุํ อสโกฺกนฺตา โรทนฺตา ทฑฺฒคตฺตา ผุณนฺติ วิธุนนฺติ, กมฺมพเลน วา อตฺตโน สีเส องฺคาเร ผุณนฺติ โอกิรนฺตีติ อโตฺถฯ ปูคาย ธนสฺสาติ โอกาเส สติ ทานํ วา ทสฺสาม, ปูชํ วา ปวเตฺตสฺสาม, วิหารํ วา กริสฺสามาติ สํกฑฺฒิตฺวา ฐปิตสฺส ปูคสนฺตกสฺส ธนสฺส เหตุฯ ชาปยนฺตีติ ตํ ธนํ ยถารุจิ ขาทิตฺวา คณเชฎฺฐกานํ ลญฺชํ ทตฺวา ‘‘อสุกฎฺฐาเน เอตฺตกํ วยกรณํ คตํ, อสุกฎฺฐาเน อเมฺหหิ เอตฺตกํ ทินฺน’’นฺติ กูฎสกฺขิํ กริตฺวา ตํ อิณํ ชาปยนฺติ วินาเสนฺติฯ

    Tattha aṅgārakāsunti samma mātali, ke nāmete apare vajaṃ apavisantiyo gāvo viya samparivāretvā nirayapālehi jalitaayaguḷehi pothiyamānā aṅgārakāsuṃ patanti. Tatra ca nesaṃ yāva kaṭippamāṇā nimuggānaṃ mahatīhi ayapacchīhi ādāya upariaṅgāre okiranti, atha ne aṅgāre sampaṭicchituṃ asakkontā rodantā daḍḍhagattā phuṇanti vidhunanti, kammabalena vā attano sīse aṅgāre phuṇanti okirantīti attho. Pūgāya dhanassāti okāse sati dānaṃ vā dassāma, pūjaṃ vā pavattessāma, vihāraṃ vā karissāmāti saṃkaḍḍhitvā ṭhapitassa pūgasantakassa dhanassa hetu. Jāpayantīti taṃ dhanaṃ yathāruci khāditvā gaṇajeṭṭhakānaṃ lañjaṃ datvā ‘‘asukaṭṭhāne ettakaṃ vayakaraṇaṃ gataṃ, asukaṭṭhāne amhehi ettakaṃ dinna’’nti kūṭasakkhiṃ karitvā taṃ iṇaṃ jāpayanti vināsenti.

    ๔๖๕.

    465.

    ‘‘สโชติภูตา ชลิตา ปทิตฺตา, ปทิสฺสติ มหตี โลหกุมฺภี;

    ‘‘Sajotibhūtā jalitā padittā, padissati mahatī lohakumbhī;

    ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ ปาปํ, เยเม ชนา อวํสิรา โลหกุมฺภิํ ปตนฺติฯ

    Ime nu maccā kimakaṃsu pāpaṃ, yeme janā avaṃsirā lohakumbhiṃ patanti.

    ๔๖๖.

    466.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๖๗.

    467.

    ‘‘เย สีลวนฺตํ สมณํ พฺราหฺมณํ วา, หิํสนฺติ โรเสนฺติ สุปาปธมฺมา;

    ‘‘Ye sīlavantaṃ samaṇaṃ brāhmaṇaṃ vā, hiṃsanti rosenti supāpadhammā;

    เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ, เตเม ชนา อวํสิรา โลหกุมฺภิํ ปตนฺตี’’ติฯ

    Te luddakammā pasavetva pāpaṃ, teme janā avaṃsirā lohakumbhiṃ patantī’’ti.

    ตตฺถ ปทิตฺตาติอาทิตฺตาฯ มหตีติ ปพฺพตปฺปมาณา กเปฺปน สณฺฐิตโลหรเสน สมฺปุณฺณาฯ อวํสิราติ ภยานเกหิ นิรยปาเลหิ อุทฺธํปาเท อโธสิเร กตฺวา ขิปิยมานา ตํ โลหกุมฺภิํ ปตนฺติฯ สีลวนฺตนฺติ สีลอาจารคุณสมฺปนฺนํฯ

    Tattha padittātiādittā. Mahatīti pabbatappamāṇā kappena saṇṭhitaloharasena sampuṇṇā. Avaṃsirāti bhayānakehi nirayapālehi uddhaṃpāde adhosire katvā khipiyamānā taṃ lohakumbhiṃ patanti. Sīlavantanti sīlaācāraguṇasampannaṃ.

    ๔๖๘.

    468.

    ‘‘ลุญฺจนฺติ คีวํ อถ เวฐยิตฺวา, อุโณฺหทกสฺมิํ ปกิเลทยิตฺวา;

    ‘‘Luñcanti gīvaṃ atha veṭhayitvā, uṇhodakasmiṃ pakiledayitvā;

    ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ ปาปํ, เยเม ชนา ลุตฺตสิรา สยนฺติฯ

    Ime nu maccā kimakaṃsu pāpaṃ, yeme janā luttasirā sayanti.

    ๔๖๙.

    469.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๗๐.

    470.

    ‘‘เย ชีวโลกสฺมิ สุปาปธมฺมิโน, ปกฺขี คเหตฺวาน วิเหฐยนฺติ เต;

    ‘‘Ye jīvalokasmi supāpadhammino, pakkhī gahetvāna viheṭhayanti te;

    วิเหฐยิตฺวา สกุณํ ชนินฺท, เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ;

    Viheṭhayitvā sakuṇaṃ janinda, te luddakammā pasavetva pāpaṃ;

    เตเม ชนา ลุตฺตสิรา สย’’นฺติฯ

    Teme janā luttasirā saya’’nti.

    ตตฺถ ลุญฺจนฺตีติ อุปฺปาเฎนฺติฯ อถ เวฐยิตฺวาติ ชลิตโลหโยเตฺตหิ อโธมุขํ เวฐยิตฺวาฯ อุโณฺหทกสฺมินฺติ กเปฺปน สณฺฐิตโลหอุทกสฺมิํฯ ปกิเลทยิตฺวาติ เตเมตฺวา ขิปิตฺวาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สมฺม มาตลิ, เยสํ อิเม นิรยปาลา ชลิตโลหโยเตฺตหิ คีวํ เวเฐตฺวา ติคาวุตปฺปมาณํ สรีรํ โอนาเมตฺวา ตํ คีวํ สมฺปริวตฺตกํ ลุญฺจิตฺวา ชลิตอยทเณฺฑหิ อาทาย เอกสฺมิํ ชลิตโลหรเส ปกฺขิปิตฺวา ตุฎฺฐหฎฺฐา โหนฺติ, ตาย จ คีวาย ลุญฺจิตาย ปุน สีเสน สทฺธิํ คีวา อุปฺปชฺชติเยวฯ กิํ นาเมเต กมฺมํ กริํสุ? เอเต หิ เม ทิสฺวา ภยํ อุปฺปชฺชตีติฯ ปกฺขี คเหตฺวาน วิเหฐยนฺตีติ มหาราช, เย ชีวโลกสฺมิํ สกุเณ คเหตฺวา ปเกฺข ลุญฺจิตฺวา คีวํ เวเฐตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา ขาทนฺติ วา วิกฺกิณนฺติ วา, เต อิเม ลุตฺตสิรา สยนฺตีติฯ

    Tattha luñcantīti uppāṭenti. Atha veṭhayitvāti jalitalohayottehi adhomukhaṃ veṭhayitvā. Uṇhodakasminti kappena saṇṭhitalohaudakasmiṃ. Pakiledayitvāti temetvā khipitvā. Idaṃ vuttaṃ hoti – samma mātali, yesaṃ ime nirayapālā jalitalohayottehi gīvaṃ veṭhetvā tigāvutappamāṇaṃ sarīraṃ onāmetvā taṃ gīvaṃ samparivattakaṃ luñcitvā jalitaayadaṇḍehi ādāya ekasmiṃ jalitaloharase pakkhipitvā tuṭṭhahaṭṭhā honti, tāya ca gīvāya luñcitāya puna sīsena saddhiṃ gīvā uppajjatiyeva. Kiṃ nāmete kammaṃ kariṃsu? Ete hi me disvā bhayaṃ uppajjatīti. Pakkhī gahetvāna viheṭhayantīti mahārāja, ye jīvalokasmiṃ sakuṇe gahetvā pakkhe luñcitvā gīvaṃ veṭhetvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā khādanti vā vikkiṇanti vā, te ime luttasirā sayantīti.

    ๔๗๑.

    471.

    ‘‘ปหูตโตยา อนิคาธกูลา, นที อยํ สนฺทติ สุปฺปติตฺถา;

    ‘‘Pahūtatoyā anigādhakūlā, nadī ayaṃ sandati suppatitthā;

    ฆมฺมาภิตตฺตา มนุชา ปิวนฺติ, ปีตญฺจ เตสํ ภุส โหติ ปานิฯ

    Ghammābhitattā manujā pivanti, pītañca tesaṃ bhusa hoti pāni.

    ๔๗๒.

    472.

    ‘‘ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ ปาปํ, ปีตญฺจ เตสํ ภุส โหติ ปานิฯ

    Ime nu maccā kimakaṃsu pāpaṃ, pītañca tesaṃ bhusa hoti pāni.

    ๔๗๓.

    473.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๗๔.

    474.

    ‘‘เย สุทฺธธญฺญํ ปลาเสน มิสฺสํ, อสุทฺธกมฺมา กยิโน ททนฺติ;

    ‘‘Ye suddhadhaññaṃ palāsena missaṃ, asuddhakammā kayino dadanti;

    ฆมฺมาภิตตฺตาน ปิปาสิตานํ, ปีตญฺจ เตสํ ภุส โหติ ปานี’’ติฯ

    Ghammābhitattāna pipāsitānaṃ, pītañca tesaṃ bhusa hoti pānī’’ti.

    ตตฺถ อนิคาธกูลาติ อคมฺภีรตีราฯ สุปฺปติตฺถาติ โสภเนหิ ติเตฺถหิ อุเปตาฯ ภุส โหตีติ วีหิภุสํ สมฺปชฺชติฯ ปานีติ ปานียํฯ ตสฺมิํ กิร ปเทเส ปหูตสลิลา รมณียา นที สนฺทติ, เนรยิกสตฺตา อคฺคิสนฺตาเปน ตตฺตา ปิปาสํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตา พาหา ปคฺคยฺห ชลิตโลหปถวิํ มทฺทนฺตา ตํ นทิํ โอตรนฺติ, ตงฺขณเญฺญว ตีรา ปชฺชลนฺติ, ปานียํ ภุสปลาสภาวํ อาปชฺชิตฺวา ปชฺชลติฯ เต ปิปาสํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตา ตํ ชลิตํ ภุสปลาสํ ขาทนฺติฯ ตํ เตสํ สกลสรีรํ ฌาเปตฺวา อโธภาเคน นิกฺขมติฯ เต ตํ ทุกฺขํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกนฺตา พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺติฯ สุทฺธธญฺญนฺติ วีหิอาทิสตฺตวิธํ ปริสุทฺธธญฺญํฯ ปลาเสน มิสฺสนฺติ ปลาเสน วา ภุเสน วา วาลุกามตฺติกาทีหิ วา มิสฺสกํ กตฺวา ฯ อสุทฺธกมฺมาติ กิลิฎฺฐกายวจีมโนกมฺมาฯ กยิโนติ ‘‘สุทฺธธญฺญํ ทสฺสามี’’ติ กยิกสฺส หตฺถโต มูลํ คเหตฺวา ตถารูปํ อสุทฺธธญฺญํ ททนฺติฯ

    Tattha anigādhakūlāti agambhīratīrā. Suppatitthāti sobhanehi titthehi upetā. Bhusa hotīti vīhibhusaṃ sampajjati. Pānīti pānīyaṃ. Tasmiṃ kira padese pahūtasalilā ramaṇīyā nadī sandati, nerayikasattā aggisantāpena tattā pipāsaṃ sandhāretuṃ asakkontā bāhā paggayha jalitalohapathaviṃ maddantā taṃ nadiṃ otaranti, taṅkhaṇaññeva tīrā pajjalanti, pānīyaṃ bhusapalāsabhāvaṃ āpajjitvā pajjalati. Te pipāsaṃ sandhāretuṃ asakkontā taṃ jalitaṃ bhusapalāsaṃ khādanti. Taṃ tesaṃ sakalasarīraṃ jhāpetvā adhobhāgena nikkhamati. Te taṃ dukkhaṃ adhivāsetuṃ asakkontā bāhā paggayha kandanti. Suddhadhaññanti vīhiādisattavidhaṃ parisuddhadhaññaṃ. Palāsena missanti palāsena vā bhusena vā vālukāmattikādīhi vā missakaṃ katvā . Asuddhakammāti kiliṭṭhakāyavacīmanokammā. Kayinoti ‘‘suddhadhaññaṃ dassāmī’’ti kayikassa hatthato mūlaṃ gahetvā tathārūpaṃ asuddhadhaññaṃ dadanti.

    ๔๗๕.

    475.

    ‘‘อุสูหิ สตฺตีหิ จ โตมเรหิ, ทุภยานิ ปสฺสานิ ตุทนฺติ กนฺทตํ;

    ‘‘Usūhi sattīhi ca tomarehi, dubhayāni passāni tudanti kandataṃ;

    ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ ปาปํ, เยเม ชนา สตฺติหตา สยนฺติฯ

    Ime nu maccā kimakaṃsu pāpaṃ, yeme janā sattihatā sayanti.

    ๔๗๖.

    476.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๗๗.

    477.

    ‘‘เย ชีวโลกสฺมิํ อสาธุกมฺมิโน, อทินฺนมาทาย กโรนฺติ ชีวิกํ;

    ‘‘Ye jīvalokasmiṃ asādhukammino, adinnamādāya karonti jīvikaṃ;

    ธญฺญํ ธนํ รชตํ ชาตรูปํ, อเชฬกญฺจาปิ ปสุํ มหิํสํ;

    Dhaññaṃ dhanaṃ rajataṃ jātarūpaṃ, ajeḷakañcāpi pasuṃ mahiṃsaṃ;

    เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ, เตเม ชนา สตฺติหตา สยนฺตี’’ติฯ

    Te luddakammā pasavetva pāpaṃ, teme janā sattihatā sayantī’’ti.

    ตตฺถ ทุภยานีติ อุภยานิฯ ตุทนฺตีติ วิชฺฌนฺติฯ กนฺทตนฺติ กนฺทนฺตานํฯ ผรุสา นิรยปาลา อรเญฺญ ลุทฺทา มิคํ วิย สมฺปริวาเรตฺวา อุสุอาทีหิ นานาวุเธหิ เทฺว ปสฺสานิ ตุทนฺติ, สรีรํ ฉิทฺทาวฉิทฺทํ ปุราณปณฺณํ วิย ขายติฯ อทินฺนมาทายาติปรสนฺตกํ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกํ สนฺธิเจฺฉทาทีหิ เจว วญฺจนาย จ คเหตฺวา ชีวิกํ กเปฺปนฺติฯ

    Tattha dubhayānīti ubhayāni. Tudantīti vijjhanti. Kandatanti kandantānaṃ. Pharusā nirayapālā araññe luddā migaṃ viya samparivāretvā usuādīhi nānāvudhehi dve passāni tudanti, sarīraṃ chiddāvachiddaṃ purāṇapaṇṇaṃ viya khāyati. Adinnamādāyātiparasantakaṃ saviññāṇakāviññāṇakaṃ sandhicchedādīhi ceva vañcanāya ca gahetvā jīvikaṃ kappenti.

    ๔๗๘.

    478.

    ‘‘คีวาย พทฺธา กิสฺส อิเม ปุเนเก, อเญฺญ วิกนฺตา พิลกตา สยนฺติ;

    ‘‘Gīvāya baddhā kissa ime puneke, aññe vikantā bilakatā sayanti;

    ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ ปาปํ, เยเม ชนา พิลกตา สยนฺติฯ

    Ime nu maccā kimakaṃsu pāpaṃ, yeme janā bilakatā sayanti.

    ๔๗๙.

    479.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๘๐.

    480.

    ‘‘โอรพฺภิกา สูกริกา จ มจฺฉิกา, ปสุํ มหิํสญฺจ อเชฬกญฺจ;

    ‘‘Orabbhikā sūkarikā ca macchikā, pasuṃ mahiṃsañca ajeḷakañca;

    หนฺตฺวาน สูเนสุ ปสารยิํสุ, เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ;

    Hantvāna sūnesu pasārayiṃsu, te luddakammā pasavetva pāpaṃ;

    เตเม ชนา พิลกตา สยนฺตี’’ติฯ

    Teme janā bilakatā sayantī’’ti.

    ตตฺถ คีวาย พทฺธาติ มหเนฺตหิ ชลิตโลหโยเตฺตหิ คีวาย พนฺธิตฺวา อากฑฺฒิตฺวา อยปถวิยํ ปาเตตฺวา นานาวุเธหิ โกฎฺฎิยมาเน ทิสฺวา ปุจฺฉิฯ อเญฺญ วิกนฺตาติ อเญฺญ ปน ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉินฺนาฯ พิลกตาติ ชลิเตสุ อยผลเกสุ ฐเปตฺวา มํสํ วิย โปตฺถนิยา โกเฎฺฎตฺวา ปุญฺชกตา หุตฺวา สยนฺติฯ มจฺฉิกาติ มจฺฉฆาตกาฯ ปสุนฺติ คาวิํฯ สูเนสุ ปสารยิํสูติ มํสํ วิกฺกิณิตฺวา ชีวิกกปฺปนตฺถํ สูนาปเณสุ ฐเปสุํฯ

    Tattha gīvāya baddhāti mahantehi jalitalohayottehi gīvāya bandhitvā ākaḍḍhitvā ayapathaviyaṃ pātetvā nānāvudhehi koṭṭiyamāne disvā pucchi. Aññe vikantāti aññe pana khaṇḍākhaṇḍikaṃ chinnā. Bilakatāti jalitesu ayaphalakesu ṭhapetvā maṃsaṃ viya potthaniyā koṭṭetvā puñjakatā hutvā sayanti. Macchikāti macchaghātakā. Pasunti gāviṃ. Sūnesu pasārayiṃsūti maṃsaṃ vikkiṇitvā jīvikakappanatthaṃ sūnāpaṇesu ṭhapesuṃ.

    ๔๘๑.

    481.

    ‘‘รหโท อยํ มุตฺตกรีสปูโร, ทุคฺคนฺธรูโป อสุจิ ปูติ วาติ;

    ‘‘Rahado ayaṃ muttakarīsapūro, duggandharūpo asuci pūti vāti;

    ขุทาปเรตา มนุชา อทนฺติ, ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา;

    Khudāparetā manujā adanti, bhayañhi maṃ vindati sūta disvā;

    ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ, อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ ปาปํ;

    Pucchāmi taṃ mātali devasārathi, ime nu maccā kimakaṃsu pāpaṃ;

    เยเม ชนา มุตฺตกรีสภกฺขาฯ

    Yeme janā muttakarīsabhakkhā.

    ๔๘๒.

    482.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิ ชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsi jānato.

    ๔๘๓.

    483.

    ‘‘เย เกจิเม การณิกา วิโรสกา, ปเรสํ หิํสาย สทา นิวิฎฺฐา;

    ‘‘Ye kecime kāraṇikā virosakā, paresaṃ hiṃsāya sadā niviṭṭhā;

    เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ, มิตฺตทฺทุโน มีฬฺหมทนฺติ พาลา’’ติ;

    Te luddakammā pasavetva pāpaṃ, mittadduno mīḷhamadanti bālā’’ti;

    ตตฺถ ขุทาปเรตา มนุชา อทนฺตีติ เอเต เนรยิกา สตฺตา ฉาตเกน ผุฎฺฐา ขุทํ สหิตุํ อสโกฺกนฺตา ปกฺกุถิตํ ธูมายนฺตํ ปชฺชลนฺตํ กเปฺปน สณฺฐิตํ ปุราณมีฬฺหํ ปิณฺฑํ ปิณฺฑํ กตฺวา อทนฺติ ขาทนฺติฯ การณิกาติ การณการกาฯ วิโรสกาติ มิตฺตสุหชฺชานมฺปิ วิเหฐกาฯ มิตฺตทฺทุโนติ เย เตสเญฺญว เคเห ขาทิตฺวา ภุญฺชิตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิตฺวา สยิตฺวา ปุน มาสกหาปณํ นาม อาหราเปนฺติ, ลญฺชํ คณฺหนฺติ, เต มิตฺตทูสกา พาลา เอวรูปํ มีฬฺหํ ขาทนฺติ, มหาราชาติฯ

    Tattha khudāparetā manujā adantīti ete nerayikā sattā chātakena phuṭṭhā khudaṃ sahituṃ asakkontā pakkuthitaṃ dhūmāyantaṃ pajjalantaṃ kappena saṇṭhitaṃ purāṇamīḷhaṃ piṇḍaṃ piṇḍaṃ katvā adanti khādanti. Kāraṇikāti kāraṇakārakā. Virosakāti mittasuhajjānampi viheṭhakā. Mittaddunoti ye tesaññeva gehe khāditvā bhuñjitvā paññattāsane nisīditvā sayitvā puna māsakahāpaṇaṃ nāma āharāpenti, lañjaṃ gaṇhanti, te mittadūsakā bālā evarūpaṃ mīḷhaṃ khādanti, mahārājāti.

    ๔๘๔.

    484.

    ‘‘รหโท อยํ โลหิตปุพฺพปูโร, ทุคฺคนฺธรูโป อสุจิ ปูติ วาติ;

    ‘‘Rahado ayaṃ lohitapubbapūro, duggandharūpo asuci pūti vāti;

    ฆมฺมาภิตตฺตา มนุชา ปิวนฺติ, ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา;

    Ghammābhitattā manujā pivanti, bhayañhi maṃ vindati sūta disvā;

    ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ, อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ ปาปํ;

    Pucchāmi taṃ mātali devasārathi, ime nu maccā kimakaṃsu pāpaṃ;

    เยเม ชนา โลหิตปุพฺพภกฺขาฯ

    Yeme janā lohitapubbabhakkhā.

    ๔๘๕.

    485.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๘๖.

    486.

    ‘‘เย มาตรํ วา ปิตรํ วา ชีวโลเก, ปาราชิกา อรหเนฺต หนนฺติ;

    ‘‘Ye mātaraṃ vā pitaraṃ vā jīvaloke, pārājikā arahante hananti;

    เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ, เตเม ชนา โลหิตปุพฺพภกฺขา’’ติฯ

    Te luddakammā pasavetva pāpaṃ, teme janā lohitapubbabhakkhā’’ti.

    ตตฺถ ฆมฺมาภิตตฺตาติ สนฺตาเปน ปีฬิตาฯ ปาราชิกาติ ปราชิตา ชราชิเณฺณ มาตาปิตโร ฆาเตตฺวา คิหิภาเวเยว ปาราชิกํ ปตฺตาฯ อรหเนฺตติ ปูชาวิเสสสฺส อนุจฺฉวิเกฯ หนนฺตีติ ทุกฺกรการเก มาตาปิตโร มาเรนฺติฯ อปิจ ‘‘อรหเนฺต’’ติ ปเทน พุทฺธสาวเกปิ สงฺคณฺหาติฯ

    Tattha ghammābhitattāti santāpena pīḷitā. Pārājikāti parājitā jarājiṇṇe mātāpitaro ghātetvā gihibhāveyeva pārājikaṃ pattā. Arahanteti pūjāvisesassa anucchavike. Hanantīti dukkarakārake mātāpitaro mārenti. Apica ‘‘arahante’’ti padena buddhasāvakepi saṅgaṇhāti.

    อปรสฺมิมฺปิ อุสฺสทนิรเย นิรยปาลา เนรยิกานํ ตาลปฺปมาเณน ชลิตอยพฬิเสน ชิวฺหํ วิชฺฌิตฺวา อากฑฺฒิตฺวา เต สเตฺต ชลิตอยปถวิยํ ปาเตตฺวา อุสภจมฺมํ วิย ปตฺถริตฺวา สงฺกุสเตน หนนฺติฯ เต ถเล ขิตฺตมจฺฉา วิย ผนฺทนฺติ, ตญฺจ ทุกฺขํ สหิตุํ อสโกฺกนฺตา โรทนฺตา ปริเทวนฺตา มุเขน เขฬํ มุญฺจนฺติฯ ตสฺมิํ ราชา มาตลินา ทสฺสิเต อาห –

    Aparasmimpi ussadaniraye nirayapālā nerayikānaṃ tālappamāṇena jalitaayabaḷisena jivhaṃ vijjhitvā ākaḍḍhitvā te satte jalitaayapathaviyaṃ pātetvā usabhacammaṃ viya pattharitvā saṅkusatena hananti. Te thale khittamacchā viya phandanti, tañca dukkhaṃ sahituṃ asakkontā rodantā paridevantā mukhena kheḷaṃ muñcanti. Tasmiṃ rājā mātalinā dassite āha –

    ๔๘๗.

    487.

    ‘‘ชิวฺห จ ปสฺส พฬิเสน วิทฺธํ, วิหตํ ยถา สงฺกุสเตน จมฺมํ;

    ‘‘Jivha ca passa baḷisena viddhaṃ, vihataṃ yathā saṅkusatena cammaṃ;

    ผนฺทนฺติ มจฺฉาว ถลมฺหิ ขิตฺตา, มุญฺจนฺติ เขฬํ รุทมานา กิเมเตฯ

    Phandanti macchāva thalamhi khittā, muñcanti kheḷaṃ rudamānā kimete.

    ๔๘๘.

    488.

    ‘‘ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ ปาปํ, เยเม ชนา วงฺกฆสฺตา สยนฺตี’’ติฯ

    Ime nu maccā kimakaṃsu pāpaṃ, yeme janā vaṅkaghastā sayantī’’ti.

    ๔๘๙.

    489.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๙๐.

    490.

    ‘‘เย เกจิ สนฺธานคตา มนุสฺสา, อเคฺฆน อคฺฆํ กยํ หาปยนฺติ;

    ‘‘Ye keci sandhānagatā manussā, agghena agghaṃ kayaṃ hāpayanti;

    กูเฎน กูฎํ ธนโลภเหตุ, ฉนฺนํ ยถา วาริจรํ วธายฯ

    Kūṭena kūṭaṃ dhanalobhahetu, channaṃ yathā vāricaraṃ vadhāya.

    ๔๙๑.

    491.

    ‘‘น หิ กูฎการิสฺส ภวนฺติ ตาณา, สเกหิ กเมฺมหิ ปุรกฺขตสฺส;

    ‘‘Na hi kūṭakārissa bhavanti tāṇā, sakehi kammehi purakkhatassa;

    เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ, เตเม ชนา วงฺกฆสฺตา สยนฺตี’’ติฯ

    Te luddakammā pasavetva pāpaṃ, teme janā vaṅkaghastā sayantī’’ti.

    ตตฺถ กิเมเตติ กิํการณา เอเตฯ วงฺกฆสฺตาติ คิลิตพฬิสาฯ สนฺธานคตาติ สนฺธานํ มริยาทํ คตา, อคฺฆาปนกฎฺฐาเน ฐิตาติ อโตฺถฯ อเคฺฆน อคฺฆนฺติ ตํ ตํ อคฺฆํ ลญฺชํ คเหตฺวา หตฺถิอสฺสาทีนํ วา ชาตรูปรชตาทีนํ วา เตสํ เตสํ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกานํ อคฺฆํ หาเปนฺติฯ กยนฺติ ตํ หาเปนฺตา กายิกานํ กยํ หาเปนฺติ, สเต ทาตเพฺพ ปณฺณาสํ ทาเปนฺติ, อิตรํ เตหิ สทฺธิํ วิภชิตฺวา คณฺหนฺติฯ กูเฎน กูฎนฺติ ตุลากูฎาทีสุ ตํ ตํ กูฎํฯ ธนโลภเหตูติ ธนโลเภน เอตํ กูฎกมฺมํ กโรนฺติฯ ฉนฺนํ ยถา วาริจรํ วธายาติ ตํ ปน กมฺมํ กโรนฺตาปิ มธุรวาจาย ตถา กตภาวํ ปฎิจฺฉนฺนํ กตฺวา ยถา วาริจรํ มจฺฉํ วธาย อุปคจฺฉนฺตา พฬิสํ อามิเสน ปฎิจฺฉนฺนํ กตฺวา ตํ วเธนฺติ, เอวํ ปฎิจฺฉนฺนํ กตฺวา ตํ กมฺมํ กโรนฺติฯ น หิ กูฎการิสฺสาติ ปฎิจฺฉนฺนํ มม กมฺมํ, น ตํ โกจิ ชานาตีติ มญฺญมานสฺส หิ กูฎการิสฺส ตาณา นาม น โหนฺติฯ โส เตหิ กเมฺมหิ ปุรกฺขโต ปติฎฺฐํ น ลภติฯ

    Tattha kimeteti kiṃkāraṇā ete. Vaṅkaghastāti gilitabaḷisā. Sandhānagatāti sandhānaṃ mariyādaṃ gatā, agghāpanakaṭṭhāne ṭhitāti attho. Agghena agghanti taṃ taṃ agghaṃ lañjaṃ gahetvā hatthiassādīnaṃ vā jātarūparajatādīnaṃ vā tesaṃ tesaṃ saviññāṇakāviññāṇakānaṃ agghaṃ hāpenti. Kayanti taṃ hāpentā kāyikānaṃ kayaṃ hāpenti, sate dātabbe paṇṇāsaṃ dāpenti, itaraṃ tehi saddhiṃ vibhajitvā gaṇhanti. Kūṭena kūṭanti tulākūṭādīsu taṃ taṃ kūṭaṃ. Dhanalobhahetūti dhanalobhena etaṃ kūṭakammaṃ karonti. Channaṃ yathā vāricaraṃ vadhāyāti taṃ pana kammaṃ karontāpi madhuravācāya tathā katabhāvaṃ paṭicchannaṃ katvā yathā vāricaraṃ macchaṃ vadhāya upagacchantā baḷisaṃ āmisena paṭicchannaṃ katvā taṃ vadhenti, evaṃ paṭicchannaṃ katvā taṃ kammaṃ karonti. Na hi kūṭakārissāti paṭicchannaṃ mama kammaṃ, na taṃ koci jānātīti maññamānassa hi kūṭakārissa tāṇā nāma na honti. So tehi kammehi purakkhato patiṭṭhaṃ na labhati.

    ๔๙๒.

    492.

    ‘‘นารี อิมา สมฺปริภินฺนคตฺตา, ปคฺคยฺห กนฺทนฺติ ภุเช ทุชจฺจา;

    ‘‘Nārī imā samparibhinnagattā, paggayha kandanti bhuje dujaccā;

    สมฺมกฺขิตา โลหิตปุพฺพลิตฺตา, คาโว ยถา อาฆาตเน วิกนฺตา;

    Sammakkhitā lohitapubbalittā, gāvo yathā āghātane vikantā;

    ตา ภูมิภาคสฺมิํ สทา นิขาตา, ขนฺธาติวตฺตนฺติ สโชติภูตาฯ

    Tā bhūmibhāgasmiṃ sadā nikhātā, khandhātivattanti sajotibhūtā.

    ๔๙๓.

    493.

    ‘‘ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิมา นุ นาริโย กิมกํสุ ปาปํ, ยา ภูมิภาคสฺมิํ สทา นิขาตา;

    Imā nu nāriyo kimakaṃsu pāpaṃ, yā bhūmibhāgasmiṃ sadā nikhātā;

    ขนฺธาติวตฺตนฺติ สโชติภูตาฯ

    Khandhātivattanti sajotibhūtā.

    ๔๙๔.

    494.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๙๕.

    495.

    ‘‘โกลิตฺถิยาโย อิธ ชีวโลเก, อสุทฺธกมฺมา อสตํ อจารุํ;

    ‘‘Kolitthiyāyo idha jīvaloke, asuddhakammā asataṃ acāruṃ;

    ตา ทิตฺตรูปา ปติ วิปฺปหาย, อญฺญํ อจารุํ รติขิฑฺฑเหตุ;

    Tā dittarūpā pati vippahāya, aññaṃ acāruṃ ratikhiḍḍahetu;

    ตา ชีวโลกสฺมิํ รมาปยิตฺวา, ขนฺธาติวตฺตนฺติ สโชติภูตา’’ติฯ

    Tā jīvalokasmiṃ ramāpayitvā, khandhātivattanti sajotibhūtā’’ti.

    ตตฺถ นารีติ อิตฺถิโยฯ สมฺปริภินฺนคตฺตาติ สุฎฺฐุ สมนฺตโต ภินฺนสรีราฯ ทุชจฺจาติ ทุชฺชาติกา วิรูปา เชคุจฺฉาฯ อาฆาตเนติ คาวฆาตฎฺฐาเนฯ วิกนฺตาติ ฉินฺนสีสา คาโว วิย ปุพฺพโลหิตลิตฺตา หุตฺวา ฯ สทา นิขาตาติ นิจฺจํ ชลิตอยปถวิยํ กฎิมตฺตํ ปเวเสตฺวา นิขณิตฺวา ฐปิตา วิย ฐิตาฯ ขนฺธาติวตฺตนฺตีติ สมฺม มาตลิ, ตา นาริโย เอเต ปพฺพตกฺขนฺธา อติกฺกมนฺติฯ ตาสํ กิร เอวํ กฎิปฺปมาณํ ปวิสิตฺวา ฐิตกาเล ปุรตฺถิมาย ทิสาย ชลิตอยปพฺพโต สมุฎฺฐหิตฺวา อสนิ วิย วิรวโนฺต อาคนฺตฺวา สรีรํ สณฺหกรณี วิย ปิสโนฺต คจฺฉติฯ ตสฺมิํ อติวตฺติตฺวา ปจฺฉิมปเสฺส ฐิเต ปุน จ ตาสํ สรีรํ ปาตุ ภวติฯ ตา ทุกฺขํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกนฺติโย พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺติฯ เสสทิสาสุ วุฎฺฐิเตสุ ชลิตปพฺพเตสุปิ เอเสว นโยฯ เทฺว ปพฺพตา สมุฎฺฐาย อุจฺฉุฆฎิกํ วิย ปีเฬนฺติ, โลหิตํ ปกฺกุถิตํ สนฺทติฯ กทาจิ ตโย ปพฺพตา สมุฎฺฐาย ปีเฬนฺติฯ กทาจิ จตฺตาโร ปพฺพตา สมุฎฺฐาย ตาสํ สรีรํ ปีเฬนฺติฯ เตนาห ‘‘ขนฺธาติวตฺตนฺตี’’ติฯ

    Tattha nārīti itthiyo. Samparibhinnagattāti suṭṭhu samantato bhinnasarīrā. Dujaccāti dujjātikā virūpā jegucchā. Āghātaneti gāvaghātaṭṭhāne. Vikantāti chinnasīsā gāvo viya pubbalohitalittā hutvā . Sadā nikhātāti niccaṃ jalitaayapathaviyaṃ kaṭimattaṃ pavesetvā nikhaṇitvā ṭhapitā viya ṭhitā. Khandhātivattantīti samma mātali, tā nāriyo ete pabbatakkhandhā atikkamanti. Tāsaṃ kira evaṃ kaṭippamāṇaṃ pavisitvā ṭhitakāle puratthimāya disāya jalitaayapabbato samuṭṭhahitvā asani viya viravanto āgantvā sarīraṃ saṇhakaraṇī viya pisanto gacchati. Tasmiṃ ativattitvā pacchimapasse ṭhite puna ca tāsaṃ sarīraṃ pātu bhavati. Tā dukkhaṃ adhivāsetuṃ asakkontiyo bāhā paggayha kandanti. Sesadisāsu vuṭṭhitesu jalitapabbatesupi eseva nayo. Dve pabbatā samuṭṭhāya ucchughaṭikaṃ viya pīḷenti, lohitaṃ pakkuthitaṃ sandati. Kadāci tayo pabbatā samuṭṭhāya pīḷenti. Kadāci cattāro pabbatā samuṭṭhāya tāsaṃ sarīraṃ pīḷenti. Tenāha ‘‘khandhātivattantī’’ti.

    โกลิตฺถิยาโยติ กุเล ปติฎฺฐิตา กุลธีตโรฯ อสตํ อจารุนฺติ อสญฺญตกมฺมํ กริํสุฯ ทิตฺตรูปาติ สฐรูปา ธุตฺตชาติกา หุตฺวาฯ ปติ วิปฺปหายาติ อตฺตโน ปติํ ปชหิตฺวาฯ อจารุนฺติ อคมํสุฯ รติขิฑฺฑเหตูติ กามรติเหตุ เจว ขิฑฺฑาเหตุ จฯ รมาปยิตฺวาติ ปรปุริเสหิ สทฺธิํ อตฺตโน จิตฺตํ รมาปยิตฺวา อิธ อุปปนฺนาฯ อถ ตาสํ สรีรํ อิเม ขนฺธาติวตฺตนฺติ สโชติภูตาติฯ

    Kolitthiyāyoti kule patiṭṭhitā kuladhītaro. Asataṃ acārunti asaññatakammaṃ kariṃsu. Dittarūpāti saṭharūpā dhuttajātikā hutvā. Pati vippahāyāti attano patiṃ pajahitvā. Acārunti agamaṃsu. Ratikhiḍḍahetūti kāmaratihetu ceva khiḍḍāhetu ca. Ramāpayitvāti parapurisehi saddhiṃ attano cittaṃ ramāpayitvā idha upapannā. Atha tāsaṃ sarīraṃ ime khandhātivattanti sajotibhūtāti.

    ๔๙๖.

    496.

    ‘‘ปาเท คเหตฺวา กิสฺส อิเม ปุเนเก, อวํสิรา นรเก ปาตยนฺติ;

    ‘‘Pāde gahetvā kissa ime puneke, avaṃsirā narake pātayanti;

    ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ ปาปํ, เยเม ชนา อวํสิรา นรเก ปาตยนฺติฯ

    Ime nu maccā kimakaṃsu pāpaṃ, yeme janā avaṃsirā narake pātayanti.

    ๔๙๗.

    497.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๔๙๘.

    498.

    ‘‘เย ชีวโลกสฺมิํ อสาธุกมฺมิโน, ปรสฺส ทารานิ อติกฺกมนฺติ;

    ‘‘Ye jīvalokasmiṃ asādhukammino, parassa dārāni atikkamanti;

    เต ตาทิสา อุตฺตมภณฺฑเถนา, เตเม ชนา อวํสิรา นรเก ปาตยนฺติฯ

    Te tādisā uttamabhaṇḍathenā, teme janā avaṃsirā narake pātayanti.

    ๔๙๙.

    499.

    ‘‘เต วสฺสปูคานิ พหูนิ ตตฺถ, นิรเยสุ ทุกฺขํ เวทนํ เวทยนฺติ;

    ‘‘Te vassapūgāni bahūni tattha, nirayesu dukkhaṃ vedanaṃ vedayanti;

    น หิ ปาปการิสฺส ภวนฺติ ตาณา, สเกหิ กเมฺมหิ ปุรกฺขตสฺส;

    Na hi pāpakārissa bhavanti tāṇā, sakehi kammehi purakkhatassa;

    เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ, เตเม ชนา อวํสิรา นรเก ปาตยนฺตี’’ติฯ

    Te luddakammā pasavetva pāpaṃ, teme janā avaṃsirā narake pātayantī’’ti.

    ตตฺถ นรเกติ ชลิตองฺคารปุเณฺณ มหาอาวาเฎฯ เต กิร วชํ อปวิสนฺติโย คาโว วิย นิรยปาเลหิ นานาวุธานิ คเหตฺวา วิชฺฌิยมานา โปถิยมานา ยทา ตํ นรกํ อุปคจฺฉนฺติ, อถ เต นิรยปาลา อุทฺธํปาเท กตฺวา ตตฺถ ปาตยนฺติ ขิปนฺติฯ เอวํ เต ปาติยมาเน ทิสฺวา ปุจฺฉโนฺต เอวมาหฯ อุตฺตมภณฺฑเถนาติ มนุเสฺสหิ ปิยายิตสฺส วรภณฺฑสฺส เถนกาฯ

    Tattha naraketi jalitaaṅgārapuṇṇe mahāāvāṭe. Te kira vajaṃ apavisantiyo gāvo viya nirayapālehi nānāvudhāni gahetvā vijjhiyamānā pothiyamānā yadā taṃ narakaṃ upagacchanti, atha te nirayapālā uddhaṃpāde katvā tattha pātayanti khipanti. Evaṃ te pātiyamāne disvā pucchanto evamāha. Uttamabhaṇḍathenāti manussehi piyāyitassa varabhaṇḍassa thenakā.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา มาตลิสงฺคาหโก ตํ นิรยํ อนฺตรธาเปตฺวา รถํ ปุรโต เปเสตฺวา มิจฺฉาทิฎฺฐิกานํ ปจฺจนฎฺฐานํ นิรยํ ทเสฺสสิฯ เตน ปุโฎฺฐ จสฺส วิยากาสิฯ

    Evañca pana vatvā mātalisaṅgāhako taṃ nirayaṃ antaradhāpetvā rathaṃ purato pesetvā micchādiṭṭhikānaṃ paccanaṭṭhānaṃ nirayaṃ dassesi. Tena puṭṭho cassa viyākāsi.

    ๕๐๐.

    500.

    ‘‘อุจฺจาวจาเม วิวิธา อุปกฺกมา, นิรเยสุ ทิสฺสนฺติ สุโฆรรูปา;

    ‘‘Uccāvacāme vividhā upakkamā, nirayesu dissanti sughorarūpā;

    ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ ปาปํ, เยเม ชนา อธิมตฺตา ทุกฺขา ติพฺพา;

    Ime nu maccā kimakaṃsu pāpaṃ, yeme janā adhimattā dukkhā tibbā;

    ขรา กฎุกา เวทนา เวทยนฺติฯ

    Kharā kaṭukā vedanā vedayanti.

    ๕๐๑.

    501.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปาปกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ pāpakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๕๐๒.

    502.

    ‘‘เย ชีวโลกสฺมิํ สุปาปทิฎฺฐิโน, วิสฺสาสกมฺมานิ กโรนฺติ โมหา;

    ‘‘Ye jīvalokasmiṃ supāpadiṭṭhino, vissāsakammāni karonti mohā;

    ปรญฺจ ทิฎฺฐีสุ สมาทเปนฺติ, เต ปาปทิฎฺฐิํ ปสเวตฺว ปาปํ;

    Parañca diṭṭhīsu samādapenti, te pāpadiṭṭhiṃ pasavetva pāpaṃ;

    เตเม ชนา อธิมตฺตา ทุกฺขา ติพฺพา, ขรา กฎุกา เวทนา เวทยนฺตี’’ติฯ

    Teme janā adhimattā dukkhā tibbā, kharā kaṭukā vedanā vedayantī’’ti.

    ตตฺถ อุจฺจาวจาเมติ อุจฺจา อวจา อิเม, ขุทฺทกา จ มหนฺตา จาติ อโตฺถฯ อุปกฺกมาติ การณปฺปโยคาฯ สุปาปทิฎฺฐิโนติ ‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทิกาย ทสวตฺถุกาย มิจฺฉาทิฎฺฐิยา สุฎฺฐุ ปาปทิฎฺฐิโนฯ วิสฺสาสกมฺมานีติ ตาย ทิฎฺฐิยา วิสฺสาเสน ตนฺนิสฺสิตา หุตฺวา นานาวิธานิ ปาปกมฺมานิ กโรนฺติฯ เตเมติ เต อิเม ชนา เอวรูปํ ทุกฺขํ อนุภวนฺติฯ

    Tattha uccāvacāmeti uccā avacā ime, khuddakā ca mahantā cāti attho. Upakkamāti kāraṇappayogā. Supāpadiṭṭhinoti ‘‘natthi dinna’’ntiādikāya dasavatthukāya micchādiṭṭhiyā suṭṭhu pāpadiṭṭhino. Vissāsakammānīti tāya diṭṭhiyā vissāsena tannissitā hutvā nānāvidhāni pāpakammāni karonti. Temeti te ime janā evarūpaṃ dukkhaṃ anubhavanti.

    อิติ รโญฺญ มิจฺฉาทิฎฺฐิกานํ ปจฺจนนิรยํ อาจิกฺขิฯ เทวโลเกปิ เทวคณา รโญฺญ อาคมนมคฺคํ โอโลกยมานา สุธมฺมายํ เทวสภายํ นิสีทิํสุเยวฯ สโกฺกปิ ‘‘กิํ นุ โข, มาตลิ, จิรายตี’’ติ อุปธาเรโนฺต ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘มาตลิ, อตฺตโน ทูตวิเสสํ ทเสฺสตุํ ‘มหาราช, อสุกกมฺมํ กตฺวา อสุกนิรเย นาม ปจฺจนฺตี’ติ นิรเย ทเสฺสโนฺต วิจรติ, นิมิรโญฺญ ปน อปฺปเมว อายุ ขีเยถ, นิรยทสฺสนํ นาสฺส ปริยนฺตํ คเจฺฉยฺยา’’ติ เอกํ มหาชวํ เทวปุตฺตํ เปเสสิ ‘‘ตฺวํ ‘สีฆํ ราชานํ คเหตฺวา อาคจฺฉตู’ติ มาตลิสฺส วเทหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ชเวน คนฺตฺวา อาโรเจสิฯ มาตลิ, ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘น สกฺกา จิรายิตุ’’นฺติ รโญฺญ เอกปหาเรเนว จตูสุ ทิสาสุ พหู นิรเย ทเสฺสตฺวา คาถมาห –

    Iti rañño micchādiṭṭhikānaṃ paccananirayaṃ ācikkhi. Devalokepi devagaṇā rañño āgamanamaggaṃ olokayamānā sudhammāyaṃ devasabhāyaṃ nisīdiṃsuyeva. Sakkopi ‘‘kiṃ nu kho, mātali, cirāyatī’’ti upadhārento taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘mātali, attano dūtavisesaṃ dassetuṃ ‘mahārāja, asukakammaṃ katvā asukaniraye nāma paccantī’ti niraye dassento vicarati, nimirañño pana appameva āyu khīyetha, nirayadassanaṃ nāssa pariyantaṃ gaccheyyā’’ti ekaṃ mahājavaṃ devaputtaṃ pesesi ‘‘tvaṃ ‘sīghaṃ rājānaṃ gahetvā āgacchatū’ti mātalissa vadehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā javena gantvā ārocesi. Mātali, tassa vacanaṃ sutvā ‘‘na sakkā cirāyitu’’nti rañño ekapahāreneva catūsu disāsu bahū niraye dassetvā gāthamāha –

    ๕๐๓.

    503.

    ‘‘วิทิตานิ เต มหาราช, อาวาสํ ปาปกมฺมินํ;

    ‘‘Viditāni te mahārāja, āvāsaṃ pāpakamminaṃ;

    ฐานานิ ลุทฺทกมฺมานํ, ทุสฺสีลานญฺจ ยา คติ;

    Ṭhānāni luddakammānaṃ, dussīlānañca yā gati;

    อุยฺยาหิ ทานิ ราชีสิ, เทวราชสฺส สนฺติเก’’ติฯ

    Uyyāhi dāni rājīsi, devarājassa santike’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – มหาราช, อิมํ ปาปกมฺมีนํ สตฺตานํ อาวาสํ ทิสฺวา ลุทฺทกมฺมานญฺจ ฐานานิ ตยา วิทิตานิฯ ทุสฺสีลานญฺจ ยา คติ นิพฺพตฺติ, สาปิ เต วิทิตาฯ อิทานิ เทวราชสฺส สนฺติเก ทิพฺพสมฺปตฺติํ ทสฺสนตฺถํ อุยฺยาหิ คจฺฉาหิ, มหาราชาติฯ

    Tassattho – mahārāja, imaṃ pāpakammīnaṃ sattānaṃ āvāsaṃ disvā luddakammānañca ṭhānāni tayā viditāni. Dussīlānañca yā gati nibbatti, sāpi te viditā. Idāni devarājassa santike dibbasampattiṃ dassanatthaṃ uyyāhi gacchāhi, mahārājāti.

    นิรยกณฺฑํ นิฎฺฐิตํฯ

    Nirayakaṇḍaṃ niṭṭhitaṃ.

    สคฺคกณฺฑํ

    Saggakaṇḍaṃ

    เอวญฺจ ปน วตฺวา มาตลิ เทวโลกาภิมุขํ รถํ เปเสสิฯ ราชา เทวโลกํ คจฺฉโนฺต ทฺวาทสโยชนิกํ มณิมยํ ปญฺจถูปิกํ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ อุยฺยานโปกฺขรณิสมฺปนฺนํ กปฺปรุกฺขปริวุตํ พีรณิยา เทวธีตาย อากาสฎฺฐกวิมานํ ทิสฺวา, ตญฺจ เทวธีตรํ อโนฺตกูฎาคาเร สยนปิเฎฺฐ นิสินฺนํ อจฺฉราสหสฺสปริวุตํ มณิสีหปญฺชรํ วิวริตฺวา โอโลเกนฺติํ ทิสฺวา มาตลิํ ปุจฺฉโนฺต คาถมาหฯ อิตโรปิสฺส พฺยากาสิฯ

    Evañca pana vatvā mātali devalokābhimukhaṃ rathaṃ pesesi. Rājā devalokaṃ gacchanto dvādasayojanikaṃ maṇimayaṃ pañcathūpikaṃ sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ uyyānapokkharaṇisampannaṃ kapparukkhaparivutaṃ bīraṇiyā devadhītāya ākāsaṭṭhakavimānaṃ disvā, tañca devadhītaraṃ antokūṭāgāre sayanapiṭṭhe nisinnaṃ accharāsahassaparivutaṃ maṇisīhapañjaraṃ vivaritvā olokentiṃ disvā mātaliṃ pucchanto gāthamāha. Itaropissa byākāsi.

    ๕๐๔.

    504.

    ‘‘ปญฺจถูปํ ทิสฺสติทํ วิมานํ, มาลาปิฬนฺธา สยนสฺส มเชฺฌ;

    ‘‘Pañcathūpaṃ dissatidaṃ vimānaṃ, mālāpiḷandhā sayanassa majjhe;

    ตตฺถจฺฉติ นารี มหานุภาวา, อุจฺจาวจํ อิทฺธิ วิกุพฺพมานาฯ

    Tatthacchati nārī mahānubhāvā, uccāvacaṃ iddhi vikubbamānā.

    ๕๐๕.

    505.

    ‘‘วิตฺตี หิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Vittī hi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อยํ นุ นารี กิมกาสิ สาธุํ, ยา โมทติ สคฺคปตฺตา วิมาเนฯ

    Ayaṃ nu nārī kimakāsi sādhuṃ, yā modati saggapattā vimāne.

    ๕๐๖.

    506.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปุญฺญกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ puññakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๕๐๗.

    507.

    ‘‘ยทิ เต สุตา พีรณี ชีวโลเก, อามายทาสี อหุ พฺราหฺมณสฺส;

    ‘‘Yadi te sutā bīraṇī jīvaloke, āmāyadāsī ahu brāhmaṇassa;

    สา ปตฺตกาลํ อติถิํ วิทิตฺวา, มาตาว ปุตฺตํ สกิมาภินนฺที;

    Sā pattakālaṃ atithiṃ viditvā, mātāva puttaṃ sakimābhinandī;

    สํยมา สํวิภาคา จ, สา วิมานสฺมิ โมทตี’’ติฯ

    Saṃyamā saṃvibhāgā ca, sā vimānasmi modatī’’ti.

    ตตฺถ ปญฺจถูปนฺติ ปญฺจหิ กูฎาคาเรหิ สมนฺนาคตํฯ มาลาปิฬนฺธาติ มาลาทีหิ สพฺพาภรเณหิ ปฎิมณฺฑิตาติ อโตฺถฯ ตตฺถจฺฉตีติ ตสฺมิํ วิมาเน อจฺฉติฯ อุจฺจาวจํ อิทฺธิ วิกุพฺพมานาติ นานปฺปการํ เทวิทฺธิํ ทสฺสยมานาฯ ทิสฺวาติ เอตํ ทิสฺวา ฐิตํ มํ วิตฺติ วินฺทติ ปฎิลภติ, วิตฺติสนฺตโก วิย โหมิ ตุฎฺฐิยา อติภูตตฺตาติ อโตฺถฯ อามายทาสีติ เคหทาสิยา กุจฺฉิมฺหิ ชาตทาสีฯ อหุ พฺราหฺมณสฺสาติ สา กิร กสฺสปทสพลสฺส กาเล เอกสฺส พฺราหฺมณสฺส ทาสี อโหสิฯ สา ปตฺตกาลนฺติ เตน พฺราหฺมเณน อฎฺฐ สลากภตฺตานิ สงฺฆสฺส ปริจฺจตฺตานิ อเหสุํฯ โส เคหํ คนฺตฺวา ‘‘เสฺว ปฎฺฐาย เอเกกสฺส ภิกฺขุสฺส เอเกกํ กหาปณคฺฆนกํ กตฺวา อฎฺฐ สลากภตฺตานิ สมฺปาเทยฺยาสี’’ติ พฺราหฺมณิํ อาหฯ สา ‘‘สามิ, ภิกฺขุ นาม ธุโตฺต, นาหํ สกฺขิสฺสามี’’ติ ปฎิกฺขิปิฯ ธีตโรปิสฺส ปฎิกฺขิปิํสุฯ โส ทาสิํ ‘‘สกฺขิสฺสสิ อมฺมา’’ติ อาหฯ สา ‘‘สกฺขิสฺสามิ อยฺยา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สกฺกจฺจํ ยาคุขชฺชกภตฺตาทีนิ สมฺปาเทตฺวา สลากํ ลภิตฺวา อาคตํ ปตฺตกาลํ อติถิํ วิทิตฺวา หริตโคมยุปลิเตฺต กตปุปฺผุปหาเร สุปญฺญตฺตาสเน นิสีทาเปตฺวา ยถา นาม วิปฺปวาสา อาคตํ ปุตฺตํ มาตา สกิํ อภินนฺทติ, ตถา นิจฺจกาลํ อภินนฺทติ, สกฺกจฺจํ ปริวิสติ, อตฺตโน สนฺตกมฺปิ กิญฺจิ เทติฯ สํยมา สํวิภาคา จาติ สา สีลวตี อโหสิ จาควตี จ, ตสฺมา เตน สีเลน เจว จาเคน จ อิมสฺมิํ วิมาเน โมทติฯ อถ วา สํยมาติ อินฺทฺริยทมนาฯ

    Tattha pañcathūpanti pañcahi kūṭāgārehi samannāgataṃ. Mālāpiḷandhāti mālādīhi sabbābharaṇehi paṭimaṇḍitāti attho. Tatthacchatīti tasmiṃ vimāne acchati. Uccāvacaṃ iddhi vikubbamānāti nānappakāraṃ deviddhiṃ dassayamānā. Disvāti etaṃ disvā ṭhitaṃ maṃ vitti vindati paṭilabhati, vittisantako viya homi tuṭṭhiyā atibhūtattāti attho. Āmāyadāsīti gehadāsiyā kucchimhi jātadāsī. Ahu brāhmaṇassāti sā kira kassapadasabalassa kāle ekassa brāhmaṇassa dāsī ahosi. Sā pattakālanti tena brāhmaṇena aṭṭha salākabhattāni saṅghassa pariccattāni ahesuṃ. So gehaṃ gantvā ‘‘sve paṭṭhāya ekekassa bhikkhussa ekekaṃ kahāpaṇagghanakaṃ katvā aṭṭha salākabhattāni sampādeyyāsī’’ti brāhmaṇiṃ āha. Sā ‘‘sāmi, bhikkhu nāma dhutto, nāhaṃ sakkhissāmī’’ti paṭikkhipi. Dhītaropissa paṭikkhipiṃsu. So dāsiṃ ‘‘sakkhissasi ammā’’ti āha. Sā ‘‘sakkhissāmi ayyā’’ti sampaṭicchitvā sakkaccaṃ yāgukhajjakabhattādīni sampādetvā salākaṃ labhitvā āgataṃ pattakālaṃ atithiṃ viditvā haritagomayupalitte katapupphupahāre supaññattāsane nisīdāpetvā yathā nāma vippavāsā āgataṃ puttaṃ mātā sakiṃ abhinandati, tathā niccakālaṃ abhinandati, sakkaccaṃ parivisati, attano santakampi kiñci deti. Saṃyamā saṃvibhāgā cāti sā sīlavatī ahosi cāgavatī ca, tasmā tena sīlena ceva cāgena ca imasmiṃ vimāne modati. Atha vā saṃyamāti indriyadamanā.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา มาตลิ ปุรโต รถํ เปเสตฺวา โสณทินฺนเทวปุตฺตสฺส สตฺต กนกวิมานานิ ทเสฺสสิฯ โส ตานิ จ ตสฺส จ สิริสมฺปตฺติํ ทิสฺวา เตน กตกมฺมํ ปุจฺฉิฯ อิตโรปิสฺส พฺยากาสิฯ

    Evañca pana vatvā mātali purato rathaṃ pesetvā soṇadinnadevaputtassa satta kanakavimānāni dassesi. So tāni ca tassa ca sirisampattiṃ disvā tena katakammaṃ pucchi. Itaropissa byākāsi.

    ๕๐๘.

    508.

    ‘‘ททฺทลฺลมานา อาเภนฺติ, วิมานา สตฺต นิมฺมิตา;

    ‘‘Daddallamānā ābhenti, vimānā satta nimmitā;

    ตตฺถ ยโกฺข มหิทฺธิโก, สพฺพาภรณภูสิโต;

    Tattha yakkho mahiddhiko, sabbābharaṇabhūsito;

    สมนฺตา อนุปริยาติ, นารีคณปุรกฺขโตฯ

    Samantā anupariyāti, nārīgaṇapurakkhato.

    ๕๐๙.

    509.

    ‘‘วิตฺตี หิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Vittī hi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อยํ นุ มโจฺจ กิมกาสิ สาธุํ, โย โมทติ สคฺคปโตฺต วิมาเนฯ

    Ayaṃ nu macco kimakāsi sādhuṃ, yo modati saggapatto vimāne.

    ๕๑๐.

    510.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปุญฺญกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ puññakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๕๑๑.

    511.

    ‘‘โสณทิโนฺน คหปติ, เอส ทานปตี อหุ;

    ‘‘Soṇadinno gahapati, esa dānapatī ahu;

    เอส ปพฺพชิตุทฺทิสฺส, วิหาเร สตฺต การยิฯ

    Esa pabbajituddissa, vihāre satta kārayi.

    ๕๑๒.

    512.

    ‘‘สกฺกจฺจํ เต อุปฎฺฐาสิ, ภิกฺขโว ตตฺถ วาสิเก;

    ‘‘Sakkaccaṃ te upaṭṭhāsi, bhikkhavo tattha vāsike;

    อจฺฉาทนญฺจ ภตฺตญฺจ, เสนาสนํ ปทีปิยํ;

    Acchādanañca bhattañca, senāsanaṃ padīpiyaṃ;

    อทาสิ อุชุภูเตสุ, วิปฺปสเนฺนน เจตสาฯ

    Adāsi ujubhūtesu, vippasannena cetasā.

    ๕๑๓.

    513.

    ‘‘จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ, ยา จ ปกฺขสฺส อฎฺฐมี;

    ‘‘Cātuddasiṃ pañcadasiṃ, yā ca pakkhassa aṭṭhamī;

    ปาฎิหาริยปกฺขญฺจ, อฎฺฐงฺคสุสมาคตํฯ

    Pāṭihāriyapakkhañca, aṭṭhaṅgasusamāgataṃ.

    ๕๑๔.

    514.

    ‘‘อุโปสถํ อุปวสี, สทา สีเลสุ สํวุโต;

    ‘‘Uposathaṃ upavasī, sadā sīlesu saṃvuto;

    สํยมา สํวิภาคา จ, โส วิมานสฺมิ โมทตี’’ติฯ

    Saṃyamā saṃvibhāgā ca, so vimānasmi modatī’’ti.

    ตตฺถ ททฺทลฺลมานาติ ชลมานาฯ อาเภนฺตีติ ตรุณสูริโย วิย โอภาสนฺติฯ ตตฺถาติ เตสุ ปฎิปาฎิยา ฐิเตสุ สตฺตสุ วิมาเนสุฯ ยโกฺขติ เอโก เทวปุโตฺตฯ โสณทิโนฺนติ มหาราช, อยํ ปุเพฺพ กสฺสปทสพลสฺส กาเล กาสิรเฎฺฐ อญฺญตรสฺมิํ นิคเม โสณทิโนฺน นาม คหปติ ทานปติ อโหสิฯ โส ปพฺพชิเต อุทฺทิสฺส สตฺต วิหารกุฎิโย กาเรตฺวา ตตฺถ วาสิเก ภิกฺขู จตูหิ ปจฺจเยหิ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐาสิ, อุโปสถญฺจ อุปวสิ, นิจฺจํ สีเลสุ จ สํวุโต อโหสิฯ โส ตโต จวิตฺวา อิธูปปโนฺน โมทตีติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ปาฎิหาริยปกฺขนฺติ อิทํ ปน อฎฺฐมีอุโปสถสฺส ปจฺจุคฺคมนานุคมนวเสน สตฺตมินวมิโย, จาตุทฺทสีปนฺนรสีนํ ปจฺจุคฺคมนานุคมนวเสน เตรสีปาฎิปเท จ สนฺธาย วุตฺตํฯ

    Tattha daddallamānāti jalamānā. Ābhentīti taruṇasūriyo viya obhāsanti. Tatthāti tesu paṭipāṭiyā ṭhitesu sattasu vimānesu. Yakkhoti eko devaputto. Soṇadinnoti mahārāja, ayaṃ pubbe kassapadasabalassa kāle kāsiraṭṭhe aññatarasmiṃ nigame soṇadinno nāma gahapati dānapati ahosi. So pabbajite uddissa satta vihārakuṭiyo kāretvā tattha vāsike bhikkhū catūhi paccayehi sakkaccaṃ upaṭṭhāsi, uposathañca upavasi, niccaṃ sīlesu ca saṃvuto ahosi. So tato cavitvā idhūpapanno modatīti attho. Ettha ca pāṭihāriyapakkhanti idaṃ pana aṭṭhamīuposathassa paccuggamanānugamanavasena sattaminavamiyo, cātuddasīpannarasīnaṃ paccuggamanānugamanavasena terasīpāṭipade ca sandhāya vuttaṃ.

    เอวํ โสณทินฺนสฺส กตกมฺมํ กเถตฺวา ปุรโต รถํ เปเสตฺวา ผลิกวิมานํ ทเสฺสสิฯ ตํ อุเพฺพธโต ปญฺจวีสติโยชนํ อเนกสเตหิ สตฺตรตนมยตฺถเมฺภหิ สมนฺนาคตํ, อเนกสตกูฎาคารปฎิมณฺฑิตํ , กิงฺกิณิกชาลาปริกฺขิตฺตํ, สมุสฺสิตสุวณฺณรชตมยธชํ, นานาปุปฺผวิจิตฺตอุยฺยานวนวิภูสิตํ, รมณียโปกฺขรณิสมนฺนาคตํ, นจฺจคีตวาทิตาทีสุ เฉกาหิ อจฺฉราหิ สมฺปริกิณฺณํฯ ตํ ทิสฺวา ราชา ตาสํ อจฺฉรานํ กตกมฺมํ ปุจฺฉิ, อิตโรปิสฺส พฺยากาสิฯ

    Evaṃ soṇadinnassa katakammaṃ kathetvā purato rathaṃ pesetvā phalikavimānaṃ dassesi. Taṃ ubbedhato pañcavīsatiyojanaṃ anekasatehi sattaratanamayatthambhehi samannāgataṃ, anekasatakūṭāgārapaṭimaṇḍitaṃ , kiṅkiṇikajālāparikkhittaṃ, samussitasuvaṇṇarajatamayadhajaṃ, nānāpupphavicittauyyānavanavibhūsitaṃ, ramaṇīyapokkharaṇisamannāgataṃ, naccagītavāditādīsu chekāhi accharāhi samparikiṇṇaṃ. Taṃ disvā rājā tāsaṃ accharānaṃ katakammaṃ pucchi, itaropissa byākāsi.

    ๕๑๕.

    515.

    ‘‘ปภาสติ มิทํ พฺยมฺหํ, ผลิกาสุ สุนิมฺมิตํ;

    ‘‘Pabhāsati midaṃ byamhaṃ, phalikāsu sunimmitaṃ;

    นารีวรคณากิณฺณํ, กูฎาคารวโรจิตํ;

    Nārīvaragaṇākiṇṇaṃ, kūṭāgāravarocitaṃ;

    อุเปตํ อนฺนปาเนหิ, นจฺจคีเตหิ จูภยํฯ

    Upetaṃ annapānehi, naccagītehi cūbhayaṃ.

    ๕๑๖.

    516.

    ‘‘วิตฺตี หิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Vittī hi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ สาธุํ, ยา โมทเร สคฺคปตฺตา วิมาเนฯ

    Ime nu maccā kimakaṃsu sādhuṃ, yā modare saggapattā vimāne.

    ๕๑๗.

    517.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปุญฺญกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ puññakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๕๑๘.

    518.

    ‘‘ยา กาจิ นาริโย อิธ ชีวโลเก, สีลวนฺติโย อุปาสิกา;

    ‘‘Yā kāci nāriyo idha jīvaloke, sīlavantiyo upāsikā;

    ทาเน รตา นิจฺจํ ปสนฺนจิตฺตา, สเจฺจ ฐิตา อุโปสเถ อปฺปมตฺตา;

    Dāne ratā niccaṃ pasannacittā, sacce ṭhitā uposathe appamattā;

    สํยมา สํวิภาคา จ, ตา วิมานสฺมิ โมทเร’’ติฯ

    Saṃyamā saṃvibhāgā ca, tā vimānasmi modare’’ti.

    ตตฺถ พฺยมฺหนฺติ วิมานํ, ปาสาโทติ วุตฺตํ โหติฯ ผลิกาสูติ ผลิกภิตฺตีสุฯ นารีวรคณากิณฺณนฺติ วรนาริคเณหิ อากิณฺณํฯ กูฎาคารวโรจิตนฺติ วรกูฎาคาเรหิ โอจิตํ สโมจิตํ, วฑฺฒิตนฺติ อโตฺถฯ อุภยนฺติ อุภเยหิฯ ‘‘ยา กาจี’’ติ อิทํ กิญฺจาปิ อนิยเมตฺวา วุตฺตํ, ตา ปน กสฺสปพุทฺธสาสเน พาราณสิยํ อุปาสิกา หุตฺวา คณพนฺธเนน เอตานิ วุตฺตปฺปการานิ ปุญฺญานิ กตฺวา ตํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ ปตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Tattha byamhanti vimānaṃ, pāsādoti vuttaṃ hoti. Phalikāsūti phalikabhittīsu. Nārīvaragaṇākiṇṇanti varanārigaṇehi ākiṇṇaṃ. Kūṭāgāravarocitanti varakūṭāgārehi ocitaṃ samocitaṃ, vaḍḍhitanti attho. Ubhayanti ubhayehi. ‘‘Yā kācī’’ti idaṃ kiñcāpi aniyametvā vuttaṃ, tā pana kassapabuddhasāsane bārāṇasiyaṃ upāsikā hutvā gaṇabandhanena etāni vuttappakārāni puññāni katvā taṃ dibbasampattiṃ pattāti veditabbā.

    อถสฺส โส ปุรโต รถํ เปเสตฺวา เอกํ รมณียํ มณิวิมานํ ทเสฺสสิฯ ตํ สเม ภูมิภาเค ปติฎฺฐิตํ อุเพฺพธสมฺปนฺนํ มณิปพฺพโต วิย โอภาสมานํ ติฎฺฐติ, ทิพฺพคีตวาทิตนินฺนาทิตํ พหูหิ เทวปุเตฺตหิ สมฺปริกิณฺณํฯ ตํ ทิสฺวา ราชา เตสํ เทวปุตฺตานํ กตกมฺมํ ปุจฺฉิ, อิตโรปิสฺส พฺยากาสิฯ

    Athassa so purato rathaṃ pesetvā ekaṃ ramaṇīyaṃ maṇivimānaṃ dassesi. Taṃ same bhūmibhāge patiṭṭhitaṃ ubbedhasampannaṃ maṇipabbato viya obhāsamānaṃ tiṭṭhati, dibbagītavāditaninnāditaṃ bahūhi devaputtehi samparikiṇṇaṃ. Taṃ disvā rājā tesaṃ devaputtānaṃ katakammaṃ pucchi, itaropissa byākāsi.

    ๕๑๙.

    519.

    ‘‘ปภาสติ มิทํ พฺยมฺหํ, เวฬุริยาสุ นิมฺมิตํ;

    ‘‘Pabhāsati midaṃ byamhaṃ, veḷuriyāsu nimmitaṃ;

    อุเปตํ ภูมิภาเคหิ, วิภตฺตํ ภาคโส มิตํฯ

    Upetaṃ bhūmibhāgehi, vibhattaṃ bhāgaso mitaṃ.

    ๕๒๐.

    520.

    ‘‘อาฬมฺพรา มุทิงฺคา จ, นจฺจคีตา สุวาทิตา;

    ‘‘Āḷambarā mudiṅgā ca, naccagītā suvāditā;

    ทิพฺพา สทฺทา นิจฺฉรนฺติ, สวนียา มโนรมาฯ

    Dibbā saddā niccharanti, savanīyā manoramā.

    ๕๒๑.

    521.

    ‘‘นาหํ เอวํคตํ ชาตุ, เอวํสุรุจิรํ ปุเร;

    ‘‘Nāhaṃ evaṃgataṃ jātu, evaṃsuruciraṃ pure;

    สทฺทํ สมภิชานามิ, ทิฎฺฐํ วา ยทิ วา สุตํฯ

    Saddaṃ samabhijānāmi, diṭṭhaṃ vā yadi vā sutaṃ.

    ๕๒๒.

    522.

    ‘‘วิตฺตี หิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Vittī hi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ สาธุํ, เย โมทเร สคฺคปตฺตา วิมาเนฯ

    Ime nu maccā kimakaṃsu sādhuṃ, ye modare saggapattā vimāne.

    ๕๒๓.

    523.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปุญฺญกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ puññakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๕๒๔.

    524.

    ‘‘เย เกจิ มจฺจา อิธ ชีวโลเก, สีลวนฺตา อุปาสกา;

    ‘‘Ye keci maccā idha jīvaloke, sīlavantā upāsakā;

    อาราเม อุทปาเน จ, ปปา สงฺกมนานิ จ;

    Ārāme udapāne ca, papā saṅkamanāni ca;

    อรหเนฺต สีติภูเต, สกฺกจฺจํ ปฎิปาทยุํฯ

    Arahante sītibhūte, sakkaccaṃ paṭipādayuṃ.

    ๕๒๕.

    525.

    ‘‘จีวรํ ปิณฺฑปาตญฺจ, ปจฺจยํ สยนาสนํ;

    ‘‘Cīvaraṃ piṇḍapātañca, paccayaṃ sayanāsanaṃ;

    อทํสุ อุชุภูเตสุ, วิปฺปสเนฺนน เจตสาฯ

    Adaṃsu ujubhūtesu, vippasannena cetasā.

    ๕๒๖.

    526.

    ‘‘จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ, ยา จ ปกฺขสฺส อฎฺฐมี;

    ‘‘Cātuddasiṃ pañcadasiṃ, yā ca pakkhassa aṭṭhamī;

    ปาฎิหาริยปกฺขญฺจ, อฎฺฐงฺคสุสมาคตํฯ

    Pāṭihāriyapakkhañca, aṭṭhaṅgasusamāgataṃ.

    ๕๒๗.

    527.

    ‘‘อุโปสถํ อุปวสุํ, สทา สีเลสุ สํวุตา;

    ‘‘Uposathaṃ upavasuṃ, sadā sīlesu saṃvutā;

    สํยมา สํวิภาคา จ, เต วิมานสฺมิ โมทเร’’ติฯ

    Saṃyamā saṃvibhāgā ca, te vimānasmi modare’’ti.

    ตตฺถ เวฬุริยาสูติ เวฬุริยภิตฺตีสุฯ ภูมิภาเคหีติ รมณีเยหิ ภูมิภาเคหิ อุเปตํฯ อาฬมฺพรา มุทิงฺคา จาติ เอเต เทฺว เอตฺถ วชฺชนฺติฯ นจฺจคีตา สุวาทิตาติ นานปฺปการานิ นจฺจานิ เจว คีตานิ จ อปเรสมฺปิ ตูริยานํ สุวาทิตานิ เจตฺถ ปวตฺตนฺติฯ เอวํคตนฺติ เอวํ มโนรมภาวํ คตํฯ ‘‘เย เกจี’’ติ อิทมฺปิ กามํ อนิยเมตฺวา วุตฺตํ, เต ปน กสฺสปพุทฺธกาเล พาราณสิวาสิโน อุปาสกา หุตฺวา คณพนฺธเนน เอตานิ ปุญฺญานิ กตฺวา ตํ สมฺปตฺติํ ปตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ ปฎิปาทยุนฺติ ปฎิปาทยิํสุ, เตสํ อทํสูติ อโตฺถฯ ปจฺจยนฺติ คิลานปจฺจยํฯ อทํสูติ เอวํ นานปฺปการกํ ทานํ อทํสูติฯ

    Tattha veḷuriyāsūti veḷuriyabhittīsu. Bhūmibhāgehīti ramaṇīyehi bhūmibhāgehi upetaṃ. Āḷambarā mudiṅgā cāti ete dve ettha vajjanti. Naccagītā suvāditāti nānappakārāni naccāni ceva gītāni ca aparesampi tūriyānaṃ suvāditāni cettha pavattanti. Evaṃgatanti evaṃ manoramabhāvaṃ gataṃ. ‘‘Ye kecī’’ti idampi kāmaṃ aniyametvā vuttaṃ, te pana kassapabuddhakāle bārāṇasivāsino upāsakā hutvā gaṇabandhanena etāni puññāni katvā taṃ sampattiṃ pattāti veditabbā. Tattha paṭipādayunti paṭipādayiṃsu, tesaṃ adaṃsūti attho. Paccayanti gilānapaccayaṃ. Adaṃsūti evaṃ nānappakārakaṃ dānaṃ adaṃsūti.

    อิติสฺส โส เตสํ กตกมฺมํ อาจิกฺขิตฺวา ปุรโต รถํ เปเสตฺวา อปรมฺปิ ผลิกวิมานํ ทเสฺสสิฯ ตํ อเนกกูฎาคารปฎิมณฺฑิตํ, นานากุสุมสญฺฉนฺนทิพฺพตรุณวนปฎิมณฺฑิตตีราย, วิวิธวิหงฺคมนินฺนาทิตาย นิมฺมลสลิลาย นทิยา ปริกฺขิตฺตํ , อจฺฉราคณปริวุตเสฺสกสฺส ปุญฺญวโต นิวาสภูตํฯ ตํ ทิสฺวา ราชา ตสฺส กตกมฺมํ ปุจฺฉิ, อิตโรปิสฺส พฺยากาสิฯ

    Itissa so tesaṃ katakammaṃ ācikkhitvā purato rathaṃ pesetvā aparampi phalikavimānaṃ dassesi. Taṃ anekakūṭāgārapaṭimaṇḍitaṃ, nānākusumasañchannadibbataruṇavanapaṭimaṇḍitatīrāya, vividhavihaṅgamaninnāditāya nimmalasalilāya nadiyā parikkhittaṃ , accharāgaṇaparivutassekassa puññavato nivāsabhūtaṃ. Taṃ disvā rājā tassa katakammaṃ pucchi, itaropissa byākāsi.

    ๕๒๘.

    528.

    ‘‘ปภาสติ มิทํ พฺยมฺหํ, ผลิกาสุ สุนิมฺมิตํ;

    ‘‘Pabhāsati midaṃ byamhaṃ, phalikāsu sunimmitaṃ;

    นารีวรคณากิณฺณํ, กูฎาคารวโรจิตํฯ

    Nārīvaragaṇākiṇṇaṃ, kūṭāgāravarocitaṃ.

    ๕๒๙.

    529.

    ‘‘อุเปตํ อนฺนปาเนหิ, นจฺจคีเตหิ จูภยํ;

    ‘‘Upetaṃ annapānehi, naccagītehi cūbhayaṃ;

    นโชฺช จานุปริยาติ, นานาปุปฺผทุมายุตาฯ

    Najjo cānupariyāti, nānāpupphadumāyutā.

    ๕๓๐.

    530.

    ‘‘วิตฺตี หิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Vittī hi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อยํ นุ มโจฺจ กิํมกาสิ สาธุํ, โย โมทตี สคฺคปโตฺต วิมาเนฯ

    Ayaṃ nu macco kiṃmakāsi sādhuṃ, yo modatī saggapatto vimāne.

    ๕๓๑.

    531.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปุญฺญกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ puññakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๕๓๒.

    532.

    ‘‘มิถิลายํ คหปติ, เอส ทานปตี อหุ;

    ‘‘Mithilāyaṃ gahapati, esa dānapatī ahu;

    อาราเม อุทปาเน จ, ปปา สงฺกมนานิ จ;

    Ārāme udapāne ca, papā saṅkamanāni ca;

    อรหเนฺต สีติภูเต, สกฺกจฺจํ ปฎิปาทยิฯ

    Arahante sītibhūte, sakkaccaṃ paṭipādayi.

    ๕๓๓.

    533.

    ‘‘จีวรํ ปิณฺฑปาตญฺจ, ปจฺจยํ สยนาสนํ;

    ‘‘Cīvaraṃ piṇḍapātañca, paccayaṃ sayanāsanaṃ;

    อทาสิ อุชุภูเตสุ, วิปฺปสเนฺนน เจตสาฯ

    Adāsi ujubhūtesu, vippasannena cetasā.

    ๕๓๔.

    534.

    ‘‘จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ, ยา จ ปกฺขสฺส อฎฺฐมี;

    ‘‘Cātuddasiṃ pañcadasiṃ, yā ca pakkhassa aṭṭhamī;

    ปาฎิหาริยปกฺขญฺจ, อฎฺฐงฺคสุสมาคตํฯ

    Pāṭihāriyapakkhañca, aṭṭhaṅgasusamāgataṃ.

    ๕๓๕.

    535.

    ‘‘อุโปสถํ อุปวสี, สทา สีเลสุ สํวุโต;

    ‘‘Uposathaṃ upavasī, sadā sīlesu saṃvuto;

    สํยมา สํวิภาคา จ, โส วิมานสฺมิ โมทตี’’ติฯ

    Saṃyamā saṃvibhāgā ca, so vimānasmi modatī’’ti.

    ตตฺถ นโชฺชติ วจนวิปลฺลาโส, เอกา นที ตํ วิมานํ ปริกฺขิปิตฺวา คตาติ อโตฺถฯ นานาปุปฺผทุมายุตาติ สา นที นานาปุเปฺผหิ ทุเมหิ อายุตาฯ มิถิลายนฺติ เอส มหาราช, กสฺสปพุทฺธกาเล มิถิลนคเร เอโก คหปติ ทานปติ อโหสิฯ โส เอตานิ อารามโรปนาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา อิมํ สมฺปตฺติํ ปโตฺตติฯ

    Tattha najjoti vacanavipallāso, ekā nadī taṃ vimānaṃ parikkhipitvā gatāti attho. Nānāpupphadumāyutāti sā nadī nānāpupphehi dumehi āyutā. Mithilāyanti esa mahārāja, kassapabuddhakāle mithilanagare eko gahapati dānapati ahosi. So etāni ārāmaropanādīni puññāni katvā imaṃ sampattiṃ pattoti.

    เอวมสฺส เตน กตกมฺมํ อาจิกฺขิตฺวา ปุรโต รถํ เปเสตฺวา อปรมฺปิ ผลิกวิมานํ ทเสฺสสิฯ ตํ ปุริมวิมานโต อติเรกาย นานาปุปฺผผลสญฺฉนฺนาย ตรุณวนฆฎาย สมนฺนาคตํฯ ตํ ทิสฺวา ราชา ตาย สมฺปตฺติยา สมนฺนาคตสฺส เทวปุตฺตสฺส กตกมฺมํ ปุจฺฉิ, อิตโรปิสฺส พฺยากาสิฯ

    Evamassa tena katakammaṃ ācikkhitvā purato rathaṃ pesetvā aparampi phalikavimānaṃ dassesi. Taṃ purimavimānato atirekāya nānāpupphaphalasañchannāya taruṇavanaghaṭāya samannāgataṃ. Taṃ disvā rājā tāya sampattiyā samannāgatassa devaputtassa katakammaṃ pucchi, itaropissa byākāsi.

    ๕๓๖.

    536.

    ‘‘ปภาสติ มิทํ พฺยมฺหํ, ผลิกาสุ สุนิมฺมิตํ;

    ‘‘Pabhāsati midaṃ byamhaṃ, phalikāsu sunimmitaṃ;

    นารีวรคณากิณฺณํ, กูฎาคารวโรจิตํฯ

    Nārīvaragaṇākiṇṇaṃ, kūṭāgāravarocitaṃ.

    ๕๓๗.

    537.

    ‘‘อุเปตํ อนฺนปาเนหิ, นจฺจคีเตหิ จูภยํ;

    ‘‘Upetaṃ annapānehi, naccagītehi cūbhayaṃ;

    นโชฺช จานุปริยาติ, นานาปุปฺผทุมายุตาฯ

    Najjo cānupariyāti, nānāpupphadumāyutā.

    ๕๓๘.

    538.

    ‘‘ราชายตนา กปิตฺถา จ, อมฺพา สาลา จ ชมฺพุโย;

    ‘‘Rājāyatanā kapitthā ca, ambā sālā ca jambuyo;

    ตินฺทุกา จ ปิยาลา จ, ทุมา นิจฺจผลา พหูฯ

    Tindukā ca piyālā ca, dumā niccaphalā bahū.

    ๕๓๙.

    539.

    ‘‘วิตฺตี หิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Vittī hi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อยํ นุ มโจฺจ กิมกาสิ สาธุํ, โย โมทตี สคฺคปโตฺต วิมาเนฯ

    Ayaṃ nu macco kimakāsi sādhuṃ, yo modatī saggapatto vimāne.

    ๕๔๐.

    540.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปุญฺญกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ puññakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๕๔๑.

    541.

    ‘‘มิถิลายํ คหปติ, เอส ทานปตี อหุ;

    ‘‘Mithilāyaṃ gahapati, esa dānapatī ahu;

    อาราเม อุทปาเน จ, ปปา สงฺกมนานิ จ;

    Ārāme udapāne ca, papā saṅkamanāni ca;

    อรหเนฺต สีติภูเต, สกฺกจฺจํ ปฎิปาทยิฯ

    Arahante sītibhūte, sakkaccaṃ paṭipādayi.

    ๕๔๒.

    542.

    ‘‘จีวรํ ปิณฺฑปาตญฺจ, ปจฺจยํ สยนาสนํ;

    ‘‘Cīvaraṃ piṇḍapātañca, paccayaṃ sayanāsanaṃ;

    อทาสิ อุชุภูเตสุ, วิปฺปสเนฺนน เจตสาฯ

    Adāsi ujubhūtesu, vippasannena cetasā.

    ๕๔๓.

    543.

    ‘‘จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ, ยา จ ปกฺขสฺส อฎฺฐมี;

    ‘‘Cātuddasiṃ pañcadasiṃ, yā ca pakkhassa aṭṭhamī;

    ปาฎิหาริยปกฺขญฺจ, อฎฺฐงฺคสุสมาคตํฯ

    Pāṭihāriyapakkhañca, aṭṭhaṅgasusamāgataṃ.

    ๕๔๔.

    544.

    ‘‘อุโปสถํ อุปวสี, สทา สีเลสุ สํวุโต;

    ‘‘Uposathaṃ upavasī, sadā sīlesu saṃvuto;

    สํยมา สํวิภาคา จ, โส วิมานสฺมิ โมทตี’’ติฯ

    Saṃyamā saṃvibhāgā ca, so vimānasmi modatī’’ti.

    ตตฺถ มิถิลายนฺติ เอส, มหาราช, กสฺสปพุทฺธกาเล วิเทหรเฎฺฐ มิถิลนคเร เอโก คหปติ ทานปติ อโหสิฯ โส เอตานิ ปุญฺญานิ กตฺวา อิมํ สมฺปตฺติํ ปโตฺตติฯ

    Tattha mithilāyanti esa, mahārāja, kassapabuddhakāle videharaṭṭhe mithilanagare eko gahapati dānapati ahosi. So etāni puññāni katvā imaṃ sampattiṃ pattoti.

    เอวมสฺส เตน กตกมฺมํ อาจิกฺขิตฺวา ปุรโต รถํ เปเสตฺวา ปุริมสทิสเมว อปรมฺปิ เวฬุริยวิมานํ ทเสฺสตฺวา ตตฺถ สมฺปตฺติํ อนุภวนฺตสฺส เทวปุตฺตสฺส กตกมฺมํ ปุโฎฺฐ อาจิกฺขิฯ

    Evamassa tena katakammaṃ ācikkhitvā purato rathaṃ pesetvā purimasadisameva aparampi veḷuriyavimānaṃ dassetvā tattha sampattiṃ anubhavantassa devaputtassa katakammaṃ puṭṭho ācikkhi.

    ๕๔๕.

    545.

    ‘‘ปภาสติ มิทํ พฺยมฺหํ, เวฬุริยาสุ นิมฺมิตํ;

    ‘‘Pabhāsati midaṃ byamhaṃ, veḷuriyāsu nimmitaṃ;

    อุเปตํ ภูมิภาเคหิ, วิภตฺตํ ภาคโส มิตํฯ

    Upetaṃ bhūmibhāgehi, vibhattaṃ bhāgaso mitaṃ.

    ๕๔๖.

    546.

    ‘‘อาฬมฺพรา มุทิงฺคา จ, นจฺจคีตา สุวาทิตา;

    ‘‘Āḷambarā mudiṅgā ca, naccagītā suvāditā;

    ทิพฺยา สทฺทา นิจฺฉรนฺติ, สวนียา มโนรมาฯ

    Dibyā saddā niccharanti, savanīyā manoramā.

    ๕๔๗.

    547.

    ‘‘นาหํ เอวํคตํ ชาตุ, เอวํสุรุจิรํ ปุเร;

    ‘‘Nāhaṃ evaṃgataṃ jātu, evaṃsuruciraṃ pure;

    สทฺทํ สมภิชานามิ, ทิฎฺฐํ วา ยทิ วา สุตํฯ

    Saddaṃ samabhijānāmi, diṭṭhaṃ vā yadi vā sutaṃ.

    ๕๔๘.

    548.

    ‘‘วิตฺตี หิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Vittī hi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อยํ นุ มโจฺจ กิมกาสิ สาธุํ, โย โมทตี สคฺคปโตฺต วิมาเนฯ

    Ayaṃ nu macco kimakāsi sādhuṃ, yo modatī saggapatto vimāne.

    ๕๔๙.

    549.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปุญฺญกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ puññakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๕๕๐.

    550.

    ‘‘พาราณสิยํ คหปติ, เอส ทานปตี อหุ;

    ‘‘Bārāṇasiyaṃ gahapati, esa dānapatī ahu;

    อาราเม อุทปาเน จ, ปปา สงฺกมนานิ จ;

    Ārāme udapāne ca, papā saṅkamanāni ca;

    อรหเนฺต สีติภูเต, สกฺกจฺจํ ปฎิปาทยิฯ

    Arahante sītibhūte, sakkaccaṃ paṭipādayi.

    ๕๕๑.

    551.

    ‘‘จีวรํ ปิณฺฑปาตญฺจ, ปจฺจยํ สยนาสนํ;

    ‘‘Cīvaraṃ piṇḍapātañca, paccayaṃ sayanāsanaṃ;

    อทาสิ อุชุภูเตสุ, วิปฺปสเนฺนน เจตสาฯ

    Adāsi ujubhūtesu, vippasannena cetasā.

    ๕๕๒.

    552.

    ‘‘จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ, ยา จ ปกฺขสฺส อฎฺฐมี;

    ‘‘Cātuddasiṃ pañcadasiṃ, yā ca pakkhassa aṭṭhamī;

    ปาฎิหาริยปกฺขญฺจ, อฎฺฐงฺคสุสมาคตํฯ

    Pāṭihāriyapakkhañca, aṭṭhaṅgasusamāgataṃ.

    ๕๕๓.

    553.

    ‘‘อุโปสถํ อุปวสี, สทา สีเลสุ สํวุโต;

    ‘‘Uposathaṃ upavasī, sadā sīlesu saṃvuto;

    สํยมา สํวิภาคา จ, โส วิมานสฺมิ โมทตี’’ติฯ

    Saṃyamā saṃvibhāgā ca, so vimānasmi modatī’’ti.

    อถสฺส ปุรโต รถํ เปเสตฺวา พาลสูริยสนฺนิภํ กนกวิมานํ ทเสฺสตฺวา ตตฺถ นิวาสิโน เทวปุตฺตสฺส สมฺปตฺติํ ปุโฎฺฐ อาจิกฺขิฯ

    Athassa purato rathaṃ pesetvā bālasūriyasannibhaṃ kanakavimānaṃ dassetvā tattha nivāsino devaputtassa sampattiṃ puṭṭho ācikkhi.

    ๕๕๔.

    554.

    ‘‘ยถา อุทยมาทิโจฺจ, โหติ โลหิตโก มหา;

    ‘‘Yathā udayamādicco, hoti lohitako mahā;

    ตถูปมํ อิทํ พฺยมฺหํ, ชาตรูปสฺส นิมฺมิตํฯ

    Tathūpamaṃ idaṃ byamhaṃ, jātarūpassa nimmitaṃ.

    ๕๕๕.

    555.

    ‘‘วิตฺตี หิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Vittī hi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อยํ นุ มโจฺจ กิมกาสิ สาธุํ, โย โมทตี สคฺคปโตฺต วิมาเนฯ

    Ayaṃ nu macco kimakāsi sādhuṃ, yo modatī saggapatto vimāne.

    ๕๕๖.

    556.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปุญฺญกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ puññakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๕๕๗.

    557.

    ‘‘สาวตฺถิยํ คหปติ, เอส ทานปตี อหุ;

    ‘‘Sāvatthiyaṃ gahapati, esa dānapatī ahu;

    อาราเม อุทปาเน จ, ปปา สงฺกมนานิ จ;

    Ārāme udapāne ca, papā saṅkamanāni ca;

    อรหเนฺต สีติภูเต, สกฺกจฺจํ ปฎิปาทยิฯ

    Arahante sītibhūte, sakkaccaṃ paṭipādayi.

    ๕๕๘.

    558.

    ‘‘จีวรํ ปิณฺฑปาตญฺจ, ปจฺจยํ สยนาสนํ;

    ‘‘Cīvaraṃ piṇḍapātañca, paccayaṃ sayanāsanaṃ;

    อทาสิ อุชุภูเตสุ, วิปฺปสเนฺนน เจตสาฯ

    Adāsi ujubhūtesu, vippasannena cetasā.

    ๕๕๙.

    559.

    ‘‘จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ, ยา จ ปกฺขสฺส อฎฺฐมี;

    ‘‘Cātuddasiṃ pañcadasiṃ, yā ca pakkhassa aṭṭhamī;

    ปาฎิหาริยปกฺขญฺจ, อฎฺฐงฺคสุสมาคตํฯ

    Pāṭihāriyapakkhañca, aṭṭhaṅgasusamāgataṃ.

    ๕๖๐.

    560.

    ‘‘อุโปสถํ อุปวสี, สทา สีเลสุ สํวุโต;

    ‘‘Uposathaṃ upavasī, sadā sīlesu saṃvuto;

    สํยมา สํวิภาคา จ, โส วิมานสฺมิ โมทตี’’ติฯ

    Saṃyamā saṃvibhāgā ca, so vimānasmi modatī’’ti.

    ตตฺถ อุทยมาทิโจฺจติ อุคฺคจฺฉโนฺต อาทิโจฺจฯ สาวตฺถิยนฺติ กสฺสปพุทฺธกาเล สาวตฺถินคเร เอโก คหปติ ทานปติ อโหสิฯ โส เอตานิ ปุญฺญานิ กตฺวา อิมํ สมฺปตฺติํ ปโตฺตติฯ

    Tattha udayamādiccoti uggacchanto ādicco. Sāvatthiyanti kassapabuddhakāle sāvatthinagare eko gahapati dānapati ahosi. So etāni puññāni katvā imaṃ sampattiṃ pattoti.

    เอวํ เตน อิเมสํ อฎฺฐนฺนํ วิมานานํ กถิตกาเล สโกฺก เทวราชา ‘‘มาตลิ, อติวิย จิรายตี’’ติ อปรมฺปิ ชวนเทวปุตฺตํ เปเสสิฯ โส เวเคน คนฺตฺวา อาโรเจสิฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘น สกฺกา อิทานิ จิรายิตุ’’นฺติ จตูสุ ทิสาสุ เอกปฺปหาเรเนว พหูนิ วิมานานิ ทเสฺสสิฯ รญฺญา จ ตตฺถ สมฺปตฺติํ อนุภวนฺตานํ เทวปุตฺตานํ กตกมฺมํ ปุโฎฺฐ อาจิกฺขิฯ

    Evaṃ tena imesaṃ aṭṭhannaṃ vimānānaṃ kathitakāle sakko devarājā ‘‘mātali, ativiya cirāyatī’’ti aparampi javanadevaputtaṃ pesesi. So vegena gantvā ārocesi. So tassa vacanaṃ sutvā ‘‘na sakkā idāni cirāyitu’’nti catūsu disāsu ekappahāreneva bahūni vimānāni dassesi. Raññā ca tattha sampattiṃ anubhavantānaṃ devaputtānaṃ katakammaṃ puṭṭho ācikkhi.

    ๕๖๑.

    561.

    ‘‘เวหายสาเม พหุกา, ชาตรูปสฺส นิมฺมิตา;

    ‘‘Vehāyasāme bahukā, jātarūpassa nimmitā;

    ททฺทลฺลมานา อาเภนฺติ, วิชฺชุวพฺภฆนนฺตเรฯ

    Daddallamānā ābhenti, vijjuvabbhaghanantare.

    ๕๖๒.

    562.

    ‘‘วิตฺตี หิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Vittī hi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิเม นุ มจฺจา กิมกํสุ สาธุํ, เย โมทเร สคฺคปตฺตา วิมาเนฯ

    Ime nu maccā kimakaṃsu sādhuṃ, ye modare saggapattā vimāne.

    ๕๖๓.

    563.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปุญฺญกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ puññakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๕๖๔.

    564.

    ‘‘สทฺธาย สุนิวิฎฺฐาย, สทฺธเมฺม สุปฺปเวทิเต;

    ‘‘Saddhāya suniviṭṭhāya, saddhamme suppavedite;

    อกํสุ สตฺถุ วจนํ, สมฺมาสมฺพุทฺธสาสเน;

    Akaṃsu satthu vacanaṃ, sammāsambuddhasāsane;

    เตสํ เอตานิ ฐานานิ, ยานิ ตฺวํ ราช ปสฺสสี’’ติฯ

    Tesaṃ etāni ṭhānāni, yāni tvaṃ rāja passasī’’ti.

    ตตฺถ เวหายสาเมติ เวหายสา อิเม อากาเสเยว สณฺฐิตาฯ อากาสฎฺฐกวิมานา อิเมติ วทติฯ วิชฺชุวพฺภฆนนฺตเรติ ฆนวลาหกนฺตเร ชลมานา วิชฺชุ วิยฯ สุนิวิฎฺฐายาติ มเคฺคน อาคตตฺตา สุปฺปติฎฺฐิตายฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – มหาราช, เอเต ปุเร นิยฺยานิเก กสฺสปพุทฺธสาสเน ปพฺพชิตฺวา ปริสุทฺธสีลา สมณธมฺมํ กโรนฺตา โสตาปตฺติผลํ สจฺฉิกตฺวา อรหตฺตํ นิพฺพเตฺตตุํ อสโกฺกนฺตา ตโต จุตา อิเมสุ กนกวิมาเนสุ อุปฺปนฺนาฯ เอเตสํ กสฺสปพุทฺธสาวกานํ ตานิ ฐานานิ, ยานิ ตฺวํ, มหาราช, ปสฺสสีติฯ

    Tattha vehāyasāmeti vehāyasā ime ākāseyeva saṇṭhitā. Ākāsaṭṭhakavimānā imeti vadati. Vijjuvabbhaghanantareti ghanavalāhakantare jalamānā vijju viya. Suniviṭṭhāyāti maggena āgatattā suppatiṭṭhitāya. Idaṃ vuttaṃ hoti – mahārāja, ete pure niyyānike kassapabuddhasāsane pabbajitvā parisuddhasīlā samaṇadhammaṃ karontā sotāpattiphalaṃ sacchikatvā arahattaṃ nibbattetuṃ asakkontā tato cutā imesu kanakavimānesu uppannā. Etesaṃ kassapabuddhasāvakānaṃ tāni ṭhānāni, yāni tvaṃ, mahārāja, passasīti.

    เอวมสฺส อากาสฎฺฐกวิมานานิ ทเสฺสตฺวา สกฺกสฺส สนฺติกํ คมนตฺถาย อุสฺสาหํ กโรโนฺต อาห –

    Evamassa ākāsaṭṭhakavimānāni dassetvā sakkassa santikaṃ gamanatthāya ussāhaṃ karonto āha –

    ๕๖๕.

    565.

    ‘‘วิทิตานิ เต มหาราช, อาวาสํ ปาปกมฺมินํ;

    ‘‘Viditāni te mahārāja, āvāsaṃ pāpakamminaṃ;

    อโถ กลฺยาณกมฺมานํ, ฐานานิ วิทิตานิ เต;

    Atho kalyāṇakammānaṃ, ṭhānāni viditāni te;

    อุยฺยาหิ ทานิ ราชีสิ, เทวราชสฺส สนฺติเก’’ติฯ

    Uyyāhi dāni rājīsi, devarājassa santike’’ti.

    ตตฺถ อาวาสนฺติ มหาราช, ตยา ปฐมเมว เนรยิกานํ อาวาสํ ทิสฺวา ปาปกมฺมานํ ฐานานิ วิทิตานิ, อิทานิ ปน อากาสฎฺฐกวิมานานิ ปสฺสเนฺตน อโถ กลฺยาณกมฺมานํ ฐานานิ วิทิตานิ, อิทานิ เทวราชสฺส สนฺติเก สมฺปตฺติํ ทฎฺฐุํ อุยฺยาหิ คจฺฉาหีติฯ

    Tattha āvāsanti mahārāja, tayā paṭhamameva nerayikānaṃ āvāsaṃ disvā pāpakammānaṃ ṭhānāni viditāni, idāni pana ākāsaṭṭhakavimānāni passantena atho kalyāṇakammānaṃ ṭhānāni viditāni, idāni devarājassa santike sampattiṃ daṭṭhuṃ uyyāhi gacchāhīti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ปุรโต รถํ เปเสตฺวา สิเนรุํ ปริวาเรตฺวา ฐิเต สตฺต ปริภณฺฑปพฺพเต ทเสฺสสิฯ เต ทิสฺวา รญฺญา มาตลิสฺส ปุฎฺฐภาวํ อาวิกโรโนฺต สตฺถา อาห –

    Evañca pana vatvā purato rathaṃ pesetvā sineruṃ parivāretvā ṭhite satta paribhaṇḍapabbate dassesi. Te disvā raññā mātalissa puṭṭhabhāvaṃ āvikaronto satthā āha –

    ๕๖๖.

    566.

    ‘‘สหสฺสยุตฺตํ หยวาหิํ, ทิพฺพยานมธิฎฺฐิโต;

    ‘‘Sahassayuttaṃ hayavāhiṃ, dibbayānamadhiṭṭhito;

    ยายมาโน มหาราชา, อทฺทา สีทนฺตเร นเค;

    Yāyamāno mahārājā, addā sīdantare nage;

    ทิสฺวานามนฺตยี สูตํ, อิเม เก นาม ปพฺพตา’’ติฯ

    Disvānāmantayī sūtaṃ, ime ke nāma pabbatā’’ti.

    ตตฺถ หยวาหินฺติ หเยหิ วาหิยมานํฯ ทิพฺพยานมธิฎฺฐิโตติ ทิพฺพยาเน ฐิโต หุตฺวาฯ อทฺทาติ อทฺทสฯ สีทนฺตเรติ สีทามหาสมุทฺทสฺส อนฺตเรฯ ตสฺมิํ กิร มหาสมุเทฺท อุทกํ สุขุมํ, โมรปิญฺฉมตฺตมฺปิ ปกฺขิตฺตํ ปติฎฺฐาตุํ น สโกฺกติ สีทเตว, ตสฺมา โส ‘‘สีทามหาสมุโทฺท’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺส อนฺตเรฯ นเคติ ปพฺพเตฯ เก นามาติ เก นาม นาเมน อิเม ปพฺพตาติฯ

    Tattha hayavāhinti hayehi vāhiyamānaṃ. Dibbayānamadhiṭṭhitoti dibbayāne ṭhito hutvā. Addāti addasa. Sīdantareti sīdāmahāsamuddassa antare. Tasmiṃ kira mahāsamudde udakaṃ sukhumaṃ, morapiñchamattampi pakkhittaṃ patiṭṭhātuṃ na sakkoti sīdateva, tasmā so ‘‘sīdāmahāsamuddo’’ti vuccati. Tassa antare. Nageti pabbate. Ke nāmāti ke nāma nāmena ime pabbatāti.

    เอวํ นิมิรญฺญา ปุโฎฺฐ มาตลิ เทวปุโตฺต อาห –

    Evaṃ nimiraññā puṭṭho mātali devaputto āha –

    ๕๖๘.

    568.

    ‘‘สุทสฺสโน กรวีโก, อีสธโร ยุคนฺธโร;

    ‘‘Sudassano karavīko, īsadharo yugandharo;

    เนมินฺธโร วินตโก, อสฺสกโณฺณ คิรี พฺรหาฯ

    Nemindharo vinatako, assakaṇṇo girī brahā.

    ๕๖๙.

    569.

    ‘‘เอเต สีทนฺตเร นคา, อนุปุพฺพสมุคฺคตา;

    ‘‘Ete sīdantare nagā, anupubbasamuggatā;

    มหาราชานมาวาสา, ยานิ ตฺวํ ราช ปสฺสสี’’ติฯ

    Mahārājānamāvāsā, yāni tvaṃ rāja passasī’’ti.

    ตตฺถ สุทสฺสโนติ อยํ, มหาราช, เอเตสํ สพฺพพาหิโร สุทสฺสโน ปพฺพโต นาม, ตทนนฺตเร กรวีโก นาม, โส สุทสฺสนโต อุจฺจตโร ฯ อุภินฺนมฺปิ ปน เตสํ อนฺตเร เอโกปิ สีทนฺตรมหาสมุโทฺทฯ กรวีกสฺส อนนฺตเร อีสธโร นาม, โส กรวีกโต อุจฺจตโรฯ เตสมฺปิ อนฺตเร เอโก สีทนฺตรมหาสมุโทฺทฯ อีสธรสฺส อนนฺตเร ยุคนฺธโร นาม, โส อีสธรโต อุจฺจตโรฯ เตสมฺปิ อนฺตเร เอโก สีทนฺตรมหาสมุโทฺทฯ ยุคนฺธรสฺส อนนฺตเร เนมินฺธโร นาม, โส ยุคนฺธรโต อุจฺจตโรฯ เตสมฺปิ อนฺตเร เอโก สีทนฺตรมหาสมุโทฺทฯ เนมินฺธรสฺส อนนฺตเร วินตโก นาม, โส เนมินฺธรโต อุจฺจตโรฯ เตสมฺปิ อนฺตเร เอโก สีทนฺตรมหาสมุโทฺทฯ วินตกสฺส อนนฺตเร อสฺสกโณฺณ นาม, โส วินตกโต อุจฺจตโรฯ เตสมฺปิ อนฺตเร เอโก สีทนฺตรมหาสมุโทฺทฯ อนุปุพฺพสมุคฺคตาติ เอเต สีทนฺตรมหาสมุเทฺท สตฺต ปพฺพตา อนุปฎิปาฎิยา สมุคฺคตา โสปานสทิสา หุตฺวา ฐิตาฯ ยานีติ เย ตฺวํ, มหาราช, อิเม ปพฺพเต ปสฺสสิ, เอเต จตุณฺณํ มหาราชานํ อาวาสาติฯ

    Tattha sudassanoti ayaṃ, mahārāja, etesaṃ sabbabāhiro sudassano pabbato nāma, tadanantare karavīko nāma, so sudassanato uccataro . Ubhinnampi pana tesaṃ antare ekopi sīdantaramahāsamuddo. Karavīkassa anantare īsadharo nāma, so karavīkato uccataro. Tesampi antare eko sīdantaramahāsamuddo. Īsadharassa anantare yugandharo nāma, so īsadharato uccataro. Tesampi antare eko sīdantaramahāsamuddo. Yugandharassa anantare nemindharo nāma, so yugandharato uccataro. Tesampi antare eko sīdantaramahāsamuddo. Nemindharassa anantare vinatako nāma, so nemindharato uccataro. Tesampi antare eko sīdantaramahāsamuddo. Vinatakassa anantare assakaṇṇo nāma, so vinatakato uccataro. Tesampi antare eko sīdantaramahāsamuddo. Anupubbasamuggatāti ete sīdantaramahāsamudde satta pabbatā anupaṭipāṭiyā samuggatā sopānasadisā hutvā ṭhitā. Yānīti ye tvaṃ, mahārāja, ime pabbate passasi, ete catuṇṇaṃ mahārājānaṃ āvāsāti.

    เอวมสฺส จาตุมหาราชิกเทวโลกํ ทเสฺสตฺวา ปุรโต รถํ เปเสตฺวา ตาวติํสภวนสฺส จิตฺตกูฎทฺวารโกฎฺฐกํ ปริวาเรตฺวา ฐิตา อินฺทปฎิมา ทเสฺสสิฯ ตํ ทิสฺวา ราชา ปุจฺฉิ, อิตโรปิสฺส พฺยากาสิฯ

    Evamassa cātumahārājikadevalokaṃ dassetvā purato rathaṃ pesetvā tāvatiṃsabhavanassa cittakūṭadvārakoṭṭhakaṃ parivāretvā ṭhitā indapaṭimā dassesi. Taṃ disvā rājā pucchi, itaropissa byākāsi.

    ๕๗๐.

    570.

    ‘‘อเนกรูปํ รุจิรํ, นานาจิตฺรํ ปกาสติ;

    ‘‘Anekarūpaṃ ruciraṃ, nānācitraṃ pakāsati;

    อากิณฺณํ อินฺทสทิเสหิ, พฺยเคฺฆเหว สุรกฺขิตํฯ

    Ākiṇṇaṃ indasadisehi, byaggheheva surakkhitaṃ.

    ๕๗๑.

    571.

    ‘‘วิตฺตี หิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Vittī hi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิมํ นุ ทฺวารํ กิมภญฺญมาหุ, มโนรมํ ทิสฺสติ ทูรโตวฯ

    Imaṃ nu dvāraṃ kimabhaññamāhu, manoramaṃ dissati dūratova.

    ๕๗๒.

    572.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปุญฺญกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ puññakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๕๗๓.

    573.

    ‘‘‘จิตฺรกูโฎ’ติ ยํ อาหุ, เทวราชปเวสนํ;

    ‘‘‘Citrakūṭo’ti yaṃ āhu, devarājapavesanaṃ;

    สุทสฺสนสฺส คิริโน, ทฺวารเญฺหตํ ปกาสติฯ

    Sudassanassa girino, dvārañhetaṃ pakāsati.

    ๕๗๔.

    574.

    ‘‘อเนกรูปํ รุจิรํ, นานาจิตฺรํ ปกาสติ;

    ‘‘Anekarūpaṃ ruciraṃ, nānācitraṃ pakāsati;

    อากิณฺณํ อินฺทสทิเสหิ, พฺยเคฺฆเหว สุรกฺขิตํ;

    Ākiṇṇaṃ indasadisehi, byaggheheva surakkhitaṃ;

    ปวิเสเตน ราชีสิ, อรชํ ภูมิมกฺกมา’’ติฯ

    Pavisetena rājīsi, arajaṃ bhūmimakkamā’’ti.

    ตตฺถ อเนกรูปนฺติ อเนกชาติกํฯ นานาจิตฺรนฺติ นานารตนจิตฺรํฯ ปกาสตีติ กิํ นาม เอตํ ปญฺญายติฯ อากิณฺณนฺติ สมฺปริปุณฺณํฯ พฺยเคฺฆเหว สุรกฺขิตนฺติ ยถา นาม พฺยเคฺฆหิ วา สีเหหิ วา มหาวนํ, เอวํ อินฺทสทิเสเหว สุรกฺขิตํฯ ตาสญฺจ ปน อินฺทปฎิมานํ อารกฺขณตฺถาย ฐปิตภาโว เอกกนิปาเต กุลาวกชาตเก (ชา. ๑.๑.๓๑) วุตฺตนเยน คเหตโพฺพฯ กิํมภญฺญมาหูติ กินฺนามํ วทนฺติฯ ปเวสนนฺติ นิกฺขมนปฺปเวสนตฺถาย นิมฺมิตํฯ สุทสฺสนสฺสาติ โสภนทสฺสนสฺส สิเนรุคิริโนฯ ทฺวารํ เหตนฺติ เอตํ สิเนรุมตฺถเก ปติฎฺฐิตสฺส ทสสหสฺสโยชนิกสฺส เทวนครสฺส ทฺวารํ ปกาสติ, ทฺวารโกฎฺฐโก ปญฺญายตีติ อโตฺถฯ ปวิเสเตนาติ เอเตน ทฺวาเรน เทวนครํ ปวิสฯ อรชํ ภูมิมกฺกมาติ อรชํ สุวณฺณรชตมณิมยํ นานาปุเปฺผหิ สมากิณฺณํ ทิพฺพภูมิํ ทิพฺพยาเนน อกฺกม, มหาราชาติฯ

    Tattha anekarūpanti anekajātikaṃ. Nānācitranti nānāratanacitraṃ. Pakāsatīti kiṃ nāma etaṃ paññāyati. Ākiṇṇanti samparipuṇṇaṃ. Byaggheheva surakkhitanti yathā nāma byagghehi vā sīhehi vā mahāvanaṃ, evaṃ indasadiseheva surakkhitaṃ. Tāsañca pana indapaṭimānaṃ ārakkhaṇatthāya ṭhapitabhāvo ekakanipāte kulāvakajātake (jā. 1.1.31) vuttanayena gahetabbo. Kiṃmabhaññamāhūti kinnāmaṃ vadanti. Pavesananti nikkhamanappavesanatthāya nimmitaṃ. Sudassanassāti sobhanadassanassa sinerugirino. Dvāraṃ hetanti etaṃ sinerumatthake patiṭṭhitassa dasasahassayojanikassa devanagarassa dvāraṃ pakāsati, dvārakoṭṭhako paññāyatīti attho. Pavisetenāti etena dvārena devanagaraṃ pavisa. Arajaṃ bhūmimakkamāti arajaṃ suvaṇṇarajatamaṇimayaṃ nānāpupphehi samākiṇṇaṃ dibbabhūmiṃ dibbayānena akkama, mahārājāti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา มาตลิ ราชานํ เทวนครํ ปเวเสสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Evañca pana vatvā mātali rājānaṃ devanagaraṃ pavesesi. Tena vuttaṃ –

    ๕๗๕.

    575.

    ‘‘สหสฺสยุตฺตํ หยวาหิํ, ทิพฺพยานมธิฎฺฐิโต;

    ‘‘Sahassayuttaṃ hayavāhiṃ, dibbayānamadhiṭṭhito;

    ยายมาโน มหาราชา, อทฺทา เทวสภํ อิท’’นฺติฯ

    Yāyamāno mahārājā, addā devasabhaṃ ida’’nti.

    โส ทิพฺพยาเน ฐิโตว คจฺฉโนฺต สุธมฺมาเทวสภํ ทิสฺวา มาตลิํ ปุจฺฉิ, โสปิสฺส อาจิกฺขิฯ

    So dibbayāne ṭhitova gacchanto sudhammādevasabhaṃ disvā mātaliṃ pucchi, sopissa ācikkhi.

    ๕๗๖.

    576.

    ‘‘ยถา สรเท อากาเส, นีโลภาโส ปทิสฺสติ;

    ‘‘Yathā sarade ākāse, nīlobhāso padissati;

    ตถูปมํ อิทํ พฺยมฺหํ, เวฬุริยาสุ นิมฺมิตํฯ

    Tathūpamaṃ idaṃ byamhaṃ, veḷuriyāsu nimmitaṃ.

    ๕๗๗.

    577.

    ‘‘วิตฺตี หิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา, ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Vittī hi maṃ vindati sūta disvā, pucchāmi taṃ mātali devasārathi;

    อิมํ นุ พฺยมฺหํ กิมภญฺญมาหุ, มโนรมํ ทิสฺสติ ทูรโตวฯ

    Imaṃ nu byamhaṃ kimabhaññamāhu, manoramaṃ dissati dūratova.

    ๕๗๘.

    578.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, mātali devasārathi;

    วิปากํ ปุญฺญกมฺมานํ, ชานํ อกฺขาสิชานโตฯ

    Vipākaṃ puññakammānaṃ, jānaṃ akkhāsijānato.

    ๕๗๙.

    579.

    ‘‘‘สุธมฺมา’ อิติ ยํ อาหุ, ปเสฺสสา ทิสฺสเต สภา;

    ‘‘‘Sudhammā’ iti yaṃ āhu, passesā dissate sabhā;

    เวฬุริยารุจิรา จิตฺรา, ธารยนฺติ สุนิมฺมิตาฯ

    Veḷuriyārucirā citrā, dhārayanti sunimmitā.

    ๕๘๐.

    580.

    ‘‘อฎฺฐํสา สุกตา ถมฺภา, สเพฺพ เวฬุริยามยา;

    ‘‘Aṭṭhaṃsā sukatā thambhā, sabbe veḷuriyāmayā;

    ยตฺถ เทวา ตาวติํสา, สเพฺพ อินฺทปุโรหิตาฯ

    Yattha devā tāvatiṃsā, sabbe indapurohitā.

    ๕๘๑.

    581.

    ‘‘อตฺถํ เทวมนุสฺสานํ, จินฺตยนฺตา สมจฺฉเร;

    ‘‘Atthaṃ devamanussānaṃ, cintayantā samacchare;

    ปวิเสเตน ราชีสิ, เทวานํ อนุโมทนนฺติฯ

    Pavisetena rājīsi, devānaṃ anumodananti.

    ตตฺถ อิทนฺติ นิปาตมตฺตํ, เทวสภํ อทฺทสาติ อโตฺถฯ ปเสฺสสาติ ปสฺส เอสาฯ เวฬุริยา รุจิราติ รุจิรเวฬุริยาฯ จิตฺราติ นานารตนวิจิตฺราฯ ธารยนฺตีติ อิมํ สภํ เอเต อฎฺฐํสาทิเภทา สุกตา ถมฺภา ธารยนฺติฯ อินฺทปุโรหิตาติ อินฺทํ ปุโรหิตํ ปุเรจาริกํ กตฺวา ปริวาเรตฺวา ฐิตา เทวมนุสฺสานํ อตฺถํ จินฺตยนฺตา อจฺฉนฺติฯ ปวิเสเตนาติ อิมินา มเคฺคน ยตฺถ เทวา อญฺญมญฺญํ อนุโมทนฺตา อจฺฉนฺติ, ตํ ฐานํ เทวานํ อนุโมทนํ ปวิสฯ

    Tattha idanti nipātamattaṃ, devasabhaṃ addasāti attho. Passesāti passa esā. Veḷuriyā rucirāti ruciraveḷuriyā. Citrāti nānāratanavicitrā. Dhārayantīti imaṃ sabhaṃ ete aṭṭhaṃsādibhedā sukatā thambhā dhārayanti. Indapurohitāti indaṃ purohitaṃ purecārikaṃ katvā parivāretvā ṭhitā devamanussānaṃ atthaṃ cintayantā acchanti. Pavisetenāti iminā maggena yattha devā aññamaññaṃ anumodantā acchanti, taṃ ṭhānaṃ devānaṃ anumodanaṃ pavisa.

    เทวาปิ โข ตสฺสาคมนมคฺคํ โอโลเกนฺตาว นิสีทิํสุฯ เต ‘‘ราชา อาคโต’’ติ สุตฺวา ทิพฺพคนฺธวาสปุปฺผหตฺถา ยาว จิตฺตกูฎทฺวารโกฎฺฐกา ปฎิมคฺคํ คนฺตฺวา มหาสตฺตํ ทิพฺพคนฺธมาลาทีหิ ปูชยนฺตา สุธมฺมาเทวสภํ อานยิํสุฯ ราชา รถา โอตริตฺวา เทวสภํ ปาวิสิฯ เทวา อาสเนน นิมนฺตยิํสุฯ สโกฺกปิ อาสเนน เจว กาเมหิ จ นิมเนฺตสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Devāpi kho tassāgamanamaggaṃ olokentāva nisīdiṃsu. Te ‘‘rājā āgato’’ti sutvā dibbagandhavāsapupphahatthā yāva cittakūṭadvārakoṭṭhakā paṭimaggaṃ gantvā mahāsattaṃ dibbagandhamālādīhi pūjayantā sudhammādevasabhaṃ ānayiṃsu. Rājā rathā otaritvā devasabhaṃ pāvisi. Devā āsanena nimantayiṃsu. Sakkopi āsanena ceva kāmehi ca nimantesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๕๘๒.

    582.

    ‘‘ตํ เทวา ปฎินนฺทิํสุ, ทิสฺวา ราชานมาคตํ;

    ‘‘Taṃ devā paṭinandiṃsu, disvā rājānamāgataṃ;

    สฺวาคตํ เต มหาราช, อโถ เต อทุราคตํ;

    Svāgataṃ te mahārāja, atho te adurāgataṃ;

    นิสีท ทานิ ราชีสิ, เทวราชสฺส สนฺติเกฯ

    Nisīda dāni rājīsi, devarājassa santike.

    ๕๘๓.

    583.

    ‘‘สโกฺกปิ ปฎินนฺทิตฺถ, เวเทหํ มิถิลคฺคหํ;

    ‘‘Sakkopi paṭinandittha, vedehaṃ mithilaggahaṃ;

    นิมนฺตยิตฺถ กาเมหิ, อาสเนน จ วาสโวฯ

    Nimantayittha kāmehi, āsanena ca vāsavo.

    ๕๘๔.

    584.

    ‘‘สาธุ โขสิ อนุปฺปโตฺต, อาวาสํ วสวตฺตินํ;

    ‘‘Sādhu khosi anuppatto, āvāsaṃ vasavattinaṃ;

    วส เทเวสุ ราชีสิ, สพฺพกามสมิทฺธิสุ;

    Vasa devesu rājīsi, sabbakāmasamiddhisu;

    ตาวติํเสสุ เทเวสุ, ภุญฺช กาเม อมานุเส’’ติฯ

    Tāvatiṃsesu devesu, bhuñja kāme amānuse’’ti.

    ตตฺถ ปฎินนฺทิํสูติ สมฺปิยายิํสุ, หฎฺฐตุฎฺฐาว หุตฺวา สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ สพฺพกามสมิทฺธิสูติ สเพฺพสํ กามานํ สมิทฺธิยุเตฺตสุฯ

    Tattha paṭinandiṃsūti sampiyāyiṃsu, haṭṭhatuṭṭhāva hutvā sampaṭicchiṃsu. Sabbakāmasamiddhisūti sabbesaṃ kāmānaṃ samiddhiyuttesu.

    เอวํ สเกฺกน ทิพฺพกาเมหิ เจว อาสเนน จ นิมนฺติโต ราชา ปฎิกฺขิปโนฺต อาห –

    Evaṃ sakkena dibbakāmehi ceva āsanena ca nimantito rājā paṭikkhipanto āha –

    ๕๘๕.

    585.

    ‘‘ยถา ยาจิตกํ ยานํ, ยถา ยาจิตกํ ธนํ;

    ‘‘Yathā yācitakaṃ yānaṃ, yathā yācitakaṃ dhanaṃ;

    เอวํ สมฺปทเมเวตํ, ยํ ปรโต ทานปจฺจยาฯ

    Evaṃ sampadamevetaṃ, yaṃ parato dānapaccayā.

    ๕๘๖.

    586.

    ‘‘น จาหเมตมิจฺฉามิ, ยํ ปรโต ทานปจฺจยา;

    ‘‘Na cāhametamicchāmi, yaṃ parato dānapaccayā;

    สยํกตานิ ปุญฺญานิ, ตํ เม อาเวณิกํ ธนํฯ

    Sayaṃkatāni puññāni, taṃ me āveṇikaṃ dhanaṃ.

    ๕๘๗.

    587.

    ‘‘โสหํ คนฺตฺวา มนุเสฺสสุ, กาหามิ กุสลํ พหุํ;

    ‘‘Sohaṃ gantvā manussesu, kāhāmi kusalaṃ bahuṃ;

    ทาเนน สมจริยาย, สํยเมน ทเมน จ;

    Dānena samacariyāya, saṃyamena damena ca;

    ยํ กตฺวา สุขิโต โหติ, น จ ปจฺฉานุตปฺปตี’’ติฯ

    Yaṃ katvā sukhito hoti, na ca pacchānutappatī’’ti.

    ตตฺถ ยํ ปรโต ทานปจฺจยาติ ยํ ปรโต ตสฺส ปรสฺส ทานปจฺจยา เตน ทินฺนตฺตา ลพฺภติ, ตํ ยาจิตกสทิสํ โหติ, ตสฺมา นาหํ เอตํ อิจฺฉามิฯ สยํกตานีติ ยานิ ปน มยา อตฺตนา กตานิ ปุญฺญานิ, ตเมว มม ปเรหิ อสาธารณตฺตา อาเวณิกํ ธนํ อนุคามิยธนํฯ สมจริยายาติ ตีหิ ทฺวาเรหิ สมจริยายฯ สํยเมนาติ สีลรกฺขเณนฯ ทเมนาติ อินฺทฺริยทเมนฯ

    Tattha yaṃ parato dānapaccayāti yaṃ parato tassa parassa dānapaccayā tena dinnattā labbhati, taṃ yācitakasadisaṃ hoti, tasmā nāhaṃ etaṃ icchāmi. Sayaṃkatānīti yāni pana mayā attanā katāni puññāni, tameva mama parehi asādhāraṇattā āveṇikaṃ dhanaṃ anugāmiyadhanaṃ. Samacariyāyāti tīhi dvārehi samacariyāya. Saṃyamenāti sīlarakkhaṇena. Damenāti indriyadamena.

    เอวํ มหาสโตฺต เทวานํ มธุรสเทฺทน ธมฺมํ เทเสสิฯ ธมฺมํ เทเสโนฺตเยว มนุสฺสคณนาย สตฺต ทิวสานิ ฐตฺวา เทวคณํ โกเสตฺวา เทวคณมเชฺฌ ฐิโตว มาตลิสฺส คุณํ กเถโนฺต อาห –

    Evaṃ mahāsatto devānaṃ madhurasaddena dhammaṃ desesi. Dhammaṃ desentoyeva manussagaṇanāya satta divasāni ṭhatvā devagaṇaṃ kosetvā devagaṇamajjhe ṭhitova mātalissa guṇaṃ kathento āha –

    ๕๘๘.

    588.

    ‘‘พหูปกาโร โน ภวํ, มาตลิ เทวสารถิ;

    ‘‘Bahūpakāro no bhavaṃ, mātali devasārathi;

    โย เม กลฺยาณกมฺมานํ, ปาปานํ ปฎิทสฺสยี’’ติฯ

    Yo me kalyāṇakammānaṃ, pāpānaṃ paṭidassayī’’ti.

    ตตฺถ โย เม กลฺยาณกมฺมานํ, ปาปานํ ปฎิทสฺสยีติ โย เอส มยฺหํ กลฺยาณกมฺมานํ เทวานญฺจ ฐานานิ ปาปกมฺมานํ เนรยิกานญฺจ ปาปานิ ฐานานิ ทเสฺสสีติ อโตฺถฯ

    Tattha yo me kalyāṇakammānaṃ, pāpānaṃ paṭidassayīti yo esa mayhaṃ kalyāṇakammānaṃ devānañca ṭhānāni pāpakammānaṃ nerayikānañca pāpāni ṭhānāni dassesīti attho.

    สคฺคกณฺฑํ นิฎฺฐิตํฯ

    Saggakaṇḍaṃ niṭṭhitaṃ.

    อถ ราชา สกฺกํ อามเนฺตตฺวา ‘‘อิจฺฉามหํ, มหาราช, มนุสฺสโลกํ คนฺตุ’’นฺติ อาหฯ สโกฺก ‘‘เตน หิ, สมฺม มาตลิ, นิมิราชานํ ตเตฺถว มิถิลํ เนหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา รถํ อุปฎฺฐาเปสิฯ ราชา เทวคเณหิ สทฺธิํ สโมฺมทิตฺวา เทเว นิวตฺตาเปตฺวา รถํ อภิรุหิฯ มาตลิ รถํ เปเสโนฺต ปาจีนทิสาภาเคน มิถิลํ ปาปุณิฯ มหาชโน ทิพฺพรถํ ทิสฺวา ‘‘ราชา โน อาคโต’’ติ ปมุทิโต อโหสิฯ มาตลิ มิถิลํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ตสฺมิํเยว สีหปญฺชเร มหาสตฺตํ โอตาเรตฺวา ‘‘คจฺฉามหํ, มหาราชา’’ติ อาปุจฺฉิตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ มหาชโนปิ ราชานํ ปริวาเรตฺวา ‘‘กีทิโส, เทว, เทวโลโก’’ติ ปุจฺฉิฯ ราชา เทวตานญฺจ สกฺกสฺส จ เทวรโญฺญ สมฺปตฺติํ วเณฺณตฺวา ‘‘ตุเมฺหปิ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรถ, เอวํ ตสฺมิํ เทวโลเก นิพฺพตฺติสฺสถา’’ติ มหาชนสฺส ธมฺมํ เทเสสิฯ

    Atha rājā sakkaṃ āmantetvā ‘‘icchāmahaṃ, mahārāja, manussalokaṃ gantu’’nti āha. Sakko ‘‘tena hi, samma mātali, nimirājānaṃ tattheva mithilaṃ nehī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā rathaṃ upaṭṭhāpesi. Rājā devagaṇehi saddhiṃ sammoditvā deve nivattāpetvā rathaṃ abhiruhi. Mātali rathaṃ pesento pācīnadisābhāgena mithilaṃ pāpuṇi. Mahājano dibbarathaṃ disvā ‘‘rājā no āgato’’ti pamudito ahosi. Mātali mithilaṃ padakkhiṇaṃ katvā tasmiṃyeva sīhapañjare mahāsattaṃ otāretvā ‘‘gacchāmahaṃ, mahārājā’’ti āpucchitvā sakaṭṭhānameva gato. Mahājanopi rājānaṃ parivāretvā ‘‘kīdiso, deva, devaloko’’ti pucchi. Rājā devatānañca sakkassa ca devarañño sampattiṃ vaṇṇetvā ‘‘tumhepi dānādīni puññāni karotha, evaṃ tasmiṃ devaloke nibbattissathā’’ti mahājanassa dhammaṃ desesi.

    โส อปรภาเค กปฺปเกน ปลิตสฺส ชาตภาเว อาโรจิเต ปลิตํ สุวณฺณสณฺฑาเสน อุทฺธราเปตฺวา หเตฺถ ฐเปตฺวา กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา ปพฺพชิตุกาโม หุตฺวา ปุตฺตสฺส รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปสิฯ เตน จ ‘‘กสฺมา, เทว, ปพฺพชิสฺสสี’’ติ วุเตฺต –

    So aparabhāge kappakena palitassa jātabhāve ārocite palitaṃ suvaṇṇasaṇḍāsena uddharāpetvā hatthe ṭhapetvā kappakassa gāmavaraṃ datvā pabbajitukāmo hutvā puttassa rajjaṃ paṭicchāpesi. Tena ca ‘‘kasmā, deva, pabbajissasī’’ti vutte –

    ‘‘อุตฺตมงฺครุหา มยฺหํ, อิเม ชาตา วโยหรา;

    ‘‘Uttamaṅgaruhā mayhaṃ, ime jātā vayoharā;

    ปาหุภูตา เทวทูตา, ปพฺพชฺชาสมโย มมา’’ติฯ –

    Pāhubhūtā devadūtā, pabbajjāsamayo mamā’’ti. –

    คาถํ วตฺวา ปุริมราชาโน วิย ปพฺพชิตฺวา ตสฺมิํเยว อมฺพวเน วิหรโนฺต จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ ตเสฺสวํ ปพฺพชิตภาวํ อาวิกโรโนฺต สตฺถา โอสานคาถมาห –

    Gāthaṃ vatvā purimarājāno viya pabbajitvā tasmiṃyeva ambavane viharanto cattāro brahmavihāre bhāvetvā brahmalokūpago ahosi. Tassevaṃ pabbajitabhāvaṃ āvikaronto satthā osānagāthamāha –

    ๕๘๙.

    589.

    ‘‘อิทํ วตฺวา นิมิราชา, เวเทโห มิถิลคฺคโห;

    ‘‘Idaṃ vatvā nimirājā, vedeho mithilaggaho;

    ปุถุยญฺญํ ยชิตฺวาน, สํยมํ อชฺฌุปาคมี’’ติฯ

    Puthuyaññaṃ yajitvāna, saṃyamaṃ ajjhupāgamī’’ti.

    ตตฺถ อิทํ วตฺวาติ ‘‘อุตฺตมงฺครุหา มยฺห’’นฺติ อิมํ คาถํ วตฺวาฯ ปุถุยญฺญํ ยชิตฺวานาติ มหาทานํ ทตฺวาฯ สํยมํ อชฺฌุปาคมีติ สีลสํยมํ อุปคโตฯ

    Tattha idaṃ vatvāti ‘‘uttamaṅgaruhā mayha’’nti imaṃ gāthaṃ vatvā. Puthuyaññaṃ yajitvānāti mahādānaṃ datvā. Saṃyamaṃ ajjhupāgamīti sīlasaṃyamaṃ upagato.

    ปุโตฺต ปนสฺส กาฬารชนโก นาม ตํ วํสํ อุปจฺฉินฺทิฯ

    Putto panassa kāḷārajanako nāma taṃ vaṃsaṃ upacchindi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺตเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา สโกฺก อนุรุโทฺธ อโหสิ, มาตลิ อานโนฺท, จตุราสีติ ขตฺติยสหสฺสานิ พุทฺธปริสา, นิมิราชา ปน อหเมว สมฺมาสมฺพุโทฺธ อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi tathāgato mahābhinikkhamanaṃ nikkhantoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā sakko anuruddho ahosi, mātali ānando, caturāsīti khattiyasahassāni buddhaparisā, nimirājā pana ahameva sammāsambuddho ahosi’’nti.

    นิมิชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ

    Nimijātakavaṇṇanā catutthā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๔๑. นิมิชาตกํ • 541. Nimijātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact