Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
๖. นิมิราชจริยาวณฺณนา
6. Nimirājacariyāvaṇṇanā
๔๐. ฉเฎฺฐ มิถิลายํ ปุรุตฺตเมติ มิถิลานามเก วิเทหานํ อุตฺตมนคเรฯ นิมิ นาม มหาราชาติ เนมิํ ฆเฎโนฺต วิย อุปฺปโนฺน ‘‘นิมี’’ติ ลทฺธนาโม, มหเนฺตหิ ทานสีลาทิคุณวิเสเสหิ มหตา จ ราชานุภาเวน สมนฺนาคตตฺตา มหโนฺต ราชาติ มหาราชาฯ ปณฺฑิโต กุสลตฺถิโกติ อตฺตโน จ ปเรสญฺจ ปุญฺญตฺถิโกฯ
40. Chaṭṭhe mithilāyaṃ puruttameti mithilānāmake videhānaṃ uttamanagare. Nimi nāma mahārājāti nemiṃ ghaṭento viya uppanno ‘‘nimī’’ti laddhanāmo, mahantehi dānasīlādiguṇavisesehi mahatā ca rājānubhāvena samannāgatattā mahanto rājāti mahārājā. Paṇḍito kusalatthikoti attano ca paresañca puññatthiko.
อตีเต กิร วิเทหรเฎฺฐ มิถิลานคเร อมฺหากํ โพธิสโตฺต มฆเทโว นาม ราชา อโหสิฯ โส จตุราสีติ วสฺสสหสฺสานิ กุมารกีฬํ กีฬิตฺวา จตุราสีติ วสฺสหสฺสานิ อุปรชฺชํ กาเรตฺวา จตุราสีติ วสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรโนฺต ‘‘ยทา เม สิรสฺมิํ ปลิตานิ ปเสฺสยฺยาสิ, ตทา เม อาโรเจยฺยาสี’’ติ กปฺปกสฺส วตฺวา อปรภาเค เตน ปลิตานิ ทิสฺวา อาโรจิเต สุวณฺณสณฺฑาเสน อุทฺธราเปตฺวา หเตฺถ ปติฎฺฐาเปตฺวา ปลิตํ โอโลเกตฺวา ‘‘ปาตุภูโต โข มยฺหํ เทวทูโต’’ติ สํเวคชาโต ‘‘อิทานิ มยา ปพฺพชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา สตสหสฺสุฎฺฐานกํ คามวรํ กปฺปกสฺส ทตฺวา เชฎฺฐกุมารํ ปโกฺกสาเปตฺวา ตสฺส –
Atīte kira videharaṭṭhe mithilānagare amhākaṃ bodhisatto maghadevo nāma rājā ahosi. So caturāsīti vassasahassāni kumārakīḷaṃ kīḷitvā caturāsīti vassahassāni uparajjaṃ kāretvā caturāsīti vassasahassāni rajjaṃ kārento ‘‘yadā me sirasmiṃ palitāni passeyyāsi, tadā me āroceyyāsī’’ti kappakassa vatvā aparabhāge tena palitāni disvā ārocite suvaṇṇasaṇḍāsena uddharāpetvā hatthe patiṭṭhāpetvā palitaṃ oloketvā ‘‘pātubhūto kho mayhaṃ devadūto’’ti saṃvegajāto ‘‘idāni mayā pabbajituṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā satasahassuṭṭhānakaṃ gāmavaraṃ kappakassa datvā jeṭṭhakumāraṃ pakkosāpetvā tassa –
‘‘อุตฺตมงฺครุหา มยฺหํ, อิเม ชาตา วโยหรา;
‘‘Uttamaṅgaruhā mayhaṃ, ime jātā vayoharā;
ปาตุภูตา เทวทูตา, ปพฺพชฺชาสมโย มมา’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๙) –
Pātubhūtā devadūtā, pabbajjāsamayo mamā’’ti. (jā. 1.1.9) –
วตฺวา สาธุกํ รเชฺช สมนุสาสิตฺวา ยทิปิ อตฺตโน อญฺญานิปิ จตุราสีติ วสฺสสหสฺสานิ อายุ อตฺถิ, เอวํ สเนฺตปิ มจฺจุโน สนฺติเก ฐิตํ วิย อตฺตานํ มญฺญมาโน สํวิคฺคหทโย ปพฺพชฺชํ โรเจติฯ เตน วุตฺตํ –
Vatvā sādhukaṃ rajje samanusāsitvā yadipi attano aññānipi caturāsīti vassasahassāni āyu atthi, evaṃ santepi maccuno santike ṭhitaṃ viya attānaṃ maññamāno saṃviggahadayo pabbajjaṃ roceti. Tena vuttaṃ –
‘‘สิรสฺมิํ ปลิตํ ทิสฺวา, มฆเทโว ทิสมฺปติ;
‘‘Sirasmiṃ palitaṃ disvā, maghadevo disampati;
สํเวคํ อลภี ธีโร, ปพฺพชฺชํ สมโรจยี’’ติฯ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๐๙);
Saṃvegaṃ alabhī dhīro, pabbajjaṃ samarocayī’’ti. (ma. ni. aṭṭha. 2.309);
โส ปุตฺตํ ‘‘อิมินาว นีหาเรน วเตฺตยฺยาสิ ยถา มยา ปฎิปนฺนํ, มา โข ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสี’’ติ โอวทิตฺวา นครา นิกฺขมฺม ภิกฺขุปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา จตุราสีติ วสฺสสหสฺสานิ ฌานสมาปตฺตีหิ วีตินาเมตฺวา อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลกปรายโน อโหสิฯ ปุโตฺตปิสฺส พหูนิ วสฺสสหสฺสานิ ธเมฺมน รชฺชํ กาเรตฺวา เตเนว อุปาเยน ปพฺพชิตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโน อโหสิฯ ตถา ตสฺส ปุโตฺต, ตถา ตสฺส ปุโตฺตติ เอวํ ทฺวีหิ อูนานิ จตุราสีติ ขตฺติยสหสฺสานิ สีเส ปลิตํ ทิสฺวาว ปพฺพชิตานิฯ อถ โพธิสโตฺต พฺรหฺมโลเก ฐิโตว ‘‘ปวตฺตติ นุ โข มยา มนุสฺสโลเก กตํ กลฺยาณํ น ปวตฺตตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต อทฺทส ‘‘เอตฺตกํ อทฺธานํ ปวตฺตํ, อิทานิ นปฺปวตฺติสฺสตี’’ติฯ โส ‘‘น โข ปนาหํ มยฺหํ ปเวณิยา อุจฺฉิชฺชิตุํ ทสฺสามี’’ติ อตฺตโน วํเส ชาตรโญฺญ เอว อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา อตฺตโน วํสสฺส เนมิํ ฆเฎโนฺต วิย นิพฺพโตฺตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เนมิํ ฆเฎโนฺต วิย อุปฺปโนฺนติ นิมีติ ลทฺธนาโม’’ติฯ
So puttaṃ ‘‘imināva nīhārena vatteyyāsi yathā mayā paṭipannaṃ, mā kho tvaṃ antimapuriso ahosī’’ti ovaditvā nagarā nikkhamma bhikkhupabbajjaṃ pabbajitvā caturāsīti vassasahassāni jhānasamāpattīhi vītināmetvā āyupariyosāne brahmalokaparāyano ahosi. Puttopissa bahūni vassasahassāni dhammena rajjaṃ kāretvā teneva upāyena pabbajitvā brahmalokaparāyano ahosi. Tathā tassa putto, tathā tassa puttoti evaṃ dvīhi ūnāni caturāsīti khattiyasahassāni sīse palitaṃ disvāva pabbajitāni. Atha bodhisatto brahmaloke ṭhitova ‘‘pavattati nu kho mayā manussaloke kataṃ kalyāṇaṃ na pavattatī’’ti āvajjento addasa ‘‘ettakaṃ addhānaṃ pavattaṃ, idāni nappavattissatī’’ti. So ‘‘na kho panāhaṃ mayhaṃ paveṇiyā ucchijjituṃ dassāmī’’ti attano vaṃse jātarañño eva aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhitvā attano vaṃsassa nemiṃ ghaṭento viya nibbatto. Tena vuttaṃ ‘‘nemiṃ ghaṭento viya uppannoti nimīti laddhanāmo’’ti.
ตสฺส หิ นามคฺคหณทิวเส ปิตรา อานีตา ลกฺขณปาฐกาฯ ลกฺขณานิ โอโลเกตฺวา ‘‘มหาราช, อยํ กุมาโร ตุมฺหากํ วํสํ ปคฺคณฺหาติ, ปิตุปิตามเหหิปิ มหานุภาโว มหาปุโญฺญ’’ติ พฺยากริํสุฯ ตํ สุตฺวา ราชา ยถาวุเตฺตนเตฺถน ‘‘นิมี’’ติสฺส นามํ อกาสิ, โส ทหรกาลโต ปฎฺฐาย สีเล อุโปสถกเมฺม จ ยุตฺตปฺปยุโตฺต อโหสิฯ อถสฺส ปิตา ปุริมนเยเนว ปลิตํ ทิสฺวา กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา ปุตฺตํ รเชฺช สมนุสาสิตฺวา นครา นิกฺขมฺม ปพฺพชิตฺวา ฌานานิ นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโน อโหสิฯ
Tassa hi nāmaggahaṇadivase pitarā ānītā lakkhaṇapāṭhakā. Lakkhaṇāni oloketvā ‘‘mahārāja, ayaṃ kumāro tumhākaṃ vaṃsaṃ paggaṇhāti, pitupitāmahehipi mahānubhāvo mahāpuñño’’ti byākariṃsu. Taṃ sutvā rājā yathāvuttenatthena ‘‘nimī’’tissa nāmaṃ akāsi, so daharakālato paṭṭhāya sīle uposathakamme ca yuttappayutto ahosi. Athassa pitā purimanayeneva palitaṃ disvā kappakassa gāmavaraṃ datvā puttaṃ rajje samanusāsitvā nagarā nikkhamma pabbajitvā jhānāni nibbattetvā brahmalokaparāyano ahosi.
นิมิราชา ปน ทานชฺฌาสยตาย จตูสุ นครทฺวาเรสุ นครมเชฺฌ จาติ ปญฺจ ทานสาลาโย กาเรตฺวา มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ เอเกกาย ทานสาลาย สตสหสฺสํ สตสหสฺสํ กตฺวา เทวสิกํ ปญฺจสตสหสฺสานิ ปริจฺจชิ, ปญฺจ สีลานิ รกฺขิ, ปกฺขทิวเสสุ อุโปสถกมฺมํ สมาทิยิ , มหาชนมฺปิ ทานาทีสุ ปุเญฺญสุ สมาทเปสิ, สคฺคมคฺคํ อาจิกฺขิ, นิรยภเยน ตเชฺชสิ, ปาปโต นิวาเรสิฯ ตสฺส โอวาเท ฐตฺวา มหาชโน ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ตโต จุโต เทวโลเก นิพฺพตฺติ, เทวโลโก ปริปูริ, นิรโย ตุโจฺฉ วิย อโหสิฯ ตทา ปน อตฺตโน ทานชฺฌาสยสฺส อุฬารภาวํ สวิเสสํ ทานปารมิยา ปูริตภาวญฺจ ปเวเทโนฺต สตฺถา –
Nimirājā pana dānajjhāsayatāya catūsu nagaradvāresu nagaramajjhe cāti pañca dānasālāyo kāretvā mahādānaṃ pavattesi. Ekekāya dānasālāya satasahassaṃ satasahassaṃ katvā devasikaṃ pañcasatasahassāni pariccaji, pañca sīlāni rakkhi, pakkhadivasesu uposathakammaṃ samādiyi , mahājanampi dānādīsu puññesu samādapesi, saggamaggaṃ ācikkhi, nirayabhayena tajjesi, pāpato nivāresi. Tassa ovāde ṭhatvā mahājano dānādīni puññāni katvā tato cuto devaloke nibbatti, devaloko paripūri, nirayo tuccho viya ahosi. Tadā pana attano dānajjhāsayassa uḷārabhāvaṃ savisesaṃ dānapāramiyā pūritabhāvañca pavedento satthā –
๔๑.
41.
‘‘ตทาหํ มาปยิตฺวาน, จตุสฺสาลํ จตุมฺมุขํ;
‘‘Tadāhaṃ māpayitvāna, catussālaṃ catummukhaṃ;
ตตฺถ ทานํ ปวเตฺตสิํ, มิคปกฺขินราทิน’’นฺติฯ – อาทิมาห;
Tattha dānaṃ pavattesiṃ, migapakkhinarādina’’nti. – ādimāha;
ตตฺถ ตทาติ ตสฺมิํ นิมิราชกาเลฯ มาปยิตฺวานาติ การาเปตฺวาฯ จตุสฺสาลนฺติ จตูสุ ทิสาสุ สมฺพนฺธสาลํฯ จตุมฺมุขนฺติ จตูสุ ทิสาสุ จตูหิ ทฺวาเรหิ ยุตฺตํฯ ทานสาลาย หิ มหนฺตภาวโต เทยฺยธมฺมสฺส ยาจกชนสฺส จ พหุภาวโต น สกฺกา เอเกเนว ทฺวาเรน ทานธมฺมํ ปริยนฺตํ กาตุํ เทยฺยธมฺมญฺจ ปริโยสาเปตุนฺติ สาลาย จตูสุ ทิสาสุ จตฺตาริ มหาทฺวารานิ การาเปสิฯ ตตฺถ ทฺวารโต ปฎฺฐาย ยาว โกณา เทยฺยธโมฺม ราสิกโต ติฎฺฐติฯ อรุณุคฺคํ อาทิํ กตฺวา ยาว ปกติยา สํเวสนกาโล, ตาว ทานํ ปวเตฺตติฯ อิตรสฺมิมฺปิ กาเล อเนกสตา ปทีปา ฌายนฺติฯ ยทา ยทา อตฺถิกา อาคจฺฉนฺติ, ตทา ตทา ทียเตวฯ ตญฺจ ทานํ น กปณทฺธิกวนิพฺพกยาจกานเญฺญว , อถ โข อฑฺฒานํ มหาโภคานมฺปิ อุปกปฺปนวเสน มหาสุทสฺสนทานสทิสํ อุฬารตรปณีตตรานํ เทยฺยธมฺมานํ ปริจฺจชนโต สเพฺพปิ สกลชมฺพุทีปวาสิโน มนุสฺสา ปฎิคฺคเหสุเญฺจว ปริภุญฺชิํสุ จฯ สกลชมฺพุทีปญฺหิ อุนฺนงฺคลํ กตฺวา มหาปุริโส ตทา มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ ยถา จ มนุสฺสานํ, เอวํ มิคปกฺขิเก อาทิํ กตฺวา ติรจฺฉานคตานมฺปิ ทานสาลาย พหิ เอกมเนฺต เตสํ อุปกปฺปนวเสน ทานํ ปวเตฺตสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ตตฺถ ทานํ ปวเตฺตสิํ, มิคปกฺขินราทิน’’นฺติฯ น เกวลญฺจ ติรจฺฉานานเมว, เปตานมฺปิ ทิวเส ทิวเส ปตฺติํ ทาเปสิฯ ยถา จ เอกิสฺสา ทานสาลาย, เอวํ ปญฺจสุปิ ทานสาลาสุ ทานํ ปวตฺติตฺถฯ ปาฬิยํ ปน ‘‘ตทาหํ มาปยิตฺวาน, จตุสฺสาลํ จตุมฺมุข’’นฺติ เอกํ วิย วุตฺตํ, ตํ นครมเชฺฌ ทานสาลํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
Tattha tadāti tasmiṃ nimirājakāle. Māpayitvānāti kārāpetvā. Catussālanti catūsu disāsu sambandhasālaṃ. Catummukhanti catūsu disāsu catūhi dvārehi yuttaṃ. Dānasālāya hi mahantabhāvato deyyadhammassa yācakajanassa ca bahubhāvato na sakkā ekeneva dvārena dānadhammaṃ pariyantaṃ kātuṃ deyyadhammañca pariyosāpetunti sālāya catūsu disāsu cattāri mahādvārāni kārāpesi. Tattha dvārato paṭṭhāya yāva koṇā deyyadhammo rāsikato tiṭṭhati. Aruṇuggaṃ ādiṃ katvā yāva pakatiyā saṃvesanakālo, tāva dānaṃ pavatteti. Itarasmimpi kāle anekasatā padīpā jhāyanti. Yadā yadā atthikā āgacchanti, tadā tadā dīyateva. Tañca dānaṃ na kapaṇaddhikavanibbakayācakānaññeva , atha kho aḍḍhānaṃ mahābhogānampi upakappanavasena mahāsudassanadānasadisaṃ uḷāratarapaṇītatarānaṃ deyyadhammānaṃ pariccajanato sabbepi sakalajambudīpavāsino manussā paṭiggahesuñceva paribhuñjiṃsu ca. Sakalajambudīpañhi unnaṅgalaṃ katvā mahāpuriso tadā mahādānaṃ pavattesi. Yathā ca manussānaṃ, evaṃ migapakkhike ādiṃ katvā tiracchānagatānampi dānasālāya bahi ekamante tesaṃ upakappanavasena dānaṃ pavattesi. Tena vuttaṃ – ‘‘tattha dānaṃ pavattesiṃ, migapakkhinarādina’’nti. Na kevalañca tiracchānānameva, petānampi divase divase pattiṃ dāpesi. Yathā ca ekissā dānasālāya, evaṃ pañcasupi dānasālāsu dānaṃ pavattittha. Pāḷiyaṃ pana ‘‘tadāhaṃ māpayitvāna, catussālaṃ catummukha’’nti ekaṃ viya vuttaṃ, taṃ nagaramajjhe dānasālaṃ sandhāya vuttaṃ.
๔๒. อิทานิ ตตฺถ เทยฺยธมฺมํ เอกเทเสน ทเสฺสโนฺต ‘‘อจฺฉาทนญฺจ สยนํ, อนฺนํ ปานญฺจ โภชน’’นฺติ อาหฯ
42. Idāni tattha deyyadhammaṃ ekadesena dassento ‘‘acchādanañca sayanaṃ, annaṃ pānañca bhojana’’nti āha.
ตตฺถ อจฺฉาทนนฺติ โขมสุขุมาทินานาวิธนิวาสนปารุปนํฯ สยนนฺติ มญฺจปลฺลงฺกาทิเญฺจว โคนกจิตฺตกาทิญฺจ อเนกวิธํ สยิตพฺพกํ, อาสนมฺปิ เจตฺถ สยนคฺคหเณเนว คหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อนฺนํ ปานญฺจ โภชนนฺติ เตสํ เตสํ สตฺตานํ ยถาภิรุจิตํ นานคฺครสํ อนฺนเญฺจว ปานญฺจ อวสิฎฺฐํ นานาวิธโภชนวิกติญฺจฯ อโพฺพจฺฉินฺนํ กริตฺวานาติ อารมฺภโต ปฎฺฐาย ยาว อายุปริโยสานา อโหรตฺตํ อวิจฺฉินฺนํ กตฺวาฯ
Tattha acchādananti khomasukhumādinānāvidhanivāsanapārupanaṃ. Sayananti mañcapallaṅkādiñceva gonakacittakādiñca anekavidhaṃ sayitabbakaṃ, āsanampi cettha sayanaggahaṇeneva gahitanti daṭṭhabbaṃ. Annaṃ pānañca bhojananti tesaṃ tesaṃ sattānaṃ yathābhirucitaṃ nānaggarasaṃ annañceva pānañca avasiṭṭhaṃ nānāvidhabhojanavikatiñca. Abbocchinnaṃ karitvānāti ārambhato paṭṭhāya yāva āyupariyosānā ahorattaṃ avicchinnaṃ katvā.
๔๓-๔. อิทานิ ตสฺส ทานสฺส สมฺมาสโมฺพธิํ อารพฺภ ทานปารมิภาเวน ปวตฺติตภาวํ ทเสฺสโนฺต ยถา ตทา อตฺตโน อชฺฌาสโย ปวโตฺต, ตํ อุปมาย ทเสฺสตุํ ‘‘ยถาปิ เสวโก’’ติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ยถา นาม เสวกปุริโส อตฺตโน สามิกํ กาลานุกาลํ เสวนวเสน อุปคโต ลทฺธพฺพธนเหตุ กาเยน วาจาย มนสา สพฺพถาปิ กายวจีมโนกเมฺมหิ ยถา โส อาราธิโต โหติ, เอวํ อาราธนียํ อาราธนเมว เอสติ คเวสติ, ตถา อหมฺปิ โพธิสตฺตภูโต สเทวกสฺส โลกสฺส สามิภูตํ อนุตฺตรํ พุทฺธภาวํ เสเวตุกาโม ตสฺส อาราธนตฺถํ สพฺพภเว สพฺพสฺมิํ นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตภเว ทานปารมิปริปูรณวเสน ทาเนน สพฺพสเตฺต สนฺตเปฺปตฺวา โพธิสงฺขาตโต อริยมคฺคญาณโต ชาตตฺตา ‘‘โพธิช’’นฺติ ลทฺธนามํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปรโต สพฺพถา นานูปาเยหิ เอสิสฺสามิ คเวสิสฺสามิ, ตํ อุตฺตมํ โพธิํ สมฺมาสโมฺพธิํ ชีวิตปริจฺจาคาทิํ ยํกิญฺจิ กตฺวา อิจฺฉามิ อภิปเตฺถมีติฯ
43-4. Idāni tassa dānassa sammāsambodhiṃ ārabbha dānapāramibhāvena pavattitabhāvaṃ dassento yathā tadā attano ajjhāsayo pavatto, taṃ upamāya dassetuṃ ‘‘yathāpi sevako’’tiādimāha. Tassattho – yathā nāma sevakapuriso attano sāmikaṃ kālānukālaṃ sevanavasena upagato laddhabbadhanahetu kāyena vācāya manasā sabbathāpi kāyavacīmanokammehi yathā so ārādhito hoti, evaṃ ārādhanīyaṃ ārādhanameva esati gavesati, tathā ahampi bodhisattabhūto sadevakassa lokassa sāmibhūtaṃ anuttaraṃ buddhabhāvaṃ sevetukāmo tassa ārādhanatthaṃ sabbabhave sabbasmiṃ nibbattanibbattabhave dānapāramiparipūraṇavasena dānena sabbasatte santappetvā bodhisaṅkhātato ariyamaggañāṇato jātattā ‘‘bodhija’’nti laddhanāmaṃ sabbaññutaññāṇaṃ parato sabbathā nānūpāyehi esissāmi gavesissāmi, taṃ uttamaṃ bodhiṃ sammāsambodhiṃ jīvitapariccāgādiṃ yaṃkiñci katvā icchāmi abhipatthemīti.
เอวมิธ ทานชฺฌาสยสฺส อุฬารภาวํ ทเสฺสตุํ ทานปารมิวเสเนว เทสนา กตาฯ ชาตกเทสนายํ ปนสฺส สีลปารมิอาทีนมฺปิ ปริปูรณํ วิภาวิตเมว, ตถา หิสฺส เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว สีลาทิคุเณหิ อตฺตานํ อลงฺกริตฺวา มหาชนํ ตตฺถ ปติฎฺฐเปนฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา นิพฺพตฺตเทวตา สุธมฺมายํ เทวสภายํ สนฺนิปติตา ‘‘อโห อมฺหากํ นิมิราชานํ นิสฺสาย มยํ อิมํ สมฺปตฺติํ ปตฺตา, เอวรูปาปิ นาม อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ มหาชนสฺส พุทฺธกิจฺจํ สาธยมานา อจฺฉริยมนุสฺสา โลเก อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ มหาปุริสสฺส คุเณ วเณฺณนฺตา อภิตฺถวิํสุฯ เตน วุตฺตํ –
Evamidha dānajjhāsayassa uḷārabhāvaṃ dassetuṃ dānapāramivaseneva desanā katā. Jātakadesanāyaṃ panassa sīlapāramiādīnampi paripūraṇaṃ vibhāvitameva, tathā hissa heṭṭhā vuttanayeneva sīlādiguṇehi attānaṃ alaṅkaritvā mahājanaṃ tattha patiṭṭhapentassa ovāde ṭhatvā nibbattadevatā sudhammāyaṃ devasabhāyaṃ sannipatitā ‘‘aho amhākaṃ nimirājānaṃ nissāya mayaṃ imaṃ sampattiṃ pattā, evarūpāpi nāma anuppanne buddhe mahājanassa buddhakiccaṃ sādhayamānā acchariyamanussā loke uppajjantī’’ti mahāpurisassa guṇe vaṇṇentā abhitthaviṃsu. Tena vuttaṃ –
‘‘อเจฺฉรํ วต โลกสฺมิํ, อุปฺปชฺชนฺติ วิจกฺขณา;
‘‘Accheraṃ vata lokasmiṃ, uppajjanti vicakkhaṇā;
ยทา อหุ นิมิราชา, ปณฺฑิโต กุสลตฺถิโก’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๔๒๑) –
Yadā ahu nimirājā, paṇḍito kusalatthiko’’ti. (jā. 2.22.421) –
อาทิฯ
Ādi.
ตํ สุตฺวา สกฺกํ เทวานมินฺทํ อาทิํ กตฺวา สเพฺพ เทวา โพธิสตฺตํ ทฎฺฐุกามา อเหสุํฯ อเถกทิวสํ มหาปุริสสฺส อุโปสถิกสฺส อุปริปาสาทวรคตสฺส ปจฺฉิมยาเม ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสินฺนสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ ‘‘ทานํ นุ โข วรํ, อุทาหุ พฺรหฺมจริย’’นฺติฯ โส ตํ อตฺตโน กงฺขํ ฉินฺทิตุํ นาสกฺขิฯ ตสฺมิํ ขเณ สกฺกสฺส ภวนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก ตํ การณํ อาวเชฺชโนฺต โพธิสตฺตํ ตถา วิตเกฺกนฺตํ ทิสฺวา ‘‘หนฺทสฺส วิตกฺกํ ฉินฺทิสฺสามี’’ติ อาคนฺตฺวา ปุรโต ฐิโต เตน ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ ปุโฎฺฐ อตฺตโน เทวราชภาวํ อาโรเจตฺวา ‘‘กิํ, มหาราช, จิเนฺตสี’’ติ วุเตฺต ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สโกฺก พฺรหฺมจริยเมว อุตฺตมํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต –
Taṃ sutvā sakkaṃ devānamindaṃ ādiṃ katvā sabbe devā bodhisattaṃ daṭṭhukāmā ahesuṃ. Athekadivasaṃ mahāpurisassa uposathikassa uparipāsādavaragatassa pacchimayāme pallaṅkaṃ ābhujitvā nisinnassa evaṃ cetaso parivitakko udapādi ‘‘dānaṃ nu kho varaṃ, udāhu brahmacariya’’nti. So taṃ attano kaṅkhaṃ chindituṃ nāsakkhi. Tasmiṃ khaṇe sakkassa bhavanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Sakko taṃ kāraṇaṃ āvajjento bodhisattaṃ tathā vitakkentaṃ disvā ‘‘handassa vitakkaṃ chindissāmī’’ti āgantvā purato ṭhito tena ‘‘kosi tva’’nti puṭṭho attano devarājabhāvaṃ ārocetvā ‘‘kiṃ, mahārāja, cintesī’’ti vutte tamatthaṃ ārocesi. Sakko brahmacariyameva uttamaṃ katvā dassento –
‘‘หีเนน พฺรหฺมจริเยน, ขตฺติเย อุปปชฺชติ;
‘‘Hīnena brahmacariyena, khattiye upapajjati;
มชฺฌิเมน จ เทวตฺตํ, อุตฺตเมน วิสุชฺฌติฯ
Majjhimena ca devattaṃ, uttamena visujjhati.
‘‘น เหเต สุลภา กายา, ยาจโยเคน เกนจิ;
‘‘Na hete sulabhā kāyā, yācayogena kenaci;
เย กาเย อุปปชฺชนฺติ, อนคารา ตปสฺสิโน’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๔๒๙-๔๓๐) –
Ye kāye upapajjanti, anagārā tapassino’’ti. (jā. 2.22.429-430) –
อาหฯ
Āha.
ตตฺถ ปุถุติตฺถายตเนสุ เมถุนวิรติมตฺตํ หีนํ พฺรหฺมจริยํ นาม, เตน ขตฺติยกุเล อุปปชฺชติฯ ฌานสฺส อุปจารมตฺตํ มชฺฌิมํ นาม, เตน เทวตฺตํ อุปปชฺชติฯ อฎฺฐสมาปตฺตินิพฺพตฺตนํ ปน อุตฺตมํ นาม, เตน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตติฯ ตญฺหิ พาหิรกา ‘‘นิพฺพาน’’นฺติ กเถนฺติฯ เตนาห ‘‘วิสุชฺฌตี’’ติฯ สาสเน ปน ปริสุทฺธสีลสฺส ภิกฺขุโน อญฺญตรํ เทวนิกายํ ปเตฺถนฺตสฺส พฺรหฺมจริยเจตนา หีนตาย หีนํ นาม, เตน ยถาปตฺถิเต เทวโลเก นิพฺพตฺตติฯ ปริสุทฺธสีลสฺส อฎฺฐสมาปตฺตินิพฺพตฺตนํ มชฺฌิมํ นาม, เตน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตติฯ ปริสุทฺธสีลสฺส ปน วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตปฺปตฺติ อุตฺตมํ นาม, เตน วิสุชฺฌตีติฯ อิติ สโกฺก ‘‘มหาราช, ทานโต พฺรหฺมจริยวาโสว สตคุเณน สหสฺสคุเณน สตสหสฺสคุเณน มหปฺผโล’’ติ วเณฺณสิฯ กายาติ พฺรหฺมคณาฯ ยาจโยเคนาติ ยาจนยุเตฺตนฯ ‘‘ยาชโยเคนา’’ติปิ ปาฬิ, ยชนยุเตฺตน, ทานยุเตฺตนาติ อโตฺถฯ ตปสฺสิโนติ ตปนิสฺสิตกาฯ อิมายปิ คาถาย พฺรหฺมจริยวาสเสฺสว มหานุภาวตํ ทีเปติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘กิญฺจาปิ, มหาราช, ทานโต พฺรหฺมจริยเมว มหปฺผลํ, เทฺวปิ ปเนเต มหาปุริสกตฺตพฺพาว ฯ ทฺวีสุปิ อปฺปมโตฺต หุตฺวา ทานญฺจ เทหิ สีลญฺจ รกฺขาหี’’ติ วตฺวา ตํ โอวทิตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ
Tattha puthutitthāyatanesu methunaviratimattaṃ hīnaṃ brahmacariyaṃ nāma, tena khattiyakule upapajjati. Jhānassa upacāramattaṃ majjhimaṃ nāma, tena devattaṃ upapajjati. Aṭṭhasamāpattinibbattanaṃ pana uttamaṃ nāma, tena brahmaloke nibbattati. Tañhi bāhirakā ‘‘nibbāna’’nti kathenti. Tenāha ‘‘visujjhatī’’ti. Sāsane pana parisuddhasīlassa bhikkhuno aññataraṃ devanikāyaṃ patthentassa brahmacariyacetanā hīnatāya hīnaṃ nāma, tena yathāpatthite devaloke nibbattati. Parisuddhasīlassa aṭṭhasamāpattinibbattanaṃ majjhimaṃ nāma, tena brahmaloke nibbattati. Parisuddhasīlassa pana vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattappatti uttamaṃ nāma, tena visujjhatīti. Iti sakko ‘‘mahārāja, dānato brahmacariyavāsova sataguṇena sahassaguṇena satasahassaguṇena mahapphalo’’ti vaṇṇesi. Kāyāti brahmagaṇā. Yācayogenāti yācanayuttena. ‘‘Yājayogenā’’tipi pāḷi, yajanayuttena, dānayuttenāti attho. Tapassinoti tapanissitakā. Imāyapi gāthāya brahmacariyavāsasseva mahānubhāvataṃ dīpeti. Evañca pana vatvā ‘‘kiñcāpi, mahārāja, dānato brahmacariyameva mahapphalaṃ, dvepi panete mahāpurisakattabbāva . Dvīsupi appamatto hutvā dānañca dehi sīlañca rakkhāhī’’ti vatvā taṃ ovaditvā sakaṭṭhānameva gato.
อถ นํ เทวคโณ ‘‘มหาราช, กุหิํ คตตฺถา’’ติ อาหฯ สโกฺก ‘‘มิถิลายํ นิมิรโญฺญ กงฺข ฉินฺทิตุ’’นฺติ ตมตฺถํ ปกาเสตฺวา โพธิสตฺตสฺส คุเณ วิตฺถารโต วเณฺณสิฯ ตํ สุตฺวา เทวา ‘‘มหาราช, มยฺหํ นิมิราชานํ ทฎฺฐุกามมฺหา, สาธุ นํ ปโกฺกสาเปหี’’ติ วทิํสุฯ สโกฺก ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มาตลิํ อามเนฺตสิ – ‘‘คจฺฉ นิมิราชานํ เวชยนฺตํ อาโรเปตฺวา อาเนหี’’ติ ฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา รเถน คนฺตฺวา ตตฺถ มหาสตฺตํ อาโรเปตฺวา เตน ยาจิโต ยถากมฺมํ ปาปกมฺมีนํ ปุญฺญกมฺมีนญฺจ ฐานานิ อาจิกฺขโนฺต อนุกฺกเมน เทวโลกํ เนสิ ฯ เทวาปิ โข ‘‘นิมิราชา อาคโต’’ติ สุตฺวา ทิพฺพคนฺธวาสปุปฺผหตฺถา ยาว จิตฺตกูฎทฺวารโกฎฺฐกา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา มหาสตฺตํ ทิพฺพคนฺธาทีหิ ปูเชนฺตา สุธมฺมํ เทวสภํ อานยิํสุฯ ราชา รถา โอตริตฺวา เทวสภํ ปวิสิตฺวา สเกฺกน สทฺธิํ เอกาสเน นิสีทิตฺวา เตน ทิเพฺพหิ กาเมหิ นิมนฺติยมาโน ‘‘อลํ, มหาราช, มยฺหํ อิเมหิ ยาจิตกูปเมหิ กาเมหี’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา อเนกปริยาเยน ธมฺมํ เทเสตฺวา มนุสฺสคณนาย สตฺตาหเมว ฐตฺวา ‘‘คจฺฉามหํ มนุสฺสโลกํ, ตตฺถ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กริสฺสามี’’ติ อาหฯ สโกฺก ‘‘นิมิราชานํ มิถิลํ เนหี’’ติ มาตลิํ อาณาเปสิฯ โส ตํ เวชยนฺตรถํ อาโรเปตฺวา ปาจีนทิสาภาเคน มิถิลํ ปาปุณิฯ มหาชโน ทิพฺพรถํ ทิสฺวา รโญฺญ ปจฺจุคฺคมนํ อกาสิฯ มาตลิ สีหปญฺชเร มหาสตฺตํ โอตาเรตฺวา อาปุจฺฉิตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ มหาชโนปิ ราชานํ ปริวาเรตฺวา ‘‘กีทิโส, เทว, เทวโลโก’’ติ ปุจฺฉิฯ ราชา เทวโลกสมฺปตฺติํ วเณฺณตฺวา ‘‘ตุเมฺหปิ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรถ, เอวํ ตสฺมิํ เทวโลเก อุปฺปชฺชิสฺสถา’’ติ ธมฺมํ เทเสสิฯ โส อปรภาเค ปุเพฺพ วุตฺตนเยน ปลิตํ ทิสฺวา ปุตฺตสฺส รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา กาเม ปหาย ปพฺพชิตฺวา จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ
Atha naṃ devagaṇo ‘‘mahārāja, kuhiṃ gatatthā’’ti āha. Sakko ‘‘mithilāyaṃ nimirañño kaṅkha chinditu’’nti tamatthaṃ pakāsetvā bodhisattassa guṇe vitthārato vaṇṇesi. Taṃ sutvā devā ‘‘mahārāja, mayhaṃ nimirājānaṃ daṭṭhukāmamhā, sādhu naṃ pakkosāpehī’’ti vadiṃsu. Sakko ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā mātaliṃ āmantesi – ‘‘gaccha nimirājānaṃ vejayantaṃ āropetvā ānehī’’ti . So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā rathena gantvā tattha mahāsattaṃ āropetvā tena yācito yathākammaṃ pāpakammīnaṃ puññakammīnañca ṭhānāni ācikkhanto anukkamena devalokaṃ nesi . Devāpi kho ‘‘nimirājā āgato’’ti sutvā dibbagandhavāsapupphahatthā yāva cittakūṭadvārakoṭṭhakā paccuggantvā mahāsattaṃ dibbagandhādīhi pūjentā sudhammaṃ devasabhaṃ ānayiṃsu. Rājā rathā otaritvā devasabhaṃ pavisitvā sakkena saddhiṃ ekāsane nisīditvā tena dibbehi kāmehi nimantiyamāno ‘‘alaṃ, mahārāja, mayhaṃ imehi yācitakūpamehi kāmehī’’ti paṭikkhipitvā anekapariyāyena dhammaṃ desetvā manussagaṇanāya sattāhameva ṭhatvā ‘‘gacchāmahaṃ manussalokaṃ, tattha dānādīni puññāni karissāmī’’ti āha. Sakko ‘‘nimirājānaṃ mithilaṃ nehī’’ti mātaliṃ āṇāpesi. So taṃ vejayantarathaṃ āropetvā pācīnadisābhāgena mithilaṃ pāpuṇi. Mahājano dibbarathaṃ disvā rañño paccuggamanaṃ akāsi. Mātali sīhapañjare mahāsattaṃ otāretvā āpucchitvā sakaṭṭhānameva gato. Mahājanopi rājānaṃ parivāretvā ‘‘kīdiso, deva, devaloko’’ti pucchi. Rājā devalokasampattiṃ vaṇṇetvā ‘‘tumhepi dānādīni puññāni karotha, evaṃ tasmiṃ devaloke uppajjissathā’’ti dhammaṃ desesi. So aparabhāge pubbe vuttanayena palitaṃ disvā puttassa rajjaṃ paṭicchāpetvā kāme pahāya pabbajitvā cattāro brahmavihāre bhāvetvā brahmalokūpago ahosi.
ตทา สโกฺก อนุรุโทฺธ อโหสิฯ มาตลิ อานโนฺทฯ จตุราสีติ ราชสหสฺสานิ พุทฺธปริสาฯ นิมิราชา โลกนาโถฯ
Tadā sakko anuruddho ahosi. Mātali ānando. Caturāsīti rājasahassāni buddhaparisā. Nimirājā lokanātho.
ตสฺส อิธาปิ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว โพธิสมฺภารา นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา พฺรหฺมโลกสมฺปตฺติํ ปหาย ปุเพฺพ อตฺตนา ปวตฺติตํ กลฺยาณวตฺตํ อนุปฺปพเนฺธสฺสามีติ มหากรุณาย มนุสฺสโลเก นิพฺพตฺตนํ, อุฬาโร ทานชฺฌาสโย, ตทนุรูปา ทานาทีสุ ปฎิปตฺติ, มหาชนสฺส จ ตตฺถ ปติฎฺฐาปนํ, ยาว เทวมนุสฺสานํ ปตฺถฎยสตา, สกฺกสฺส เทวราชสฺส อุปสงฺกมเน อติวิมฺหยตา, เตน ทิพฺพสมฺปตฺติยา นิมนฺติยมาโนปิ ตํ อนลงฺกริตฺวา ปุญฺญสมฺภารปริพฺรูหนตฺถํ ปุน มนุสฺสวาสูปคมนํ, ลาภสมฺปตฺตีสุ สพฺพตฺถ อลคฺคภาโวติ เอวมาทโย คุณานุภาวา นิทฺธาเรตพฺพาติฯ
Tassa idhāpi heṭṭhā vuttanayeneva bodhisambhārā niddhāretabbā. Tathā brahmalokasampattiṃ pahāya pubbe attanā pavattitaṃ kalyāṇavattaṃ anuppabandhessāmīti mahākaruṇāya manussaloke nibbattanaṃ, uḷāro dānajjhāsayo, tadanurūpā dānādīsu paṭipatti, mahājanassa ca tattha patiṭṭhāpanaṃ, yāva devamanussānaṃ patthaṭayasatā, sakkassa devarājassa upasaṅkamane ativimhayatā, tena dibbasampattiyā nimantiyamānopi taṃ analaṅkaritvā puññasambhāraparibrūhanatthaṃ puna manussavāsūpagamanaṃ, lābhasampattīsu sabbattha alaggabhāvoti evamādayo guṇānubhāvā niddhāretabbāti.
นิมิราชจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Nimirājacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๖. นิมิราชจริยา • 6. Nimirājacariyā