Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๑๑. นิมิตฺตสุตฺตํ
11. Nimittasuttaṃ
๑๐๓. ‘‘อธิจิตฺตมนุยุเตฺตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ตีณิ นิมิตฺตานิ กาเลน กาลํ มนสิ กาตพฺพานิ – กาเลน กาลํ สมาธินิมิตฺตํ มนสิ กาตพฺพํ, กาเลน กาลํ ปคฺคหนิมิตฺตํ มนสิ กาตพฺพํ, กาเลน กาลํ อุเปกฺขานิมิตฺตํ มนสิ กาตพฺพํฯ สเจ, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ เอกนฺตํ สมาธินิมิตฺตํเยว มนสิ กเรยฺย, ฐานํ ตํ จิตฺตํ โกสชฺชาย สํวเตฺตยฺยฯ สเจ, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ เอกนฺตํ ปคฺคหนิมิตฺตํเยว มนสิ กเรยฺย, ฐานํ ตํ จิตฺตํ อุทฺธจฺจาย สํวเตฺตยฺยฯ สเจ, ภิกฺขเว , อธิจิตฺตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ เอกนฺตํ อุเปกฺขานิมิตฺตํเยว มนสิ กเรยฺย, ฐานํ ตํ จิตฺตํ น สมฺมา สมาธิเยยฺย อาสวานํ ขยายฯ ยโต จ โข, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ กาเลน กาลํ สมาธินิมิตฺตํ มนสิ กโรติ, กาเลน กาลํ ปคฺคหนิมิตฺตํ มนสิ กโรติ, กาเลน กาลํ อุเปกฺขานิมิตฺตํ มนสิ กโรติ, ตํ โหติ จิตฺตํ มุทุญฺจ กมฺมนิยญฺจ ปภสฺสรญฺจ, น จ ปภงฺคุ, สมฺมา สมาธิยติ อาสวานํ ขยายฯ
103. ‘‘Adhicittamanuyuttena, bhikkhave, bhikkhunā tīṇi nimittāni kālena kālaṃ manasi kātabbāni – kālena kālaṃ samādhinimittaṃ manasi kātabbaṃ, kālena kālaṃ paggahanimittaṃ manasi kātabbaṃ, kālena kālaṃ upekkhānimittaṃ manasi kātabbaṃ. Sace, bhikkhave, adhicittamanuyutto bhikkhu ekantaṃ samādhinimittaṃyeva manasi kareyya, ṭhānaṃ taṃ cittaṃ kosajjāya saṃvatteyya. Sace, bhikkhave, adhicittamanuyutto bhikkhu ekantaṃ paggahanimittaṃyeva manasi kareyya, ṭhānaṃ taṃ cittaṃ uddhaccāya saṃvatteyya. Sace, bhikkhave , adhicittamanuyutto bhikkhu ekantaṃ upekkhānimittaṃyeva manasi kareyya, ṭhānaṃ taṃ cittaṃ na sammā samādhiyeyya āsavānaṃ khayāya. Yato ca kho, bhikkhave, adhicittamanuyutto bhikkhu kālena kālaṃ samādhinimittaṃ manasi karoti, kālena kālaṃ paggahanimittaṃ manasi karoti, kālena kālaṃ upekkhānimittaṃ manasi karoti, taṃ hoti cittaṃ muduñca kammaniyañca pabhassarañca, na ca pabhaṅgu, sammā samādhiyati āsavānaṃ khayāya.
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา อุกฺกํ พเนฺธยฺย 1, อุกฺกํ พนฺธิตฺวา อุกฺกามุขํ อาลิเมฺปยฺย, อุกฺกามุขํ อาลิเมฺปตฺวา สณฺฑาเสน ชาตรูปํ คเหตฺวา อุกฺกามุเข ปกฺขิเปยฺย 2, อุกฺกามุเข ปกฺขิปิตฺวา กาเลน กาลํ อภิธมติ, กาเลน กาลํ อุทเกน ปริโปฺผเสติ, กาเลน กาลํ อชฺฌุเปกฺขติฯ สเจ, ภิกฺขเว, สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา ตํ ชาตรูปํ เอกนฺตํ อภิธเมยฺย, ฐานํ ตํ ชาตรูปํ ฑเหยฺยฯ สเจ, ภิกฺขเว, สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา ตํ ชาตรูปํ เอกนฺตํ อุทเกน ปริโปฺผเสยฺย, ฐานํ ตํ ชาตรูปํ นิพฺพาเปยฺย 3ฯ สเจ, ภิกฺขเว, สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา ตํ ชาตรูปํ เอกนฺตํ อชฺฌุเปเกฺขยฺย, ฐานํ ตํ ชาตรูปํ น สมฺมา ปริปากํ คเจฺฉยฺยฯ ยโต จ โข, ภิกฺขเว, สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา ตํ ชาตรูปํ กาเลน กาลํ อภิธมติ, กาเลน กาลํ อุทเกน ปริโปฺผเสติ, กาเลน กาลํ อชฺฌุเปกฺขติ, ตํ โหติ ชาตรูปํ มุทุญฺจ กมฺมนิยญฺจ ปภสฺสรญฺจ, น จ ปภงฺคุ, สมฺมา อุเปติ กมฺมายฯ ยสฺสา ยสฺสา จ ปิลนฺธนวิกติยา อากงฺขติ – ยทิ ปฎฺฎิกาย, ยทิ กุณฺฑลาย, ยทิ คีเวยฺยเก, ยทิ สุวณฺณมาลาย – ตญฺจสฺส อตฺถํ อนุโภติฯ
‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā ukkaṃ bandheyya 4, ukkaṃ bandhitvā ukkāmukhaṃ ālimpeyya, ukkāmukhaṃ ālimpetvā saṇḍāsena jātarūpaṃ gahetvā ukkāmukhe pakkhipeyya 5, ukkāmukhe pakkhipitvā kālena kālaṃ abhidhamati, kālena kālaṃ udakena paripphoseti, kālena kālaṃ ajjhupekkhati. Sace, bhikkhave, suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā taṃ jātarūpaṃ ekantaṃ abhidhameyya, ṭhānaṃ taṃ jātarūpaṃ ḍaheyya. Sace, bhikkhave, suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā taṃ jātarūpaṃ ekantaṃ udakena paripphoseyya, ṭhānaṃ taṃ jātarūpaṃ nibbāpeyya 6. Sace, bhikkhave, suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā taṃ jātarūpaṃ ekantaṃ ajjhupekkheyya, ṭhānaṃ taṃ jātarūpaṃ na sammā paripākaṃ gaccheyya. Yato ca kho, bhikkhave, suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā taṃ jātarūpaṃ kālena kālaṃ abhidhamati, kālena kālaṃ udakena paripphoseti, kālena kālaṃ ajjhupekkhati, taṃ hoti jātarūpaṃ muduñca kammaniyañca pabhassarañca, na ca pabhaṅgu, sammā upeti kammāya. Yassā yassā ca pilandhanavikatiyā ākaṅkhati – yadi paṭṭikāya, yadi kuṇḍalāya, yadi gīveyyake, yadi suvaṇṇamālāya – tañcassa atthaṃ anubhoti.
‘‘เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุเตฺตน ภิกฺขุนา ตีณิ นิมิตฺตานิ กาเลน กาลํ มนสิ กาตพฺพานิ – กาเลน กาลํ สมาธินิมิตฺตํ มนสิ กาตพฺพํ, กาเลน กาลํ ปคฺคหนิมิตฺตํ มนสิ กาตพฺพํ, กาเลน กาลํ อุเปกฺขานิมิตฺตํ มนสิ กาตพฺพํฯ สเจ, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ เอกนฺตํ สมาธินิมิตฺตํเยว มนสิ กเรยฺย , ฐานํ ตํ จิตฺตํ โกสชฺชาย สํวเตฺตยฺยฯ สเจ, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ เอกนฺตํ ปคฺคหนิมิตฺตํเยว มนสิ กเรยฺย, ฐานํ ตํ จิตฺตํ อุทฺธจฺจาย สํวเตฺตยฺยฯ สเจ, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ เอกนฺตํ อุเปกฺขานิมิตฺตํเยว มนสิ กเรยฺย, ฐานํ ตํ จิตฺตํ น สมฺมา สมาธิเยยฺย อาสวานํ ขยายฯ ยโต จ โข, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ กาเลน กาลํ สมาธินิมิตฺตํ มนสิ กโรติ, กาเลน กาลํ ปคฺคหนิมิตฺตํ มนสิ กโรติ, กาเลน กาลํ อุเปกฺขานิมิตฺตํ มนสิ กโรติ, ตํ โหติ จิตฺตํ มุทุญฺจ กมฺมนิยญฺจ ปภสฺสรญฺจ, น จ ปภงฺคุ, สมฺมา สมาธิยติ อาสวานํ ขยายฯ ยสฺส ยสฺส จ อภิญฺญาสจฺฉิกรณียสฺส ธมฺมสฺส จิตฺตํ อภินินฺนาเมติ อภิญฺญาสจฺฉิกิริยาย, ตตฺร ตเตฺรว สกฺขิภพฺพตํ ปาปุณาติ สติ สติอายตเนฯ
‘‘Evamevaṃ kho, bhikkhave, adhicittamanuyuttena bhikkhunā tīṇi nimittāni kālena kālaṃ manasi kātabbāni – kālena kālaṃ samādhinimittaṃ manasi kātabbaṃ, kālena kālaṃ paggahanimittaṃ manasi kātabbaṃ, kālena kālaṃ upekkhānimittaṃ manasi kātabbaṃ. Sace, bhikkhave, adhicittamanuyutto bhikkhu ekantaṃ samādhinimittaṃyeva manasi kareyya , ṭhānaṃ taṃ cittaṃ kosajjāya saṃvatteyya. Sace, bhikkhave, adhicittamanuyutto bhikkhu ekantaṃ paggahanimittaṃyeva manasi kareyya, ṭhānaṃ taṃ cittaṃ uddhaccāya saṃvatteyya. Sace, bhikkhave, adhicittamanuyutto bhikkhu ekantaṃ upekkhānimittaṃyeva manasi kareyya, ṭhānaṃ taṃ cittaṃ na sammā samādhiyeyya āsavānaṃ khayāya. Yato ca kho, bhikkhave, adhicittamanuyutto bhikkhu kālena kālaṃ samādhinimittaṃ manasi karoti, kālena kālaṃ paggahanimittaṃ manasi karoti, kālena kālaṃ upekkhānimittaṃ manasi karoti, taṃ hoti cittaṃ muduñca kammaniyañca pabhassarañca, na ca pabhaṅgu, sammā samādhiyati āsavānaṃ khayāya. Yassa yassa ca abhiññāsacchikaraṇīyassa dhammassa cittaṃ abhininnāmeti abhiññāsacchikiriyāya, tatra tatreva sakkhibhabbataṃ pāpuṇāti sati satiāyatane.
‘‘โส สเจ อากงฺขติ – ‘อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุภเวยฺยํ…เป.… (ฉ อภิญฺญา วิตฺถาเรตพฺพา) อาสวานํ ขยา…เป.… สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย’นฺติ, ตตฺร ตเตฺรว สกฺขิภพฺพตํ ปาปุณาติ สติ สติอายตเน’’ติฯ เอกาทสมํฯ
‘‘So sace ākaṅkhati – ‘anekavihitaṃ iddhividhaṃ paccanubhaveyyaṃ…pe… (cha abhiññā vitthāretabbā) āsavānaṃ khayā…pe… sacchikatvā upasampajja vihareyya’nti, tatra tatreva sakkhibhabbataṃ pāpuṇāti sati satiāyatane’’ti. Ekādasamaṃ.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
อจฺจายิกํ ปวิเวกํ, สรโท ปริสา ตโย;
Accāyikaṃ pavivekaṃ, sarado parisā tayo;
อาชานียา โปตฺถโก จ, โลณํ โธวติ นิมิตฺตานีติฯ
Ājānīyā potthako ca, loṇaṃ dhovati nimittānīti.
ทุติโย ปณฺณาสโก สมโตฺตฯ
Dutiyo paṇṇāsako samatto.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑๑. นิมิตฺตสุตฺตวณฺณนา • 11. Nimittasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๑. นิมิตฺตสุตฺตวณฺณนา • 11. Nimittasuttavaṇṇanā