Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๖. นิโรธสุตฺตํ
6. Nirodhasuttaṃ
๑๖๖. ตตฺร โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ภิกฺขู อามเนฺตสิ…เป.… ‘‘อิธาวุโส, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ 1 – อเตฺถตํ ฐานํฯ โน เจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญํ อาราเธยฺย, อติกฺกเมฺมว กพฬีการาหารภกฺขานํ 2 เทวานํ สหพฺยตํ อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – อเตฺถตํ ฐาน’’นฺติฯ
166. Tatra kho āyasmā sāriputto bhikkhū āmantesi…pe… ‘‘idhāvuso, bhikkhu sīlasampanno samādhisampanno paññāsampanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi 3 – atthetaṃ ṭhānaṃ. No ce diṭṭheva dhamme aññaṃ ārādheyya, atikkammeva kabaḷīkārāhārabhakkhānaṃ 4 devānaṃ sahabyataṃ aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – atthetaṃ ṭhāna’’nti.
เอวํ วุเตฺต อายสฺมา อุทายี อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อฎฺฐานํ โข เอตํ, อาวุโส สาริปุตฺต, อนวกาโส ยํ โส ภิกฺขุ อติกฺกเมฺมว กพฬีการาหารภกฺขานํ เทวานํ สหพฺยตํ อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – นเตฺถตํ ฐาน’’นฺติฯ
Evaṃ vutte āyasmā udāyī āyasmantaṃ sāriputtaṃ etadavoca – ‘‘aṭṭhānaṃ kho etaṃ, āvuso sāriputta, anavakāso yaṃ so bhikkhu atikkammeva kabaḷīkārāhārabhakkhānaṃ devānaṃ sahabyataṃ aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – natthetaṃ ṭhāna’’nti.
ทุติยมฺปิ โข…เป.… ตติยมฺปิ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘อิธาวุโส, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – อเตฺถตํ ฐานํฯ โน เจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญํ อาราเธยฺย, อติกฺกเมฺมว กพฬีการาหารภกฺขานํ เทวานํ สหพฺยตํ อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – อเตฺถตํ ฐาน’’นฺติฯ
Dutiyampi kho…pe… tatiyampi kho āyasmā sāriputto bhikkhū āmantesi – ‘‘idhāvuso, bhikkhu sīlasampanno samādhisampanno paññāsampanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – atthetaṃ ṭhānaṃ. No ce diṭṭheva dhamme aññaṃ ārādheyya, atikkammeva kabaḷīkārāhārabhakkhānaṃ devānaṃ sahabyataṃ aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – atthetaṃ ṭhāna’’nti.
ตติยมฺปิ โข อายสฺมา อุทายี อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อฎฺฐานํ โข เอตํ, อาวุโส สาริปุตฺต , อนวกาโส ยํ โส ภิกฺขุ อติกฺกเมฺมว กพฬีการาหารภกฺขานํ เทวานํ สหพฺยตํ อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – นเตฺถตํ ฐาน’’นฺติฯ
Tatiyampi kho āyasmā udāyī āyasmantaṃ sāriputtaṃ etadavoca – ‘‘aṭṭhānaṃ kho etaṃ, āvuso sāriputta , anavakāso yaṃ so bhikkhu atikkammeva kabaḷīkārāhārabhakkhānaṃ devānaṃ sahabyataṃ aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – natthetaṃ ṭhāna’’nti.
อถ โข อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘ยาวตติยกมฺปิ 5 โข เม อายสฺมา อุทายี ปฎิโกฺกสติ, น จ เม โกจิ ภิกฺขุ อนุโมทติฯ ยํนูนาหํ เยน ภควา เตนุปสงฺกเมยฺย’’นฺติฯ อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘อิธาวุโส, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – อเตฺถตํ ฐานํฯ โน เจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญํ อาราเธยฺย, อติกฺกเมฺมว กพฬีการาหารภกฺขานํ เทวานํ สหพฺยตํ อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – อเตฺถตํ ฐาน’’นฺติฯ
Atha kho āyasmato sāriputtassa etadahosi – ‘‘yāvatatiyakampi 6 kho me āyasmā udāyī paṭikkosati, na ca me koci bhikkhu anumodati. Yaṃnūnāhaṃ yena bhagavā tenupasaṅkameyya’’nti. Atha kho āyasmā sāriputto yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā sāriputto bhikkhū āmantesi – ‘‘idhāvuso, bhikkhu sīlasampanno samādhisampanno paññāsampanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – atthetaṃ ṭhānaṃ. No ce diṭṭheva dhamme aññaṃ ārādheyya, atikkammeva kabaḷīkārāhārabhakkhānaṃ devānaṃ sahabyataṃ aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – atthetaṃ ṭhāna’’nti.
เอวํ วุเตฺต อายสฺมา อุทายี อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อฎฺฐานํ โข เอตํ, อาวุโส สาริปุตฺต, อนวกาโส ยํ โส ภิกฺขุ อติกฺกเมฺมว กพฬีการาหารภกฺขานํ เทวานํ สหพฺยตํ อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – นเตฺถตํ ฐาน’’นฺติฯ
Evaṃ vutte āyasmā udāyī āyasmantaṃ sāriputtaṃ etadavoca – ‘‘aṭṭhānaṃ kho etaṃ, āvuso sāriputta, anavakāso yaṃ so bhikkhu atikkammeva kabaḷīkārāhārabhakkhānaṃ devānaṃ sahabyataṃ aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – natthetaṃ ṭhāna’’nti.
ทุติยมฺปิ โข…เป.… ตติยมฺปิ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘อิธาวุโส, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – อเตฺถตํ ฐานํ ฯ โน เจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญํ อาราเธยฺย, อติกฺกเมฺมว กพฬีการาหารภกฺขานํ เทวานํ สหพฺยตํ อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – อเตฺถตํ ฐาน’’นฺติฯ
Dutiyampi kho…pe… tatiyampi kho āyasmā sāriputto bhikkhū āmantesi – ‘‘idhāvuso, bhikkhu sīlasampanno samādhisampanno paññāsampanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – atthetaṃ ṭhānaṃ . No ce diṭṭheva dhamme aññaṃ ārādheyya, atikkammeva kabaḷīkārāhārabhakkhānaṃ devānaṃ sahabyataṃ aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – atthetaṃ ṭhāna’’nti.
ตติยมฺปิ โข อายสฺมา อุทายี อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อฎฺฐานํ โข เอตํ, อาวุโส สาริปุตฺต, อนวกาโส ยํ โส ภิกฺขุ อติกฺกเมฺมว กพฬีการาหารภกฺขานํ เทวานํ สหพฺยตํ อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – นเตฺถตํ ฐาน’’นฺติฯ
Tatiyampi kho āyasmā udāyī āyasmantaṃ sāriputtaṃ etadavoca – ‘‘aṭṭhānaṃ kho etaṃ, āvuso sāriputta, anavakāso yaṃ so bhikkhu atikkammeva kabaḷīkārāhārabhakkhānaṃ devānaṃ sahabyataṃ aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – natthetaṃ ṭhāna’’nti.
อถ โข อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘ภควโตปิ โข เม สมฺมุขา อายสฺมา อุทายี ยาวตติยกํ ปฎิโกฺกสติ, น จ เม โกจิ ภิกฺขุ อนุโมทติฯ ยํนูนาหํ ตุณฺหี อสฺส’’นฺติฯ อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ตุณฺหี อโหสิฯ
Atha kho āyasmato sāriputtassa etadahosi – ‘‘bhagavatopi kho me sammukhā āyasmā udāyī yāvatatiyakaṃ paṭikkosati, na ca me koci bhikkhu anumodati. Yaṃnūnāhaṃ tuṇhī assa’’nti. Atha kho āyasmā sāriputto tuṇhī ahosi.
อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อุทายิํ อามเนฺตสิ – ‘‘กํ ปน ตฺวํ, อุทายิ, มโนมยํ กายํ ปเจฺจสี’’ติ? ‘‘เย เต, ภเนฺต, เทวา อรูปิโน สญฺญามยา’’ติฯ ‘‘กิํ นุ โข ตุยฺหํ, อุทายิ, พาลสฺส อพฺยตฺตสฺส ภณิเตน! ตฺวมฺปิ นาม ภณิตพฺพํ มญฺญสี’’ติ! อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามเนฺตสิ – ‘‘อตฺถิ นาม, อานนฺท, เถรํ ภิกฺขุํ วิเหสิยมานํ อชฺฌุเปกฺขิสฺสถ ฯ น หิ นาม, อานนฺท, การุญฺญมฺปิ ภวิสฺสติ เถรมฺหิ 7 ภิกฺขุมฺหิ วิเหสิยมานมฺหี’’ติฯ
Atha kho bhagavā āyasmantaṃ udāyiṃ āmantesi – ‘‘kaṃ pana tvaṃ, udāyi, manomayaṃ kāyaṃ paccesī’’ti? ‘‘Ye te, bhante, devā arūpino saññāmayā’’ti. ‘‘Kiṃ nu kho tuyhaṃ, udāyi, bālassa abyattassa bhaṇitena! Tvampi nāma bhaṇitabbaṃ maññasī’’ti! Atha kho bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ āmantesi – ‘‘atthi nāma, ānanda, theraṃ bhikkhuṃ vihesiyamānaṃ ajjhupekkhissatha . Na hi nāma, ānanda, kāruññampi bhavissati theramhi 8 bhikkhumhi vihesiyamānamhī’’ti.
อถ โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – อเตฺถตํ ฐานํฯ โน เจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญํ อาราเธยฺย , อติกฺกเมฺมว กพฬีการาหารภกฺขานํ เทวานํ สหพฺยตํ อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปโนฺน สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปเชฺชยฺยาปิ วุฎฺฐเหยฺยาปิ – อเตฺถตํ ฐาน’’นฺติฯ อิทมโวจ ภควาฯ อิทํ วตฺวาน สุคโต อุฎฺฐายาสนา วิหารํ ปาวิสิฯ
Atha kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘idha, bhikkhave, bhikkhu sīlasampanno samādhisampanno paññāsampanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – atthetaṃ ṭhānaṃ. No ce diṭṭheva dhamme aññaṃ ārādheyya , atikkammeva kabaḷīkārāhārabhakkhānaṃ devānaṃ sahabyataṃ aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapanno saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjeyyāpi vuṭṭhaheyyāpi – atthetaṃ ṭhāna’’nti. Idamavoca bhagavā. Idaṃ vatvāna sugato uṭṭhāyāsanā vihāraṃ pāvisi.
อถ โข อายสฺมา อานโนฺท อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต เยนายสฺมา อุปวาโณ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อุปวาณํ เอตทโวจ – ‘‘อิธาวุโส อุปวาณ, อเญฺญ เถเร ภิกฺขู วิเหเสนฺติฯ มยํ เตน น มุจฺจามฯ อนจฺฉริยํ โข, ปเนตํ อาวุโส อุปวาณ, ยํ ภควา สายนฺหสมยํ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต เอตเทว อารพฺภ อุทาหเรยฺย ยถา อายสฺมนฺตํเยเวตฺถ อุปวาณํ ปฎิภาเสยฺยฯ อิทาเนว อมฺหากํ สารชฺชํ โอกฺกนฺต’’นฺติฯ อถ โข ภควา สายนฺหสมยํ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต เยน อุปฎฺฐานสาลา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข ภควา อายสฺมนฺตํ อุปวาณํ เอตทโวจ –
Atha kho āyasmā ānando acirapakkantassa bhagavato yenāyasmā upavāṇo tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ upavāṇaṃ etadavoca – ‘‘idhāvuso upavāṇa, aññe there bhikkhū vihesenti. Mayaṃ tena na muccāma. Anacchariyaṃ kho, panetaṃ āvuso upavāṇa, yaṃ bhagavā sāyanhasamayaṃ paṭisallānā vuṭṭhito etadeva ārabbha udāhareyya yathā āyasmantaṃyevettha upavāṇaṃ paṭibhāseyya. Idāneva amhākaṃ sārajjaṃ okkanta’’nti. Atha kho bhagavā sāyanhasamayaṃ paṭisallānā vuṭṭhito yena upaṭṭhānasālā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi. Nisajja kho bhagavā āyasmantaṃ upavāṇaṃ etadavoca –
‘‘กตีหิ นุ โข, อุปวาณ, ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต เถโร ภิกฺขุ สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย จ โหติ มนาโป จ ครุ จ ภาวนีโย จา’’ติ? ‘‘ปญฺจหิ, ภเนฺต, ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต เถโร ภิกฺขุ สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย จ โหติ มนาโป จ ครุ จ ภาวนีโย จฯ กตเมหิ ปญฺจหิ? อิธ, ภเนฺต, เถโร ภิกฺขุ สีลวา โหติ…เป.… สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ; พหุสฺสุโต โหติ…เป.… ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธา; กลฺยาณวาโจ โหติ กลฺยาณวากฺกรโณ โปริยา วาจาย สมนฺนาคโต วิสฺสฎฺฐาย อเนลคลาย 9 อตฺถสฺส วิญฺญาปนิยา; จตุนฺนํ ฌานานํ อาภิเจตสิกานํ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารานํ นิกามลาภี โหติ อกิจฺฉลาภี อกสิรลาภี; อาสวานํ ขยา…เป.… สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อิเมหิ โข, ภเนฺต, ปญฺจหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต เถโร ภิกฺขุ สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย จ โหติ มนาโป จ ครุ จ ภาวนีโย จา’’ติฯ
‘‘Katīhi nu kho, upavāṇa, dhammehi samannāgato thero bhikkhu sabrahmacārīnaṃ piyo ca hoti manāpo ca garu ca bhāvanīyo cā’’ti? ‘‘Pañcahi, bhante, dhammehi samannāgato thero bhikkhu sabrahmacārīnaṃ piyo ca hoti manāpo ca garu ca bhāvanīyo ca. Katamehi pañcahi? Idha, bhante, thero bhikkhu sīlavā hoti…pe… samādāya sikkhati sikkhāpadesu; bahussuto hoti…pe… diṭṭhiyā suppaṭividdhā; kalyāṇavāco hoti kalyāṇavākkaraṇo poriyā vācāya samannāgato vissaṭṭhāya anelagalāya 10 atthassa viññāpaniyā; catunnaṃ jhānānaṃ ābhicetasikānaṃ diṭṭhadhammasukhavihārānaṃ nikāmalābhī hoti akicchalābhī akasiralābhī; āsavānaṃ khayā…pe… sacchikatvā upasampajja viharati. Imehi kho, bhante, pañcahi dhammehi samannāgato thero bhikkhu sabrahmacārīnaṃ piyo ca hoti manāpo ca garu ca bhāvanīyo cā’’ti.
‘‘สาธุ สาธุ, อุปวาณ! อิเมหิ โข, อุปวาณ, ปญฺจหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต เถโร ภิกฺขุ สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย จ โหติ มนาโป จ ครุ จ ภาวนีโย จฯ อิเม เจ, อุปวาณ, ปญฺจ ธมฺมา เถรสฺส ภิกฺขุโน น สํวิเชฺชยฺยุํ, ตํ สพฺรหฺมจารี น สกฺกเรยฺยุํ น ครุํ กเรยฺยุํ น มาเนยฺยุํ น ปูเชยฺยุํ ขณฺฑิเจฺจน ปาลิเจฺจน วลิตฺตจตายฯ ยสฺมา จ โข, อุปวาณ, อิเม ปญฺจ ธมฺมา เถรสฺส ภิกฺขุโน สํวิชฺชนฺติ, ตสฺมา ตํ สพฺรหฺมจารี สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺตี’’ติฯ ฉฎฺฐํฯ
‘‘Sādhu sādhu, upavāṇa! Imehi kho, upavāṇa, pañcahi dhammehi samannāgato thero bhikkhu sabrahmacārīnaṃ piyo ca hoti manāpo ca garu ca bhāvanīyo ca. Ime ce, upavāṇa, pañca dhammā therassa bhikkhuno na saṃvijjeyyuṃ, taṃ sabrahmacārī na sakkareyyuṃ na garuṃ kareyyuṃ na māneyyuṃ na pūjeyyuṃ khaṇḍiccena pāliccena valittacatāya. Yasmā ca kho, upavāṇa, ime pañca dhammā therassa bhikkhuno saṃvijjanti, tasmā taṃ sabrahmacārī sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjentī’’ti. Chaṭṭhaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๖. นิโรธสุตฺตวณฺณนา • 6. Nirodhasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๖. นิโรธสุตฺตวณฺณนา • 6. Nirodhasuttavaṇṇanā