Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā

    นิสฺสคฺคิยกถาวณฺณนา

    Nissaggiyakathāvaṇṇanā

    ๕๕๑. เอวํ อนิยตกถํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ นิสฺสคฺคิยกถํ ทเสฺสตุมาห ‘‘โขม’’นฺติอาทิ ฯ โขมนฺติ เอวํนามกํ จีวรํฯ โขมนฺติ คจฺฉวิเสสสฺส นามํ, ตสฺส วาเกหิ กตจีวรํ การโณปจารโวหารวเสน ‘‘โขม’’นฺติ วุตฺตํฯ กปฺปาสนฺติ กปฺปาสสุตฺตมยํ จีวรํ, อิทมฺปิ วุตฺตนเยเนว ‘‘กปฺปาส’’นฺติ วุจฺจติฯ โกเสยฺยํ นาม โกสการกิมิโกสํ, โกเสน นิพฺพตฺตํ สุตฺตํ โกเสยฺยํฯ อิธ ปน เตน โกเสยฺยสุเตฺตน นิพฺพตฺตํ จีวรํ ‘‘โกเสยฺย’’นฺติ วุตฺตํฯ สาณนฺติ สาณวากสุเตฺตหิ วายิตฺวา กตจีวรํฯ อิทญฺจ โขมํ วิย ทฎฺฐพฺพํฯ ภงฺคนฺติ โขมสุตฺตาทีนิ สพฺพานิ, เอกจฺจานิ วา มิเสฺสตฺวา กตจีวรํฯ อิทมฺปิ กรณปฺปกาเรน ลทฺธนามกํฯ ‘‘ภงฺคํ นาม เอกา คจฺฉชาติ, ตสฺสา วากมยสุเตฺตหิ วายิตฺวา กตจีวร’’นฺติ เกจิฯ อิมสฺมิํ ปเกฺข โขมํ วิย คเหตพฺพํฯ กมฺพลนฺติ มนุสฺสโลมวาฬโลมํ วินา เสสโลเมหิ วายิตฺวา กตจีวรํ วุตฺตนฺติฯ อิทํ ‘‘จีวรํ นาม ฉนฺนํ จีวรานํ อญฺญตรํ จีวร’’นฺติ (ปารา. ๔๖๓) ปทภาชเน จ ‘‘โขมํ กปฺปาสิกํ โกเสยฺยํ กมฺพลํ สาณํ ภงฺค’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๒-๔๖๓) อฎฺฐกถาย จ วุตฺตํ สนฺธายาหฯ ‘‘ชาติโต’’ติ อิทํ ปมาณาทิเภทสฺส วกฺขมานตฺตา วุตฺตํฯ ชาติโตติ โขมาทิสามญฺญโตฯ สามญฺญญฺหิ ‘‘ชาตี’’ติ วุจฺจติฯ ทีฆรสฺสถูลสุขุมนีลปีตาทิเภทภินฺนานํ สเพฺพสํ วตฺถาวยวานํ สงฺคาหิกโขมสุตฺตมยตาสามญฺญํ ชาตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ เสเสสุปิฯ

    551. Evaṃ aniyatakathaṃ dassetvā idāni nissaggiyakathaṃ dassetumāha ‘‘khoma’’ntiādi . Khomanti evaṃnāmakaṃ cīvaraṃ. Khomanti gacchavisesassa nāmaṃ, tassa vākehi katacīvaraṃ kāraṇopacāravohāravasena ‘‘khoma’’nti vuttaṃ. Kappāsanti kappāsasuttamayaṃ cīvaraṃ, idampi vuttanayeneva ‘‘kappāsa’’nti vuccati. Koseyyaṃ nāma kosakārakimikosaṃ, kosena nibbattaṃ suttaṃ koseyyaṃ. Idha pana tena koseyyasuttena nibbattaṃ cīvaraṃ ‘‘koseyya’’nti vuttaṃ. Sāṇanti sāṇavākasuttehi vāyitvā katacīvaraṃ. Idañca khomaṃ viya daṭṭhabbaṃ. Bhaṅganti khomasuttādīni sabbāni, ekaccāni vā missetvā katacīvaraṃ. Idampi karaṇappakārena laddhanāmakaṃ. ‘‘Bhaṅgaṃ nāma ekā gacchajāti, tassā vākamayasuttehi vāyitvā katacīvara’’nti keci. Imasmiṃ pakkhe khomaṃ viya gahetabbaṃ. Kambalanti manussalomavāḷalomaṃ vinā sesalomehi vāyitvā katacīvaraṃ vuttanti. Idaṃ ‘‘cīvaraṃ nāma channaṃ cīvarānaṃ aññataraṃ cīvara’’nti (pārā. 463) padabhājane ca ‘‘khomaṃ kappāsikaṃ koseyyaṃ kambalaṃ sāṇaṃ bhaṅga’’nti (pārā. aṭṭha. 2.462-463) aṭṭhakathāya ca vuttaṃ sandhāyāha. ‘‘Jātito’’ti idaṃ pamāṇādibhedassa vakkhamānattā vuttaṃ. Jātitoti khomādisāmaññato. Sāmaññañhi ‘‘jātī’’ti vuccati. Dīgharassathūlasukhumanīlapītādibhedabhinnānaṃ sabbesaṃ vatthāvayavānaṃ saṅgāhikakhomasuttamayatāsāmaññaṃ jātīti vuttaṃ hoti. Evaṃ sesesupi.

    ๕๕๒. ทุกูลนฺติ เอวํนามกํ รุกฺขวากมยจีวรํฯ ปตฺตุณฺณนฺติ ปตฺตุณฺณเทเส สญฺชาตวตฺถํฯ ‘‘ปตฺตุณฺณํ โกเสยฺยวิเสโส’’ติ อภิธานโกเส วุตฺตํฯ จินนฺติ จินเทเส อุปฺปนฺนวตฺถํฯ โสมารปฎฺฎกนฺติ โสมารเทเส อุปฺปนฺนวตฺถํฯ ‘‘โสมารจินปฎก’’นฺติปิ ลิขนฺติ, โสเยวโตฺถฯ อิทฺธิชนฺติ เอหิภิกฺขูนํ ปุญฺญิทฺธิยา นิพฺพตฺตํ จีวรํฯ เทวทินฺนนฺติ เทวตาหิ ทินฺนํ จีวรํฯ ตญฺหิ กปฺปรุเกฺข นิพฺพตฺตํ, ชาลินิยา เทวกญฺญาย อนุรุทฺธเตฺถรสฺส ทินฺนวตฺถสทิสํฯ ตสฺสาติ ชาติโต ฉพฺพิธสฺส กปฺปิยจีวรสฺสฯ อิทํ ฉพฺพิธจีวรํ ยถารหํ อนุโลมิกํ วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ ทุกูลญฺหิ สาณสฺส อนุโลมํ วากมยตฺตา, ปตฺตุณฺณาทีนิ โกเสยฺยสฺส อนุโลมานิ ปาณเกหิ กตสุตฺตมยตฺตา, อิทฺธิชมฺปิ โขมาทีนํเยว อญฺญตรํ โหตีติ เตสํ อนุโลมํ, เทวทินฺนมฺปิ โขมาทีนํเยว อนุโลมํ โหติ เตสํ อญฺญตรภาวโตฯ ยถาห –

    552.Dukūlanti evaṃnāmakaṃ rukkhavākamayacīvaraṃ. Pattuṇṇanti pattuṇṇadese sañjātavatthaṃ. ‘‘Pattuṇṇaṃ koseyyaviseso’’ti abhidhānakose vuttaṃ. Cinanti cinadese uppannavatthaṃ. Somārapaṭṭakanti somāradese uppannavatthaṃ. ‘‘Somāracinapaṭaka’’ntipi likhanti, soyevattho. Iddhijanti ehibhikkhūnaṃ puññiddhiyā nibbattaṃ cīvaraṃ. Devadinnanti devatāhi dinnaṃ cīvaraṃ. Tañhi kapparukkhe nibbattaṃ, jāliniyā devakaññāya anuruddhattherassa dinnavatthasadisaṃ. Tassāti jātito chabbidhassa kappiyacīvarassa. Idaṃ chabbidhacīvaraṃ yathārahaṃ anulomikaṃ vuttanti attho. Dukūlañhi sāṇassa anulomaṃ vākamayattā, pattuṇṇādīni koseyyassa anulomāni pāṇakehi katasuttamayattā, iddhijampi khomādīnaṃyeva aññataraṃ hotīti tesaṃ anulomaṃ, devadinnampi khomādīnaṃyeva anulomaṃ hoti tesaṃ aññatarabhāvato. Yathāha –

    ‘‘สาณสฺส ตุ ทุกูลญฺหิ, อิทฺธิชํ เทวทินฺนกํ;

    ‘‘Sāṇassa tu dukūlañhi, iddhijaṃ devadinnakaṃ;

    โขมาทีนํวสิฎฺฐํตุ, โกเสยฺยสฺสานุโลมิก’’นฺติฯ

    Khomādīnaṃvasiṭṭhaṃtu, koseyyassānulomika’’nti.

    ๕๕๓. ติณฺณํ จีวรานํ สมาหาโร ติจีวรนฺติ ปมาณยุตฺตํ สงฺฆาฎิอาทินาเมน อธิฎฺฐิตจีวรเสฺสว นามตฺตา ตเทว วุจฺจติฯ คณนวเสน ยํ กิญฺจิ จีวรตฺตยํ น วตฺตพฺพํฯ สมุเทฺทกเทโสปิ ยถา ‘‘สมุโทฺท’’ติ วุจฺจติ, เอวํ อธิฎฺฐิเตสุ ตีสุ จีวเรสุ อญฺญตรํ ‘‘ติจีวร’’นฺติ วุจฺจติฯ ปริกฺขารโจฬนฺติ สงฺฆาฎิอาทิวิสิฎฺฐนาเมหิ อนธิฎฺฐิตํ ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว อายาเมน อฎฺฐงฺคุลํ สุคตงฺคุเลน จตุรงฺคุลวิตฺถตํ ปจฺฉิมํ จีวร’’นฺติ (ปารา. ๓๕๘) อนุญฺญาตํ ปจฺฉิมจีวรปริยนฺตํ กตฺวา กตากตสฺส ยสฺส กสฺสจิ จีวรสฺส รุฬฺหิสญฺญาฯ

    553. Tiṇṇaṃ cīvarānaṃ samāhāro ticīvaranti pamāṇayuttaṃ saṅghāṭiādināmena adhiṭṭhitacīvarasseva nāmattā tadeva vuccati. Gaṇanavasena yaṃ kiñci cīvarattayaṃ na vattabbaṃ. Samuddekadesopi yathā ‘‘samuddo’’ti vuccati, evaṃ adhiṭṭhitesu tīsu cīvaresu aññataraṃ ‘‘ticīvara’’nti vuccati. Parikkhāracoḷanti saṅghāṭiādivisiṭṭhanāmehi anadhiṭṭhitaṃ ‘‘anujānāmi bhikkhave āyāmena aṭṭhaṅgulaṃ sugataṅgulena caturaṅgulavitthataṃ pacchimaṃ cīvara’’nti (pārā. 358) anuññātaṃ pacchimacīvarapariyantaṃ katvā katākatassa yassa kassaci cīvarassa ruḷhisaññā.

    มุขํ สนฺทมานลาลํ ปุญฺฉติ เอเตนาติ มุขปุญฺฉนนฺติ กโปลโต นิจฺจํ สนฺทมานลาลานํ ปุญฺฉนตฺถาย อนุญฺญาตสฺส จีวรวิเสสสฺส นามํฯ นิสีทนฺติ เอตฺถาติ นิสีทนนฺติ จ ภิกฺขูนํ อตฺถริตฺวา นิสีทิตุํ อนุญฺญาตสฺส จีวรสฺส นามํฯ อธิเฎฺฐยฺยาติ ‘‘อิมํ กณฺฑุปฺปฎิจฺฉาทิ’’นฺติอาทินา (วิ. วิ. ๕๘๕) วกฺขมานนเยน นามํ คเหตฺวา อธิเฎฺฐยฺยาติ อโตฺถฯ ปจฺจตฺถรณเมว จาติ สงฺฆิเก มญฺจปีเฐ สรีรสมฺผุสเนน อาปชฺชิตพฺพาย อาปตฺติยา โมจนตฺถาย ตตฺถ อตฺถริตฺวา ปริโภคตฺถาย อนุญฺญาตํ ปจฺจตฺถรณจีวรญฺจฯ

    Mukhaṃ sandamānalālaṃ puñchati etenāti mukhapuñchananti kapolato niccaṃ sandamānalālānaṃ puñchanatthāya anuññātassa cīvaravisesassa nāmaṃ. Nisīdanti etthāti nisīdananti ca bhikkhūnaṃ attharitvā nisīdituṃ anuññātassa cīvarassa nāmaṃ. Adhiṭṭheyyāti ‘‘imaṃ kaṇḍuppaṭicchādi’’ntiādinā (vi. vi. 585) vakkhamānanayena nāmaṃ gahetvā adhiṭṭheyyāti attho. Paccattharaṇameva cāti saṅghike mañcapīṭhe sarīrasamphusanena āpajjitabbāya āpattiyā mocanatthāya tattha attharitvā paribhogatthāya anuññātaṃ paccattharaṇacīvarañca.

    ๕๕๔. เอกาหนฺติ วสนกิริยาย อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ ติจีวรนฺติ ติจีวเรนฯ วิปฺปวเสยฺยาติ ‘‘สงฺฆาฎิยา วา อุตฺตราสเงฺคน วา อนฺตรวาสเกน วา’’ติ (ปารา. ๔๗๖) วุตฺตตฺตา เอกเทเส สมุทาโยปจารวเสน อวยวสฺส วจนโต ติณฺณํ จีวรานํ อญฺญตเรนาติปิ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘วินา’’ติ อิทํ ปจฺจามสติฯ อธิฎฺฐาติ อธิฎฺฐายาติ คเหตพฺพํ ‘‘ปฎิสงฺขา โยนิโส’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๒, ๒๓; อ. นิ. ๖.๕๘) ยถา, เอตฺถ ‘‘วฬญฺชิยมาน’’นฺติ เสโส, อธิฎฺฐาย วฬญฺชิยมานํ นิสีทนํ ตถา วินา จตุมาสํ น วเสยฺยาติ โยชนาฯ

    554.Ekāhanti vasanakiriyāya accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Ticīvaranti ticīvarena. Vippavaseyyāti ‘‘saṅghāṭiyā vā uttarāsaṅgena vā antaravāsakena vā’’ti (pārā. 476) vuttattā ekadese samudāyopacāravasena avayavassa vacanato tiṇṇaṃ cīvarānaṃ aññatarenātipi vuttaṃ hoti. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘vinā’’ti idaṃ paccāmasati. Adhiṭṭhāti adhiṭṭhāyāti gahetabbaṃ ‘‘paṭisaṅkhā yoniso’’ti (ma. ni. 1.22, 23; a. ni. 6.58) yathā, ettha ‘‘vaḷañjiyamāna’’nti seso, adhiṭṭhāya vaḷañjiyamānaṃ nisīdanaṃ tathā vinā catumāsaṃ na vaseyyāti yojanā.

    ๕๕๕. กปฺปิยนฺติ กปฺปิยการณํ นีลาทิวณฺณเภทกรณํฯ กปฺปิยนฺติ จ การเณ การิยูปจาเรน คเหตพฺพํฯ พินฺทุํ ทตฺวาติ ‘‘นีลํ วา กทฺทมํ วา กาฬสามํ วา’’ติ (ปาจิ. ๓๖๘) วุตฺตโลหมลาทินา เยน เกนจิปิ มงฺคุลปิฎฺฐิปฺปมาณาทิกํ พินฺทุํ ทตฺวาฯ ตตฺถาติ เตสุ อธิฎฺฐาตเพฺพสุ ติจีวราทีสุ, นิทฺธารเณ ภุมฺมํฯ ติจีวรนฺติ นิทฺธาริตพฺพํฯ อุปปนฺนนฺติ ยุตฺตํฯ ปมาเณนาติ อนนฺตรํ วกฺขมาเนน ปมาเณนฯ อธิฎฺฐาตพฺพนฺติ ‘‘อิมํ สงฺฆาฎิํ อธิฎฺฐามี’’ติอาทินา วกฺขมานนเยน นามํ วตฺวา อธิฎฺฐาตพฺพํฯ เอวกาเรน ปน นามํ วตฺวา น วิกเปฺปตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ เอส นโย เสสจีวเรสุปิฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ, น วิกเปฺปตุ’’นฺติอาทิ (มหาว. ๓๕๘)ฯ ตสฺมา ติจีวราทีนิ อธิฎฺฐหเนฺตน ‘‘อิมํ สงฺฆาฎิํ อธิฎฺฐามี’’ติอาทินา นามํ วตฺวา อธิฎฺฐาตพฺพํฯ วิกเปฺปเนฺตน ปน ‘‘อิมํ สงฺฆาฎิ’’นฺติอาทินา ตสฺส จีวรสฺส นามํ อคฺคเหตฺวา ‘‘อิมํ จีวรํ ตุยฺหํ วิกเปฺปมี’’ติ วิกเปฺปตพฺพํฯ ติจีวรํ วา โหตุ อญฺญํ วา, ยทิ ตํ ตํ นามํ คเหตฺวา วิกเปฺปติ, อวิกปฺปิตํ โหติ อติเรกจีวรฎฺฐาเน ติฎฺฐติฯ ตํ จีวรนฺติ สมฺพโนฺธฯ

    555.Kappiyanti kappiyakāraṇaṃ nīlādivaṇṇabhedakaraṇaṃ. Kappiyanti ca kāraṇe kāriyūpacārena gahetabbaṃ. Binduṃ datvāti ‘‘nīlaṃ vā kaddamaṃ vā kāḷasāmaṃ vā’’ti (pāci. 368) vuttalohamalādinā yena kenacipi maṅgulapiṭṭhippamāṇādikaṃ binduṃ datvā. Tatthāti tesu adhiṭṭhātabbesu ticīvarādīsu, niddhāraṇe bhummaṃ. Ticīvaranti niddhāritabbaṃ. Upapannanti yuttaṃ. Pamāṇenāti anantaraṃ vakkhamānena pamāṇena. Adhiṭṭhātabbanti ‘‘imaṃ saṅghāṭiṃ adhiṭṭhāmī’’tiādinā vakkhamānanayena nāmaṃ vatvā adhiṭṭhātabbaṃ. Evakārena pana nāmaṃ vatvā na vikappetabbanti dasseti. Esa nayo sesacīvaresupi. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘anujānāmi bhikkhave ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ, na vikappetu’’ntiādi (mahāva. 358). Tasmā ticīvarādīni adhiṭṭhahantena ‘‘imaṃ saṅghāṭiṃ adhiṭṭhāmī’’tiādinā nāmaṃ vatvā adhiṭṭhātabbaṃ. Vikappentena pana ‘‘imaṃ saṅghāṭi’’ntiādinā tassa cīvarassa nāmaṃ aggahetvā ‘‘imaṃ cīvaraṃ tuyhaṃ vikappemī’’ti vikappetabbaṃ. Ticīvaraṃ vā hotu aññaṃ vā, yadi taṃ taṃ nāmaṃ gahetvā vikappeti, avikappitaṃ hoti atirekacīvaraṭṭhāne tiṭṭhati. Taṃ cīvaranti sambandho.

    ๕๕๖-๗. ‘‘อุปปนฺนํ ปมาเณนา’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปมาณํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปจฺฉิมเนฺตนา’’ติอาทิฯ สงฺฆฎิตเฎฺฐน สงฺฆาฎิฯ วตฺถขณฺฑานิ สิพฺพนกเมฺมน สงฺฆเฎตฺวา กตตฺตา ‘‘สงฺฆาฎี’’ติ จีวรานํ สามญฺญนามํฯ อิธ ปน รุฬฺหิยา อนฺตรวาสกาทิวิเสสนามพฺยติริเตฺต จีวรวิเสเส วตฺตติฯ มุฎฺฐิปญฺจกาติ เอตฺถ เอกาทีนมฎฺฐารสนฺตานํ สงฺขฺยาสทฺทานํ สเงฺขฺยเยฺย วตฺตมานตฺตา ปญฺจสโทฺท จีวรปฺปมาณปฺปกรณโต ลพฺภมานหตฺถสงฺขาตรตเนเยว ปวตฺตติ, เตเนว มุฎฺฐิสโทฺทปิ อุตฺตรปทโลเปน มุฎฺฐิรตเน วตฺตติฯ ปญฺจนฺนํ ปูรโณ ปญฺจโม, มุฎฺฐิยา ปญฺจโม มุฎฺฐิปญฺจโมฯ มุฎฺฐิปญฺจโม ปริมาณเมติสฺสาติ ‘‘มุฎฺฐิปญฺจมกา’’ติ วตฺตเพฺพ ม-การโลเปน ‘‘มุฎฺฐิปญฺจกา’’ติ สงฺฆาฎิ วุตฺตาฯ

    556-7. ‘‘Upapannaṃ pamāṇenā’’ti ettha vuttappamāṇaṃ dassetumāha ‘‘pacchimantenā’’tiādi. Saṅghaṭitaṭṭhena saṅghāṭi. Vatthakhaṇḍāni sibbanakammena saṅghaṭetvā katattā ‘‘saṅghāṭī’’ti cīvarānaṃ sāmaññanāmaṃ. Idha pana ruḷhiyā antaravāsakādivisesanāmabyatiritte cīvaravisese vattati. Muṭṭhipañcakāti ettha ekādīnamaṭṭhārasantānaṃ saṅkhyāsaddānaṃ saṅkhyeyye vattamānattā pañcasaddo cīvarappamāṇappakaraṇato labbhamānahatthasaṅkhātarataneyeva pavattati, teneva muṭṭhisaddopi uttarapadalopena muṭṭhiratane vattati. Pañcannaṃ pūraṇo pañcamo, muṭṭhiyā pañcamo muṭṭhipañcamo. Muṭṭhipañcamo parimāṇametissāti ‘‘muṭṭhipañcamakā’’ti vattabbe ma-kāralopena ‘‘muṭṭhipañcakā’’ti saṅghāṭi vuttā.

    มุฎฺฐิตฺติกาติ เอตฺถ วุตฺตนเยน สเงฺขฺยเยฺย วตฺตมาโน ติ-สโทฺท จีวรปฺปมาณปฺปกรณโต ลพฺภมานหตฺถสงฺขาตรตเนเยว วตฺตติ, เตเนว มุฎฺฐิสโทฺทปิ อุตฺตรปทโลเปน มุฎฺฐิรตเน วตฺตติฯ ติณฺณํ ปูรโณ ตติโย, มุฎฺฐิยา ตติโย มุฎฺฐิตติโย, มุฎฺฐิตติโย ปริมาณเมติสฺสาติ ‘‘มุฎฺฐิตติยกา’’ติ วตฺตเพฺพ ติย-ปจฺจยโลเปน ‘‘มุฎฺฐิตฺติกา’’ติ สงฺฆาฎิเยว วุจฺจติฯ เอวมุปริปิฯ ติริยนฺติ ติริยโตฯ

    Muṭṭhittikāti ettha vuttanayena saṅkhyeyye vattamāno ti-saddo cīvarappamāṇappakaraṇato labbhamānahatthasaṅkhātarataneyeva vattati, teneva muṭṭhisaddopi uttarapadalopena muṭṭhiratane vattati. Tiṇṇaṃ pūraṇo tatiyo, muṭṭhiyā tatiyo muṭṭhitatiyo, muṭṭhitatiyo parimāṇametissāti ‘‘muṭṭhitatiyakā’’ti vattabbe tiya-paccayalopena ‘‘muṭṭhittikā’’ti saṅghāṭiyeva vuccati. Evamuparipi. Tiriyanti tiriyato.

    อุตฺตมเนฺตนาติ อุกฺกฎฺฐปริมาณเนฺตนฯ สตฺถุโน จีวรูนาปีติ ‘‘ตตฺริทํ สุคตสฺส สุคตจีวรปฺปมาณํ, ทีฆโส นว วิทตฺถิโย สุคตวิทตฺถิยา, ติริยํ ฉ วิทตฺถิโย’’ติ (ปาจิ. ๕๔๘) วุตฺตปฺปมาณสุคตจีวรโต อูนาปิฯ ปิ-สโทฺท สมฺภาวเน, อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉเทน ตตฺตกมฺปิ วฎฺฎติ, ตโต เจ อูนํ วตฺตพฺพเมว นตฺถีติ อโตฺถฯ อนฺตทฺวยสนฺทสฺสเนน อุภยมเชฺฌ ยํ ปโหนกรุจฺจนกปฺปมาณํ, ตํ คเหตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ

    Uttamantenāti ukkaṭṭhaparimāṇantena. Satthuno cīvarūnāpīti ‘‘tatridaṃ sugatassa sugatacīvarappamāṇaṃ, dīghaso nava vidatthiyo sugatavidatthiyā, tiriyaṃ cha vidatthiyo’’ti (pāci. 548) vuttappamāṇasugatacīvarato ūnāpi. Pi-saddo sambhāvane, ukkaṭṭhaparicchedena tattakampi vaṭṭati, tato ce ūnaṃ vattabbameva natthīti attho. Antadvayasandassanena ubhayamajjhe yaṃ pahonakaruccanakappamāṇaṃ, taṃ gahetabbanti dasseti.

    ๕๕๘. มุฎฺฐิปญฺจกสโทฺท ปุเพฺพ วุตฺตนเยนิธ ทีฆเนฺต วตฺตติฯ มุฎฺฐิปญฺจโก ทีฆโนฺต ยสฺส, ยสฺมิํ วา ปมาเณติ วิคฺคโห, ทีฆนฺตโต มุฎฺฐิปญฺจกปฺปมาเณนาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘มุฎฺฐิปญฺจม’’นฺติปิ ลิขนฺติฯ ติริยนฺตโตติ วิตฺถารนฺตโตฯ อฑฺฒหโตฺถ อโฑฺฒ อุตฺตรปทโลเปน, โส เตโยฺย ตติโย ยสฺส ปมาณสฺสาติ คเหตพฺพํ, ตํ, อฑฺฒเตยฺยรตนปฺปมาณํ โหตีติ อโตฺถฯ ทฺวิหตฺถํ วาติ เทฺว หตฺถา ยสฺส ปมาณสฺสาติ วิคฺคโห, ทฺวิรตนปฺปมาณํ วา โหตีติ อโตฺถฯ อิทญฺจ ‘‘ติริยํ ทฺวิหโตฺถปิ วฎฺฎติฯ ปารุปเนนปิ หิ สกฺกา นาภิํ ปฎิจฺฉาเทตุ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙) อฎฺฐกถาคตตฺตา วุตฺตํฯ ‘‘เสเส อนฺตรวาสเก’’ติ อิทํ ยถาวุตฺตปริมาเณน ปริมิตจีวรนิทสฺสนํฯ

    558.Muṭṭhipañcakasaddo pubbe vuttanayenidha dīghante vattati. Muṭṭhipañcako dīghanto yassa, yasmiṃ vā pamāṇeti viggaho, dīghantato muṭṭhipañcakappamāṇenāti vuttaṃ hoti. ‘‘Muṭṭhipañcama’’ntipi likhanti. Tiriyantatoti vitthārantato. Aḍḍhahattho aḍḍho uttarapadalopena, so teyyo tatiyo yassa pamāṇassāti gahetabbaṃ, taṃ, aḍḍhateyyaratanappamāṇaṃ hotīti attho. Dvihatthaṃ vāti dve hatthā yassa pamāṇassāti viggaho, dviratanappamāṇaṃ vā hotīti attho. Idañca ‘‘tiriyaṃ dvihatthopi vaṭṭati. Pārupanenapi hi sakkā nābhiṃ paṭicchādetu’’nti (pārā. aṭṭha. 2.469) aṭṭhakathāgatattā vuttaṃ. ‘‘Sese antaravāsake’’ti idaṃ yathāvuttaparimāṇena parimitacīvaranidassanaṃ.

    ๕๕๙. อหตาหตกปฺปานนฺติ เอตฺถ ‘‘วตฺถาน’’นฺติ เสโสฯ อหตานํ วตฺถานนฺติ นววตฺถานํฯ อหตโต กิญฺจิ อูนานิ อหตกปฺปานิ, เตสํ นวโวหารูปคานํ กติปยโธตานํ วตฺถานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สงฺฆาฎีติ สงฺฆาฎินามกจีวรํฯ ทิคุณาติ ทุปฎฺฎกตาฯ

    559.Ahatāhatakappānanti ettha ‘‘vatthāna’’nti seso. Ahatānaṃ vatthānanti navavatthānaṃ. Ahatato kiñci ūnāni ahatakappāni, tesaṃ navavohārūpagānaṃ katipayadhotānaṃ vatthānanti vuttaṃ hoti. Saṅghāṭīti saṅghāṭināmakacīvaraṃ. Diguṇāti dupaṭṭakatā.

    ๕๖๐. อุตุทฺธฎานนฺติ อติกฺกนฺตทิวสานํ, พหุกาลํ นิวาเสตฺวา ปริจฺจตฺตานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา ยานิ อุตุโต อุทฺธฎานิ, เตสํ วตฺถานนฺติ คเหตพฺพํ, ติณฺณํ อุตูนมญฺญตรํ อติกฺกมิตฺวา ฐิตานํ ปุราณวตฺถานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ จีวรานนฺติ จีวรตฺถานิ วตฺถาเนว คหิตานิฯ จตุคฺคุณาติ จตุปฎฺฎาฯ เสสา ทุเวติ อนฺตรวาสกอุตฺตราสงฺคา เทฺวฯ ยถาสุขนฺติ ยถารุจิฯ ปํสุกูลนฺติ สุสานาทีสุ ปติตปิโลติกจีวรํฯ

    560.Utuddhaṭānanti atikkantadivasānaṃ, bahukālaṃ nivāsetvā pariccattānanti vuttaṃ hoti. Atha vā yāni ututo uddhaṭāni, tesaṃ vatthānanti gahetabbaṃ, tiṇṇaṃ utūnamaññataraṃ atikkamitvā ṭhitānaṃ purāṇavatthānanti vuttaṃ hoti. Cīvarānanti cīvaratthāni vatthāneva gahitāni. Catugguṇāti catupaṭṭā. Sesā duveti antaravāsakauttarāsaṅgā dve. Yathāsukhanti yathāruci. Paṃsukūlanti susānādīsu patitapilotikacīvaraṃ.

    ๕๖๑. ‘‘ตีณิปี’’ติอาทีสุ ‘‘ติจีวเร กยิรมาเน สพฺพํ ฉินฺนกํ นปฺปโหตี’’ติ ปาฬิยํ อาคตวตฺถุมฺหิ ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว เทฺว ฉินฺนกานิ เอกํ อฉินฺนก’’นฺติ (มหาว. ๓๖๐) อาทิวจนโต ‘‘จีวร’’นฺติ เสโสฯ ฉินฺทิตพฺพนฺติ วตฺถานิ ฉินฺทิตฺวา สิเพฺพตฺวา กาตพฺพํฯ ปโหติ เจติ วตฺถานิ ฉินฺทิตฺวา กรเณ ยทิ จีวรสฺส ปโหติฯ สเพฺพสูติ ตีสุ จีวเรสุฯ อปฺปโหเนฺตสูติ วตฺถานํ ฉินฺทิตฺวา สิพฺพเนน อปฺปโหเนฺตสุฯ อนฺวาธิกนฺติ วเตฺถ อูนาติเรกํ อปเนตฺวา อาคนฺตุกปตฺตสงฺขาตํ อนุวาตํ จีวรสฺส ปริยเนฺต, มเชฺฌ จ ยถารหํ ทีฆรสฺสปริมาณยุตฺตํ อลฺลิยาเปตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    561.‘‘Tīṇipī’’tiādīsu ‘‘ticīvare kayiramāne sabbaṃ chinnakaṃ nappahotī’’ti pāḷiyaṃ āgatavatthumhi ‘‘anujānāmi bhikkhave dve chinnakāni ekaṃ achinnaka’’nti (mahāva. 360) ādivacanato ‘‘cīvara’’nti seso. Chinditabbanti vatthāni chinditvā sibbetvā kātabbaṃ. Pahoti ceti vatthāni chinditvā karaṇe yadi cīvarassa pahoti. Sabbesūti tīsu cīvaresu. Appahontesūti vatthānaṃ chinditvā sibbanena appahontesu. Anvādhikanti vatthe ūnātirekaṃ apanetvā āgantukapattasaṅkhātaṃ anuvātaṃ cīvarassa pariyante, majjhe ca yathārahaṃ dīgharassaparimāṇayuttaṃ alliyāpetabbanti vuttaṃ hoti.

    ๕๖๒. อจฺฉินฺนํ วาติ ยถาวุตฺตนเยน อจฺฉินฺนํ วาฯ อนาทินฺนนฺติ อนาทินฺนอาคนฺตุกปตฺตํ ฯ ติจีวรนฺติ ตีสุ จีวเรสุ เอเกกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ทุโพฺภเคนาติ ทุฎฺฐุ ปริโภเคน ฯ ยถา ปริภุตฺตํ นสฺสติ, ตถา กิลิฎฺฐานํ โธวนาทิมกตฺวา นิวาสนาทินา ปริโภเคนฯ

    562.Acchinnaṃ vāti yathāvuttanayena acchinnaṃ vā. Anādinnanti anādinnaāgantukapattaṃ . Ticīvaranti tīsu cīvaresu ekekanti vuttaṃ hoti. Dubbhogenāti duṭṭhu paribhogena . Yathā paribhuttaṃ nassati, tathā kiliṭṭhānaṃ dhovanādimakatvā nivāsanādinā paribhogena.

    ๕๖๓-๔. กุสินฺติ อายามโต จ วิตฺถารโต จ อนุวาตํ จีวรมเชฺฌ ตาทิสเมว ทีฆปตฺตญฺจฯ วุตฺตเญฺหตํ จีวรกฺขนฺธอฎฺฐกถายํ ‘‘กุสีติ อายามโต จ วิตฺถารโต จ อนุวาตาทีนํ ทีฆปตฺตานเมตํ อธิวจน’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔๕)ฯ อฑฺฒกุสินฺติ อนุวาตสทิสํ จีวรมเชฺฌ ตตฺถ ตตฺถ รสฺสปตฺตํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘อฑฺฒกุสีติ อนฺตรนฺตรา รสฺสปตฺตานํ นาม’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔๕)ฯ มณฺฑลนฺติ เอเกกสฺมิํ ขเณฺฑ มหามณฺฑลํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘มณฺฑลนฺติ ปญฺจขณฺฑิกจีวรสฺส เอเกกสฺมิํ ขเณฺฑ มหามณฺฑล’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔๕)ฯ อฑฺฒมณฺฑลนฺติ มณฺฑลสฺส อโนฺต นิเวสิยมานํ ขุทฺทกมณฺฑลํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘อฑฺฒมณฺฑลนฺติ ขุทฺทกมณฺฑล’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔๕)ฯ วิวฎฺฎนฺติ มณฺฑลํ, อฑฺฒมณฺฑลญฺจาติ เทฺว เอกโต กตฺวา สิพฺพิตํ เวมเชฺฌ ขณฺฑํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘วิวฎฺฎนฺติ มณฺฑลญฺจ อฑฺฒมณฺฑลญฺจ เอกโต กตฺวา สิพฺพิตํ มชฺฌิมขณฺฑ’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔๕)ฯ อนุวิวฎฺฎนฺติ มชฺฌิมขณฺฑสฺส อุโภสุ ปเสฺสสุ สิพฺพิตํ ตเถว ทฺวิมณฺฑลปตฺตํ ขณฺฑทฺวยํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘อนุวิวฎฺฎนฺติ ตสฺส อุโภสุ ปเสฺสสุ เทฺว ขณฺฑานี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔๕)ฯ พาหนฺตนฺติ เตสํ อนุวิวฎฺฎานํ พาหิรปเสฺส สิพฺพิตํ พาหิรขณฺฑทฺวยํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘พาหนฺตนฺติ เตสํ อนุวิวฎฺฎานํ พหิ เอเกกํ ขณฺฑ’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔๕)ฯ

    563-4.Kusinti āyāmato ca vitthārato ca anuvātaṃ cīvaramajjhe tādisameva dīghapattañca. Vuttañhetaṃ cīvarakkhandhaaṭṭhakathāyaṃ ‘‘kusīti āyāmato ca vitthārato ca anuvātādīnaṃ dīghapattānametaṃ adhivacana’’nti (mahāva. aṭṭha. 345). Aḍḍhakusinti anuvātasadisaṃ cīvaramajjhe tattha tattha rassapattaṃ. Vuttampi cetaṃ ‘‘aḍḍhakusīti antarantarā rassapattānaṃ nāma’’nti (mahāva. aṭṭha. 345). Maṇḍalanti ekekasmiṃ khaṇḍe mahāmaṇḍalaṃ. Vuttampi cetaṃ ‘‘maṇḍalanti pañcakhaṇḍikacīvarassa ekekasmiṃ khaṇḍe mahāmaṇḍala’’nti (mahāva. aṭṭha. 345). Aḍḍhamaṇḍalanti maṇḍalassa anto nivesiyamānaṃ khuddakamaṇḍalaṃ. Vuttampi cetaṃ ‘‘aḍḍhamaṇḍalanti khuddakamaṇḍala’’nti (mahāva. aṭṭha. 345). Vivaṭṭanti maṇḍalaṃ, aḍḍhamaṇḍalañcāti dve ekato katvā sibbitaṃ vemajjhe khaṇḍaṃ. Vuttampi cetaṃ ‘‘vivaṭṭanti maṇḍalañca aḍḍhamaṇḍalañca ekato katvā sibbitaṃ majjhimakhaṇḍa’’nti (mahāva. aṭṭha. 345). Anuvivaṭṭanti majjhimakhaṇḍassa ubhosu passesu sibbitaṃ tatheva dvimaṇḍalapattaṃ khaṇḍadvayaṃ. Vuttampi cetaṃ ‘‘anuvivaṭṭanti tassa ubhosu passesu dve khaṇḍānī’’ti (mahāva. aṭṭha. 345). Bāhantanti tesaṃ anuvivaṭṭānaṃ bāhirapasse sibbitaṃ bāhirakhaṇḍadvayaṃ. Vuttampi cetaṃ ‘‘bāhantanti tesaṃ anuvivaṭṭānaṃ bahi ekekaṃ khaṇḍa’’nti (mahāva. aṭṭha. 345).

    ปญฺจนฺนํ สมาหาโร ปญฺจกํ, ทสฺสิตปฺปการปญฺจขเณฺฑหิ สิพฺพิตจีวรํ ปญฺจกํ นามฯ อาทิ-สเทฺทน สตฺตขณฺฑาทีหิ สิพฺพิตจีวรานํ คหณํฯ เตเนเวตฺถาห ‘‘กตฺตพฺพํ ตุ ติจีวร’’นฺติฯ สตฺตขณฺฑสฺส จีวรสฺส เอกํ มชฺฌิมขณฺฑํ วิวฎฺฎนามเมว โหติ, ตสฺส อุโภสุ ปเสฺสสุ เทฺว เทฺว ขณฺฑานิ จูฬานุวิวฎฺฎมหานุวิวฎฺฎสงฺขาตานิ อนุวิวฎฺฎนามาเนว โหนฺติฯ วุตฺตเญฺจตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘อถ วา อนุวิวฎฺฎนฺติ วิวฎฺฎสฺส เอกปสฺสโต ทฺวินฺนํ, เอกปสฺสโต ทฺวินฺนนฺติ จตุนฺนมฺปิ ขณฺฑานเมตํ นาม’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔๕)ฯ พาหนฺตนฺติ ทฺวีสุ ปริยเนฺตสุ สิพฺพนียํ พาหิรขณฺฑทฺวยํ, ตญฺจ สงฺฆเฎตฺวา พาหมตฺถเก ฐปิยมานตฺตา ‘‘มญฺจา อุกฺกุฎฺฐิํ กโรนฺตี’’ติอาทีสุ วิย อาเธเยฺย อาธาโรปจารวเสน พาหาติ จ จีวรสฺส ปริยนฺตาวยวตฺตา ‘‘อนฺต’’นฺติ จ วุจฺจติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘พาหนฺตนฺติ สุปฺปมาณํ จีวรํ ปารุปเนฺตน สํหริตฺวา พาหาย อุปริ ฐปิตา อุโภ อนฺตา พหิมุขา ติฎฺฐนฺติ, เตสํ เอตํ นาม’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔๕)ฯ อิทํ สตฺตขณฺฑจีวรเมว มหาอฎฺฐกถายํ วิหิตนฺติ อิทานิปิ ตเทว วฎฺฎติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘อยเมว หิ นโย มหาอฎฺฐกถายํ วุโตฺต’’ติฯ ภิกฺขุนา กุสิํ…เป.… พาหนฺตมฺปิจาติ สพฺพํ วิธิํ ทเสฺสตฺวาว ฉินฺนํ ปญฺจกาทิปฺปเภทกํ สมณสารุปฺปํ ติจีวรํ กตฺตพฺพนฺติ โยชนาฯ

    Pañcannaṃ samāhāro pañcakaṃ, dassitappakārapañcakhaṇḍehi sibbitacīvaraṃ pañcakaṃ nāma. Ādi-saddena sattakhaṇḍādīhi sibbitacīvarānaṃ gahaṇaṃ. Tenevetthāha ‘‘kattabbaṃ tu ticīvara’’nti. Sattakhaṇḍassa cīvarassa ekaṃ majjhimakhaṇḍaṃ vivaṭṭanāmameva hoti, tassa ubhosu passesu dve dve khaṇḍāni cūḷānuvivaṭṭamahānuvivaṭṭasaṅkhātāni anuvivaṭṭanāmāneva honti. Vuttañcetaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘atha vā anuvivaṭṭanti vivaṭṭassa ekapassato dvinnaṃ, ekapassato dvinnanti catunnampi khaṇḍānametaṃ nāma’’nti (mahāva. aṭṭha. 345). Bāhantanti dvīsu pariyantesu sibbanīyaṃ bāhirakhaṇḍadvayaṃ, tañca saṅghaṭetvā bāhamatthake ṭhapiyamānattā ‘‘mañcā ukkuṭṭhiṃ karontī’’tiādīsu viya ādheyye ādhāropacāravasena bāhāti ca cīvarassa pariyantāvayavattā ‘‘anta’’nti ca vuccati. Vuttampi cetaṃ ‘‘bāhantanti suppamāṇaṃ cīvaraṃ pārupantena saṃharitvā bāhāya upari ṭhapitā ubho antā bahimukhā tiṭṭhanti, tesaṃ etaṃ nāma’’nti (mahāva. aṭṭha. 345). Idaṃ sattakhaṇḍacīvarameva mahāaṭṭhakathāyaṃ vihitanti idānipi tadeva vaṭṭati. Vuttampi cetaṃ ‘‘ayameva hi nayo mahāaṭṭhakathāyaṃ vutto’’ti. Bhikkhunā kusiṃ…pe… bāhantampicāti sabbaṃ vidhiṃ dassetvāva chinnaṃ pañcakādippabhedakaṃ samaṇasāruppaṃ ticīvaraṃ kattabbanti yojanā.

    ๕๖๕-๖. ยถาวุตฺตวิธิํ อวิราเธตฺวา จีวรํ กปฺปพินฺทุํ ทตฺวา สงฺฆาฎิอาทินาเมน อธิฎฺฐาย ปริภุญฺชนฺตสฺส อธิฎฺฐานํ กถํ ภิชฺชตีติ อาห ‘‘ทาเนนา’’ติอาทิฯ ทาเนนาติ อญฺญสฺส ทาเนนฯ อจฺฉิชฺชคาเหนาติ อเญฺญน อจฺฉินฺทิตฺวา คหเณนฯ วิสฺสาสคฺคหเณน จาติ อตฺตนิ วิสฺสาเสน อญฺญสฺส คหเณนฯ หีนายาวตฺตเนนาติ สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย คิหิภาวูปคมเนน อญฺญสฺส ทาเน วิย จีวเร นิราลยภาเวเนว ปริจฺจตฺตาฯ

    565-6. Yathāvuttavidhiṃ avirādhetvā cīvaraṃ kappabinduṃ datvā saṅghāṭiādināmena adhiṭṭhāya paribhuñjantassa adhiṭṭhānaṃ kathaṃ bhijjatīti āha ‘‘dānenā’’tiādi. Dānenāti aññassa dānena. Acchijjagāhenāti aññena acchinditvā gahaṇena. Vissāsaggahaṇena cāti attani vissāsena aññassa gahaṇena. Hīnāyāvattanenāti sikkhaṃ appaccakkhāya gihibhāvūpagamanena aññassa dāne viya cīvare nirālayabhāveneva pariccattā.

    เกจิ ปน ‘‘หีนายาวตฺตเนนาติ ภิกฺขุนิยา คิหิภาวูปคมเนนาติ เอวมตฺถํ คเหตฺวา ภิกฺขุ ปน วิพฺภโนฺตปิ ยาว สิกฺขํ น ปจฺจกฺขาติ, ตาว ภิกฺขุเยวาติ อธิฎฺฐานํ น วิชหตี’’ติ วทนฺติ, ตํ น คเหตพฺพํ ‘‘ภิกฺขุนิยา หีนายาวตฺตเนนา’’ติ วิเสเสตฺวา อวุตฺตตฺตา, ภิกฺขุนิยา จ คิหิภาวูปคมเน อธิฎฺฐานวิชหนํ วิสุํ วตฺตพฺพนฺติ นตฺถิ ตสฺสา วิพฺภมเนเนว อสฺสมณิภาวโตฯ

    Keci pana ‘‘hīnāyāvattanenāti bhikkhuniyā gihibhāvūpagamanenāti evamatthaṃ gahetvā bhikkhu pana vibbhantopi yāva sikkhaṃ na paccakkhāti, tāva bhikkhuyevāti adhiṭṭhānaṃ na vijahatī’’ti vadanti, taṃ na gahetabbaṃ ‘‘bhikkhuniyā hīnāyāvattanenā’’ti visesetvā avuttattā, bhikkhuniyā ca gihibhāvūpagamane adhiṭṭhānavijahanaṃ visuṃ vattabbanti natthi tassā vibbhamaneneva assamaṇibhāvato.

    สิกฺขายาติ ภิกฺขุสิกฺขายฯ ปหาเนนาติ ปจฺจกฺขาเนนฯ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ ปเนตฺถ สเจ ภิกฺขุลิเงฺค ฐิโต สิกฺขํ ปจฺจกฺขาติ, ตสฺส กายลคฺคมฺปิจีวรํ อธิฎฺฐานํ วิชหตีติ ทสฺสนตฺถํ คหิตํฯ ‘‘สิกฺขาย จ ปหานโต’’ติ จ ลิขนฺติ, ตํ ‘‘หีนายาวตฺตเนนาปิ, สิกฺขาย จ ปหานโต’’ติ ปาฐกฺกเม สติ ยุชฺชติฯ ยถาวุโตฺต ปน ปาโฐ ‘‘สิกฺขาย จ ปหาเนน, หีนายาวตฺตเนนปี’’ติ ปาฐกฺกเม ยุชฺชติฯ ยถา ตถา วา โหตุ, น โกจิ วิโรโธฯ

    Sikkhāyāti bhikkhusikkhāya. Pahānenāti paccakkhānena. Sikkhāpaccakkhānaṃ panettha sace bhikkhuliṅge ṭhito sikkhaṃ paccakkhāti, tassa kāyalaggampicīvaraṃ adhiṭṭhānaṃ vijahatīti dassanatthaṃ gahitaṃ. ‘‘Sikkhāya ca pahānato’’ti ca likhanti, taṃ ‘‘hīnāyāvattanenāpi, sikkhāya ca pahānato’’ti pāṭhakkame sati yujjati. Yathāvutto pana pāṭho ‘‘sikkhāya ca pahānena, hīnāyāvattanenapī’’ti pāṭhakkame yujjati. Yathā tathā vā hotu, na koci virodho.

    ปจฺจุทฺธาเรนาติ จีวรสฺส ปจฺจุทฺธรเณนฯ ‘‘กาลกิริยายา’’ติ อฎฺฐกถาวจนโต วินาเสนาติ จีวรสามิกสฺส ชีวิตวินาโสว วุจฺจตีติฯ ลิงฺคสฺส ปริวตฺตนาติ ภิกฺขุสฺส อิตฺถิลิงฺคปริวตฺตนา, ภิกฺขุนิยา ปุริสลิงฺคปริวตฺตนาติ เอวํ อุภยถา ลิงฺคสฺส ปริวตฺตเนนฯ สพฺพํ นววิธมฺปิ จีวรํฯ อธิฎฺฐานนฺติ เอตฺถ ‘‘อิเมหิ อฎฺฐหี’’ติ เสโสฯ วุโตฺตวายมโตฺถ อฎฺฐกถายํ ‘‘ตตฺถ ปุริเมหิ อฎฺฐหิ สพฺพจีวรานิ อธิฎฺฐานํ วิชหนฺตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙)ฯ ภิชฺชตีติ ปชหติฯ ฉิทฺทสฺส ภาโว ฉิทฺทภาโว, ตสฺมิํ, ฉิเทฺท สติ ฉิเทฺท ชาเตติ วุตฺตํ โหติฯ ติจีวรนฺติ ตีสุ จีวเรสุ อญฺญตรนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ติจีวรเมว วาติ คเหตพฺพํฯ วุตฺตญฺจ ‘‘ฉิทฺทภาเวน ปน ติจีวรเสฺสวา’’ติฯ

    Paccuddhārenāti cīvarassa paccuddharaṇena. ‘‘Kālakiriyāyā’’ti aṭṭhakathāvacanato vināsenāti cīvarasāmikassa jīvitavināsova vuccatīti. Liṅgassa parivattanāti bhikkhussa itthiliṅgaparivattanā, bhikkhuniyā purisaliṅgaparivattanāti evaṃ ubhayathā liṅgassa parivattanena. Sabbaṃ navavidhampi cīvaraṃ. Adhiṭṭhānanti ettha ‘‘imehi aṭṭhahī’’ti seso. Vuttovāyamattho aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tattha purimehi aṭṭhahi sabbacīvarāni adhiṭṭhānaṃ vijahantī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.469). Bhijjatīti pajahati. Chiddassa bhāvo chiddabhāvo, tasmiṃ, chidde sati chidde jāteti vuttaṃ hoti. Ticīvaranti tīsu cīvaresu aññataranti vuttaṃ hoti. Ticīvarameva vāti gahetabbaṃ. Vuttañca ‘‘chiddabhāvena pana ticīvarassevā’’ti.

    ๕๖๗. กีวปฺปมาเณ ฉิเทฺท ชาเตติ อาห ‘‘กนิฎฺฐสฺสา’’ติอาทิฯ ‘‘กนิฎฺฐ…เป.… มาณก’’นฺติ อิมินา เหฎฺฐิมปริเจฺฉทํ ทเสฺสติฯ

    567. Kīvappamāṇe chidde jāteti āha ‘‘kaniṭṭhassā’’tiādi. ‘‘Kaniṭṭha…pe… māṇaka’’nti iminā heṭṭhimaparicchedaṃ dasseti.

    ๕๖๘. เอโก ตนฺตุปีติ ทีฆโต วา ติริยโต วา เอกมฺปิ สุตฺตํฯ

    568.Ekotantupīti dīghato vā tiriyato vā ekampi suttaṃ.

    ๕๖๙. ชิณฺณฎฺฐาเน อคฺคฬํ เทเนฺตน เตจีวริเกน วตฺติตพฺพวิธิํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปฐม’’นฺติอาทิฯ ปฐมนฺติ ฉินฺนฎฺฐานสฺส ฉินฺทนโต ปุเพฺพเยวฯ อคฺคฬํ ทตฺวาติ วตฺถขณฺฑํ อลฺลิยาเปตฺวาฯ รกฺขตีติ เอตฺถ ‘‘อธิฎฺฐาน’’นฺติ อนุวตฺตเต, ‘‘เตจีวริโก ภิกฺขู’’ติ ลพฺภติ, เอวํ วตฺถขณฺฑํ อลฺลิยาเปโนฺต เตจีวริโก ภิกฺขุ อธิฎฺฐานํ รกฺขตีติ วุตฺตํ โหติฯ วิปริยาเยน อธิฎฺฐานํ ภินฺทตีติ ลพฺภติฯ ปฐมํ เทฺว โกฎิโย ฆเฎตฺวาติ โยชนาฯ มเชฺฌ ชิณฺณํ อธิฎฺฐิตจีวรํ มเชฺฌ ฉินฺทโนฺต ตโต ปุเพฺพเยว เทฺว โกฎิโย เอกโต ฆเฎตฺวา สิพฺพิตฺวาฯ ปจฺฉาติ โกฎิฆฎนโต ปจฺฉาฯ ฉินฺทตีติ มชฺฌํ อุภยโกฎิํ กาตุํ ฉินฺทติฯ รกฺขตีติ วุตฺตปฺปการเมวฯ

    569. Jiṇṇaṭṭhāne aggaḷaṃ dentena tecīvarikena vattitabbavidhiṃ dassetumāha ‘‘paṭhama’’ntiādi. Paṭhamanti chinnaṭṭhānassa chindanato pubbeyeva. Aggaḷaṃ datvāti vatthakhaṇḍaṃ alliyāpetvā. Rakkhatīti ettha ‘‘adhiṭṭhāna’’nti anuvattate, ‘‘tecīvariko bhikkhū’’ti labbhati, evaṃ vatthakhaṇḍaṃ alliyāpento tecīvariko bhikkhu adhiṭṭhānaṃ rakkhatīti vuttaṃ hoti. Vipariyāyena adhiṭṭhānaṃ bhindatīti labbhati. Paṭhamaṃ dve koṭiyo ghaṭetvāti yojanā. Majjhe jiṇṇaṃ adhiṭṭhitacīvaraṃ majjhe chindanto tato pubbeyeva dve koṭiyo ekato ghaṭetvā sibbitvā. Pacchāti koṭighaṭanato pacchā. Chindatīti majjhaṃ ubhayakoṭiṃ kātuṃ chindati. Rakkhatīti vuttappakārameva.

    ๕๗๐. ติจีวเร กตฺถ ชาตํ ฉิทฺทมธิฎฺฐานํ ภินฺทตีติ อาห ‘‘จตุรงฺคุลา’’ติอาทิฯ จตฺตาริ จ อฎฺฐ จ จตุรฎฺฐํ, จตุนฺนํ อฎฺฐนฺนํ วา องฺคุลานํ สมาหาโร จตุรฎฺฐงฺคุลํ, ตสฺมาติ คเหตพฺพํฯ จตุรงฺคุลา อฎฺฐงฺคุลาติ โยชนาฯ โอรนฺติ อพฺภนฺตรํฯ เอกญฺจ เทฺว จ เอกเทฺว, เตสํ เอกทฺวินฺนํ, ‘‘จีวราน’’นฺติ ปกรณโต ลพฺภติ, เอกสฺส จีวรสฺส, ทฺวินฺนญฺจ จีวรานนฺติ โยชนาฯ ยถาสงฺขฺยานุเทฺทสวเสน เอกสฺส ติริยโต จตุรงฺคุลโต โอรํ, ทฺวินฺนํ ติริยโต อฎฺฐงฺคุลโต โอรนฺติ โยชนาฯ วากฺยทฺวเยปิ ‘‘ฉิทฺทํ ภินฺทเตวา’’ติ โยเชตพฺพํฯ

    570. Ticīvare kattha jātaṃ chiddamadhiṭṭhānaṃ bhindatīti āha ‘‘caturaṅgulā’’tiādi. Cattāri ca aṭṭha ca caturaṭṭhaṃ, catunnaṃ aṭṭhannaṃ vā aṅgulānaṃ samāhāro caturaṭṭhaṅgulaṃ, tasmāti gahetabbaṃ. Caturaṅgulā aṭṭhaṅgulāti yojanā. Oranti abbhantaraṃ. Ekañca dve ca ekadve, tesaṃ ekadvinnaṃ, ‘‘cīvarāna’’nti pakaraṇato labbhati, ekassa cīvarassa, dvinnañca cīvarānanti yojanā. Yathāsaṅkhyānuddesavasena ekassa tiriyato caturaṅgulato oraṃ, dvinnaṃ tiriyato aṭṭhaṅgulato oranti yojanā. Vākyadvayepi ‘‘chiddaṃ bhindatevā’’ti yojetabbaṃ.

    เอกสฺส จีวรสฺสาติ อนฺตรวาสกจีวรสฺสฯ ติริยโตติ วิตฺถารโตฯ จตุรงฺคุลํ โอรนฺติ จตุรงฺคุลโต อพฺภนฺตเร ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ ภินฺทติฯ ทฺวินฺนนฺติ อุตฺตราสงฺคสงฺฆาฎีนํฯ ติริยโตติ วิตฺถารโตฯ อฎฺฐงฺคุลโต โอรนฺติ อฎฺฐงฺคุลโต อพฺภนฺตเรฯ ติณฺณมฺปิ ทีฆโต วิทตฺถิยา โอรํ ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ ภินฺทเตวาติ โยชนาฯ เอตฺถ วิทตฺถิ วฑฺฒกิวิทตฺถิ คเหตพฺพาฯ เอวํ วุตฺตปริเจฺฉทพฺภนฺตเร ฉิเทฺท ชาเต ตสฺส จีวรสฺส อติเรกจีวรตฺตา ทสาหมนติกฺกมิตฺวา สูจิกมฺมํ กตฺวา อธิฎฺฐาตพฺพํฯ ตถา อกโรเนฺตน ปน ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐาตพฺพํฯ

    Ekassa cīvarassāti antaravāsakacīvarassa. Tiriyatoti vitthārato. Caturaṅgulaṃ oranti caturaṅgulato abbhantare chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ bhindati. Dvinnanti uttarāsaṅgasaṅghāṭīnaṃ. Tiriyatoti vitthārato. Aṭṭhaṅgulato oranti aṭṭhaṅgulato abbhantare. Tiṇṇampi dīghato vidatthiyā oraṃ chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ bhindatevāti yojanā. Ettha vidatthi vaḍḍhakividatthi gahetabbā. Evaṃ vuttaparicchedabbhantare chidde jāte tassa cīvarassa atirekacīvarattā dasāhamanatikkamitvā sūcikammaṃ katvā adhiṭṭhātabbaṃ. Tathā akarontena pana parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhātabbaṃ.

    ๕๗๑. ‘‘นิสีทนสฺสา’’ติ ‘‘นิสีทนจีวรสฺสา’’ติ วตฺตเพฺพ อุตฺตรปทโลเปน วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ทิยฑฺฒาติ เอตฺถ วิเสสิตพฺพา วิทตฺถิ ‘‘เทฺว วิทตฺถิโย’’ติ จ ‘‘สุคตสฺส วิทตฺถิยา’’ติ จ วุตฺตสามตฺถิยา ลพฺภติฯ อเฑฺฒน ทุติยา ทิยฑฺฒา, ทุติยํ อฑฺฒเมตสฺสาติ ‘‘ทุติยฑฺฒา’’ติ วตฺตเพฺพ ติย-ปจฺจยโลเปน ‘‘ทิยฑฺฒา’’ติ วุตฺตํ, อฑฺฒทุติยาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘สุคตสฺส วิทตฺถิยา’’ติ ปมาณนิยมสฺส กตตฺตา วฑฺฒกิวิทตฺถิยา ติโสฺส วิทตฺถิโย เอกา สุคตวิทตฺถิ โหติฯ อิทํ นิสีทนจีวรํ ทีฆโต วฑฺฒกิหเตฺถน ติหตฺถํ, วิตฺถารโต ฉฬงฺคุลาธิกทฺวิหตฺถปฺปมาณํ โหติฯ ‘‘ทสา วิทตฺถี’’ติ (ปาจิ. ๕๓๓) วุตฺตตฺตา ทิยฑฺฒหตฺถา ทสาติ เวทิตพฺพาฯ

    571.‘‘Nisīdanassā’’ti ‘‘nisīdanacīvarassā’’ti vattabbe uttarapadalopena vuttanti daṭṭhabbaṃ. Diyaḍḍhāti ettha visesitabbā vidatthi ‘‘dve vidatthiyo’’ti ca ‘‘sugatassa vidatthiyā’’ti ca vuttasāmatthiyā labbhati. Aḍḍhena dutiyā diyaḍḍhā, dutiyaṃ aḍḍhametassāti ‘‘dutiyaḍḍhā’’ti vattabbe tiya-paccayalopena ‘‘diyaḍḍhā’’ti vuttaṃ, aḍḍhadutiyāti vuttaṃ hoti. ‘‘Sugatassa vidatthiyā’’ti pamāṇaniyamassa katattā vaḍḍhakividatthiyā tisso vidatthiyo ekā sugatavidatthi hoti. Idaṃ nisīdanacīvaraṃ dīghato vaḍḍhakihatthena tihatthaṃ, vitthārato chaḷaṅgulādhikadvihatthappamāṇaṃ hoti. ‘‘Dasā vidatthī’’ti (pāci. 533) vuttattā diyaḍḍhahatthā dasāti veditabbā.

    ๕๗๒. จตโสฺสติ เอตฺถาปิ ‘‘วิทตฺถิโย’’ติ สามตฺถิยาว ลพฺภติฯ ‘‘กณฺฑุปฺปฎิจฺฉาทิยา’’ติ วิภตฺติปริณาเมน ทีฆโตติ โยชนาฯ

    572.Catassoti etthāpi ‘‘vidatthiyo’’ti sāmatthiyāva labbhati. ‘‘Kaṇḍuppaṭicchādiyā’’ti vibhattipariṇāmena dīghatoti yojanā.

    ๕๗๓. อฑฺฒํ เตยฺยํ ตติยํ ยสฺสา สา อฑฺฒเตยฺยา, อฑฺฒตติยาติ วุตฺตํ โหติฯ

    573. Aḍḍhaṃ teyyaṃ tatiyaṃ yassā sā aḍḍhateyyā, aḍḍhatatiyāti vuttaṃ hoti.

    ๕๗๔. ตโต อุตฺตริํ ตทุตฺตริํ, ตสฺส ตสฺส วุตฺตปฺปมาณโต อติเรกํฯ อธิกเจฺฉทนนฺติ อธิกสฺส ปมาณาติริตฺตฎฺฐานสฺส เฉทนํ อสฺส ปาจิตฺติยสฺส เทสนายาติ อธิกเจฺฉทนํ, วุตฺตปฺปมาณโต อธิกฎฺฐานํ ฉินฺทิตฺวา เทเสตพฺพํ ปาจิตฺติยํฯ อุทีริตํ วุตฺตํ ปาฬิยาติ อโตฺถฯ

    574. Tato uttariṃ taduttariṃ, tassa tassa vuttappamāṇato atirekaṃ. Adhikacchedananti adhikassa pamāṇātirittaṭṭhānassa chedanaṃ assa pācittiyassa desanāyāti adhikacchedanaṃ, vuttappamāṇato adhikaṭṭhānaṃ chinditvā desetabbaṃ pācittiyaṃ. Udīritaṃ vuttaṃ pāḷiyāti attho.

    ๕๗๕. อปฺปมาเณนาติ คุณวเสน อปฺปมาเณน สมฺมาสมฺพุเทฺธนฯ

    575.Appamāṇenāti guṇavasena appamāṇena sammāsambuddhena.

    ๕๗๖. สพฺพํ วฎฺฎตีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘สพฺพ’’นฺติ อิมินา อฎฺฐกถาย อาคตํ นีลาทิํ สงฺคณฺหาติฯ มหนฺตาทิเภทํ สพฺพํ ปจฺจตฺถรณจีวรํ วฎฺฎติฯ

    576. Sabbaṃ vaṭṭatīti sambandho. ‘‘Sabba’’nti iminā aṭṭhakathāya āgataṃ nīlādiṃ saṅgaṇhāti. Mahantādibhedaṃ sabbaṃ paccattharaṇacīvaraṃ vaṭṭati.

    ๕๗๗. ‘‘มุขปุญฺฉนโจฬํ เอก’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ เอกํ โธวิตฺวา ยาว สุกฺขาปียติ, ตาว อเญฺญน มุขปุญฺฉเนน ภวิตพฺพตฺตา อาห ‘‘เทฺวปิ วฎฺฎนฺติ สพฺพถา’’ติฯ

    577. ‘‘Mukhapuñchanacoḷaṃ eka’’nti padacchedo. Ekaṃ dhovitvā yāva sukkhāpīyati, tāva aññena mukhapuñchanena bhavitabbattā āha ‘‘dvepi vaṭṭanti sabbathā’’ti.

    ๕๗๙. ปมาณโต, คณนโต จ อตีตาติ ปมาณคณนาตีตาฯ ‘‘ปมาณาตีตา’’ติ วจเนน วินยธรานํ อปฺปมาณคุณตํ ทเสฺสติ, ‘‘คณนาตีตา’’ติ อิมินา อติกฺกนฺตคณนตํฯ ปกตํ วินเย ปฐมํ กตํ พุเทฺธน ภควตา ปญฺญตฺตํ ชานนฺตีติ ปกตญฺญู, วินยธรา, เต ปกตญฺญุโนฯ อปริมาณคุณมณิคณภูสิตอุปาลิทาสกาทิมหาเถราจริยปรมฺปราคตา สงฺขฺยาปถาตีตา วินยธราติ วุตฺตํ โหติฯ

    579. Pamāṇato, gaṇanato ca atītāti pamāṇagaṇanātītā. ‘‘Pamāṇātītā’’ti vacanena vinayadharānaṃ appamāṇaguṇataṃ dasseti, ‘‘gaṇanātītā’’ti iminā atikkantagaṇanataṃ. Pakataṃ vinaye paṭhamaṃ kataṃ buddhena bhagavatā paññattaṃ jānantīti pakataññū, vinayadharā, te pakataññuno. Aparimāṇaguṇamaṇigaṇabhūsitaupālidāsakādimahātherācariyaparamparāgatā saṅkhyāpathātītā vinayadharāti vuttaṃ hoti.

    ๕๘๐. สุคตฎฺฐงฺคุลายามนฺติ วฑฺฒกิรตนปฺปมาณทีฆํฯ จตุรงฺคุลวิตฺถตนฺติ วฑฺฒกิวิทตฺถิปฺปมาณวิตฺถารํฯ วิกปฺปนุปคํ ปจฺฉิมํ จีวรํ นาม โหติฯ ปจฺฉิมํ จีวรนฺติ ปริสฺสาวนปฎาทีนํ วิเสสนํ, ปจฺฉิมจีวรปฺปมาณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    580.Sugataṭṭhaṅgulāyāmanti vaḍḍhakiratanappamāṇadīghaṃ. Caturaṅgulavitthatanti vaḍḍhakividatthippamāṇavitthāraṃ. Vikappanupagaṃ pacchimaṃ cīvaraṃ nāma hoti. Pacchimaṃ cīvaranti parissāvanapaṭādīnaṃ visesanaṃ, pacchimacīvarappamāṇanti vuttaṃ hoti.

    ๕๘๑. ปริสฺสาวปฎนฺติ อุทกปริสฺสาวนตฺถํ ปฎํฯ ปตฺตตฺถวิกนฺติ ปตฺตกญฺจุกํฯ โปตฺถกตฺถวิกนฺติ โปตฺถกกญฺจุกํ ฯ อาทิคฺคหเณน ปจฺฉิมปฺปมาณาทิํ ยํ กิญฺจิ ปฎํ, ทณฺฑปฎญฺจ สงฺคณฺหาติฯ

    581.Parissāvapaṭanti udakaparissāvanatthaṃ paṭaṃ. Pattatthavikanti pattakañcukaṃ. Potthakatthavikanti potthakakañcukaṃ . Ādiggahaṇena pacchimappamāṇādiṃ yaṃ kiñci paṭaṃ, daṇḍapaṭañca saṅgaṇhāti.

    ๕๘๒. อธิฎฺฐาตุนฺติ ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐาตุํฯ ฐปิเตติ อนธิฎฺฐาย ฐปิเตฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙) อาหฯ นตฺถิ โทสตาติ โทโส เอว โทสตาฯ ‘‘อตฺตโน สนฺตกภาวโต โมเจตฺวา ฐปิตํ สนฺธาย มหาปจฺจริยํ อนาปตฺติ วุตฺตา’’ติ วทนฺติฯ ‘‘อิมินา เภสชฺชํ เจตาเปสฺสามิ, อิทํ มาตุยา ทสฺสามี’’ติ ฐเปเนฺตน อธิฎฺฐาตพฺพํฯ ‘‘อิทํ เภสชฺชสฺส, มาตุยา’’ติ วิภชิตฺวา สสนฺตกภาวโต โมจิเต อธิฎฺฐานกิจฺจํ นตฺถีติ อธิปฺปาโยฯ โหติ เจตฺถ –

    582.Adhiṭṭhātunti parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhātuṃ. Ṭhapiteti anadhiṭṭhāya ṭhapite. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘anāpattī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.469) āha. Natthi dosatāti doso eva dosatā. ‘‘Attano santakabhāvato mocetvā ṭhapitaṃ sandhāya mahāpaccariyaṃ anāpatti vuttā’’ti vadanti. ‘‘Iminā bhesajjaṃ cetāpessāmi, idaṃ mātuyā dassāmī’’ti ṭhapentena adhiṭṭhātabbaṃ. ‘‘Idaṃ bhesajjassa, mātuyā’’ti vibhajitvā sasantakabhāvato mocite adhiṭṭhānakiccaṃ natthīti adhippāyo. Hoti cettha –

    ‘‘ยํ วตฺถํ ภิกฺขุนา ลทฺธํ, กตํ มาตาทิสนฺตกํ;

    ‘‘Yaṃ vatthaṃ bhikkhunā laddhaṃ, kataṃ mātādisantakaṃ;

    นิสฺสคฺคิยํ น โหตีติ, ตมาหุ วินยญฺญุโน’’ติฯ

    Nissaggiyaṃ na hotīti, tamāhu vinayaññuno’’ti.

    ๕๘๓. วสฺสมาเส จตุโรติ วสฺสาเน จตุโร มาเส, อธิฎฺฐานกิริยาย จตฺตาโร มาเส อวิเจฺฉโทติ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ วสฺสิเก จตฺตาโร มาเส นิวาเสตพฺพา สาฎิกา วสฺสิกสาฎิกา

    583.Vassamāse caturoti vassāne caturo māse, adhiṭṭhānakiriyāya cattāro māse avicchedoti accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Vassike cattāro māse nivāsetabbā sāṭikā vassikasāṭikā.

    ๕๘๔. กณฺฑุํ ปฎิจฺฉาเทตีติ กณฺฑุปฺปฎิจฺฉาทิ, กณฺฑุโรคาตุรสฺส ภิกฺขุโน ตปฺปฎิจฺฉาทนตฺถมนุญฺญาตจีวรเสฺสตมธิวจนํฯ โหนฺติ เจตฺถ –

    584. Kaṇḍuṃ paṭicchādetīti kaṇḍuppaṭicchādi, kaṇḍurogāturassa bhikkhuno tappaṭicchādanatthamanuññātacīvarassetamadhivacanaṃ. Honti cettha –

    ‘‘มาติกฎฺฐกถายสฺสา, กณฺฑุจฺฉาทิกสาฎิยา;

    ‘‘Mātikaṭṭhakathāyassā, kaṇḍucchādikasāṭiyā;

    น กาลาติกฺกเม วุตฺตํ, อธิฎฺฐานวิวฎฺฎนํฯ

    Na kālātikkame vuttaṃ, adhiṭṭhānavivaṭṭanaṃ.

    อธิฎฺฐานปหานเงฺค-สุ วุตฺตตฺตา วิเสสโต;

    Adhiṭṭhānapahānaṅge-su vuttattā visesato;

    วีมํสิตพฺพํ วิญฺญูหิ, ตตฺถ ยํ การณํ สิยา’’ติฯ

    Vīmaṃsitabbaṃ viññūhi, tattha yaṃ kāraṇaṃ siyā’’ti.

    ๕๘๖. ‘‘อสมฺมุเข เอตนฺติ จา’’ติ วจเนเนว สมฺมุเข ‘‘อิม’’นฺติ วิญฺญายติฯ วิจกฺขโณ ปจฺจุทฺธเรยฺยาติ โยชนาฯ

    586.‘‘Asammukheetanti cā’’ti vacaneneva sammukhe ‘‘ima’’nti viññāyati. Vicakkhaṇo paccuddhareyyāti yojanā.

    ๕๘๗. อธิฎฺฐิตนฺติ อธิฎฺฐานํ

    587. Adhiṭṭhitanti adhiṭṭhānaṃ.

    ๕๘๘. อิติ สพฺพมิทนฺติ เอวํ วุตฺตํ อิทํ ติจีวราทีนํ ปมาณาทิสพฺพวิธานํฯ เตจีวริกภิกฺขุโนติ ติจีวราธิฎฺฐาเนน อธิฎฺฐิตเตจีวริกสฺส วินยเตจีวริกสฺสฯ ติณฺณํ จีวรานํ สมาหาโร ติจีวรํ, ติณฺณํ ติจีวรานํ สมาหาโรติ ‘‘ติติจีวร’’นฺติ วตฺตเพฺพ เอกเทสสรูเปกเสสนเยน ‘‘ติจีวร’’นฺติ นวจีวรานิ สงฺคหิตานิ, ติจีวเร นิยุโตฺต เตจีวริโกติ วินยเตจีวริโก วุจฺจติฯ ธุตงฺคเตจีวริกสฺสาปิ ติจีวเร อิทเมว วิธานนฺติ โสปิ สงฺคยฺหติฯ อเญฺญสุ วา ปน ฉสุ จีวเรสุ ปริกฺขารโจฬํ เอกํ อํสกาสาวเมว วฎฺฎติฯ ตถา วตฺวาวาติ ‘‘อิมํ ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐามี’’ติอาทินา นเยน วตฺวาฯ ตํ ปริกฺขารโจฬํฯ ปริกฺขารโจฬมสฺส อตฺถิ, ตตฺถ วา นิยุโตฺตติ ปริกฺขารโจฬิโก

    588.Iti sabbamidanti evaṃ vuttaṃ idaṃ ticīvarādīnaṃ pamāṇādisabbavidhānaṃ. Tecīvarikabhikkhunoti ticīvarādhiṭṭhānena adhiṭṭhitatecīvarikassa vinayatecīvarikassa. Tiṇṇaṃ cīvarānaṃ samāhāro ticīvaraṃ, tiṇṇaṃ ticīvarānaṃ samāhāroti ‘‘titicīvara’’nti vattabbe ekadesasarūpekasesanayena ‘‘ticīvara’’nti navacīvarāni saṅgahitāni, ticīvare niyutto tecīvarikoti vinayatecīvariko vuccati. Dhutaṅgatecīvarikassāpi ticīvare idameva vidhānanti sopi saṅgayhati. Aññesu vā pana chasu cīvaresu parikkhāracoḷaṃ ekaṃ aṃsakāsāvameva vaṭṭati. Tathā vatvāvāti ‘‘imaṃ parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhāmī’’tiādinā nayena vatvā. Taṃ parikkhāracoḷaṃ. Parikkhāracoḷamassa atthi, tattha vā niyuttoti parikkhāracoḷiko.

    ๕๘๙. ‘‘ติจีวรํ ปน ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐาตุํ วฎฺฎติ, น วฎฺฎตี’’ติ อนุโยคํ กตฺวา ‘‘วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙) อฎฺฐกถาย วุตฺตตฺตา อิธ ‘‘ติจีวร’’นฺติ จีวรตฺตยเมว วุตฺตํฯ ‘‘สุขปริหารตฺถํ เอกมฺปิ วิกเปฺปตพฺพ’’นฺติ วจนโต เอกเทเส สมุทาโยปจารวเสน เอกมฺปิ วิกเปฺปตพฺพเมว โหติฯ

    589. ‘‘Ticīvaraṃ pana parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhātuṃ vaṭṭati, na vaṭṭatī’’ti anuyogaṃ katvā ‘‘vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.469) aṭṭhakathāya vuttattā idha ‘‘ticīvara’’nti cīvarattayameva vuttaṃ. ‘‘Sukhaparihāratthaṃ ekampi vikappetabba’’nti vacanato ekadese samudāyopacāravasena ekampi vikappetabbameva hoti.

    ปริกฺขารโจฬํ กาตุมฺปิ วฎฺฎตีติ พทฺธสีมโต พหิ วสเนฺตน เอกเกน เตจีวริเกน อโนฺตอรุเณ อสติยา ตีสุ จีวเรสุ หตฺถปาเส อกเตสุ นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ โหตีติ, วินยกมฺมํ กาตุํ สภาคปุคฺคลานํ ทุลฺลภตฺตา จ สุขปริหารตฺถํ ตีสุ เอกํ วา สพฺพานิ เอว วา ติจีวรนาเมน กตาธิฎฺฐานานิ ปจฺจุทฺธริตฺวา ปริกฺขารโจฬนาเมน อธิฎฺฐาตุมฺปิ วฎฺฎตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Parikkhāracoḷaṃ kātumpi vaṭṭatīti baddhasīmato bahi vasantena ekakena tecīvarikena antoaruṇe asatiyā tīsu cīvaresu hatthapāse akatesu nissaggiyaṃ pācittiyaṃ hotīti, vinayakammaṃ kātuṃ sabhāgapuggalānaṃ dullabhattā ca sukhaparihāratthaṃ tīsu ekaṃ vā sabbāni eva vā ticīvaranāmena katādhiṭṭhānāni paccuddharitvā parikkhāracoḷanāmena adhiṭṭhātumpi vaṭṭatīti vuttaṃ hoti.

    เอวํ อคฺคเหตฺวา ‘‘สเจ ติจีวรํ ปริกฺขารโจฬาธิฎฺฐานํ ลเภยฺย, อุโทสิตสิกฺขาปเท ปริหาโร นิรตฺถโก ภเวยฺยา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙) วุตฺตํ มหาปทุมเตฺถรสฺส มตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอวํ จุโทสิเต’’ติอาทิฯ เอวํ เจติ เอวํ ติจีวรํ ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐหิตฺวา ปริหริตุํ วฎฺฎติ เจฯ อุโทสิเตติ อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส อนนฺตเร ทุติยกถินสิกฺขาปเทฯ วุโตฺต ปริหาโรติ ‘‘เอกกุลสฺส คาโม โหติ ปริกฺขิโตฺต จฯ อโนฺตคาเม จีวรํ นิกฺขิปิตฺวา อโนฺตคาเม วตฺถพฺพ’’นฺติอาทินา (ปารา. ๔๗๘) นเยน ปทภาชนาวสาเน วุโตฺต, อิธ จ ‘‘คามาทีสุ ปเทเสสู’’ติอาทินา นเยน อนนฺตรํ วกฺขมาโน ติจีวรสฺส ปริหรณวิธิฯ นิรตฺถโกติ ปริกฺขารโจฬนาเมน อธิฎฺฐิตจีวรสฺส เตน วิธินา ติจีวรํ อปริหรนฺตสฺสาปิ ภิกฺขุโน อนาปตฺติภาวโต นิปฺปโยชโนติ อโตฺถฯ

    Evaṃ aggahetvā ‘‘sace ticīvaraṃ parikkhāracoḷādhiṭṭhānaṃ labheyya, udositasikkhāpade parihāro niratthako bhaveyyā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.469) vuttaṃ mahāpadumattherassa mataṃ dassetumāha ‘‘evaṃ cudosite’’tiādi. Evaṃ ceti evaṃ ticīvaraṃ parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhahitvā pariharituṃ vaṭṭati ce. Udositeti imassa sikkhāpadassa anantare dutiyakathinasikkhāpade. Vutto parihāroti ‘‘ekakulassa gāmo hoti parikkhitto ca. Antogāme cīvaraṃ nikkhipitvā antogāme vatthabba’’ntiādinā (pārā. 478) nayena padabhājanāvasāne vutto, idha ca ‘‘gāmādīsu padesesū’’tiādinā nayena anantaraṃ vakkhamāno ticīvarassa pariharaṇavidhi. Niratthakoti parikkhāracoḷanāmena adhiṭṭhitacīvarassa tena vidhinā ticīvaraṃ apariharantassāpi bhikkhuno anāpattibhāvato nippayojanoti attho.

    ๕๙๐. ตปฺปริหริตุมาห ‘‘น’’อิจฺจาทิฯ น นิรตฺถโกติ โยชนาฯ เหตุํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เตจีวริกเสฺสวา’’ติอาทิฯ โย ติจีวรนาเมน อธิฎฺฐานํ อปจฺจุทฺธริตฺวา สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา อโนฺตอรุเณ จีวรํ หตฺถปาสโต อโมเจตฺวา อรุณํ อุฎฺฐาเปติ, ตาทิสสฺส เตจีวริกเสฺสว ตสฺมิํ สิกฺขาปเท อุโทสิตปริหารสฺส ภควตา เทสิตตฺตาติ อโตฺถฯ ยสฺมา ตาทิสเสฺสว เตจีวริกสฺส อุโทสิตสิกฺขาปเท ปริหาโร วุโตฺต, ตสฺมาฯ ตํ สพฺพมฺปีติ ตํ นววิธํ สพฺพมฺปิ จีวรํฯ ปริกฺขารโจฬสฺสาติ ปริกฺขารโจฬนาเมน อธิฎฺฐหิตฺวา จีวรํ ปริภุญฺชิตุกามสฺส ปริกฺขารโจฬนาเมน อธิฎฺฐาตุํ วฎฺฎติ

    590. Tappariharitumāha ‘‘na’’iccādi. Na niratthakoti yojanā. Hetuṃ dassetumāha ‘‘tecīvarikassevā’’tiādi. Yo ticīvaranāmena adhiṭṭhānaṃ apaccuddharitvā satiṃ upaṭṭhapetvā antoaruṇe cīvaraṃ hatthapāsato amocetvā aruṇaṃ uṭṭhāpeti, tādisassa tecīvarikasseva tasmiṃ sikkhāpade udositaparihārassa bhagavatā desitattāti attho. Yasmā tādisasseva tecīvarikassa udositasikkhāpade parihāro vutto, tasmā. Taṃ sabbampīti taṃ navavidhaṃ sabbampi cīvaraṃ. Parikkhāracoḷassāti parikkhāracoḷanāmena adhiṭṭhahitvā cīvaraṃ paribhuñjitukāmassa parikkhāracoḷanāmena adhiṭṭhātuṃ vaṭṭati.

    ๕๙๑. อิมินา อุโทสิตปริหารสฺส อนิรตฺถกภาวํ สาเธตฺวา อิทานิ ‘‘ติจีวรํ ปริกฺขารโจฬนาเมนาปิ อธิฎฺฐาตุํ วฎฺฎตี’’ติ อิมสฺส อธิกตฺถสฺส มหาการุณิเกน อนุญฺญาตภาเว กิริยนฺตรานุชานนสงฺขาตอธิกวจนสฺส ญาปกเหตุภาวํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อธิเฎฺฐตี’’ติอาทิฯ อิมสฺมิํเยว สิกฺขาปเท อนาปตฺติวาเร ‘‘อนาปตฺติ อโนฺตทสาหํ อธิเฎฺฐติ, วิกเปฺปตี’’ติ ปาเฐ อนาปตฺติภาเว ‘‘อธิเฎฺฐตี’’ติ เอตฺตเกเนว ปริยเตฺต (ปารา. ๔๖๙) ‘‘วิกเปฺปตี’’ติ กิริยนฺตรานุชานเนน ปการนฺตเรนาปิ โทโส นตฺถีติ อธิปฺปายสฺส วิญฺญาปิตตฺตาติ อโตฺถฯ

    591. Iminā udositaparihārassa aniratthakabhāvaṃ sādhetvā idāni ‘‘ticīvaraṃ parikkhāracoḷanāmenāpi adhiṭṭhātuṃ vaṭṭatī’’ti imassa adhikatthassa mahākāruṇikena anuññātabhāve kiriyantarānujānanasaṅkhātaadhikavacanassa ñāpakahetubhāvaṃ dassetumāha ‘‘adhiṭṭhetī’’tiādi. Imasmiṃyeva sikkhāpade anāpattivāre ‘‘anāpatti antodasāhaṃ adhiṭṭheti, vikappetī’’ti pāṭhe anāpattibhāve ‘‘adhiṭṭhetī’’ti ettakeneva pariyatte (pārā. 469) ‘‘vikappetī’’ti kiriyantarānujānanena pakārantarenāpi doso natthīti adhippāyassa viññāpitattāti attho.

    ๕๙๒. เอวํ กโรนฺตสฺสาติ ติจีวรนาเมน อธิฎฺฐานํ ปจฺจุทฺธริตฺวา ปริกฺขารโจฬนาเมน อธิฎฺฐหนฺตสฺสฯ อิทานิ อติปฺปสงฺคํ ทเสฺสตุกามสฺส โจทกสฺส อธิปฺปายํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอว’’นฺติอาทิฯ มูลาธิฎฺฐานํ ปหาย กาตพฺพปฺปการนฺตรสฺสาปิ วิชฺชมานตฺตา ติจีวรํ ปจฺจุทฺธริตฺวา มุขปุญฺฉนาทิกํ กตฺวา อธิฎฺฐหโตปิ โทโส น สิยาติ กสฺมา นาปชฺชตีติ อโตฺถฯ นอิติ อติปฺปสงฺคนิวารเณฯ

    592.Evaṃ karontassāti ticīvaranāmena adhiṭṭhānaṃ paccuddharitvā parikkhāracoḷanāmena adhiṭṭhahantassa. Idāni atippasaṅgaṃ dassetukāmassa codakassa adhippāyaṃ dassetumāha ‘‘eva’’ntiādi. Mūlādhiṭṭhānaṃ pahāya kātabbappakārantarassāpi vijjamānattā ticīvaraṃ paccuddharitvā mukhapuñchanādikaṃ katvā adhiṭṭhahatopi doso na siyāti kasmā nāpajjatīti attho. Naiti atippasaṅganivāraṇe.

    ๕๙๓. กิจฺจวิธานโตติ เตสํ มุขปุญฺฉนาทีนํ อตฺตโน อตฺตโน กิจฺจสฺส สาธนโต, ตาทิสํ กิจฺจวิเสสาเปกฺขํ วินา ตํตํนาเมน อธิฎฺฐาตุํ น ยุชฺชตีติ อธิปฺปาโยฯ อกิจฺจสฺสาติ มุขปุญฺฉนาทิกิจฺจรหิตสฺสฯ อธิกสฺสาติ ปจฺจุทฺธริตฺวา ปฐมํ อธิฎฺฐานสฺส วิชหิตตฺตา อติเรกสฺสฯ อสฺสาติ ติจีวรสฺสฯ อธิฎฺฐานํ ตุ ยุชฺชตีติ ทสาหํ อนติกฺกมิตฺวา ปริกฺขารโจฬนาเมน อธิฎฺฐานํ ปน ยุชฺชติฯ

    593.Kiccavidhānatoti tesaṃ mukhapuñchanādīnaṃ attano attano kiccassa sādhanato, tādisaṃ kiccavisesāpekkhaṃ vinā taṃtaṃnāmena adhiṭṭhātuṃ na yujjatīti adhippāyo. Akiccassāti mukhapuñchanādikiccarahitassa. Adhikassāti paccuddharitvā paṭhamaṃ adhiṭṭhānassa vijahitattā atirekassa. Assāti ticīvarassa. Adhiṭṭhānaṃ tu yujjatīti dasāhaṃ anatikkamitvā parikkhāracoḷanāmena adhiṭṭhānaṃ pana yujjati.

    ๕๙๔. นิธานสฺส มุขํ อุปาโยติ นิธานมุขํ, อนฺตรวาสกาทิตํตํจีวรนาเมน อธิฎฺฐานโต อติเรกํ ยํ กิญฺจิ จีวรํ ยถา ฐปิตํ อาปตฺติํ น กโรติ, ตถา นิธานสฺส อุปาโยติ อโตฺถฯ เอตํ ปริกฺขารโจฬาธิฎฺฐานํฯ มหาปจฺจริยนฺติ พฺราหฺมณติสฺสภเย ภิกฺขุสงฺฆํ ชมฺพุทีปํ เนตุํ สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส อาณตฺติยา วิสุกเมฺมน นิมฺมิตมหาปจฺจริยํ นิสีทิตฺวา ลิขิตตฺตา ตํนามกายํ วินยฎฺฐกถายํ, ‘‘มหาปจฺจริยาทิสู’’ติปิ ลิขนฺติฯ

    594. Nidhānassa mukhaṃ upāyoti nidhānamukhaṃ, antaravāsakāditaṃtaṃcīvaranāmena adhiṭṭhānato atirekaṃ yaṃ kiñci cīvaraṃ yathā ṭhapitaṃ āpattiṃ na karoti, tathā nidhānassa upāyoti attho. Etaṃ parikkhāracoḷādhiṭṭhānaṃ. Mahāpaccariyanti brāhmaṇatissabhaye bhikkhusaṅghaṃ jambudīpaṃ netuṃ sakkassa devānamindassa āṇattiyā visukammena nimmitamahāpaccariyaṃ nisīditvā likhitattā taṃnāmakāyaṃ vinayaṭṭhakathāyaṃ, ‘‘mahāpaccariyādisū’’tipi likhanti.

    ๕๙๕. ปริกฺขารโจฬนาเมน อธิฎฺฐานวิธานสฺส วุตฺตปฺปมาณํ กตมนฺติ อาห ‘‘จีวร’’นฺติอาทิฯ ‘‘นิทาเน อุปฺปตฺติโต’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ‘‘จีวรํ ปริปุณฺณ’’นฺติ นิทาเน ‘‘ติจีวรํ สมฺปุณฺณํ วิชฺชติ, อิทมติเรกจีวรํ กิํ กาตพฺพ’’นฺติ ภิกฺขูหิ ภควโต อาโรจิตวตฺถุมฺหิ ฯ อุปฺปตฺติโตติ ปริกฺขารโจฬาธิฎฺฐานสฺส อุปฺปนฺนตฺตา, อนุญฺญาตตฺตาติ อโตฺถฯ ‘‘เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขูนํ ปริปุณฺณํ โหติ ติจีวรํ, อโตฺถ จ โหติ ปริสฺสาวเนหิปิ ถวิกาหิปิฯ ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ อนุชานามิ ภิกฺขเว ปริกฺขารโจฬก’’นฺติ (มหาว. ๓๕๗) เอตฺถ ปาฬิยํ เอวํ วิปฺปวาสสุขตฺถํ นาเมนาธิฎฺฐิตติจีวรํ อธิฎฺฐานํ ปจฺจุทฺธริตฺวา ปริกฺขารโจฬนาเมน อธิฎฺฐาตุํ วฎฺฎตีติ สาธเนน ตเทกสาธนตฺตา เอว เอกมฺปิ จีวรํ วิกเปฺปตุํ วฎฺฎตีติ วุตฺตเมว โหติฯ เตเนวาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เอวญฺจ สติ โย ติจีวเร เอเกน จีวเรน วิปฺปวสิตุกาโม โหติ, ตสฺส ติจีวราธิฎฺฐานํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิปฺปวาสสุขตฺถํ วิกปฺปนาย โอกาโส ทิโนฺน โหตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙)ฯ

    595. Parikkhāracoḷanāmena adhiṭṭhānavidhānassa vuttappamāṇaṃ katamanti āha ‘‘cīvara’’ntiādi. ‘‘Nidāne uppattito’’ti padacchedo. ‘‘Cīvaraṃ paripuṇṇa’’nti nidāne ‘‘ticīvaraṃ sampuṇṇaṃ vijjati, idamatirekacīvaraṃ kiṃ kātabba’’nti bhikkhūhi bhagavato ārocitavatthumhi . Uppattitoti parikkhāracoḷādhiṭṭhānassa uppannattā, anuññātattāti attho. ‘‘Tena kho pana samayena bhikkhūnaṃ paripuṇṇaṃ hoti ticīvaraṃ, attho ca hoti parissāvanehipi thavikāhipi. Bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ. Anujānāmi bhikkhave parikkhāracoḷaka’’nti (mahāva. 357) ettha pāḷiyaṃ evaṃ vippavāsasukhatthaṃ nāmenādhiṭṭhitaticīvaraṃ adhiṭṭhānaṃ paccuddharitvā parikkhāracoḷanāmena adhiṭṭhātuṃ vaṭṭatīti sādhanena tadekasādhanattā eva ekampi cīvaraṃ vikappetuṃ vaṭṭatīti vuttameva hoti. Tenevāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘evañca sati yo ticīvare ekena cīvarena vippavasitukāmo hoti, tassa ticīvarādhiṭṭhānaṃ paccuddharitvā vippavāsasukhatthaṃ vikappanāya okāso dinno hotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.469).

    ๕๙๖-๘. เอตฺตาวตา กปฺปิยจีวรญฺจ ตตฺถ กตฺตพฺพญฺจ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อกปฺปิยจีวรํ ทเสฺสตุมาห ‘‘กุสวากาที’’ติอาทิฯ กุสนฺติ ทพฺพติณํฯ วากนฺติ รุกฺขาทีนํ วากํฯ อาทิ-สเทฺทน ผลกํ คหิตํ, จีร-สโทฺท จีวรปริยาโย, อิมสฺมิํ กุสาทโย คเนฺถตฺวา กเต จีวเรเยว วตฺตติฯ เกสชํ กมฺพลนฺติ มนุสฺสเกเสหิ วีตกมฺพลญฺจฯ วาลชํ กมฺพลนฺติ อสฺสวาลจมรวาเลหิ วีตกมฺพลญฺจฯ อุลูกปกฺขนฺติ โกสิยสกุณปตฺตํฯ อิธ ปน ตํ คเนฺถตฺวา กตจีวรเมว คเหตพฺพํฯ อชินกฺขิเปติ อชินทีปิจเมฺมฯ ‘‘ธารยโต ถุลฺลจฺจย’’นฺติ ปเจฺจกํ สมฺพโนฺธฯ

    596-8. Ettāvatā kappiyacīvarañca tattha kattabbañca dassetvā idāni akappiyacīvaraṃ dassetumāha ‘‘kusavākādī’’tiādi. Kusanti dabbatiṇaṃ. Vākanti rukkhādīnaṃ vākaṃ. Ādi-saddena phalakaṃ gahitaṃ, cīra-saddo cīvarapariyāyo, imasmiṃ kusādayo ganthetvā kate cīvareyeva vattati. Kesajaṃ kambalanti manussakesehi vītakambalañca. Vālajaṃ kambalanti assavālacamaravālehi vītakambalañca. Ulūkapakkhanti kosiyasakuṇapattaṃ. Idha pana taṃ ganthetvā katacīvarameva gahetabbaṃ. Ajinakkhipeti ajinadīpicamme. ‘‘Dhārayato thullaccaya’’nti paccekaṃ sambandho.

    กทลิทุเสฺสติ กทลิวากมยวเตฺถฯ เอรกทุเสฺสติ เอรกมยวเตฺถฯ อกฺกทุเสฺสติ อกฺกทเณฺฑ วา เตสํ สุตฺตานิ วา คเหตฺวา กตวเตฺถฯ โปตฺถเกติ มกจิวากมยวเตฺถฯ ติรีเฎ วาติ เอวํนามเก รุกฺขตเจฯ เวฐเนติ สีสเวฐเนฯ กญฺจุเกติ กวเจฯ

    Kadalidusseti kadalivākamayavatthe. Erakadusseti erakamayavatthe. Akkadusseti akkadaṇḍe vā tesaṃ suttāni vā gahetvā katavatthe. Potthaketi makacivākamayavatthe. Tirīṭe vāti evaṃnāmake rukkhatace. Veṭhaneti sīsaveṭhane. Kañcuketi kavace.

    สพฺพนีลเกติ เกวลนีลเกฯ เอส นโย มเญฺชฎฺฐาทีสุฯ มหานามรเตฺตติ ตนุปทุมทลวณฺณรเตฺตฯ มหารงฺครเตฺตติ สตปทิวณฺณรเตฺตฯ

    Sabbanīlaketi kevalanīlake. Esa nayo mañjeṭṭhādīsu. Mahānāmaratteti tanupadumadalavaṇṇaratte. Mahāraṅgaratteti satapadivaṇṇaratte.

    ๕๙๙. อจฺฉินฺนทสเกติ อจฺฉินฺนา ทสา ยสฺส, ตสฺมิํ จีวเรฯ เอส นโย ทีฆทเสปิฯ ผลทเสติ ผลสทิสคนฺถิตา ทสา ยสฺส, ตสฺมิํฯ ปุปฺผทเสติ กณฺณิกํ พนฺธิตฺวา วิกาเสตฺวา กตา ทสา ยสฺส, ตสฺมิํ จีวเรติ อโตฺถฯ อจฺฉินฺนจีวรสฺสาติ นคฺคํ กตฺวา โจเรหิ วิลุตฺตจีวรสฺส ฯ เอตฺถาติ กุสวากาทีสุ, สพฺพนีลาทีสุ จฯ กิญฺจีติ เอกมฺปิ อกปฺปิยํ นตฺถิ อนนุโลมิกํ นตฺถิฯ ‘‘นเคฺคน เอเตสุ อกปฺปิยจีวเรสุ ยํกิญฺจิ ลทฺธํ, เตน หิริโกปินํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปจฺฉา กปฺปิยจีวเร ลเทฺธ ตํ อธิวาเสตฺวา อิทํ อกปฺปิยจีวรํ ปริจฺจชิตพฺพํฯ สพฺพนีลกาทิวเตฺถสุ ลเทฺธสุ กปฺปิยรชเนน รชิตฺวา, ตํ วณฺณํ นาเสตฺวา วา กปฺปิยวตฺถานิ อุภยปเสฺสสุ อลฺลิยาเปตฺวา, ปฎิจฺฉาเทตฺวา วา นิวาเสตุํ วฎฺฎตี’’ติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ

    599.Acchinnadasaketi acchinnā dasā yassa, tasmiṃ cīvare. Esa nayo dīghadasepi. Phaladaseti phalasadisaganthitā dasā yassa, tasmiṃ. Pupphadaseti kaṇṇikaṃ bandhitvā vikāsetvā katā dasā yassa, tasmiṃ cīvareti attho. Acchinnacīvarassāti naggaṃ katvā corehi viluttacīvarassa . Etthāti kusavākādīsu, sabbanīlādīsu ca. Kiñcīti ekampi akappiyaṃ natthi ananulomikaṃ natthi. ‘‘Naggena etesu akappiyacīvaresu yaṃkiñci laddhaṃ, tena hirikopinaṃ paṭicchādetvā pacchā kappiyacīvare laddhe taṃ adhivāsetvā idaṃ akappiyacīvaraṃ pariccajitabbaṃ. Sabbanīlakādivatthesu laddhesu kappiyarajanena rajitvā, taṃ vaṇṇaṃ nāsetvā vā kappiyavatthāni ubhayapassesu alliyāpetvā, paṭicchādetvā vā nivāsetuṃ vaṭṭatī’’ti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.

    ๖๐๐. ‘‘อโนฺตทสาห’’นฺติ อิทํ ‘‘อธิเฎฺฐตี’’ติอาทีหิ สพฺพปเทหิปิ โยเชตพฺพํฯ วิสฺสเชฺชตีติ อญฺญสฺส เทติฯ อิธ ทานํ ทุวิธํ สมฺมุขาทานํ, ปรมฺมุขาทานนฺติฯ ปฎิคฺคาหกํ ทิสฺวา ‘‘อิทํ ตุยฺหํ ทมฺมี’’ติ ทานํ สมฺมุขาทานํ นามฯ ปรมฺมุขา ‘‘อิทํ อิตฺถนฺนามสฺส ทมฺมี’’ติ ทินฺนํ ปรมฺมุขาทานํฯ ‘‘อิทํ ตฺวํ คณฺหาหี’’ติ วา ‘‘ตุยฺหํ คณฺหาหี’’ติ วา วุเตฺต ‘‘มยฺหํ คณฺหามี’’ติ สเจ วทติ, ทานคหณทฺวยมฺปิ สุทฺธํฯ ‘‘อิทํ ตว สนฺตกํ กโรหิ, ตว สนฺตกํ โหตุ, ตว สนฺตกํ โหตี’’ติ ทายเกน วุเตฺต คณฺหโนฺตปิ ‘‘มม สนฺตกํ กโรมิ, มม สนฺตกํ โหตุ, มม สนฺตกํ โหตี’’ติ วทติ เจ, ทานํ, คหณญฺจ อสุทฺธํ โหติฯ ‘‘ตว สนฺตกํ กโรหี’’ติ วุเตฺต ปน ‘‘สาธุ ภเนฺต มยฺหํ คณฺหามี’’ติ วตฺวา คณฺหาติ, คหณํ สุทฺธํฯ ‘‘อิทํ ตุยฺหํ คณฺหาหี’’ติ วุเตฺต ‘‘อหํ น คณฺหามี’’ติ วทติ, ปุน ‘‘ทินฺนํ มยา, ตุยฺหํ คณฺหาหี’’ติ วุเตฺต อิตโรปิ ปุน ปฎิกฺขิปติ, ตํ จีวรํ กสฺสจิ อสนฺตกตฺตา ทสาหาติกฺกเมนาปิ นิสฺสคฺคิยํ น โหตีติ ปจฺฉา เตสุ ทฺวีสุ โย อิจฺฉติ, เตน อธิฎฺฐาย ปริภุญฺชิตพฺพนฺติ สพฺพมิทํ อฎฺฐกถาย (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙ อตฺถโต สมานํ) วุตฺตํฯ

    600.‘‘Antodasāha’’nti idaṃ ‘‘adhiṭṭhetī’’tiādīhi sabbapadehipi yojetabbaṃ. Vissajjetīti aññassa deti. Idha dānaṃ duvidhaṃ sammukhādānaṃ, parammukhādānanti. Paṭiggāhakaṃ disvā ‘‘idaṃ tuyhaṃ dammī’’ti dānaṃ sammukhādānaṃ nāma. Parammukhā ‘‘idaṃ itthannāmassa dammī’’ti dinnaṃ parammukhādānaṃ. ‘‘Idaṃ tvaṃ gaṇhāhī’’ti vā ‘‘tuyhaṃ gaṇhāhī’’ti vā vutte ‘‘mayhaṃ gaṇhāmī’’ti sace vadati, dānagahaṇadvayampi suddhaṃ. ‘‘Idaṃ tava santakaṃ karohi, tava santakaṃ hotu, tava santakaṃ hotī’’ti dāyakena vutte gaṇhantopi ‘‘mama santakaṃ karomi, mama santakaṃ hotu, mama santakaṃ hotī’’ti vadati ce, dānaṃ, gahaṇañca asuddhaṃ hoti. ‘‘Tava santakaṃ karohī’’ti vutte pana ‘‘sādhu bhante mayhaṃ gaṇhāmī’’ti vatvā gaṇhāti, gahaṇaṃ suddhaṃ. ‘‘Idaṃ tuyhaṃ gaṇhāhī’’ti vutte ‘‘ahaṃ na gaṇhāmī’’ti vadati, puna ‘‘dinnaṃ mayā, tuyhaṃ gaṇhāhī’’ti vutte itaropi puna paṭikkhipati, taṃ cīvaraṃ kassaci asantakattā dasāhātikkamenāpi nissaggiyaṃ na hotīti pacchā tesu dvīsu yo icchati, tena adhiṭṭhāya paribhuñjitabbanti sabbamidaṃ aṭṭhakathāya (pārā. aṭṭha. 2.469 atthato samānaṃ) vuttaṃ.

    อธิฎฺฐิตจีวเร อธิฎฺฐาเน เวมติเกน อตฺตโน วิมติํ ปฐมํ อาวิ กตฺวา ‘‘สเจ อนธิฎฺฐิตํ, เอวํ กเต กปฺปิยํ โหตี’’ติ จิเนฺตตฺวา นิสฺสเชฺชตฺวา วินยกมฺมํ กโรนฺตสฺส มุสาวาทโทโส นาปชฺชติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘น หิ เอวํ ชานาเปตฺวา วินยกมฺมํ กโรนฺตสฺส มุสาวาโท โหตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙)ฯ ‘‘เกจิ ‘ตถา เวมติกจีวรํ อเญฺญน วิสฺสาเสน คเหตฺวา ปุน ทาตพฺพ’นฺติ วทนฺติ, ตํ น สุนฺทร’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙ โถกํ วิสทิสํ) ตเตฺถว วุตฺตํฯ

    Adhiṭṭhitacīvare adhiṭṭhāne vematikena attano vimatiṃ paṭhamaṃ āvi katvā ‘‘sace anadhiṭṭhitaṃ, evaṃ kate kappiyaṃ hotī’’ti cintetvā nissajjetvā vinayakammaṃ karontassa musāvādadoso nāpajjati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘na hi evaṃ jānāpetvā vinayakammaṃ karontassa musāvādo hotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.469). ‘‘Keci ‘tathā vematikacīvaraṃ aññena vissāsena gahetvā puna dātabba’nti vadanti, taṃ na sundara’’nti (pārā. aṭṭha. 2.469 thokaṃ visadisaṃ) tattheva vuttaṃ.

    วินสฺสตีติ โจราทีหิ วินสฺสติฯ ‘‘นสฺสติ, ฑยฺหติ, อจฺฉินฺทิตฺวา คณฺหนฺตี’’ติ อิมานิปิ วินาสปฺปการตฺตา ‘‘วินสฺสตี’’ติ อิมินาว สงฺคยฺหนฺติฯ ตตฺถ ‘‘นสฺสตี’’ติ อิทํ โจราทีหิ หฎํ สนฺธาย วุตฺตํ, ‘‘วินสฺสตี’’ติ อิทํ อุนฺทูรขายิตาทิํ สนฺธาย วุตฺตํ, ‘‘ฑยฺหตี’’ติ อคฺคินา ทฑฺฒํ สนฺธายฯ วิสฺสาเสติ เอตฺถ สนฺทิโฎฺฐ จ สมฺภโตฺต จ อาลปิโต จ ชีวติ จ คหิเต จตฺตมโน โหตีติ ปญฺจงฺคสมนฺนาคเตน อตฺตนิ วิสฺสาเสน อเญฺญน คหิเตติ อโตฺถฯ ปกาสิตาติ ‘‘อนาปตฺติ อโนฺตทสาหํ อธิเฎฺฐตี’’ติอาทินา (ปารา. ๔๖๙) นเยน วุตฺตาฯ

    Vinassatīti corādīhi vinassati. ‘‘Nassati, ḍayhati, acchinditvā gaṇhantī’’ti imānipi vināsappakārattā ‘‘vinassatī’’ti imināva saṅgayhanti. Tattha ‘‘nassatī’’ti idaṃ corādīhi haṭaṃ sandhāya vuttaṃ, ‘‘vinassatī’’ti idaṃ undūrakhāyitādiṃ sandhāya vuttaṃ, ‘‘ḍayhatī’’ti agginā daḍḍhaṃ sandhāya. Vissāseti ettha sandiṭṭho ca sambhatto ca ālapito ca jīvati ca gahite cattamano hotīti pañcaṅgasamannāgatena attani vissāsena aññena gahiteti attho. Pakāsitāti ‘‘anāpatti antodasāhaṃ adhiṭṭhetī’’tiādinā (pārā. 469) nayena vuttā.

    ๖๐๑. อิทํ ปน สมุฎฺฐานํ นาเมน กถินสมุฎฺฐานํ นามาติ อโตฺถฯ อิทํ กถินสมุฎฺฐานํ นาม กายวาจโต จ กายวาจาจิตฺตโต จ สมุฎฺฐาติฯ อติเรกจีวรภาวสฺส ชานนจิเตฺตน ปณฺณตฺติชานนจิเตฺต อสติปิ อาปตฺติสมฺภวโต อจิตฺตํฯ อนธิฎฺฐานโต, อวิกปฺปนโต จ อกฺริยํฯ กมฺมฎฺฐานมนุยุญฺชโนฺต วา เจติยาทิํ วนฺทโนฺต วา เอกาทสมํ อรุณํ อุฎฺฐาเปติ, กุสลจิโตฺต อาปชฺชติ, กลหาทิปสุโต วา วีติกฺกมํ ชานโนฺต วา อุฎฺฐาเปติ, อกุสลจิโตฺต อาปชฺชติ, ขีณาสโว ปน อสติยา วา ปณฺณตฺติํ อชานโนฺต วา ตถา กโรโนฺต อพฺยากตจิโตฺต อาปชฺชตีติ ติจิตฺตํฯ วุตฺตนเยน กมฺมฎฺฐานาทิมนุยุญฺชนฺตสฺส โสมนสฺสจิตฺตสมงฺคิโน สุขเวทนา, อุเปกฺขาจิตฺตสมงฺคิโน อุเปกฺขาเวทนา, กลหาทิปสุตสฺส โทมนสฺสจิตฺตสมงฺคิโน ทุกฺขเวทนา โหตีติ ติเวทนํฯ เอส นโย อุปริปิ เอวรูเป ฐาเน โยเชตโพฺพฯ

    601. Idaṃ pana samuṭṭhānaṃ nāmena kathinasamuṭṭhānaṃ nāmāti attho. Idaṃ kathinasamuṭṭhānaṃ nāma kāyavācato ca kāyavācācittato ca samuṭṭhāti. Atirekacīvarabhāvassa jānanacittena paṇṇattijānanacitte asatipi āpattisambhavato acittaṃ. Anadhiṭṭhānato, avikappanato ca akriyaṃ. Kammaṭṭhānamanuyuñjanto vā cetiyādiṃ vandanto vā ekādasamaṃ aruṇaṃ uṭṭhāpeti, kusalacitto āpajjati, kalahādipasuto vā vītikkamaṃ jānanto vā uṭṭhāpeti, akusalacitto āpajjati, khīṇāsavo pana asatiyā vā paṇṇattiṃ ajānanto vā tathā karonto abyākatacitto āpajjatīti ticittaṃ. Vuttanayena kammaṭṭhānādimanuyuñjantassa somanassacittasamaṅgino sukhavedanā, upekkhācittasamaṅgino upekkhāvedanā, kalahādipasutassa domanassacittasamaṅgino dukkhavedanā hotīti tivedanaṃ. Esa nayo uparipi evarūpe ṭhāne yojetabbo.

    ปฐมกถินกถาวณฺณนาฯ

    Paṭhamakathinakathāvaṇṇanā.

    ๖๐๒. คามาทีสุ ปเทเสสุ ติปญฺจสูติ ติจีวรานิ นิกฺขิปิตฺวา วิปฺปวาเสน โทสํ, อุปฺปชฺชนฎฺฐานญฺจ ทเสฺสตุํ ‘‘คาโม เอกูปจาโร’’ติอาทินา (ปารา. ๔๗๗) นเยน ปาฬิยํ วุตฺตคามนิเวสนอุโทสิตอฎฺฎมาฬปาสาทหมฺมิยนาวาสตฺถเขตฺตธญฺญกร- ณอารามวิหารรุกฺขมูลอโชฺฌกาสสงฺขาเตสุ ปนฺนรสสุ จีวรนิเกฺขปฎฺฐาเนสูติ วุตฺตํ โหติฯ เอตฺถ คาโม นาม เอกกุฎิกาทิคาโมฯ

    602.Gāmādīsupadesesu tipañcasūti ticīvarāni nikkhipitvā vippavāsena dosaṃ, uppajjanaṭṭhānañca dassetuṃ ‘‘gāmo ekūpacāro’’tiādinā (pārā. 477) nayena pāḷiyaṃ vuttagāmanivesanaudositaaṭṭamāḷapāsādahammiyanāvāsatthakhettadhaññakara- ṇaārāmavihārarukkhamūlaajjhokāsasaṅkhātesu pannarasasu cīvaranikkhepaṭṭhānesūti vuttaṃ hoti. Ettha gāmo nāma ekakuṭikādigāmo.

    นิเวสนํ นาม คามโต พหิ จตุสาลาทิโก เคโหฯ เตนาห คณฺฐิปเท ‘‘คามนิเวสนานํ วิเสสํ วทนฺตา ‘ปุน เอกปริเจฺฉทํ กตฺวา นิเวสิตา พหุเคหา นิเวสนํ นาม โหนฺตี’ติ วทนฺติ, ตสฺมา อิทํ นิเวสนาทิ สพฺพํ ‘คามโต พหี’ติ คเหตพฺพ’’นฺติฯ อิทญฺจ ตเตฺถว วุตฺตํ ‘‘นิเวสนาทิกํ อโนฺตคาเม เจ โหติ, คาเม วุตฺตปริหารเสฺสว ลพฺภนโต อโนฺตคามโต พหี’ติ คเหตพฺพ’’นฺติฯ

    Nivesanaṃ nāma gāmato bahi catusālādiko geho. Tenāha gaṇṭhipade ‘‘gāmanivesanānaṃ visesaṃ vadantā ‘puna ekaparicchedaṃ katvā nivesitā bahugehā nivesanaṃ nāma hontī’ti vadanti, tasmā idaṃ nivesanādi sabbaṃ ‘gāmato bahī’ti gahetabba’’nti. Idañca tattheva vuttaṃ ‘‘nivesanādikaṃ antogāme ce hoti, gāme vuttaparihārasseva labbhanato antogāmato bahī’ti gahetabba’’nti.

    อฎฺฐกถายํ ‘‘อุโทสิโตติ ยานาทีนํ ภณฺฑานํ สาลา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๘๒-๔๘๗) วุตฺตสรูปํ อุโทสิตํ นามฯ ‘‘อโฎฺฎติ ปฎิราชาทิปฎิพาหนตฺถํ อิฎฺฐกาหิ กโต พหลภิตฺติโก จตุปญฺจภูมิโก ปติสฺสยวิเสโส’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๘๒-๔๘๗) วุตฺตสรูโป อโฎฺฎ นามฯ ‘‘มาโฬติ เอกกูฎสงฺคหิโต จตุรสฺสปาสาโท’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๔๘๒-๔๘๗) วุโตฺต เอกกณฺณิกสงฺคหิโต จตุรสฺสเคโห มาโฬ นามฯ ปาสาโทติ ทีฆปาสาโทฯ หมฺมิยนฺติ มุณฺฑจฺฉทนปาสาโทฯ นาวาติ ยานปฺปตฺติฯ สตฺถนฺติ ชงฺฆสตฺถสกฎสตฺถวเสน ทุวิโธ ชนสมูโห, โส จ นิวิฎฺฐานิวิฎฺฐวเสน ปเจฺจกํ ทุวิโธฯ ตตฺถ นิวิเฎฺฐ วติอาทิปริเกฺขโปปิ โหเตวฯ

    Aṭṭhakathāyaṃ ‘‘udositoti yānādīnaṃ bhaṇḍānaṃ sālā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.482-487) vuttasarūpaṃ udositaṃ nāma. ‘‘Aṭṭoti paṭirājādipaṭibāhanatthaṃ iṭṭhakāhi kato bahalabhittiko catupañcabhūmiko patissayaviseso’’ti (pārā. aṭṭha. 2.482-487) vuttasarūpo aṭṭo nāma. ‘‘Māḷoti ekakūṭasaṅgahito caturassapāsādo’’ti (pārā. aṭṭha. 482-487) vutto ekakaṇṇikasaṅgahito caturassageho māḷo nāma. Pāsādoti dīghapāsādo. Hammiyanti muṇḍacchadanapāsādo. Nāvāti yānappatti. Satthanti jaṅghasatthasakaṭasatthavasena duvidho janasamūho, so ca niviṭṭhāniviṭṭhavasena paccekaṃ duvidho. Tattha niviṭṭhe vatiādiparikkhepopi hoteva.

    เขตฺตนฺติ ยวเขตฺตาทิเขตฺตํฯ ธญฺญกรณํ ขลํฯ อาราโม ปุปฺผาราโม, ผลาราโม จฯ วิหาโรติ เอกมฺปิ เสนาสนํ วุจฺจติฯ ‘‘รุโกฺข นาม ยํ มชฺฌนฺติเก กาเล สมนฺตา ฉายา ผรตี’’ติ (ปารา. ๔๙๔) วุตฺตปฺปมาณปริจฺฉโนฺน รุโกฺขฯ อโชฺฌกาโส นาม สตฺตพฺภนฺตโร, โส วิญฺจาฎวิอาทิอคามการเญฺญ จ มจฺฉพนฺธานํ อคมนปเถ สมุทฺททีเป จ ลพฺภติฯ มจฺฉพนฺธานํ อคมนปโถ นาม อุทกปิฎฺฐิยา คนฺตฺวา ปุน ตทเหว เคหํ อาคนฺตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย ทูโร สมุทฺทปฺปเทโส วุจฺจติฯ

    Khettanti yavakhettādikhettaṃ. Dhaññakaraṇaṃ khalaṃ. Ārāmo pupphārāmo, phalārāmo ca. Vihāroti ekampi senāsanaṃ vuccati. ‘‘Rukkho nāma yaṃ majjhantike kāle samantā chāyā pharatī’’ti (pārā. 494) vuttappamāṇaparicchanno rukkho. Ajjhokāso nāma sattabbhantaro, so viñcāṭaviādiagāmakāraññe ca macchabandhānaṃ agamanapathe samuddadīpe ca labbhati. Macchabandhānaṃ agamanapatho nāma udakapiṭṭhiyā gantvā puna tadaheva gehaṃ āgantuṃ asakkuṇeyyatāya dūro samuddappadeso vuccati.

    อยํ คามาทิโก ปเจฺจกํ เอกูปจาโร, นานูปจาโรติ ทุวิโธฯ ตตฺถ อโชฺฌกาสํ วินา คามาทิโก ตํตํราชาทิสามิกกุลานํ เอกตฺถนานตฺถวเสน เอกกุลสนฺตโก เจ โหติ, เอกูปจาโรฯ นานากุลสนฺตโก เจ, นานูปจาโร โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘คาโม เอกูปจาโร นาม เอกกุลสฺส คาโม โหตี’’ติอาทิ (ปารา. ๔๗๘)ฯ อฎฺฐกถายมฺปิ วุตฺตํ ‘‘เอกกุลสฺส คาโมติ เอกสฺส รโญฺญ วา โภชกสฺส วา คาโม’’ติ จ ‘‘นานากุลสฺส คาโมติ นานาราชูนํ วา โภชกานํ วา คาโม เวสาลีกุสินาราทิสทิโส’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๗๙) จฯ

    Ayaṃ gāmādiko paccekaṃ ekūpacāro, nānūpacāroti duvidho. Tattha ajjhokāsaṃ vinā gāmādiko taṃtaṃrājādisāmikakulānaṃ ekatthanānatthavasena ekakulasantako ce hoti, ekūpacāro. Nānākulasantako ce, nānūpacāro hoti. Vuttañhetaṃ ‘‘gāmo ekūpacāro nāma ekakulassa gāmo hotī’’tiādi (pārā. 478). Aṭṭhakathāyampi vuttaṃ ‘‘ekakulassa gāmoti ekassa rañño vā bhojakassa vā gāmo’’ti ca ‘‘nānākulassa gāmoti nānārājūnaṃ vā bhojakānaṃ vā gāmo vesālīkusinārādisadiso’’ti (pārā. aṭṭha. 2.479) ca.

    เอกกุเลน การาปิโต วิหาโร เอกูปจาโร, นานากุเลหิ การาปิโต นานูปจาโร โหติฯ ยถาห คณฺฐิปเท ‘‘วิหาเร เอกกุลนานากุลโวหาโร การาปกานํ วเสน วุโตฺต’’ติฯ อโชฺฌกาเส ปน อุปจารเภโท อพฺภนฺตรวเสน เวทิตโพฺพฯ วุตฺตเญฺจตํ ปาฬิยํ ‘‘อโชฺฌกาโส เอกูปจาโร นาม อคามเก อรเญฺญ สมนฺตา สตฺตพฺภนฺตรา เอกูปจาโรฯ ตโต ปรํ นานูปจาโร’’ติฯ อิธ เอกํ อพฺภนฺตรํ อฎฺฐวีสติรตนํ โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เอกํ อพฺภนฺตรํ อฎฺฐวีสติหตฺถ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๘๙)ฯ เอวํ สเงฺขปโต วุตฺตสรูปปฺปเภทานิ ปนฺนรส ฐานานิ ทเสฺสตุมาห ‘‘คามาทีสุ ปเทเสสุ ติปญฺจสู’’ติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน ปาฬิอฎฺฐกถาวณฺณนโต เวทิตโพฺพฯ

    Ekakulena kārāpito vihāro ekūpacāro, nānākulehi kārāpito nānūpacāro hoti. Yathāha gaṇṭhipade ‘‘vihāre ekakulanānākulavohāro kārāpakānaṃ vasena vutto’’ti. Ajjhokāse pana upacārabhedo abbhantaravasena veditabbo. Vuttañcetaṃ pāḷiyaṃ ‘‘ajjhokāso ekūpacāro nāma agāmake araññe samantā sattabbhantarā ekūpacāro. Tato paraṃ nānūpacāro’’ti. Idha ekaṃ abbhantaraṃ aṭṭhavīsatiratanaṃ hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘ekaṃ abbhantaraṃ aṭṭhavīsatihattha’’nti (pārā. aṭṭha. 2.489). Evaṃ saṅkhepato vuttasarūpappabhedāni pannarasa ṭhānāni dassetumāha ‘‘gāmādīsu padesesu tipañcasū’’ti. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana pāḷiaṭṭhakathāvaṇṇanato veditabbo.

    ‘‘ติจีวเรน วิปฺปวาเสยฺยาติ สงฺฆาฎิยา วา อุตฺตราสเงฺคน วา อนฺตรวาสเกน วาฯ อโนฺตคาเม จีวรํ นิกฺขิปิตฺวา’’ติ (ปารา. ๔๗๖, ๔๗๘) วจนโต เอตฺถ ติจีวรนฺติ ติณฺณํ จีวรานมญฺญตรเมว จีวรํ วตฺตพฺพํฯ เอกรตฺตนฺติ วิปฺปวาสกิริยาย อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ อปิ-สเทฺทน กิํ ปน ทิรตฺตาทิกนฺติ ทเสฺสติฯ

    ‘‘Ticīvarena vippavāseyyāti saṅghāṭiyā vā uttarāsaṅgena vā antaravāsakena vā. Antogāme cīvaraṃ nikkhipitvā’’ti (pārā. 476, 478) vacanato ettha ticīvaranti tiṇṇaṃ cīvarānamaññatarameva cīvaraṃ vattabbaṃ. Ekarattanti vippavāsakiriyāya accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Api-saddena kiṃ pana dirattādikanti dasseti.

    สงฺฆสมฺมุติยา วินาติ ติจีวรํ ปริหริตุํ อสมเตฺถน คิลาเนน ภิกฺขุนา สงฺฆํ วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ‘‘อหํ ภเนฺต คิลาโน, น สโกฺกมิ ติจีวรํ อาทาย ปกฺกมิตุํ, โสหํ ภเนฺต สงฺฆํ ติจีวเรน อวิปฺปวาสสมฺมุติํ ยาจามี’’ติ ติกฺขตฺตุํ ยาจิเตน สเงฺฆน ตสฺส ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย ทินฺนํ อวิปฺปวาสสมฺมุติํ วินาติ วุตฺตํ โหติฯ ตถา ลทฺธสมฺมุติกสฺส คิลานสฺส ภิกฺขุโน ตสฺมิํ เคลเญฺญ อวูปสเนฺต วา วูปสเนฺตปิ จีวรนิเกฺขปฎฺฐานํ อาคมนกาเล วา อุปฺปเนฺน อเญฺญปิ โรเค อวูปสเนฺต ตายเยว สมฺมุติยา น โทโสฯ

    Saṅghasammutiyā vināti ticīvaraṃ pariharituṃ asamatthena gilānena bhikkhunā saṅghaṃ vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggayha ‘‘ahaṃ bhante gilāno, na sakkomi ticīvaraṃ ādāya pakkamituṃ, sohaṃ bhante saṅghaṃ ticīvarena avippavāsasammutiṃ yācāmī’’ti tikkhattuṃ yācitena saṅghena tassa ñattidutiyāya kammavācāya dinnaṃ avippavāsasammutiṃ vināti vuttaṃ hoti. Tathā laddhasammutikassa gilānassa bhikkhuno tasmiṃ gelaññe avūpasante vā vūpasantepi cīvaranikkhepaṭṭhānaṃ āgamanakāle vā uppanne aññepi roge avūpasante tāyayeva sammutiyā na doso.

    ๖๐๓. ภิกฺขุโนติ อลทฺธสมฺมุติกสฺส ภิกฺขุโนฯ เตน จีวเรนฯ วิปฺปวตฺถุํ น วฎฺฎตีติ วินา วสิตุํ น วฎฺฎติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ‘‘เอกกุลสฺส คาโม โหติ ปริกฺขิโตฺต จ, อโนฺตคาเม จีวรํ นิกฺขิปิตฺวา อโนฺตคาเม วตฺถพฺพํฯ อปริกฺขิโตฺต โหติ, ยสฺมิํ ฆเร จีวรํ นิกฺขิตฺตํ โหติ, ตสฺมิํ ฆเร วตฺถพฺพํ, หตฺถปาสา วา น วิชหิตพฺพํฯ นานากุลสฺส คาโม โหติ ปริกฺขิโตฺต จ, ยสฺมิํ ฆเร จีวรํ นิกฺขิตฺตํ โหติ, ตสฺมิํ ฆเร วตฺถพฺพํ สภาเย วา ทฺวารมูเล วา, หตฺถปาสา วา น วิชหิตพฺพ’’นฺติอาทินา (ปารา. ๔๗๘) นเยน ปาฬิยา วุตฺตฎฺฐานโต พหิ อรุณํ อุฎฺฐาเปตุํ น วฎฺฎตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    603.Bhikkhunoti aladdhasammutikassa bhikkhuno. Tena cīvarena. Vippavatthuṃ na vaṭṭatīti vinā vasituṃ na vaṭṭati. Kiṃ vuttaṃ hoti? ‘‘Ekakulassa gāmo hoti parikkhitto ca, antogāme cīvaraṃ nikkhipitvā antogāme vatthabbaṃ. Aparikkhitto hoti, yasmiṃ ghare cīvaraṃ nikkhittaṃ hoti, tasmiṃ ghare vatthabbaṃ, hatthapāsā vā na vijahitabbaṃ. Nānākulassa gāmo hoti parikkhitto ca, yasmiṃ ghare cīvaraṃ nikkhittaṃ hoti, tasmiṃ ghare vatthabbaṃ sabhāye vā dvāramūle vā, hatthapāsā vā na vijahitabba’’ntiādinā (pārā. 478) nayena pāḷiyā vuttaṭṭhānato bahi aruṇaṃ uṭṭhāpetuṃ na vaṭṭatīti vuttaṃ hoti.

    อิมสฺมิํ ปาเฐ ‘‘ปริกฺขิโตฺต’’ติ อิทํ ปากาเรน วา วติยา วา ปริขาย วา ปริกฺขิตฺตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ หตฺถปาสา วาติ เอตฺถ หตฺถปาสา นาม อฑฺฒติยรตนํ โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ตํ ฆรํ สมนฺตโต หตฺถปาสา น วิชหิตพฺพํ, อฑฺฒเตยฺยรตนปฺปมาณา ปเทสา อุทฺธํ น วิชหิตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๗๗-๔๗๘)ฯ

    Imasmiṃ pāṭhe ‘‘parikkhitto’’ti idaṃ pākārena vā vatiyā vā parikhāya vā parikkhittaṃ sandhāya vuttaṃ. Hatthapāsā vāti ettha hatthapāsā nāma aḍḍhatiyaratanaṃ hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘taṃ gharaṃ samantato hatthapāsā na vijahitabbaṃ, aḍḍhateyyaratanappamāṇā padesā uddhaṃ na vijahitabbanti vuttaṃ hotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.477-478).

    วิปฺปวสนฺตสฺส โก โทโสติ อาห ‘‘โหติ…เป.… อรุณุคฺคเม’’ติฯ อนุญฺญาตฎฺฐานโต หิ พหิ จีวเรน วินา อรุณํ อุฎฺฐาเปนฺตสฺส ตํ จีวรํ นิสฺสชฺชิตพฺพํ โหติ, ตํเหตุกา ปาจิตฺติยาปตฺติปิ โหตีติ อโตฺถฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘นิสฺสชฺชิตฺวา…เป.… วิญฺญุนา’’ติฯ

    Vippavasantassa ko dosoti āha ‘‘hoti…pe… aruṇuggame’’ti. Anuññātaṭṭhānato hi bahi cīvarena vinā aruṇaṃ uṭṭhāpentassa taṃ cīvaraṃ nissajjitabbaṃ hoti, taṃhetukā pācittiyāpattipi hotīti attho. Teneva vakkhati ‘‘nissajjitvā…pe… viññunā’’ti.

    ๖๐๔. นฺหายนฺตเสฺสวาติ จีวรสฺส หตฺถปาสโต ทูเร นหายนฺตเสฺสว, อนาทเร สามิวจนํฯ

    604.Nhāyantassevāti cīvarassa hatthapāsato dūre nahāyantasseva, anādare sāmivacanaṃ.

    ๖๐๖. อจฺฉินฺนํ วิลุตฺตํ จีวรํ ยสฺส โส อจฺฉินฺนจีวโร, ภิกฺขุ, ตสฺส ฐานํ อจฺฉินฺนจีวรฎฺฐานํ, ตสฺมิํฯ

    606. Acchinnaṃ viluttaṃ cīvaraṃ yassa so acchinnacīvaro, bhikkhu, tassa ṭhānaṃ acchinnacīvaraṭṭhānaṃ, tasmiṃ.

    ๖๐๗. นิวาเสตฺวาติ เอตฺถ ‘‘อนฺตรวาสก’’นฺติ จ คเหตฺวาติ เอตฺถ ‘‘อิตรานี’’ติ จ เสโสฯ อิทญฺจ คนฺตพฺพฎฺฐาเน, อาสเนฺน มเคฺค จ มนุสฺสสมฺพาเธ อสติ กตฺตพฺพทสฺสนํฯ อิตรตฺถ นิวาเสตฺวา, ปารุปิตฺวา จ สงฺฆาฎิํ อํเส กตฺวาว คนฺตพฺพํ โหติฯ วิหาเร สภาเคสุ อลพฺภมาเนสุ อาสนสาลมฺปิ คนฺตฺวา สภาคสฺส สนฺติเก วินยกมฺมํ กตฺตพฺพนฺติ อฎฺฐกถายํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๙๕ อตฺถโต สมานํ) วุตฺตํฯ ‘‘นิสฺสชฺชิตฺวา’’ติ อิมินา ‘‘อิทํ เม ภเนฺต จีวรํ รตฺติวิปฺปวุตฺถํ อญฺญตฺร ภิกฺขุสมฺมุติยา นิสฺสคฺคิยํ, อิมาหํ สงฺฆสฺส นิสฺสชฺชามี’’ติ สเงฺฆ วา ‘‘อิทํ เม ภเนฺต จีวรํ…เป.… อหํ อายสฺมนฺตานํ นิสฺสชฺชามี’’ติ ติณฺณํ, ทฺวินฺนํ วา สนฺติเก วา ‘‘อิทํ เม อาวุโส…เป.… อิมาหํ อายสฺมโต นิสฺสชฺชามี’’ติ เอกสฺส สนฺติเก วา วตฺวา นิสฺสชฺชิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ วิญฺญุนาติ เอวํ นิสฺสคฺคิยวตฺถุนิสฺสชฺชนาทินานปฺปการวิธิชานนเกน ญาณวตาติ อโตฺถฯ

    607.Nivāsetvāti ettha ‘‘antaravāsaka’’nti ca gahetvāti ettha ‘‘itarānī’’ti ca seso. Idañca gantabbaṭṭhāne, āsanne magge ca manussasambādhe asati kattabbadassanaṃ. Itarattha nivāsetvā, pārupitvā ca saṅghāṭiṃ aṃse katvāva gantabbaṃ hoti. Vihāre sabhāgesu alabbhamānesu āsanasālampi gantvā sabhāgassa santike vinayakammaṃ kattabbanti aṭṭhakathāyaṃ (pārā. aṭṭha. 2.495 atthato samānaṃ) vuttaṃ. ‘‘Nissajjitvā’’ti iminā ‘‘idaṃ me bhante cīvaraṃ rattivippavutthaṃ aññatra bhikkhusammutiyā nissaggiyaṃ, imāhaṃ saṅghassa nissajjāmī’’ti saṅghe vā ‘‘idaṃ me bhante cīvaraṃ…pe… ahaṃ āyasmantānaṃ nissajjāmī’’ti tiṇṇaṃ, dvinnaṃ vā santike vā ‘‘idaṃ me āvuso…pe… imāhaṃ āyasmato nissajjāmī’’ti ekassa santike vā vatvā nissajjitvāti vuttaṃ hoti. Viññunāti evaṃ nissaggiyavatthunissajjanādinānappakāravidhijānanakena ñāṇavatāti attho.

    ๖๐๘. ตํ นิสฺสคฺคิยจีวรํฯ

    608.Taṃ nissaggiyacīvaraṃ.

    ๖๐๙. ‘‘อเทนฺตสฺส จ นิสฺสฎฺฐํ ทุกฺกฎ’’นฺติ อิมินา ‘‘พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน อาปตฺติ ปฎิคฺคเหตพฺพา, นิสฺสฎฺฐจีวรํ ทาตพฺพ’’นฺติ วุตฺตตฺตา อิมํ วิธิํ ชานนตาย พฺยเตฺตน ยถาวิธิํ กาตุํ สมตฺถตาย ปฎิพเลน ขนฺธเก (จูฬว. ๒๓๙) อาคตนเยน อาปตฺติํ ปฎิคฺคเหตฺวา นิสฺสฎฺฐจีวรํ หเตฺถน คเหตฺวา นิสีทาเปตฺวา สเจ สโงฺฆ โหติ, ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อิทํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน นิสฺสคฺคิยํ สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐํ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺยา’’ติ, สเจ ตโย โหนฺติ, ‘‘สุณนฺตุ เม อายสฺมนฺตา, อิทํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน นิสฺสคฺคิยํ อายสฺมนฺตานํ นิสฺสฎฺฐํ, ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อายสฺมนฺตา อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺยุ’’นฺติ, สเจ เอกโก โหติ, ‘‘อิมํ จีวรํ อายสฺมโต ทมฺมี’’ติ ทาตพฺพํ, นิสฺสฎฺฐจีวรํ ‘‘อตฺตโนเยว ทินฺน’’นฺติ สุทฺธสญฺญาย คเหตฺวา อเทนฺตสฺส ทุกฺกฎํ โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    609.‘‘Adentassa ca nissaṭṭhaṃ dukkaṭa’’nti iminā ‘‘byattena bhikkhunā paṭibalena āpatti paṭiggahetabbā, nissaṭṭhacīvaraṃ dātabba’’nti vuttattā imaṃ vidhiṃ jānanatāya byattena yathāvidhiṃ kātuṃ samatthatāya paṭibalena khandhake (cūḷava. 239) āgatanayena āpattiṃ paṭiggahetvā nissaṭṭhacīvaraṃ hatthena gahetvā nisīdāpetvā sace saṅgho hoti, ‘‘suṇātu me bhante saṅgho, idaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno nissaggiyaṃ saṅghassa nissaṭṭhaṃ, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno dadeyyā’’ti, sace tayo honti, ‘‘suṇantu me āyasmantā, idaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno nissaggiyaṃ āyasmantānaṃ nissaṭṭhaṃ, yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, āyasmantā imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno dadeyyu’’nti, sace ekako hoti, ‘‘imaṃ cīvaraṃ āyasmato dammī’’ti dātabbaṃ, nissaṭṭhacīvaraṃ ‘‘attanoyeva dinna’’nti suddhasaññāya gahetvā adentassa dukkaṭaṃ hotīti vuttaṃ hoti.

    ตสฺส สนฺตกภาวํ ญตฺวา เลเสน วิลุมฺปนฺตสฺส ปน ภณฺฑคฺฆวเสน ทุกฺกฎถุลฺลจฺจยปาราชิกาปตฺติโย โหนฺติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ตสฺส สนฺตกภาวํ ปน ญตฺวา เลเสน อจฺฉินฺทโนฺต ภณฺฑํ อคฺฆาเปตฺวา กาเรตโพฺพ’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙)ฯ ปริยาปุตนฺติ ‘‘น ภิกฺขเว นิสฺสฎฺฐจีวรํ น ทาตพฺพํ, โย น ทเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๔๗๐) ปาฬิยํ วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ

    Tassa santakabhāvaṃ ñatvā lesena vilumpantassa pana bhaṇḍagghavasena dukkaṭathullaccayapārājikāpattiyo honti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tassa santakabhāvaṃ pana ñatvā lesena acchindanto bhaṇḍaṃ agghāpetvā kāretabbo’’ti (pārā. aṭṭha. 2.469). Pariyāputanti ‘‘na bhikkhave nissaṭṭhacīvaraṃ na dātabbaṃ, yo na dadeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 470) pāḷiyaṃ vuttanti attho.

    ๖๑๐-๑. เถเร ทหเร จาติ เอเตสุ อุโภสุปิ มคฺคํ คจฺฉเนฺตสูติ โยชนาฯ ‘‘เถเร’’ติ อิมินา อนิสฺสิตภาวมาห, ‘‘ทหเร จา’’ติ อิมินา นิสฺสิตภาวํฯ โอหีเนติ โอสกฺกิเตฯ สเจ โส เถโร นิสฺสยาจริโย ภเวยฺยาติ อธิปฺปาเยนาห ‘‘ครุ’’นฺติฯ ตสฺมิํ ทหเรฯ วตฺถนฺติ ตสฺส หเตฺถ ฐิตจีวรํฯ น ปสฺสมฺภตีติ ธุรนิเกฺขปํ อกตฺวา คมเน สอุสฺสาหตฺตา นิสฺสยปฎิปฺปสฺสทฺธิ น โหตีติ อธิปฺปาโยฯ เตเนว ‘‘มุหุตฺต’’นฺติอาทิมาหฯ

    610-1. There dahare cāti etesu ubhosupi maggaṃ gacchantesūti yojanā. ‘‘There’’ti iminā anissitabhāvamāha, ‘‘dahare cā’’ti iminā nissitabhāvaṃ. Ohīneti osakkite. Sace so thero nissayācariyo bhaveyyāti adhippāyenāha ‘‘garu’’nti. Tasmiṃ dahare. Vatthanti tassa hatthe ṭhitacīvaraṃ. Na passambhatīti dhuranikkhepaṃ akatvā gamane saussāhattā nissayapaṭippassaddhi na hotīti adhippāyo. Teneva ‘‘muhutta’’ntiādimāha.

    ๖๑๔. ปจฺจุทฺธาเร อโนฺตเยวารุเณติ อิมินา สมฺพโนฺธ, ทหรภิกฺขุโน ทูรภาวญฺจ อรุณุคฺคมนญฺจ ญตฺวา จีวรสฺส อนิสฺสคฺคิยตฺถํ ตสฺส หเตฺถ ฐิตภาวํ สลฺลเกฺขตฺวา ปุรารุณา ปจฺจุทฺธเรติ อโตฺถฯ วิสฺสเชฺชตีติ อญฺญสฺส เทติฯ วินสฺสตีติ โจราทีหิ นสฺสติฯ

    614. Paccuddhāre antoyevāruṇeti iminā sambandho, daharabhikkhuno dūrabhāvañca aruṇuggamanañca ñatvā cīvarassa anissaggiyatthaṃ tassa hatthe ṭhitabhāvaṃ sallakkhetvā purāruṇā paccuddhareti attho. Vissajjetīti aññassa deti. Vinassatīti corādīhi nassati.

    ทุติยกถินกถาวณฺณนาฯ

    Dutiyakathinakathāvaṇṇanā.

    ๖๑๖. อกาลจีวรนฺติ ‘‘อกาลจีวรํ นาม อนตฺถเต กถิเน เอกาทสมาเส อุปฺปนฺนํ, อตฺถเต กถิเน สตฺตมาเส อุปฺปนฺนํ, กาเลปิ อาทิสฺส ทินฺน’’นฺติ (ปารา. ๕๐๐) วจนโต อนตฺถตกถิเน วิหาเร ‘‘จีวรมาโส’’ติ โย ปุพฺพกตฺติกกาฬปกฺขปาฎิปทโต ปฎฺฐาย ยาว อปรกตฺติกปุณฺณมี, ตาว มาโส วุจฺจติ, ตโต ปเรสุ เอกาทสสุ มาเสสุ อุปฺปนฺนญฺจ อตฺถตกถิเน วิหาเร โย จีวรมาโส, เหมนฺตา จ จตฺตาโร มาสาติ ปญฺจมาสโต พหิ สตฺตสุ มาเสสุ อุปฺปนฺนญฺจ อตฺถตกถิเน ปญฺจ มาสา ยถาปริจฺฉินฺนกาเล สงฺฆสฺส จ ‘‘อิทํ อกาลจีวรํ ทมฺมี’’ติ ปุคฺคลสฺส จ ‘‘อิทํ ตุยฺหํ ทมฺมี’’ติ ทินฺนเญฺจติ อิทํ อกาลจีวรนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อุปฺปนฺน’’นฺติ เสโส, ‘‘อุปฺปเชฺชยฺย สงฺฆโต วา คณโต วา ญาติโต วา มิตฺตโต วา ปํสุกูลโต วา อตฺตโน วา ธเนนา’’ติ (ปารา. ๕๐๐) วจนโต สงฺฆสฺส วา ‘‘อิทํ สุตฺตนฺติกคณสฺส เทม, อิทํ อาภิธมฺมิกคณสฺส เทมา’’ติอาทินา นเยน คณสฺส วา ทินฺนโต อตฺตโน วสฺสเคฺคน วา ญาติอาทิโต วา สุสานาทิปํสุกูลเขตฺตโต วา อตฺตโน สนฺตเกน สุตฺตกปฺปาสาทิกปฺปิยวตฺถุโต วา อุปฺปนฺนจีวรนฺติ อโตฺถฯ

    616.Akālacīvaranti ‘‘akālacīvaraṃ nāma anatthate kathine ekādasamāse uppannaṃ, atthate kathine sattamāse uppannaṃ, kālepi ādissa dinna’’nti (pārā. 500) vacanato anatthatakathine vihāre ‘‘cīvaramāso’’ti yo pubbakattikakāḷapakkhapāṭipadato paṭṭhāya yāva aparakattikapuṇṇamī, tāva māso vuccati, tato paresu ekādasasu māsesu uppannañca atthatakathine vihāre yo cīvaramāso, hemantā ca cattāro māsāti pañcamāsato bahi sattasu māsesu uppannañca atthatakathine pañca māsā yathāparicchinnakāle saṅghassa ca ‘‘idaṃ akālacīvaraṃ dammī’’ti puggalassa ca ‘‘idaṃ tuyhaṃ dammī’’ti dinnañceti idaṃ akālacīvaranti attho. ‘‘Uppanna’’nti seso, ‘‘uppajjeyya saṅghato vā gaṇato vā ñātito vā mittato vā paṃsukūlato vā attano vā dhanenā’’ti (pārā. 500) vacanato saṅghassa vā ‘‘idaṃ suttantikagaṇassa dema, idaṃ ābhidhammikagaṇassa demā’’tiādinā nayena gaṇassa vā dinnato attano vassaggena vā ñātiādito vā susānādipaṃsukūlakhettato vā attano santakena suttakappāsādikappiyavatthuto vā uppannacīvaranti attho.

    มาสปรมํ นิกฺขิเปติ มาโส ปรมํ ปมาณํ เอตสฺส นิกฺขิปนสฺสาติ มาสปรมํ, นิกฺขิปนนฺติ กิริยาวิเสสนํ กาตพฺพํ, มาสปรมํ นิกฺขิปนํ กเรยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อากงฺขมาเนน ภิกฺขุนา ปฎิคฺคเหตพฺพํ, ปฎิคฺคเหตฺวา ขิปฺปเมว กาเรตพฺพํ, โน จสฺส ปาริปูรี, มาสปรมํ เตน ภิกฺขุนา ตํ จีวรํ นิกฺขิปิตพฺพํ อูนสฺส ปาริปูริยา’’ติ (ปารา. ๕๐๐) วจนโต เอวํ อุปฺปนฺนํ จีวรํ อิจฺฉเนฺตน ปฎิคฺคเหตฺวา สเจ ปโหติ, ทสาหมนติกฺกาเมตฺวา กาเรตพฺพํฯ สเจ นปฺปโหติ, อูนสฺส ปริปูรณตฺถํ มาสปรมํ ฐเปตพฺพนฺติ อโตฺถฯ

    Māsaparamaṃ nikkhipeti māso paramaṃ pamāṇaṃ etassa nikkhipanassāti māsaparamaṃ, nikkhipananti kiriyāvisesanaṃ kātabbaṃ, māsaparamaṃ nikkhipanaṃ kareyyāti vuttaṃ hoti. ‘‘Ākaṅkhamānena bhikkhunā paṭiggahetabbaṃ, paṭiggahetvā khippameva kāretabbaṃ, no cassa pāripūrī, māsaparamaṃ tena bhikkhunā taṃ cīvaraṃ nikkhipitabbaṃ ūnassa pāripūriyā’’ti (pārā. 500) vacanato evaṃ uppannaṃ cīvaraṃ icchantena paṭiggahetvā sace pahoti, dasāhamanatikkāmetvā kāretabbaṃ. Sace nappahoti, ūnassa paripūraṇatthaṃ māsaparamaṃ ṭhapetabbanti attho.

    กทา เอวํ นิกฺขิปิตพฺพนฺติ อาห ‘‘สติ ปจฺจาสายา’’ติ, ‘‘ปจฺจาสา โหติ สงฺฆโต วา คณโต วา ญาติโต วา มิตฺตโต วา ปํสุกูลโต วา อตฺตโน วา ธเนนา’’ติ (ปารา. ๕๐๐) วุตฺตสงฺฆาทิโต อตฺตโน วสฺสคฺคาทิโต ลเภยฺย, เตน ‘‘อิมสฺส อูเน ปริปุเณฺณ กาเรสฺสามี’’ติ ปจฺจาสาย สติ เอวํ นิกฺขิปิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ ตโต อุทฺธํ ฐเปตุํ น วฎฺฎตีติ มาสโต อติเรกกาลํ นิกฺขิปิตุํ น วฎฺฎติ, นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยํ โหตีติ อโตฺถฯ

    Kadā evaṃ nikkhipitabbanti āha ‘‘sati paccāsāyā’’ti, ‘‘paccāsā hoti saṅghato vā gaṇato vā ñātito vā mittato vā paṃsukūlato vā attano vā dhanenā’’ti (pārā. 500) vuttasaṅghādito attano vassaggādito labheyya, tena ‘‘imassa ūne paripuṇṇe kāressāmī’’ti paccāsāya sati evaṃ nikkhipitabbanti attho. Tato uddhaṃṭhapetuṃna vaṭṭatīti māsato atirekakālaṃ nikkhipituṃ na vaṭṭati, nissaggiyapācittiyaṃ hotīti attho.

    ยทิ เอวํ ‘‘ตทหุปฺปเนฺน มูลจีวเร ปจฺจาสาจีวรํ อุปฺปชฺชติ, ทสาหา กาเรตพฺพํ…เป.… วีเส อุปฺปเนฺน มูลจีวเร ปจฺจาสาจีวรํ อุปฺปชฺชติ, ทสาหา กาเรตพฺพ’’นฺติ (ปารา. ๕๐๐) กสฺมา อาหาติ? ปจฺจาสาจีวรสฺส ทสทิวเส อติกฺกมฺม ฐเปตุํ อยุตฺตตฺตา, มูลจีวรสฺส ตคฺคติกตฺตา เอวํ วุตฺตํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘มูลจีวรสฺส อุปฺปนฺนทิวสโต ยาว วีสติโม ทิวโส, ตาว อุปฺปนฺนํ ปจฺจาสาจีวรํ มูลจีวรํ อตฺตโน คติกํ กโรตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๐๐)ฯ

    Yadi evaṃ ‘‘tadahuppanne mūlacīvare paccāsācīvaraṃ uppajjati, dasāhā kāretabbaṃ…pe… vīse uppanne mūlacīvare paccāsācīvaraṃ uppajjati, dasāhā kāretabba’’nti (pārā. 500) kasmā āhāti? Paccāsācīvarassa dasadivase atikkamma ṭhapetuṃ ayuttattā, mūlacīvarassa taggatikattā evaṃ vuttaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘mūlacīvarassa uppannadivasato yāva vīsatimo divaso, tāva uppannaṃ paccāsācīvaraṃ mūlacīvaraṃ attano gatikaṃ karotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.500).

    ตติยกถินกถาวณฺณนาฯ

    Tatiyakathinakathāvaṇṇanā.

    ๖๑๘-๙. ภิกฺขุนิยา โย โธวาเปตีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘ภิกฺขุนี นาม อุภโตสเงฺฆ อุปสมฺปนฺนา’’ติ (ปารา. ๕๐๐) วจนโต ภิกฺขุนิสเงฺฆ ญตฺติจตุตฺถาย กมฺมวาจาย, ภิกฺขุสเงฺฆ ญตฺติจตุตฺถาย กมฺมวาจายาติ อฎฺฐวาจิกาย อุปสมฺปนฺนา ภิกฺขุนี นามฯ ภุตฺตนฺติ ภิกฺขุนา อตฺตนา ปริภุตฺตํ รชิตํ อาทินฺนกปฺปํ, ‘‘ปริโภคํ กริสฺสามี’’ติ อนฺตมโส สีสํ ฐเปตฺวา สยนมเตฺตนาปิ ปุราณภูตํ จีวรนฺติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘รชิตฺวา กปฺปํ กตฺวา เอกวารมฺปิ นิวตฺถํ วา ปารุตํ วา อนฺตมโส ปริโภคสีเสน อํเส วา มตฺถเก วา กตฺวา มคฺคํ คโต โหติ, อุสฺสีสกํ วา กตฺวา นิปโนฺน โหติ, เอตมฺปิ ปุราณจีวรเมวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๐๓-๕๐๕)ฯ วตฺถนฺติ การิเย การโณปจารวเสน จีวรเมว อาหฯ

    618-9. Bhikkhuniyā yo dhovāpetīti sambandho. ‘‘Bhikkhunī nāma ubhatosaṅghe upasampannā’’ti (pārā. 500) vacanato bhikkhunisaṅghe ñatticatutthāya kammavācāya, bhikkhusaṅghe ñatticatutthāya kammavācāyāti aṭṭhavācikāya upasampannā bhikkhunī nāma. Bhuttanti bhikkhunā attanā paribhuttaṃ rajitaṃ ādinnakappaṃ, ‘‘paribhogaṃ karissāmī’’ti antamaso sīsaṃ ṭhapetvā sayanamattenāpi purāṇabhūtaṃ cīvaranti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘rajitvā kappaṃ katvā ekavārampi nivatthaṃ vā pārutaṃ vā antamaso paribhogasīsena aṃse vā matthake vā katvā maggaṃ gato hoti, ussīsakaṃ vā katvā nipanno hoti, etampi purāṇacīvaramevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.503-505). Vatthanti kāriye kāraṇopacāravasena cīvarameva āha.

    อญฺญาติกายาติ ‘‘อญฺญาติกา นาม มาติโต วา ปิติโต วา ยาว สตฺตมา ปิตามหยุคา อสมฺพทฺธา’’ติ วจนโต อตฺตโน วา ตสฺสา วา มาตุ วา ปิตุ วา ปรมฺปราย ยาว สตฺตมา ยุคา, เอตฺถนฺตเร เยน เกนจิ ญาตเกน อสมฺพทฺธภาเวน อญฺญาติกายาติ อโตฺถฯ ยถา จาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ปิตามโหเยว ปิตามหยุคํฯ ตโต อุทฺธํ สเพฺพปิ ปุพฺพปุริสา ปิตามหคฺคหเณเนว คหิตาฯ เอวํ ยาว สตฺตโม ปุริโส, ตาว ยา อสมฺพทฺธา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๐๓-๕๐๕)ฯ อาโกฎาเปตีติ ปหราเปติฯ

    Aññātikāyāti ‘‘aññātikā nāma mātito vā pitito vā yāva sattamā pitāmahayugā asambaddhā’’ti vacanato attano vā tassā vā mātu vā pitu vā paramparāya yāva sattamā yugā, etthantare yena kenaci ñātakena asambaddhabhāvena aññātikāyāti attho. Yathā cāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘pitāmahoyeva pitāmahayugaṃ. Tato uddhaṃ sabbepi pubbapurisā pitāmahaggahaṇeneva gahitā. Evaṃ yāva sattamo puriso, tāva yā asambaddhā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.503-505). Ākoṭāpetīti paharāpeti.

    ตโต โธวาปนาทิโตฯ นิสฺสคฺคิยาปตฺตีติ นิสฺสคฺคิยสฺส อาปตฺติ นิสฺสคฺคิยาปตฺติ, นิสฺสคฺคิยสฺส จีวรสฺส นาเมน วิสิฎฺฐา ปาจิตฺติยาปตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ อิทญฺจ ติณฺณํ ปโยคานํ อเนฺต อาปชฺชิตพฺพาย อาปตฺติยา ทสฺสนํฯ ตสฺส นิโยเคน โธวนาทิํ กโรนฺติยา ภิกฺขุนิยา ตทตฺถํ สพฺพปุพฺพปโยคคณนาย ภิกฺขุโน ทุกฺกฎํ โหตีติ คเหตโพฺพฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ยาว นํ โธวิตฺวา อุกฺขิปติ, ตาว ภิกฺขุนิยา ปโยเค ปโยเค ภิกฺขุสฺส ทุกฺกฎ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๐๓-๕๐๕)ฯ ปฐเมนาติ ตีณิปิ การาเปนฺตสฺส ยํ ปฐมํ การาเปติ, เตนาติ อโตฺถฯ ทีปิตนฺติ ‘‘อญฺญาติกาย อญฺญาติกสญฺญี ปุราณจีวรํ โธวาเปติ รชาเปติ อาโกฎาเปติ, นิสฺสคฺคิเยน อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎาน’’นฺติอาทินา (ปารา. ๕๐๖) เทสิตํฯ อิมินา นเยน เทฺว การาเปนฺตสฺส ปฐเมน นิสฺสคฺคิยาปตฺติ, ทุติเยน ทุกฺกฎนฺติ อยมโตฺถ สงฺคยฺหติฯ

    Tato dhovāpanādito. Nissaggiyāpattīti nissaggiyassa āpatti nissaggiyāpatti, nissaggiyassa cīvarassa nāmena visiṭṭhā pācittiyāpatti hotīti attho. Idañca tiṇṇaṃ payogānaṃ ante āpajjitabbāya āpattiyā dassanaṃ. Tassa niyogena dhovanādiṃ karontiyā bhikkhuniyā tadatthaṃ sabbapubbapayogagaṇanāya bhikkhuno dukkaṭaṃ hotīti gahetabbo. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yāva naṃ dhovitvā ukkhipati, tāva bhikkhuniyā payoge payoge bhikkhussa dukkaṭa’’nti (pārā. aṭṭha. 2.503-505). Paṭhamenāti tīṇipi kārāpentassa yaṃ paṭhamaṃ kārāpeti, tenāti attho. Dīpitanti ‘‘aññātikāya aññātikasaññī purāṇacīvaraṃ dhovāpeti rajāpeti ākoṭāpeti, nissaggiyena āpatti dvinnaṃ dukkaṭāna’’ntiādinā (pārā. 506) desitaṃ. Iminā nayena dve kārāpentassa paṭhamena nissaggiyāpatti, dutiyena dukkaṭanti ayamattho saṅgayhati.

    ๖๒๐. ‘‘โธวนตฺถาย เทตี’’ติ อิมินา ‘‘ภุตฺตํ วตฺถ’’นฺติ อธิการโต ลพฺภติฯ

    620.‘‘Dhovanatthāya detī’’ti iminā ‘‘bhuttaṃ vattha’’nti adhikārato labbhati.

    ๖๒๑. สามเณรนิเทฺทเสปีติ ‘‘สามเณรา’’ติ นิเทฺทโส นาม ยสฺส, ตสฺมิมฺปิ, อตฺตนา ปริภุตฺตํ วตฺถํ โธวนตฺถาย เทตีติ โยชนา, อตฺตโน ปริภุตฺตํ จีวรํ โธวนตฺถาย สามเณรสฺส เทตีติ อโตฺถฯ ปิ-สโทฺท สมุจฺจยโตฺถฯ อุปสมฺปชฺชาติ ปุพฺพกิริยาย ‘‘โธวตี’’ติ อปรกิริยา สามตฺถิยา ลพฺภติฯ

    621.Sāmaṇeraniddesepīti ‘‘sāmaṇerā’’ti niddeso nāma yassa, tasmimpi, attanā paribhuttaṃ vatthaṃ dhovanatthāya detīti yojanā, attano paribhuttaṃ cīvaraṃ dhovanatthāya sāmaṇerassa detīti attho. Pi-saddo samuccayattho. Upasampajjāti pubbakiriyāya ‘‘dhovatī’’ti aparakiriyā sāmatthiyā labbhati.

    ๖๒๒. ทหรานญฺจ ภิกฺขูนนฺติ อตฺตโน นวกตรานํ ภิกฺขูนํฯ นิยฺยาทิเต ทิเนฺนฯ เอส นโยติ ‘‘เอเกน ปาจิตฺติยํ, อวสิเฎฺฐหิ ทฺวีหิ วา เอเกน วา สพฺพปโยเคสุ ทุกฺกฎํ โหตี’’ติ นโยฯ

    622.Daharānañca bhikkhūnanti attano navakatarānaṃ bhikkhūnaṃ. Niyyādite dinne. Esa nayoti ‘‘ekena pācittiyaṃ, avasiṭṭhehi dvīhi vā ekena vā sabbapayogesu dukkaṭaṃ hotī’’ti nayo.

    ๖๒๓. จีวเรติ ปริภุตฺตจีวเรฯ

    623.Cīvareti paribhuttacīvare.

    ๖๒๔. ‘‘โธวนปฺปจฺจยาเยวา’’ติ อิมินา อิตรทฺวยสฺส ตสฺส อนาณตฺติยา กตตฺตา ตโต อนาปตฺติภาวมาหฯ

    624.‘‘Dhovanappaccayāyevā’’ti iminā itaradvayassa tassa anāṇattiyā katattā tato anāpattibhāvamāha.

    ๖๒๖. ญาติกาติ เอตฺถ ‘‘ปฎิสงฺขา โยนิโส’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๒-๒๓, ๔๒๒; อ. นิ. ๖.๕๘; ๘.๙; มหานิ. ๒๐๖; ธ. ส. ๑๓๕๕; วิภ. ๕๑๘) วิย คาถาพนฺธวเสน ย-การโลโป, ญาติกาย ภิกฺขุนิยาติ อโตฺถฯ ‘‘ญาติกา อญฺญาติสญฺญิสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ปจฺจตฺถรณนฺติ มญฺจปีเฐ อตฺถริตพฺพํ ปจฺจตฺถรณจีวรญฺจฯ

    626.Ñātikāti ettha ‘‘paṭisaṅkhā yoniso’’tiādīsu (ma. ni. 1.22-23, 422; a. ni. 6.58; 8.9; mahāni. 206; dha. sa. 1355; vibha. 518) viya gāthābandhavasena ya-kāralopo, ñātikāya bhikkhuniyāti attho. ‘‘Ñātikā aññātisaññissā’’ti padacchedo. Paccattharaṇanti mañcapīṭhe attharitabbaṃ paccattharaṇacīvarañca.

    ๖๒๗. ‘‘ภิกฺขุนีนํ วเสนา’’ติ อิทํ ภิกฺขุสเงฺฆปิ อุปสมฺปนฺนา เจ, ปาจิตฺติยสมฺภวา วุตฺตํ ฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ภิกฺขูนํ สนฺติเก อุปสมฺปนฺนาย ปน ยถาวตฺถุกเมวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๐๖)ฯ ภิกฺขุนิสเงฺฆ ปฐมํ อุปสมฺปชฺชิตฺวา ปจฺฉา ภิกฺขุสเงฺฆ เจ อุปสมฺปชฺชติ, เกวลํ ภิกฺขุสเงฺฆ อุปสมฺปนฺนาติ น วุจฺจตีติ ตา ภควติ ธรมาเน ปฐมํ ปพฺพชิตา ปญฺจสตา สากิยานิโย วุจฺจนฺติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ภิกฺขูนํ สนฺติเก อุปสมฺปนฺนา นาม ปญฺจสตา สากิยานิโย’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๐๖)ฯ ภิกฺขุโน ลิเงฺค ปริวเตฺต ตเสฺสว อุปสมฺปนฺนกมฺมสฺส อนุญฺญาตตฺตา โสปิ คเหตโพฺพเยวฯ

    627.‘‘Bhikkhunīnaṃ vasenā’’ti idaṃ bhikkhusaṅghepi upasampannā ce, pācittiyasambhavā vuttaṃ . Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘bhikkhūnaṃ santike upasampannāya pana yathāvatthukamevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.506). Bhikkhunisaṅghe paṭhamaṃ upasampajjitvā pacchā bhikkhusaṅghe ce upasampajjati, kevalaṃ bhikkhusaṅghe upasampannāti na vuccatīti tā bhagavati dharamāne paṭhamaṃ pabbajitā pañcasatā sākiyāniyo vuccanti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘bhikkhūnaṃ santike upasampannā nāma pañcasatā sākiyāniyo’’ti (pārā. aṭṭha. 2.506). Bhikkhuno liṅge parivatte tasseva upasampannakammassa anuññātattā sopi gahetabboyeva.

    ๖๒๘. อวุตฺตา โธวตีติ ‘‘อิมํ จีวรํ โธวา’’ติ อวุตฺตา จีวรํ กิลิฎฺฐํ ทิสฺวา อวตฺวา ฐปิตฎฺฐานโต จีวรํ คเหตฺวา วา สยเมว วตฺวา ยาจนาทินเยน วา อนาณตฺติยา จ คเหตฺวา จีวรโธวนาทิํ กเรยฺย เจฯ อปริภุตฺตํ วาติ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน อปริภุตฺตํ จีวรํฯ อญฺญํ วาติ อุปาหนตฺถวิกปตฺตตฺถวิกโปตฺถกตฺถวิกมญฺจปีฐาทิํ ยํ กิญฺจิ ปริกฺขารํฯ

    628.Avuttā dhovatīti ‘‘imaṃ cīvaraṃ dhovā’’ti avuttā cīvaraṃ kiliṭṭhaṃ disvā avatvā ṭhapitaṭṭhānato cīvaraṃ gahetvā vā sayameva vatvā yācanādinayena vā anāṇattiyā ca gahetvā cīvaradhovanādiṃ kareyya ce. Aparibhuttaṃ vāti heṭṭhā vuttanayena aparibhuttaṃ cīvaraṃ. Aññaṃ vāti upāhanatthavikapattatthavikapotthakatthavikamañcapīṭhādiṃ yaṃ kiñci parikkhāraṃ.

    ปุราณจีวรโธวาปนกถาวณฺณนาฯ

    Purāṇacīvaradhovāpanakathāvaṇṇanā.

    ๖๒๙. วิกปฺปนุปคํ ปจฺฉิมํ อุปาทาย กิญฺจิ จีวรํ คณฺหโตติ โยชนา, เอตฺถ ‘‘อญฺญาติกาย ภิกฺขุนิยา หตฺถโต’’ติ จ ‘‘ญาติกาย อญฺญาติกสญฺญิสฺสา’’ติ จ ‘‘เอกโตอุปสมฺปนฺนาย หตฺถโต คณฺหาตี’’ติ จ วกฺขมานวจนสามตฺถิยา ลพฺภมานโต ปุเพฺพ วุตฺตนเยน อญฺญาติกาย อุภโตสเงฺฆ อุปสมฺปนฺนาย ภิกฺขุนิยา หตฺถโต วิกปฺปนุปครตนวิทตฺถิปฺปมาณวตฺถโต ปฎฺฐาย ยํ กิญฺจิ จีวรํ คณฺหนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘อาปตฺตี’’ติ สามเญฺญน วุเตฺตปิ ‘‘นิสฺสคฺคิยา ปาจิตฺติยาปตฺตี’’ติ ปกรณโต จ ‘‘นิสฺสคฺคิยาปตฺตี’’ติ วกฺขมานโต จ ลพฺภติฯ ฐเปตฺวา ปาริวตฺตกนฺติ ‘‘ปาริวตฺตกํ ปริเตฺตน วา วิปุลํ, วิปุเลน วา ปริตฺต’’นฺติ (ปารา. ๕๑๔) วจนโต มหาปจฺจริยํ ‘‘อนฺตมโส หรีตกขเณฺฑนาปี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๑๔) วุตฺตตฺตา จ เหฎฺฐิมนฺตโต หรีตกขณฺฑมฺปิ ทตฺวา คเหตพฺพํ ติจีวรญฺจ ปาริวตฺตกํ นาม โหติ, ตํ ฐเปตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ปริวตฺตนํ ปริวตฺตํ, ตํ เอตสฺส อตฺถีติ ปาริวตฺตกํ, กยวิกฺกเยน คเหตพฺพํ จีวรนฺติ อโตฺถฯ

    629. Vikappanupagaṃ pacchimaṃ upādāya kiñci cīvaraṃ gaṇhatoti yojanā, ettha ‘‘aññātikāya bhikkhuniyā hatthato’’ti ca ‘‘ñātikāya aññātikasaññissā’’ti ca ‘‘ekatoupasampannāya hatthato gaṇhātī’’ti ca vakkhamānavacanasāmatthiyā labbhamānato pubbe vuttanayena aññātikāya ubhatosaṅghe upasampannāya bhikkhuniyā hatthato vikappanupagaratanavidatthippamāṇavatthato paṭṭhāya yaṃ kiñci cīvaraṃ gaṇhantassāti attho. ‘‘Āpattī’’ti sāmaññena vuttepi ‘‘nissaggiyā pācittiyāpattī’’ti pakaraṇato ca ‘‘nissaggiyāpattī’’ti vakkhamānato ca labbhati. Ṭhapetvā pārivattakanti ‘‘pārivattakaṃ parittena vā vipulaṃ, vipulena vā paritta’’nti (pārā. 514) vacanato mahāpaccariyaṃ ‘‘antamaso harītakakhaṇḍenāpī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.514) vuttattā ca heṭṭhimantato harītakakhaṇḍampi datvā gahetabbaṃ ticīvarañca pārivattakaṃ nāma hoti, taṃ ṭhapetvāti vuttaṃ hoti. Parivattanaṃ parivattaṃ, taṃ etassa atthīti pārivattakaṃ, kayavikkayena gahetabbaṃ cīvaranti attho.

    ๖๓๐. คหณตฺถาย ปโยเคติ คณฺหิตุํ หตฺถปสารณาทิปฺปโยเคฯ ปริยาปุตนฺติ ‘‘ปฎิคฺคณฺหาติ ปโยเค ทุกฺกฎ’’นฺติ (ปารา. ๕๑๒) เทสิตํฯ

    630.Gahaṇatthāyapayogeti gaṇhituṃ hatthapasāraṇādippayoge. Pariyāputanti ‘‘paṭiggaṇhāti payoge dukkaṭa’’nti (pārā. 512) desitaṃ.

    ๖๓๑. อนุปสมฺปนฺนหเตฺถติ ภิกฺขุภิกฺขุนิโต อเญฺญ สเพฺพ อนุปสมฺปนฺนา คหิตาฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สเจ ปน สิกฺขมานาสามเณรสามเณริอุปาสกอุปาสิกานํ หเตฺถ เปสิตํ ปฎิคฺคณฺหาติ, อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๑๒)ฯ

    631.Anupasampannahattheti bhikkhubhikkhunito aññe sabbe anupasampannā gahitā. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sace pana sikkhamānāsāmaṇerasāmaṇeriupāsakaupāsikānaṃ hatthe pesitaṃ paṭiggaṇhāti, anāpattī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.512).

    ๖๓๒. เอกโตติ เอตฺถ ภิกฺขุนิสงฺฆโตติ คเหตพฺพํฯ อญฺญสฺมิํ ปเกฺข ปาจิตฺติยเมวฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ภิกฺขูนํ สนฺติเก อุปสมฺปนฺนาย ปน ปาจิตฺติยเมวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๑๓)ฯ

    632.Ekatoti ettha bhikkhunisaṅghatoti gahetabbaṃ. Aññasmiṃ pakkhe pācittiyameva. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘bhikkhūnaṃ santike upasampannāya pana pācittiyamevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.513).

    ๖๓๓. ‘‘ปาริวตฺตกํ ทสฺสามี’’ติ อาโภคํ กตฺวา คณฺหาติ, โทโส น วิชฺชตีติ โยชนาฯ

    633. ‘‘Pārivattakaṃ dassāmī’’ti ābhogaṃ katvā gaṇhāti, doso na vijjatīti yojanā.

    ๖๓๔. อญฺญํ ปริกฺขารนฺติ ถวิกกายพนฺธนาทิ อวิกปฺปิยํ วา อวิกปฺปนุปคํ วา ปริกฺขารเมว คเหตพฺพํฯ วิกปฺปนุปคํ ปน น วฎฺฎติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘วิกปฺปนุปคํ ปจฺฉิมจีวรปฺปมาณํ ปน ปฎปริสฺสาวนมฺปิ น วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๑๔)ฯ จีวรปฎิคฺคณฺหนํ กิริยา, ปาริวตฺตกสฺส อทานํ อกิริยาติ กิริยาย จ อกิริยาย จ อาปชฺชิตพฺพโต กฺริยากฺริยํ

    634.Aññaṃ parikkhāranti thavikakāyabandhanādi avikappiyaṃ vā avikappanupagaṃ vā parikkhārameva gahetabbaṃ. Vikappanupagaṃ pana na vaṭṭati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘vikappanupagaṃ pacchimacīvarappamāṇaṃ pana paṭaparissāvanampi na vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.514). Cīvarapaṭiggaṇhanaṃ kiriyā, pārivattakassa adānaṃ akiriyāti kiriyāya ca akiriyāya ca āpajjitabbato kriyākriyaṃ.

    จีวรปฎิคฺคหณกถาวณฺณนาฯ

    Cīvarapaṭiggahaṇakathāvaṇṇanā.

    ๖๓๕. ‘‘อญฺญาตกํ อปฺปวาริต’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ ‘‘คหปติํ วา คหปตานิํ วา’’ติ ปาฐเสโสฯ วุตฺตญฺหิ ภควตา ‘‘อญฺญาตกํ คหปติํ วา คหปตานิํ วา’’ติ (ปารา. ๕๑๖, ๕๑๘)ฯ ปุเพฺพ วุตฺตนเยน ยาว สตฺตมา ปิตามหยุคา สมฺพทฺธญฺญาติกตาย อภาวโต อญฺญาตกํฯ ‘‘ยํ มยฺหํ เคเห อตฺถิ, ตํ ปวาเรมี’’ติอาทินา นเยน อปฺปวาริตํฯ ‘‘คหปติ นาม โย โกจิ อคารํ อชฺฌาวสตี’’ติ (ปารา. ๕๑๙) ปาฬิยํ วุตฺตํ คหปติํ วาฯ ‘‘คหปตานี นาม ยา กาจิ อคารํ อชฺฌาวสตี’’ติ (ปารา. ๕๑๙) ปาฬิยํ วุตฺตํ ฆรณิํ วาติ อโตฺถฯ

    635. ‘‘Aññātakaṃ appavārita’’nti padacchedo. ‘‘Gahapatiṃ vā gahapatāniṃ vā’’ti pāṭhaseso. Vuttañhi bhagavatā ‘‘aññātakaṃ gahapatiṃ vā gahapatāniṃ vā’’ti (pārā. 516, 518). Pubbe vuttanayena yāva sattamā pitāmahayugā sambaddhaññātikatāya abhāvato aññātakaṃ. ‘‘Yaṃ mayhaṃ gehe atthi, taṃ pavāremī’’tiādinā nayena appavāritaṃ. ‘‘Gahapati nāma yo koci agāraṃ ajjhāvasatī’’ti (pārā. 519) pāḷiyaṃ vuttaṃ gahapatiṃ vā. ‘‘Gahapatānī nāma yā kāci agāraṃ ajjhāvasatī’’ti (pārā. 519) pāḷiyaṃ vuttaṃ gharaṇiṃ vāti attho.

    โหติ นิสฺสคฺคิยาปตฺตีติ ‘‘อญฺญตฺร สมยา วิญฺญาเปติ, ปโยเค ทุกฺกฎํ, ปฎิลาเภน นิสฺสคฺคิยํ โหตี’’ติ (ปารา. ๕๑๙) ปาฬิยํ วุเตฺตสุ สเพฺพสุ ปุพฺพปโยเคสุ ทุกฺกเฎน สทฺธิํ นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยํ โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ อญฺญตฺร สมยาติ ‘‘ตตฺถายํ สมโย, อจฺฉินฺนจีวโร วา โหติ ภิกฺขุ นฎฺฐจีวโร วา’’ติ (ปารา. ๕๑๘) มาติกาย, ‘‘อจฺฉินฺนจีวโร นาม ภิกฺขุสฺส จีวรํ อจฺฉินฺนํ โหติ ราชูหิ วา โจเรหิ วา ธุเตฺตหิ วา เยหิ เกหิจิ วา อจฺฉินฺนํ โหติฯ นฎฺฐจีวโร นาม ภิกฺขุสฺส จีวรํ อคฺคินา วา ทฑฺฒํ โหติ, อุทเกน วา วูฬฺหํ โหติ, อุนฺทูเรหิ วา อุปจิกาหิ วา ขายิตํ โหตี’’ติ (ปารา. ๕๑๙) ปทภาชเน จ นิทฺทิฎฺฐสรูปกาลโต อญฺญตฺราติ อโตฺถฯ

    Hoti nissaggiyāpattīti ‘‘aññatra samayā viññāpeti, payoge dukkaṭaṃ, paṭilābhena nissaggiyaṃ hotī’’ti (pārā. 519) pāḷiyaṃ vuttesu sabbesu pubbapayogesu dukkaṭena saddhiṃ nissaggiyapācittiyaṃ hotīti vuttaṃ hoti. Aññatra samayāti ‘‘tatthāyaṃ samayo, acchinnacīvaro vā hoti bhikkhu naṭṭhacīvaro vā’’ti (pārā. 518) mātikāya, ‘‘acchinnacīvaro nāma bhikkhussa cīvaraṃ acchinnaṃ hoti rājūhi vā corehi vā dhuttehi vā yehi kehici vā acchinnaṃ hoti. Naṭṭhacīvaro nāma bhikkhussa cīvaraṃ agginā vā daḍḍhaṃ hoti, udakena vā vūḷhaṃ hoti, undūrehi vā upacikāhi vā khāyitaṃ hotī’’ti (pārā. 519) padabhājane ca niddiṭṭhasarūpakālato aññatrāti attho.

    ๖๓๖. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘อญฺญาตเก อญฺญาตกสญฺญี, เวมติโก, ญาตกสญฺญี อญฺญตฺร สมยา จีวรํ วิญฺญาเปติ, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปารา. ๕๒๐) ปาจิตฺติยตฺตยํ ภควตา วุตฺตํฯ ‘‘ญาตเก อญฺญาติสญฺญิสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ญาตเกฯ เวมติกสฺสาติ ‘‘ญาตโก นุ โข, อญฺญาตโก’’ติ เวมติกสฺสฯ ทฺวิกทุกฺกฎํ ตเถวาติ โยชนาฯ ‘‘ตเถวา’’ติ ‘‘วุตฺต’’นฺติ อิทํ อากฑฺฒติ, ‘‘ญาตเก อญฺญาตกสญฺญี, เวมติโก อญฺญตฺร สมยา จีวรํ วิญฺญาเปติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๕๒๐) เทสิตนฺติ อโตฺถฯ

    636.Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘aññātake aññātakasaññī, vematiko, ñātakasaññī aññatra samayā cīvaraṃ viññāpeti, nissaggiyaṃ pācittiya’’nti (pārā. 520) pācittiyattayaṃ bhagavatā vuttaṃ. ‘‘Ñātake aññātisaññissā’’ti padacchedo. Tatthāti tasmiṃ ñātake. Vematikassāti ‘‘ñātako nu kho, aññātako’’ti vematikassa. Dvikadukkaṭaṃ tathevāti yojanā. ‘‘Tathevā’’ti ‘‘vutta’’nti idaṃ ākaḍḍhati, ‘‘ñātake aññātakasaññī, vematiko aññatra samayā cīvaraṃ viññāpeti, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 520) desitanti attho.

    ๖๓๗-๘. สมเย วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ เอตฺถ ‘‘จีวรํ อญฺญาตกอปฺปวาริต’’นฺติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํ, ยถาปริจฺฉินฺนกาลทฺวยโต อญฺญตรสฺมิํ กาเล อญฺญาตกอปฺปวาริตํ จีวรํ วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ ญาตเก วา ปวาริเตติ เอตฺถาปิ ‘‘อตฺตโน’’ติ อชฺฌาหาโร, ‘‘สมเย’’ติ อิมินา โยเชตพฺพํ, อตฺตโน ญาตกปวาริเต อสมเยปิ จีวรํ วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ อญฺญสฺสตฺถายาติ เอตฺถ ‘‘อตฺตโน’’ติ เสโส, อตฺตโน ญาตเก, ปวาริเต วา วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนา, อญฺญํ ภิกฺขุํ นิสฺสาย อตฺตโน ญาตเก วา ปวาริเต วา จีวรํ วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ อิตรํ ปกฺขํ ทเสฺสติ ‘‘ตสฺส ญาตเก วา ปวาริเต วา’’ติฯ ตสฺสาติ ‘‘อญฺญสฺสา’’ติ วุตฺตสฺส, ‘‘วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตี’’ติ อิมินา โยเชตพฺพํฯ วาติ ปุริมวิกปฺปาเปกฺขํฯ ยํ สนฺธาย จีวรํ วิญฺญาเปติ, ตสฺส ญาตเก วา ปวาริเต วา ตํเยว สนฺธาย จีวรํ วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    637-8. Samaye viññāpentassa anāpattīti yojanā. Ettha ‘‘cīvaraṃ aññātakaappavārita’’nti ānetvā sambandhitabbaṃ, yathāparicchinnakāladvayato aññatarasmiṃ kāle aññātakaappavāritaṃ cīvaraṃ viññāpentassa anāpattīti attho. Ñātake vā pavāriteti etthāpi ‘‘attano’’ti ajjhāhāro, ‘‘samaye’’ti iminā yojetabbaṃ, attano ñātakapavārite asamayepi cīvaraṃ viññāpentassa anāpattīti attho. Aññassatthāyāti ettha ‘‘attano’’ti seso, attano ñātake, pavārite vā viññāpentassa anāpattīti yojanā, aññaṃ bhikkhuṃ nissāya attano ñātake vā pavārite vā cīvaraṃ viññāpentassa anāpattīti vuttaṃ hoti. Itaraṃ pakkhaṃ dasseti ‘‘tassa ñātake vā pavārite vā’’ti. Tassāti ‘‘aññassā’’ti vuttassa, ‘‘viññāpentassa anāpattī’’ti iminā yojetabbaṃ. ti purimavikappāpekkhaṃ. Yaṃ sandhāya cīvaraṃ viññāpeti, tassa ñātake vā pavārite vā taṃyeva sandhāya cīvaraṃ viññāpentassa anāpattīti vuttaṃ hoti.

    ‘‘อตฺตโน วา ธเนนา’’ติ วุตฺตํ อนาปตฺติองฺคํ อุมฺมตฺตกาทิโนติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน สงฺคยฺหติ , อตฺตโน สนฺตกํ สุตฺตกปฺปาสาทิกํ กปฺปิยวตฺถุํ ทตฺวา คณฺหิตุกามตาย อกปฺปิยโวหาเรน ยาจนฺตสฺส จ อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ

    ‘‘Attano vā dhanenā’’ti vuttaṃ anāpattiaṅgaṃ ummattakādinoti ettha ādi-saddena saṅgayhati , attano santakaṃ suttakappāsādikaṃ kappiyavatthuṃ datvā gaṇhitukāmatāya akappiyavohārena yācantassa ca anāpattīti attho.

    อญฺญาตกวิญฺญตฺติกถาวณฺณนาฯ

    Aññātakaviññattikathāvaṇṇanā.

    ๖๓๙. อปฺปวาริตมญฺญาตินฺติ เอตฺถ ‘‘คหปติํ วา คหปตานิํ วา’’ติ อิทํ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ ตตุตฺตรินฺติ ตโต สนฺตรุตฺตรปรมโต อุตฺตรินฺติ คเหตพฺพํ, ‘‘สนฺตรุตฺตรปรมํ เตน ภิกฺขุนา ตโต จีวรํ สาทิตพฺพ’’นฺติ (ปารา. ๕๒๓) วุตฺตตฺตา อจฺฉินฺนจีวเรน สาทิตพฺพอนฺตรวาสกอุตฺตราสงฺคมเตฺตน อธิกนฺติ อโตฺถฯ

    639.Appavāritamaññātinti ettha ‘‘gahapatiṃ vā gahapatāniṃ vā’’ti idaṃ sāmatthiyā labbhati. Tatuttarinti tato santaruttaraparamato uttarinti gahetabbaṃ, ‘‘santaruttaraparamaṃ tena bhikkhunā tato cīvaraṃ sāditabba’’nti (pārā. 523) vuttattā acchinnacīvarena sāditabbaantaravāsakauttarāsaṅgamattena adhikanti attho.

    ‘‘ตโต เจ อุตฺตริ สาทิเยยฺยา’’ติ (ปารา. ๕๒๓) วจนโต ‘‘สาทิยนฺตสฺสา’’ติ วตฺตพฺพํ, เอวํ วตฺตเพฺพ ‘‘วิญฺญาเปนฺตสฺสา’’ติ กสฺมา วุตฺตนฺติ? อจฺฉินฺนจีวรานํ ภิกฺขูนํ ฉพฺพคฺคิเยหิ ภิกฺขูหิ จีวรวิญฺญาปนวตฺถุสฺมิํ ‘‘กถญฺหิ นาม ตุเมฺห โมฆปุริสา น มตฺตํ ชานิตฺวา พหุํ จีวรํ วิญฺญาเปสฺสถา’’ติ (ปารา. ๕๒๒) ฉพฺพคฺคิเย ภิกฺขู ครหิตฺวา อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส ปญฺญตฺตตฺตา ‘‘สาทิตพฺพ’’นฺติ เอตฺถ วิญฺญาเปตพฺพนฺติ อโตฺถ โหติ, เตเนว อิมสฺมิํ ปทภาชเน ‘‘ตโต เจ อุตฺตริ สาทิเยยฺยาติ ตตุตฺตริ วิญฺญาเปตี’’ติ (ปารา. ๕๒๔) จ อาปตฺติเภทสนฺทสฺสนฎฺฐาเน ‘‘อญฺญาตเก อญฺญาตกสญฺญี ตตุตฺตริ จีวรํ วิญฺญาเปติ, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’นฺติอาทิวจนโต (ปารา. ๕๒๕) จ วุตฺตํฯ ยทิ เอวํ สิกฺขาปเทเยว ‘‘สาทิตพฺพํ, สาทิเยยฺยา’’ติ จ อุภยตฺถ ‘‘วิญฺญาเปตพฺพํ, วิญฺญาเปยฺยา’’ติ จ กสฺมา น วุตฺตนฺติ? อจฺฉินฺนจีวรภาวํ ญตฺวา อวิญฺญาปิเตปิ อภิหริตฺวา ทิยฺยมานมฺปิ อธิวาเสเนฺตน เอวเมว สาทิตพฺพนฺติ น วุตฺตํฯ อิมเสฺสว จ อธิกวิญฺญาปนนิเสธนตฺถํ วทเนฺตนาปิ ‘‘ตเญฺจ อญฺญาตโก คหปติ วา คหปตานี วา พหูหิ จีวเรหิ อภิหฎฺฐุํ ปวาเรยฺย, สนฺตรุตฺตรปรมํ เตน ภิกฺขุนา ตโต จีวรํ สาทิตพฺพ’’นฺติ สาทิตพฺพนิยมปฺปธานํ วุตฺตํฯ ตสฺมา อจฺฉินฺนจีวเรน อตฺตนา วา ตํ สนฺธาย อเญฺญน วา วิญฺญาเปเนฺตนปิ อวิญฺญาเปเนฺตปิ ทิยฺยมานํ สาทิยเนฺตนาปิ สนฺตรุตฺตรปรมตํ นาติกฺกมิตพฺพนฺติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท สนฺธาย ภาสิตโตฺถติ สลฺลเกฺขตพฺพนฺติ เอตฺตกํ ญาเปตุํ ‘‘สาทิยนฺตสฺสา’’ติ อวตฺวา ‘‘วิญฺญาเปนฺตสฺสา’’ติ วุตฺตนฺติ อาจริยาภิสนฺธิ เวทิตพฺพาฯ

    ‘‘Tato ce uttari sādiyeyyā’’ti (pārā. 523) vacanato ‘‘sādiyantassā’’ti vattabbaṃ, evaṃ vattabbe ‘‘viññāpentassā’’ti kasmā vuttanti? Acchinnacīvarānaṃ bhikkhūnaṃ chabbaggiyehi bhikkhūhi cīvaraviññāpanavatthusmiṃ ‘‘kathañhi nāma tumhe moghapurisā na mattaṃ jānitvā bahuṃ cīvaraṃ viññāpessathā’’ti (pārā. 522) chabbaggiye bhikkhū garahitvā imassa sikkhāpadassa paññattattā ‘‘sāditabba’’nti ettha viññāpetabbanti attho hoti, teneva imasmiṃ padabhājane ‘‘tato ce uttari sādiyeyyāti tatuttari viññāpetī’’ti (pārā. 524) ca āpattibhedasandassanaṭṭhāne ‘‘aññātake aññātakasaññī tatuttari cīvaraṃ viññāpeti, nissaggiyaṃ pācittiya’’ntiādivacanato (pārā. 525) ca vuttaṃ. Yadi evaṃ sikkhāpadeyeva ‘‘sāditabbaṃ, sādiyeyyā’’ti ca ubhayattha ‘‘viññāpetabbaṃ, viññāpeyyā’’ti ca kasmā na vuttanti? Acchinnacīvarabhāvaṃ ñatvā aviññāpitepi abhiharitvā diyyamānampi adhivāsentena evameva sāditabbanti na vuttaṃ. Imasseva ca adhikaviññāpananisedhanatthaṃ vadantenāpi ‘‘tañce aññātako gahapati vā gahapatānī vā bahūhi cīvarehi abhihaṭṭhuṃ pavāreyya, santaruttaraparamaṃ tena bhikkhunā tato cīvaraṃ sāditabba’’nti sāditabbaniyamappadhānaṃ vuttaṃ. Tasmā acchinnacīvarena attanā vā taṃ sandhāya aññena vā viññāpentenapi aviññāpentepi diyyamānaṃ sādiyantenāpi santaruttaraparamataṃ nātikkamitabbanti imasmiṃ sikkhāpade sandhāya bhāsitatthoti sallakkhetabbanti ettakaṃ ñāpetuṃ ‘‘sādiyantassā’’ti avatvā ‘‘viññāpentassā’’ti vuttanti ācariyābhisandhi veditabbā.

    ๖๔๐. อิทานิ วิญฺญาปเน จ อธิวาสเน จ อุภยเตฺถว นิยมํ ทเสฺสตุํ ‘‘สเจ ตีณิ นฎฺฐานิ โหนฺติ, เทฺว สาทิตพฺพานิฯ เทฺว นฎฺฐานิ, เอกํ สาทิตพฺพํฯ เอกํ นฎฺฐํ, น กิญฺจิ สาทิตพฺพ’’นฺติ (ปารา. ๕๒๔) ปทภาชเน วุตฺตวินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ยสฺสา’’ติอาทิฯ ‘‘ยสฺส ตีณิปิ นฎฺฐานิ, เทฺว วา นฎฺฐานิ, เอกํ วา นฎฺฐ’’นฺติ สมฺพนฺธิตฺวา ยถากฺกมํ ‘‘เตน เทฺว สาทิตพฺพานิ, เอกํ สาทิตพฺพํ, น กิญฺจิปิ สาทิตพฺพ’’นฺติ โยชนา กาตพฺพาฯ ยสฺส ตีณิปิ จีวรานิ นฎฺฐานิ, พหุ จ ทิยฺยติ, เตน เทฺวเยว จีวรานิ สาทิตพฺพานิฯ เทฺว จีวรานิ นฎฺฐานิ, เอกํ สาทิตพฺพํฯ เอกเญฺจ นฎฺฐํ, น สาทิตพฺพํ, อวสิฎฺฐํ ปจฺฉา ธเมฺมน สเมน ลทฺธนีหาเรน คเหตพฺพนฺติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เสสํ สภาคฎฺฐานโต ปริเยสิสฺสตี’’ติฯ ‘‘ภิกฺขุนิยา ปน ปญฺจสุปิ นเฎฺฐสุ เทฺว สาทิตพฺพานิ, จตูสุ นเฎฺฐสุ เอกํ สาทิตพฺพํ, ตีสุ นเฎฺฐสุ กิญฺจิ น สาทิตพฺพ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๒๒-๕๒๔) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ

    640. Idāni viññāpane ca adhivāsane ca ubhayattheva niyamaṃ dassetuṃ ‘‘sace tīṇi naṭṭhāni honti, dve sāditabbāni. Dve naṭṭhāni, ekaṃ sāditabbaṃ. Ekaṃ naṭṭhaṃ, na kiñci sāditabba’’nti (pārā. 524) padabhājane vuttavinicchayaṃ dassetumāha ‘‘yassā’’tiādi. ‘‘Yassa tīṇipi naṭṭhāni, dve vā naṭṭhāni, ekaṃ vā naṭṭha’’nti sambandhitvā yathākkamaṃ ‘‘tena dve sāditabbāni, ekaṃ sāditabbaṃ, na kiñcipi sāditabba’’nti yojanā kātabbā. Yassa tīṇipi cīvarāni naṭṭhāni, bahu ca diyyati, tena dveyeva cīvarāni sāditabbāni. Dve cīvarāni naṭṭhāni, ekaṃ sāditabbaṃ. Ekañce naṭṭhaṃ, na sāditabbaṃ, avasiṭṭhaṃ pacchā dhammena samena laddhanīhārena gahetabbanti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sesaṃ sabhāgaṭṭhānato pariyesissatī’’ti. ‘‘Bhikkhuniyā pana pañcasupi naṭṭhesu dve sāditabbāni, catūsu naṭṭhesu ekaṃ sāditabbaṃ, tīsu naṭṭhesu kiñci na sāditabba’’nti (pārā. aṭṭha. 2.522-524) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.

    ๖๔๑-๒. เสสกํ อาหรนฺตสฺส อนาปตฺตีติ ญาตพฺพนฺติ โยชนาฯ เอวมุปริปิ โยเชตพฺพํฯ จีวรํ โยเชตฺวา อติเรกํ วตฺถํ ปจฺจาหริตฺวา ‘‘ทสฺสามี’’ติ พหุมฺปิ คเหตฺวา คจฺฉนฺตสฺส อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ อติเรกมฺปิ ตุเมฺหเยว คณฺหถาติ ทินฺนํ คณฺหโตปิ อนาปตฺติฯ น อจฺฉินฺนการณา ทิเนฺนติ โยชนา, อจฺฉินฺนจีวรภาวํ อนุทฺทิสฺส พหูนํ จีวรานํ คหณนิมิเตฺตนาปิ อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ เอวเมว ‘‘น นฎฺฐการณา เทนฺตี’’ติ อิทมฺปิ ทสฺสิตเมวฯ อจฺฉินฺนจีวเร นิสฺสาย ตตุตฺตริจีวรวิญฺญาปนวตฺถุมฺหิ อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส ปญฺญตฺตตฺตา อนาปตฺติวาเร ‘‘อญฺญสฺสตฺถายา’’ติ น คหิตํฯ

    641-2. Sesakaṃ āharantassa anāpattīti ñātabbanti yojanā. Evamuparipi yojetabbaṃ. Cīvaraṃ yojetvā atirekaṃ vatthaṃ paccāharitvā ‘‘dassāmī’’ti bahumpi gahetvā gacchantassa anāpattīti attho. Atirekampi tumheyeva gaṇhathāti dinnaṃ gaṇhatopi anāpatti. Na acchinnakāraṇā dinneti yojanā, acchinnacīvarabhāvaṃ anuddissa bahūnaṃ cīvarānaṃ gahaṇanimittenāpi anāpattīti attho. Evameva ‘‘na naṭṭhakāraṇā dentī’’ti idampi dassitameva. Acchinnacīvare nissāya tatuttaricīvaraviññāpanavatthumhi imassa sikkhāpadassa paññattattā anāpattivāre ‘‘aññassatthāyā’’ti na gahitaṃ.

    ตตุตฺตริกถาวณฺณนาฯ

    Tatuttarikathāvaṇṇanā.

    ๖๔๓. กลฺยาณกมฺยตาเหตูติ สุนฺทรสฺส มหคฺฆสฺส กามตํ ปฎิจฺจ จีวเร วิกปฺปนํ อาปเชฺชยฺยาติ โยชนา, ‘‘กีทิเสน เต ภเนฺต จีวเรน อโตฺถ’’ติ ปุเพฺพ อปฺปวาริโต ‘‘อายตํ วา โหตุ วิตฺถตํ วา อปฺปิตํ วา สณฺหํ วา’’ติ (ปารา. ๕๒๙) ปทภาชเน วุตฺตวิสิฎฺฐกปฺปํ อธิกวิธานํ กโรตีติ อโตฺถฯ ตสฺส ลาภา นิสฺสคฺคิยํ ภเวติ ตถา อปฺปวาริเตน หุตฺวา กเตน อธิกวิธาเนน นิปฺผนฺนจีวรสฺส ลาภปฺปโยเคน ทุกฺกฎนิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยา โหนฺติฯ

    643.Kalyāṇakamyatāhetūti sundarassa mahagghassa kāmataṃ paṭicca cīvare vikappanaṃ āpajjeyyāti yojanā, ‘‘kīdisena te bhante cīvarena attho’’ti pubbe appavārito ‘‘āyataṃ vā hotu vitthataṃ vā appitaṃ vā saṇhaṃ vā’’ti (pārā. 529) padabhājane vuttavisiṭṭhakappaṃ adhikavidhānaṃ karotīti attho. Tassa lābhā nissaggiyaṃ bhaveti tathā appavāritena hutvā katena adhikavidhānena nipphannacīvarassa lābhappayogena dukkaṭanissaggiyapācittiyā honti.

    ๖๔๔. มหคฺฆํ …เป.… วิญฺญาเปตีติ วีสติอคฺฆนกํ จีวรํ ทาตุกามมฺหิ อุปาสเก, ‘‘อลํ มยฺหํ เอเตน, ทสคฺฆนกํ วา อปฺปคฺฆนกํ วา เทหี’’ติ วทติฯ

    644.Mahagghaṃ…pe… viññāpetīti vīsatiagghanakaṃ cīvaraṃ dātukāmamhi upāsake, ‘‘alaṃ mayhaṃ etena, dasagghanakaṃ vā appagghanakaṃ vā dehī’’ti vadati.

    ๖๔๕. ‘‘ญาตเก อญฺญาติสญฺญิสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ

    645. ‘‘Ñātake aññātisaññissā’’ti padacchedo.

    ปฐโมปกฺขฎกถาวณฺณนาฯ

    Paṭhamopakkhaṭakathāvaṇṇanā.

    ๖๔๖. ปฐมสิกฺขาปเท เอเกน อุปาสเกน ปีฬา ลทฺธา, อิธ ทฺวีหีติ เอตฺตกํ นานากรณํฯ เสสํ ปฐมสิกฺขาปทสทิสเมวาติ อาห ‘‘ทุติโย…เป.… วินิจฺฉโย’’ติฯ อุปกฺขฎปเทน ลกฺขิตํ สิกฺขาปทํ อุปกฺขฎํ, ทุติยญฺจ ตํ อุปกฺขฎญฺจาติ ทุติโยปกฺขฎํ, ตสฺมิํ ทุติโยปกฺขเฎฯ อสฺสาติ ทุติโยปกฺขฎสฺสฯ

    646. Paṭhamasikkhāpade ekena upāsakena pīḷā laddhā, idha dvīhīti ettakaṃ nānākaraṇaṃ. Sesaṃ paṭhamasikkhāpadasadisamevāti āha ‘‘dutiyo…pe… vinicchayo’’ti. Upakkhaṭapadena lakkhitaṃ sikkhāpadaṃ upakkhaṭaṃ, dutiyañca taṃ upakkhaṭañcāti dutiyopakkhaṭaṃ, tasmiṃ dutiyopakkhaṭe. Assāti dutiyopakkhaṭassa.

    ทุติโยปกฺขฎกถาวณฺณนาฯ

    Dutiyopakkhaṭakathāvaṇṇanā.

    ๖๔๗. รญฺญา วาติ ราชโต วาฯ ราชโต โภคฺคํ ภุญฺชิตพฺพํ อสฺส อตฺถีติ ‘‘ราชโภโคฺค’’ติ วุโตฺต, ราชโต ภตฺตเวตฺตนลาภิโต ยโต กุโตจิ ทายกา อาภตนฺติ สมฺพโนฺธฯ น จ วฎฺฎตีติ เอตฺถ ‘‘นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยภาวโต’’ติ อชฺฌาหริตพฺพํฯ อิธ อุตฺตริกรณียํ ‘‘ติกฺขตฺตุ’’นฺติอาทิคาถาย (วิ. วิ. ๖๗๑) วกฺขติฯ

    647.Raññā vāti rājato vā. Rājato bhoggaṃ bhuñjitabbaṃ assa atthīti ‘‘rājabhoggo’’ti vutto, rājato bhattavettanalābhito yato kutoci dāyakā ābhatanti sambandho. Na ca vaṭṭatīti ettha ‘‘nissaggiyapācittiyabhāvato’’ti ajjhāharitabbaṃ. Idha uttarikaraṇīyaṃ ‘‘tikkhattu’’ntiādigāthāya (vi. vi. 671) vakkhati.

    ๖๔๘. จีวรเจตาปนฺนวเสน อธิคตรชตาทิ เยน เกนจิ ปริยาเยนาปิ น สาทิตพฺพนฺติ ทเสฺสตุมาห ‘‘รชตํ วา’’ติอาทิฯ ธวลสภาวตาย ราชตีติ รชตํ, สชฺฌุฯ ชาตํ รูปํ วณฺณายตนเมตสฺสาติ ชาตรูปํ, สุวณฺณํฯ กิญฺจีติ อปฺปมตฺตกมฺปิฯ อตฺตโน วา อตฺถาย ปรสฺส วา อตฺถาย ทิยฺยมานํ กิญฺจิ คณฺหิตุํ น วฎฺฎตีติ โยชนาฯ

    648. Cīvaracetāpannavasena adhigatarajatādi yena kenaci pariyāyenāpi na sāditabbanti dassetumāha ‘‘rajataṃ vā’’tiādi. Dhavalasabhāvatāya rājatīti rajataṃ, sajjhu. Jātaṃ rūpaṃ vaṇṇāyatanametassāti jātarūpaṃ, suvaṇṇaṃ. Kiñcīti appamattakampi. Attano vā atthāya parassa vā atthāya diyyamānaṃ kiñci gaṇhituṃ na vaṭṭatīti yojanā.

    ๖๔๙. อตฺตโน ปฎิคฺคหเณ อาปตฺติยา รูปิยคหณสิกฺขาปเท วกฺขมานตฺตา อญฺญสฺส อตฺถาย คหเณ อาปตฺติทสฺสนตฺถมาห ‘‘อญฺญสฺสตฺถายา’’ติอาทิฯ ตตฺถ อญฺญสฺสตฺถายาติ อญฺญสฺส ปุคฺคลสฺส, คณสฺส, สงฺฆสฺส, เจติยสฺส, นวกมฺมสฺส วา อตฺถายฯ นิทฺทิฎฺฐนฺติ อาหริตฺวา ‘‘อิมํ คณฺหถา’’ติ วุตฺตํ รชตํ, ชาตรูปํ วา อญฺญํ วา ยํ กิญฺจิ นิสฺสคฺคิยทุกฺกฎวตฺถุํ ปฎิคฺคณฺหโต ตสฺส ภิกฺขุโน ทุกฺกฎํ โหตีติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ

    649. Attano paṭiggahaṇe āpattiyā rūpiyagahaṇasikkhāpade vakkhamānattā aññassa atthāya gahaṇe āpattidassanatthamāha ‘‘aññassatthāyā’’tiādi. Tattha aññassatthāyāti aññassa puggalassa, gaṇassa, saṅghassa, cetiyassa, navakammassa vā atthāya. Niddiṭṭhanti āharitvā ‘‘imaṃ gaṇhathā’’ti vuttaṃ rajataṃ, jātarūpaṃ vā aññaṃ vā yaṃ kiñci nissaggiyadukkaṭavatthuṃ paṭiggaṇhato tassa bhikkhuno dukkaṭaṃ hotīti mahāpaccariyaṃ vuttanti yojanā.

    ๖๕๐-๑. วุตฺตเมวตฺถํ สรูปโต วิภาเวตุมาห ‘‘เนตฺวา’’ติอาทิฯ เนตฺวาติ อาเนตฺวาฯ อกปฺปิยํ ภณฺฑนฺติ ‘‘รชตํ ชาตรูปํ วา’’ติ ยถาวุตฺตเมว อกปฺปิยภณฺฑํฯ อิตฺถนฺติ วกฺขมานปฺปกาเรนฯ น จ วฎฺฎตีติ เอตฺถ จ-กาเรน วฎฺฎติ จาติ อนุญฺญาตํ กตนฺติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ

    650-1. Vuttamevatthaṃ sarūpato vibhāvetumāha ‘‘netvā’’tiādi. Netvāti ānetvā. Akappiyaṃ bhaṇḍanti ‘‘rajataṃ jātarūpaṃ vā’’ti yathāvuttameva akappiyabhaṇḍaṃ. Itthanti vakkhamānappakārena. Na ca vaṭṭatīti ettha ca-kārena vaṭṭati cāti anuññātaṃ katanti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ

    ‘‘สเจ ปน ‘นยิทํ ภิกฺขูนํ สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎตี’ติ ปฎิกฺขิเตฺต ‘วฑฺฒกีนํ วา กมฺมกรานํ วา หเตฺถ ภวิสฺสติ, เกวลํ ตุเมฺห สุกตทุกฺกฎํ ชานาถา’ติ วตฺวา เตสํ หเตฺถ ทตฺวา ปกฺกมติ, วฎฺฎติฯ อถาปิ ‘มม มนุสฺสานํ หเตฺถ ภวิสฺสติ, มยฺหเมว วา หเตฺถ ภวิสฺสติ, เกวลํ ตุเมฺห ยํ ยสฺส ทาตพฺพํ, ตทตฺถาย เปเสยฺยาถา’ติ วทติ, เอวมฺปิ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๓๘-๕๓๙)ฯ

    ‘‘Sace pana ‘nayidaṃ bhikkhūnaṃ sampaṭicchituṃ vaṭṭatī’ti paṭikkhitte ‘vaḍḍhakīnaṃ vā kammakarānaṃ vā hatthe bhavissati, kevalaṃ tumhe sukatadukkaṭaṃ jānāthā’ti vatvā tesaṃ hatthe datvā pakkamati, vaṭṭati. Athāpi ‘mama manussānaṃ hatthe bhavissati, mayhameva vā hatthe bhavissati, kevalaṃ tumhe yaṃ yassa dātabbaṃ, tadatthāya peseyyāthā’ti vadati, evampi vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.538-539).

    ๖๕๒. วิหารสฺสาติ เอตฺถ ‘‘นวกมฺมสฺสา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๓๘-๕๓๙) อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา วตฺตพฺพํ คาถาพนฺธวเสน น วุตฺตํฯ

    652.Vihārassāti ettha ‘‘navakammassā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.538-539) aṭṭhakathāyaṃ vuttattā vattabbaṃ gāthābandhavasena na vuttaṃ.

    ๖๕๔. รชตํ ชาตรูปํ วา สงฺฆสฺสาติ เอตฺถ ‘‘จตฺตาโร ปจฺจเย ปริภุญฺชถาติ ทินฺน’’นฺติ เสโสฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สเจ ปน โกจิ พหุมฺปิ หิรญฺญสุวณฺณํ อาเนตฺวา ‘อิทํ สงฺฆสฺส ทมฺมิ, จตฺตาโร ปจฺจเย ปริภุญฺชถา’ติ วทติ, ตํ เจ สโงฺฆ สมฺปฎิจฺฉติ, ปฎิคฺคหเณปิ ปริโภเคปิ อาปตฺตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๓๘-๕๓๙)ฯ เอวํ อาภตํ ตสฺมิํ สเงฺฆ โย โกจิ ภิกฺขุ ‘‘นยิทํ กปฺปตี’’ติ สเจ ปฎิกฺขิปติ, ‘‘อยํ สงฺฆสฺส ลาภนฺตรายํ กโรตี’’ติ วทนฺตเสฺสว อาปตฺติ โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘โย หิ ตํ โจเทติ, เสฺวว สาปตฺติโก โหติ, เตน ปน เอเกน พหู อนาปตฺติกา กตา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๓๘-๕๓๙)ฯ อิธ เสฺวว สาปตฺติโกติ เอตฺถ ‘‘ทุกฺกฎาปตฺติโกติ วุตฺตํ โหตี’’ติ คณฺฐิปเท วุตฺตํฯ อิมิสฺสา คาถาย ‘‘สงฺฆสฺสา’’ติ อลิขิตฺวา ‘‘ภิกฺขุโน’’ติ จ ลิขนฺติ, ตํ น สุนฺทรํฯ อิทานิ ทสฺสิตอฎฺฐกถาปาเฐ ‘‘สโงฺฆ สมฺปฎิจฺฉตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๓๘-๕๓๙) วุตฺตตฺตา ‘‘สงฺฆสฺสา’’ติ ปาโฐ สุนฺทโรฯ

    654.Rajataṃ jātarūpaṃ vā saṅghassāti ettha ‘‘cattāro paccaye paribhuñjathāti dinna’’nti seso. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sace pana koci bahumpi hiraññasuvaṇṇaṃ ānetvā ‘idaṃ saṅghassa dammi, cattāro paccaye paribhuñjathā’ti vadati, taṃ ce saṅgho sampaṭicchati, paṭiggahaṇepi paribhogepi āpattī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.538-539). Evaṃ ābhataṃ tasmiṃ saṅghe yo koci bhikkhu ‘‘nayidaṃ kappatī’’ti sace paṭikkhipati, ‘‘ayaṃ saṅghassa lābhantarāyaṃ karotī’’ti vadantasseva āpatti hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yo hi taṃ codeti, sveva sāpattiko hoti, tena pana ekena bahū anāpattikā katā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.538-539). Idha sveva sāpattikoti ettha ‘‘dukkaṭāpattikoti vuttaṃ hotī’’ti gaṇṭhipade vuttaṃ. Imissā gāthāya ‘‘saṅghassā’’ti alikhitvā ‘‘bhikkhuno’’ti ca likhanti, taṃ na sundaraṃ. Idāni dassitaaṭṭhakathāpāṭhe ‘‘saṅgho sampaṭicchatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.538-539) vuttattā ‘‘saṅghassā’’ti pāṭho sundaro.

    ๖๕๕. ตฬากสฺสาติ วาปิยาฯ สสฺสุปฺปตฺตินิทานโต ตฬากํ เขตฺตํ, ตโต ตสฺส คหณํ วา ปริโภโค วา น จ วฎฺฎตีติ โยชนาฯ ตฬากสฺส จาติ เอตฺถ -กาเรน เขตฺตวตฺถุ สงฺคหิตํฯ น จ วฎฺฎตีติ เอตฺถ จกาเรน วฎฺฎติ จาติ ทสฺสิตํ โหติฯ

    655.Taḷākassāti vāpiyā. Sassuppattinidānato taḷākaṃ khettaṃ, tato tassa gahaṇaṃ vā paribhogo vā na ca vaṭṭatīti yojanā. Taḷākassa cāti ettha ca-kārena khettavatthu saṅgahitaṃ. Na ca vaṭṭatīti ettha cakārena vaṭṭati cāti dassitaṃ hoti.

    ๖๕๖. ตํ กตมนฺติ อาห ‘‘จตฺตาโร’’ติอาทิฯ สพฺพมฺปีติ ตฬากโปกฺขรณิเขตฺตาทิ สพฺพมฺปิฯ

    656. Taṃ katamanti āha ‘‘cattāro’’tiādi. Sabbampīti taḷākapokkharaṇikhettādi sabbampi.

    ๖๕๘-๙. อปริจฺฉินฺนภาคสฺมินฺติ ‘‘อิมสฺมิํ ภูมิภาเค กตสฺส กเมฺมหิ เอตฺตโก ภาโค เทโยฺย’’ติ เอวํ ปุเพฺพ อนิยมิตอาเย ภูมิภาเคฯ อกตปุพฺพํ นวสสฺสํ นามฯ เอตฺตกํ ภาคํ เทถาติ เอตฺตกํ กหาปณภาคํ เทถฯ อุฎฺฐาเปตีติ อุปฺปาเทติฯ

    658-9.Aparicchinnabhāgasminti ‘‘imasmiṃ bhūmibhāge katassa kammehi ettako bhāgo deyyo’’ti evaṃ pubbe aniyamitaāye bhūmibhāge. Akatapubbaṃ navasassaṃ nāma. Ettakaṃ bhāgaṃ dethāti ettakaṃ kahāpaṇabhāgaṃ detha. Uṭṭhāpetīti uppādeti.

    ‘‘กสถ วปถา’’ติ อกปฺปิยํ วาจํ วตฺวาติ โยชนาฯ วปถาติ จาติ เอตฺถ -สโทฺท อิธ อวุตฺตํ ตํกตฺตุโยคกาเล วุจฺจมานํ อกปฺปิยวจนนฺตรํ สมุจฺจิโนติฯ อุปฺปาทิตญฺจาติ เอตฺถ -สโทฺท กหาปณํ สมุจฺจิโนติฯ สพฺพนฺติ ตถา อุปฺปาทิตกหาปณญฺจ เอวํ อกปฺปิยโวหาเรน อุปฺปาทิตญฺจาติ สพฺพํฯ

    ‘‘Kasatha vapathā’’ti akappiyaṃ vācaṃ vatvāti yojanā. Vapathāti cāti ettha ca-saddo idha avuttaṃ taṃkattuyogakāle vuccamānaṃ akappiyavacanantaraṃ samuccinoti. Uppāditañcāti ettha ca-saddo kahāpaṇaṃ samuccinoti. Sabbanti tathā uppāditakahāpaṇañca evaṃ akappiyavohārena uppāditañcāti sabbaṃ.

    ๖๖๐. กสถาทิกํ วจนํ อวตฺวา ‘‘เอตฺติกาย ภูมิยา เอตฺตโก นาม ภาโค’’ติ ภูมิํ โย จ ปติฎฺฐาเปติ, ตเสฺสเวตมกปฺปิยนฺติ วกฺขมาเนน โยเชตพฺพํฯ -สโทฺท ‘‘โย ปนา’’ติ วกฺขมานปุคฺคลนฺตราเปโกฺขฯ

    660. Kasathādikaṃ vacanaṃ avatvā ‘‘ettikāya bhūmiyā ettako nāma bhāgo’’ti bhūmiṃ yo ca patiṭṭhāpeti, tassevetamakappiyanti vakkhamānena yojetabbaṃ. Ca-saddo ‘‘yo panā’’ti vakkhamānapuggalantarāpekkho.

    ๖๖๑-๒. ภูมิยา สยเมว ปมาณสฺส ชานนตฺถํ ตูติ โยชนา, ‘‘เอตฺตเก ภูมิภาเค อเมฺหหิ สสฺสํ กตํ, เอตฺตกํ นาม ภาคํ คณฺหถา’’ติ กสเกหิ วุเตฺต เตสํ วจนํ อสทฺทหิตฺวา สยเมว เขตฺตภูมิยา ปมาณํ ญาตุกามตายาติ อโตฺถฯ ตุ-สโทฺท อิมเมว วิเสสํ โชเตติฯ โย ปน มินาติ, ตเสฺสเวตมกปฺปิยนฺติ วกฺขมาเนน โยเชตพฺพํฯ รชฺชุยาปิ จ ทเณฺฑนาติ เอตฺถ ปาเทนาปิ มินิตุํ น วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ ‘‘รกฺขตี’’ติอาทิกิริยาปเทหิปิ เอวเมว โยเชตพฺพํฯ

    661-2. Bhūmiyā sayameva pamāṇassa jānanatthaṃ tūti yojanā, ‘‘ettake bhūmibhāge amhehi sassaṃ kataṃ, ettakaṃ nāma bhāgaṃ gaṇhathā’’ti kasakehi vutte tesaṃ vacanaṃ asaddahitvā sayameva khettabhūmiyā pamāṇaṃ ñātukāmatāyāti attho. Tu-saddo imameva visesaṃ joteti. Yo pana mināti, tassevetamakappiyanti vakkhamānena yojetabbaṃ. Rajjuyāpi ca daṇḍenāti ettha pādenāpi minituṃ na vaṭṭatīti vadanti. ‘‘Rakkhatī’’tiādikiriyāpadehipi evameva yojetabbaṃ.

    ขเล ฐตฺวา รกฺขตีติ ธญฺญกรเณ ฐตฺวา อเญฺญ คณฺหิตุํ อทตฺวา ปาเลติฯ กถํ รกฺขิตุํ วฎฺฎติ, กถํ รกฺขิตุํ น วฎฺฎตีติ? ตํ ปน วีหิํ ‘‘อิทํ วา เอตฺตกํ วา มา คณฺห, อิทํ คเหตุํ น ลพฺภตี’’ติ วา ‘‘อิโต อปเนหิ, อิธ ปุญฺชํ กโรหี’’ติ วา เอวมาทินา ปโยเคน เจ รกฺขติ, ตํ อกปฺปิยํฯ สเจ ‘‘มยิ ฐิเต รกฺขิตํ โหตี’’ติ รกฺขติ, คณฺหเนฺต วา ปสฺสิตฺวา ‘‘กิํ กโรถา’’ติ ภณติ, วฎฺฎติฯ รูปิยปฎิคฺคหณสิกฺขาปเท ทฺวารํ ปิทหิตฺวา รกฺขเนฺตน วสิตพฺพนฺติ หิ วุตฺตนฺติ คณฺฐิปเท วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ อญฺญสฺมิมฺปิ คณฺฐิปเท วุตฺตํ ‘‘เถเนตฺวา คณฺหเนฺต สติ เอตํ โภ ปวตฺติํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส กิํ อาโรเจสฺสามีติ ปฎิปุจฺฉิตุํ วฎฺฎตีติ วทนฺตี’’ติฯ นีหราเปตีติ เอตฺถาปิ สเจ ปริยาเยน วทติ, วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ ตเสฺสเวตมกปฺปิยนฺติ อิทํ เขตฺตมินนาทิํ กโรเนฺตน ลทฺธพฺพโต อญฺญสฺส อภินวุปฺปาทิตสฺส อภาวา อเญฺญสํ วฎฺฎตีติ ทฺวีสุ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ

    Khaleṭhatvā rakkhatīti dhaññakaraṇe ṭhatvā aññe gaṇhituṃ adatvā pāleti. Kathaṃ rakkhituṃ vaṭṭati, kathaṃ rakkhituṃ na vaṭṭatīti? Taṃ pana vīhiṃ ‘‘idaṃ vā ettakaṃ vā mā gaṇha, idaṃ gahetuṃ na labbhatī’’ti vā ‘‘ito apanehi, idha puñjaṃ karohī’’ti vā evamādinā payogena ce rakkhati, taṃ akappiyaṃ. Sace ‘‘mayi ṭhite rakkhitaṃ hotī’’ti rakkhati, gaṇhante vā passitvā ‘‘kiṃ karothā’’ti bhaṇati, vaṭṭati. Rūpiyapaṭiggahaṇasikkhāpade dvāraṃ pidahitvā rakkhantena vasitabbanti hi vuttanti gaṇṭhipade vuttanayena veditabbo. Aññasmimpi gaṇṭhipade vuttaṃ ‘‘thenetvā gaṇhante sati etaṃ bho pavattiṃ bhikkhusaṅghassa kiṃ ārocessāmīti paṭipucchituṃ vaṭṭatīti vadantī’’ti. Nīharāpetīti etthāpi sace pariyāyena vadati, vaṭṭatīti vadanti. Tassevetamakappiyanti idaṃ khettaminanādiṃ karontena laddhabbato aññassa abhinavuppāditassa abhāvā aññesaṃ vaṭṭatīti dvīsu gaṇṭhipadesu vuttaṃ.

    ๖๖๓. ‘‘เอตฺตเกหิ วีหีหิ อิทํ อาหรถา’’ติ วุตฺตา สเจ อาหรนฺตีติ โยชนาฯ เอตฺถ ‘‘ตเสฺสเวตมกปฺปิย’’นฺติ อิทํ ธญฺญสฺส วิจาริตตฺตา วุตฺตํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ตเสฺสว อกปฺปิยํฯ กสฺมา? ธญฺญสฺส วิจาริตตฺตา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๓๘-๕๓๙)ฯ

    663. ‘‘Ettakehi vīhīhi idaṃ āharathā’’ti vuttā sace āharantīti yojanā. Ettha ‘‘tassevetamakappiya’’nti idaṃ dhaññassa vicāritattā vuttaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tasseva akappiyaṃ. Kasmā? Dhaññassa vicāritattā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.538-539).

    ๖๖๔. หิรเญฺญนาติ กหาปเณนฯ ‘‘ตมกปฺปิย’’นฺติ อิทํ กหาปณานํ วิจาริตตฺตา วุตฺตํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สเพฺพสํ อกปฺปิยํฯ กสฺมา? กหาปณานํ วิจาริตตฺตา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๓๘-๕๓๙)ฯ

    664.Hiraññenāti kahāpaṇena. ‘‘Tamakappiya’’nti idaṃ kahāpaṇānaṃ vicāritattā vuttaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sabbesaṃ akappiyaṃ. Kasmā? Kahāpaṇānaṃ vicāritattā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.538-539).

    ๖๖๕. เปสการกทาสํ วาติ เปสการกสงฺขาตํ ทาสํ วา, เปสกาโร ตนฺตวาโยฯ อารามิกานํ นาเมน เทเนฺตติ ‘‘อารามิกํ ทมฺมิ, เวยฺยาวจฺจกรํ ทมฺมี’’ติอาทินา นเยน เทเนฺตฯ

    665.Pesakārakadāsaṃ vāti pesakārakasaṅkhātaṃ dāsaṃ vā, pesakāro tantavāyo. Ārāmikānaṃ nāmena denteti ‘‘ārāmikaṃ dammi, veyyāvaccakaraṃ dammī’’tiādinā nayena dente.

    ๖๖๖. ขีรํ ทธิ ตกฺกํ สปฺปิ นวนีตนฺติ ปญฺจโครสา

    666. Khīraṃ dadhi takkaṃ sappi navanītanti pañcagorasā.

    ๖๖๗. อชิกาทีสูติ อาทิ-สเทฺทน มหิสํ สงฺคณฺหาติฯ

    667.Ajikādīsūti ādi-saddena mahisaṃ saṅgaṇhāti.

    ๖๖๙. ปฎิสิเทฺธปีติ ปฎิกฺขิเตฺตปิฯ มูลํ ทตฺวาติ กปฺปิยภณฺฑมูลํ ทตฺวาฯ กุกฺกุฎาทโย ปน ‘‘สุเขน วสนฺตู’’ติ อรเญฺญเยว วิสฺสเชฺชตพฺพํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘กุกฺกุฎสูกเร ‘สุขํ ชีวนฺตู’ติ อรเญฺญ วิสฺสเชฺชตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๓๘-๕๓๙)ฯ สูกรมยูราทีสุปิ ลเทฺธสุ เตสํ อนุรูเปเยว วิสเย วิสฺสเชฺชตพฺพาฯ

    669.Paṭisiddhepīti paṭikkhittepi. Mūlaṃ datvāti kappiyabhaṇḍamūlaṃ datvā. Kukkuṭādayo pana ‘‘sukhena vasantū’’ti araññeyeva vissajjetabbaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘kukkuṭasūkare ‘sukhaṃ jīvantū’ti araññe vissajjetuṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.538-539). Sūkaramayūrādīsupi laddhesu tesaṃ anurūpeyeva visaye vissajjetabbā.

    ๖๗๑. ‘‘ติกฺขตฺตุ’’นฺติอาทิคาถาย โก สมฺพโนฺธ? ‘‘รญฺญา วา ราชโภเคฺคนา’’ติอาทิคาถาย สงฺคหิตนเยน ราชราชามจฺจพฺราหฺมณคหปตาทีสุ เยน เกนจิ อตฺตนา วา จีวรเจตาปเนฺนน จีวรํ เจตาเปตฺวา ‘‘อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ จีวเรน อจฺฉาเทหี’’ติ วตฺวา ตํ จีวรเจตาปนฺนสงฺขาตํ จีวรมูลํ ทตฺวา ปหิตทูเตน วา ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อิทํ โข ภเนฺต อายสฺมนฺตํ อุทฺทิสฺส จีวรเจตาปนฺนํ อาภตํ, ปฎิคฺคณฺหาตุ อายสฺมา จีวรเจตาปนฺน’’นฺติ ยทิ วุเจฺจยฺย, ภิกฺขุนา ‘‘น โข มยํ อาวุโส จีวรเจตาปนฺนํ ปฎิคฺคณฺหาม, จีวรญฺจ โข มยํ ปฎิคฺคณฺหาม กาเลน กปฺปิย’’นฺติ วุเตฺต สเจ เตน ‘‘อตฺถิ ปนายสฺมโต โกจิ เวยฺยาวจฺจกโร’’ติ วุเตฺต จีวรตฺถิเกน ภิกฺขุนา ‘‘เอโส โข อาวุโส ภิกฺขูนํ เวยฺยาวจฺจกโร’’ติ อารามิเก วา อุปาสเก วา ทสฺสิเต ยทิ โส ตสฺส อตฺตนา อาหริตฺวา ‘‘อิมสฺส ภิกฺขุโน จีวเรน อเตฺถ สติ อิมินา จีวรํ เจตาเปตฺวา อจฺฉาเทหี’’ติ วตฺวา ตํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ยํ โข ภเนฺต อายสฺมา เวยฺยาวจฺจกรํ นิทฺทิสิ, สญฺญโตฺต โส มยา, อุปสงฺกมตุ อายสฺมา กาเลน, จีวเรน ตํ อจฺฉาเทสฺสตี’’ติ ยทิ วเทยฺย, เตน จีวรตฺถิเกน ภิกฺขุนา กิํ กาตพฺพนฺติ ภควตา วุตฺตนฺติ อาหาติ อยมิมิสฺสา คาถาย สมฺพโนฺธฯ

    671. ‘‘Tikkhattu’’ntiādigāthāya ko sambandho? ‘‘Raññā vā rājabhoggenā’’tiādigāthāya saṅgahitanayena rājarājāmaccabrāhmaṇagahapatādīsu yena kenaci attanā vā cīvaracetāpannena cīvaraṃ cetāpetvā ‘‘itthannāmaṃ bhikkhuṃ cīvarena acchādehī’’ti vatvā taṃ cīvaracetāpannasaṅkhātaṃ cīvaramūlaṃ datvā pahitadūtena vā bhikkhuṃ upasaṅkamitvā ‘‘idaṃ kho bhante āyasmantaṃ uddissa cīvaracetāpannaṃ ābhataṃ, paṭiggaṇhātu āyasmā cīvaracetāpanna’’nti yadi vucceyya, bhikkhunā ‘‘na kho mayaṃ āvuso cīvaracetāpannaṃ paṭiggaṇhāma, cīvarañca kho mayaṃ paṭiggaṇhāma kālena kappiya’’nti vutte sace tena ‘‘atthi panāyasmato koci veyyāvaccakaro’’ti vutte cīvaratthikena bhikkhunā ‘‘eso kho āvuso bhikkhūnaṃ veyyāvaccakaro’’ti ārāmike vā upāsake vā dassite yadi so tassa attanā āharitvā ‘‘imassa bhikkhuno cīvarena atthe sati iminā cīvaraṃ cetāpetvā acchādehī’’ti vatvā taṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā ‘‘yaṃ kho bhante āyasmā veyyāvaccakaraṃ niddisi, saññatto so mayā, upasaṅkamatu āyasmā kālena, cīvarena taṃ acchādessatī’’ti yadi vadeyya, tena cīvaratthikena bhikkhunā kiṃ kātabbanti bhagavatā vuttanti āhāti ayamimissā gāthāya sambandho.

    ติกฺขตฺตุํ โจทนา วุตฺตาติ ‘‘จีวรตฺถิเกน ภิกฺขเว ภิกฺขุนา เวยฺยาวจฺจกโร อุปสงฺกมิตฺวา ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ โจเทตโพฺพ สาเรตโพฺพ ‘อโตฺถ เม อาวุโส จีวเรนา’’ติ ติกฺขตฺตุํ โจทนา กาตพฺพาติ วุตฺตาฯ

    Tikkhattuṃ codanā vuttāti ‘‘cīvaratthikena bhikkhave bhikkhunā veyyāvaccakaro upasaṅkamitvā dvattikkhattuṃ codetabbo sāretabbo ‘attho me āvuso cīvarenā’’ti tikkhattuṃ codanā kātabbāti vuttā.

    ฉกฺขตฺตุํ ฐานมพฺรวีติ ‘‘ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ โจทยมาโน สารยมาโน ตํ จีวรํ อภินิปฺผาเทยฺย, อิเจฺจตํ กุสลํ, โน เจ อภินิปฺผาเทยฺย, จตุกฺขตฺตุํ ปญฺจกฺขตฺตุํ ฉกฺขตฺตุปรมํ ตุณฺหีภูเตน อุทฺทิสฺส ฐาตพฺพ’’นฺติ (ปารา. ๕๓๘) วุตฺตตฺตา ติกฺขตฺตุํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อโตฺถ เม อาวุโส จีวเรนา’’ติ กตาย โจทนาย น นิปฺปเชฺชยฺย, เตน ปุน คนฺตฺวา ยํ กิญฺจิ อวตฺวา ‘‘น อาสเน นิสีทิตพฺพํ, น อามิสํ ปฎิคฺคเหตพฺพํ, น ธโมฺม ภาสิตโพฺพ’’ติ (ปารา. ๕๓๙) วจนโต ฐานภญฺชนกํ นิสชฺชาทิํ กิญฺจิ อกตฺวา ‘‘กิํ การณํ อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิเต ‘‘ชานาหิ , อาวุโส’’ติ เอตฺตกมตฺตํ วตฺวา อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉเทน ฉกฺขตฺตุํ ฐานํ สทฺธมฺมวรจกฺกวตฺตินา ภควตา เทสิตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Chakkhattuṃ ṭhānamabravīti ‘‘dvattikkhattuṃ codayamāno sārayamāno taṃ cīvaraṃ abhinipphādeyya, iccetaṃ kusalaṃ, no ce abhinipphādeyya, catukkhattuṃ pañcakkhattuṃ chakkhattuparamaṃ tuṇhībhūtena uddissa ṭhātabba’’nti (pārā. 538) vuttattā tikkhattuṃ upasaṅkamitvā ‘‘attho me āvuso cīvarenā’’ti katāya codanāya na nippajjeyya, tena puna gantvā yaṃ kiñci avatvā ‘‘na āsane nisīditabbaṃ, na āmisaṃ paṭiggahetabbaṃ, na dhammo bhāsitabbo’’ti (pārā. 539) vacanato ṭhānabhañjanakaṃ nisajjādiṃ kiñci akatvā ‘‘kiṃ kāraṇaṃ āgatosī’’ti pucchite ‘‘jānāhi , āvuso’’ti ettakamattaṃ vatvā ukkaṭṭhaparicchedena chakkhattuṃ ṭhānaṃ saddhammavaracakkavattinā bhagavatā desitanti vuttaṃ hoti.

    ยทิ โจเทติเยวาติ สเจ ฐานํ อกตฺวา โจทนามตฺตํ กโรติ, ฉ อพฺรวีติ โยชนา, ‘‘โจทนา’’ติ สามตฺถิยโต ลพฺภติ, ฉกฺขตฺตุํ โจเทตฺวา สกิมฺปิ น ฐาตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Yadi codetiyevāti sace ṭhānaṃ akatvā codanāmattaṃ karoti, cha abravīti yojanā, ‘‘codanā’’ti sāmatthiyato labbhati, chakkhattuṃ codetvā sakimpi na ṭhātabbanti vuttaṃ hoti.

    ฉโจทนํ อกตฺวา โย ฐานเมว กโรติ, เตน กติ ฐานานิ กาตพฺพานีติ อาห ‘‘โจทนาทิคุณา ฐิตี’’ติ, ‘‘กาตพฺพา’’ติ เสโส, ‘‘อพฺรวี’’ติ อิมินา โยเชตพฺพํ, ‘‘จตุกฺขตฺตุํ โจเทตฺวา จตุกฺขตฺตุํ ฐาตพฺพํ, ปญฺจกฺขตฺตุํ โจเทตฺวา ทฺวิกฺขตฺตุํ ฐาตพฺพํ, ฉกฺขตฺตุํ โจเทตฺวา น ฐาตพฺพ’’นฺติ (ปารา. ๕๓๙) วจนโต, ‘‘ฉกฺขตฺตุปรม’’นฺติ (ปารา. ๕๓๙) วจนโต จ ฉกฺขตฺตุํ โจทนาย ทิคุณา ทฺวาทสกฺขตฺตุกา ฐิติ โหตีติ สิทฺธตฺตา โจทนเมว อกตฺวา ฐานมตฺตเมว กโรนฺตสฺส ทฺวาทสกฺขตฺตุํ วุตฺตนเยน ฐาตพฺพเมวาติ วุตฺตํ โหติฯ ตโต ปรํ กาตพฺพํ อทเสฺสตฺวา เอตฺตเกเนว นิวเตฺตตพฺพนฺติ ญาเปโนฺต ‘‘ตโต เจ อุตฺตริ วายมมาโน ตํ จีวรํ อภินิปฺผาเทติ, ปโยเค ทุกฺกฎํ, ปฎิลาเภน นิสฺสคฺคิย’’นฺติ (ปารา. ๕๓๙) วุตฺตนยา อาปตฺติ โหตีติ ทเสฺสติฯ

    Chacodanaṃ akatvā yo ṭhānameva karoti, tena kati ṭhānāni kātabbānīti āha ‘‘codanādiguṇā ṭhitī’’ti, ‘‘kātabbā’’ti seso, ‘‘abravī’’ti iminā yojetabbaṃ, ‘‘catukkhattuṃ codetvā catukkhattuṃ ṭhātabbaṃ, pañcakkhattuṃ codetvā dvikkhattuṃ ṭhātabbaṃ, chakkhattuṃ codetvā na ṭhātabba’’nti (pārā. 539) vacanato, ‘‘chakkhattuparama’’nti (pārā. 539) vacanato ca chakkhattuṃ codanāya diguṇā dvādasakkhattukā ṭhiti hotīti siddhattā codanameva akatvā ṭhānamattameva karontassa dvādasakkhattuṃ vuttanayena ṭhātabbamevāti vuttaṃ hoti. Tato paraṃ kātabbaṃ adassetvā ettakeneva nivattetabbanti ñāpento ‘‘tato ce uttari vāyamamāno taṃ cīvaraṃ abhinipphādeti, payoge dukkaṭaṃ, paṭilābhena nissaggiya’’nti (pārā. 539) vuttanayā āpatti hotīti dasseti.

    ๖๗๒. ‘‘อโจเทตฺวา ลเทฺธ’’ติ อิทํ อุปลกฺขณํ ‘‘อฎฺฐตฺวา ลเทฺธ’’ติ จ คยฺหมานตฺตาฯ

    672.‘‘Acodetvā laddhe’’ti idaṃ upalakkhaṇaṃ ‘‘aṭṭhatvā laddhe’’ti ca gayhamānattā.

    ราชสิกฺขาปทกถาวณฺณนาฯ

    Rājasikkhāpadakathāvaṇṇanā.

    จีวรวโคฺค ปฐโมฯ

    Cīvaravaggo paṭhamo.

    ๖๗๓. ‘‘เอเกนาปี’’ติ อิมินา กิํ ปน ทฺวีหิ, พหูหิ วาติ วุตฺตํ โหติฯ มิเสฺสตฺวาติ อนฺตมโส วาเตน อาหเฎนาปิ โกสิยํสุนา มิเสฺสตฺวาฯ สนฺถตนฺติ ‘‘สนฺถตํ นาม สนฺถริตฺวา กตํ โหติ อวายิม’’นฺติ (ปารา. ๕๔๔) ปทภาชเน จ ‘‘สเม ภูมิภาเค โกสิยํสูนิ อุปรูปริ สนฺถริตฺวา กญฺชิกาทีหิ สิญฺจิตฺวา กตํ โหตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๔๒) อฎฺฐกถาย จ วุตฺตสรูปํ กญฺชิกํ สิญฺจิตฺวา โกสิยํสูนิ อตฺถริตฺวา ยาว พหลมิจฺฉติ, ตาว วเฑฺฒตฺวา นิสีทนนิปชฺชนาทิอตฺถํ กาตพฺพํ สนฺถตนฺติ อโตฺถฯ โกสิยํสุนาติ โกสิยกิมิโกสิยสฺส อิทนฺติ โกสิยํ, สุตฺตํ, ตสฺส สุตฺตสฺส อํสุ, เตน โกสิยํสุนาติ อโตฺถ ฯ การาเปนฺตสฺสาติ อุปลกฺขณตฺตา ‘‘กโรนฺตสฺสา’’ติปิ คเหตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘การาเปยฺยาติ เอเกนาปิ โกสิยํสุนา มิเสฺสตฺวา กโรติ วา การาเปติ วา’’ติ (ปารา. ๕๔๔)ฯ เตเนวาห ‘‘ปรตฺถาย กโรนฺตสฺส การาเปนฺตสฺสา’’ติฯ

    673.‘‘Ekenāpī’’ti iminā kiṃ pana dvīhi, bahūhi vāti vuttaṃ hoti. Missetvāti antamaso vātena āhaṭenāpi kosiyaṃsunā missetvā. Santhatanti ‘‘santhataṃ nāma santharitvā kataṃ hoti avāyima’’nti (pārā. 544) padabhājane ca ‘‘same bhūmibhāge kosiyaṃsūni uparūpari santharitvā kañjikādīhi siñcitvā kataṃ hotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.542) aṭṭhakathāya ca vuttasarūpaṃ kañjikaṃ siñcitvā kosiyaṃsūni attharitvā yāva bahalamicchati, tāva vaḍḍhetvā nisīdananipajjanādiatthaṃ kātabbaṃ santhatanti attho. Kosiyaṃsunāti kosiyakimikosiyassa idanti kosiyaṃ, suttaṃ, tassa suttassa aṃsu, tena kosiyaṃsunāti attho . Kārāpentassāti upalakkhaṇattā ‘‘karontassā’’tipi gahetabbaṃ. Vuttañhetaṃ ‘‘kārāpeyyāti ekenāpi kosiyaṃsunā missetvā karoti vā kārāpeti vā’’ti (pārā. 544). Tenevāha ‘‘paratthāya karontassa kārāpentassā’’ti.

    ๖๗๕. ภูมตฺถรณนฺติ ปริกมฺมกตาย ภูมิยา ฉวิรกฺขนตฺถาย อตฺถริตพฺพํ อตฺถรณํฯ ภิสิ นาม มญฺจภิสิ, ปีฐภิสีติ ทฺวยํฯ พิโพฺพหนํ อุปธานํฯ

    675.Bhūmattharaṇanti parikammakatāya bhūmiyā chavirakkhanatthāya attharitabbaṃ attharaṇaṃ. Bhisi nāma mañcabhisi, pīṭhabhisīti dvayaṃ. Bibbohanaṃ upadhānaṃ.

    โกสิยกถาวณฺณนาฯ

    Kosiyakathāvaṇṇanā.

    ๖๗๖. กาฬเกฬกโลมานนฺติ ‘‘กาฬกํ นาม เทฺว กาฬกานิ ชาติยา กาฬกํ วา รชนกาฬกํ วา’’ติ (ปารา. ๕๔๙) วจนโต เอวํ กาฬกานํ เอฬกโลมานํฯ สุทฺธานนฺติ อิตรวเณฺณหิ เอฬกโลเมหิ อมิสฺสานํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สุทฺธกาฬกานนฺติ สุทฺธานํ กาฬกานํ, อเญฺญหิ อมิสฺสิตกาฬกานนฺติ อโตฺถ’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๔๗)ฯ กเรยฺยาติ กโรนฺตสฺส จ การาเปนฺตสฺส จาติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘การาเปยฺยาติ กโรติ วา การาเปติ วา’’ติฯ อาปตฺติ โหตีติ ‘‘ปโยเค ทุกฺกฎํ, ปฎิลาเภน นิสฺสคฺคิย’’นฺติ ปาฬิยํ วุตฺตํ ปุพฺพปโยคทุกฺกฎญฺจ นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยญฺจ อาหฯ

    676.Kāḷakeḷakalomānanti ‘‘kāḷakaṃ nāma dve kāḷakāni jātiyā kāḷakaṃ vā rajanakāḷakaṃ vā’’ti (pārā. 549) vacanato evaṃ kāḷakānaṃ eḷakalomānaṃ. Suddhānanti itaravaṇṇehi eḷakalomehi amissānaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘suddhakāḷakānanti suddhānaṃ kāḷakānaṃ, aññehi amissitakāḷakānanti attho’’ti (pārā. aṭṭha. 2.547). Kareyyāti karontassa ca kārāpentassa cāti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘kārāpeyyāti karoti vā kārāpeti vā’’ti. Āpatti hotīti ‘‘payoge dukkaṭaṃ, paṭilābhena nissaggiya’’nti pāḷiyaṃ vuttaṃ pubbapayogadukkaṭañca nissaggiyapācittiyañca āha.

    สุทฺธกาฬกกถาวณฺณนาฯ

    Suddhakāḷakakathāvaṇṇanā.

    ๖๗๗. โอทาตํ ตุลํ วา พหุํ วา สพฺพเมว วา คเหตฺวานาติ โยชนาฯ กปิลมฺปิ วาติ เอตฺถาปิ เอวเมว โยเชตพฺพํฯ เอตฺถ สพฺพเมว วาติ สนฺถตสฺส คเหตพฺพํ สพฺพเมว วา โลมํฯ กโรนฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘สนฺถต’’นฺติ อธิการโต ลพฺภติฯ ‘‘นว’’นฺติ อิทํ ‘‘กโรนฺตสฺสา’’ติ ปทสามตฺถิเยน ลพฺภติ, นวํ สนฺถตํ กโรนฺตสฺสาติ อโตฺถ, ‘‘อนาปตฺตี’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ กปิลมฺปิ วาติ วากาเรน ปการนฺตเรนาปิ กโรนฺตสฺส อนาปตฺติํ สงฺคณฺหาติฯ เสยฺยถิทํ? ‘‘นวํ ปน ภิกฺขุนา สนฺถตํ การยมาเนน เทฺว ภาคา สุทฺธกาฬกานํ เอฬกโลมานํ อาทาตพฺพา ตติยํ โอทาตานํ จตุตฺถํ โคจริยาน’’นฺติ (ปารา. ๕๕๓) มาติกาย อนุญฺญาตปฺปกาโร เวทิตโพฺพฯ

    677. Odātaṃ tulaṃ vā bahuṃ vā sabbameva vā gahetvānāti yojanā. Kapilampi vāti etthāpi evameva yojetabbaṃ. Ettha sabbameva vāti santhatassa gahetabbaṃ sabbameva vā lomaṃ. Karontassāti ettha ‘‘santhata’’nti adhikārato labbhati. ‘‘Nava’’nti idaṃ ‘‘karontassā’’ti padasāmatthiyena labbhati, navaṃ santhataṃ karontassāti attho, ‘‘anāpattī’’ti iminā sambandho. Kapilampi vāti kārena pakārantarenāpi karontassa anāpattiṃ saṅgaṇhāti. Seyyathidaṃ? ‘‘Navaṃ pana bhikkhunā santhataṃ kārayamānena dve bhāgā suddhakāḷakānaṃ eḷakalomānaṃ ādātabbā tatiyaṃ odātānaṃ catutthaṃ gocariyāna’’nti (pārā. 553) mātikāya anuññātappakāro veditabbo.

    เอตฺถ ‘‘โอทาตํ กปิลมฺปิ วา’’ติ เอตสฺส ‘‘พหุํ วา’’ติ วิเสสเนน กาฬกานํ เอฬกโลมานํ ยถาวุตฺตภาคทฺวยโต อธิกํ เอฬกโลมมฺปิ น คเหตพฺพนฺติ ทีเปติ เกวลานํ กาฬกานํ เอฬกโลมานํ อคฺคเหตพฺพตาย ปฐมสิกฺขาปเทเนว วุตฺตตฺตาฯ ‘‘สพฺพเมว วา’’ติ อิมินาปิ ปุริมสิกฺขาปเท วิย อิเม โอทาตาทโย สเพฺพ เกวลา น คเหตพฺพา น โหนฺตีติ ทสฺสิตํ โหติฯ ‘‘อนาปตฺตี’’ติ อิมินา เอวํ อกตฺวา อเญฺญน ปกาเรน กโรนฺตสฺส อาปตฺติ โหตีติ พฺยติเรกโต ทีปิตํ โหติฯ

    Ettha ‘‘odātaṃ kapilampi vā’’ti etassa ‘‘bahuṃ vā’’ti visesanena kāḷakānaṃ eḷakalomānaṃ yathāvuttabhāgadvayato adhikaṃ eḷakalomampi na gahetabbanti dīpeti kevalānaṃ kāḷakānaṃ eḷakalomānaṃ aggahetabbatāya paṭhamasikkhāpadeneva vuttattā. ‘‘Sabbameva vā’’ti imināpi purimasikkhāpade viya ime odātādayo sabbe kevalā na gahetabbā na hontīti dassitaṃ hoti. ‘‘Anāpattī’’ti iminā evaṃ akatvā aññena pakārena karontassa āpatti hotīti byatirekato dīpitaṃ hoti.

    เสยฺยถิทํ? วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘อนาทา เจ ภิกฺขุ เทฺว ภาเค สุทฺธกาฬกานํ เอฬกโลมานํ ตติยํ โอทาตานํ จตุตฺถํ โคจริยานํ นวํ สนฺถตํ การาเปยฺย, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’นฺติฯ ยตฺตกปฺปมาเณหิ เอฬกโลเมหิ นวํ สนฺถตํ กาตุกาโม โหติ, เต โลเม จตุภาคํ ตุลยิตฺวา เทฺว ตุเล วา อูเน วา กาฬกโลเม คเหตฺวา เอกํ ตุลํ โอทาเตหิ วา เอกํ ตุลํ โคจริเยหิ วา กาฬเกหิ วา อูเน กตฺวา ทฺวีหิปิ อธิเก วา กตฺวา กาฬกโลเม วเชฺชตฺวา ทฺวีสุ เอกํ วา เทฺว เอว วา คเหตฺวา กาตุญฺจ การาเปตุญฺจ วฎฺฎตีติ วุตฺตํ โหติ ฯ เอวํ อนาปตฺติทสฺสเนน สโพฺพปิ สิกฺขาปทโตฺถ สงฺคหิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Seyyathidaṃ? Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘anādā ce bhikkhu dve bhāge suddhakāḷakānaṃ eḷakalomānaṃ tatiyaṃ odātānaṃ catutthaṃ gocariyānaṃ navaṃ santhataṃ kārāpeyya, nissaggiyaṃ pācittiya’’nti. Yattakappamāṇehi eḷakalomehi navaṃ santhataṃ kātukāmo hoti, te lome catubhāgaṃ tulayitvā dve tule vā ūne vā kāḷakalome gahetvā ekaṃ tulaṃ odātehi vā ekaṃ tulaṃ gocariyehi vā kāḷakehi vā ūne katvā dvīhipi adhike vā katvā kāḷakalome vajjetvā dvīsu ekaṃ vā dve eva vā gahetvā kātuñca kārāpetuñca vaṭṭatīti vuttaṃ hoti . Evaṃ anāpattidassanena sabbopi sikkhāpadattho saṅgahitoti daṭṭhabbo.

    ๖๗๘. ‘‘อนุกฺกเมนา’’ติ อิมินา อิมเมว อคฺคเหตฺวา ปุริมานนฺตรํ วุตฺตสิกฺขาปททฺวยญฺจ คเหตพฺพนฺติ ทีเปติฯ นิสฺสชฺชิตฺวา ลทฺธานิปีติ โยชนาฯ ‘‘อปี’’ติ อิมินา ‘‘อเญฺญน กตํ ปฎิลภิตฺวา ปริภุญฺชติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๕๕๕) วุตฺตทุกฺกฎญฺจ ‘‘นิสฺสคฺคิยํ จีวรํ อนิสฺสชฺชิตฺวา ปริภุญฺชติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๔๖๘) ปฐมนิสฺสคฺคิยสิกฺขาปเท วุตฺตนเยน อิหาปิ ‘‘นิสฺสคฺคิยํ สนฺถตํ อนิสฺสชฺชิตฺวา ปริภุญฺชติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ วุตฺตมฺปิ ธมฺมสงฺคหการเกหิ เปยฺยาลวเสน สํขิตฺตํ ตํ ทุกฺกฎญฺจาติ อิทํ ทฺวยํ สงฺคหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    678.‘‘Anukkamenā’’ti iminā imameva aggahetvā purimānantaraṃ vuttasikkhāpadadvayañca gahetabbanti dīpeti. Nissajjitvā laddhānipīti yojanā. ‘‘Apī’’ti iminā ‘‘aññena kataṃ paṭilabhitvā paribhuñjati, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 555) vuttadukkaṭañca ‘‘nissaggiyaṃ cīvaraṃ anissajjitvā paribhuñjati, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 468) paṭhamanissaggiyasikkhāpade vuttanayena ihāpi ‘‘nissaggiyaṃ santhataṃ anissajjitvā paribhuñjati, āpatti dukkaṭassā’’ti vuttampi dhammasaṅgahakārakehi peyyālavasena saṃkhittaṃ taṃ dukkaṭañcāti idaṃ dvayaṃ saṅgahitanti daṭṭhabbaṃ.

    ๖๗๙. ตติยํ ตุ กฺริยากฺริยนฺติ อิทํ ตติยสิกฺขาปทํ ปน ‘‘เทฺว ภาคา สุทฺธกาฬกาน’’นฺติอาทินา (ปารา. ๕๕๔) วุตฺตนเยน อคฺคเหตฺวา กาฬกานํ อติเรกคฺคหณวเสน อนนุญฺญาตปฺปกาเรน กรณโต กิริยากิริยํ นามฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อาทาย จ อนาทาย จ กรณโต กิริยากิริย’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๕๒)ฯ

    679.Tatiyaṃ tu kriyākriyanti idaṃ tatiyasikkhāpadaṃ pana ‘‘dve bhāgā suddhakāḷakāna’’ntiādinā (pārā. 554) vuttanayena aggahetvā kāḷakānaṃ atirekaggahaṇavasena ananuññātappakārena karaṇato kiriyākiriyaṃ nāma. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘ādāya ca anādāya ca karaṇato kiriyākiriya’’nti (pārā. aṭṭha. 2.552).

    เทฺวภาคกถาวณฺณนาฯ

    Dvebhāgakathāvaṇṇanā.

    ๖๘๐. ฉนฺนํ วสฺสานํ โอเรนาติ ปุเพฺพ สนฺถตสฺส กตทิวสโต ปฎฺฐาย อุปริ ฉนฺนํ วสฺสานํ อพฺภนฺตเรติ อโตฺถฯ โหติ นิสฺสคฺคิยาปตฺตีติ ฉพฺพสฺสนฺตเร กตสนฺถตํ นิสฺสคฺคิยํ โหติ, การกสฺส จ ปาจิตฺติยํ โหตีติ อโตฺถฯ ภิกฺขุสมฺมุติํ ฐเปตฺวาติ สนฺถตํ คเหตฺวา อทฺธานมคฺคํ ปฎิปชฺชิตุํ อสมตฺถสฺส คิลานสฺส ‘‘อหํ ภเนฺต คิลาโน น สโกฺกมิ สนฺถตํ อาทาย ปกฺกมิตุํ, โสหํ ภเนฺต สงฺฆํ สนฺถตสมฺมุติํ ยาจามี’’ติ (ปารา. ๕๕๙) สงฺฆมเชฺฌ นิสชฺช อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ติกฺขตฺตุํ ยาจิเต ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย คตฎฺฐาเน ฉพฺพสฺสานํ อโนฺตปิ สนฺถตํ กาตุํ สเงฺฆน ทินฺนสมฺมุติํ วินาติ อโตฺถฯ

    680.Channaṃvassānaṃ orenāti pubbe santhatassa katadivasato paṭṭhāya upari channaṃ vassānaṃ abbhantareti attho. Hoti nissaggiyāpattīti chabbassantare katasanthataṃ nissaggiyaṃ hoti, kārakassa ca pācittiyaṃ hotīti attho. Bhikkhusammutiṃ ṭhapetvāti santhataṃ gahetvā addhānamaggaṃ paṭipajjituṃ asamatthassa gilānassa ‘‘ahaṃ bhante gilāno na sakkomi santhataṃ ādāya pakkamituṃ, sohaṃ bhante saṅghaṃ santhatasammutiṃ yācāmī’’ti (pārā. 559) saṅghamajjhe nisajja añjaliṃ paggahetvā tikkhattuṃ yācite ñattidutiyāya kammavācāya gataṭṭhāne chabbassānaṃ antopi santhataṃ kātuṃ saṅghena dinnasammutiṃ vināti attho.

    ๖๘๒. ฉพฺพสฺสานิ กโรนฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘ยทา ปริปุณฺณานิ, ตทา’’ติ เสโส, ฉพฺพเสฺสสุ ปริปุเณฺณสุ สนฺถตํ กโรนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ยทา ฉพฺพสฺสานิ ปริปุณฺณานิ โหนฺติ, ตทา สนฺถตํ กโรตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๕๗)ฯ ตทุทฺธมฺปีติ ฉพฺพสฺสโต อุปริปิฯ วิตาเนติ วิตานนิมิตฺตํ กโรนฺตสฺสฯ สาณิปากาเรติ ปาการสทิสติโรกรณียนิมิตฺตํ กโรนฺตสฺสฯ นิสฺสชฺชิตฺวา กเตปิ จาติ ปุราณสนฺถเต อญฺญสฺส ทตฺวา อญฺญสฺมิํ สนฺถเต โอรโต ฉนฺนํ วสฺสานํ กเตปิ จ อนาปตฺตีติ โยชนาฯ อยมนาปตฺติวาโร เนว ปาฬิยํ, น อฎฺฐกถาสุ ทิสฺสติ, ตสฺมา โส อาจริยปรมฺปราภโต อาจริเยน ทสฺสิโตติ วิญฺญายติฯ สาธารณวินิจฺฉยํ ปน ‘‘อนนฺตรสฺสิมสฺสาปิ, วิเสโส นุปลพฺภตี’’ติ วกฺขติฯ

    682.Chabbassāni karontassāti ettha ‘‘yadā paripuṇṇāni, tadā’’ti seso, chabbassesu paripuṇṇesu santhataṃ karontassāti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yadā chabbassāni paripuṇṇāni honti, tadā santhataṃ karotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.557). Taduddhampīti chabbassato uparipi. Vitāneti vitānanimittaṃ karontassa. Sāṇipākāreti pākārasadisatirokaraṇīyanimittaṃ karontassa. Nissajjitvā katepi cāti purāṇasanthate aññassa datvā aññasmiṃ santhate orato channaṃ vassānaṃ katepi ca anāpattīti yojanā. Ayamanāpattivāro neva pāḷiyaṃ, na aṭṭhakathāsu dissati, tasmā so ācariyaparamparābhato ācariyena dassitoti viññāyati. Sādhāraṇavinicchayaṃ pana ‘‘anantarassimassāpi, viseso nupalabbhatī’’ti vakkhati.

    ฉพฺพสฺสกถาวณฺณนาฯ

    Chabbassakathāvaṇṇanā.

    ๖๘๓. อนาทายาติ นวํ นิสีทนสนฺถตํ กโรเนฺตน ภิกฺขุนา ตสฺส วิวณฺณกรณตฺถาย ปาฬิยํ ‘‘ปุราณสนฺถตสฺส สามนฺตา สุคตวิทตฺถิ อาทาตพฺพา ทุพฺพณฺณกรณายา’’ติ (ปารา. ๕๖๗) ยา อาทาตุํ วุตฺตา, ตํ ปุราณสนฺถตสฺส ฉินฺนมุขาวตฺตโต สุคตวิทตฺถิํ อทตฺวาฯ เอวเมตํ วุตฺตนฺติ กถํ วิญฺญายตีติ? ‘‘อนาทานวเสนสฺส, สุคตสฺส วิทตฺถิยา’’ติ วกฺขมาเนน วิญฺญายติฯ สนฺถเตติ เอตฺถ ‘‘ปุราเณ’’อิติ จ กาเรตุํ กตญฺจาติ เอตฺถ ‘‘นวํ นิสีทนํ สนฺถต’’นฺติ จ เสโส , ปุราเณ สนฺถเต อสเนฺต สามนฺตา สุคตวิทตฺถิํ อนาทาย นวํ นิสีทนสนฺถตํ กโรนฺตสฺส อนาปตฺติฯ อญฺญสฺสตฺถาย นวํ นิสีทนสนฺถตํ กาเรตุํ, นวํ นิสีทนสนฺถตํ อเญฺญน กตํ ปฎิลภิตฺวา ปริภุญฺชิตุญฺจ อนาปตฺตีติ โยชนาฯ

    683.Anādāyāti navaṃ nisīdanasanthataṃ karontena bhikkhunā tassa vivaṇṇakaraṇatthāya pāḷiyaṃ ‘‘purāṇasanthatassa sāmantā sugatavidatthi ādātabbā dubbaṇṇakaraṇāyā’’ti (pārā. 567) yā ādātuṃ vuttā, taṃ purāṇasanthatassa chinnamukhāvattato sugatavidatthiṃ adatvā. Evametaṃ vuttanti kathaṃ viññāyatīti? ‘‘Anādānavasenassa, sugatassa vidatthiyā’’ti vakkhamānena viññāyati. Santhateti ettha ‘‘purāṇe’’iti ca kāretuṃ katañcāti ettha ‘‘navaṃ nisīdanaṃ santhata’’nti ca seso , purāṇe santhate asante sāmantā sugatavidatthiṃ anādāya navaṃ nisīdanasanthataṃ karontassa anāpatti. Aññassatthāya navaṃ nisīdanasanthataṃ kāretuṃ, navaṃ nisīdanasanthataṃ aññena kataṃ paṭilabhitvā paribhuñjituñca anāpattīti yojanā.

    ‘‘อญฺญสฺสตฺถาย กาเรตุ’’นฺติ อิทเมตฺถ ปาจิตฺติเยเนว อนาปตฺติทสฺสนนฺติ คเหตพฺพํฯ ตสฺมา ‘‘อญฺญสฺสตฺถาย กโรติ วา การาเปติ วา, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๕๖๙) วุตฺตตฺตา จ อฎฺฐกถาย, ตพฺพณฺณนาสุ จ อทิสฺสมานตฺตา วา ตํ น วตฺตพฺพํฯ ‘‘อนาปตฺติ ฉพฺพสฺสานิ กโรติ…เป.… อญฺญสฺสตฺถาย กโรติ วา การาเปติ วา’’ติ (ปารา. ๕๖๔) อนนฺตรสิกฺขาปเท วุตฺตโมโลเกตฺวา วา ทุกฺกฎสฺส จ วิหิตตฺตา ปาจิตฺติเยน อนาปตฺติภาวํ สนฺธาย ลิขิตนฺติ วิญฺญายติฯ กตญฺจ ปริภุญฺชิตุนฺติ เอตฺถ ‘‘อเญฺญนา’’ติ วตฺตพฺพํ, อิมินา ‘‘อเญฺญน กตํ ปฎิลภิตฺวา ปริภุญฺชติ, อนาปตฺตี’’ติ ปาโฐว ทสฺสิโตฯ

    ‘‘Aññassatthāyakāretu’’nti idamettha pācittiyeneva anāpattidassananti gahetabbaṃ. Tasmā ‘‘aññassatthāya karoti vā kārāpeti vā, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 569) vuttattā ca aṭṭhakathāya, tabbaṇṇanāsu ca adissamānattā vā taṃ na vattabbaṃ. ‘‘Anāpatti chabbassāni karoti…pe… aññassatthāya karoti vā kārāpeti vā’’ti (pārā. 564) anantarasikkhāpade vuttamoloketvā vā dukkaṭassa ca vihitattā pācittiyena anāpattibhāvaṃ sandhāya likhitanti viññāyati. Katañca paribhuñjitunti ettha ‘‘aññenā’’ti vattabbaṃ, iminā ‘‘aññena kataṃ paṭilabhitvā paribhuñjati, anāpattī’’ti pāṭhova dassito.

    ๖๘๔. สุคตสฺส วิทตฺถิยา อนาทานวเสน จ อสฺส สนฺถตสฺส กรเณน จ สตฺถารา เอตํ สิกฺขาปทํ กิริยากิริยํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ

    684. Sugatassa vidatthiyā anādānavasena ca assa santhatassa karaṇena ca satthārā etaṃ sikkhāpadaṃ kiriyākiriyaṃ vuttanti yojanā.

    ๖๘๕. นนุ จ อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส อฎฺฐกถาย ‘‘สมุฎฺฐานาทีนิ กิริยากิริยตฺตา อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส เทฺวภาคสิกฺขาปทสทิสานี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๖๗) วุตฺตานิ, อิห ‘‘สญฺจริตฺตสมา’’ติ กสฺมา วุตฺตานีติ? วุจฺจเต – เทฺวภาคสิกฺขาปเท ‘‘สมุฎฺฐานาทีนิปิ โกสิยสิกฺขาปทสทิสาเนวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๕๒) อฎฺฐกถาย วุตฺตานิ, โกสิยสิกฺขาปเท สมุฎฺฐานาทีนํ สญฺจริเตฺตน สมภาวสฺส วุตฺตตฺตา, มูลเมว สริตฺวา กิริยากิริยสงฺขาตวิเสสสฺส วิสุํ ทสฺสิตตฺตา อวสิฎฺฐวินิจฺฉยมตฺตํ สนฺธาย เอวํ วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ อิมํ วิเสสํ มุญฺจิตฺวา อวสิฎฺฐวินิจฺฉเยน ทฺวีสุ สิกฺขาปเทสุ สาธารณวินิจฺฉยสฺส อวิเสสตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อนนฺตรสฺสา’’ติอาทิฯ

    685. Nanu ca imassa sikkhāpadassa aṭṭhakathāya ‘‘samuṭṭhānādīni kiriyākiriyattā imassa sikkhāpadassa dvebhāgasikkhāpadasadisānī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.567) vuttāni, iha ‘‘sañcarittasamā’’ti kasmā vuttānīti? Vuccate – dvebhāgasikkhāpade ‘‘samuṭṭhānādīnipi kosiyasikkhāpadasadisānevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.552) aṭṭhakathāya vuttāni, kosiyasikkhāpade samuṭṭhānādīnaṃ sañcarittena samabhāvassa vuttattā, mūlameva saritvā kiriyākiriyasaṅkhātavisesassa visuṃ dassitattā avasiṭṭhavinicchayamattaṃ sandhāya evaṃ vuttanti gahetabbaṃ. Imaṃ visesaṃ muñcitvā avasiṭṭhavinicchayena dvīsu sikkhāpadesu sādhāraṇavinicchayassa avisesataṃ dassetumāha ‘‘anantarassā’’tiādi.

    นิสีทนสนฺถตกถาวณฺณนาฯ

    Nisīdanasanthatakathāvaṇṇanā.

    ๖๘๖-๗. คจฺฉเนฺตติ ติโยชนปูรณฎฺฐานํ อติกฺกมฺม คจฺฉเนฺตฯ ยาเนติ สกฎาทิเกฯ โลมานีติ เอฬกโลมานิฯ สามิกสฺสาติ ยานาทิสามิโนฯ อชานโตติ อนาทเร สามิวจนํฯ อทฺธานมคฺคปฎิปโนฺน โย ปน ภิกฺขุ เอฬกโลมํ ลภิตฺวา ‘‘ติโยชนปรมํ สหตฺถา หาเรตพฺพานี’’ติ (ปารา. ๕๗๓) อนุญฺญาตตฺตา ติโยชนพฺภนฺตเร สหเตฺถนาปิ หริตฺวา ติโยชนาติกฺกเม ปเรสํ ยานาทีสุ สามิเกสุ อชานเนฺตสุ ‘‘เอเต หริสฺสนฺตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ยทิ ฐเปยฺยาติ อโตฺถฯ เตสูติ เยสุ เอฬกโลมานิ ฐปิตานิ, เตสุ ยานาทีสุ ติโยชนมตีเตสุ ภิกฺขุสฺส ปโยคํ วินาปิ ติโยชนํ อติกฺกเนฺตสุ ตสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺติ โหตีติ โยชนา, ตสฺส ภิกฺขุโน ‘‘ปฐมํ ปาทํ ติโยชนํ อติกฺกาเมติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ทุติยํ ปาทํ อติกฺกาเมติ, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปารา. ๕๗๓) วุตฺตตฺตา ทุกฺกฎปาจิตฺติยา โหนฺตีติ อโตฺถฯ

    686-7.Gacchanteti tiyojanapūraṇaṭṭhānaṃ atikkamma gacchante. Yāneti sakaṭādike. Lomānīti eḷakalomāni. Sāmikassāti yānādisāmino. Ajānatoti anādare sāmivacanaṃ. Addhānamaggapaṭipanno yo pana bhikkhu eḷakalomaṃ labhitvā ‘‘tiyojanaparamaṃ sahatthā hāretabbānī’’ti (pārā. 573) anuññātattā tiyojanabbhantare sahatthenāpi haritvā tiyojanātikkame paresaṃ yānādīsu sāmikesu ajānantesu ‘‘ete harissantī’’ti cintetvā yadi ṭhapeyyāti attho. Tesūti yesu eḷakalomāni ṭhapitāni, tesu yānādīsu tiyojanamatītesu bhikkhussa payogaṃ vināpi tiyojanaṃ atikkantesu tassa bhikkhuno āpatti hotīti yojanā, tassa bhikkhuno ‘‘paṭhamaṃ pādaṃ tiyojanaṃ atikkāmeti, āpatti dukkaṭassa. Dutiyaṃ pādaṃ atikkāmeti, nissaggiyaṃ pācittiya’’nti (pārā. 573) vuttattā dukkaṭapācittiyā hontīti attho.

    อยํ นโยติ ภิกฺขุโน ปโยคํ วินา ยตฺถ เอฬกโลมานิ ฐปิตานิ, เตสุ ยานาทีสุ ติโยชนํ อติกฺกมเนฺตสุ อาปตฺติ โหตีติ อยมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพติ อโตฺถฯ

    Ayaṃ nayoti bhikkhuno payogaṃ vinā yattha eḷakalomāni ṭhapitāni, tesu yānādīsu tiyojanaṃ atikkamantesu āpatti hotīti ayamattho daṭṭhabboti attho.

    ๖๘๘. อคจฺฉเนฺตติ ติโยชนพฺภนฺตเร ฐิเตฯ ‘‘อภิรูหิตฺวา’’ติ อิทํ อนาปตฺติการเณสุ เอกํ ทเสฺสตุมาหฯ ‘‘ภูมิยญฺหิ ฐตฺวา เทโนฺต, อวฺหายโนฺต วา ปุรโต คจฺฉติ, เอเสวนโย’’ติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ อนาปตฺติวาเร ‘‘อญฺญํ หราเปตี’’ติ วจนโต อตฺตนา เปสิเต อญฺญสฺมิํ หรเนฺต วฎฺฎตีติ ทเสฺสตุมาห ‘‘สเจ สาเรติ วฎฺฎตี’’ติฯ เตเนวาห ‘‘ตํ ปนญฺญํ หราเปติ, วจเนน วิรุชฺฌตี’’ติฯ

    688.Agacchanteti tiyojanabbhantare ṭhite. ‘‘Abhirūhitvā’’ti idaṃ anāpattikāraṇesu ekaṃ dassetumāha. ‘‘Bhūmiyañhi ṭhatvā dento, avhāyanto vā purato gacchati, esevanayo’’ti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Anāpattivāre ‘‘aññaṃ harāpetī’’ti vacanato attanā pesite aññasmiṃ harante vaṭṭatīti dassetumāha ‘‘sace sāreti vaṭṭatī’’ti. Tenevāha ‘‘taṃ panaññaṃ harāpeti, vacanena virujjhatī’’ti.

    ๖๙๐. กณฺณจฺฉิเทฺทสูติ อตฺตโน กณฺณพิเลสุฯ

    690.Kaṇṇacchiddesūti attano kaṇṇabilesu.

    ๖๙๑. อนาปตฺติวาเร ‘‘กตภณฺฑ’’นฺติ วุตฺตตฺตา ตตฺถ อนฺตมโส สุตฺตเกน พทฺธมตฺตมฺปิ กตภณฺฑเมวาติ อาห ‘‘สุตฺตเกน จ พนฺธิตฺวา’’ติฯ เวณิํ กตฺวาติ กุทฺรูสสีสปลาลเวณิสทิสํ เวณิํ กตฺวาฯ อาปตฺติ ปริทีปิตาติ ‘‘เวณิํ กตฺวา หรติ, อิทํ นิธานมุขํ นาม, อาปตฺติเยวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๗๕) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ

    691. Anāpattivāre ‘‘katabhaṇḍa’’nti vuttattā tattha antamaso suttakena baddhamattampi katabhaṇḍamevāti āha ‘‘suttakena ca bandhitvā’’ti. Veṇiṃ katvāti kudrūsasīsapalālaveṇisadisaṃ veṇiṃ katvā. Āpatti paridīpitāti ‘‘veṇiṃ katvā harati, idaṃ nidhānamukhaṃ nāma, āpattiyevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.575) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.

    ๖๙๒. สุงฺกฆาตนฺติ เอตฺถ ‘‘ตํ ฐาน’’นฺติ เสโส, ยทิ ตํ ฐานํ สุงฺกฆาตนฺติ โยชนา, ติโยชโนสานฎฺฐานํ ยทิ สุงฺกฆาตฎฺฐานํ ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ อนุปฺปตฺวาติ ตํ ฐานํ ปตฺวาฯ โจราทีหิ อุปทฺทุโต วา คจฺฉติ, โย อญฺญวิหิโต วา คจฺฉตีติ โยชนาฯ อาปตฺตีติ เอตฺถ อาปตฺติ ตสฺส คจฺฉโตติ ลพฺภติฯ เอตฺถ ‘‘อาปตฺตี’’ติ อิมินา สิกฺขาปเทน อาปตฺติมาหฯ อิมิสฺสา อจิตฺตกตาย เตสํ ทฺวินฺนมฺปิ โหติฯ อทินฺนาทานปาราชิกํ ปน สจิตฺตกตาย เอเตสํ น โหติฯ เตนาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ยา หิ ตตฺถ อาปตฺติ, สา อิธ อนาปตฺติฯ ยา อิธ อาปตฺติ, สา ตตฺถ อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๗๒)ฯ เถยฺยจิเตฺตน หรโต ภณฺฑคฺฆวเสน ปาราชิกถุลฺลจฺจยทุกฺกเฎสุ เอกํ โหติฯ เตนาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อทินฺนาทาเน ปน สุงฺกฆาเต อาปตฺติ โหตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๗๒)ฯ

    692.Suṅkaghātanti ettha ‘‘taṃ ṭhāna’’nti seso, yadi taṃ ṭhānaṃ suṅkaghātanti yojanā, tiyojanosānaṭṭhānaṃ yadi suṅkaghātaṭṭhānaṃ bhaveyyāti attho. Anuppatvāti taṃ ṭhānaṃ patvā. Corādīhi upadduto vā gacchati, yo aññavihito vā gacchatīti yojanā. Āpattīti ettha āpatti tassa gacchatoti labbhati. Ettha ‘‘āpattī’’ti iminā sikkhāpadena āpattimāha. Imissā acittakatāya tesaṃ dvinnampi hoti. Adinnādānapārājikaṃ pana sacittakatāya etesaṃ na hoti. Tenāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yā hi tattha āpatti, sā idha anāpatti. Yā idha āpatti, sā tattha anāpattī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.572). Theyyacittena harato bhaṇḍagghavasena pārājikathullaccayadukkaṭesu ekaṃ hoti. Tenāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘adinnādāne pana suṅkaghāte āpatti hotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.572).

    ๖๙๓. ติโยชนนฺติ เอตฺถ หรณกิริยาย อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ ‘‘หรนฺตสฺสา’’ติ อิมสฺส กมฺมทีปกํ ‘‘โลมานี’’ติ อิทํ ปกรณโต ลพฺภติฯ ‘‘อนาปตฺติ ปกาสิตา’’ติ อิทํ สพฺพตฺถ วกฺขมาเนน สมฺพนฺธนียํฯ ตานิเยว ปจฺจาหรนฺตสฺสาติ โยชนาฯ ติโยชนนฺติ เอตฺถ ตํเยว ติโยชนนฺติ ลพฺภติฯ อตฺตนา คตํ ติโยชนํ ปุน ตาเนว โลมานิ คเหตฺวา ปจฺจาคจฺฉนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ

    693.Tiyojananti ettha haraṇakiriyāya accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. ‘‘Harantassā’’ti imassa kammadīpakaṃ ‘‘lomānī’’ti idaṃ pakaraṇato labbhati. ‘‘Anāpatti pakāsitā’’ti idaṃ sabbattha vakkhamānena sambandhanīyaṃ. Tāniyeva paccāharantassāti yojanā. Tiyojananti ettha taṃyeva tiyojananti labbhati. Attanā gataṃ tiyojanaṃ puna tāneva lomāni gahetvā paccāgacchantassāti attho.

    ๖๙๔. นิวาสตฺถาย วา คนฺตฺวาติ ติโยชนพฺภนฺตเร วา สีมาย วา อาวาเส วสิตุกามตาย คนฺตฺวาฯ ตโต ปรํ หรนฺตสฺสาติ ตสฺมิํ อาวาเส อุเทฺทสาทิํ อลภิตฺวา ตโต ปรํ อญฺญสฺมิํ อาวาเส วสิตุกามตาย ปุนปิ ติโยชนํ หรนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ อิมินาว นเยน ตโตปิ อญฺญํ ฐานํ, ตโตปิ อญฺญนฺติ สุทฺธจิเตฺตน คตคตฎฺฐานโต ปุนปิ ปรมฺปรํ ฐานํ คมนวเสน โยชนสตมฺปิ หรโต โทโส นตฺถีติ อิทมฺปิ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เอวํ โยชนสตมฺปิ หรนฺตสฺส อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๗๕)ฯ อจฺฉินฺนํ วาปิ ลภิตฺวา หรโตปีติ ‘‘โจราวหฎปริจฺจตฺตํ ลภิตฺวา หรนฺตสฺสฯ อิธ สพฺพเตฺถว ‘‘นิวาสตฺถาย วา คนฺตฺวา’’ติอาทิเก อนาปตฺติวาเร ปฐมลทฺธฎฺฐานโต ปภุติ อติเรกติโยชนมฺปิ หรนฺตสฺส อนาปตฺตีติ อโตฺถ วิญฺญายติฯ นิสฺสฎฺฐํ ลภิตฺวาติ นิสฺสชฺชิตฺวา วินยกมฺมํ กตฺวา ทินฺนํ ลภิตฺวาฯ

    694.Nivāsatthāya vā gantvāti tiyojanabbhantare vā sīmāya vā āvāse vasitukāmatāya gantvā. Tato paraṃ harantassāti tasmiṃ āvāse uddesādiṃ alabhitvā tato paraṃ aññasmiṃ āvāse vasitukāmatāya punapi tiyojanaṃ harantassāti attho. Imināva nayena tatopi aññaṃ ṭhānaṃ, tatopi aññanti suddhacittena gatagataṭṭhānato punapi paramparaṃ ṭhānaṃ gamanavasena yojanasatampi harato doso natthīti idampi vuttaṃ hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘evaṃ yojanasatampi harantassa anāpattī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.575). Acchinnaṃ vāpi labhitvā haratopīti ‘‘corāvahaṭapariccattaṃ labhitvā harantassa. Idha sabbattheva ‘‘nivāsatthāya vā gantvā’’tiādike anāpattivāre paṭhamaladdhaṭṭhānato pabhuti atirekatiyojanampi harantassa anāpattīti attho viññāyati. Nissaṭṭhaṃ labhitvāti nissajjitvā vinayakammaṃ katvā dinnaṃ labhitvā.

    ๖๙๕. อเญฺญนาติ ตานิ หารินา อเญฺญนฯ กตภณฺฑกนฺติ ‘‘กมฺพลโกชวสนฺถตาทิํ ยํ กิญฺจิ อนฺตมโส สุตฺตเกน พทฺธมตฺตมฺปี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๗๕) อฎฺฐกถายํ วุตฺตเอฬกโลเมหิ กตภณฺฑกํฯ

    695.Aññenāti tāni hārinā aññena. Katabhaṇḍakanti ‘‘kambalakojavasanthatādiṃ yaṃ kiñci antamaso suttakena baddhamattampī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.575) aṭṭhakathāyaṃ vuttaeḷakalomehi katabhaṇḍakaṃ.

    ๖๙๖. อิทํ สมุฎฺฐานนฺติ อิทํ เอฬกโลมสมุฎฺฐานํฯ ปณฺณตฺติํ อชานนตาย วา ญตฺวาปิ จีวราทิปริกฺขาเรสุ โลมสฺส อลฺลินภาวํ อชานิตฺวาปิ วา ติโยชนํ อติกฺกาเมนฺตสฺส อรหโตปิ อิมาย อาปตฺติยา สมฺภวโต ‘‘อจิตฺต’’นฺติ อาหฯ

    696.Idaṃ samuṭṭhānanti idaṃ eḷakalomasamuṭṭhānaṃ. Paṇṇattiṃ ajānanatāya vā ñatvāpi cīvarādiparikkhāresu lomassa allinabhāvaṃ ajānitvāpi vā tiyojanaṃ atikkāmentassa arahatopi imāya āpattiyā sambhavato ‘‘acitta’’nti āha.

    เอฬกโลมกถาวณฺณนาฯ

    Eḷakalomakathāvaṇṇanā.

    ๖๙๗. เอฬกโลมโธวาปนกถา อุตฺตานาเยวฯ

    697. Eḷakalomadhovāpanakathā uttānāyeva.

    เอฬกโลมโธวาปนกถาวณฺณนาฯ

    Eḷakalomadhovāpanakathāvaṇṇanā.

    ๖๙๘. คเณฺหยฺย วาติ เอตฺถ ‘‘โย’’ติ เสโสฯ ‘‘คเณฺหยฺย วา คณฺหาเปยฺย วา’’ติ อิมินา ‘‘ตตฺถตฺตโน ปนตฺถายา’’ติ วกฺขมานตฺตา จ ‘‘นิสฺสชฺชิตฺวา’’ติอาทิวจนโต จ อตฺตโน อตฺถาย อุคฺคเณฺหยฺย วา อุคฺคณฺหาเปยฺย วาติ วุตฺตํ โหติฯ วากาเรน ‘‘อุปนิกฺขิตฺตํ วา สาทิเยยฺยา’’ติ อิทํ สงฺคณฺหาติ, ‘‘อิทํ อยฺยสฺส โหตู’’ติ อุปนิกฺขิตฺตํ เจ สาทิยตีติ อโตฺถฯ

    698.Gaṇheyya vāti ettha ‘‘yo’’ti seso. ‘‘Gaṇheyya vā gaṇhāpeyya vā’’ti iminā ‘‘tatthattano panatthāyā’’ti vakkhamānattā ca ‘‘nissajjitvā’’tiādivacanato ca attano atthāya uggaṇheyya vā uggaṇhāpeyya vāti vuttaṃ hoti. kārena ‘‘upanikkhittaṃ vā sādiyeyyā’’ti idaṃ saṅgaṇhāti, ‘‘idaṃ ayyassa hotū’’ti upanikkhittaṃ ce sādiyatīti attho.

    รชตนฺติ อญฺญตฺถ สชฺฌุ วุจฺจติ, อิธ ปน โวหารูปคกหาปณาทิ วุจฺจติฯ วุตฺตเญฺหตํ ปาฬิยํ ‘‘รชตํ นาม กหาปโณ โลหมาสโก ทารุมาสโก ชตุมาสโก, เย โวหารํ คจฺฉนฺตี’’ติ (ปารา. ๕๘๔)ฯ อิธ กหาปณาทีนํ สรูปํ อฎฺฐกถายํ

    Rajatanti aññattha sajjhu vuccati, idha pana vohārūpagakahāpaṇādi vuccati. Vuttañhetaṃ pāḷiyaṃ ‘‘rajataṃ nāma kahāpaṇo lohamāsako dārumāsako jatumāsako, ye vohāraṃ gacchantī’’ti (pārā. 584). Idha kahāpaṇādīnaṃ sarūpaṃ aṭṭhakathāyaṃ

    ‘‘ตตฺถ กหาปโณติ โสวณฺณมโย วา รูปิยมโย วา ปากติโก วาฯ โลหมาสโกติ ตมฺพโลหาทีหิ กตมาสโกฯ ทารุมาสโกติ สารทารุนา วา เวฬุเปสิกาย วา อนฺตมโส ตาลปเณฺณปิ รูปํ ฉินฺทิตฺวา กตมาสโกฯ ชตุมาสโกติ ลาขาย วา นิยฺยาเสน วา รูปํ สมุฎฺฐาเปตฺวา กตมาสโกฯ ‘เย โวหารํ คจฺฉนฺตี’ติ อิมินา ปน ปเทน โย โย ยตฺถ ยตฺถ ชนปเท ยทา ยทา โวหารํ คจฺฉติ, อนฺตมโส อฎฺฐิมโยปิ จมฺมมโยปิ รุกฺขผลพีชมโยปิ สมุฎฺฐาปิตรูโปปิ อสมุฎฺฐาปิตรูโปปิ สโพฺพ สงฺคหิโต’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๘๓-๕๘๔) –

    ‘‘Tattha kahāpaṇoti sovaṇṇamayo vā rūpiyamayo vā pākatiko vā. Lohamāsakoti tambalohādīhi katamāsako. Dārumāsakoti sāradārunā vā veḷupesikāya vā antamaso tālapaṇṇepi rūpaṃ chinditvā katamāsako. Jatumāsakoti lākhāya vā niyyāsena vā rūpaṃ samuṭṭhāpetvā katamāsako. ‘Ye vohāraṃ gacchantī’ti iminā pana padena yo yo yattha yattha janapade yadā yadā vohāraṃ gacchati, antamaso aṭṭhimayopi cammamayopi rukkhaphalabījamayopi samuṭṭhāpitarūpopi asamuṭṭhāpitarūpopi sabbo saṅgahito’’ti (pārā. aṭṭha. 2.583-584) –

    วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ

    Vuttanayena veditabbaṃ.

    เอตฺถ จ ปากติโก นาม เอตรหิ ปกติกหาปโณฯ รุกฺขผลพีชมโยติ ตินฺติณิกาทิรุกฺขานํ ผลพีเชน กโตฯ

    Ettha ca pākatiko nāma etarahi pakatikahāpaṇo. Rukkhaphalabījamayoti tintiṇikādirukkhānaṃ phalabījena kato.

    ชาตรูปกํ สุวณฺณํฯ ยถาห ปาฬิยํ ‘‘ชาตรูปํ นาม สตฺถุวโณฺณ วุจฺจตี’’ติ (ปารา. ๕๘๔)ฯ นิสฺสชฺชิตฺวาติ เอตฺถ ‘‘เตนา’’ติ ลพฺภติ, ‘‘ภิกฺขุนา’’ติ อิมินา ยุชฺชติ, เอวํ สาทิตภิกฺขุนาติ อโตฺถฯ นิสฺสชฺชิตฺวาติ อตฺตนา อุคฺคหิตํ วา ปเรน อุคฺคหาปิตํ วา อุปนิกฺขิปิตสฺส สาทิยนวเสน สาทิตํ วา รชตํ วา ชาตรูปํ วา ‘‘เตน ภิกฺขุนา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา’’ติ (ปารา. ๕๘๔) วจนโต สงฺฆมเชฺฌ อุปสงฺกมิตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ‘‘อหํ ภเนฺต รูปิยํ ปฎิคฺคเหสิํ, อิทํ เม นิสฺสคฺคิยํ, อิมาหํ นิสฺสชฺชามี’’ติ นิสฺสชฺชิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ

    Jātarūpakaṃ suvaṇṇaṃ. Yathāha pāḷiyaṃ ‘‘jātarūpaṃ nāma satthuvaṇṇo vuccatī’’ti (pārā. 584). Nissajjitvāti ettha ‘‘tenā’’ti labbhati, ‘‘bhikkhunā’’ti iminā yujjati, evaṃ sāditabhikkhunāti attho. Nissajjitvāti attanā uggahitaṃ vā parena uggahāpitaṃ vā upanikkhipitassa sādiyanavasena sāditaṃ vā rajataṃ vā jātarūpaṃ vā ‘‘tena bhikkhunā saṅghaṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā’’ti (pārā. 584) vacanato saṅghamajjhe upasaṅkamitvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggayha ‘‘ahaṃ bhante rūpiyaṃ paṭiggahesiṃ, idaṃ me nissaggiyaṃ, imāhaṃ nissajjāmī’’ti nissajjitvāti vuttaṃ hoti.

    อาปตฺติ เทเสตพฺพาวาติ อตฺตนา เอว อาปนฺนํ นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ ตสฺมิํ สงฺฆมเชฺฌ เอวเมว นิสีทิตฺวา เทเสตพฺพาฯ เอวํ เทสิตา อาปตฺติ สงฺฆานุมเตน พฺยเตฺตน ปฎิพเลน ภิกฺขุนา ปฎิคฺคเหตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน อาปตฺติ ปฎิคฺคเหตพฺพา’’ติ (ปารา. ๕๘๔)ฯ

    Āpattidesetabbāvāti attanā eva āpannaṃ nissaggiyaṃ pācittiyaṃ tasmiṃ saṅghamajjhe evameva nisīditvā desetabbā. Evaṃ desitā āpatti saṅghānumatena byattena paṭibalena bhikkhunā paṭiggahetabbā. Vuttañhetaṃ ‘‘byattena bhikkhunā paṭibalena āpatti paṭiggahetabbā’’ti (pārā. 584).

    ๖๙๙. รชตนฺติ รูปิยํฯ ชาตรูปนฺติ สุวณฺณํฯ อิมินา ปททฺวเยน กตากตํ สพฺพํ สงฺคณฺหาติฯ อุภินฺนํ มาสโกติ ชาตรูปมาสโก, รชตมาสโกปิ จาติ วุตฺตํ โหติฯ อิธ รชตมาสโกติ ‘‘รชต’’นฺติ ปทภาชเน (ปารา. ๕๘๔) วุตฺตกหาปณาทิ ปญฺจปฺปกาโร มาสโก คหิโตฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘วุตฺตปฺปกาโร สโพฺพปิ รชตมาสโก’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๘๓-๕๘๔)ฯ อิธ ‘‘ชาตรูปมาสโก’’ติ วิสุํ คหิตตฺตา กหาปณปเทน สุวณฺณกหาปณํ วเชฺชตฺวา อิตรทฺวยเมว วตฺตพฺพํฯ ‘‘นิสฺสคฺคิยาวห’’นฺติ อิทํ อตฺตโน อตฺถาย อุคฺคณฺหนอุคฺคณฺหาปนสาทิยนานิ กโรนฺตํ สนฺธายาหฯ ‘‘ตตฺถา’’ติอาทินา วกฺขมานนเยน ทุกฺกฎาวหญฺจ โหเตวฯ

    699.Rajatanti rūpiyaṃ. Jātarūpanti suvaṇṇaṃ. Iminā padadvayena katākataṃ sabbaṃ saṅgaṇhāti. Ubhinnaṃ māsakoti jātarūpamāsako, rajatamāsakopi cāti vuttaṃ hoti. Idha rajatamāsakoti ‘‘rajata’’nti padabhājane (pārā. 584) vuttakahāpaṇādi pañcappakāro māsako gahito. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘vuttappakāro sabbopi rajatamāsako’’ti (pārā. aṭṭha. 2.583-584). Idha ‘‘jātarūpamāsako’’ti visuṃ gahitattā kahāpaṇapadena suvaṇṇakahāpaṇaṃ vajjetvā itaradvayameva vattabbaṃ. ‘‘Nissaggiyāvaha’’nti idaṃ attano atthāya uggaṇhanauggaṇhāpanasādiyanāni karontaṃ sandhāyāha. ‘‘Tatthā’’tiādinā vakkhamānanayena dukkaṭāvahañca hoteva.

    ๗๐๐-๑. มุตฺตาทีนํ อิมสฺมิํ สิกฺขาปทวิภเงฺค อวุตฺตเตฺตปิ ปาจิตฺติยกเณฺฑ นวมวเคฺค ทุติยสฺส รตนสิกฺขาปทสฺส ปทภาชเน ‘‘รตนํ นาม มุตฺตา มณิ เวฬุริโย สโงฺข สิลา ปวาลํ รชตํ ชาตรูปํ โลหิตโงฺก มสารคลฺล’’นฺติ (ปาจิ. ๕๐๖) วุตฺตานํ ทสนฺนํ รตนานํ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท นิสฺสคฺคิยวตฺถุํ กตฺวา วุตฺตํ รชตํ, ชาตรูปญฺจ วเชฺชตฺวา อวสิฎฺฐานํ อฎฺฐนฺนํ รตนานํ ทุกฺกฎวตฺถุภาโว อิมสฺส อฎฺฐกถายํ ววตฺถาปิโตติ ทสฺสนตฺถมาห ‘‘มุตฺตา…เป.… มสารคลฺล’’นฺติฯ เอตฺถ เวฬุริโย คาถาพนฺธวเสน น วุโตฺต , โส เอกโยคนิทฺทิฎฺฐานํ สตฺตนฺนํ รตนานํ คหเณเนว คยฺหติฯ มุตฺตาทโย ยถาทสฺสิตสรูปาเยวฯ พฺรหฺมชาลาทิสุตฺตนฺตวเสนาปิ ‘‘อกปฺปิยา’’ติ สิทฺธานํ สตฺตธญฺญาทีนํ ปฎิคฺคหเณ อาปตฺติํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ธญฺญานี’’ติอาทิฯ

    700-1.Muttādīnaṃ imasmiṃ sikkhāpadavibhaṅge avuttattepi pācittiyakaṇḍe navamavagge dutiyassa ratanasikkhāpadassa padabhājane ‘‘ratanaṃ nāma muttā maṇi veḷuriyo saṅkho silā pavālaṃ rajataṃ jātarūpaṃ lohitaṅko masāragalla’’nti (pāci. 506) vuttānaṃ dasannaṃ ratanānaṃ imasmiṃ sikkhāpade nissaggiyavatthuṃ katvā vuttaṃ rajataṃ, jātarūpañca vajjetvā avasiṭṭhānaṃ aṭṭhannaṃ ratanānaṃ dukkaṭavatthubhāvo imassa aṭṭhakathāyaṃ vavatthāpitoti dassanatthamāha ‘‘muttā…pe… masāragalla’’nti. Ettha veḷuriyo gāthābandhavasena na vutto , so ekayoganiddiṭṭhānaṃ sattannaṃ ratanānaṃ gahaṇeneva gayhati. Muttādayo yathādassitasarūpāyeva. Brahmajālādisuttantavasenāpi ‘‘akappiyā’’ti siddhānaṃ sattadhaññādīnaṃ paṭiggahaṇe āpattiṃ dassetumāha ‘‘dhaññānī’’tiādi.

    ๗๐๒. รตนสิกฺขาปเทเยว ‘‘รตนสมฺมต’’นฺติ อาคตํ กปฺปิยวตฺถุํ ปฎิคฺคณฺหโต อนาปตฺติภาวํ ทเสฺสตุมาห ‘‘มุคฺคมาสาทิก’’นฺติอาทิฯ

    702.Ratanasikkhāpadeyeva ‘‘ratanasammata’’nti āgataṃ kappiyavatthuṃ paṭiggaṇhato anāpattibhāvaṃ dassetumāha ‘‘muggamāsādika’’ntiādi.

    ๗๐๓-๔. เอวํ ติปฺปกาเรน ฐิตํ วตฺถุํ คณฺหโต อธิปฺปายนานเตฺตน สมฺภวนฺตํ อาปตฺติปฺปเภทํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิฯ ตตฺถาติ เตสุ ตีสุ นิสฺสคฺคิยาทิวตฺถูสุฯ สงฺฆาทีนนฺติ สงฺฆคณปุคฺคลเจติยาทีนํฯ นฺติ นิสฺสคฺคิยวตฺถุํฯ สพฺพตฺถายาติ สเพฺพสํ อตฺถายาติ วิคฺคโหฯ อตฺตโน อตฺถาย จ สงฺฆาทีนมตฺถาย จ ทุกฺกฎวตฺถุํ คณฺหนฺตสฺสาปิ ทุกฺกฎเมว โหตีติ อโตฺถฯ อวุตฺตสมุจฺจเยเนตฺถ -สเทฺทน ‘‘สพฺพมฺปิ นิกฺขิปนตฺถาย ภณฺฑาคาริกสีเสน สมฺปฎิจฺฉโต อุปริ รตนสิกฺขาปเท อาคตวเสน ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๘๓-๕๘๔) อฎฺฐกถาย วุตฺตวินิจฺฉยวิเสสสฺส สงฺคโห กโตฯ

    703-4. Evaṃ tippakārena ṭhitaṃ vatthuṃ gaṇhato adhippāyanānattena sambhavantaṃ āpattippabhedaṃ dassetumāha ‘‘tatthā’’tiādi. Tatthāti tesu tīsu nissaggiyādivatthūsu. Saṅghādīnanti saṅghagaṇapuggalacetiyādīnaṃ. Tanti nissaggiyavatthuṃ. Sabbatthāyāti sabbesaṃ atthāyāti viggaho. Attano atthāya ca saṅghādīnamatthāya ca dukkaṭavatthuṃ gaṇhantassāpi dukkaṭameva hotīti attho. Avuttasamuccayenettha ca-saddena ‘‘sabbampi nikkhipanatthāya bhaṇḍāgārikasīsena sampaṭicchato upari ratanasikkhāpade āgatavasena pācittiya’’nti (pārā. aṭṭha. 2.583-584) aṭṭhakathāya vuttavinicchayavisesassa saṅgaho kato.

    ๗๐๕. กหาปณาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน สุวณฺณาทีนํ สงฺคโหฯ ‘‘สหสฺส’’นฺติ อิทํ อุปลกฺขณํ, สหสฺสมฺปีติ วุตฺตํ โหติฯ

    705.Kahāpaṇādīnanti ādi-saddena suvaṇṇādīnaṃ saṅgaho. ‘‘Sahassa’’nti idaṃ upalakkhaṇaṃ, sahassampīti vuttaṃ hoti.

    ๗๐๖. ถวิกาทีสูติ อาทิ-สเทฺทน สิถิลปูริตานิ ภาชนานิ คหิตานิฯ ‘‘สิถิลพเทฺธสู’’ติ วิเสสเนน พฺยติเรกวเสน ‘‘ฆนพเทฺธ, ปน ฆนปูริเต วา เอกาว อาปตฺตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๘๓-๕๘๔) อฎฺฐกถาเสสํ ทีเปติฯ

    706.Thavikādīsūti ādi-saddena sithilapūritāni bhājanāni gahitāni. ‘‘Sithilabaddhesū’’ti visesanena byatirekavasena ‘‘ghanabaddhe, pana ghanapūrite vā ekāva āpattī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.583-584) aṭṭhakathāsesaṃ dīpeti.

    ๗๐๗. อุปนิกฺขิตฺตสาทิยนกมฺมํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อิท’’นฺติอาทิฯ คณฺหิตุกาโมปีติ เอตฺถ ‘‘โหตู’’ติ เสโสฯ นิเสเธตพฺพเมวาติ กาเยน วา วาจาย วา ‘‘อิทํ น กปฺปตี’’ติ ปฎิกฺขิปิตพฺพเมว, เอวํ สติ อนาปตฺติเยวาติ อโตฺถฯ อยมโตฺถ อฎฺฐกถายํ ‘‘กายวาจาหิ วา อปฺปฎิกฺขิปิตฺวาปิ สุทฺธจิโตฺต หุตฺวา ‘นยิทํ อมฺหากํ กปฺปตี’ติ น สาทิยติ, อนาปตฺติเยวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๘๓-๕๘๔) อาคโตเยวฯ

    707. Upanikkhittasādiyanakammaṃ dassetumāha ‘‘ida’’ntiādi. Gaṇhitukāmopīti ettha ‘‘hotū’’ti seso. Nisedhetabbamevāti kāyena vā vācāya vā ‘‘idaṃ na kappatī’’ti paṭikkhipitabbameva, evaṃ sati anāpattiyevāti attho. Ayamattho aṭṭhakathāyaṃ ‘‘kāyavācāhi vā appaṭikkhipitvāpi suddhacitto hutvā ‘nayidaṃ amhākaṃ kappatī’ti na sādiyati, anāpattiyevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.583-584) āgatoyeva.

    ๗๐๘. ตํ วตฺถุนฺติ ตถา ปฎิกฺขิตฺตํ วตฺถุํฯ ฐเปตฺวา ยทิ คจฺฉตีติ ‘‘ตุเมฺห คณฺหถ วา, มา วา, ทินฺนํ ทินฺนเมวา’’ติ สเจ โส ฐเปตฺวาว คจฺฉติฯ ยถา ตํ น วินสฺสติ, ตถา ตํ โคปยิตพฺพนฺติ โยชนาฯ ‘‘อโญฺญ ตตฺถ อาคนฺตฺวา ปุจฺฉตี’’ติอาทินา อฎฺฐกถาย วุตฺตนเยน ตตฺถาคเตน กปฺปิยการเกน ‘‘กิมิท’’นฺติ ปุจฺฉิเต สรูปํ อาวิ กตฺวา ‘‘โคปยิสฺสามหํ ภเนฺต, คุตฺตฎฺฐานํ ทเสฺสถา’’ติ วุเตฺต ‘‘อิมํ คเหตฺวา เอหี’’ติ อวตฺวา สตฺตภูมิกมฺปิ ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา ‘‘อิธ ฐเปหี’’ติ อวตฺวา ‘‘อิทํ คุตฺตฎฺฐาน’’นฺติ สุรกฺขิตฎฺฐานํ ทเสฺสตฺวา ตตฺถ ฐปิเต อคฺคฬํ ทตฺวา รกฺขิตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    708.Taṃvatthunti tathā paṭikkhittaṃ vatthuṃ. Ṭhapetvā yadi gacchatīti ‘‘tumhe gaṇhatha vā, mā vā, dinnaṃ dinnamevā’’ti sace so ṭhapetvāva gacchati. Yathā taṃ na vinassati, tathā taṃ gopayitabbanti yojanā. ‘‘Añño tattha āgantvā pucchatī’’tiādinā aṭṭhakathāya vuttanayena tatthāgatena kappiyakārakena ‘‘kimida’’nti pucchite sarūpaṃ āvi katvā ‘‘gopayissāmahaṃ bhante, guttaṭṭhānaṃ dassethā’’ti vutte ‘‘imaṃ gahetvā ehī’’ti avatvā sattabhūmikampi pāsādaṃ abhiruhitvā ‘‘idha ṭhapehī’’ti avatvā ‘‘idaṃ guttaṭṭhāna’’nti surakkhitaṭṭhānaṃ dassetvā tattha ṭhapite aggaḷaṃ datvā rakkhitabbanti vuttaṃ hoti.

    ๗๐๙. คุตฺตฎฺฐานํ คเหตฺวา คจฺฉนฺตสฺส กปฺปิยการกสฺส อวตฺตพฺพโวหารํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อาหเรทมิท’’นฺติอาทิฯ อกปฺปิยนฺติ เอตฺถ ‘‘วจน’’นฺติ ลพฺภติฯ เอวํ อกปฺปิยวจนํ อวตฺวา สุรกฺขิตฎฺฐาเน อาหริตฺวา ฐปิเต กิํ กาตพฺพนฺติ? วิกฺกายิเก ปตฺตจีวราทิกปฺปิยภเณฺฑ อาหเฎ ‘‘อมฺหากํ อิมินา อโตฺถ, อิมสฺส เอวรูปํ มูลมฺปิ อตฺถิ, กปฺปิยการโก เอว นตฺถี’’ติ วตฺวา เตน ‘‘อหํ กปฺปิยการโก, มยฺหํ ทเสฺสถา’’ติ วุเตฺต สเจ รุจฺจติ, ทฺวารํ วิวริตฺวา ‘‘อิทํ คณฺหา’’ติ อวตฺวา ‘‘เอตฺถ ฐปิต’’นฺติ ทเสฺสตฺวา ตสฺมิํ ตสฺส อคฺฆปฺปมาณํ คเหตฺวา เทเนฺต อธิวาเสตพฺพํฯ อติเรกํ คณฺหเนฺต ‘‘มยํ ตุมฺหากํ ภณฺฑํ น คณฺหาม, คจฺฉถา’’ติ นีหริตฺวา อคฺคฬํ ทตฺวา กปฺปิยการเก ลเทฺธ ‘‘อมฺหากํ เอวรูเปน อโตฺถ, อิทํ นาม มูลํ อตฺถี’’ติ วตฺวา เตน กิณิตฺวา ทิเนฺน อธิวาเสตพฺพนฺติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยน ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ

    709. Guttaṭṭhānaṃ gahetvā gacchantassa kappiyakārakassa avattabbavohāraṃ dassetumāha ‘‘āharedamida’’ntiādi. Akappiyanti ettha ‘‘vacana’’nti labbhati. Evaṃ akappiyavacanaṃ avatvā surakkhitaṭṭhāne āharitvā ṭhapite kiṃ kātabbanti? Vikkāyike pattacīvarādikappiyabhaṇḍe āhaṭe ‘‘amhākaṃ iminā attho, imassa evarūpaṃ mūlampi atthi, kappiyakārako eva natthī’’ti vatvā tena ‘‘ahaṃ kappiyakārako, mayhaṃ dassethā’’ti vutte sace ruccati, dvāraṃ vivaritvā ‘‘idaṃ gaṇhā’’ti avatvā ‘‘ettha ṭhapita’’nti dassetvā tasmiṃ tassa agghappamāṇaṃ gahetvā dente adhivāsetabbaṃ. Atirekaṃ gaṇhante ‘‘mayaṃ tumhākaṃ bhaṇḍaṃ na gaṇhāma, gacchathā’’ti nīharitvā aggaḷaṃ datvā kappiyakārake laddhe ‘‘amhākaṃ evarūpena attho, idaṃ nāma mūlaṃ atthī’’ti vatvā tena kiṇitvā dinne adhivāsetabbanti aṭṭhakathāyaṃ vuttanayena paṭipajjitabbaṃ.

    ๗๑๐. ฐเปตฺวา รูปิยคฺคาหนฺติ อนนฺตรสิกฺขาปเท วกฺขมานสรูปํ สุวณฺณาทิรูปิยํ ปฎิคฺคเหตฺวา นิสฺสชฺชิตฺวา เทสิตาปตฺติกํ ปุคฺคลํ ฐเปตฺวาฯ นิสฺสฎฺฐปริวตฺติตนฺติ เอตฺถ นิสฺสชฺชิตฺวา อาปตฺติยา เทสิตาย ‘‘สเจ ตตฺถ อาคจฺฉติ อารามิโก วา อุปาสโก วา’’ติอาทินา (ปารา. ๕๘๔) ปทภาชเน วุตฺตนเยน ตตฺถาคตํ กปฺปิยการกํ ‘‘อาวุโส อิมํ ชานา’’ติ วตฺวา ‘‘อิมินา กิํ อาหริยฺยตู’’ติ เตน วุเตฺต ‘‘อิมํ วา อิมํ วา อาหรา’’ติ อวตฺวา ‘‘กปฺปิยํ อาจิกฺขิตพฺพํ สปฺปิ วา เตลํ วา มธุ วา ผาณิตํ วา’’ติ (ปารา. ๕๘๔) วุตฺตตฺตา ภิกฺขูนํ กปฺปิยวตฺถุมเตฺต อาจิกฺขิเต เตน นิสฺสฎฺฐวตฺถุํ ปริวเตฺตตฺวา อาหฎํ กปฺปิยภณฺฑนฺติ อโตฺถฯ

    710.Ṭhapetvā rūpiyaggāhanti anantarasikkhāpade vakkhamānasarūpaṃ suvaṇṇādirūpiyaṃ paṭiggahetvā nissajjitvā desitāpattikaṃ puggalaṃ ṭhapetvā. Nissaṭṭhaparivattitanti ettha nissajjitvā āpattiyā desitāya ‘‘sace tattha āgacchati ārāmiko vā upāsako vā’’tiādinā (pārā. 584) padabhājane vuttanayena tatthāgataṃ kappiyakārakaṃ ‘‘āvuso imaṃ jānā’’ti vatvā ‘‘iminā kiṃ āhariyyatū’’ti tena vutte ‘‘imaṃ vā imaṃ vā āharā’’ti avatvā ‘‘kappiyaṃ ācikkhitabbaṃ sappi vā telaṃ vā madhu vā phāṇitaṃ vā’’ti (pārā. 584) vuttattā bhikkhūnaṃ kappiyavatthumatte ācikkhite tena nissaṭṭhavatthuṃ parivattetvā āhaṭaṃ kappiyabhaṇḍanti attho.

    ๗๑๑. อตฺตโน ปตฺตภาคมฺปีติ ตถา อาหเฎ กปฺปิยภเณฺฑ สงฺฆสฺส ภาชิยมาเน อตฺตโน วสฺสเคฺคน อตฺตโน ปตฺตโกฎฺฐาสมฺปิฯ ปฎิคฺคาหกภิกฺขุโนติ รูปิยํ ปฎิคฺคเหตฺวา อาปชฺชิตฺวา นิสฺสชฺชิตฺวา เทสิตาปตฺติกสฺส ภิกฺขุโน น วฎฺฎตีติ สมฺพโนฺธฯ อญฺญโตติ อตฺตโต อญฺญสฺมา ปพฺพชิตมนุสฺสามนุสฺสติรจฺฉานคติตฺถิปุริสานํ อญฺญตรโตฯ ลทฺธนฺติ เตหิ อตฺตนา ลทฺธโกฎฺฐาสโต ทินฺนวเสนปิ ลทฺธํ ตํ วตฺถุํฯ

    711.Attanopattabhāgampīti tathā āhaṭe kappiyabhaṇḍe saṅghassa bhājiyamāne attano vassaggena attano pattakoṭṭhāsampi. Paṭiggāhakabhikkhunoti rūpiyaṃ paṭiggahetvā āpajjitvā nissajjitvā desitāpattikassa bhikkhuno na vaṭṭatīti sambandho. Aññatoti attato aññasmā pabbajitamanussāmanussatiracchānagatitthipurisānaṃ aññatarato. Laddhanti tehi attanā laddhakoṭṭhāsato dinnavasenapi laddhaṃ taṃ vatthuṃ.

    ๗๑๒. ยํ กิญฺจิ ปจฺจยนฺติ ตํ วตฺถุํ ปริวเตฺตตฺวา คหิเตสุ จตูสุ ปจฺจเยสุ อญฺญตรมฺปิ ปจฺจยํฯ อนฺตมโส ปถวิํ ขณิตฺวา อุปฺปาทิโตทกมฺปิ ทารูหิ อาทิตฺตอคฺคิมฺปิ เตเลน ชลิตปทีปมฺปิ รุเกฺข วา เคเห วา ปกติฉายมฺปิ ตาลปณฺณมฺปิ อุปโภคปริโภคารหํ อญฺญมฺปิ ยํ กิญฺจีติ อฎฺฐกถาย วุตฺตนยํ อิมินาว สงฺคหิตนฺติ คเหตพฺพํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อนฺตมโส มกฺกฎาทีหิ ตโต หริตฺวา อรเญฺญ ฐปิตํ วา เตสํ หตฺถโต คฬิตฺวา ติรจฺฉานปริคฺคหิตมฺปิ ปํสุกูลมฺปิ น วฎฺฎติเยวา’’ติอาทิ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๘๓-๕๘๔), ‘‘รูปิยปฎิคฺคาหกสฺส ปน เกนจิ ปริยาเยน ตโต อุปฺปนฺนปจฺจยปริโภโค น วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๘๕) จาติฯ ภิกฺขุโนติ รูปิยปฎิคฺคาหกสฺส ภิกฺขุสฺสฯ

    712.Yaṃ kiñci paccayanti taṃ vatthuṃ parivattetvā gahitesu catūsu paccayesu aññatarampi paccayaṃ. Antamaso pathaviṃ khaṇitvā uppāditodakampi dārūhi ādittaaggimpi telena jalitapadīpampi rukkhe vā gehe vā pakatichāyampi tālapaṇṇampi upabhogaparibhogārahaṃ aññampi yaṃ kiñcīti aṭṭhakathāya vuttanayaṃ imināva saṅgahitanti gahetabbaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘antamaso makkaṭādīhi tato haritvā araññe ṭhapitaṃ vā tesaṃ hatthato gaḷitvā tiracchānapariggahitampi paṃsukūlampi na vaṭṭatiyevā’’tiādi (pārā. aṭṭha. 2.583-584), ‘‘rūpiyapaṭiggāhakassa pana kenaci pariyāyena tato uppannapaccayaparibhogo na vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.585) cāti. Bhikkhunoti rūpiyapaṭiggāhakassa bhikkhussa.

    ๗๑๓. อชฺฌาราเม วาติ อุปริ วกฺขมานลกฺขเณน ปริจฺฉิเนฺน อชฺฌาราเม วาฯ ตํ รูปิยํ, ‘‘ปติตํ ทิสฺวา’’ติ เสโสฯ อชฺฌาวสเถปิ วาติ วกฺขมานลกฺขเณ อโนฺตอาวาเส จฯ นิกฺขิปนฺตสฺสาติ ‘‘ยสฺส ภวิสฺสติ, โส หริสฺสตี’’ติ วุเตฺต ฐาเน ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ คณนญฺจ อุปลกฺขณญฺจ สลฺลเกฺขตฺวา ฐเปนฺตสฺสฯ

    713.Ajjhārāme vāti upari vakkhamānalakkhaṇena paricchinne ajjhārāme vā. Taṃ rūpiyaṃ, ‘‘patitaṃ disvā’’ti seso. Ajjhāvasathepi vāti vakkhamānalakkhaṇe antoāvāse ca. Nikkhipantassāti ‘‘yassa bhavissati, so harissatī’’ti vutte ṭhāne tasmiṃ vatthusmiṃ gaṇanañca upalakkhaṇañca sallakkhetvā ṭhapentassa.

    ๗๑๔. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘รูปิเย รูปิยสญฺญี, เวมติโก, อรูปิยสญฺญี รูปิยํ ปฎิคฺคณฺหาติ, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปารา. ๕๘๖) ภควตา ปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ ทุกฺกฎนฺติ เอตฺถ ‘‘ทฺวิกทุกฺกฎ’’นฺติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ

    714.Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘rūpiye rūpiyasaññī, vematiko, arūpiyasaññī rūpiyaṃ paṭiggaṇhāti, nissaggiyaṃ pācittiya’’nti (pārā. 586) bhagavatā pācittiyaṃ vuttaṃ. Dukkaṭanti ettha ‘‘dvikadukkaṭa’’nti sāmatthiyā labbhati.

    ๗๑๕. กฺริยากฺริยนฺติ คหเณน อาปชฺชนโต กิริยํฯ ปฎิเกฺขปสฺส อกรณโต อกิริยนฺติฯ

    715.Kriyākriyanti gahaṇena āpajjanato kiriyaṃ. Paṭikkhepassa akaraṇato akiriyanti.

    รูปิยปฎิคฺคหณกถาวณฺณนาฯ

    Rūpiyapaṭiggahaṇakathāvaṇṇanā.

    ๗๑๖-๗. นิสฺสคฺคิยสฺสาปิ วตฺถุนฺติ ‘‘นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยสฺส วตฺถู’’ติ ปฐมสิกฺขาปเท นิทฺทิเฎฺฐสุ รชตาทีสุ จตูสุ อญฺญตรํ วตฺถุํฯ ทุกฺกฎสฺส จ วตฺถุํ วาติ ปฐมํ ทสฺสิตมุตฺตาทิทุกฺกฎวตฺถูสุ อญฺญตรํ วา, อิโหภยตฺถ เหตุผลสมฺพเนฺธ สามิวจนํฯ กปฺปิยสฺส จ วตฺถุํ วาติ ยถาทสฺสิเตสุ เอว มุคฺคมาสาทิกปฺปิยวตฺถูสุ อญฺญตรํ วา, อิห อวยวาวยวิสมฺพเนฺธ สามิวจนํฯ อวยวาวยวีนํ อเภเทปิ เภทูปจารวเสน ยถา ‘‘สิลาปุตฺตกสฺส สรีร’’นฺติ กปฺปิยวตฺถุนฺติ วุตฺตํ โหติ ‘‘กปฺปิเยน วตฺถุนา’’ติ วกฺขมานตฺตาฯ อิทาเนตฺถ ทุกฺกฎวตฺถุโน, กปฺปิยวตฺถุโน จ นิสฺสคฺคิยวตฺถุนา ปริวตฺติตตฺตา อาปตฺติ โหตีติ คเหตพฺพํฯ นิสฺสคฺคิยวตฺถุนา โย ปริวเตฺตติ, ตสฺส อาปตฺตีติ โยชนาฯ

    716-7.Nissaggiyassāpivatthunti ‘‘nissaggiyapācittiyassa vatthū’’ti paṭhamasikkhāpade niddiṭṭhesu rajatādīsu catūsu aññataraṃ vatthuṃ. Dukkaṭassa ca vatthuṃ vāti paṭhamaṃ dassitamuttādidukkaṭavatthūsu aññataraṃ vā, ihobhayattha hetuphalasambandhe sāmivacanaṃ. Kappiyassa ca vatthuṃ vāti yathādassitesu eva muggamāsādikappiyavatthūsu aññataraṃ vā, iha avayavāvayavisambandhe sāmivacanaṃ. Avayavāvayavīnaṃ abhedepi bhedūpacāravasena yathā ‘‘silāputtakassa sarīra’’nti kappiyavatthunti vuttaṃ hoti ‘‘kappiyena vatthunā’’ti vakkhamānattā. Idānettha dukkaṭavatthuno, kappiyavatthuno ca nissaggiyavatthunā parivattitattā āpatti hotīti gahetabbaṃ. Nissaggiyavatthunā yo parivatteti, tassa āpattīti yojanā.

    ทุกฺกฎสฺส วตฺถุนา, กปฺปิเยน จ วตฺถุนา วตฺถุํ นิสฺสคฺคิยสฺส ปริวเตฺตติ, อาปตฺตีติ โยชนาฯ อิธ อุภยตฺถาปิ ปริวตฺติตสฺส นิสฺสคฺคิยวตฺถุตฺตา อาปตฺติ โหติฯ เอวํ ตีสุปิ ฐาเนสุ ‘‘อาปตฺตี’’ติ สามญฺญวจเนน นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยเมว วุตฺตนฺติ ปกรณโต ลพฺภติฯ

    Dukkaṭassa vatthunā, kappiyena ca vatthunā vatthuṃ nissaggiyassa parivatteti, āpattīti yojanā. Idha ubhayatthāpi parivattitassa nissaggiyavatthuttā āpatti hoti. Evaṃ tīsupi ṭhānesu ‘‘āpattī’’ti sāmaññavacanena nissaggiyapācittiyameva vuttanti pakaraṇato labbhati.

    ๗๑๘. ทุกฺกฎเสฺสว วตฺถุนา ทุกฺกฎสฺส จ วตฺถุํ วา ปริวเตฺตติ, ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ ‘‘วตฺถุํ วา กปฺปิยสฺสา’’ติ อิทํ วุตฺตนยเมว, กปฺปิยวตฺถุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อิมสฺส กปฺปิยวตฺถุโนปิ ทุกฺกฎวตฺถุนา ปริวตฺติตตฺตา ทุกฺกฎํ โหตีติ คเหตพฺพํฯ

    718. Dukkaṭasseva vatthunā dukkaṭassa ca vatthuṃ vā parivatteti, dukkaṭanti yojanā. ‘‘Vatthuṃ vā kappiyassā’’ti idaṃ vuttanayameva, kappiyavatthunti vuttaṃ hoti. Imassa kappiyavatthunopi dukkaṭavatthunā parivattitattā dukkaṭaṃ hotīti gahetabbaṃ.

    ๗๑๙. ‘‘วตฺถุนา กปฺปิยสฺสา’’ติ อิทมฺปิ วุตฺตนยเมวฯ กปฺปิยวตฺถุนาปิ ปริวตฺติเต ทุกฺกฎวตฺถุวเสน ทุกฺกฎํ โหตีติ อาห ‘‘ตถา’’ติฯ

    719.‘‘Vatthunā kappiyassā’’ti idampi vuttanayameva. Kappiyavatthunāpi parivattite dukkaṭavatthuvasena dukkaṭaṃ hotīti āha ‘‘tathā’’ti.

    ๗๒๐. ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘วตฺถุโน’’ติ อิทํ อากฑฺฒติฯ ‘‘นิสฺสคฺคิยสฺสา’’ติ อิมินา ปาจิตฺติยมาหฯ ปุพฺพนฺติ ปฐมํ, ปุเพฺพ วุตฺตรูปิยปฎิคฺคหณสิกฺขาปเทติ วุตฺตํ โหติฯ อิมินาติ รูปิยสํโวหารสิกฺขาปเทนฯ ปริวตฺตนํ วาริตนฺติ สมฺพโนฺธฯ

    720. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘vatthuno’’ti idaṃ ākaḍḍhati. ‘‘Nissaggiyassā’’ti iminā pācittiyamāha. Pubbanti paṭhamaṃ, pubbe vuttarūpiyapaṭiggahaṇasikkhāpadeti vuttaṃ hoti. Imināti rūpiyasaṃvohārasikkhāpadena. Parivattanaṃ vāritanti sambandho.

    ๗๒๑. รูปิยนฺติ จ สญฺญิสฺสาติ ‘‘รูปิยํ นาม สตฺถุวโณฺณ กหาปโณ โลหมาสโก ทารุมาสโก ชตุมาสโก, เย โวหารํ คจฺฉนฺตี’’ติ (ปารา. ๕๘๙) ปทภาชเน วุเตฺตสุ รูปิยสญฺญิเตสุ วตฺถูสุ ‘‘อญฺญตร’’นฺติ สญฺญิสฺสฯ อรูปิเยติ ขรปตฺตาทิมฺหิฯ เตน อรูปิเยนฯ ‘‘เจตาเปนฺตสฺส อรูปิย’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ ‘‘อรูปิเย รูปิยสญฺญี รูปิยํ เจตาเปติ , นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปารา. ๕๙๑) วุตฺตตฺตา รูปิยปริวตฺตเน ทุกฺกฎสฺส อภาวโต, ปาจิตฺติยสฺส จ สมฺภวโต รูปิยํ น คเหตพฺพํฯ อรูปิเย รูปิยํ อิติ สญฺญิสฺส จ วิมติสฺส จ อรูปิยํ เจตาเปนฺตสฺส เตน เทฺว ทุกฺกฎานิ โหนฺตีติ โยชนาฯ

    721.Rūpiyanti ca saññissāti ‘‘rūpiyaṃ nāma satthuvaṇṇo kahāpaṇo lohamāsako dārumāsako jatumāsako, ye vohāraṃ gacchantī’’ti (pārā. 589) padabhājane vuttesu rūpiyasaññitesu vatthūsu ‘‘aññatara’’nti saññissa. Arūpiyeti kharapattādimhi. Tena arūpiyena. ‘‘Cetāpentassa arūpiya’’nti padacchedo. ‘‘Arūpiye rūpiyasaññī rūpiyaṃ cetāpeti , nissaggiyaṃ pācittiya’’nti (pārā. 591) vuttattā rūpiyaparivattane dukkaṭassa abhāvato, pācittiyassa ca sambhavato rūpiyaṃ na gahetabbaṃ. Arūpiye rūpiyaṃ iti saññissa ca vimatissa ca arūpiyaṃ cetāpentassa tena dve dukkaṭāni hontīti yojanā.

    ๗๒๒. อรูปิเย อรูปิยนฺติ สญฺญิสฺสาติ เอตฺถ ‘‘อรูปิยํ ปริวเตฺตนฺตสฺสา’’ติ เสโสฯ ปญฺจหีติ สหเตฺถ กรณวจนํ, ‘‘สหธมฺมิเกหี’’ติ เสโส, ปญฺจหิ สหธมฺมิเกหิ สทฺธินฺติ อโตฺถฯ วทโตติ โวหรโต, กยวิกฺกยํ กโรนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ ภิกฺขุภิกฺขุนิสามเณรสามเณริสิกฺขมานาสงฺขาเตหิ ปญฺจหิ สหธมฺมิเกหิ อรูปิยํ ปริวเตฺตนฺตสฺส อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ

    722.Arūpiye arūpiyanti saññissāti ettha ‘‘arūpiyaṃ parivattentassā’’ti seso. Pañcahīti sahatthe karaṇavacanaṃ, ‘‘sahadhammikehī’’ti seso, pañcahi sahadhammikehi saddhinti attho. Vadatoti voharato, kayavikkayaṃ karontassāti attho. Bhikkhubhikkhunisāmaṇerasāmaṇerisikkhamānāsaṅkhātehi pañcahi sahadhammikehi arūpiyaṃ parivattentassa anāpattīti attho.

    ๗๒๓. สํโวหาเรน สมุฎฺฐานโต กฺริยสมุฎฺฐานํ

    723. Saṃvohārena samuṭṭhānato kriyasamuṭṭhānaṃ.

    รูปิยสํโวหารกถาวณฺณนาฯ

    Rūpiyasaṃvohārakathāvaṇṇanā.

    ๗๒๔. กปฺปิยํ นาม ‘‘จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารา, อนฺตมโส จุณฺณปิโณฺฑปิ ทนฺตกฎฺฐมฺปิ ทสิกสุตฺตมฺปี’’ติ ปทภาชเน วุตฺตานิ กปฺปิยวตฺถูนิฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘จีวราทีนํ กปฺปิยภณฺฑานํ วเสน อเนกวิธ’’นฺติฯ กปฺปิเยเนวาติ เตเนว กปฺปิเยน วตฺถุนาฯ ‘‘กยวิกฺกยํ สมาปเชฺชยฺยาติ ‘อิมินา อิมํ เทหิ, อิมินา อิมํ อาหร, อิมินา อิมํ ปริวเตฺตหิ, อิมินา อิมํ เจตาเปหี’ติ อชฺฌาจรตี’’ติ (ปารา. ๕๙๕) วจนโต ‘‘ปริวตฺตยโต’’ติ อิมสฺส ‘‘กยวิกฺกยํ สมาปชฺชโต’’ติ ปริยาโยฯ

    724.Kappiyaṃ nāma ‘‘cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārā, antamaso cuṇṇapiṇḍopi dantakaṭṭhampi dasikasuttampī’’ti padabhājane vuttāni kappiyavatthūni. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘cīvarādīnaṃ kappiyabhaṇḍānaṃ vasena anekavidha’’nti. Kappiyenevāti teneva kappiyena vatthunā. ‘‘Kayavikkayaṃ samāpajjeyyāti ‘iminā imaṃ dehi, iminā imaṃ āhara, iminā imaṃ parivattehi, iminā imaṃ cetāpehī’ti ajjhācaratī’’ti (pārā. 595) vacanato ‘‘parivattayato’’ti imassa ‘‘kayavikkayaṃ samāpajjato’’ti pariyāyo.

    ตตฺถ อญฺญสฺส หตฺถโต กปฺปิยวตฺถุนา ปริวเตฺตตฺวา คหณํ กโย นามฯ อตฺตโน หตฺถโต กปฺปิยวตฺถุํ ปริวเตฺตตฺวา ทานํ วิกฺกโยฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อิมินา อิมํ เทหี’ติอาทินา หิ นเยน ปรสฺส กปฺปิยภณฺฑํ คณฺหโนฺต กยํ สมาปชฺชติ, อตฺตโน กปฺปิยํ เทโนฺต วิกฺกย’’นฺติฯ ‘‘ฐเปตฺวา สหธมฺมิเก’’ติ วุตฺตตฺตา ปริวตฺตยโตติ เอตฺถ อเญฺญหิ สทฺธินฺติ ลพฺภติฯ เอตฺถ อเญฺญ นาม คิหิโน อิตฺถิปุริสา, สาสนโต พาหิรา ปพฺพชิตา จฯ ตสฺมา อยํ กยวิกฺกโย อนฺตมโส มาตาปิตูหิปิ น กาตโพฺพเยวฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อยญฺหิ กยวิกฺกโย ฐเปตฺวา ปญฺจ สหธมฺมิเก อวเสเสหิ คิหิปพฺพชิเตหิ อนฺตมโส มาตาปิตูหิปิ สทฺธิํ น วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๙๕)ฯ

    Tattha aññassa hatthato kappiyavatthunā parivattetvā gahaṇaṃ kayo nāma. Attano hatthato kappiyavatthuṃ parivattetvā dānaṃ vikkayo. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘iminā imaṃ dehī’tiādinā hi nayena parassa kappiyabhaṇḍaṃ gaṇhanto kayaṃ samāpajjati, attano kappiyaṃ dento vikkaya’’nti. ‘‘Ṭhapetvā sahadhammike’’ti vuttattā parivattayatoti ettha aññehi saddhinti labbhati. Ettha aññe nāma gihino itthipurisā, sāsanato bāhirā pabbajitā ca. Tasmā ayaṃ kayavikkayo antamaso mātāpitūhipi na kātabboyeva. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘ayañhi kayavikkayo ṭhapetvā pañca sahadhammike avasesehi gihipabbajitehi antamaso mātāpitūhipi saddhiṃ na vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.595).

    ๗๒๕. อกปฺปิยสฺส วตฺถุสฺสาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท วุตฺตจีวราทิกปฺปิยวตฺถุโต อญฺญสฺส นิสฺสคฺคิยทุกฺกฎวตฺถุสฺสฯ เตเนวาติ อกปฺปิยวตฺถุนาเยวฯ ‘‘กปฺปิยสฺส จา’’ติ ปาฐเสโส, เตเนว อกปฺปิเยน วตฺถุนา กปฺปิยสฺส วตฺถุสฺส ปริวตฺตนญฺจาติ โยชนาฯ เอวญฺหิ ปาฐเสเส อกเต อกปฺปิเยน วตฺถุนา กปฺปิยสฺส ปริวตฺตนํ กยวิกฺกเย สงฺคเหตพฺพํ สิยา, ตํ น ยุชฺชติ ตสฺส รูปิยสํโวหาเรเยว สงฺคหิตตฺตา, อิธ จ ‘‘กปฺปิยวตฺถุเสฺสว กปฺปิยวตฺถุนา ปริวตฺตนํ กยวิกฺกโย’’ติ นิยมิตตฺตาฯ นิทฺทิฎฺฐนฺติ ‘‘อกปฺปิยภณฺฑปริวตฺตนญฺหิ กยวิกฺกยสงฺคหํ น คจฺฉตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๙๔) อฎฺฐกถายํ นิทฺทิฎฺฐนฺติ อโตฺถฯ

    725.Akappiyassa vatthussāti imasmiṃ sikkhāpade vuttacīvarādikappiyavatthuto aññassa nissaggiyadukkaṭavatthussa. Tenevāti akappiyavatthunāyeva. ‘‘Kappiyassa cā’’ti pāṭhaseso, teneva akappiyena vatthunā kappiyassa vatthussa parivattanañcāti yojanā. Evañhi pāṭhasese akate akappiyena vatthunā kappiyassa parivattanaṃ kayavikkaye saṅgahetabbaṃ siyā, taṃ na yujjati tassa rūpiyasaṃvohāreyeva saṅgahitattā, idha ca ‘‘kappiyavatthusseva kappiyavatthunā parivattanaṃ kayavikkayo’’ti niyamitattā. Niddiṭṭhanti ‘‘akappiyabhaṇḍaparivattanañhi kayavikkayasaṅgahaṃ na gacchatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.594) aṭṭhakathāyaṃ niddiṭṭhanti attho.

    ๗๒๖. ตสฺมาติ ยสฺมา อญฺญตฺร สหธมฺมิเกหิ กปฺปิยวตฺถุสฺสาปิ กยวิกฺกโย น วฎฺฎติ, อกปฺปิยสฺส, กปฺปิยสฺส จ วตฺถุโน อกปฺปิเยเนว วตฺถุนา ปริวตฺตนญฺจ รูปิยสํโวหาเร สงฺคหิตตฺตา กยวิกฺกยสงฺคหํ น คจฺฉติ, ตสฺมาฯ

    726.Tasmāti yasmā aññatra sahadhammikehi kappiyavatthussāpi kayavikkayo na vaṭṭati, akappiyassa, kappiyassa ca vatthuno akappiyeneva vatthunā parivattanañca rūpiyasaṃvohāre saṅgahitattā kayavikkayasaṅgahaṃ na gacchati, tasmā.

    ๗๒๙. อิทํ นามาติ โอทนาทิกปฺปิยวตฺถุเมว อาหฯ

    729.Idaṃ nāmāti odanādikappiyavatthumeva āha.

    ๗๓๐-๑. ‘‘คเหตฺวา’’ติอาทิคาถาย วตฺถุลกฺขณสฺส อุทาหรณํ ทเสฺสตฺวาว อาปตฺติเภทํ ทเสฺสตุมาห ‘‘วิฆาสาท’’นฺติอาทิฯ ฉลฺลินฺติ รุกฺขตจํฯ วลฺลินฺติ ลตํฯ กฎฺฐนฺติ อินฺธนทารุํฯ ทารุนฺติ เคหสมฺภาราทิทารุํฯ วิปลฺลาเสนาปิ วตฺตพฺพํ ‘‘วลฺลิํ วา ปน ฉลฺลิํ วา, ทารุํ วา กฎฺฐเมว วา’’ติฯ วตฺถูนนฺติ ตถา วตฺวา อาหราปิตานํ ฉลฺลิอาทิวตฺถูนํฯ กยวิกฺกเย อาปตฺติโย โหนฺตีติ โยชนา, นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยาปตฺติโย โหนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    730-1. ‘‘Gahetvā’’tiādigāthāya vatthulakkhaṇassa udāharaṇaṃ dassetvāva āpattibhedaṃ dassetumāha ‘‘vighāsāda’’ntiādi. Challinti rukkhatacaṃ. Vallinti lataṃ. Kaṭṭhanti indhanadāruṃ. Dārunti gehasambhārādidāruṃ. Vipallāsenāpi vattabbaṃ ‘‘valliṃ vā pana challiṃ vā, dāruṃ vā kaṭṭhameva vā’’ti. Vatthūnanti tathā vatvā āharāpitānaṃ challiādivatthūnaṃ. Kayavikkaye āpattiyo hontīti yojanā, nissaggiyapācittiyāpattiyo hontīti vuttaṃ hoti.

    ๗๓๒. ‘‘อิติ เอวา’’ติ ปทเจฺฉโท, ‘‘ปิวิตฺวา’’ติอาทินา นเยน ปุพฺพกาเล วิหิตปจฺจยนฺตํ อกตฺวา วุตฺตนเยเนวาติ อโตฺถฯ

    732. ‘‘Iti evā’’ti padacchedo, ‘‘pivitvā’’tiādinā nayena pubbakāle vihitapaccayantaṃ akatvā vuttanayenevāti attho.

    ๗๓๓. ภูมิยา ลิมฺปเนติ โยชนายํ ปน เสนาสนภูมิยํ ปริภณฺฑกรณกาฬกาทิวณฺณกรณวเสน เลปเนฯ วตฺถุโธวเนติ จีวราทิวตฺถูนํ โธวเนฯ เอตฺถาติ เตสุ วุตฺตปฺปกาเรสุฯ เอเตสํ คหณสฺส อุปลกฺขณตฺตา เอวรูเปสุ อเญฺญสุ ฐาเนสุฯ

    733.Bhūmiyā limpaneti yojanāyaṃ pana senāsanabhūmiyaṃ paribhaṇḍakaraṇakāḷakādivaṇṇakaraṇavasena lepane. Vatthudhovaneti cīvarādivatthūnaṃ dhovane. Etthāti tesu vuttappakāresu. Etesaṃ gahaṇassa upalakkhaṇattā evarūpesu aññesu ṭhānesu.

    ๗๓๔. อยนฺติ ภูมิโสธนาทิวเสน อาปนฺนา ปาจิตฺติยาปตฺติฯ

    734.Ayanti bhūmisodhanādivasena āpannā pācittiyāpatti.

    ๗๓๕. ฐเปตฺวา ภณฺฑสามิกนฺติ เอตฺถ พฺยติเรกวเสน อญฺญสฺส กปฺปิยการสฺสาติ ลพฺภติฯ

    735.Ṭhapetvā bhaṇḍasāmikanti ettha byatirekavasena aññassa kappiyakārassāti labbhati.

    ๗๓๖. ภาสโต อนาปตฺตีติ โยชนาฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ

    736. Bhāsato anāpattīti yojanā. Sesamettha uttānameva.

    กยวิกฺกยกถาวณฺณนาฯ

    Kayavikkayakathāvaṇṇanā.

    โกสิยวโคฺค ทุติโยฯ

    Kosiyavaggo dutiyo.

    ๗๓๗. กปฺปิยา ปตฺตา มตฺติกาโยมยา ชาติโต ทุเวติ โยชนาฯ วณฺณาติ ปมาณานิฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ตโย ปตฺตสฺส วณฺณาติ ตีณิ ปตฺตสฺส ปมาณานี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๐๒)ฯ เตนาห ‘‘อุกฺกโฎฺฐ มชฺฌิโมมโก’’ติฯ

    737. Kappiyā pattā mattikāyomayā jātito duveti yojanā. Vaṇṇāti pamāṇāni. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tayo pattassa vaṇṇāti tīṇi pattassa pamāṇānī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.602). Tenāha ‘‘ukkaṭṭho majjhimomako’’ti.

    ๗๓๘. ทฺวินฺนํ ตณฺฑุลนาฬีนนฺติ สุโกฎฺฎิตานํ อขณฺฑานํ ปุราณสาลิตณฺฑุลานํ เทฺว นาฬิโย คเหตพฺพาฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อนุปหตปุราณสาลิตณฺฑุลานํ สุโกฎฺฎิตปริสุทฺธาน’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๐๒)ฯ ภตฺตนฺติ อวสฺสาวิตํ อนุตฺตณฺฑุลํ อกิลินฺนํ อปิณฺฑิตํ สุวิสทํ กุนฺทมกุลราสิสทิสํ สุปโกฺกทนเมว คเหตพฺพํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อนุตฺตณฺฑุลํ อกิลินฺนํ อปิณฺฑิตํ สุวิสทํ กุนฺทมกุลราสิสทิสํ อวสฺสาวิโตทน’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๐๒)ฯ มคธนาฬิยาติ มคธรเฎฺฐ นาฬิยา, สา นาฬิ ติลานํ อฎฺฐปสตานิ คณฺหาติฯ เตนาหุ โปราณา –

    738.Dvinnaṃ taṇḍulanāḷīnanti sukoṭṭitānaṃ akhaṇḍānaṃ purāṇasālitaṇḍulānaṃ dve nāḷiyo gahetabbā. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘anupahatapurāṇasālitaṇḍulānaṃ sukoṭṭitaparisuddhāna’’nti (pārā. aṭṭha. 2.602). Bhattanti avassāvitaṃ anuttaṇḍulaṃ akilinnaṃ apiṇḍitaṃ suvisadaṃ kundamakularāsisadisaṃ supakkodanameva gahetabbaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘anuttaṇḍulaṃ akilinnaṃ apiṇḍitaṃ suvisadaṃ kundamakularāsisadisaṃ avassāvitodana’’nti (pārā. aṭṭha. 2.602). Magadhanāḷiyāti magadharaṭṭhe nāḷiyā, sā nāḷi tilānaṃ aṭṭhapasatāni gaṇhāti. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘ขาริทสทฺวยํ วาโห, ขารี โทณฎฺฐกทฺวยํ;

    ‘‘Khāridasadvayaṃ vāho, khārī doṇaṭṭhakadvayaṃ;

    ทฺวิอฎฺฐนาฬิโย โทโณ, นาเฬกา ปสตฎฺฐกํ;

    Dviaṭṭhanāḷiyo doṇo, nāḷekā pasataṭṭhakaṃ;

    ลกฺขํ ติลานํ ปสตํ, เอตํ วุตฺตํ ปมาณโต’’ติฯ

    Lakkhaṃ tilānaṃ pasataṃ, etaṃ vuttaṃ pamāṇato’’ti.

    ‘‘มคธนาฬิ นาม อฑฺฒเตรสปลา โหตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๐๒) อนฺธกฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ ตพฺพณฺณนาย ‘‘อฑฺฒเตรสปลานิ มาเสหิ คเหตพฺพานี’’ติ วุตฺตํฯ เกจิ ปนาหุ –

    ‘‘Magadhanāḷi nāma aḍḍhaterasapalā hotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.602) andhakaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Tabbaṇṇanāya ‘‘aḍḍhaterasapalāni māsehi gahetabbānī’’ti vuttaṃ. Keci panāhu –

    ‘‘จตุปฺปสติกา มุฎฺฐิ, ปลเญฺจตํ จตุคฺคุณํ;

    ‘‘Catuppasatikā muṭṭhi, palañcetaṃ catugguṇaṃ;

    กุฑุวปฺปสตเญฺจว, จตฺตาริ เจว นาฬิ ตุฯ

    Kuḍuvappasatañceva, cattāri ceva nāḷi tu.

    ‘‘โสเยว ปโตฺถ จตฺตาโร, ปตฺถา อฬฺหกมุจฺจเต;

    ‘‘Soyeva pattho cattāro, patthā aḷhakamuccate;

    อฬฺหกานมฺปิ จตฺตาริ, ‘โทโณ’ติ ปริกิตฺติโต’’ติฯ

    Aḷhakānampi cattāri, ‘doṇo’ti parikittito’’ti.

    อาจริยา ปน ‘‘อฎฺฐปสตา มาคธนาฬี’’ติ ปุพฺพปกฺขเมว โรจยนฺติฯ

    Ācariyā pana ‘‘aṭṭhapasatā māgadhanāḷī’’ti pubbapakkhameva rocayanti.

    ขาทนญฺจ จตุพฺภาคนฺติ ตสฺมิํ ภเตฺต จตุธา วิภเตฺต เอกภาคมตฺตํ หตฺถหาริยฆนมุคฺคสูปนฺติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ตสฺส โอทนสฺส จตุตฺถภาคปฺปมาโณ นาติฆโน นาติตนุโก หตฺถหาริโย สพฺพสมฺภารสงฺขโต มุคฺคสูโป ปกฺขิปิตโพฺพ’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๐๒)ฯ

    Khādanañca catubbhāganti tasmiṃ bhatte catudhā vibhatte ekabhāgamattaṃ hatthahāriyaghanamuggasūpanti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tassa odanassa catutthabhāgappamāṇo nātighano nātitanuko hatthahāriyo sabbasambhārasaṅkhato muggasūpo pakkhipitabbo’’ti (pārā. aṭṭha. 2.602).

    พฺยญฺชนญฺจ ตทูปิยนฺติ ยาว จริมาโลปํ, ตาว สพฺพาโลปานุรูปํ มจฺฉมํสาทิพฺยญฺชนญฺจฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อาโลปสฺส อาโลปสฺส อนุรูปํ ยาวจริมาโลปปฺปโหนกํ มจฺฉมํสาทิพฺยญฺชนํ ปกฺขิปิตพฺพ’’นฺติฯ เอตฺถ จ อาโลปสฺส อาโลปสฺส อนุรูปนฺติ ‘‘พฺยญฺชนสฺส มตฺตา นาม โอทนจตุตฺถภาโค’’ติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๘๗) พฺรหฺมายุสุตฺตสฺส อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา อาโลปสฺส จตุตฺถภาคปฺปมาณํ พฺยญฺชนํ อาโลปสฺส อนุรูปนฺติ คเหตพฺพํฯ อิธ ปน สูปเสฺสว โอทนจตุตฺถภาคปฺปมาณํ ทเสฺสตฺวา เอตสฺส ลกฺขเณ ทสฺสิเต อิตรสฺสาปิ ทสฺสิตเมว โหตีติ พฺยญฺชนสฺส ตถา วิเสเสตฺวา ปมาณํ น ทสฺสิตํฯ โอทเน ปกฺขิปิตพฺพานิ สปฺปิเตลตกฺกรสกญฺชิกาทีนิ คณนูปคานิ น โหนฺติฯ

    Byañjanañca tadūpiyanti yāva carimālopaṃ, tāva sabbālopānurūpaṃ macchamaṃsādibyañjanañca. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘ālopassa ālopassa anurūpaṃ yāvacarimālopappahonakaṃ macchamaṃsādibyañjanaṃ pakkhipitabba’’nti. Ettha ca ālopassa ālopassa anurūpanti ‘‘byañjanassa mattā nāma odanacatutthabhāgo’’ti (ma. ni. aṭṭha. 2.387) brahmāyusuttassa aṭṭhakathāyaṃ vuttattā ālopassa catutthabhāgappamāṇaṃ byañjanaṃ ālopassa anurūpanti gahetabbaṃ. Idha pana sūpasseva odanacatutthabhāgappamāṇaṃ dassetvā etassa lakkhaṇe dassite itarassāpi dassitameva hotīti byañjanassa tathā visesetvā pamāṇaṃ na dassitaṃ. Odane pakkhipitabbāni sappitelatakkarasakañjikādīni gaṇanūpagāni na honti.

    ๗๓๙. ตํ สพฺพนฺติ ยถาวุตฺตภตฺตาทินิรวเสสํฯ คณฺหตีติ วกฺขมาเนหิ ตีหิ ปกาเรหิ คณฺหาติฯ ตสฺสาติ อุกฺกฎฺฐสฺส ปตฺตสฺสฯ อุปโฑฺฒติ ตสฺมิํ ปเตฺต คณฺหนกทพฺพสมฺภารคาหี ปโตฺต ตํสหจริเยน ‘‘อุปโฑฺฒ’’ติ วุโตฺตฯ ตทุปโฑฺฒ จาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ตสฺส มชฺฌิมสฺส ปตฺตสฺส อุปโฑฺฒ ตทุปโฑฺฒติ คเหตพฺพํฯ

    739.Taṃ sabbanti yathāvuttabhattādiniravasesaṃ. Gaṇhatīti vakkhamānehi tīhi pakārehi gaṇhāti. Tassāti ukkaṭṭhassa pattassa. Upaḍḍhoti tasmiṃ patte gaṇhanakadabbasambhāragāhī patto taṃsahacariyena ‘‘upaḍḍho’’ti vutto. Tadupaḍḍho cāti etthāpi eseva nayo. Tassa majjhimassa pattassa upaḍḍho tadupaḍḍhoti gahetabbaṃ.

    ๗๔๐. อิเมสุ ตีสุ ปเตฺตสุ อุกฺกฎฺฐสฺส วุตฺตํ โอทนาทิ สพฺพํ ยสฺมิํ ปเตฺต ปกฺขิตฺตํ, ตสฺส มุขวฎฺฎิมตฺถเก ปุญฺชิยมานํ หีรกํ เหฎฺฐาภาเค ผุสติ, โส อุกฺกฎฺฐมชฺฌิโม นาม, หีรโต อติเรกํ ติฎฺฐติ, โส อุกฺกโฎฺฐมโก นาม, อโนฺตปเตฺต มุขวฎฺฎิยา เหฎฺฐิมนฺตํ อปฺปตฺวา ติฎฺฐติ, โส อุกฺกฎฺฐุกฺกโฎฺฐ นาม, เอวํ มชฺฌิโม จ โอมโก จ ปเจฺจกํ ติวิโธ โหตีติ สเพฺพ นว ปตฺตา โหนฺตีติ ทเสฺสตุมาห ‘‘อุกฺกฎฺฐสฺสา’’ติอาทิฯ ตเสฺสวาติ อุกฺกฎฺฐเสฺสวฯ โอมโก จ มชฺฌิโม จาติ โอมกมชฺฌิมาฯ อิธ มชฺฌิโม จ โอมโก จ อุกฺกฎฺฐเสฺสว เภโทฯ เอส นโย อิตรทฺวเยปิฯ ‘‘เอว’’นฺติ อิมินา ยถา ‘‘อุกฺกฎฺฐุกฺกโฎฺฐ อุกฺกโฎฺฐมโก อุกฺกฎฺฐมชฺฌิโม’’ติ โยเชตโพฺพ, เอวํ มชฺฌิโมมกานมฺปิ ยถากฺกมโยชนํ ทเสฺสติ ‘‘มชฺฌิโม มชฺฌิมุกฺกโฎฺฐ มชฺฌิโมมโก, โอมกุกฺกโฎฺฐ โอมกมชฺฌิโม โอมโกมโก จา’’ติฯ

    740. Imesu tīsu pattesu ukkaṭṭhassa vuttaṃ odanādi sabbaṃ yasmiṃ patte pakkhittaṃ, tassa mukhavaṭṭimatthake puñjiyamānaṃ hīrakaṃ heṭṭhābhāge phusati, so ukkaṭṭhamajjhimo nāma, hīrato atirekaṃ tiṭṭhati, so ukkaṭṭhomako nāma, antopatte mukhavaṭṭiyā heṭṭhimantaṃ appatvā tiṭṭhati, so ukkaṭṭhukkaṭṭho nāma, evaṃ majjhimo ca omako ca paccekaṃ tividho hotīti sabbe nava pattā hontīti dassetumāha ‘‘ukkaṭṭhassā’’tiādi. Tassevāti ukkaṭṭhasseva. Omako ca majjhimo cāti omakamajjhimā. Idha majjhimo ca omako ca ukkaṭṭhasseva bhedo. Esa nayo itaradvayepi. ‘‘Eva’’nti iminā yathā ‘‘ukkaṭṭhukkaṭṭho ukkaṭṭhomako ukkaṭṭhamajjhimo’’ti yojetabbo, evaṃ majjhimomakānampi yathākkamayojanaṃ dasseti ‘‘majjhimo majjhimukkaṭṭho majjhimomako, omakukkaṭṭho omakamajjhimo omakomako cā’’ti.

    ๗๔๑. เตสูติ นวสุ ปเตฺตสุฯ ตสฺมาติ อปตฺตภาวโตฯ น คจฺฉนฺตีติ อุกฺกฎฺฐุกฺกฎฺฐญฺจ โอมโกมกญฺจาติ เทฺว อเปกฺขิตฺวา พหุวจนํ กตํฯ เอเต ภาชนสเงฺขเปน ปริภุญฺชิตพฺพาติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ตสฺมา เอเต ภาชนปริโภเคน ปริภุญฺชิตพฺพา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๐๒)ฯ

    741.Tesūti navasu pattesu. Tasmāti apattabhāvato. Na gacchantīti ukkaṭṭhukkaṭṭhañca omakomakañcāti dve apekkhitvā bahuvacanaṃ kataṃ. Ete bhājanasaṅkhepena paribhuñjitabbāti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tasmā ete bhājanaparibhogena paribhuñjitabbā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.602).

    ๗๔๒. ปตฺตลกฺขณสํยุตนฺติ เอตฺถ ปตฺตลกฺขณํ นาม ยถาวุตฺตปมาณยุตฺตตา, ‘‘อโยปโตฺต ปญฺจหิ ปาเกหิ ปโกฺก มตฺติกาปโตฺต ทฺวีหิ ปาเกหิ ปโกฺก’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๐๘) วุตฺตา ปากสมฺปตฺติ, กิณิตฺวา คณฺหาติ เจ, ตสฺส ทาตพฺพมูลสฺส อเสเสตฺวา ทินฺนภาโว, ฉิทฺทาภาโว, ฉินฺนราชีนํ อภาโวติ ปญฺจวิธํฯ โหติ เจตฺถ –

    742.Pattalakkhaṇasaṃyutanti ettha pattalakkhaṇaṃ nāma yathāvuttapamāṇayuttatā, ‘‘ayopatto pañcahi pākehi pakko mattikāpatto dvīhi pākehi pakko’’ti (pārā. aṭṭha. 2.608) vuttā pākasampatti, kiṇitvā gaṇhāti ce, tassa dātabbamūlassa asesetvā dinnabhāvo, chiddābhāvo, chinnarājīnaṃ abhāvoti pañcavidhaṃ. Hoti cettha –

    ‘‘ปมาณยุตฺตตา ปาก-สมฺปตฺติ ทินฺนมูลตา;

    ‘‘Pamāṇayuttatā pāka-sampatti dinnamūlatā;

    อจฺฉิทฺทาราชิตา เจติ, ปตฺตลกฺขณปญฺจก’’นฺติฯ

    Acchiddārājitā ceti, pattalakkhaṇapañcaka’’nti.

    ‘‘อธิฎฺฐาย วา วิกเปฺปตฺวา วา’’ติ วา-สโทฺท โยเชตโพฺพฯ อธิฎฺฐายาติ ปฐมํ ปริภุเตฺต ปเตฺต สติ ตํ ปจฺจุทฺธริตฺวา อธิฎฺฐาตพฺพปโตฺต หตฺถปาเส เจ โหติ, วกฺขมานนเยน ‘‘อิมํ ปตฺตํ อธิฎฺฐามี’’ติ วจีเภทกรณวเสน วาจาย วา วจีเภทํ อกตฺวา เอวเมว จิเนฺตตฺวา หเตฺถน คเหตฺวา ผนฺทาเปเนฺตน กาเยน วา ทูเร เจ หตฺถปาสา โหติ, ฐปิตฎฺฐานํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘เอตํ ปตฺตํ อธิฎฺฐามี’’ติ วาจา ภินฺทิตพฺพาติ อฎฺฐกถายํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๐๘ อตฺถโต สมานํ) วุตฺตนเยน เอกเกน วา ปจฺฉา สติสโมฺมเส สราเปตฺวา กุกฺกุจฺจํ วูปสเมตุํ สมตฺถสฺส ปุคฺคลสฺส สนฺนิธาเน วา อธิฎฺฐายาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อญฺญสฺส สนฺติเก อธิฎฺฐาเน อยมานิสํโส – สจสฺส ‘อธิฎฺฐิโต นุ โข เม, โน’ติ วิมติ อุปฺปชฺชติ, อิตโร สาเรตฺวา วิมติํ ฉินฺทิสฺสตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๐๘) อยมโตฺถ อฎฺฐกถายํ วุโตฺตฯ ‘‘เทฺว ปเตฺต อธิฎฺฐาตุํ น ลภตี’’ติ คณฺฐิปเท วุตฺตํฯ

    ‘‘Adhiṭṭhāya vā vikappetvā vā’’ti -saddo yojetabbo. Adhiṭṭhāyāti paṭhamaṃ paribhutte patte sati taṃ paccuddharitvā adhiṭṭhātabbapatto hatthapāse ce hoti, vakkhamānanayena ‘‘imaṃ pattaṃ adhiṭṭhāmī’’ti vacībhedakaraṇavasena vācāya vā vacībhedaṃ akatvā evameva cintetvā hatthena gahetvā phandāpentena kāyena vā dūre ce hatthapāsā hoti, ṭhapitaṭṭhānaṃ sallakkhetvā ‘‘etaṃ pattaṃ adhiṭṭhāmī’’ti vācā bhinditabbāti aṭṭhakathāyaṃ (pārā. aṭṭha. 2.608 atthato samānaṃ) vuttanayena ekakena vā pacchā satisammose sarāpetvā kukkuccaṃ vūpasametuṃ samatthassa puggalassa sannidhāne vā adhiṭṭhāyāti vuttaṃ hoti. ‘‘Aññassa santike adhiṭṭhāne ayamānisaṃso – sacassa ‘adhiṭṭhito nu kho me, no’ti vimati uppajjati, itaro sāretvā vimatiṃ chindissatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.608) ayamattho aṭṭhakathāyaṃ vutto. ‘‘Dve patte adhiṭṭhātuṃ na labhatī’’ti gaṇṭhipade vuttaṃ.

    วิกเปฺปตฺวาติ (ปาจิ. ๓๗๓; ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๐๘; กงฺกา. อฎฺฐ. วิกปฺปนสิกฺขาปทวณฺณนา) ตฺถ วิกเปฺปตพฺพสฺส ปตฺตสฺส เอกตฺตพหุตฺตํ, สนฺนิหิตาสนฺนิหิตตฺตญฺจ สลฺลเกฺขตฺวา เอกํ เจ สนฺนิหิตํ, ‘‘อิมํ ปตฺตํ ตุยฺหํ วิกเปฺปมี’’ติ วา ‘‘อิมํ ปตฺตํ ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน วิกเปฺปมี’’ติ วา อาทินา นเยน เอกํ วิกเปฺปตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ เอตฺถ ‘‘ปริภุเญฺชยฺยา’’ติ วุตฺตตฺตา, ‘‘มยฺหํ สนฺตกํ ปริภุเญฺชหิ วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหี’’ติ เตน อปจฺจุทฺธเฎ ปริภุญฺชิตุํ อยุตฺตตฺตา ‘‘วิกเปฺปตฺวา’’ติ ปจฺจุทฺธฎวิเสโส คเหตโพฺพฯ

    Vikappetvāti (pāci. 373; pārā. aṭṭha. 2.608; kaṅkā. aṭṭha. vikappanasikkhāpadavaṇṇanā) ttha vikappetabbassa pattassa ekattabahuttaṃ, sannihitāsannihitattañca sallakkhetvā ekaṃ ce sannihitaṃ, ‘‘imaṃ pattaṃ tuyhaṃ vikappemī’’ti vā ‘‘imaṃ pattaṃ tissassa bhikkhuno vikappemī’’ti vā ādinā nayena ekaṃ vikappetvāti vuttaṃ hoti. Ettha ‘‘paribhuñjeyyā’’ti vuttattā, ‘‘mayhaṃ santakaṃ paribhuñjehi vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ vā karohī’’ti tena apaccuddhaṭe paribhuñjituṃ ayuttattā ‘‘vikappetvā’’ti paccuddhaṭaviseso gahetabbo.

    ๗๔๓. ธาเรยฺยาติ อนธิฎฺฐหิตฺวา, อวิกเปฺปตฺวา จ ปริภุญฺชิตโพฺพฯ ตํ กาลํ ปตฺตํ อติกฺกามยโตติ โยชนาฯ ‘‘นิสฺสคฺคิย’’นฺติ อิมินาปิ ‘‘ปตฺต’’นฺติ อิทํ ยุชฺชติฯ ปตฺต-สโทฺท มาคธิกานํ ทฺวิลิงฺคโก, ตสฺมา เอวํ วุโตฺตฯ

    743.Dhāreyyāti anadhiṭṭhahitvā, avikappetvā ca paribhuñjitabbo. Taṃ kālaṃ pattaṃ atikkāmayatoti yojanā. ‘‘Nissaggiya’’nti imināpi ‘‘patta’’nti idaṃ yujjati. Patta-saddo māgadhikānaṃ dviliṅgako, tasmā evaṃ vutto.

    ๗๔๔. อธิฎฺฐิตวิกปฺปิเตสุ อนโนฺตคธตฺตา อติเรกภาวํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ยํ ปตฺต’’นฺติอาทิฯ

    744. Adhiṭṭhitavikappitesu anantogadhattā atirekabhāvaṃ dassetumāha ‘‘yaṃ patta’’ntiādi.

    ๗๔๕. สมฺมุเขติ อฑฺฒเตยฺยหตฺถปฺปเทสโต อโนฺต ฐิตํ ปตฺตํฯ ทูรสฺมินฺติ อฑฺฒเตยฺยรตนโต ปรภาเค ‘‘อโนฺตคเพฺภ วา อุปริปาสาเท วา สามนฺตวิหาเร วา’’ติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตปฺปกาเร ทูเรปิฯ ยตฺถ กตฺถจิ วิกปฺปนกาเลปิ สนฺติกทูรวจนเภทา เอวเมว โยเชตฺวา วตฺตพฺพาฯ ‘‘วิกเปฺปตุํ ปน พหูนิปิ ลพฺภตี’’ติ คณฺฐิปเท วุตฺตํฯ อยํ นโยติ ‘‘อิมํ ปตฺตํ ปจฺจุทฺธรามี’’ติอาทินโยฯ

    745.Sammukheti aḍḍhateyyahatthappadesato anto ṭhitaṃ pattaṃ. Dūrasminti aḍḍhateyyaratanato parabhāge ‘‘antogabbhe vā uparipāsāde vā sāmantavihāre vā’’ti aṭṭhakathāyaṃ vuttappakāre dūrepi. Yattha katthaci vikappanakālepi santikadūravacanabhedā evameva yojetvā vattabbā. ‘‘Vikappetuṃ pana bahūnipi labbhatī’’ti gaṇṭhipade vuttaṃ. Ayaṃ nayoti ‘‘imaṃ pattaṃ paccuddharāmī’’tiādinayo.

    ๗๔๖. วาจากายวเสน ทุวิเธ อธิฎฺฐาเน วาจาธิฎฺฐานํ ทเสฺสตฺวา กายาธิฎฺฐานํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อาโภค’’นฺติอาทิฯ อาโภคนฺติ ‘‘อิมํ ปตฺตํ อธิฎฺฐามี’’ติ อาโภคํฯ ‘‘มนสา’’ติ อิมินา น วจสาติ วุตฺตํ โหติฯ กายวิกาโรว กายวิการกํ, หเตฺถน ผนฺทาปนาทิกายกิริยาติ อโตฺถฯ เอเตเนว กายาธิฎฺฐานํ หเตฺถน อปตฺตเพฺพ ทูเร น กาตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ

    746. Vācākāyavasena duvidhe adhiṭṭhāne vācādhiṭṭhānaṃ dassetvā kāyādhiṭṭhānaṃ dassetumāha ‘‘ābhoga’’ntiādi. Ābhoganti ‘‘imaṃ pattaṃ adhiṭṭhāmī’’ti ābhogaṃ. ‘‘Manasā’’ti iminā na vacasāti vuttaṃ hoti. Kāyavikārova kāyavikārakaṃ, hatthena phandāpanādikāyakiriyāti attho. Eteneva kāyādhiṭṭhānaṃ hatthena apattabbe dūre na kātabbanti dasseti.

    ๗๔๗-๘. ‘‘ชหติ อธิฎฺฐาน’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ ทานโตติ อญฺญสฺส ทาเนนฯ เภทกโตติ ภิชฺชเนนฯ นาสโตติ ปตฺตสามิกสฺส กาลกิริยายฯ วิพฺภมโตติ สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย คิหิภาวูปคมเนนฯ อุทฺธารโตติ ปจฺจุทฺธรเณนฯ ปจฺจกฺขโตติ สิกฺขาปจฺจกฺขาเนนฯ ปริวตฺตนโตติ ลิงฺคปริวตฺตเนนฯ คาหโตติ วิสฺสาสคฺคหเณน, อจฺฉินฺทิตฺวา คหเณน จฯ

    747-8. ‘‘Jahati adhiṭṭhāna’’nti padacchedo. Dānatoti aññassa dānena. Bhedakatoti bhijjanena. Nāsatoti pattasāmikassa kālakiriyāya. Vibbhamatoti sikkhaṃ apaccakkhāya gihibhāvūpagamanena. Uddhāratoti paccuddharaṇena. Paccakkhatoti sikkhāpaccakkhānena. Parivattanatoti liṅgaparivattanena. Gāhatoti vissāsaggahaṇena, acchinditvā gahaṇena ca.

    กงฺคุสิตฺถปฺปมาเณนาติ สตฺตนฺนํ ธญฺญานํ ขุทฺทกตรสฺส กงฺคุโน สิตฺถปฺปมาเณนฯ เขนาติ มุขวฎฺฎิยา ทฺวงฺคุลโต เหฎฺฐา อากาสปริยาเยน ฉิเทฺทนฯ อาณิยา วาติ อโยมยาย อาณิยา วาฯ

    Kaṅgusitthappamāṇenāti sattannaṃ dhaññānaṃ khuddakatarassa kaṅguno sitthappamāṇena. Khenāti mukhavaṭṭiyā dvaṅgulato heṭṭhā ākāsapariyāyena chiddena. Āṇiyā vāti ayomayāya āṇiyā vā.

    ๗๕๐-๑. มณิปโตฺตติ มณินา กโตฯ เวฬุริยุพฺภโวติ มรกตมณิมโยฯ ผลิกุพฺภโวติ ผลิกปาสาเณน กโตฯ กาจมโยติ กาจมตฺติกามโยฯ กํสมโยติ กํสโลเหน กโตฯ ติปุมโยติ กาฬติปุมโยฯ สีสมโยติ เสตติปุมโยฯ วิปลฺลาเสน จ วทนฺติฯ สชฺฌุมโยติ รชตมโยฯ

    750-1.Maṇipattoti maṇinā kato. Veḷuriyubbhavoti marakatamaṇimayo. Phalikubbhavoti phalikapāsāṇena kato. Kācamayoti kācamattikāmayo. Kaṃsamayoti kaṃsalohena kato. Tipumayoti kāḷatipumayo. Sīsamayoti setatipumayo. Vipallāsena ca vadanti. Sajjhumayoti rajatamayo.

    ๗๕๒. ฆฎกฎาโหติ ฆฎกปาลํฯ สีสกฎาโหติ ฉวสีสกปาลํฯ ตุมฺพนฺติ อลาพุฯ อสฺสาติ เอกาทสวิธสฺส ปตฺตสฺสฯ อนุโลมิกนฺติ อกปฺปิยวเสน อนุโลมํฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ เอกาทสวิเธฯ ตมฺพมยํ โลหมยํ ถาลกํ ปน วฎฺฎตีติ โยชนา, ปโตฺตเยว น วฎฺฎติ, ตมฺพโลหมยา ถาลกา ปน วฎฺฎนฺตีติ อโตฺถฯ

    752.Ghaṭakaṭāhoti ghaṭakapālaṃ. Sīsakaṭāhoti chavasīsakapālaṃ. Tumbanti alābu. Assāti ekādasavidhassa pattassa. Anulomikanti akappiyavasena anulomaṃ. Tatthāti tasmiṃ ekādasavidhe. Tambamayaṃ lohamayaṃ thālakaṃ pana vaṭṭatīti yojanā, pattoyeva na vaṭṭati, tambalohamayā thālakā pana vaṭṭantīti attho.

    ๗๕๓. ตฎฺฎิกาทีนีติ อาทิ-สเทฺทน วฎฺฎกาทีนํ สงฺคโหฯ วฎฺฎกนฺติ จ อฑฺฒจนฺทากาโร โลหาทิมโย ภาชนิยวิเสโสฯ ปุคฺคลสฺสาติ ภิกฺขุสฺสฯ คิหี จ สโงฺฆ จ คิหิสงฺฆา, เตสํ สนฺตกา คิหิสงฺฆิกา

    753.Taṭṭikādīnīti ādi-saddena vaṭṭakādīnaṃ saṅgaho. Vaṭṭakanti ca aḍḍhacandākāro lohādimayo bhājaniyaviseso. Puggalassāti bhikkhussa. Gihī ca saṅgho ca gihisaṅghā, tesaṃ santakā gihisaṅghikā.

    ๗๕๔. ยํ กิญฺจิ ปตฺตนฺติ สตฺตสุ ปเตฺตสุ ยํ กิญฺจิ ปตฺตํฯ โวทกํ กตฺวาติ วิคโตทกํ กตฺวาฯ ปฎิสาเมยฺยาติ นิเกฺขปารหฎฺฐาเน นิกฺขิปนวเสน, ถวิกาย ปกฺขิปิตฺวา พนฺธนวเสน วา สโงฺคเปยฺยฯ

    754.Yaṃ kiñci pattanti sattasu pattesu yaṃ kiñci pattaṃ. Vodakaṃ katvāti vigatodakaṃ katvā. Paṭisāmeyyāti nikkhepārahaṭṭhāne nikkhipanavasena, thavikāya pakkhipitvā bandhanavasena vā saṅgopeyya.

    ๗๕๕. โอตาเปตุนฺติ อาตเป, อคฺคิมฺหิ วา ตาเปตุํฯ อุเณฺหติ ตสฺมิํเยว อุเณฺหฯ น นิทเหตโพฺพติ น ฌาเปตโพฺพฯ สีสาปนยนเมว น วฎฺฎตีติ น นิทเหตโพฺพติ อโตฺถ อธิกนิวารเณเนว วิญฺญายติฯ

    755.Otāpetunti ātape, aggimhi vā tāpetuṃ. Uṇheti tasmiṃyeva uṇhe. Na nidahetabboti na jhāpetabbo. Sīsāpanayanameva na vaṭṭatīti na nidahetabboti attho adhikanivāraṇeneva viññāyati.

    ๗๕๖. มิฑฺฒเนฺตติ มิฑฺฒิยา อเนฺตฯ ปริภณฺฑเนฺตติ ปมุเข มหามิฑฺฒิยา อเนฺตฯ ‘‘วิตฺถิเณฺณติ อนฺตมโส ทฺวิปตฺตมโตฺตกาสวิตฺถาเร’’ติ เกจิฯ ฐเปตุํ ปน วฎฺฎตีติ โยชนา, วลยาทิอาธาเรน วินาปิ ฐเปตุํ วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ ‘‘มิฑฺฒิยา ปมุเข มิฑฺฒิยา จ ขรภูมิปเทสาทีสุ จ วลยมตฺถเก ฐเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ

    756.Miḍḍhanteti miḍḍhiyā ante. Paribhaṇḍanteti pamukhe mahāmiḍḍhiyā ante. ‘‘Vitthiṇṇeti antamaso dvipattamattokāsavitthāre’’ti keci. Ṭhapetuṃ pana vaṭṭatīti yojanā, valayādiādhārena vināpi ṭhapetuṃ vaṭṭatīti attho. ‘‘Miḍḍhiyā pamukhe miḍḍhiyā ca kharabhūmipadesādīsu ca valayamatthake ṭhapetuṃ vaṭṭatī’’ti vadanti.

    ๗๕๗. ทารุอาธารเกติ อุทุกฺขลสทิเส ทารุมเย อาธาเรฯ เทฺว ปเตฺต ฐเปตุมฺปิ วฎฺฎตีติ ปตฺตมตฺถเก อปรสฺสาปิ ปตฺตสฺส ฐปนวเสน เทฺว ปเตฺต ฐเปตุมฺปิ วฎฺฎติฯ อปิ-สเทฺทน เอกสฺมิํ วตฺตพฺพเมว นตฺถีติ ทเสฺสติฯ อยเมว นโยติ ‘‘เทฺวปิ ปเตฺต ฐเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ อยํ นโยฯ ทณฺฑภูมิอาธารเกสูติ เอตฺถ ทณฺฑาธาโร นาม พหูหิ ทเณฺฑหิ กโตฯ ภูมิอาธารโก นาม ภูมิยํ กโต อาลวาลวลยากาโร สิลิฎฺฐาธาโรฯ ‘‘ทนฺตเวตฺตลตาทิมโย ภูมิอาธารโก’’ติ เกจิฯ

    757.Dāruādhāraketi udukkhalasadise dārumaye ādhāre. Dve patte ṭhapetumpi vaṭṭatīti pattamatthake aparassāpi pattassa ṭhapanavasena dve patte ṭhapetumpi vaṭṭati. Api-saddena ekasmiṃ vattabbameva natthīti dasseti. Ayameva nayoti ‘‘dvepi patte ṭhapetuṃ vaṭṭatī’’ti ayaṃ nayo. Daṇḍabhūmiādhārakesūti ettha daṇḍādhāro nāma bahūhi daṇḍehi kato. Bhūmiādhārako nāma bhūmiyaṃ kato ālavālavalayākāro siliṭṭhādhāro. ‘‘Dantavettalatādimayo bhūmiādhārako’’ti keci.

    ๗๕๘-๙. ตฎฺฎิกายาติ ตาลปณฺณาทีหิ กตตฎฺฎิกายฯ โปตฺถเกติ มกจิวากมเย วา รุกฺขวากมเย วา อตฺถรเณฯ กฎสารเกติ ตาลปณฺณาทีหิ วีเต อตฺถรเณฯ ปริภณฺฑกตายาติ กตโคมยปริภณฺฑายฯ อปิ-สเทฺทน สุธากมฺมํ กตฺวา ปาสาเณน ฆํสิตฺวา มฎฺฐกตาย ภูมิยา วตฺตพฺพเมว นตฺถีติ ทเสฺสติฯ วาลุกาสุ วาติ เลฑฺฑุปาสาณสกฺขรกปาลาทิอมิสฺสาสุ สณฺหสุขุมวาลุกาสูติ วุตฺตํ โหติฯ เตเนวาห ‘‘ตถารูปาสู’’ติอาทิฯ รชมฺหิ สเนฺตปิ อสเนฺตปิ วิสุํเยว ‘‘ขรภูมิยา น ฐเปตพฺพ’’นฺติ วุตฺตตฺตา ‘‘สรชายา’’ติ อิมินา รโชกิณฺณํ สณฺหภูมิมาหฯ ขรภูมิยาติ ผรุสภูมิยาฯ

    758-9.Taṭṭikāyāti tālapaṇṇādīhi katataṭṭikāya. Potthaketi makacivākamaye vā rukkhavākamaye vā attharaṇe. Kaṭasāraketi tālapaṇṇādīhi vīte attharaṇe. Paribhaṇḍakatāyāti katagomayaparibhaṇḍāya. Api-saddena sudhākammaṃ katvā pāsāṇena ghaṃsitvā maṭṭhakatāya bhūmiyā vattabbameva natthīti dasseti. Vālukāsu vāti leḍḍupāsāṇasakkharakapālādiamissāsu saṇhasukhumavālukāsūti vuttaṃ hoti. Tenevāha ‘‘tathārūpāsū’’tiādi. Rajamhi santepi asantepi visuṃyeva ‘‘kharabhūmiyā na ṭhapetabba’’nti vuttattā ‘‘sarajāyā’’ti iminā rajokiṇṇaṃ saṇhabhūmimāha. Kharabhūmiyāti pharusabhūmiyā.

    ๗๖๐. ลเคฺคตุนฺติ โอลเมฺพตุํฯ ทณฺฑโกฎิยา, นาคทนฺตโกฎิยา จ ปตฺตมุเขน ปกฺขิปิตฺวา ฐปนมฺปิ ลคฺคนํ นามฯ ฉตฺตงฺกมญฺจปีเฐสูติ ฉเตฺต, อเงฺก, มญฺจปีเฐ จฯ

    760.Laggetunti olambetuṃ. Daṇḍakoṭiyā, nāgadantakoṭiyā ca pattamukhena pakkhipitvā ṭhapanampi lagganaṃ nāma. Chattaṅkamañcapīṭhesūti chatte, aṅke, mañcapīṭhe ca.

    ๗๖๑. อฎนีสูติ อเงฺคสุฯ พนฺธิตฺวาติ ถวิกาย อํสวทฺธนกาทินา เยน เกนจิ พนฺธิตฺวาฯ โอลเมฺพตุมฺปีติ ลเคฺคตุมฺปิฯ ‘‘ฐเปตุํ อุปรี’’ติ ปทเจฺฉโทฯ

    761.Aṭanīsūti aṅgesu. Bandhitvāti thavikāya aṃsavaddhanakādinā yena kenaci bandhitvā. Olambetumpīti laggetumpi. ‘‘Ṭhapetuṃ uparī’’ti padacchedo.

    ๗๖๒. มญฺจปีฐฎฺฎเกติ มญฺจปีเฐสุ ฐปิตปตฺตา ยถา น ปตนฺติ, ตถา อฎนิมตฺถเก ทารุนา ปริเกฺขเป กเต มญฺจปีฐฎฺฎกา นาม โหนฺติ, ตาทิเส มญฺจปีฐฎฺฎเก ฐเปตุํ วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ ภตฺตปูโรปีติ ภตฺตสฺส ปูโรปิฯ อปิ-สเทฺทน ยาคุเตลปริปูริตสฺสาปิ สงฺคโหฯ ตุจฺฉปเตฺต วินิจฺฉโย ยถาวุโตฺตเยวฯ ปูรณํ ปูโร, ภตฺตสฺส ปูโร ภตฺตปูโรฯ

    762.Mañcapīṭhaṭṭaketi mañcapīṭhesu ṭhapitapattā yathā na patanti, tathā aṭanimatthake dārunā parikkhepe kate mañcapīṭhaṭṭakā nāma honti, tādise mañcapīṭhaṭṭake ṭhapetuṃ vaṭṭatīti attho. Bhattapūropīti bhattassa pūropi. Api-saddena yāgutelaparipūritassāpi saṅgaho. Tucchapatte vinicchayo yathāvuttoyeva. Pūraṇaṃ pūro, bhattassa pūro bhattapūro.

    ติภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Tibhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๗๖๓. กวาฎนฺติ ทฺวารกวาฎผลกํฯ ‘‘เสนาสเน ทฺวารกวาฎวาตปานกวาฎาที’’ติอาทีสุ ทฺวารผลกํ ‘‘กวาฎ’’นฺติ หิ วุตฺตํฯ น ปณาเมยฺยาติ น นาเมยฺย น จาเลยฺย, น จ ปิทเหยฺยาติ อโตฺถฯ ปตฺตํ หเตฺถ ยสฺส โส ปตฺตหโตฺถติ ภินฺนาธิกรโณยํ พาหิรตฺถสมาโส ‘‘วชิรปาณี’’ติอาทีสุ วิยฯ ‘‘ปณาเมยฺย อสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ

    763.Kavāṭanti dvārakavāṭaphalakaṃ. ‘‘Senāsane dvārakavāṭavātapānakavāṭādī’’tiādīsu dvāraphalakaṃ ‘‘kavāṭa’’nti hi vuttaṃ. Na paṇāmeyyāti na nāmeyya na cāleyya, na ca pidaheyyāti attho. Pattaṃ hatthe yassa so pattahatthoti bhinnādhikaraṇoyaṃ bāhiratthasamāso ‘‘vajirapāṇī’’tiādīsu viya. ‘‘Paṇāmeyya assā’’ti padacchedo.

    ๗๖๔. น นีหเรยฺย ปเตฺตน จลกานีติ รสํ ปิวิตฺวา ปาติตมธุกผลฎฺฐิกาทิ ฉฑฺฑิตานิ พหิ ฉเฑฺฑตุํ ปเตฺตน น นีหเรยฺยฯ อฎฺฐิกานิ วาติ ปนสฎฺฐิโกลฎฺฐิอาทิอฎฺฐิกานิ วาฯ อุจฺฉิฎฺฐมุทกนฺติ มุขโธวนาทิกํ อุจฺฉิฎฺฐมุทกํฯ ปเตฺตน นีหรนฺตสฺสาติ โยชนา, พหิ ฉเฑฺฑตุํ ตํ ปเตฺต อาสิญฺจิตฺวา หรนฺตสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ อิตรถา อุจฺฉิฎฺฐปตฺตโธวโนทกมฺปิ เตเนว ปเตฺตน พหิ น นีหริตพฺพํ สิยาฯ

    764.Na nīhareyya pattena calakānīti rasaṃ pivitvā pātitamadhukaphalaṭṭhikādi chaḍḍitāni bahi chaḍḍetuṃ pattena na nīhareyya. Aṭṭhikāni vāti panasaṭṭhikolaṭṭhiādiaṭṭhikāni vā. Ucchiṭṭhamudakanti mukhadhovanādikaṃ ucchiṭṭhamudakaṃ. Pattena nīharantassāti yojanā, bahi chaḍḍetuṃ taṃ patte āsiñcitvā harantassāti vuttaṃ hoti. Itarathā ucchiṭṭhapattadhovanodakampi teneva pattena bahi na nīharitabbaṃ siyā.

    ๗๖๕. ปฎิคฺคเหติ มุขโธวโนทกนฺติ ปฎิคฺคโห, เขฬมลฺลโกวฯ มุขโต นีหฎนฺติ มุเขน ฉฑฺฑิตํ มํสขณฺฑาทิ ยํ กิญฺจิฯ

    765. Paṭiggaheti mukhadhovanodakanti paṭiggaho, kheḷamallakova. Mukhato nīhaṭanti mukhena chaḍḍitaṃ maṃsakhaṇḍādi yaṃ kiñci.

    ๗๖๖. วินสฺสตีติ วิพฺภเมน วา สิกฺขาปจฺจกฺขาเนน วา กาลกิริยาย วา วินสฺสติฯ อถ วา โยติ ปจฺจตฺตวจนํ ‘‘ยสฺสา’’ติ สามิวเสน ปริณาเมตฺวา ยสฺส ภิกฺขุโน ปโตฺต เภเทน วา อเจฺฉเทน วา โจริกาย หรเณน วา นสฺสติ, ตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ

    766.Vinassatīti vibbhamena vā sikkhāpaccakkhānena vā kālakiriyāya vā vinassati. Atha vā yoti paccattavacanaṃ ‘‘yassā’’ti sāmivasena pariṇāmetvā yassa bhikkhuno patto bhedena vā acchedena vā corikāya haraṇena vā nassati, tassa anāpattīti yojanā.

    ๗๖๗. ปฐมสฺสาติ ปตฺตวคฺคสฺส ปฐมํ สงฺคหิตตฺตา ปฐมสฺสฯ ปตฺตสฺสาติ ปตฺตสิกฺขาปทสฺสฯ ปฐเมนาติ จีวรวคฺคสฺส ปฐมํ สงฺคหิตตฺตา ปฐเมน กถิเนนาติ สมฺพโนฺธฯ มเหสินาติ มหเนฺต สีลกฺขนฺธาทโย คุเณ เอสิ คเวสีติ มเหสิฯ ปฐมสฺส ปตฺตสฺส สมุฎฺฐานาทโย สเพฺพ อิธ อนิทฺทิฎฺฐวินิจฺฉยา ปฐเมน กถิเนน สมา สทิสา อิติ มเหสินา มตา อนุมตา อนุญฺญาตาติ โยชนาฯ

    767.Paṭhamassāti pattavaggassa paṭhamaṃ saṅgahitattā paṭhamassa. Pattassāti pattasikkhāpadassa. Paṭhamenāti cīvaravaggassa paṭhamaṃ saṅgahitattā paṭhamena kathinenāti sambandho. Mahesināti mahante sīlakkhandhādayo guṇe esi gavesīti mahesi. Paṭhamassa pattassa samuṭṭhānādayo sabbe idha aniddiṭṭhavinicchayā paṭhamena kathinena samā sadisā iti mahesinā matā anumatā anuññātāti yojanā.

    ปฐมปตฺตกถาวณฺณนาฯ

    Paṭhamapattakathāvaṇṇanā.

    ๗๖๘. ปญฺจ พนฺธนานิ อูนานิ ยสฺส โส ปญฺจพนฺธนอูโน, ปโตฺต, ตสฺมิํ, อพนฺธนญฺจ เอกทฺวิติจตุพนฺธนญฺจ ‘‘ปญฺจพนฺธนอูน’’นฺติ คหิตํฯ ยถาห ปาฬิยํ ‘‘อูนปญฺจพนฺธโน นาม ปโตฺต อพนฺธโน วา เอกพนฺธโน วา ทฺวิพนฺธโน วา ติพนฺธโน วา จตุพนฺธโน วา’’ติ (ปารา. ๖๑๓)ฯ พนฺธเน อกเตปิ พนฺธนารโห วกฺขมานลกฺขณราชิยุโตฺตปิ ‘‘อูนปญฺจพนฺธโนเยวา’’ติ คเหตโพฺพฯ เอตฺถ อพนฺธโน นาม ยสฺส พนฺธนเมว นตฺถิ, โสฯ เตเนวาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ยสฺมา อพนฺธนสฺสปิ ปตฺตสฺส ปญฺจ พนฺธนานิ น ปูเรนฺติ สพฺพโส นตฺถิตายา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๑๒-๖๑๓)ฯ ทฺวงฺคุลปฺปมาณโต อูนราชิยุโตฺต อพนฺธโนกาโสปิ ‘‘อพนฺธโนเยวา’’ติ คเหตโพฺพฯ ยถาห ปาฬิยํ ‘‘อพนฺธโนกาโส นาม ปโตฺต ยสฺส ทฺวงฺคุลา ราชิ น โหตี’’ติ (ปารา. ๖๑๓)ฯ

    768. Pañca bandhanāni ūnāni yassa so pañcabandhanaūno, patto, tasmiṃ, abandhanañca ekadviticatubandhanañca ‘‘pañcabandhanaūna’’nti gahitaṃ. Yathāha pāḷiyaṃ ‘‘ūnapañcabandhano nāma patto abandhano vā ekabandhano vā dvibandhano vā tibandhano vā catubandhano vā’’ti (pārā. 613). Bandhane akatepi bandhanāraho vakkhamānalakkhaṇarājiyuttopi ‘‘ūnapañcabandhanoyevā’’ti gahetabbo. Ettha abandhano nāma yassa bandhanameva natthi, so. Tenevāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yasmā abandhanassapi pattassa pañca bandhanāni na pūrenti sabbaso natthitāyā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.612-613). Dvaṅgulappamāṇato ūnarājiyutto abandhanokāsopi ‘‘abandhanoyevā’’ti gahetabbo. Yathāha pāḷiyaṃ ‘‘abandhanokāso nāma patto yassa dvaṅgulā rāji na hotī’’ti (pārā. 613).

    ๗๖๙. อุทฺทิฎฺฐนฺติ ‘‘พนฺธโนกาโส นาม ปโตฺต ยสฺส ทฺวงฺคุลา ราชิ โหตี’’ติ (ปารา. ๖๑๓) ปทภาชเน วุตฺตํฯ ทฺวงฺคุลาย ราชิยา เอกญฺจ พนฺธนนฺติ โยชนาฯ ‘‘มุขวฎฺฎิโต เหฎฺฐา ภฎฺฐา’’ติ อฎฺฐกถาวจนโต (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๑๒-๖๑๓) ‘‘สพฺพาปิ ราชิโย มุขวฎฺฎิโต ปฎฺฐาย เหฎฺฐา ภฎฺฐาเยว คเหตพฺพา’’ติ นิสฺสเนฺทเห วุตฺตํฯ มุขวฎฺฎิํ วินา อญฺญตฺถาปิ อูนปญฺจพนฺธเน วา อูนปญฺจพนฺธโนกาเส วา สติ โสปิ ปโตฺต อูนปญฺจพนฺธโน น โหตีติ น สกฺกา วตฺตุํ, ตสฺมา ‘‘มุขวฎฺฎิโต ปฎฺฐายา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๑๒-๖๑๓) อฎฺฐกถายํ นิยเมตฺวา วจนํ วีมํสิตพฺพํฯ อิธ ปน ตถา นิยโม น ทสฺสิโต, ตสฺมา อยเมว วินิจฺฉโย สามเญฺญน วุตฺตาย ปาฬิยา อญฺญทตฺถุ สํสนฺทติ สเมติฯ -การสฺส อวุตฺตสมุจฺจยตฺถตฺตา ทฺวงฺคุลทฺวงฺคุลาหิ ทฺวีหิ เทฺว พนฺธนานิ จ ตีณิ พนฺธนานิ จาติ อิทมฺปิ วุตฺตเมว โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ยสฺส ปน เทฺว ราชิโย, เอกาเยว วา จตุรงฺคุลา, ตสฺส เทฺว พนฺธนานิ ทาตพฺพานิฯ ยสฺส ติโสฺส, เอกาเยว วา ฉฬงฺคุลา, ตสฺส ตีณิ พนฺธนานิ ทาตพฺพานี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๑๒-๖๑๓)ฯ

    769.Uddiṭṭhanti ‘‘bandhanokāso nāma patto yassa dvaṅgulā rāji hotī’’ti (pārā. 613) padabhājane vuttaṃ. Dvaṅgulāya rājiyā ekañca bandhananti yojanā. ‘‘Mukhavaṭṭito heṭṭhā bhaṭṭhā’’ti aṭṭhakathāvacanato (pārā. aṭṭha. 2.612-613) ‘‘sabbāpi rājiyo mukhavaṭṭito paṭṭhāya heṭṭhā bhaṭṭhāyeva gahetabbā’’ti nissandehe vuttaṃ. Mukhavaṭṭiṃ vinā aññatthāpi ūnapañcabandhane vā ūnapañcabandhanokāse vā sati sopi patto ūnapañcabandhano na hotīti na sakkā vattuṃ, tasmā ‘‘mukhavaṭṭito paṭṭhāyā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.612-613) aṭṭhakathāyaṃ niyametvā vacanaṃ vīmaṃsitabbaṃ. Idha pana tathā niyamo na dassito, tasmā ayameva vinicchayo sāmaññena vuttāya pāḷiyā aññadatthu saṃsandati sameti. Ca-kārassa avuttasamuccayatthattā dvaṅguladvaṅgulāhi dvīhi dve bandhanāni ca tīṇi bandhanāni cāti idampi vuttameva hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yassa pana dve rājiyo, ekāyeva vā caturaṅgulā, tassa dve bandhanāni dātabbāni. Yassa tisso, ekāyeva vā chaḷaṅgulā, tassa tīṇi bandhanāni dātabbānī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.612-613).

    อูนปญฺจพนฺธนปเตฺตสุ อนฺติมปตฺตสฺส วิภาคํ ทเสฺสตุมาห ‘‘พนฺธนานิ จา’’ติอาทิฯ มุขวฎฺฎิยา อฎฺฐงฺคุลปฺปมาณานํ จตุนฺนํ ราชีนํ จตฺตาริ พนฺธนานิ จาติ วุตฺตํ โหติฯ จกาโร ปุเพฺพ วุตฺตเสฺสว สมุจฺจยํ กโรติฯ อฎฺฐงฺคุลราชิยา ตถาติ มุขวฎฺฎิโต ปฎฺฐาย อฎฺฐงฺคุลายามํ ภฎฺฐาย ราชิยา ทฺวงฺคุลทฺวงฺคุลมเตฺต ฐาเน เตเนว นีหาเรน พทฺธานิ จตฺตาริ พนฺธนานิ จาติ อโตฺถฯ

    Ūnapañcabandhanapattesu antimapattassa vibhāgaṃ dassetumāha ‘‘bandhanāni cā’’tiādi. Mukhavaṭṭiyā aṭṭhaṅgulappamāṇānaṃ catunnaṃ rājīnaṃ cattāri bandhanāni cāti vuttaṃ hoti. Cakāro pubbe vuttasseva samuccayaṃ karoti. Aṭṭhaṅgularājiyā tathāti mukhavaṭṭito paṭṭhāya aṭṭhaṅgulāyāmaṃ bhaṭṭhāya rājiyā dvaṅguladvaṅgulamatte ṭhāne teneva nīhārena baddhāni cattāri bandhanāni cāti attho.

    ๗๗๐. เอวํ อูนปญฺจพนฺธนปตฺตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปริปุณฺณปญฺจพนฺธนปตฺตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปญฺจ วา’’ติอาทิฯ มุขวฎฺฎิยา ทฺวงฺคุลทฺวงฺคุลายามํ โอติณฺณา ปญฺจ ราชิโย จฯ วา-สเทฺทน ปญฺจพนฺธนวิกปฺปา ทสฺสิตาฯ เอกา วาปิ ทสงฺคุลาติ มุขวฎฺฎิโต ทสงฺคุลายามา เอกา วา ราชิ โหติฯ อปิ-สเทฺทน ตสฺสา ราชิยา พนฺธโน ปญฺจพนฺธนปโกฺข ทสฺสิโตฯ อยํ ปโตฺตติ ยสฺส ปญฺจ ราชิโย วา ตตฺถ พนฺธนานิ ปญฺจพนฺธนานิ วา, ทสงฺคุลา เอกา ราชิ วา ตตฺถ พนฺธนานิ ปญฺจพนฺธนานิ วา สนฺติ, อยํ ปโตฺต ปญฺจพนฺธโน นามฯ

    770. Evaṃ ūnapañcabandhanapattaṃ dassetvā idāni paripuṇṇapañcabandhanapattaṃ dassetumāha ‘‘pañca vā’’tiādi. Mukhavaṭṭiyā dvaṅguladvaṅgulāyāmaṃ otiṇṇā pañca rājiyo ca. -saddena pañcabandhanavikappā dassitā. Ekā vāpi dasaṅgulāti mukhavaṭṭito dasaṅgulāyāmā ekā vā rāji hoti. Api-saddena tassā rājiyā bandhano pañcabandhanapakkho dassito. Ayaṃ pattoti yassa pañca rājiyo vā tattha bandhanāni pañcabandhanāni vā, dasaṅgulā ekā rāji vā tattha bandhanāni pañcabandhanāni vā santi, ayaṃ patto pañcabandhano nāma.

    ๗๗๑. เอตฺตาวตา มตฺติกาปเตฺต วินิจฺฉยํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อโยปเตฺต ทเสฺสตุมาห ‘‘อโยปโตฺต’’ติอาทิฯ ฉิทฺทานิ ปฎิจฺฉาเทตุํ พนฺธิตพฺพานิ อโยปฎฺฎานิ โลหมณฺฑลกานิ นามฯ ‘‘ภณฺฑี’’ติปิ ตเสฺสว ปริยาโยฯ ภณฺฑิตพฺพํ พนฺธิตฺวา ฉิเทฺท ปฎิจฺฉาทิเตปิ ยตฺถ อสณฺหตาย อามิสํ ติฎฺฐติ, ตาทิโสปิ อปโตฺตเยวาติ อาห ‘‘มโฎฺฐ วฎฺฎตี’’ติฯ อโยจุเณฺณน วาณิยาติ เอตฺถาปิ ‘‘มโฎฺฐ วฎฺฎตี’’ติ สมฺพนฺธนียํฯ

    771. Ettāvatā mattikāpatte vinicchayaṃ dassetvā idāni ayopatte dassetumāha ‘‘ayopatto’’tiādi. Chiddāni paṭicchādetuṃ bandhitabbāni ayopaṭṭāni lohamaṇḍalakāni nāma. ‘‘Bhaṇḍī’’tipi tasseva pariyāyo. Bhaṇḍitabbaṃ bandhitvā chidde paṭicchāditepi yattha asaṇhatāya āmisaṃ tiṭṭhati, tādisopi apattoyevāti āha ‘‘maṭṭho vaṭṭatī’’ti. Ayocuṇṇena vāṇiyāti etthāpi ‘‘maṭṭho vaṭṭatī’’ti sambandhanīyaṃ.

    ๗๗๒. ตสฺส นิสฺสคฺคิยํ สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐํ ตํ ปตฺตํ ตสฺมิํ อนุกมฺปาย อคณฺหนฺตสฺสาติ โยชนา, ‘‘สงฺฆมเชฺฌ นิสฺสชฺชิตโพฺพ’’ติ (ปารา. ๖๑๓) วจนโต สงฺฆมเชฺฌ นิสฺสฎฺฐํ ตสฺส ตํ ปตฺตํ ตสฺมิํ ปตฺตนิสฺสชฺชเก ปุคฺคเล อนุกมฺปาย อคณฺหนฺตสฺสฯ

    772. Tassa nissaggiyaṃ saṅghassa nissaṭṭhaṃ taṃ pattaṃ tasmiṃ anukampāya agaṇhantassāti yojanā, ‘‘saṅghamajjhe nissajjitabbo’’ti (pārā. 613) vacanato saṅghamajjhe nissaṭṭhaṃ tassa taṃ pattaṃ tasmiṃ pattanissajjake puggale anukampāya agaṇhantassa.

    ๗๗๓. ทียมาเน ตุ ปตฺตสฺมินฺติ อูนปญฺจพนฺธเนน ปเตฺตน วิญฺญาปิตนวปเตฺต ภิกฺขุมฺหิ ตํ ปตฺตํ สงฺฆมเชฺฌ นิสฺสชฺชิตฺวา อาปตฺติํ เทเสตฺวา นิสิเนฺน จตโสฺส อคติโย อคมนํ, คหิตาคหิตชานนนฺติ อิเมหิ ปญฺจหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา ปฐมํ สงฺฆํ ยาจิตฺวา ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย สเงฺฆน ปตฺตคาหกํ กตฺวา สมฺมเตน นิสฺสฎฺฐปตฺตํ หเตฺถน คเหตฺวา ตสฺมิํ สเงฺฆ สงฺฆเตฺถรโต ปฎฺฐาย อนุกฺกเมน อุปสงฺกมฺม วิญฺญายมานํ คุณํ วตฺวา ปณามิเตฯ ยสฺสาติ ตสฺมิํ สงฺฆมเชฺฌ นิสินฺนสฺส ยสฺส ภิกฺขุโน, โรจนตฺถโยเค สมฺปทานวจนํฯ โส ทียมาโน ปโตฺตฯ ตํ ทียมานํ ปตฺตํฯ

    773.Dīyamāne tu pattasminti ūnapañcabandhanena pattena viññāpitanavapatte bhikkhumhi taṃ pattaṃ saṅghamajjhe nissajjitvā āpattiṃ desetvā nisinne catasso agatiyo agamanaṃ, gahitāgahitajānananti imehi pañcahi aṅgehi samannāgatena bhikkhunā paṭhamaṃ saṅghaṃ yācitvā ñattidutiyāya kammavācāya saṅghena pattagāhakaṃ katvā sammatena nissaṭṭhapattaṃ hatthena gahetvā tasmiṃ saṅghe saṅghattherato paṭṭhāya anukkamena upasaṅkamma viññāyamānaṃ guṇaṃ vatvā paṇāmite. Yassāti tasmiṃ saṅghamajjhe nisinnassa yassa bhikkhuno, rocanatthayoge sampadānavacanaṃ. So dīyamāno patto. Taṃ dīyamānaṃ pattaṃ.

    ๗๗๔. ทีปิโตติ ‘‘อปตฺตกสฺส น คาเหตโพฺพ’’ติ (ปารา. ๖๑๕) วุโตฺตฯ ตตฺถาติ ตสฺสํ ภิกฺขุปริสายํฯ ปตฺตปริยโนฺตติ เอตฺถ ‘‘เอวํ ปริวเตฺตตฺวา ปริยเนฺต ฐิตปโตฺต’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๑๕) อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา เตน ปตฺตปริวตฺตเนน อาคโต วา สเพฺพหิ อคฺคหิตตฺตา อาคโต โส เอว วา ปโตฺต ปริยโนฺต นาม โหตีติ อโตฺถฯ ตสฺส ภิกฺขุโนติ ปตฺตํ นิสฺสชฺชิตฺวา นิสินฺนสฺส ตสฺส ภิกฺขุโนฯ

    774.Dīpitoti ‘‘apattakassa na gāhetabbo’’ti (pārā. 615) vutto. Tatthāti tassaṃ bhikkhuparisāyaṃ. Pattapariyantoti ettha ‘‘evaṃ parivattetvā pariyante ṭhitapatto’’ti (pārā. aṭṭha. 2.615) aṭṭhakathāyaṃ vuttattā tena pattaparivattanena āgato vā sabbehi aggahitattā āgato so eva vā patto pariyanto nāma hotīti attho. Tassa bhikkhunoti pattaṃ nissajjitvā nisinnassa tassa bhikkhuno.

    ๗๗๕. นฺติ อตฺตโน ทินฺนํ ตํ ปริยนฺตปตฺตํฯ อปฺปเทเสติ มญฺจปีฐาทิอฎฺฐาเนฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘มญฺจปีฐฉตฺตนาคทนฺตาทิเก อเทเส’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๑๕)ฯ วิสฺสเชฺชตีติ อญฺญสฺส เทติฯ อตฺตนา อทาเปตฺวา อเญฺญน ตํ ปตฺตํ สยเมว อตฺตโน คเหตฺวา อญฺญํ อนุรูปํ ปตฺตํ ทิยฺยมานํ คณฺหิตุํ วฎฺฎตีติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ อโภเคน ปริภุญฺชตีติ ยาคุรนฺธนาทิวเสน ปริภุญฺชติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อโภเคนาติ ยาคุรนฺธนรชนปจนาทินา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๑๕)ฯ ‘‘อนฺตรามเคฺค ปน พฺยาธิมฺหิ อุปฺปเนฺน อญฺญสฺมิํ ภาชเน อสติ มตฺติกาย ลิมฺปิตฺวา ยาคุํ วา ปจิตุํ อุทกํ วา ตาเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๑๕) อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา ตาทิเส ฐาเน ตถาปิ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตีติ เอตฺถ วิเสโสฯ

    775.Tanti attano dinnaṃ taṃ pariyantapattaṃ. Appadeseti mañcapīṭhādiaṭṭhāne. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘mañcapīṭhachattanāgadantādike adese’’ti (pārā. aṭṭha. 2.615). Vissajjetīti aññassa deti. Attanā adāpetvā aññena taṃ pattaṃ sayameva attano gahetvā aññaṃ anurūpaṃ pattaṃ diyyamānaṃ gaṇhituṃ vaṭṭatīti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Abhogena paribhuñjatīti yāgurandhanādivasena paribhuñjati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘abhogenāti yāgurandhanarajanapacanādinā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.615). ‘‘Antarāmagge pana byādhimhi uppanne aññasmiṃ bhājane asati mattikāya limpitvā yāguṃ vā pacituṃ udakaṃ vā tāpetuṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.615) aṭṭhakathāyaṃ vuttattā tādise ṭhāne tathāpi paribhuñjituṃ vaṭṭatīti ettha viseso.

    ๗๗๖. นเฎฺฐติ อตฺตโน ปริภุญฺชิยมาเน ปเตฺต โจรคฺคหณาทินา นเฎฺฐฯ ภิเนฺนติ เภทมุปคเตฯ อนาปตฺตีติ อญฺญํ ปตฺตํ วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺติฯ ปกาสิตาติ ‘‘อนาปตฺติ นฎฺฐปตฺตสฺส ภินฺนปตฺตสฺส ญาตกานํ ปวาริตานํ อญฺญสฺสตฺถาย อตฺตโน ธเนนา’’ติอาทินา (ปารา. ๖๑๗) นเยน ปาฬิยํ เทสิตาฯ อิธ ‘‘อญฺญสฺสตฺถายา’’ติ วุตฺตตฺตา อตฺตโน วฬญฺชิยมาเน ปเตฺต สติปิ อญฺญสฺสตฺถาย ปตฺตํ วิญฺญาเปตุํ วฎฺฎติฯ ญาตกาทีนํ คณฺหโตติ เอตฺถ ‘‘สนฺตก’’นฺติ ลพฺภติฯ อตฺตโน ธเนนาติ โยชนาฯ เอตฺถ ธนํ นาม สุตฺตวตฺถาทิ กปฺปิยวตฺถุฯ

    776.Naṭṭheti attano paribhuñjiyamāne patte coraggahaṇādinā naṭṭhe. Bhinneti bhedamupagate. Anāpattīti aññaṃ pattaṃ viññāpentassa anāpatti. Pakāsitāti ‘‘anāpatti naṭṭhapattassa bhinnapattassa ñātakānaṃ pavāritānaṃ aññassatthāya attano dhanenā’’tiādinā (pārā. 617) nayena pāḷiyaṃ desitā. Idha ‘‘aññassatthāyā’’ti vuttattā attano vaḷañjiyamāne patte satipi aññassatthāya pattaṃ viññāpetuṃ vaṭṭati. Ñātakādīnaṃ gaṇhatoti ettha ‘‘santaka’’nti labbhati. Attano dhanenāti yojanā. Ettha dhanaṃ nāma suttavatthādi kappiyavatthu.

    ๗๗๗. เอตฺถ วิญฺญาปนํ กฺริยํ

    777. Ettha viññāpanaṃ kriyaṃ.

    ทุติยปตฺตกถาวณฺณนาฯ

    Dutiyapattakathāvaṇṇanā.

    ๗๗๘. สปฺปิอาทิํ เภสชฺชนฺติ เอตฺถ ปาฬิยํ ‘‘เสยฺยถิทํ? สปฺปิ นวนีตํ เตลํ มธุ ผาณิต’’นฺติ (ปารา. ๖๒๒) อุทฺทิสิตฺวา ‘‘สปฺปิ นาม โคสปฺปิ วา อชิกาสปฺปิ วา มหิํสสปฺปิ วา, เยสํ มํสํ กปฺปติ, เตสํ สปฺปี’’ติ (ปารา. ๖๒๓) นิทฺทิฎฺฐํ ฆตญฺจ ‘‘เตสํเยว นวนีต’’นฺติ (ปารา. ๖๒๓) นิทฺทิฎฺฐํ นวนีตญฺจ ‘‘ติลเตลํ สาสปเตลํ มธุกเตลํ เอรณฺฑกเตลํ วสาเตล’’นฺติ (ปารา. ๖๒๓) นิทฺทิฎฺฐํ เตลญฺจ ‘‘มธุ นาม มกฺขิกามธู’’ติ (ปารา. ๖๒๓) นิทฺทิฎฺฐํ มธุญฺจ ‘‘ผาณิตํ นาม อุจฺฉุมฺหา นิพฺพตฺต’’นฺติ (ปารา. ๖๒๓) นิทฺทิฎฺฐํ คุฬาทิผาณิตญฺจาติ เอตสฺมิํ ปญฺจเภสชฺชราสิมฺหิ ยํ ยํ เภสชฺชนฺติ อโตฺถฯ ปุเรภตฺตนฺติ ปุเรภเตฺตฯ ปฎิคยฺหาติ ปฎิคฺคเหตฺวาฯ

    778.Sappiādiṃ bhesajjanti ettha pāḷiyaṃ ‘‘seyyathidaṃ? Sappi navanītaṃ telaṃ madhu phāṇita’’nti (pārā. 622) uddisitvā ‘‘sappi nāma gosappi vā ajikāsappi vā mahiṃsasappi vā, yesaṃ maṃsaṃ kappati, tesaṃ sappī’’ti (pārā. 623) niddiṭṭhaṃ ghatañca ‘‘tesaṃyeva navanīta’’nti (pārā. 623) niddiṭṭhaṃ navanītañca ‘‘tilatelaṃ sāsapatelaṃ madhukatelaṃ eraṇḍakatelaṃ vasātela’’nti (pārā. 623) niddiṭṭhaṃ telañca ‘‘madhu nāma makkhikāmadhū’’ti (pārā. 623) niddiṭṭhaṃ madhuñca ‘‘phāṇitaṃ nāma ucchumhā nibbatta’’nti (pārā. 623) niddiṭṭhaṃ guḷādiphāṇitañcāti etasmiṃ pañcabhesajjarāsimhi yaṃ yaṃ bhesajjanti attho. Purebhattanti purebhatte. Paṭigayhāti paṭiggahetvā.

    ๗๗๙. ตํ ปุเรภตฺตํ ปฎิคฺคหิตํ เภสชฺชํฯ สตฺตาหนฺติ เอตฺถ ‘‘วฎฺฎตี’’ติ กิริยาย อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ ‘‘สตฺตาหํ อติกฺกมนฺตสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ‘‘สตฺตาหาติกฺกเม ตสฺสา’’ติ วา ปาโฐฯ สตฺตาหสฺส อติกฺกโม สตฺตาหาติกฺกโม, ตสฺมิํ สตฺตาหาติกฺกเมฯ ตสฺสาติ เภสชฺชปฎิคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโนฯ ‘‘นิสฺสคฺคิย’’นฺติ อิมินา ปาจิตฺติยเมว ทสฺสิตํฯ นิสฺสคฺคิยวตฺถุ ภาชนคณนาย อาปตฺติํ กโรติฯ เอกสฺมิํ ภาชเนปิ วิสุํ วิสุํ ฐปิตานิ นวนีตปิณฺฑคุฬปิณฺฑสกฺกรมธุปฎลานิปิ อตฺตโน คณนาย อาปตฺติํ กโรนฺติฯ

    779.Taṃ purebhattaṃ paṭiggahitaṃ bhesajjaṃ. Sattāhanti ettha ‘‘vaṭṭatī’’ti kiriyāya accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. ‘‘Sattāhaṃ atikkamantassā’’ti padacchedo. ‘‘Sattāhātikkame tassā’’ti vā pāṭho. Sattāhassa atikkamo sattāhātikkamo, tasmiṃ sattāhātikkame. Tassāti bhesajjapaṭiggāhakassa bhikkhuno. ‘‘Nissaggiya’’nti iminā pācittiyameva dassitaṃ. Nissaggiyavatthu bhājanagaṇanāya āpattiṃ karoti. Ekasmiṃ bhājanepi visuṃ visuṃ ṭhapitāni navanītapiṇḍaguḷapiṇḍasakkaramadhupaṭalānipi attano gaṇanāya āpattiṃ karonti.

    ๗๘๐. คณฺหิตฺวาติ ปฎิคฺคเหตฺวาฯ สนฺนิธียตีติ สนฺนิธิ, สนฺนิหิตวตฺถุ, ตสฺส การกํ กรณํ อปราปรทิวสตฺถาย ฐปนํ, ตํ กตฺวา, ปจฺฉาภตฺตํ ปฎิคฺคหิตํ ยถา อปรํ ทิวสํ คจฺฉติ, ตถา กตฺวา นิกฺขิปิตฺวาติ อโตฺถฯ นิรามิสํ สายโตติ อามิเสน อมิเสฺสตฺวา ภุญฺชนฺตสฺสฯ

    780.Gaṇhitvāti paṭiggahetvā. Sannidhīyatīti sannidhi, sannihitavatthu, tassa kārakaṃ karaṇaṃ aparāparadivasatthāya ṭhapanaṃ, taṃ katvā, pacchābhattaṃ paṭiggahitaṃ yathā aparaṃ divasaṃ gacchati, tathā katvā nikkhipitvāti attho. Nirāmisaṃ sāyatoti āmisena amissetvā bhuñjantassa.

    ๗๘๑. อุคฺคหิตนฺติ อปฺปฎิคฺคหาเปตฺวา หเตฺถน คหิตํฯ สรีรโภเคติ พหิ สรีรปริโภเคเนวฯ

    781.Uggahitanti appaṭiggahāpetvā hatthena gahitaṃ. Sarīrabhogeti bahi sarīraparibhogeneva.

    ๗๘๒. คหิตํ ปฎิคฺคหิตํฯ ตาเปตฺวาติ วิลียาเปตฺวาฯ

    782.Gahitaṃ paṭiggahitaṃ. Tāpetvāti vilīyāpetvā.

    ๗๘๓. ‘‘สยํ ตาเปติ…เป.… น โหติ โส’’ติ อิทํ สุโธตนวนีตํ สนฺธาย วุตฺตํ, ทุโทฺธเตน ปน ทธิคุฬิกาทิสหิเตน สามํปาโก โหเตวฯ นวนีตสฺส ยํ สยํ ตาปนํ, โส สามํปาโก น โหตีติ โยชนาฯ

    783.‘‘Sayaṃ tāpeti…pe… na hoti so’’ti idaṃ sudhotanavanītaṃ sandhāya vuttaṃ, duddhotena pana dadhiguḷikādisahitena sāmaṃpāko hoteva. Navanītassa yaṃ sayaṃ tāpanaṃ, so sāmaṃpāko na hotīti yojanā.

    ๗๘๔. เยน เกนจีติ อุปสมฺปเนฺนน, อนุปสมฺปเนฺนน วาฯ

    784.Yena kenacīti upasampannena, anupasampannena vā.

    ๗๘๕. ‘‘สยํ กโรตี’’ติ อิมินา อนุปสมฺปนฺนํ นิวเตฺตติฯ เตน กตํ ปน ตทหุ ปุเรภตฺตํ สามิสมฺปิ วฎฺฎติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ปุเรภตฺตํ ปฎิคฺคหิตขีเรน วา ทธินา วา กตสปฺปิ อนุปสมฺปเนฺนน กตํ สามิสมฺปิ ตทหุ ปุเรภตฺตํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๒)ฯ

    785.‘‘Sayaṃ karotī’’ti iminā anupasampannaṃ nivatteti. Tena kataṃ pana tadahu purebhattaṃ sāmisampi vaṭṭati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘purebhattaṃ paṭiggahitakhīrena vā dadhinā vā katasappi anupasampannena kataṃ sāmisampi tadahu purebhattaṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.622).

    ๗๘๖. สวตฺถุกสฺสาติ เอตฺถ วตฺถุ นาม ขีรทธิฯ

    786.Savatthukassāti ettha vatthu nāma khīradadhi.

    ๗๘๗. อสฺสาติ ปฎิคฺคหิตขีรทธีหิ กตสปฺปิมาหฯ ‘‘ปฎิคฺคเหตฺวา ตานี’’ติ วุตฺตตฺตาติ อิทํ ‘‘ยานิ โข ปน ตานิ คิลานานํ ภิกฺขูนํ ปฎิสายนียานิ เภสชฺชานิ, เสยฺยถิทํ? สปฺปิ นวนีตํ เตลํ มธุ ผาณิตํ, ตานิ ปฎิคฺคเหตฺวา’’ติ (ปารา. ๖๒๒) อิมสฺมิํ มาติกาปาเฐ ‘‘ยานี’’ติ วุตฺตสปฺปิอาทีนเมว ‘‘ตานิ ปฎิคฺคเหตฺวา’’ติ วุตฺตตฺตาติ วุตฺตํ โหติ, ตตฺถ ขีรทธีนํ อวุตฺตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ

    787.Assāti paṭiggahitakhīradadhīhi katasappimāha. ‘‘Paṭiggahetvā tānī’’ti vuttattāti idaṃ ‘‘yāni kho pana tāni gilānānaṃ bhikkhūnaṃ paṭisāyanīyāni bhesajjāni, seyyathidaṃ? Sappi navanītaṃ telaṃ madhu phāṇitaṃ, tāni paṭiggahetvā’’ti (pārā. 622) imasmiṃ mātikāpāṭhe ‘‘yānī’’ti vuttasappiādīnameva ‘‘tāni paṭiggahetvā’’ti vuttattāti vuttaṃ hoti, tattha khīradadhīnaṃ avuttattāti adhippāyo.

    ๗๘๘. กปฺปิยสปฺปิมฺหีติ กปฺปิยมํสานํ สตฺตานํ ฆเตฯ อกปฺปิยสปฺปิมฺหีติ อกปฺปิยมํสานํ สตฺตานํ ฆเต, ปฎิคฺคเหตฺวา สตฺตาเห อติกฺกเนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ

    788.Kappiyasappimhīti kappiyamaṃsānaṃ sattānaṃ ghate. Akappiyasappimhīti akappiyamaṃsānaṃ sattānaṃ ghate, paṭiggahetvā sattāhe atikkanteti vuttaṃ hoti.

    ๗๘๙. เตน สปฺปินา อกปฺปิเยน ภวิตพฺพนฺติ อิทํ ทุกฺกฎํ กถํ โหตีติ อาห ‘‘สพฺพา’’ติอาทิฯ อกปฺปิยํ มํสํ เยสํ เต อกปฺปิยมํสา, มนุสฺสาทโย, สเพฺพ จ เต อกปฺปิยมํสา จาติ สพฺพากปฺปิยมํสา, เตสํฯ

    789. Tena sappinā akappiyena bhavitabbanti idaṃ dukkaṭaṃ kathaṃ hotīti āha ‘‘sabbā’’tiādi. Akappiyaṃ maṃsaṃ yesaṃ te akappiyamaṃsā, manussādayo, sabbe ca te akappiyamaṃsā cāti sabbākappiyamaṃsā, tesaṃ.

    ๗๙๐-๑. เอวํ เจ วฎฺฎติ, ‘‘เยสํ มํสํ กปฺปติ, เตสํ สปฺปี’’ติ กสฺมา ปาฬิยํ วุตฺตนฺติ โจทนํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ตํ ปริหริตุมาห ‘‘เยส’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ ‘‘เยสญฺหิ กปฺปติ มํสํ, เตสํ สปฺปี’’ติ อิทํ วจนํ กิํ ปโยชนํ สาเธตีติ วุตฺตํ โหติฯ อิทานิ ปริเจฺฉทนิยมนสงฺขาตํ ตํปโยชนญฺจ ตพฺพิสยญฺจ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปณีตโภชนสฺสา’’ติอาทิฯ ปณีตโภชนสฺส ปริเจฺฉทนิยามนนฺติ โยชนาฯ สตฺตาหกาลิเก ปญฺจวิเธ เภสเชฺชติ วุตฺตํ โหติ, นิทฺธารเณ ภุมฺมํฯ นิสฺสคฺคิยสฺส วตฺถูนนฺติ นิทฺธาริตพฺพทสฺสนํฯ นิสฺสคฺคิยสฺสาติ เอตฺถ ตํเหตุกสฺส ปาจิตฺติยสฺสาติ อโตฺถฯ วตฺถูนนฺติ สปฺปินวนีตทฺวยเมว วุตฺตํฯ สตฺตาหกาลิเก นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยสฺส วตฺถุ นาม เอเตสเมว สปฺปินวนีตานิ, ปณีตโภชนญฺจ เตสเมว ขีรทธิสปฺปินวนีตานีติ ทเสฺสตุํ ตถา วุตฺตํ, น อกปฺปิยมํสสตฺตานํ สปฺปิอาทินิวารณตฺถํ วุตฺตนฺติ อยํ ปาฬิยํ ตถาคตา ธิเปฺปโต อโตฺถติ วุตฺตํ โหติฯ

    790-1. Evaṃ ce vaṭṭati, ‘‘yesaṃ maṃsaṃ kappati, tesaṃ sappī’’ti kasmā pāḷiyaṃ vuttanti codanaṃ samuṭṭhāpetvā taṃ pariharitumāha ‘‘yesa’’ntiādi. Tattha ‘‘yesañhi kappati maṃsaṃ, tesaṃ sappī’’ti idaṃ vacanaṃ kiṃ payojanaṃ sādhetīti vuttaṃ hoti. Idāni paricchedaniyamanasaṅkhātaṃ taṃpayojanañca tabbisayañca dassetumāha ‘‘paṇītabhojanassā’’tiādi. Paṇītabhojanassa paricchedaniyāmananti yojanā. Sattāhakālike pañcavidhe bhesajjeti vuttaṃ hoti, niddhāraṇe bhummaṃ. Nissaggiyassa vatthūnanti niddhāritabbadassanaṃ. Nissaggiyassāti ettha taṃhetukassa pācittiyassāti attho. Vatthūnanti sappinavanītadvayameva vuttaṃ. Sattāhakālike nissaggiyapācittiyassa vatthu nāma etesameva sappinavanītāni, paṇītabhojanañca tesameva khīradadhisappinavanītānīti dassetuṃ tathā vuttaṃ, na akappiyamaṃsasattānaṃ sappiādinivāraṇatthaṃ vuttanti ayaṃ pāḷiyaṃ tathāgatā dhippeto atthoti vuttaṃ hoti.

    ๗๙๒. คหิตุคฺคหิตาทิเก อุคฺคหิตปฎิคฺคหิตาทิเก นวนีเตปิ สโพฺพ วินิจฺฉโย สปฺปิมฺหิ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพติ โยชนาฯ อาทิ-สเทฺทน ปุเรภตฺตํ, ปจฺฉาภตฺตํ ปฎิคฺคหิตขีรทธีหิ, อุคฺคหิตขีรทธีหิ จ กตํ นวนีตํ, ตาทิสเมว อกปฺปิยมํสนวนีตญฺจ สงฺคหิตํฯ สโพฺพ วินิจฺฉโยติ อาปตฺติอาทิกํ สพฺพวินิจฺฉยํ สงฺคณฺหาติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สโพฺพ อาปตฺตานาปตฺติปริโภคาปริโภคนโย’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๒)ฯ

    792.Gahituggahitādike uggahitapaṭiggahitādike navanītepi sabbo vinicchayo sappimhi vuttanayeneva veditabboti yojanā. Ādi-saddena purebhattaṃ, pacchābhattaṃ paṭiggahitakhīradadhīhi, uggahitakhīradadhīhi ca kataṃ navanītaṃ, tādisameva akappiyamaṃsanavanītañca saṅgahitaṃ. Sabbo vinicchayoti āpattiādikaṃ sabbavinicchayaṃ saṅgaṇhāti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sabbo āpattānāpattiparibhogāparibhoganayo’’ti (pārā. aṭṭha. 2.622).

    ๗๙๓-๔. ภิกฺขูนํ อากิรนฺตีติ เอตฺถ ‘‘ปเตฺต’’ติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ อาทิจฺจปกฺกนฺติ อาตเป วิลีนํฯ สํสฎฺฐํ ปริสฺสาวิตํฯ

    793-4.Bhikkhūnaṃ ākirantīti ettha ‘‘patte’’ti sāmatthiyā labbhati. Ādiccapakkanti ātape vilīnaṃ. Saṃsaṭṭhaṃ parissāvitaṃ.

    ๗๙๕-๖. ติลเตลํ สาสปเตลํ มธุกเตลํ เอรณฺฑกเตลํฯ คหิตนฺติ ปฎิคฺคหิตํฯ ปุเรภตฺตํ สามิสมฺปิ นิรามิสมฺปิ สายิตพฺพนฺติ โยชนาฯ เตสํ วสาติ สตฺตาหาติกฺกนฺตานํ เตสํ เตลานํ วเสน, เตลภาชนคณนายาติ วุตฺตํ โหติฯ

    795-6. Tilatelaṃ sāsapatelaṃ madhukatelaṃ eraṇḍakatelaṃ. Gahitanti paṭiggahitaṃ. Purebhattaṃ sāmisampi nirāmisampi sāyitabbanti yojanā. Tesaṃ vasāti sattāhātikkantānaṃ tesaṃ telānaṃ vasena, telabhājanagaṇanāyāti vuttaṃ hoti.

    ๗๙๘. เตสํ ติณฺณมฺปีติ เอรณฺฑมธุกสาสปพีชานํ ติณฺณํฯ

    798.Tesaṃ tiṇṇampīti eraṇḍamadhukasāsapabījānaṃ tiṇṇaṃ.

    ๗๙๙. นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ

    799.Nissaggiyaṃ pācittiyaṃ.

    ๘๐๐. สาสปาทีนนฺติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ปฎิโลเมน มธุเกรณฺฑกานํ คหณํฯ คเหตฺวาติ ปฎิคฺคเหตฺวาฯ ภิกฺขุนา เตลตฺถาเยว คเหตฺวา ฐปิตานํ สาสปาทีนํ สตฺตาหาติกฺกเม ทุกฺกฎํ สิยาติ โยชนาฯ

    800.Sāsapādīnanti ettha ādi-saddena paṭilomena madhukeraṇḍakānaṃ gahaṇaṃ. Gahetvāti paṭiggahetvā. Bhikkhunā telatthāyeva gahetvā ṭhapitānaṃ sāsapādīnaṃ sattāhātikkame dukkaṭaṃ siyāti yojanā.

    ๘๐๑-๒. นาฬิเกรญฺจ กรญฺชญฺจ นาฬิเกรกรญฺชานิ, เตสํ, นาฬิเกรผลานํ, นตฺตมาลฎฺฐีนญฺจ เตลนฺติ สมฺพโนฺธฯ กุรุวกสฺสาติ อตสิพีชสฺสฯ นิมฺพญฺจ โกสมฺพกญฺจ นิมฺพโกสมฺพกานิ, เตสํ, ปุจิมนฺทพีชสฺส จ ผนฺทนพีชสฺส จ เตลนฺติ สมฺพโนฺธฯ ภลฺลาตกสฺสาติ เอวํนามกสฺส รุกฺขพีชสฺสฯ สมยจฺจเยติ สตฺตาหาติกฺกเมฯ

    801-2. Nāḷikerañca karañjañca nāḷikerakarañjāni, tesaṃ, nāḷikeraphalānaṃ, nattamālaṭṭhīnañca telanti sambandho. Kuruvakassāti atasibījassa. Nimbañca kosambakañca nimbakosambakāni, tesaṃ, pucimandabījassa ca phandanabījassa ca telanti sambandho. Bhallātakassāti evaṃnāmakassa rukkhabījassa. Samayaccayeti sattāhātikkame.

    ๘๐๓. ยาวกาลิกเภทญฺจาติ เอตฺถ ‘‘ยาวกาลิก’’นฺติ เภโท วิเสสนํ ยสฺสาติ วิคฺคโห, ‘‘อิทํ วตฺถุ’’นฺติ เอตสฺส อโชฺฌหรณียวิเสสิตพฺพสฺส วิเสสนํฯ ยาวชีวิกนฺติปิ ตเสฺสว วิเสสนํฯ เสสนฺติ ‘‘สามํปากสวตฺถุก ปุเรภตฺตปจฺฉาภตฺตปฎิคฺคหิตอุคฺคหิตกวตฺถุวิธานํ สพฺพ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๒) อฎฺฐกถายํ ทสฺสิตํ เสสํ วิเสสปฺปการชาตมาหฯ เอตฺถาปีติ อิมสฺมิํ เตลวินิจฺฉเยปิฯ

    803.Yāvakālikabhedañcāti ettha ‘‘yāvakālika’’nti bhedo visesanaṃ yassāti viggaho, ‘‘idaṃ vatthu’’nti etassa ajjhoharaṇīyavisesitabbassa visesanaṃ. Yāvajīvikantipi tasseva visesanaṃ. Sesanti ‘‘sāmaṃpākasavatthuka purebhattapacchābhattapaṭiggahitauggahitakavatthuvidhānaṃ sabba’’nti (pārā. aṭṭha. 2.622) aṭṭhakathāyaṃ dassitaṃ sesaṃ visesappakārajātamāha. Etthāpīti imasmiṃ telavinicchayepi.

    ๘๐๔. อจฺฉสฺส อิสสฺสฯ มจฺฉสฺส ชลชสฺสฯ วราหสฺส สูกรสฺสฯ สุสุกาสงฺขาตสฺส มกรสฺสฯ มจฺฉวจเนเนว มกรสฺส สงฺคหิตเตฺตปิ วาฬมจฺฉภาเวน วิสุํ คหณนฺติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ คทฺรภสฺส ขรสฺสฯ อิเมสํ ปญฺจนฺนํ สตฺตานํ วเสน ปญฺจวิธานํ วสานํ เตลญฺจ ปญฺจปฺปการํ โหตีติ อโตฺถฯ

    804.Acchassa isassa. Macchassa jalajassa. Varāhassa sūkarassa. Susukāsaṅkhātassa makarassa. Macchavacaneneva makarassa saṅgahitattepi vāḷamacchabhāvena visuṃ gahaṇanti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Gadrabhassa kharassa. Imesaṃ pañcannaṃ sattānaṃ vasena pañcavidhānaṃ vasānaṃ telañca pañcappakāraṃ hotīti attho.

    ๘๐๕. กปฺปิยากปฺปิยสฺส จาติ กปฺปิยากปฺปิยมํสสฺส สตฺตสฺสาติ วุตฺตํ โหติ, สพฺพเมว วสาเตลํ วฎฺฎตีติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ เอตฺถ ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว วสานิ เภสชฺชานิ อจฺฉวสํ มจฺฉวสํ สุสุกาวสํ สูกรวสํ คทฺรภวส’’นฺติ (มหาว. ๒๖๒) อนุญฺญาตปาเฐ อจฺฉวสาคฺคหเณน มนุเสฺสหิ อเญฺญสํ สพฺพากปฺปิยมํสสตฺตานํ วสาย อนุญฺญาตตฺตา ตํ สงฺคเหตุํ อกปฺปิยคฺคหณํ กตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อจฺฉวส’นฺติ วจเนน ฐเปตฺวา มนุสฺสวสํ สเพฺพสํ อกปฺปิยมํสานํ วสา อนุญฺญาตา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๓)ฯ เอตฺถ อกปฺปิยมํสสตฺตานํ มํสานํ อกปฺปิยภาโว ‘‘มํเสสุ หิ ทส มนุสฺสหตฺถิอสฺสสุนขอหิสีหพฺยคฺฆทีปิอจฺฉตรจฺฉานํ มํสานิ อกปฺปิยานิฯ วสาสุ เอกา มนุสฺสวสาวฯ ขีราทีสุ อกปฺปิยํ นาม นตฺถี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๓) อฎฺฐกถาวจนโต เวทิตโพฺพฯ อกปฺปิยวจเนน มนุสฺสวสายปิ คยฺหมานตฺตา ตสฺมิํ นีหริตุมาห ‘‘ฐเปตฺวา’’ติฯ

    805.Kappiyākappiyassa cāti kappiyākappiyamaṃsassa sattassāti vuttaṃ hoti, sabbameva vasātelaṃ vaṭṭatīti iminā sambandho. Ettha ‘‘anujānāmi bhikkhave vasāni bhesajjāni acchavasaṃ macchavasaṃ susukāvasaṃ sūkaravasaṃ gadrabhavasa’’nti (mahāva. 262) anuññātapāṭhe acchavasāggahaṇena manussehi aññesaṃ sabbākappiyamaṃsasattānaṃ vasāya anuññātattā taṃ saṅgahetuṃ akappiyaggahaṇaṃ katanti daṭṭhabbaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘acchavasa’nti vacanena ṭhapetvā manussavasaṃ sabbesaṃ akappiyamaṃsānaṃ vasā anuññātā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.623). Ettha akappiyamaṃsasattānaṃ maṃsānaṃ akappiyabhāvo ‘‘maṃsesu hi dasa manussahatthiassasunakhaahisīhabyagghadīpiacchataracchānaṃ maṃsāni akappiyāni. Vasāsu ekā manussavasāva. Khīrādīsu akappiyaṃ nāma natthī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.623) aṭṭhakathāvacanato veditabbo. Akappiyavacanena manussavasāyapi gayhamānattā tasmiṃ nīharitumāha ‘‘ṭhapetvā’’ti.

    ๘๐๖. ปุเรภตฺตนฺติ ปุเรภเตฺตฯ สํสฎฺฐํ ปริสฺสาวิตํฯ ‘‘ปุเรภตฺต’’นฺติ อิทํ ‘‘ปฎิคฺคเหตฺวาน, ปกฺกํ, สํสฎฺฐ’’นฺติ อิเมหิ ปเทหิ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ ยถาห ปาฬิยํ ‘‘กาเล ปฎิคฺคหิตํ กาเล นิปฺปกฺกํ กาเล สํสฎฺฐํ เตลปริโภเคน ปริภุญฺชิตุ’’นฺติ (มหาว. ๒๖๒)ฯ

    806.Purebhattanti purebhatte. Saṃsaṭṭhaṃ parissāvitaṃ. ‘‘Purebhatta’’nti idaṃ ‘‘paṭiggahetvāna, pakkaṃ, saṃsaṭṭha’’nti imehi padehi paccekaṃ yojetabbaṃ. Yathāha pāḷiyaṃ ‘‘kāle paṭiggahitaṃ kāle nippakkaṃ kāle saṃsaṭṭhaṃ telaparibhogena paribhuñjitu’’nti (mahāva. 262).

    ๘๐๗. ตํ กตฺวา เทตีติ อปฎิคฺคหิตวสํ คเหตฺวา ปจิตฺวา เตลํ เทตีติ อโตฺถฯ เตนาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อนุปสมฺปเนฺนหิ กตํ นิพฺพฎฺฎิตวสาเตลํ ปุเรภตฺตํ ปฎิคฺคหิตํ ปุเรภตฺตํ สามิสมฺปิ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๓)ฯ ตโต อุทฺธํ สตฺตาหมนติกฺกมฺมาติ คเหตพฺพํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ปจฺฉาภตฺตโต ปฎฺฐาย สตฺตาหํ นิรามิสเมว วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๓)ฯ อิธ อุภยตฺถาปิ กาเล, วิกาเล จ กปฺปิยากปฺปิยมํสวสานํ เตลํ ทิยฺยมานํ สุขุมมํสจุณฺณาทิกํ อโพฺพหาริกํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ยํ ปน ตตฺถ สุขุมรชสทิสํ มํสํ วา นฺหารุ วา อฎฺฐิ วา โลหิตํ วา โหติ, ตํ อโพฺพหาริก’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๓)ฯ

    807.Taṃ katvā detīti apaṭiggahitavasaṃ gahetvā pacitvā telaṃ detīti attho. Tenāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘anupasampannehi kataṃ nibbaṭṭitavasātelaṃ purebhattaṃ paṭiggahitaṃ purebhattaṃ sāmisampi vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.623). Tato uddhaṃ sattāhamanatikkammāti gahetabbaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘pacchābhattato paṭṭhāya sattāhaṃ nirāmisameva vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.623). Idha ubhayatthāpi kāle, vikāle ca kappiyākappiyamaṃsavasānaṃ telaṃ diyyamānaṃ sukhumamaṃsacuṇṇādikaṃ abbohārikaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yaṃ pana tattha sukhumarajasadisaṃ maṃsaṃ vā nhāru vā aṭṭhi vā lohitaṃ vā hoti, taṃ abbohārika’’nti (pārā. aṭṭha. 2.623).

    ๘๐๘. ปฎิคฺคเหตุนฺติ เอตฺถ ‘‘วส’’นฺติ จ กาตุนฺติ เอตฺถ ‘‘เตล’’นฺติ จ ปกรณโต ลพฺภติฯ กาตุนฺติ เอตฺถ ปจิตุํ ปริสฺสาวิตุนฺติ อุภยเมวาติ อโตฺถฯ ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ อิทํ ปฎิคฺคหณาทิปโยคตฺตเย วิสุํ วิสุํ ทุกฺกฎตฺตา วุตฺตํฯ ยถาห ปาฬิยํ ‘‘วิกาเล เจ ภิกฺขเว ปฎิคฺคหิตํ วิกาเล นิปฺปกฺกํ วิกาเล สํสฎฺฐํ, ตํ เจ ปริภุเญฺชยฺย, อาปตฺติ ติณฺณํ ทุกฺกฎาน’’นฺติ (มหาว. ๒๖๒)ฯ อิมานิ หิ ตีหิ ปโยเคหิ ตีณิ ทุกฺกฎานิ โหนฺติฯ เสโสติ อุคฺคหิตกปฎิคฺคหิตกสวตฺถุกวิสโย วินิจฺฉโย จ ภาชนคณนาย อาปตฺติเภโท จาติ เอวํปกาโร วตฺตพฺพวิเสโสฯ

    808.Paṭiggahetunti ettha ‘‘vasa’’nti ca kātunti ettha ‘‘tela’’nti ca pakaraṇato labbhati. Kātunti ettha pacituṃ parissāvitunti ubhayamevāti attho. ‘‘Na vaṭṭatī’’ti idaṃ paṭiggahaṇādipayogattaye visuṃ visuṃ dukkaṭattā vuttaṃ. Yathāha pāḷiyaṃ ‘‘vikāle ce bhikkhave paṭiggahitaṃ vikāle nippakkaṃ vikāle saṃsaṭṭhaṃ, taṃ ce paribhuñjeyya, āpatti tiṇṇaṃ dukkaṭāna’’nti (mahāva. 262). Imāni hi tīhi payogehi tīṇi dukkaṭāni honti. Sesoti uggahitakapaṭiggahitakasavatthukavisayo vinicchayo ca bhājanagaṇanāya āpattibhedo cāti evaṃpakāro vattabbaviseso.

    ๘๐๙. คหิตนฺติ ปฎิคฺคหิตํฯ มธุกรีกตนฺติ มธุมกฺขิกาขุทฺทกมกฺขิกาภมรมกฺขิกาสงฺขาตาหิ ตีหิ มธุกรีหิ กตํฯ

    809.Gahitanti paṭiggahitaṃ. Madhukarīkatanti madhumakkhikākhuddakamakkhikābhamaramakkhikāsaṅkhātāhi tīhi madhukarīhi kataṃ.

    ๘๑๐. วตฺถูนํ คณนาติ มธุปฎเลน ฐิตํ เจ, ปฎลคณนาย, ปีเฬตฺวา ภาชเน ปกฺขิปิตฺวา ฐปิตํ เจ, ภาชนคณนาย, สิเลสมิว ปตฺถินฺนํ เจ, มหาภมรมธุขณฺฑปิณฺฑวเสน, วิสุํ วิสุํ กเต เตสํ คณนายาติ อโตฺถฯ

    810.Vatthūnaṃ gaṇanāti madhupaṭalena ṭhitaṃ ce, paṭalagaṇanāya, pīḷetvā bhājane pakkhipitvā ṭhapitaṃ ce, bhājanagaṇanāya, silesamiva patthinnaṃ ce, mahābhamaramadhukhaṇḍapiṇḍavasena, visuṃ visuṃ kate tesaṃ gaṇanāyāti attho.

    ๘๑๑. ฆนาฆนนฺติ เอตฺถ คุฬญฺจ นานปฺปการา สกฺกรา จ ฆนปกฺกํ นามฯ ปกฺกตนุกํ ผาณิตํ อฆนปกฺกํ นามฯ อุจฺฉุสิเลโส อปกฺกฆนํ นามฯ อุจฺฉุทณฺฑโต ปีฬิตรโส อปกฺกาฆนํ นามฯ ‘‘ผาณิตํ นาม อุจฺฉุมฺหา นิพฺพตฺต’’นฺติ (ปารา. ๖๒๓) สาธารณปาฬิวจนโต, ‘‘ผาณิตํ นาม อุจฺฉุรสํ อุปาทายา’’ติ (กงฺขา. อฎฺฐ. เภสชฺชสิกฺขาปทวณฺณนา; วิ. สงฺค อฎฺฐ. ๙๘) อฎฺฐกถาวจนโต จ อิห รสาทีหิ อุจฺฉุปานมฺปิ สงฺคหิตํฯ เกจิ อุจฺฉุโน จตุกาลิกตฺตํ วณฺณยนฺติ, ตํ น สารโต ปเจฺจตพฺพํฯ

    811.Ghanāghananti ettha guḷañca nānappakārā sakkarā ca ghanapakkaṃ nāma. Pakkatanukaṃ phāṇitaṃ aghanapakkaṃ nāma. Ucchusileso apakkaghanaṃ nāma. Ucchudaṇḍato pīḷitaraso apakkāghanaṃ nāma. ‘‘Phāṇitaṃ nāma ucchumhā nibbatta’’nti (pārā. 623) sādhāraṇapāḷivacanato, ‘‘phāṇitaṃ nāma ucchurasaṃ upādāyā’’ti (kaṅkhā. aṭṭha. bhesajjasikkhāpadavaṇṇanā; vi. saṅga aṭṭha. 98) aṭṭhakathāvacanato ca iha rasādīhi ucchupānampi saṅgahitaṃ. Keci ucchuno catukālikattaṃ vaṇṇayanti, taṃ na sārato paccetabbaṃ.

    ๘๑๒. ผาณิตนฺติ วุตฺตปฺปกาเร ตสฺมิํ ผาณิเต อญฺญตรํฯ คหิตํ ปฎิคฺคหิตํฯ

    812.Phāṇitanti vuttappakāre tasmiṃ phāṇite aññataraṃ. Gahitaṃ paṭiggahitaṃ.

    ๘๑๓. อสํสเฎฺฐนาติ อปริสฺสาวิเตนฯ กตผาณิตนฺติ ปริสฺสาเวตฺวา อตฺตนา กตผาณิตํฯ ปุเรภตฺตํ คหิเตนาติ ปุเรภตฺตํ ปฎิคฺคหิเตนฯ ‘‘สยํ กต’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๓) วุตฺตตฺตา กตนฺติ อุจฺฉุรโส คเหตโพฺพฯ

    813.Asaṃsaṭṭhenāti aparissāvitena. Kataphāṇitanti parissāvetvā attanā kataphāṇitaṃ. Purebhattaṃ gahitenāti purebhattaṃ paṭiggahitena. ‘‘Sayaṃ kata’’nti (pārā. aṭṭha. 2.623) vuttattā katanti ucchuraso gahetabbo.

    ๘๑๖. กตฺวาติ ปจิตฺวา ผาณิตํ กตฺวาฯ

    816.Katvāti pacitvā phāṇitaṃ katvā.

    ๘๑๗. ปจฺฉาภตฺตํ กตญฺจาปีติ ปจฺฉาภตฺตํ อตฺตนา จ กตํ อนุปสมฺปเนฺนน จ กตํ ผาณิตมฺปิฯ

    817.Pacchābhattaṃ katañcāpīti pacchābhattaṃ attanā ca kataṃ anupasampannena ca kataṃ phāṇitampi.

    ๘๑๘. กตํ …เป.… สีตวารินาติ สีตุทเก มธุกปุปฺผานิ ปกฺขิปิตฺวา ฐเปตฺวา มทฺทิตฺวา ปริสฺสาวิตรเสน กตํ มธุกผาณิตํฯ

    818.Kataṃ…pe… sītavārināti sītudake madhukapupphāni pakkhipitvā ṭhapetvā madditvā parissāvitarasena kataṃ madhukaphāṇitaṃ.

    ๘๑๙. อสฺสาติ มธุกผาณิตสฺสฯ ทุกฺกฎนฺติ ตทาธารภาชนคณนาย ทุกฺกฎํฯ ขีรํ ปกฺขิปิตฺวา กตํ มธุกผาณิตํ ยาวกาลิกํ เจ โหติ, กถํ ขณฺฑสกฺกรากตํ สตฺตาหกาลิกํ โหตีติ วิจารณายํ ขีรชลฺลิกํ โธวิตฺวา โธวิตฺวา คยฺหมานตฺตา วฎฺฎตีติ ปริหรนฺติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ขณฺฑสกฺกรํ ปน ขีรชลฺลิกํ อปเนตฺวา อปเนตฺวา โสเธนฺติ, ตสฺมา วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๓)ฯ ‘‘พีชโต ปฎฺฐาย น วฎฺฎตี’’ติ ปฎิกฺขิตฺตมธุกปุปฺผเมรยํ วินา อามกญฺจ ปกฺกญฺจ มธุกปุปฺผํ ปุเรภตฺตํ วฎฺฎตีติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ

    819.Assāti madhukaphāṇitassa. Dukkaṭanti tadādhārabhājanagaṇanāya dukkaṭaṃ. Khīraṃ pakkhipitvā kataṃ madhukaphāṇitaṃ yāvakālikaṃ ce hoti, kathaṃ khaṇḍasakkarākataṃ sattāhakālikaṃ hotīti vicāraṇāyaṃ khīrajallikaṃ dhovitvā dhovitvā gayhamānattā vaṭṭatīti pariharanti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘khaṇḍasakkaraṃ pana khīrajallikaṃ apanetvā apanetvā sodhenti, tasmā vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.623). ‘‘Bījato paṭṭhāya na vaṭṭatī’’ti paṭikkhittamadhukapupphamerayaṃ vinā āmakañca pakkañca madhukapupphaṃ purebhattaṃ vaṭṭatīti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.

    ๘๒๐. สเพฺพสํ ปน ผลานนฺติ กทลิขชฺชูริอาทิผลานํฯ

    820.Sabbesaṃ pana phalānanti kadalikhajjūriādiphalānaṃ.

    ๘๒๑. สามญฺญโชตนาย วิเสเสปิ อวฎฺฐานโต ‘‘กาลิกา’’ติ อิมินา ‘‘ปจฺฉาภตฺตํ สติ ปจฺจเย’’ติ วจนสามตฺถิยา ยาวกาลิกวชฺชา ตโย กาลิกา คเหตพฺพา , ‘‘ปุเรภตฺตํ ยถาสุข’’นฺติ วจนสามตฺถิยา จตฺตาโรปิ คเหตพฺพาฯ ยาวกาลิกวชฺชา ตโย กาลิกา ปจฺฉาภตฺตํ วิกาเล ปจฺจเย ปิปาสาทิการเณ สติ เกวลมฺปิ ปเจฺจกมฺปิ มิเสฺสตฺวาปิ ปริภุญฺชิตุํ ภิกฺขุสฺส วฎฺฎนฺติฯ กาลิกา จตฺตาโรปิ ปุเรภตฺตํ กาเล ยาวมชฺฌนฺหา เกวลมฺปิ มิเสฺสตฺวาปิ ยถาสุขํ อสติปิ ปจฺจเย ปริภุญฺชิตุํ ภิกฺขุสฺส วฎฺฎนฺตีติ โยชนาฯ

    821. Sāmaññajotanāya visesepi avaṭṭhānato ‘‘kālikā’’ti iminā ‘‘pacchābhattaṃ sati paccaye’’ti vacanasāmatthiyā yāvakālikavajjā tayo kālikā gahetabbā , ‘‘purebhattaṃ yathāsukha’’nti vacanasāmatthiyā cattāropi gahetabbā. Yāvakālikavajjā tayo kālikā pacchābhattaṃ vikāle paccaye pipāsādikāraṇe sati kevalampi paccekampi missetvāpi paribhuñjituṃ bhikkhussa vaṭṭanti. Kālikā cattāropi purebhattaṃ kāle yāvamajjhanhā kevalampi missetvāpi yathāsukhaṃ asatipi paccaye paribhuñjituṃ bhikkhussa vaṭṭantīti yojanā.

    ๘๒๒. อรุอาทีนีติ วณาทีนิฯ ‘‘มเกฺขตุํ น วฎฺฎตี’’ติ อิมินา พาหิรปริโภโคปิ นิวาริโตฯ

    822.Aruādīnīti vaṇādīni. ‘‘Makkhetuṃ na vaṭṭatī’’ti iminā bāhiraparibhogopi nivārito.

    ๘๒๓. อนาปตฺติวาเร ‘‘อโนฺตสตฺตาห’’นฺติ อธิกาเร ‘‘อนุปสมฺปนฺนสฺส จเตฺตน วเนฺตน มุเตฺตน อนเปโกฺข ทตฺวา ปฎิลภิตฺวา ปริภุญฺชตี’’ติ (ปารา. ๖๒๕) วุตฺตตฺตา จชิตฺวาติ เอตฺถ ‘‘อโนฺตสตฺตาหํ อนุปสมฺปนฺนสฺสา’’ติ วตฺตพฺพํฯ ลภิตฺวาติ เอตฺถ ‘‘สตฺตาหาติกฺกเมปี’’ติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ เตนาห มหาปทุมเตฺถโร ‘‘อโนฺตสตฺตาเห ทินฺนสฺส หิ ปุน ปริโภเค อาปตฺติเยว นตฺถิ, สตฺตาหาติกฺกนฺตสฺส ปน ปริโภเค อนาปตฺตีติ ทสฺสนตฺถมิทํ วุตฺต’’นฺติฯ ลภิตฺวาติ คหิตเตเลน อนุปสมฺปเนฺนน สกฺกจฺจํ, อสกฺกจฺจํ วา ทินฺนํ ลภิตฺวาฯ สายิตุนฺติ เอตฺถ ‘‘ลภตี’’ติ เสโสฯ

    823.Anāpattivāre ‘‘antosattāha’’nti adhikāre ‘‘anupasampannassa cattena vantena muttena anapekkho datvā paṭilabhitvā paribhuñjatī’’ti (pārā. 625) vuttattā cajitvāti ettha ‘‘antosattāhaṃ anupasampannassā’’ti vattabbaṃ. Labhitvāti ettha ‘‘sattāhātikkamepī’’ti sāmatthiyā labbhati. Tenāha mahāpadumatthero ‘‘antosattāhe dinnassa hi puna paribhoge āpattiyeva natthi, sattāhātikkantassa pana paribhoge anāpattīti dassanatthamidaṃ vutta’’nti. Labhitvāti gahitatelena anupasampannena sakkaccaṃ, asakkaccaṃ vā dinnaṃ labhitvā. Sāyitunti ettha ‘‘labhatī’’ti seso.

    ๘๒๔. ‘‘อนาปตฺติ อธิเฎฺฐตี’’ติ ทฺวินฺนํ ปทานํ อนฺตเร ‘‘อโนฺตสตฺตาห’’นฺติ เสโส, สพฺพปเทหิปิ ยุชฺชติฯ อธิเฎฺฐตีติ สตฺตาหพฺภนฺตเร สปฺปิญฺจ เตลญฺจ วสญฺจ มุทฺธนิ เตลํ วา อพฺภญฺชนํ วา, มธุํ อรุมกฺขนํ, ผาณิตํ ฆรธูปนํ ภวิสฺสตีติ อธิเฎฺฐติฯ อธิฎฺฐิเตน อนธิฎฺฐิตํ เจ มิสฺสํ โหติ, ปุนปิ อธิฎฺฐาตพฺพํฯ วิสฺสเชฺชตีติ อโนฺตสตฺตาเห อญฺญสฺส อุปสมฺปนฺนสฺส เทติฯ สเจ ตถา ทินฺนํ อเญฺญน อปฺปฎิคฺคหิตตฺตา , เตน ปฎิคฺคหิตมฺปิ อิตรสฺส ทินฺนตฺตา เตสํ อนาปตฺตีติ อฎฺฐกถายํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๕ อตฺถโต สมานํ) วุตฺตํฯ

    824.‘‘Anāpatti adhiṭṭhetī’’ti dvinnaṃ padānaṃ antare ‘‘antosattāha’’nti seso, sabbapadehipi yujjati. Adhiṭṭhetīti sattāhabbhantare sappiñca telañca vasañca muddhani telaṃ vā abbhañjanaṃ vā, madhuṃ arumakkhanaṃ, phāṇitaṃ gharadhūpanaṃ bhavissatīti adhiṭṭheti. Adhiṭṭhitena anadhiṭṭhitaṃ ce missaṃ hoti, punapi adhiṭṭhātabbaṃ. Vissajjetīti antosattāhe aññassa upasampannassa deti. Sace tathā dinnaṃ aññena appaṭiggahitattā , tena paṭiggahitampi itarassa dinnattā tesaṃ anāpattīti aṭṭhakathāyaṃ (pārā. aṭṭha. 2.625 atthato samānaṃ) vuttaṃ.

    วินสฺสตีติ สตฺตาหพฺภนฺตเร เยน เกนจิ อากาเรน ยถา อปริโภคํ โหติ, ตถา โจริกาย หรณาทิวเสน นสฺสติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘วินสฺสตีติ อปริโภคํ โหตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๕)ฯ อจฺฉินฺทิตฺวา คณฺหตีติ อโญฺญ ตสฺมิํ สตฺตาหพฺภนฺตเร วิลุมฺปิตฺวา คณฺหาติฯ วิสฺสาสํ คณฺหตีติ ตสฺมิํเยว สตฺตาหพฺภนฺตเร อโญฺญ วิสฺสาสํ คณฺหาติฯ

    Vinassatīti sattāhabbhantare yena kenaci ākārena yathā aparibhogaṃ hoti, tathā corikāya haraṇādivasena nassati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘vinassatīti aparibhogaṃ hotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.625). Acchinditvā gaṇhatīti añño tasmiṃ sattāhabbhantare vilumpitvā gaṇhāti. Vissāsaṃ gaṇhatīti tasmiṃyeva sattāhabbhantare añño vissāsaṃ gaṇhāti.

    ๘๒๕. อกถินจิเตฺตน สตฺถุนา สมุฎฺฐานาทโย สเพฺพว ปฐเมน กถิเนน สมา ปกาสิตาติ โยชนาฯ อกถินจิเตฺตนาติ มหากรุณารเสน ตินฺตตาย อกกฺกสจิเตฺตน, อวิหิํสาภิรตจิเตฺตนาติ วุตฺตํ โหติฯ สตฺถุนาติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกาทีหิ อเตฺถหิ สเทวกํ โลกํ อนุสาสตีติ สตฺถา, เตน สพฺพญฺญุนา ทสพเลน สมฺมาสมฺพุเทฺธนฯ

    825. Akathinacittena satthunā samuṭṭhānādayo sabbeva paṭhamena kathinena samā pakāsitāti yojanā. Akathinacittenāti mahākaruṇārasena tintatāya akakkasacittena, avihiṃsābhiratacittenāti vuttaṃ hoti. Satthunāti diṭṭhadhammikasamparāyikādīhi atthehi sadevakaṃ lokaṃ anusāsatīti satthā, tena sabbaññunā dasabalena sammāsambuddhena.

    เภสชฺชสิกฺขาปทกถาวณฺณนาฯ

    Bhesajjasikkhāpadakathāvaṇṇanā.

    ๘๒๖. คิมฺหานนฺติ เอตฺถ ‘‘มาสาน’’นฺติ สามตฺถิยา ลพฺภติ, นิทฺธารเณ สามิวจนํ, คิเมฺหสุ จตูสุ มาเสสูติ อโตฺถฯ นิทฺธาริตพฺพํ ทเสฺสติ ‘‘มาโส เสโส’’ติ, เอตฺถ ‘‘วตฺตเพฺพ กาเล’’ติ เสโสฯ ผคฺคุนมาสกณฺหปกฺขปาฎิปทโต ปฎฺฐาย เชฎฺฐมาสปุณฺณมิปริโยสาเนสุ ตีสุ มาเสสุ อติกฺกเนฺตสูติ อโตฺถฯ เสสมาโส นาม เชฎฺฐมาสสฺส กณฺหปกฺขปาฎิปทโต ปฎฺฐาย อาสาฬฺหิมาสปุณฺณมิปริโยสาโนฯ คิมฺหานํ มาโส เสโสติ วตฺตเพฺพ กาเลติ อโตฺถฯ

    826.Gimhānanti ettha ‘‘māsāna’’nti sāmatthiyā labbhati, niddhāraṇe sāmivacanaṃ, gimhesu catūsu māsesūti attho. Niddhāritabbaṃ dasseti ‘‘māso seso’’ti, ettha ‘‘vattabbe kāle’’ti seso. Phaggunamāsakaṇhapakkhapāṭipadato paṭṭhāya jeṭṭhamāsapuṇṇamipariyosānesu tīsu māsesu atikkantesūti attho. Sesamāso nāma jeṭṭhamāsassa kaṇhapakkhapāṭipadato paṭṭhāya āsāḷhimāsapuṇṇamipariyosāno. Gimhānaṃ māso sesoti vattabbe kāleti attho.

    อิมสฺมิํ ปจฺฉิเม คิมฺหมาเส เชฎฺฐมาสสฺส กณฺหปโกฺข วสฺสิกสาฎิกา เจ น ลทฺธา, ปริเยสิตุํ ลทฺธํ กาตุํ เขตฺตํ, อธิฎฺฐานนิวาสนานํ อเขตฺตํฯ อาสาฬฺหิปุริมปโกฺข ปริเยสนกรณนิวาสนานํ เขตฺตํ, อธิฎฺฐาตุํ อเขตฺตํฯ อาสาฬฺหิกณฺหปกฺขปาฎิปทโต ยาว ปจฺฉิมกตฺติกปุณฺณมี, อิทํ จตุนฺนมฺปิ เขตฺตนฺติ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ

    Imasmiṃ pacchime gimhamāse jeṭṭhamāsassa kaṇhapakkho vassikasāṭikā ce na laddhā, pariyesituṃ laddhaṃ kātuṃ khettaṃ, adhiṭṭhānanivāsanānaṃ akhettaṃ. Āsāḷhipurimapakkho pariyesanakaraṇanivāsanānaṃ khettaṃ, adhiṭṭhātuṃ akhettaṃ. Āsāḷhikaṇhapakkhapāṭipadato yāva pacchimakattikapuṇṇamī, idaṃ catunnampi khettanti ayamettha saṅkhepo.

    ปริเยเสยฺยาติ ‘‘เย มนุสฺสา ปุเพฺพ วสฺสิกสาฎิกํ เทนฺตี’’ติอาทินา (ปารา. ๖๒๘) ปทภาชเน วุตฺตนเยน ปุเพฺพ วสฺสิกสาฎิกทายกํ อุปสงฺกมฺม ‘‘เทถ เม วสฺสิกสาฎิกจีวร’’นฺติอาทินา วจเนน อวิญฺญาเปตฺวา ‘‘กาโล วสฺสิกสาฎิกาย สมโย วสฺสิกสาฎิกาย, อเญฺญปิ มนุสฺสา วสฺสิกสาฎิกํ เทนฺตี’’ติ เอวํ สตุปฺปาทมตฺตกรเณน ปริเยเสยฺยฯ

    Pariyeseyyāti ‘‘ye manussā pubbe vassikasāṭikaṃ dentī’’tiādinā (pārā. 628) padabhājane vuttanayena pubbe vassikasāṭikadāyakaṃ upasaṅkamma ‘‘detha me vassikasāṭikacīvara’’ntiādinā vacanena aviññāpetvā ‘‘kālo vassikasāṭikāya samayo vassikasāṭikāya, aññepi manussā vassikasāṭikaṃ dentī’’ti evaṃ satuppādamattakaraṇena pariyeseyya.

    สาฎิกนฺติ วสฺสิกสาฎิกํฯ ‘‘อทฺธมาโส เสโส’’ติ อิทํ ‘‘คิมฺหาน’’นฺติ อิมินาว ยุชฺชติฯ ตตฺถ ‘‘วตฺตเพฺพ กาเล’’ติ อชฺฌาหริตพฺพํ, อาสาฬฺหิมาสสฺส ปุริมปเกฺขติ อโตฺถฯ กตฺวาติ เอตฺถ ‘‘ลทฺธ’’นฺติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ ยถาวุตฺตนเยน สตุปฺปาเทน วา อวเสสานํ สทฺธาสมฺปนฺนกุลานํ วา สนฺติกา ลทฺธํ สิพฺพนรชนกปฺปพินฺทุทานวเสน นิฎฺฐาเปตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ปริทเหติ นิวาเสยฺยฯ

    Sāṭikanti vassikasāṭikaṃ. ‘‘Addhamāso seso’’ti idaṃ ‘‘gimhāna’’nti imināva yujjati. Tattha ‘‘vattabbe kāle’’ti ajjhāharitabbaṃ, āsāḷhimāsassa purimapakkheti attho. Katvāti ettha ‘‘laddha’’nti sāmatthiyā labbhati. Yathāvuttanayena satuppādena vā avasesānaṃ saddhāsampannakulānaṃ vā santikā laddhaṃ sibbanarajanakappabindudānavasena niṭṭhāpetvāti vuttaṃ hoti. Paridaheti nivāseyya.

    ๘๒๗-๘. ปิฎฺฐิสมฺมเต สมเยติ ‘‘กตฺติกปุณฺณมาสิยา ปน ปจฺฉิมปาฎิปททิวสโต ปฎฺฐาย ยาว เชฎฺฐมูลปุณฺณมา อิเม สตฺต มาสา ปิฎฺฐิสมโย นามา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๘) เอวํ ทสฺสิเตสุ สตฺตสุ มาเสสุฯ ญาตกาญฺญาตกาทิโน สตุปฺปาทํ กตฺวาติ โยชนาฯ อาทิ-สเทฺทน ปวาริตาปวาริตานํ สงฺคโหฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อญฺญาตกอปฺปวาริตฎฺฐานโต’’ติฯ

    827-8.Piṭṭhisammate samayeti ‘‘kattikapuṇṇamāsiyā pana pacchimapāṭipadadivasato paṭṭhāya yāva jeṭṭhamūlapuṇṇamā ime satta māsā piṭṭhisamayo nāmā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.628) evaṃ dassitesu sattasu māsesu. Ñātakāññātakādino satuppādaṃ katvāti yojanā. Ādi-saddena pavāritāpavāritānaṃ saṅgaho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘aññātakaappavāritaṭṭhānato’’ti.

    เตสุเยวาติ ญาตกอญฺญาตกปวาริตอปฺปวาริเตสุฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘โหติ นิสฺสคฺคิยาปตฺตี’’ติ อิทํ ทสฺสิตํฯ สา อาปตฺติ อญฺญาตกอปฺปวาริเตสุ อญฺญาตกวิญฺญตฺติสิกฺขาปเทน โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เทถ เม วสฺสิกสาฎิกจีวร’นฺติอาทินา นเยน วิญฺญตฺติํ กตฺวา นิปฺผาเทนฺตสฺส อญฺญาตกวิญฺญตฺติสิกฺขาปเทน นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๘)ฯ ญาตกปวาริเตสุ เตน สิกฺขาปเทน อนาปตฺติ, ปิฎฺฐิสมยตฺตา อิมินา อาปตฺติ โหติฯ อญฺญาตกอปฺปวาริเตสุ จ วกฺขมานนเยน วตฺตเภททุกฺกเฎน สทฺธิํ โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Tesuyevāti ñātakaaññātakapavāritaappavāritesu. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘hoti nissaggiyāpattī’’ti idaṃ dassitaṃ. Sā āpatti aññātakaappavāritesu aññātakaviññattisikkhāpadena hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘detha me vassikasāṭikacīvara’ntiādinā nayena viññattiṃ katvā nipphādentassa aññātakaviññattisikkhāpadena nissaggiyaṃ pācittiya’’nti (pārā. aṭṭha. 2.628). Ñātakapavāritesu tena sikkhāpadena anāpatti, piṭṭhisamayattā iminā āpatti hoti. Aññātakaappavāritesu ca vakkhamānanayena vattabhedadukkaṭena saddhiṃ hotīti daṭṭhabbaṃ.

    ๘๒๙-๓๐. อญฺญาตกาทิโน กตฺวา ปน สตุปฺปาทนฺติ โยชนาฯ อาทิ-สเทฺทน อปฺปวาริตานํ สงฺคโหฯ กุจฺฉิสญฺญิเต สมเยติ ยถาวุตฺตปิฎฺฐิสมเย สตฺตมาเส วินา อิตเร ปญฺจ มาสา วุตฺตาฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เชฎฺฐมูลปุณฺณมาสิยา ปน ปจฺฉิมปาฎิปททิวสโต ปฎฺฐาย ยาว กตฺติกปุณฺณมา อิเม ปญฺจ มาสา กุจฺฉิสมโย นามา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๘)ฯ วตฺถนฺติ วสฺสิกสาฎิกํฯ อทินฺนปุเพฺพสูติ เยหิ วสฺสิกสาฎิกา น ทินฺนปุพฺพา, เตสุ, อิมินา วตฺตเภทสฺส การณมาหฯ อิห วตฺตเภโท นาม ‘‘เย มนุสฺสา ปุเพฺพ วสฺสิกสาฎิกจีวรํ เทนฺตี’’ติอาทิวจนโต (ปารา. ๖๒๘) ทินฺนปุเพฺพสุ กาตพฺพสฺส สตุปฺปาทสฺส อทินฺนปุเพฺพสุ กรณํฯ พฺยติเรกโต ทินฺนปุเพฺพสุ นตฺถีติ ทีปิตํ โหติฯ

    829-30. Aññātakādino katvā pana satuppādanti yojanā. Ādi-saddena appavāritānaṃ saṅgaho. Kucchisaññite samayeti yathāvuttapiṭṭhisamaye sattamāse vinā itare pañca māsā vuttā. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘jeṭṭhamūlapuṇṇamāsiyā pana pacchimapāṭipadadivasato paṭṭhāya yāva kattikapuṇṇamā ime pañca māsā kucchisamayo nāmā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.628). Vatthanti vassikasāṭikaṃ. Adinnapubbesūti yehi vassikasāṭikā na dinnapubbā, tesu, iminā vattabhedassa kāraṇamāha. Iha vattabhedo nāma ‘‘ye manussā pubbe vassikasāṭikacīvaraṃ dentī’’tiādivacanato (pārā. 628) dinnapubbesu kātabbassa satuppādassa adinnapubbesu karaṇaṃ. Byatirekato dinnapubbesu natthīti dīpitaṃ hoti.

    ตตฺราติ อญฺญาตกาทิมฺหิฯ ‘‘นิสฺสคฺคิย’’นฺติ อิมินา อญฺญาตกวิญฺญตฺติสิกฺขาปเทน อาปตฺติํ อาหฯ ยถาห กุจฺฉิสมยจตุเกฺก ‘‘วิญฺญตฺติมฺปิ กตฺวา นิปฺผาเทนฺตสฺส อญฺญาตกวิญฺญตฺติสิกฺขาปเทน นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’นฺติฯ อยํ ปาจิตฺติยาปตฺติ ปกติยา วสฺสิกสาฎิกทายเกสุปิ โหตีติ อิทํ อฎฺฐกถายํ ‘‘อิทํ ปน ปกติยา วสฺสิกสาฎิกทายเกสุปิ โหติเยวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๘) วจนโต วิญฺญายติฯ

    Tatrāti aññātakādimhi. ‘‘Nissaggiya’’nti iminā aññātakaviññattisikkhāpadena āpattiṃ āha. Yathāha kucchisamayacatukke ‘‘viññattimpi katvā nipphādentassa aññātakaviññattisikkhāpadena nissaggiyaṃ pācittiya’’nti. Ayaṃ pācittiyāpatti pakatiyā vassikasāṭikadāyakesupi hotīti idaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘idaṃ pana pakatiyā vassikasāṭikadāyakesupi hotiyevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.628) vacanato viññāyati.

    ๘๓๑. โอวสฺสาเปตีติ อากาสโต ปติตอุทเกเนว กายํ เตเมติ, อิมินา ‘‘ฆฎาทีหิ โอสิญฺจิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ทีปิตํ โหติฯ ‘‘นิพฺพโกสมฺพุนา นหายิตุํ วฎฺฎตี’’ติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ สติปิ จีวเรติ วสฺสิกสาฎิกาย สติยาปิฯ ‘‘ปริโยสาเน ทุกฺกฎ’’นฺติ อิมินา พินฺทุคณนายาติ ทีเปติฯ วิวฎงฺคเณติ รุกฺขาทินา เกนจิ อนาวฎฎฺฐาเนฯ

    831.Ovassāpetīti ākāsato patitaudakeneva kāyaṃ temeti, iminā ‘‘ghaṭādīhi osiñcituṃ vaṭṭatī’’ti dīpitaṃ hoti. ‘‘Nibbakosambunā nahāyituṃ vaṭṭatī’’ti gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Satipi cīvareti vassikasāṭikāya satiyāpi. ‘‘Pariyosāne dukkaṭa’’nti iminā bindugaṇanāyāti dīpeti. Vivaṭaṅgaṇeti rukkhādinā kenaci anāvaṭaṭṭhāne.

    ๘๓๒. มาสสฺมินฺติ คิมฺหานํ ปจฺฉิมมาสสฺมิํฯ

    832.Māsasminti gimhānaṃ pacchimamāsasmiṃ.

    ๘๓๓. ‘‘อจฺฉินฺนจีวรสฺสาติ เอตํ วสฺสิกสาฎิกเมว สนฺธาย วุตฺต’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๓๐) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ วสฺสิกสาฎิกํ นิวาเสตฺวา นหายนฺตสฺส โจรุปทฺทโว อาปทา นามฯ นฺหานโกฎฺฐกนฺติ นหานตฺถาย กตโกฎฺฐกํฯ ‘‘วาปี’’ติ อิมินา โปกฺขรณิชาตสฺสราทโย อุปลกฺขิตาฯ นฺหายนฺตสฺสาติ นโคฺค หุตฺวา นหายนฺตสฺสาติ ปกรณโต ลพฺภติฯ ‘‘อากาสโต ปติตอุทเกเนวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๙) อฎฺฐกถายเมว วุตฺตํฯ

    833. ‘‘Acchinnacīvarassāti etaṃ vassikasāṭikameva sandhāya vutta’’nti (pārā. aṭṭha. 2.630) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Vassikasāṭikaṃ nivāsetvā nahāyantassa corupaddavo āpadā nāma. Nhānakoṭṭhakanti nahānatthāya katakoṭṭhakaṃ. ‘‘Vāpī’’ti iminā pokkharaṇijātassarādayo upalakkhitā. Nhāyantassāti naggo hutvā nahāyantassāti pakaraṇato labbhati. ‘‘Ākāsato patitaudakenevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.629) aṭṭhakathāyameva vuttaṃ.

    ๘๓๔. กฺริยนฺติ อกาเล ปริเยสนกรณอธิฎฺฐานนิวาสเนหิ อาปชฺชิตพฺพโต กิริยํฯ กาเยน จ วาจาย จ วิญฺญาปนาทิํ กโรนฺตสฺส กายกมฺมํ วจีกมฺมํ โหติฯ

    834.Kriyanti akāle pariyesanakaraṇaadhiṭṭhānanivāsanehi āpajjitabbato kiriyaṃ. Kāyena ca vācāya ca viññāpanādiṃ karontassa kāyakammaṃ vacīkammaṃ hoti.

    วสฺสิกสาฎิกกถาวณฺณนาฯ

    Vassikasāṭikakathāvaṇṇanā.

    ๘๓๕. ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขุสฺส สามํ จีวรํ ทตฺวา’’ติ (ปารา. ๖๓๒) วจนโต สามนฺติ เอตฺถ ‘‘ภิกฺขู’’ติ จ ทตฺวาติ เอตฺถ ‘‘ภิกฺขุสฺส’’อิติ จ ลพฺภติฯ จีวรนฺติ ฉนฺนํ จีวรานํ อญฺญตรํ จีวรํ วิกปฺปนุปคํ ปจฺฉิมํฯ ‘‘กุปิโต อนตฺตมโน อจฺฉิเนฺทยฺยา’’ติ (ปารา. ๖๓๒) วจนโต อจฺฉินฺทนฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘กุปิตสฺส อนตฺตมนสฺสา’’ติ เสโส, กุปิตสฺส อนตฺตมนสฺส อจฺฉินฺทนฺตสฺส วา อจฺฉินฺทาเปนฺตสฺส วาติ อโตฺถฯ นฺติ อตฺตนา ทินฺนจีวรํฯ ‘‘สกสญฺญายา’’ติ อิมินา ปาราชิกาย อวตฺถุภาวํ ทีเปติฯ

    835. ‘‘Yo pana bhikkhu bhikkhussa sāmaṃ cīvaraṃ datvā’’ti (pārā. 632) vacanato sāmanti ettha ‘‘bhikkhū’’ti ca datvāti ettha ‘‘bhikkhussa’’iti ca labbhati. Cīvaranti channaṃ cīvarānaṃ aññataraṃ cīvaraṃ vikappanupagaṃ pacchimaṃ. ‘‘Kupito anattamano acchindeyyā’’ti (pārā. 632) vacanato acchindantassāti ettha ‘‘kupitassa anattamanassā’’ti seso, kupitassa anattamanassa acchindantassa vā acchindāpentassa vāti attho. Tanti attanā dinnacīvaraṃ. ‘‘Sakasaññāyā’’ti iminā pārājikāya avatthubhāvaṃ dīpeti.

    ๘๓๖. ตถาติ เอกาเยว อาปตฺตีติ ทีเปติฯ

    836.Tathāti ekāyeva āpattīti dīpeti.

    ๘๓๗. วตฺถานนฺติ จีวรานํฯ อสฺสาติ ภิกฺขุสฺสฯ

    837.Vatthānanti cīvarānaṃ. Assāti bhikkhussa.

    ๘๔๑. สงฺฆาฎิํ คณฺห, อุตฺตราสงฺคํ คณฺหาติ โยชนาฯ

    841. Saṅghāṭiṃ gaṇha, uttarāsaṅgaṃ gaṇhāti yojanā.

    ๘๔๒. วิกปฺปนุปคํ ปจฺฉิมนฺติ เอตฺถ ‘‘จีวร’’นฺติ ลพฺภติฯ อายามโต วฑฺฒกิหตฺถํ ติริยํ ตถา วิทตฺถิปฺปมาณํ วตฺถขณฺฑํ เหฎฺฐิมปริเจฺฉทโต วิกปฺปนุปคํ นามฯ อญฺญํ กิญฺจิ ปริกฺขารนฺติ โยชนา, อนฺตมโส สุจิมฺปีติ วุตฺตํ โหติฯ ปรํ ปุคฺคลํฯ ฉินฺทาเปนฺตสฺสาติ อจฺฉินฺทาเปนฺตสฺสฯ การิตนฺตสฺส ทฺวิกมฺมกตฺตา ‘‘ปร’’นฺติ จ ‘‘ปริกฺขาร’’นฺติ จ กมฺมทฺวยคหณํฯ อญฺญนฺติ ปริกฺขารวิเสสนํฯ ทุกฺกฎํ วตฺถุคณนาย, วจนคณนาย จฯ

    842.Vikappanupagaṃ pacchimanti ettha ‘‘cīvara’’nti labbhati. Āyāmato vaḍḍhakihatthaṃ tiriyaṃ tathā vidatthippamāṇaṃ vatthakhaṇḍaṃ heṭṭhimaparicchedato vikappanupagaṃ nāma. Aññaṃ kiñci parikkhāranti yojanā, antamaso sucimpīti vuttaṃ hoti. Paraṃ puggalaṃ. Chindāpentassāti acchindāpentassa. Kāritantassa dvikammakattā ‘‘para’’nti ca ‘‘parikkhāra’’nti ca kammadvayagahaṇaṃ. Aññanti parikkhāravisesanaṃ. Dukkaṭaṃ vatthugaṇanāya, vacanagaṇanāya ca.

    ๘๔๔. เอวนฺติ ยถา อนุปสมฺปเนฺน อนุปสมฺปนฺนสญฺญิโน ทุกฺกฎํ, เอวํ อนุปสมฺปเนฺน…เป.… เวมติกสฺสาปิ ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ อจฺฉินฺทนฺตสฺสาติ เอตฺถ ยถาวุตฺตํ ‘‘อนุปสมฺปเนฺน’’ติ อิทํ วิภตฺติวิปริณาเมน สามิวจนํ กตฺวา ‘‘ทินฺน’’นฺติ อชฺฌาหาเรน สห โยเชตพฺพํ, ‘‘จีวร’’นฺติ ปกรณโต ลพฺภติ, อนุปสมฺปนฺนสฺส ทินฺนํ จีวรํ อจฺฉินฺทนฺตสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ

    844.Evanti yathā anupasampanne anupasampannasaññino dukkaṭaṃ, evaṃ anupasampanne…pe… vematikassāpi dukkaṭanti yojanā. Acchindantassāti ettha yathāvuttaṃ ‘‘anupasampanne’’ti idaṃ vibhattivipariṇāmena sāmivacanaṃ katvā ‘‘dinna’’nti ajjhāhārena saha yojetabbaṃ, ‘‘cīvara’’nti pakaraṇato labbhati, anupasampannassa dinnaṃ cīvaraṃ acchindantassāti vuttaṃ hoti.

    ๘๔๕. โส วาติ ยสฺส จีวรํ ทินฺนํ, โส เอว วา ภิกฺขุฯ ตุโฎฺฐ วา ทุโฎฺฐ วา โส เทตีติ โยชนาฯ วิสฺสาสเมว วาติ วิสฺสาสํ กตฺวา คณฺหโตติ โยชนาฯ

    845.So vāti yassa cīvaraṃ dinnaṃ, so eva vā bhikkhu. Tuṭṭho vā duṭṭho vā so detīti yojanā. Vissāsameva vāti vissāsaṃ katvā gaṇhatoti yojanā.

    ๘๔๖. เอตฺถาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ

    846.Etthāti imasmiṃ sikkhāpade.

    จีวรจฺฉินฺทนกถาวณฺณนาฯ

    Cīvaracchindanakathāvaṇṇanā.

    ๘๔๗. วิญฺญาเปตฺวาติ วตฺถวายาปนํ สนฺธาย ยาจิตฺวาฯ ฉพฺพิธํ สุตฺตนฺติ ปทภาชเน ‘‘โขมํ กปฺปาสิกํ โกเสยฺยํ กมฺพลํ สาณํ ภงฺค’’นฺติ (ปารา. ๖๓๘) อาคตํ ฉปฺปการํ สุตฺตํฯ กมฺพลนฺติ เอฬกโลมสุตฺตํฯ สานุโลมานิ ฉปฺปการสุตฺตานิ เหฎฺฐา จีวรวินิจฺฉเย วุตฺตานุสาเรน เวทิตพฺพานิฯ จีวรตฺถํ วตฺถํ ‘‘จีวร’’นฺติ วุตฺตํฯ ตนฺตวาเยหีติ กปฺปิยากปฺปิเยหิ เปสกาเรหิฯ โปตฺถเกสุ ‘‘วายาเปตุํ น วฎฺฎตี’’ติ ปาโฐ ทิสฺสติ, ‘‘สเจ’’ติ อิมินา อยุชฺชมานตฺตา โส อปาโฐฯ ‘‘วายาเปติ น วฎฺฎตี’’ติ ปาโฐ ยุชฺชตีติ สเจ วายาเปตีติ โยชนา, อตฺตโน อตฺถาย ยทิ วายาเปยฺยาติ อโตฺถฯ

    847.Viññāpetvāti vatthavāyāpanaṃ sandhāya yācitvā. Chabbidhaṃ suttanti padabhājane ‘‘khomaṃ kappāsikaṃ koseyyaṃ kambalaṃ sāṇaṃ bhaṅga’’nti (pārā. 638) āgataṃ chappakāraṃ suttaṃ. Kambalanti eḷakalomasuttaṃ. Sānulomāni chappakārasuttāni heṭṭhā cīvaravinicchaye vuttānusārena veditabbāni. Cīvaratthaṃ vatthaṃ ‘‘cīvara’’nti vuttaṃ. Tantavāyehīti kappiyākappiyehi pesakārehi. Potthakesu ‘‘vāyāpetuṃ na vaṭṭatī’’ti pāṭho dissati, ‘‘sace’’ti iminā ayujjamānattā so apāṭho. ‘‘Vāyāpeti na vaṭṭatī’’ti pāṭho yujjatīti sace vāyāpetīti yojanā, attano atthāya yadi vāyāpeyyāti attho.

    ๘๔๘. ตถา อกปฺปิโยฯ กีทิโสติ อาห ‘‘อญฺญาตกาทิโก’’ติฯ อญฺญาตกาทิโกติ อญฺญาตโก อาทิ ยสฺส โส อญฺญาตกาทิโกฯ อาทิ-สเทฺทน อปฺปวาริโต คหิโตฯ โย ภิกฺขุ ตนฺตวายสฺส อญฺญาตโก, เตน อปฺปวาริโต จ, ตสฺส อญฺญาตกาทิโก ภิกฺขุนา วิญฺญโตฺต โส ตนฺตวาโย อกปฺปิโยติ อโตฺถฯ

    848.Tathā akappiyo. Kīdisoti āha ‘‘aññātakādiko’’ti. Aññātakādikoti aññātako ādi yassa so aññātakādiko. Ādi-saddena appavārito gahito. Yo bhikkhu tantavāyassa aññātako, tena appavārito ca, tassa aññātakādiko bhikkhunā viññatto so tantavāyo akappiyoti attho.

    ๘๔๙. อกปฺปิเยนาติ วิญฺญาปิเตนฯ วายาเปนฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎํ, ปฎิลาเภนา’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘วายาเปติ, ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎํฯ ปฎิลาเภน นิสฺสคฺคิย’’นฺติ (ปารา. ๖๓๘)ฯ

    849.Akappiyenāti viññāpitena. Vāyāpentassāti ettha ‘‘payoge payoge dukkaṭaṃ, paṭilābhenā’’ti seso. Yathāha ‘‘vāyāpeti, payoge payoge dukkaṭaṃ. Paṭilābhena nissaggiya’’nti (pārā. 638).

    ๘๕๐. กิตฺตเก วีเต นิสฺสคฺคิยํ โหตีติ อาห ‘‘วิทตฺถิมเตฺต’’ติอาทิฯ หตฺถมเตฺตติ รตนมเตฺตฯ ปทภาชเน ‘‘ปฎิลาเภน นิสฺสคฺคิย’’นฺติ วุตฺตํ, อิธ ‘‘วีเต นิสฺสคฺคิย’’นฺติ กสฺมา อาหาติ? อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตาฯ ตตฺถาปิ ตถา กสฺมา วุตฺตนฺติ? ตทนนฺตรํ อตฺตโน สนฺตกตฺตา วีตวีตฎฺฐานํ ปฎิลทฺธเมว โหติ, ปทภาชเนปิ อิมินา อธิปฺปาเยน ปฎิลาเภน นิสฺสคฺคิยํ วุตฺตํ, ตสฺมา ยาว จีวรํ วฑฺฒติ, ตาว อิมินา ปมาเณน อาปตฺติโย วฑฺฒนฺติฯ ผลเกปิ จาติ เอตฺถ ผลกํ นาม ตุริวีตฎฺฐานํ, ยตฺถ สํหริตฺวา ฐเปนฺติฯ ผลเก ผลเกปิ จ นิสฺสคฺคิยํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ

    850. Kittake vīte nissaggiyaṃ hotīti āha ‘‘vidatthimatte’’tiādi. Hatthamatteti ratanamatte. Padabhājane ‘‘paṭilābhena nissaggiya’’nti vuttaṃ, idha ‘‘vīte nissaggiya’’nti kasmā āhāti? Aṭṭhakathāyaṃ vuttattā. Tatthāpi tathā kasmā vuttanti? Tadanantaraṃ attano santakattā vītavītaṭṭhānaṃ paṭiladdhameva hoti, padabhājanepi iminā adhippāyena paṭilābhena nissaggiyaṃ vuttaṃ, tasmā yāva cīvaraṃ vaḍḍhati, tāva iminā pamāṇena āpattiyo vaḍḍhanti. Phalakepi cāti ettha phalakaṃ nāma turivītaṭṭhānaṃ, yattha saṃharitvā ṭhapenti. Phalake phalakepi ca nissaggiyaṃ vuttanti yojanā.

    ๘๕๑. เตเนวาติ วิญฺญตฺตตนฺตวาเยเนวฯ กปฺปิยํ สุตฺตนฺติ อวิญฺญตฺติยา ลทฺธสุตฺตํฯ กปฺปิเยน ตนฺตวาเยน อกปฺปิยสุตฺตํ วายาเปนฺตสฺส ตเถว ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ

    851.Tenevāti viññattatantavāyeneva. Kappiyaṃ suttanti aviññattiyā laddhasuttaṃ. Kappiyena tantavāyena akappiyasuttaṃ vāyāpentassa tatheva dukkaṭanti yojanā.

    ๘๕๒. เอกนฺตริกโต วา กปฺปิยากปฺปิเยเหว สุเตฺตหิ วีเต ทุกฺกฎนฺติ โยชนา, อนฺตรนฺตรา อกปฺปิยสุตฺตานํ ปสารเณน, วายเนน จ ทุกฺกฎํ โหตีติ อโตฺถฯ ทีฆโต วา ติริยโต วา กปฺปิยากปฺปิเยเหว สุเตฺตหิ วีเต ทุกฺกฎนฺติ โยชนา, ทีฆโต กปฺปิยสุตฺตํ ปสาเรตฺวา ติริยํ อกปฺปิยสุเตฺตน วีเต ทุกฺกฎํ โหตีติ อโตฺถฯ วาคฺคหเณน วุตฺตวิปริยายโตปิ โยเชตพฺพํฯ ทีฆโต อกปฺปิยสุตฺตํ ปสาเรตฺวา ติริยโต กปฺปิยสุเตฺตน วีเตติ อยเมตฺถ วิปริยาโยฯ วีเตติ เอตฺถ ‘‘ผลเก ผลเก’’ติ อนุวเตฺตตพฺพํฯ

    852. Ekantarikato vā kappiyākappiyeheva suttehi vīte dukkaṭanti yojanā, antarantarā akappiyasuttānaṃ pasāraṇena, vāyanena ca dukkaṭaṃ hotīti attho. Dīghato vā tiriyato vā kappiyākappiyeheva suttehi vīte dukkaṭanti yojanā, dīghato kappiyasuttaṃ pasāretvā tiriyaṃ akappiyasuttena vīte dukkaṭaṃ hotīti attho. ggahaṇena vuttavipariyāyatopi yojetabbaṃ. Dīghato akappiyasuttaṃ pasāretvā tiriyato kappiyasuttena vīteti ayamettha vipariyāyo. Vīteti ettha ‘‘phalake phalake’’ti anuvattetabbaṃ.

    ๘๕๓. กปฺปิยากปฺปิเยหิ ตนฺตวาเยหิ กปฺปิยากปฺปิยสุตฺตํ มิเสฺสตฺวา กเต วีเต ผลเก ผลเก ตสฺส ภิกฺขุสฺส ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ เวติ นิปาตมตฺตํ, อถ วา เว ตสฺมิํ กเต วีเตติ อโตฺถฯ

    853. Kappiyākappiyehi tantavāyehi kappiyākappiyasuttaṃ missetvā kate vīte phalake phalake tassa bhikkhussa dukkaṭanti yojanā. Veti nipātamattaṃ, atha vā ve tasmiṃ kate vīteti attho.

    ๘๕๔-๕. เต กปฺปิยากปฺปิยตนฺตวายา ปริเจฺฉทํ ทเสฺสตฺวา วาเรเนว อกปฺปิยสุตฺตํ สเจ วินนฺตีติ โยชนาฯ อกปฺปิเยน ตนฺตวาเยน วีเตฯ ฉนฺทานุรกฺขนตฺถํ ‘‘วิเต’’ติ วุตฺตํฯ ปมาณสฺมินฺติ วิกปฺปนุปคปจฺฉิมปฺปมาณสฺมิํฯ ตทูเนติ ตโต วิกปฺปนุปคปจฺฉิมปฺปมาณโต อูเนฯ อิตเรนาติ กปฺปิยตนฺตวาเยนฯ อุภยตฺถาติ ปมาณสฺมิํ, ตทูเน จ ทุกฺกฎํ เอวาติ โยชนาฯ

    854-5.Te kappiyākappiyatantavāyā paricchedaṃ dassetvā vāreneva akappiyasuttaṃ sace vinantīti yojanā. Akappiyena tantavāyena vīte. Chandānurakkhanatthaṃ ‘‘vite’’ti vuttaṃ. Pamāṇasminti vikappanupagapacchimappamāṇasmiṃ. Tadūneti tato vikappanupagapacchimappamāṇato ūne. Itarenāti kappiyatantavāyena. Ubhayatthāti pamāṇasmiṃ, tadūne ca dukkaṭaṃ evāti yojanā.

    ๘๕๖. สเจ กปฺปิยากปฺปิยตนฺตวายา เทฺวปิ เวมํ อุภยโกฎิยา คเหตฺวา เอกโตว วินนฺติ วาติ โยชนาฯ ติริยํ สุตฺตํ ปเวเสตฺวา เยน อาโกเฎโนฺต ฆนภาวํ สมฺปาเทนฺติ, ตํ เวมํ วุจฺจติฯ

    856. Sace kappiyākappiyatantavāyā dvepi vemaṃ ubhayakoṭiyā gahetvā ekatova vinanti vāti yojanā. Tiriyaṃ suttaṃ pavesetvā yena ākoṭento ghanabhāvaṃ sampādenti, taṃ vemaṃ vuccati.

    ๘๕๗. สพฺพตฺถ เภเทติ กปฺปิยากปฺปิยสุตฺตตนฺตวาเยหิ กเต ปมาณตทูนเอกนฺตริกทีฆติริยปฺปกาเร สพฺพตฺถ วารเภเทฯ อาปตฺติเภโทติ อกปฺปิยสุเตฺตหิ อายามวิตฺถารโต อกปฺปิยตนฺตวาเยน วีตปฺปเทเส ปมาณยุเตฺต ปาจิตฺติยํ, อิตรตฺร ทุกฺกฎนฺติ เภโทฯ

    857.Sabbattha bhedeti kappiyākappiyasuttatantavāyehi kate pamāṇatadūnaekantarikadīghatiriyappakāre sabbattha vārabhede. Āpattibhedoti akappiyasuttehi āyāmavitthārato akappiyatantavāyena vītappadese pamāṇayutte pācittiyaṃ, itaratra dukkaṭanti bhedo.

    ๘๕๘. กปฺปิโย ตนฺตวาโย นาม ญาตโก วา ปวาริโต วา กปฺปิยมูเลน ปโยชิโต วาฯ

    858.Kappiyo tantavāyo nāma ñātako vā pavārito vā kappiyamūlena payojito vā.

    ๘๕๙. ‘‘อนาปตฺติ จีวรํ สิเพฺพตุํ, อาโยเค, กายพนฺธเน, อํสพทฺธเก, ปตฺตตฺถวิกาย, ปริสฺสาวเน, ญาตกานํ, ปวาริตานํ, อญฺญสฺสตฺถาย, อตฺตโน ธเนนา’’ติอาทิกํ (ปารา. ๖๔๐) อนาปตฺติวารํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อนาปตฺตี’’ติอาทิฯ อิธ นิทฺทิโฎฺฐว ลกฺขเณน อนิทฺทิฎฺฐมฺปิ เวทิตพฺพํฯ เอตฺถ จีวรํ สิเพฺพตุํ สุตฺตํ วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ ธนํ นาม ตณฺฑุลาทิ กปฺปิยวตฺถุฯ ‘‘ปริสฺสาวเน’’ติอาทีสุ นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมํ, ปริสฺสาวนาทินิมิตฺตํ สุตฺตญฺจ ตนฺตวาเย จ วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    859. ‘‘Anāpatti cīvaraṃ sibbetuṃ, āyoge, kāyabandhane, aṃsabaddhake, pattatthavikāya, parissāvane, ñātakānaṃ, pavāritānaṃ, aññassatthāya, attano dhanenā’’tiādikaṃ (pārā. 640) anāpattivāraṃ dassetumāha ‘‘anāpattī’’tiādi. Idha niddiṭṭhova lakkhaṇena aniddiṭṭhampi veditabbaṃ. Ettha cīvaraṃ sibbetuṃ suttaṃ viññāpentassa anāpattīti yojanā. Dhanaṃ nāma taṇḍulādi kappiyavatthu. ‘‘Parissāvane’’tiādīsu nimittatthe bhummaṃ, parissāvanādinimittaṃ suttañca tantavāye ca viññāpentassa anāpattīti vuttaṃ hoti.

    สุตฺตวิญฺญตฺติกถาวณฺณนาฯ

    Suttaviññattikathāvaṇṇanā.

    ๘๖๐. อปฺปวาริตญฺญาตีนนฺติ อปฺปวาริตานํ อญฺญาตีนํ, ‘‘กีทิเสน เต ภเนฺต จีวเรน อโตฺถ, กีทิสํ เต จีวรํ วายาเปมี’’ติ (ปารา. ๖๔๓) ปทภาชเน วุตฺตนเยน อปฺปวาริตานํ อญฺญาตีนนฺติ อโตฺถฯ สเมจฺจาติ อุปคนฺตฺวาฯ วิกปฺปนฺติ วิสิฎฺฐํ กปฺปํ อธิกวิธานํฯ อาปชฺชตีติ กโรติ, ‘‘อิทํ โข อาวุโส จีวรํ มํ อุทฺทิสฺส วิยฺยติ, อายตญฺจ กโรถ, วิตฺถตญฺจ อปฺปิตญฺจ สุวีตญฺจ สุปฺปวายิตญฺจ สุวิเลขิตญฺจ สุวิตจฺฉิตญฺจ กโรถา’’ติอาทินา (ปารา. ๖๔๒) นเยน ทายกานํ อธิปฺปายโต อธิกตรอายตาทิกรณตฺถํ วิธานํ กโรตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    860.Appavāritaññātīnanti appavāritānaṃ aññātīnaṃ, ‘‘kīdisena te bhante cīvarena attho, kīdisaṃ te cīvaraṃ vāyāpemī’’ti (pārā. 643) padabhājane vuttanayena appavāritānaṃ aññātīnanti attho. Sameccāti upagantvā. Vikappanti visiṭṭhaṃ kappaṃ adhikavidhānaṃ. Āpajjatīti karoti, ‘‘idaṃ kho āvuso cīvaraṃ maṃ uddissa viyyati, āyatañca karotha, vitthatañca appitañca suvītañca suppavāyitañca suvilekhitañca suvitacchitañca karothā’’tiādinā (pārā. 642) nayena dāyakānaṃ adhippāyato adhikataraāyatādikaraṇatthaṃ vidhānaṃ karotīti vuttaṃ hoti.

    ตตฺถ อายตนฺติ ทีฆํฯ วิตฺถตนฺติ ปุถุลํฯ อปฺปิตนฺติ ฆนํฯ สุวีตนฺติ สุฎฺฐุ วีตํ สพฺพฎฺฐาเนสุ สมํ กตฺวา วีตํฯ สุปฺปวายิตนฺติ สุฎฺฐุ ปวายิตํ สพฺพฎฺฐาเน สมํ กตฺวา ตเนฺต ปสาริตํฯ สุวิเลขิตนฺติ เลขนิยา สุฎฺฐุ วิลิขิตํฯ สุวิตจฺฉิตนฺติ โกเจฺฉน สุฎฺฐุ วิตจฺฉิตํ, สุวินิโทฺธตนฺติ อโตฺถฯ

    Tattha āyatanti dīghaṃ. Vitthatanti puthulaṃ. Appitanti ghanaṃ. Suvītanti suṭṭhu vītaṃ sabbaṭṭhānesu samaṃ katvā vītaṃ. Suppavāyitanti suṭṭhu pavāyitaṃ sabbaṭṭhāne samaṃ katvā tante pasāritaṃ. Suvilekhitanti lekhaniyā suṭṭhu vilikhitaṃ. Suvitacchitanti kocchena suṭṭhu vitacchitaṃ, suviniddhotanti attho.

    ๘๖๑. สุตฺตวฑฺฒนปฺปการํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ทีฆายตปฺปิตตฺถายา’’ติฯ เตน จ ปทภาชเน ‘‘ตสฺส วจเนน อายตํ วา วิตฺถตํ วา อปฺปิตํ วา กโรติ, ปโยเค ทุกฺกฎํ, ปฎิลาเภน นิสฺสคฺคิยํ โหตี’’ติ (ปารา. ๖๔๓) เอตํ อายตาทิตฺตยเมว วุตฺตํฯ สุตฺตวฑฺฒนเก กเตติ เอตฺถ อนนฺตรํ วตฺตเพฺพน ‘‘ปโยเค ทุกฺกฎํ ปฎิลาเภนา’’ติ ปาฐเสเสน สห โยชนา กาตพฺพา, ทายเกหิ ตุลยิตฺวา ทินฺนปฺปมาณโต สุตฺตํ วฑฺฒิตุํ เตน กเตน สเพฺพนาปิ ปโยเคน ภิกฺขุโน ทุกฺกฎญฺจ ปฎิลาเภน นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยญฺจ โหตีติ อโตฺถฯ

    861. Suttavaḍḍhanappakāraṃ dassetumāha ‘‘dīghāyatappitatthāyā’’ti. Tena ca padabhājane ‘‘tassa vacanena āyataṃ vā vitthataṃ vā appitaṃ vā karoti, payoge dukkaṭaṃ, paṭilābhena nissaggiyaṃ hotī’’ti (pārā. 643) etaṃ āyatādittayameva vuttaṃ. Suttavaḍḍhanake kateti ettha anantaraṃ vattabbena ‘‘payoge dukkaṭaṃ paṭilābhenā’’ti pāṭhasesena saha yojanā kātabbā, dāyakehi tulayitvā dinnappamāṇato suttaṃ vaḍḍhituṃ tena katena sabbenāpi payogena bhikkhuno dukkaṭañca paṭilābhena nissaggiyapācittiyañca hotīti attho.

    ๘๖๒. ญาตกาทีนํ ตนฺตวาเยสุ จีวเร วิกปฺปํ อาปชฺชนฺตสฺส อนาปตฺติํ วินิทฺทิเสติ โยชนาฯ อตฺตโน ธเนนาติ เอตฺถ ‘‘ปโยชิเตสู’’ติ เสโส, ตนฺตวาเยสูติ เอตสฺส วิเสสนํฯ อตฺตโน ธเนน ปโยชิเตสุ ตนฺตวาเยสุ จีวเร วิกปฺปํ อาปชฺชนฺตสฺส อนาปตฺติํ วินิทฺทิเสติ โยชนา, อตฺตโน สนฺตกํ กปฺปิยวตฺถุํ คเหตฺวา วินเนฺตสุ วิกปฺปํ อาปชฺชนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ อญฺญสฺสตฺถาย วินเนฺตสุ วิกปฺปํ อาปชฺชนฺตสฺสาติ สห ปาฐเสเสน โยชนา ทฎฺฐพฺพาฯ

    862. Ñātakādīnaṃ tantavāyesu cīvare vikappaṃ āpajjantassa anāpattiṃ viniddiseti yojanā. Attano dhanenāti ettha ‘‘payojitesū’’ti seso, tantavāyesūti etassa visesanaṃ. Attano dhanena payojitesu tantavāyesu cīvare vikappaṃ āpajjantassa anāpattiṃ viniddiseti yojanā, attano santakaṃ kappiyavatthuṃ gahetvā vinantesu vikappaṃ āpajjantassāti attho. Aññassatthāya vinantesu vikappaṃ āpajjantassāti saha pāṭhasesena yojanā daṭṭhabbā.

    ๘๖๓. มหคฺฆํ กตฺตุกามิโน ตนฺตวาเยหิ อปฺปคฺฆํ วายาเปนฺตสฺส อนาปตฺติํ วินิทฺทิเสติ โยชนาฯ

    863. Mahagghaṃ kattukāmino tantavāyehi appagghaṃ vāyāpentassa anāpattiṃ viniddiseti yojanā.

    เปสการกถาวณฺณนาฯ

    Pesakārakathāvaṇṇanā.

    ๘๖๔. วสฺสํวุเตฺถ ภิกฺขู อุทฺทิสฺสาติ ปุริมิกาย วสฺสูปคเต ภิกฺขู อุทฺทิสิตฺวาฯ ปวารณาย ปุเพฺพว ยํ จีวรํ ทียตีติ สมฺพโนฺธฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ทสาหานาคตํ กตฺติกเตมาสิกปุณฺณม’’นฺติ (ปารา. ๖๔๘) ปาฬิยํ วุตฺตํ มหาปวารณาอุโปสถทิวสสฺส ปุเรตรเมว ปุพฺพกตฺติกมาสสฺส ชุณฺหปกฺขปญฺจมิยํ ยํ จีวรํ ‘‘อเจฺจกจีวรํ นาม เสนาย วา คนฺตุกาโม โหตี’’ติอาทินา (ปารา. ๖๔๙) ปทภาชนาคเตสุ คมิกคิลานคพฺภินิอภินวุปฺปนฺนสทฺธาทีสุ อญฺญตเรน ทูตํ เปเสตฺวา วา อตฺตนา วา อาคนฺตฺวา ‘‘วสฺสาวาสิกํ ทมฺมี’’ติ วตฺวา ทิยฺยตีติฯ ตํ โหตเจฺจกจีวรนฺติ ตํ อจฺจายิกจีวรํ นาม โหติฯ

    864.Vassaṃvutthe bhikkhū uddissāti purimikāya vassūpagate bhikkhū uddisitvā. Pavāraṇāya pubbeva yaṃ cīvaraṃ dīyatīti sambandho. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘dasāhānāgataṃ kattikatemāsikapuṇṇama’’nti (pārā. 648) pāḷiyaṃ vuttaṃ mahāpavāraṇāuposathadivasassa puretarameva pubbakattikamāsassa juṇhapakkhapañcamiyaṃ yaṃ cīvaraṃ ‘‘accekacīvaraṃ nāma senāya vā gantukāmo hotī’’tiādinā (pārā. 649) padabhājanāgatesu gamikagilānagabbhiniabhinavuppannasaddhādīsu aññatarena dūtaṃ pesetvā vā attanā vā āgantvā ‘‘vassāvāsikaṃ dammī’’ti vatvā diyyatīti. Taṃ hotaccekacīvaranti taṃ accāyikacīvaraṃ nāma hoti.

    ๘๖๕. ปุเร ปวารณาเยวาติ มหาปวารณาย ปุเรตรเมว ปญฺจมิโต ปฎฺฐาย ยสฺมิํ กิสฺมิญฺจิ ทิวเสฯ ภาเชตฺวา ยทิ คยฺหตีติ เอตฺถ ‘‘เยนา’’ติ จ น กาตโพฺพติ เอตฺถ ‘‘เตนา’’ติ จ กโรติ เจติ เอตฺถ ‘‘โส วสฺสเจฺฉท’’นฺติ จ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ ภาเชตฺวา ยทิ เยน คยฺหติ, เตน วสฺสเจฺฉโท น กาตโพฺพฯ โส วสฺสเจฺฉทํ กโรติ เจ, ตํ ภาเชตฺวา คหิตจีวรํ สงฺฆิกํ โหตีติ โยชนา, ฉินฺนวเสฺสน ตํ จีวรํ สงฺฆเสฺสว ทาตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    865.Pure pavāraṇāyevāti mahāpavāraṇāya puretarameva pañcamito paṭṭhāya yasmiṃ kismiñci divase. Bhājetvā yadi gayhatīti ettha ‘‘yenā’’ti ca na kātabboti ettha ‘‘tenā’’ti ca karoti ceti ettha ‘‘so vassaccheda’’nti ca sāmatthiyā labbhati. Bhājetvā yadi yena gayhati, tena vassacchedo na kātabbo. So vassacchedaṃ karoti ce, taṃ bhājetvā gahitacīvaraṃ saṅghikaṃ hotīti yojanā, chinnavassena taṃ cīvaraṃ saṅghasseva dātabbanti vuttaṃ hoti.

    ๘๖๖. ‘‘อโนฺตสมยเมวา’’ติ อิทํ ‘‘อธิเฎฺฐตี’’ติอาทีหิ ปเทหิ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ ปทภาชเน ‘‘จีวรกาลสมโย นาม อนตฺถเต กถิเน วสฺสานสฺส ปจฺฉิโม มาโส, อตฺถเต กถิเน ปญฺจมาสา’’ติ วุตฺตสมยพฺภนฺตเรเยว ตํ อเจฺจกจีวรํฯ

    866.‘‘Antosamayamevā’’ti idaṃ ‘‘adhiṭṭhetī’’tiādīhi padehi paccekaṃ yojetabbaṃ. Padabhājane ‘‘cīvarakālasamayo nāma anatthate kathine vassānassa pacchimo māso, atthate kathine pañcamāsā’’ti vuttasamayabbhantareyeva taṃ accekacīvaraṃ.

    ๘๖๗. กถิเน ตุ อนตฺถเตติ ยสฺมิํ กถินํ อนตฺถตํ, ตสฺมิํ วิหาเรติ วุตฺตํ โหติฯ ตุ-สโทฺท วิเสสตฺถโชตโกฯ อนธิฎฺฐาย อวิกเปฺปตฺวา ปริหรียติ เอตฺถ อเจฺจกจีวรนฺติ ปริหาโร, มาโส, เอโก จ โส มาโส จาติ เอกมาโส, ปุพฺพกตฺติกมาสสฺส ปาฎิปททิวสโต ปฎฺฐาย ยาว อปรกตฺติกมาสสฺส ปุณฺณมี, อยํ จีวรกาลสมโยติ วุโตฺต มาโสฯ ทสนฺนํ อหานํ สมาหาโร ทสาหํ, ตํ ปรมํ อธิกํ เอตสฺสาติ ทสาหปรโม, มาโสฯ ‘‘ทสาหานาคตํ กตฺติกเตมาสิกปุณฺณม’’นฺติ (ปารา. ๖๔๘) ปาฬิยํ วุตฺตปุพฺพกตฺติกปุณฺณมิปริยนฺตทสาหาธิโกติ อโตฺถฯ กถิเน อนตฺถเต ตุ ทสาหปรโม เอกมาโสว ตสฺส อจฺจายิกวตฺถสฺส ปริหาโร มโตติ โยชนาฯ

    867.Kathine tu anatthateti yasmiṃ kathinaṃ anatthataṃ, tasmiṃ vihāreti vuttaṃ hoti. Tu-saddo visesatthajotako. Anadhiṭṭhāya avikappetvā pariharīyati ettha accekacīvaranti parihāro, māso, eko ca so māso cāti ekamāso, pubbakattikamāsassa pāṭipadadivasato paṭṭhāya yāva aparakattikamāsassa puṇṇamī, ayaṃ cīvarakālasamayoti vutto māso. Dasannaṃ ahānaṃ samāhāro dasāhaṃ, taṃ paramaṃ adhikaṃ etassāti dasāhaparamo, māso. ‘‘Dasāhānāgataṃ kattikatemāsikapuṇṇama’’nti (pārā. 648) pāḷiyaṃ vuttapubbakattikapuṇṇamipariyantadasāhādhikoti attho. Kathine anatthate tu dasāhaparamo ekamāsova tassa accāyikavatthassa parihāro matoti yojanā.

    ๘๖๘. อตฺถเต กถิเนติ กถินตฺถตวิหาเรติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺส อจฺจายิกวตฺถสฺสาติ สมฺพโนฺธฯ ทสาหปรมา ปญฺจ มาสาติ สมฺพโนฺธฯ อนตฺถตกถิเน วิหาเร ยถาวุตฺตจีวรกาลสมยสงฺขาตวสฺสานาวสานมาโส จ กถินุทฺธารทิวสสงฺขาตปจฺฉิมกตฺติกกาฬปกฺขปาฎิปทโต ยาว ผคฺคุนมาสปุณฺณมี, ตาว เหมนฺตา จตฺตาโร มาสา จาติ ปญฺจ มาสาฯ ปกาสิตาติ ‘‘อนตฺถเต กถิเน วสฺสานสฺส ปจฺฉิโม มาโส, อตฺถเต กถิเน ปญฺจ มาสา’’ติ (ปารา. ๖๔๙) ทีปิตาฯ ทสาหปรมาติ วุตฺตโตฺถเยวฯ อตฺถเต กถิเน ทสาหปรมา ปญฺจ มาสา ตสฺส อจฺจายิกวตฺถสฺส ปริหาโร กาโลติ มุนิเนฺทน ปกาสิตาติ โยชนาฯ

    868.Atthate kathineti kathinatthatavihāreti vuttaṃ hoti. Tassa accāyikavatthassāti sambandho. Dasāhaparamā pañca māsāti sambandho. Anatthatakathine vihāre yathāvuttacīvarakālasamayasaṅkhātavassānāvasānamāso ca kathinuddhāradivasasaṅkhātapacchimakattikakāḷapakkhapāṭipadato yāva phaggunamāsapuṇṇamī, tāva hemantā cattāro māsā cāti pañca māsā. Pakāsitāti ‘‘anatthate kathine vassānassa pacchimo māso, atthate kathine pañca māsā’’ti (pārā. 649) dīpitā. Dasāhaparamāti vuttatthoyeva. Atthate kathine dasāhaparamā pañca māsā tassa accāyikavatthassa parihāro kāloti munindena pakāsitāti yojanā.

    อยมุภยตฺถ วุตฺตา ทสาหปรมตา อฎฺฐกถายํ ‘‘อนตฺถเต กถิเน เอกาทสทิวสาธิโก มาโส, อตฺถเต กถิเน เอกาทสทิวสาธิกา ปญฺจ มาสา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๕๐) วุตฺตปาเฐน ยถา น วิรุชฺฌติ, ตถา วิจาเรตฺวา คเหตพฺพาฯ เอวญฺหิ ปาเฐ สติ น วิรุชฺฌติ –

    Ayamubhayattha vuttā dasāhaparamatā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘anatthate kathine ekādasadivasādhiko māso, atthate kathine ekādasadivasādhikā pañca māsā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.650) vuttapāṭhena yathā na virujjhati, tathā vicāretvā gahetabbā. Evañhi pāṭhe sati na virujjhati –

    ‘‘ตสฺสจฺจายิกวตฺถสฺส , กถิเน ตุ อนตฺถเต;

    ‘‘Tassaccāyikavatthassa , kathine tu anatthate;

    ปริหาเรกมาเสกา-ทสาหปรโม มโตฯ

    Parihārekamāsekā-dasāhaparamo mato.

    อตฺถเต กถิเน ตสฺส, ปญฺจ มาสา ปกาสิตา;

    Atthate kathine tassa, pañca māsā pakāsitā;

    ปริหาโร ทิเนเนกา-ทสาหปรมา ปนา’’ติฯ

    Parihāro dinenekā-dasāhaparamā panā’’ti.

    ๘๖๙. ปฐเมน กถิเนนาติ โยชนาฯ ‘‘อกฺริยํ อจิตฺต’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ อกฺริยนฺติ อโนฺตสมเย อธิฎฺฐานาทิอกรณํฯ

    869. Paṭhamena kathinenāti yojanā. ‘‘Akriyaṃ acitta’’nti padacchedo. Akriyanti antosamaye adhiṭṭhānādiakaraṇaṃ.

    อเจฺจกจีวรกถาวณฺณนาฯ

    Accekacīvarakathāvaṇṇanā.

    ๘๗๐-๑. ภิกฺขูติ สาสงฺกสมฺมเต สปฺปฎิภเย อารญฺญกเสนาสเน วสนฺตํ ภิกฺขุมาหฯ ยถาห ‘‘ยานิ โข ปน ตานิ อารญฺญกานิ เสนาสนานิ สาสงฺกสมฺมตานิ สปฺปฎิภยานิ, ตถารูเปสุ ภิกฺขุ เสนาสเนสุ วิหรโนฺต’’ติ (ปารา. ๖๕๓)ฯ ปุพฺพกตฺติกปุณฺณมํ วสิตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ ปุพฺพกตฺติกปุณฺณมา นาม อสฺสยุชมาสสฺส ชุณฺหปกฺขปนฺนรสี, เอตฺถ ปน สหจริยนเยน ตทุปลกฺขิตา ปุริมิกา ตโย วสฺสานมาสา วุจฺจนฺติฯ ปุณฺณมนฺติ เอตฺถ วาสกิริยาย อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ ปุริมิกาย วสฺสํ อุปคนฺตฺวา อจฺฉินฺนวโสฺส หุตฺวา ตโย มาเส วสิตฺวาติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ยสฺมา ปน โย วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ยาว ปฐมกตฺติกปุณฺณมํ วสตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๕๓-๖๕๔)ฯ

    870-1.Bhikkhūti sāsaṅkasammate sappaṭibhaye āraññakasenāsane vasantaṃ bhikkhumāha. Yathāha ‘‘yāni kho pana tāni āraññakāni senāsanāni sāsaṅkasammatāni sappaṭibhayāni, tathārūpesu bhikkhu senāsanesu viharanto’’ti (pārā. 653). Pubbakattikapuṇṇamaṃ vasitvāti sambandho. Pubbakattikapuṇṇamā nāma assayujamāsassa juṇhapakkhapannarasī, ettha pana sahacariyanayena tadupalakkhitā purimikā tayo vassānamāsā vuccanti. Puṇṇamanti ettha vāsakiriyāya accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Purimikāya vassaṃ upagantvā acchinnavasso hutvā tayo māse vasitvāti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yasmā pana yo vassaṃ upagantvā yāva paṭhamakattikapuṇṇamaṃ vasatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.653-654).

    ‘‘จีวร’’นฺติ ติณฺณํ จีวรานํ อญฺญตรํ วุจฺจติฯ คาเม ฐเปตฺวาติ สมฺพโนฺธ, เอตฺถ ‘‘กตฺติกปุณฺณม’’นฺติ จ ‘‘อากงฺขมาโน’’ติ จ เสโส, อปรกตฺติกมาเส กตฺติกโจรภเยน จีวรํ ปฎิสาเมตุกาโม ภิกฺขุ อารญฺญกเสนาสนสฺส สามนฺตา โคจรคาเม นิกฺขิปิตฺวาติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘อุปวสฺสํ โข ปน กตฺติกปุณฺณมํ…เป.… อากงฺขมาโน ติณฺณํ จีวรานํ อญฺญตรํ จีวรํ อนฺตรฆเร นิกฺขิเปยฺยา’’ติ (ปารา. ๖๕๓)ฯ

    ‘‘Cīvara’’nti tiṇṇaṃ cīvarānaṃ aññataraṃ vuccati. Gāme ṭhapetvāti sambandho, ettha ‘‘kattikapuṇṇama’’nti ca ‘‘ākaṅkhamāno’’ti ca seso, aparakattikamāse kattikacorabhayena cīvaraṃ paṭisāmetukāmo bhikkhu āraññakasenāsanassa sāmantā gocaragāme nikkhipitvāti attho. Yathāha ‘‘upavassaṃ kho pana kattikapuṇṇamaṃ…pe… ākaṅkhamāno tiṇṇaṃ cīvarānaṃ aññataraṃ cīvaraṃ antaraghare nikkhipeyyā’’ti (pārā. 653).

    ‘‘สมนฺตา โคจรคาเม’’ติ อิทํ ‘‘อนฺตรฆเร นิกฺขิเปยฺยาติ สมนฺตา โคจรคาเม นิกฺขิเปยฺยา’’ติ (ปารา. ๖๕๔) ปทภาชเน วุตฺตตฺตา วุตฺตํฯ ‘‘อปรกตฺติกมาเส’’ติ จ ‘‘กตฺติกปุณฺณมนฺติ กตฺติกจาตุมาสินี วุจฺจตี’’ติ (ปารา. ๖๕๔) ปทภาชนิยวเสน วุตฺตํฯ อิธาปิ หิ ‘‘กตฺติกปุณฺณม’’นฺติ อปรกตฺติกชุณฺหปกฺขปนฺนรสิยา วุจฺจมานายาปิ สหจริยนเยน ตํสหจริโต จตุโตฺถ มาโส วุโตฺตฯ

    ‘‘Samantā gocaragāme’’ti idaṃ ‘‘antaraghare nikkhipeyyāti samantā gocaragāme nikkhipeyyā’’ti (pārā. 654) padabhājane vuttattā vuttaṃ. ‘‘Aparakattikamāse’’ti ca ‘‘kattikapuṇṇamanti kattikacātumāsinī vuccatī’’ti (pārā. 654) padabhājaniyavasena vuttaṃ. Idhāpi hi ‘‘kattikapuṇṇama’’nti aparakattikajuṇhapakkhapannarasiyā vuccamānāyāpi sahacariyanayena taṃsahacarito catuttho māso vutto.

    เอตฺตาวตา ปุริมิกาย วสฺสํ อุปคนฺตฺวา มหาปวารณาย ปวาเรตฺวา วุตฺตลกฺขเณ อารญฺญกเสนาสเน วสนฺตสฺส อารญฺญกสฺส ภิกฺขุโน ปจฺฉิมกตฺติกมาเส กตฺติกโจรภเย สติ ติณฺณํ จีวรานํ อญฺญตรํ โคจรคาเม ฐเปตฺวา อารญฺญกงฺคํ ปูรยโต จีวเรน วิปฺปวาโส ตสฺมิํ มาเส น โหตีติ อนุญฺญาตภาโว ทีปิโตฯ ตเทว ปกาเสตุํ นิเกฺขโปปายสนฺทสฺสนมุเขน วกฺขติ ‘‘กตฺติเกเยว มาสสฺมิํ…เป.… วฎฺฎตี’’ติฯ

    Ettāvatā purimikāya vassaṃ upagantvā mahāpavāraṇāya pavāretvā vuttalakkhaṇe āraññakasenāsane vasantassa āraññakassa bhikkhuno pacchimakattikamāse kattikacorabhaye sati tiṇṇaṃ cīvarānaṃ aññataraṃ gocaragāme ṭhapetvā āraññakaṅgaṃ pūrayato cīvarena vippavāso tasmiṃ māse na hotīti anuññātabhāvo dīpito. Tadeva pakāsetuṃ nikkhepopāyasandassanamukhena vakkhati ‘‘kattikeyeva māsasmiṃ…pe… vaṭṭatī’’ti.

    อิทานิ อสฺมิํเยว มาเส ตโต อญฺญตฺถ ตสฺส ภิกฺขุโน เกนจิ กรณีเยน คจฺฉโต คาเม ฐปิเตน เตน จีวเรน วิปฺปวสโต นิโทฺทสภาวํ อนุชานเนฺตน ภควตา ‘‘สิยา จ ตสฺส ภิกฺขุโน…เป.… เตน จีวเรน วิปฺปวสิตพฺพ’’นฺติ (ปารา. ๖๕๓) วุตฺตมตฺถํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปจฺจเย…เป.… สมฺมุติ’’นฺติฯ ปจฺจเย สติ ตาทิเสติ ‘‘สิยา ปจฺจโย, สิยา กรณีย’’นฺติ (ปารา. ๖๕๔) วจนโต ตาทิเส กิเจฺจ สตีติ อโตฺถฯ ฉารตฺตปรมนฺติ ฉ รตฺติโย ปรมา ยสฺส วาสกมฺมสฺส ตํ ฉารตฺตปรมํ, กิริยาวิเสสนํ, ฉารตฺตปรมํ วาสกมฺมํ กาตพฺพนฺติ อโตฺถฯ เตน วินา วสิตพฺพนฺติ คาเม นิกฺขิเตฺตน เตน จีวเรน วินา ตมฺหา อาวาสา อญฺญตฺถ วสิตพฺพํฯ ตเทว ปากฎํ กาตุํ วกฺขติ ‘‘อญฺญเตฺถว วสนฺตสฺส, ฉารตฺตปรมํ มต’’นฺติฯ

    Idāni asmiṃyeva māse tato aññattha tassa bhikkhuno kenaci karaṇīyena gacchato gāme ṭhapitena tena cīvarena vippavasato niddosabhāvaṃ anujānantena bhagavatā ‘‘siyā ca tassa bhikkhuno…pe… tena cīvarena vippavasitabba’’nti (pārā. 653) vuttamatthaṃ dassetumāha ‘‘paccaye…pe… sammuti’’nti. Paccaye sati tādiseti ‘‘siyā paccayo, siyā karaṇīya’’nti (pārā. 654) vacanato tādise kicce satīti attho. Chārattaparamanti cha rattiyo paramā yassa vāsakammassa taṃ chārattaparamaṃ, kiriyāvisesanaṃ, chārattaparamaṃ vāsakammaṃ kātabbanti attho. Tena vinā vasitabbanti gāme nikkhittena tena cīvarena vinā tamhā āvāsā aññattha vasitabbaṃ. Tadeva pākaṭaṃ kātuṃ vakkhati ‘‘aññattheva vasantassa, chārattaparamaṃ mata’’nti.

    ตโตติ ฉารตฺตโตฯ อุตฺตริ วสโตติ สตฺตมํ อรุณํ อุฎฺฐาเปตฺวา วสนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘ตโต เจ อุตฺตริ วิปฺปวเสยฺยาติ สตฺตเม อรุณุคฺคมเน นิสฺสคฺคิย’’นฺติ (ปารา. ๖๕๔)ฯ โทโสติ นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยํฯ ‘‘วินา สงฺฆสฺส สมฺมุติ’’นฺติ อิมินา กิํ วุตฺตํ โหติ? อุโทสิตสิกฺขาปเท อนุปญฺญตฺติํ กตฺวา โกสมฺพิยํ คิลานภิกฺขุโน ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว คิลานสฺส ภิกฺขุโน ติจีวเรน อวิปฺปวาสสมฺมุติํ ทาตุ’’นฺติ (ปารา. ๔๗๓) อนุญฺญาตตฺตา คิลานสฺส ภิกฺขุโน สเงฺฆน ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย ปุริมเมว ยา อวิปฺปวาสสมฺมุติ ทินฺนา, ตํ วินาติ วุตฺตํ โหติฯ เตน ลทฺธสมฺมุติเกน ยาว โรโค วูปสมฺมติ, ตาว จิรมฺปิ เตน จีวเรน วินา วสิตุํ วฎฺฎตีติ อธิปฺปาโยฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อญฺญตฺร ภิกฺขุสมฺมุติยาติ ยา อุโทสิตสิกฺขาปเท โกสมฺพกสมฺมุติ อนุญฺญาตา, ตสฺสา สมฺมุติยา อญฺญตฺรฯ สเจ สา ลทฺธา โหติ, ฉารตฺตาติเรกมฺปิ วิปฺปวสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๕๓-๖๕๔)ฯ

    Tatoti chārattato. Uttari vasatoti sattamaṃ aruṇaṃ uṭṭhāpetvā vasantassāti attho. Yathāha ‘‘tato ce uttari vippavaseyyāti sattame aruṇuggamane nissaggiya’’nti (pārā. 654). Dosoti nissaggiyapācittiyaṃ. ‘‘Vinā saṅghassa sammuti’’nti iminā kiṃ vuttaṃ hoti? Udositasikkhāpade anupaññattiṃ katvā kosambiyaṃ gilānabhikkhuno ‘‘anujānāmi bhikkhave gilānassa bhikkhuno ticīvarena avippavāsasammutiṃ dātu’’nti (pārā. 473) anuññātattā gilānassa bhikkhuno saṅghena ñattidutiyāya kammavācāya purimameva yā avippavāsasammuti dinnā, taṃ vināti vuttaṃ hoti. Tena laddhasammutikena yāva rogo vūpasammati, tāva cirampi tena cīvarena vinā vasituṃ vaṭṭatīti adhippāyo. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘aññatra bhikkhusammutiyāti yā udositasikkhāpade kosambakasammuti anuññātā, tassā sammutiyā aññatra. Sace sā laddhā hoti, chārattātirekampi vippavasituṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.653-654).

    ๘๗๒-๓. จีวรนิเกฺขปํ ทเสฺสตุมาห ‘‘กตฺติเกเยว…เป.… ปกาสิโต’’ติฯ กตฺติเกเยว มาสสฺมินฺติ จตุนฺนํ วสฺสานานํ มาสานํ ปจฺฉิเม กตฺติกมาเสเยว อิทเมกงฺคํฯ ปฐมาย ปวาริโตติ ทุติยมงฺคํ, อิธ ปฐมาย วสฺสูปนายิกาย วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ปวาริโตติ โยชนา, มหาปวารณาย ปวาริโตติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ปุริมิกาย อุปคนฺตฺวา มหาปวารณาย ปวาริโต โหตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๕๓-๖๕๔)ฯ ปจฺฉิเมน ปมาเณน ยุเตฺตติ ตติยมงฺคํฯ เสนาสเนติ เอตสฺส วิเสสนํฯ อิห อารญฺญกเสนาสนสฺส ปจฺฉิมปฺปมาณํ นาม ปากาเรน วา วติยา วา ปริขาย วา ปริกฺขิตฺตสฺส คามสฺส อินฺทขีลสงฺขาตคามทฺวารโกฎฺฐกุมฺมารโต วา อปริกฺขิตฺตสฺส คามสฺส ปริเกฺขปารหฎฺฐานสงฺขาเต ปริยนฺตเคหสฺส อุปจาเร ฐิตสฺส ถามมชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส พลปฺปมาเณน วิสฺสฎฺฐเลฑฺฑุปาตทฺวยโต วา ปฎฺฐาย ปริกฺขิตฺตสฺส วิหารสฺส สปริเกฺขปํ วา อปริกฺขิตฺตสฺส วิหารสฺส ยสฺสํ ทิสายํ คาโม โหติ, ตตฺถ คามปริยนฺตเสนาสนํ วา เจติยํ วา โพธิํ วา อวธิํ กตฺวา วิหารคมนีเยน ปกติมเคฺคน วิทตฺถิคมฺภีรํ อาโรปิเตน อาจริยธนุนา ปมิตปญฺจธนุสตปมาณทูรนฺติ สเงฺขปโต คเหตพฺพํฯ

    872-3. Cīvaranikkhepaṃ dassetumāha ‘‘kattikeyeva…pe… pakāsito’’ti. Kattikeyeva māsasminti catunnaṃ vassānānaṃ māsānaṃ pacchime kattikamāseyeva idamekaṅgaṃ. Paṭhamāya pavāritoti dutiyamaṅgaṃ, idha paṭhamāya vassūpanāyikāya vassaṃ upagantvā pavāritoti yojanā, mahāpavāraṇāya pavāritoti vuttaṃ hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘purimikāya upagantvā mahāpavāraṇāya pavārito hotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.653-654). Pacchimena pamāṇena yutteti tatiyamaṅgaṃ. Senāsaneti etassa visesanaṃ. Iha āraññakasenāsanassa pacchimappamāṇaṃ nāma pākārena vā vatiyā vā parikhāya vā parikkhittassa gāmassa indakhīlasaṅkhātagāmadvārakoṭṭhakummārato vā aparikkhittassa gāmassa parikkhepārahaṭṭhānasaṅkhāte pariyantagehassa upacāre ṭhitassa thāmamajjhimassa purisassa balappamāṇena vissaṭṭhaleḍḍupātadvayato vā paṭṭhāya parikkhittassa vihārassa saparikkhepaṃ vā aparikkhittassa vihārassa yassaṃ disāyaṃ gāmo hoti, tattha gāmapariyantasenāsanaṃ vā cetiyaṃ vā bodhiṃ vā avadhiṃ katvā vihāragamanīyena pakatimaggena vidatthigambhīraṃ āropitena ācariyadhanunā pamitapañcadhanusatapamāṇadūranti saṅkhepato gahetabbaṃ.

    สาสงฺกสมฺมเตติ จตุตฺถมงฺคํ, ‘‘อิห สปฺปฎิภเย’’ติ เสโสฯ ‘‘สาสงฺกสมฺมตานิ สปฺปฎิภยานี’’ติ (ปารา. ๖๕๓) หิ ปาฬิฯ อิทํ ทฺวยมฺปิ ‘‘เสนาสเน’’ติ เอตสฺส วิเสสนํฯ อารามอารามูปจาเรสุ โจรานํ นิสินฺนสยิตฎฺฐิตภุตฺตปีตฎฺฐานาทีนํ ทิสฺสมานตาย อาสงฺกาสหิเต ตเตฺถว อารามาทีสุ ปหฎมาริตวิลุตฺตมนุสฺสานํ ทิสฺสมานตาย วิเสเสน สหภยตาย สปฺปฎิภเย อารญฺญเก เสนาสเนติ อโตฺถฯ วสโนฺต ภิกฺขุฯ วสโนฺตวาติ เอตฺถ เอวกาโร อฎฺฐานปฺปยุโตฺตฯ ตสฺมา ตโต อาเนตฺวา จตุรงฺคสมาโยเค เอวาติ โยเชตโพฺพฯ จตุรงฺคสมาโยเค เอวาติ ยถาวุตฺตานํ จตุนฺนํ องฺคานํ สมาโยเค สนฺนิปาเต สติ เอวฯ เอตฺถ เอวกาเรน ตสฺส องฺคสฺส อภาเว อลพฺภมานตํ ทีเปติฯ ปกาสิโตติ ‘‘ตตฺรายํ องฺคสมฺปตฺตี’’ติอาทิกาย (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๕๓-๖๕๔) อฎฺฐกถาย วุโตฺตฯ

    Sāsaṅkasammateti catutthamaṅgaṃ, ‘‘iha sappaṭibhaye’’ti seso. ‘‘Sāsaṅkasammatāni sappaṭibhayānī’’ti (pārā. 653) hi pāḷi. Idaṃ dvayampi ‘‘senāsane’’ti etassa visesanaṃ. Ārāmaārāmūpacāresu corānaṃ nisinnasayitaṭṭhitabhuttapītaṭṭhānādīnaṃ dissamānatāya āsaṅkāsahite tattheva ārāmādīsu pahaṭamāritaviluttamanussānaṃ dissamānatāya visesena sahabhayatāya sappaṭibhaye āraññake senāsaneti attho. Vasanto bhikkhu. Vasantovāti ettha evakāro aṭṭhānappayutto. Tasmā tato ānetvā caturaṅgasamāyoge evāti yojetabbo. Caturaṅgasamāyoge evāti yathāvuttānaṃ catunnaṃ aṅgānaṃ samāyoge sannipāte sati eva. Ettha evakārena tassa aṅgassa abhāve alabbhamānataṃ dīpeti. Pakāsitoti ‘‘tatrāyaṃ aṅgasampattī’’tiādikāya (pārā. aṭṭha. 2.653-654) aṭṭhakathāya vutto.

    ๘๗๔. ตํ จีวรํฯ มาสเมกนฺติ วสฺสานสฺส ปจฺฉิมมาสสงฺขาตํ เอกํ มาสํฯ โย คาโม สเจ ปุริมพทฺธาย อวิปฺปวาสสีมาย อโนฺต โหติ, ตตฺถ มาสโต อติเรกมฺปิ ฐเปตุํ วฎฺฎตีติ (วชิร. ฎี. ปาราชิก ๖๕๓ อตฺถโต สมานํ) วชิรพุทฺธิเตฺถเรน วุตฺตํฯ

    874.Taṃ cīvaraṃ. Māsamekanti vassānassa pacchimamāsasaṅkhātaṃ ekaṃ māsaṃ. Yo gāmo sace purimabaddhāya avippavāsasīmāya anto hoti, tattha māsato atirekampi ṭhapetuṃ vaṭṭatīti (vajira. ṭī. pārājika 653 atthato samānaṃ) vajirabuddhittherena vuttaṃ.

    ๘๗๕. อญฺญเตฺถวาติ ยสฺส อารญฺญกเสนาสนสฺส โคจรคาเม จีวรํ นิกฺขิตฺตํ, ตโต อารญฺญกเสนาสนโต พหิ เอวฯ อยํ อธิปฺปาโยติ ‘‘ยํ คาม’’นฺติอาทิกาย ทิยฑฺฒคาถาย ปฎิปาทิตตฺถทฺวยสงฺขาโต อธิปฺปาโยฯ อสฺสาติ สาสงฺกสิกฺขาปทสฺสฯ เอวํ อิมินา สิกฺขาปเทน ‘‘จีวเรน วินา กตฺติกมาเส อรเญฺญ วเสยฺยา’’ติ อนุญฺญาตตฺตา ‘‘ฉารตฺตปรมํ เตน ภิกฺขุนา เตน จีวเรน วิปฺปวสิตพฺพ’’นฺติ (ปารา. ๖๕๓) อิมินา โคจรคาเม ตํ ฐเปตฺวา ตสฺมิํ อารญฺญกาวาเส วสิตฺวา เกนจิ กรณีเยน ตโต อาวาสโต คนฺตฺวา พหิ วสโต ทิวสปริเจฺฉทสฺส วิญฺญายมานตฺตาเยวาห ‘‘ปฎิจฺฉโนฺน ปกาสิโต’’ติฯ

    875.Aññatthevāti yassa āraññakasenāsanassa gocaragāme cīvaraṃ nikkhittaṃ, tato āraññakasenāsanato bahi eva. Ayaṃ adhippāyoti ‘‘yaṃ gāma’’ntiādikāya diyaḍḍhagāthāya paṭipāditatthadvayasaṅkhāto adhippāyo. Assāti sāsaṅkasikkhāpadassa. Evaṃ iminā sikkhāpadena ‘‘cīvarena vinā kattikamāse araññe vaseyyā’’ti anuññātattā ‘‘chārattaparamaṃ tena bhikkhunā tena cīvarena vippavasitabba’’nti (pārā. 653) iminā gocaragāme taṃ ṭhapetvā tasmiṃ āraññakāvāse vasitvā kenaci karaṇīyena tato āvāsato gantvā bahi vasato divasaparicchedassa viññāyamānattāyevāha ‘‘paṭicchanno pakāsito’’ti.

    ๘๗๖. ‘‘สเจ โคจรคามโต ปุรตฺถิมาย ทิสาย เสนาสนํ, อยญฺจ ปจฺฉิมํ ทิสํ คโต โหตี’’ติอาทินา (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๕๖) อฎฺฐกถายํ กถิตนิยาเมน วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เสนาสนมถาคนฺตฺวา’’ติอาทิฯ เสนาสนนฺติ อตฺตนา นิวุตฺถํ อารญฺญกเสนาสนํฯ อาคนฺตฺวาติ พหิ คตฎฺฐานโต อาคนฺตฺวาฯ โคจรคาเม จีวรํ นิกฺขิปิตฺวา ตโต ปุรตฺถิมาย ทิสาย อารญฺญกเสนาสเน วิหรโต วิหารา นิกฺขมฺม ตโต โคจรคามโต ปจฺฉิมทิสาย ทูรฎฺฐานํ คตสฺส อาคตฎฺฐานโต ตํ เสนาสนํ อาคนฺตฺวา วิทูรตฺตา สตฺตมํ อรุณํ อุฎฺฐาเปตุํ อสโกฺกนฺตสฺส ภิกฺขุโน กิํ วิหิตนฺติ อยเมตฺถ โยชนาฯ

    876. ‘‘Sace gocaragāmato puratthimāya disāya senāsanaṃ, ayañca pacchimaṃ disaṃ gato hotī’’tiādinā (pārā. aṭṭha. 2.656) aṭṭhakathāyaṃ kathitaniyāmena vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘senāsanamathāgantvā’’tiādi. Senāsananti attanā nivutthaṃ āraññakasenāsanaṃ. Āgantvāti bahi gataṭṭhānato āgantvā. Gocaragāme cīvaraṃ nikkhipitvā tato puratthimāya disāya āraññakasenāsane viharato vihārā nikkhamma tato gocaragāmato pacchimadisāya dūraṭṭhānaṃ gatassa āgataṭṭhānato taṃ senāsanaṃ āgantvā vidūrattā sattamaṃ aruṇaṃ uṭṭhāpetuṃ asakkontassa bhikkhuno kiṃ vihitanti ayamettha yojanā.

    ๘๗๗. คามสีมมฺปิ วาคนฺตฺวาติ ยตฺถ จีวรํ นิกฺขิตฺตํ, ตํ คามสีมมฺปิ ปุรารุณาเยว อาคนฺตฺวาฯ ยตฺถ กตฺถจีติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๕๖) สภาเทวาลยทฺวารโกฎฺฐกาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ กปฺปิยฎฺฐาเน ฯ ‘‘ยตฺถ กตฺถจี’’ติ สามเญฺญน วุตฺตตฺตา ตสฺสา คามสีมาย อโนฺต อารญฺญกงฺคารกฺขนารหํ ทูรฎฺฐานํ ลทฺธํ เจ, องฺคเภทํ อกตฺวา ตตฺถ อรุณํ อุฎฺฐาเปตพฺพํฯ ธุตเงฺค วิชฺชมาเนปิ อาปตฺติํ อนาปชฺชิตุํ อโนฺตคาเมปิ อรุณํ อุฎฺฐาเปตฺวา จีวรปวตฺติเยว ญาตพฺพาฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘คามสีมมฺปิ โอกฺกมิตฺวา สภายํ วา ยตฺถ กตฺถจิ วา วสิตฺวา จีวรปฺปวตฺติํ ญตฺวา ปกฺกมิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๕๖)ฯ

    877.Gāmasīmampivāgantvāti yattha cīvaraṃ nikkhittaṃ, taṃ gāmasīmampi purāruṇāyeva āgantvā. Yattha katthacīti (pārā. aṭṭha. 2.656) sabhādevālayadvārakoṭṭhakādīsu yattha katthaci kappiyaṭṭhāne . ‘‘Yattha katthacī’’ti sāmaññena vuttattā tassā gāmasīmāya anto āraññakaṅgārakkhanārahaṃ dūraṭṭhānaṃ laddhaṃ ce, aṅgabhedaṃ akatvā tattha aruṇaṃ uṭṭhāpetabbaṃ. Dhutaṅge vijjamānepi āpattiṃ anāpajjituṃ antogāmepi aruṇaṃ uṭṭhāpetvā cīvarapavattiyeva ñātabbā. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘gāmasīmampi okkamitvā sabhāyaṃ vā yattha katthaci vā vasitvā cīvarappavattiṃ ñatvā pakkamituṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.656).

    ๘๗๘. เอวญฺจาปิ อสโกฺกโนฺตติ องฺคเภทํ อกตฺวา, กตฺวา วา อโนฺตคามสีมาย อรุณํ อุฎฺฐาเปตุมฺปิ คนฺตุํ อสโกฺกโนฺตฯ ญตฺวาติ อตฺตโน จีวรสฺส ฐปิตฎฺฐานํ สลฺลเกฺขตฺวาฯ ตเตฺถวาติ เอตฺถ ‘‘ฐิโต’’ติ ลพฺภติฯ ขิปฺปนฺติ สีฆํ, ปุรารุณาติ วุตฺตํ โหติฯ อติเรเก ฐาเนติ โยชนา, ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อติเรกจีวรฎฺฐาเน ฐสฺสตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๕๖), ‘‘อติเรกจีวรฎฺฐาเน ติฎฺฐตี’’ติ จิเนฺตตฺวาติ อโตฺถฯ

    878.Evañcāpi asakkontoti aṅgabhedaṃ akatvā, katvā vā antogāmasīmāya aruṇaṃ uṭṭhāpetumpi gantuṃ asakkonto. Ñatvāti attano cīvarassa ṭhapitaṭṭhānaṃ sallakkhetvā. Tatthevāti ettha ‘‘ṭhito’’ti labbhati. Khippanti sīghaṃ, purāruṇāti vuttaṃ hoti. Atireke ṭhāneti yojanā, yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘atirekacīvaraṭṭhāne ṭhassatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.656), ‘‘atirekacīvaraṭṭhāne tiṭṭhatī’’ti cintetvāti attho.

    ๘๗๙. วิสฺสเชฺชตีติ สตฺตมอรุณุฎฺฐานโต ปุเรตรเมว อญฺญสฺส เทติฯ อุปริปิ เอวเมว วตฺตพฺพํฯ

    879.Vissajjetīti sattamaaruṇuṭṭhānato puretarameva aññassa deti. Uparipi evameva vattabbaṃ.

    ๘๘๐. สาสงฺกสมฺมเต เอวํนามเก สิกฺขาปเท สมุฎฺฐานาทโย สเพฺพ เตน ทุติเยน กถิเนน สมา อิติ มุนิเนฺทน มตา อนุมตา อนุญฺญาตาติ โยชนาฯ

    880.Sāsaṅkasammate evaṃnāmake sikkhāpade samuṭṭhānādayo sabbe tena dutiyena kathinena samā iti munindena matā anumatā anuññātāti yojanā.

    สาสงฺกกถาวณฺณนาฯ

    Sāsaṅkakathāvaṇṇanā.

    ๘๘๑. ชานนฺติ ‘‘สงฺฆสฺส เทมา’’ติ วจเนน ปริณามิตภาวํ เยน เกนจิ อากาเรน ชานโนฺตฯ ยถาห ปทภาชเน ‘‘สามํ วา ชานาตี’’ติอาทิ (ปารา. ๖๕๙)ฯ ปริณตนฺติ เอตฺถ ปทภาชเน ‘‘ปริณตํ นาม ‘ทสฺสาม กริสฺสามา’ติ วาจา ภินฺนา โหตี’’ติ วุตฺตนิยาเมน สงฺฆสฺส ปริณตนฺติ อโตฺถฯ ลาภนฺติ ลภิตพฺพํ จีวราทิ ยํ กิญฺจิฯ ยถาห ‘‘ลาโภ นาม จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารา, อนฺตมโส จุณฺณปิโณฺฑปิ ทนฺตกฎฺฐมฺปิ ทสิกสุตฺตมฺปี’’ติฯ อตฺตโน ปริณาเมยฺยาติ ‘‘พหู อาวุโส สงฺฆสฺส ทายกา, พหู สงฺฆสฺส ภตฺตา, มยํ ตุเมฺห นิสฺสาย ตุเมฺห สมฺปสฺสนฺตา อิธ วิหรามฯ ตุเมฺห เจ อมฺหากํ น ทสฺสถ, อถ โก จรหิ อมฺหากํ ทสฺสติฯ เทถาวุโส อมฺหากํ อิมานิ จีวรานี’’ติ (ปารา. ๖๕๗) ปาฬิยา อาคตนเยน อตฺตโน ปริณาเมยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺส นิสฺสคฺคิยนฺติ เอตฺถ ‘‘ปโยเค ทุกฺกฎํ, ปฎิลาเภนา’’ติ เสโสฯ นิสฺสคฺคิยนฺติ อิทํ ปริณเต ปริณตสญฺญิํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เวมติกสฺส ปน ทุกฺกฎํ โหติฯ ยถาห ‘‘ปริณเต เวมติโก อตฺตโน ปริณาเมติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติฯ อปริณตสญฺญิโน อนาปตฺติฯ ยถาห ‘‘ปริณเต อปริณตสญฺญี อตฺตโน ปริณาเมติ, อนาปตฺตี’’ติฯ

    881.Jānanti ‘‘saṅghassa demā’’ti vacanena pariṇāmitabhāvaṃ yena kenaci ākārena jānanto. Yathāha padabhājane ‘‘sāmaṃ vā jānātī’’tiādi (pārā. 659). Pariṇatanti ettha padabhājane ‘‘pariṇataṃ nāma ‘dassāma karissāmā’ti vācā bhinnā hotī’’ti vuttaniyāmena saṅghassa pariṇatanti attho. Lābhanti labhitabbaṃ cīvarādi yaṃ kiñci. Yathāha ‘‘lābho nāma cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārā, antamaso cuṇṇapiṇḍopi dantakaṭṭhampi dasikasuttampī’’ti. Attano pariṇāmeyyāti ‘‘bahū āvuso saṅghassa dāyakā, bahū saṅghassa bhattā, mayaṃ tumhe nissāya tumhe sampassantā idha viharāma. Tumhe ce amhākaṃ na dassatha, atha ko carahi amhākaṃ dassati. Dethāvuso amhākaṃ imāni cīvarānī’’ti (pārā. 657) pāḷiyā āgatanayena attano pariṇāmeyyāti vuttaṃ hoti. Tassa nissaggiyanti ettha ‘‘payoge dukkaṭaṃ, paṭilābhenā’’ti seso. Nissaggiyanti idaṃ pariṇate pariṇatasaññiṃ sandhāya vuttaṃ. Vematikassa pana dukkaṭaṃ hoti. Yathāha ‘‘pariṇate vematiko attano pariṇāmeti, āpatti dukkaṭassā’’ti. Apariṇatasaññino anāpatti. Yathāha ‘‘pariṇate apariṇatasaññī attano pariṇāmeti, anāpattī’’ti.

    ๘๘๒. ‘‘อญฺญสฺส เทหี’’ติ สเจ ปริณาเมตีติ ตถา สงฺฆสฺส ปริณตภาวํ ชานโนฺต ‘‘อญฺญสฺส เทหี’’ติ ยทิ ปริณาเมติฯ สุทฺธิกํ ปาจิตฺติยนฺติ นิสฺสชฺชิตพฺพวตฺถุรหิตํ เกวลํ ปาจิตฺติยมตฺตนฺติ อโตฺถฯ สุทฺธจิเตฺตนาติ สวาสนานวเสสกิเลสปฺปหาเนน ปริสุทฺธจิเตฺตน ภควตาฯ ปาจิตฺติยมุทีริตนฺติ ปาจิตฺติเยสุ อฎฺฐมสฺส สหธมฺมิกวคฺคสฺส อวสาเน ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ชานํ สงฺฆิกํ ลาภํ ปริณตํ ปุคฺคลสฺส ปริณาเมยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๔๙๐) เทสิตํฯ

    882.‘‘Aññassa dehī’’ti sace pariṇāmetīti tathā saṅghassa pariṇatabhāvaṃ jānanto ‘‘aññassa dehī’’ti yadi pariṇāmeti. Suddhikaṃ pācittiyanti nissajjitabbavatthurahitaṃ kevalaṃ pācittiyamattanti attho. Suddhacittenāti savāsanānavasesakilesappahānena parisuddhacittena bhagavatā. Pācittiyamudīritanti pācittiyesu aṭṭhamassa sahadhammikavaggassa avasāne ‘‘yo pana bhikkhu jānaṃ saṅghikaṃ lābhaṃ pariṇataṃ puggalassa pariṇāmeyya, pācittiya’’nti (pāci. 490) desitaṃ.

    ๘๘๓. เอกํ จีวรนฺติ สงฺฆสฺส ปริณตจีวรโต เอกํ จีวรํฯ จีวรํ วาติ เอตฺถ วา-สโทฺท ปจฺจยนฺตรวิกปฺปโตฺถฯ วา ปนาติ เอตฺถ วา-สโทฺท อตฺถวิกปฺปโตฺถฯ เอกํ จีวรํ วา อญฺญํ วา ปจฺจยํ ปรสฺส, เอกํ ปน อตฺตโน วา ปริณาเมยฺย เจติ โยชนาฯ สทฺธินฺติ เอกโต, เอกกฺขเณติ วุตฺตํ โหติฯ เทฺว ปาจิตฺติโย สทฺธิํ สิยุนฺติ โยชนา, อญฺญสฺส ปริณามเนน สุทฺธปาจิตฺติยญฺจ อตฺตโน ปริณามเนน นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยญฺจาติ เทฺว ปาจิตฺติโย เอกกฺขเณ โหนฺตีติ อโตฺถฯ

    883.Ekaṃcīvaranti saṅghassa pariṇatacīvarato ekaṃ cīvaraṃ. Cīvaraṃ vāti ettha -saddo paccayantaravikappattho. Vā panāti ettha -saddo atthavikappattho. Ekaṃ cīvaraṃ vā aññaṃ vā paccayaṃ parassa, ekaṃ pana attano vā pariṇāmeyya ceti yojanā. Saddhinti ekato, ekakkhaṇeti vuttaṃ hoti. Dve pācittiyo saddhiṃ siyunti yojanā, aññassa pariṇāmanena suddhapācittiyañca attano pariṇāmanena nissaggiyapācittiyañcāti dve pācittiyo ekakkhaṇe hontīti attho.

    ๘๘๔. ปริณาเมตฺวา ฐปิเต วินิจฺฉยํ ทเสฺสตฺวา ปริจฺจชิตฺวา ทิเนฺน วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘สงฺฆสฺสา’’ติอาทิฯ ‘‘ปราชโย’’ติ อิทํ ปาทปฺปโหนกํ วตฺถุํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ยถาวตฺถุวเสน ปน ทุกฺกฎถุลฺลจฺจยาปิ วตฺตพฺพาฯ

    884. Pariṇāmetvā ṭhapite vinicchayaṃ dassetvā pariccajitvā dinne vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘saṅghassā’’tiādi. ‘‘Parājayo’’ti idaṃ pādappahonakaṃ vatthuṃ sandhāya vuttaṃ. Yathāvatthuvasena pana dukkaṭathullaccayāpi vattabbā.

    ๘๘๕. อญฺญสฺส เจติยสฺส โปณํ ปริณตํ อญฺญสฺส เจติยสฺส วา สงฺฆสฺส วา ปุคฺคลสฺส วาปิ ปน ปริณาเมยฺยาติ โยชนาฯ สงฺฆสฺส ปุคฺคลสฺสาติ ปททฺวเยปิ เอวเมว โยเชตพฺพํฯ ยถาห ‘‘สงฺฆสฺส ปริณตํ อญฺญสงฺฆสฺส วา เจติยสฺส วา ปุคฺคลสฺส วา ปริณาเมติ , อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติอาทิ (ปาจิ. ๔๙๒)ฯ อญฺญสฺส ปุคฺคลสฺส โปณํ อญฺญสฺส ปุคฺคลสฺส ปริณาเมยฺยาติฯ

    885. Aññassa cetiyassa poṇaṃ pariṇataṃ aññassa cetiyassa vā saṅghassa vā puggalassa vāpi pana pariṇāmeyyāti yojanā. Saṅghassa puggalassāti padadvayepi evameva yojetabbaṃ. Yathāha ‘‘saṅghassa pariṇataṃ aññasaṅghassa vā cetiyassa vā puggalassa vā pariṇāmeti , āpatti dukkaṭassā’’tiādi (pāci. 492). Aññassa puggalassa poṇaṃ aññassa puggalassa pariṇāmeyyāti.

    ๘๘๖. อิมสฺส สพฺพสตฺตวิสยตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘โย ปนา’’ติอาทิฯ

    886. Imassa sabbasattavisayataṃ dassetumāha ‘‘yo panā’’tiādi.

    ๘๘๗. อิทํ ปริณตสิกฺขาปทํฯ ติสมุฎฺฐานนฺติ กายจิตฺตวาจาจิตฺตกายวาจาจิตฺตสงฺขาเตหิ ตีหิ สจิตฺตกสมุฎฺฐาเนหิ สมุฎฺฐานโต ติสมุฎฺฐานํฯ ปริณามนปจฺจยา อาปชฺชิตพฺพโต กฺริยํฯ สงฺฆาทีนํ ปริณตนฺติสญฺญาย อภาเวน วิมุจฺจนโต สญฺญาวิโมกฺขํฯ กายวิญฺญตฺติวจีวิญฺญตฺตีหิ ปริณาเมตพฺพโต กายกมฺมํ วจีกมฺมํ

    887.Idaṃ pariṇatasikkhāpadaṃ. Tisamuṭṭhānanti kāyacittavācācittakāyavācācittasaṅkhātehi tīhi sacittakasamuṭṭhānehi samuṭṭhānato tisamuṭṭhānaṃ. Pariṇāmanapaccayā āpajjitabbato kriyaṃ. Saṅghādīnaṃ pariṇatantisaññāya abhāvena vimuccanato saññāvimokkhaṃ. Kāyaviññattivacīviññattīhi pariṇāmetabbato kāyakammaṃ vacīkammaṃ.

    ปริณตกถาวณฺณนาฯ

    Pariṇatakathāvaṇṇanā.

    ปตฺตวโคฺค ตติโยฯ

    Pattavaggo tatiyo.

    ๘๘๘. เย อิมํ วินิจฺฉยํ ตรนฺติ, เต ปญฺญตฺติมหาสมุทฺทํ ตรนฺตีติ โยชนาฯ ปญฺญตฺติสงฺขาตํ วินยปิฎกเมว มหาสมุโทฺท วิยาติ ปญฺญตฺติมหาสมุโทฺท, ตํฯ เอวํ สมุทายํ ทเสฺสตฺวา ตทวยเว ทเสฺสตุมาห ‘‘เนกา’’ติอาทิฯ เนกานิ นานปฺปการานิ วตฺตานิ เสนาสนวตฺตาทีนิ ขนฺธกาคตานิ อุคฺคา อุตฺตุงฺคา ตรงฺคมาลา มหาวีจิปรมฺปรา ยสฺสาติ วิคฺคโห, นานปฺปการขนฺธกวตฺตสงฺขาตมหาตรงฺคปรมฺปราย สชฺชิตนฺติ อโตฺถฯ สีลํ ปาติโมกฺขสํวราทิกเมว อโนฺต เวลาวลโย ยสฺส โส สีลโนฺต, ตํ, ปาติโมกฺขสํวรสีลาทิจตุปาริสุทฺธิสีลเมว ปฎิปาเทตพฺพตาย อนฺตํ เวลาวลยภูตนฺติ อโตฺถฯ อาปตฺติโย สตฺตาปตฺติกฺขนฺธา, สีลาจารทิฎฺฐิอาชีววิปตฺติโย จ คาหกา มกราทโย ยสฺสาติ วิคฺคโห, สีลาจาราชีวทิฎฺฐิสมฺปตฺติสงฺขาตมุทุสตฺตนาสกอาปตฺติวิปตฺติสงฺขา- ตมาตงฺคมกราทิจณฺฑสตฺตวนฺตนฺติ อโตฺถฯ เอวํ อยํ คาถา สมุทายาวยวานํ สเพฺพสเมว รูปกาลงฺกาเรน วิรจิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ

    888. Ye imaṃ vinicchayaṃ taranti, te paññattimahāsamuddaṃ tarantīti yojanā. Paññattisaṅkhātaṃ vinayapiṭakameva mahāsamuddo viyāti paññattimahāsamuddo, taṃ. Evaṃ samudāyaṃ dassetvā tadavayave dassetumāha ‘‘nekā’’tiādi. Nekāni nānappakārāni vattāni senāsanavattādīni khandhakāgatāni uggā uttuṅgā taraṅgamālā mahāvīciparamparā yassāti viggaho, nānappakārakhandhakavattasaṅkhātamahātaraṅgaparamparāya sajjitanti attho. Sīlaṃ pātimokkhasaṃvarādikameva anto velāvalayo yassa so sīlanto, taṃ, pātimokkhasaṃvarasīlādicatupārisuddhisīlameva paṭipādetabbatāya antaṃ velāvalayabhūtanti attho. Āpattiyo sattāpattikkhandhā, sīlācāradiṭṭhiājīvavipattiyo ca gāhakā makarādayo yassāti viggaho, sīlācārājīvadiṭṭhisampattisaṅkhātamudusattanāsakaāpattivipattisaṅkhā- tamātaṅgamakarādicaṇḍasattavantanti attho. Evaṃ ayaṃ gāthā samudāyāvayavānaṃ sabbesameva rūpakālaṅkārena viracitāti daṭṭhabbā.

    อิติ วินยตฺถสารสนฺทีปนิยา

    Iti vinayatthasārasandīpaniyā

    วินยวินิจฺฉยวณฺณนาย

    Vinayavinicchayavaṇṇanāya

    นิสฺสคฺคิยกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nissaggiyakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact