Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā |
๒๓. นิสฺสยวินิจฺฉยกถา
23. Nissayavinicchayakathā
๑๕๑. นิสฺสโยติ เอตฺถ ปน อยํ นิสฺสโย นาม เกน ทาตโพฺพ, เกน น ทาตโพฺพ, กสฺส ทาตโพฺพ, กสฺส น ทาตโพฺพ, กถํ คหิโต โหติ, กถํ ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, นิสฺสาย เกน วสิตพฺพํ, เกน จ น วสิตพฺพนฺติ? ตตฺถ เกน ทาตโพฺพ, เกน น ทาตโพฺพติ เอตฺถ ตาว ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน ทสวเสฺสน วา อติเรกทสวเสฺสน วา อุปสมฺปาเทตุํ, นิสฺสยํ ทาตุ’’นฺติ (มหาว. ๗๖, ๘๒) จ วจนโต โย พฺยโตฺต โหติ ปฎิพโล อุปสมฺปทาย ทสวโสฺส วา อติเรกทสวโสฺส วา, เตน ทาตโพฺพ, อิตเรน น ทาตโพฺพฯ สเจ เทติ, ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ
151.Nissayoti ettha pana ayaṃ nissayo nāma kena dātabbo, kena na dātabbo, kassa dātabbo, kassa na dātabbo, kathaṃ gahito hoti, kathaṃ paṭippassambhati, nissāya kena vasitabbaṃ, kena ca na vasitabbanti? Tattha kena dātabbo, kena na dātabboti ettha tāva ‘‘anujānāmi, bhikkhave, byattena bhikkhunā paṭibalena dasavassena vā atirekadasavassena vā upasampādetuṃ, nissayaṃ dātu’’nti (mahāva. 76, 82) ca vacanato yo byatto hoti paṭibalo upasampadāya dasavasso vā atirekadasavasso vā, tena dātabbo, itarena na dātabbo. Sace deti, dukkaṭaṃ āpajjati.
เอตฺถ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๔๕-๑๔๗) จ ‘‘พฺยโตฺต’’ติ อิมินา ปริสุปฎฺฐาปกพหุสฺสุโต เวทิตโพฺพฯ ปริสุปฎฺฐาปเกน หิ สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน ปริสํ อภิวินเย วิเนตุํ เทฺว วิภงฺคา ปคุณา วาจุคฺคตา กาตพฺพา, อสโกฺกเนฺตน ตีหิ ชเนหิ สทฺธิํ ปริวตฺตนกฺขมา กาตพฺพา, กมฺมากมฺมญฺจ ขนฺธกวตฺตญฺจ อุคฺคเหตพฺพํ, ปริสาย ปน อภิธเมฺม วินยนตฺถํ สเจ มชฺฌิมภาณโก โหติ, มูลปณฺณาสโก อุคฺคเหตโพฺพ, ทีฆภาณเกน มหาวโคฺค, สํยุตฺตภาณเกน เหฎฺฐิมา วา ตโย วคฺคา มหาวโคฺค วา, องฺคุตฺตรภาณเกน เหฎฺฐา วา อุปริ วา อุปฑฺฒนิกาโย อุคฺคเหตโพฺพ, อสโกฺกเนฺตน ติกนิปาตโต ปฎฺฐาย อุคฺคเหตุมฺปิ วฎฺฎติฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘เอกํ คณฺหเนฺตน จตุกฺกนิปาตํ วา ปญฺจกนิปาตํ วา อุคฺคเหตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ ชาตกภาณเกน สาฎฺฐกถํ ชาตกํ อุคฺคเหตพฺพํ, ตโต โอรํ น วฎฺฎติฯ ‘‘ธมฺมปทมฺปิ สห วตฺถุนา อุคฺคเหตุํ วฎฺฎตี’’ติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ ตโต ตโต สมุจฺจยํ กตฺวา มูลปณฺณาสกมตฺตํ วฎฺฎติ, ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ กุรุนฺทฎฺฐกถายํ ปฎิกฺขิตฺตํ, อิตราสุ วิจารณาเยว นตฺถิฯ อภิธเมฺม กิญฺจิ คเหตพฺพนฺติ น วุตฺตํฯ ยสฺส ปน สาฎฺฐกถมฺปิ วินยปิฎกํ อภิธมฺมปิฎกญฺจ ปคุณํ, สุตฺตเนฺต จ วุตฺตปฺปกาโร คโนฺถ นตฺถิ, ปริสํ อุปฎฺฐาเปตุํ น ลภติฯ เยน ปน สุตฺตนฺตโต จ วินยโต จ วุตฺตปฺปมาโณ คโนฺถ อุคฺคหิโต, อยํ ปริสุปฎฺฐาโก พหุสฺสุโตว โหติ, ทิสาปาโมโกฺข เยนกามํคโม ปริสํ อุปฎฺฐาเปตุํ ลภติ, อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ ‘‘พฺยโตฺต’’ติ อธิเปฺปโตฯ
Ettha (pāci. aṭṭha. 145-147) ca ‘‘byatto’’ti iminā parisupaṭṭhāpakabahussuto veditabbo. Parisupaṭṭhāpakena hi sabbantimena paricchedena parisaṃ abhivinaye vinetuṃ dve vibhaṅgā paguṇā vācuggatā kātabbā, asakkontena tīhi janehi saddhiṃ parivattanakkhamā kātabbā, kammākammañca khandhakavattañca uggahetabbaṃ, parisāya pana abhidhamme vinayanatthaṃ sace majjhimabhāṇako hoti, mūlapaṇṇāsako uggahetabbo, dīghabhāṇakena mahāvaggo, saṃyuttabhāṇakena heṭṭhimā vā tayo vaggā mahāvaggo vā, aṅguttarabhāṇakena heṭṭhā vā upari vā upaḍḍhanikāyo uggahetabbo, asakkontena tikanipātato paṭṭhāya uggahetumpi vaṭṭati. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘ekaṃ gaṇhantena catukkanipātaṃ vā pañcakanipātaṃ vā uggahetuṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Jātakabhāṇakena sāṭṭhakathaṃ jātakaṃ uggahetabbaṃ, tato oraṃ na vaṭṭati. ‘‘Dhammapadampi saha vatthunā uggahetuṃ vaṭṭatī’’ti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. Tato tato samuccayaṃ katvā mūlapaṇṇāsakamattaṃ vaṭṭati, ‘‘na vaṭṭatī’’ti kurundaṭṭhakathāyaṃ paṭikkhittaṃ, itarāsu vicāraṇāyeva natthi. Abhidhamme kiñci gahetabbanti na vuttaṃ. Yassa pana sāṭṭhakathampi vinayapiṭakaṃ abhidhammapiṭakañca paguṇaṃ, suttante ca vuttappakāro gantho natthi, parisaṃ upaṭṭhāpetuṃ na labhati. Yena pana suttantato ca vinayato ca vuttappamāṇo gantho uggahito, ayaṃ parisupaṭṭhāko bahussutova hoti, disāpāmokkho yenakāmaṃgamo parisaṃ upaṭṭhāpetuṃ labhati, ayaṃ imasmiṃ atthe ‘‘byatto’’ti adhippeto.
โย ปน อเนฺตวาสิโน วา สทฺธิวิหาริกสฺส วา คิลานสฺส สโกฺกติ อุปฎฺฐานาทีนิ กาตุํ, อยํ อิธ ‘‘ปฎิพโล’’ติ อธิเปฺปโตฯ ยํ ปน วุตฺตํ –
Yo pana antevāsino vā saddhivihārikassa vā gilānassa sakkoti upaṭṭhānādīni kātuṃ, ayaṃ idha ‘‘paṭibalo’’ti adhippeto. Yaṃ pana vuttaṃ –
‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ น อเสเกฺขน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหติ, น อเสเกฺขน สมาธิกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหติ, น อเสเกฺขน ปญฺญากฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหติ, น อเสเกฺขน วิมุตฺติกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหติ, น อเสเกฺขน วิมุตฺติญาณทสฺสนกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหติฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ
‘‘Pañcahi, bhikkhave, aṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo. Na asekkhena sīlakkhandhena samannāgato hoti, na asekkhena samādhikkhandhena samannāgato hoti, na asekkhena paññākkhandhena samannāgato hoti, na asekkhena vimuttikkhandhena samannāgato hoti, na asekkhena vimuttiñāṇadassanakkhandhena samannāgato hoti. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo.
‘‘อปเรหิปิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ อตฺตนา น อเสเกฺขน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหติ, น ปรํ อเสเกฺข สีลกฺขเนฺธ สมาทเปตาฯ อตฺตนา น อเสเกฺขน สมาธิกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหติ, น ปรํ อเสเกฺข สมาธิกฺขเนฺธ สมาทเปตาฯ อตฺตนา น อเสเกฺขน ปญฺญากฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหติ, น ปรํ อเสเกฺข ปญฺญากฺขเนฺธ สมาทเปตาฯ อตฺตนา น อเสเกฺขน วิมุตฺติกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหติ, น ปรํ อเสเกฺข วิมุตฺติกฺขเนฺธ สมาทเปตาฯ อตฺตนา น อเสเกฺขน วิมุตฺติญาณทสฺสนกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหติ, น ปรํ อเสเกฺข วิมุตฺติญาณทสฺสนกฺขเนฺธ สมาทเปตาฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ
‘‘Aparehipi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo. Attanā na asekkhena sīlakkhandhena samannāgato hoti, na paraṃ asekkhe sīlakkhandhe samādapetā. Attanā na asekkhena samādhikkhandhena samannāgato hoti, na paraṃ asekkhe samādhikkhandhe samādapetā. Attanā na asekkhena paññākkhandhena samannāgato hoti, na paraṃ asekkhe paññākkhandhe samādapetā. Attanā na asekkhena vimuttikkhandhena samannāgato hoti, na paraṃ asekkhe vimuttikkhandhe samādapetā. Attanā na asekkhena vimuttiñāṇadassanakkhandhena samannāgato hoti, na paraṃ asekkhe vimuttiñāṇadassanakkhandhe samādapetā. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo.
‘‘อปเรหิปิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ อสฺสโทฺธ โหติ, อหิริโก โหติ, อโนตฺตปฺปี โหติ, กุสีโต โหติ, มุฎฺฐสฺสติ โหติฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ , น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ
‘‘Aparehipi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo. Assaddho hoti, ahiriko hoti, anottappī hoti, kusīto hoti, muṭṭhassati hoti. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ , na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo.
‘‘อปเรหิปิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ อธิสีเล สีลวิปโนฺน โหติ, อชฺฌาจาเร อาจารวิปโนฺน โหติ, อติทิฎฺฐิยา ทิฎฺฐิวิปโนฺน โหติ, อปฺปสฺสุโต โหติ, ทุปฺปโญฺญ โหติฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ
‘‘Aparehipi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo. Adhisīle sīlavipanno hoti, ajjhācāre ācāravipanno hoti, atidiṭṭhiyā diṭṭhivipanno hoti, appassuto hoti, duppañño hoti. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo.
‘‘อปเรหิปิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ น ปฎิพโล โหติ อเนฺตวาสิํ วา สทฺธิวิหาริํ วา คิลานํ อุปฎฺฐาตุํ วา อุปฎฺฐาเปตุํ วา, อนภิรตํ วูปกาเสตุํ วา วูปกาสาเปตุํ วา, อุปฺปนฺนํ กุกฺกุจฺจํ ธมฺมโต วิโนเทตุํ, อาปตฺติํ น ชานาติ, อาปตฺติยา วุฎฺฐานํ น ชานาติฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ
‘‘Aparehipi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo. Na paṭibalo hoti antevāsiṃ vā saddhivihāriṃ vā gilānaṃ upaṭṭhātuṃ vā upaṭṭhāpetuṃ vā, anabhirataṃ vūpakāsetuṃ vā vūpakāsāpetuṃ vā, uppannaṃ kukkuccaṃ dhammato vinodetuṃ, āpattiṃ na jānāti, āpattiyā vuṭṭhānaṃ na jānāti. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo.
‘‘อปเรหิปิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ น ปฎิพโล โหติ อเนฺตวาสิํ วา สทฺธิวิหาริํ วา อาภิสมาจาริกาย สิกฺขาย สิกฺขาเปตุํ, อาทิพฺรหฺมจริยกาย สิกฺขาย วิเนตุํ, อภิธเมฺม วิเนตุํ, อภิวินเย วิเนตุํ, อุปฺปนฺนํ ทิฎฺฐิคตํ ธมฺมโต วิเวเจตุํฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ
‘‘Aparehipi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo. Na paṭibalo hoti antevāsiṃ vā saddhivihāriṃ vā ābhisamācārikāya sikkhāya sikkhāpetuṃ, ādibrahmacariyakāya sikkhāya vinetuṃ, abhidhamme vinetuṃ, abhivinaye vinetuṃ, uppannaṃ diṭṭhigataṃ dhammato vivecetuṃ. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo.
‘‘อปเรหิปิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพ ฯ อาปตฺติํ น ชานาติ, อนาปตฺติํ น ชานาติ, ลหุกํ อาปตฺติํ น ชานาติ, ครุกํ อาปตฺติํ น ชานาติ, อุภยานิ โข ปนสฺส ปาติโมกฺขานิ วิตฺถาเรน น สฺวาคตานิ โหนฺติ น สุวิภตฺตานิ น สุปฺปวตฺตีนิ น สุวินิจฺฉิตานิ สุตฺตโส อนุพฺยญฺชนโสฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ
‘‘Aparehipi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo . Āpattiṃ na jānāti, anāpattiṃ na jānāti, lahukaṃ āpattiṃ na jānāti, garukaṃ āpattiṃ na jānāti, ubhayāni kho panassa pātimokkhāni vitthārena na svāgatāni honti na suvibhattāni na suppavattīni na suvinicchitāni suttaso anubyañjanaso. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo.
‘‘อปเรหิปิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ อาปตฺติํ น ชานาติ, อนาปตฺติํ น ชานาติ, ลหุกํ อาปตฺติํ น ชานาติ, ครุกํ อาปตฺติํ น ชานาติ, อูนทสวโสฺส โหติ ฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, น นิสฺสโย ทาตโพฺพ, น สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพ’’ติอาทิ (มหาว. ๘๔)ฯ ตมฺปิ –
‘‘Aparehipi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo. Āpattiṃ na jānāti, anāpattiṃ na jānāti, lahukaṃ āpattiṃ na jānāti, garukaṃ āpattiṃ na jānāti, ūnadasavasso hoti . Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na upasampādetabbaṃ, na nissayo dātabbo, na sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo’’tiādi (mahāva. 84). Tampi –
‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน ทสวเสฺสน วา อติเรกทสวเสฺสน วา อุปสมฺปาเทตุํ, นิสฺสยํ ทาตุ’’นฺติ (มหาว. ๗๖, ๘๒) จ เอวํ สเงฺขปโต วุตฺตเสฺสว อุปชฺฌายาจริยลกฺขณสฺส วิตฺถารทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ
‘‘Anujānāmi, bhikkhave, byattena bhikkhunā paṭibalena dasavassena vā atirekadasavassena vā upasampādetuṃ, nissayaṃ dātu’’nti (mahāva. 76, 82) ca evaṃ saṅkhepato vuttasseva upajjhāyācariyalakkhaṇassa vitthāradassanatthaṃ vuttaṃ.
ตตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๘๔) กิญฺจิ อยุตฺตวเสน ปฎิกฺขิตฺตํ, กิญฺจิ อาปตฺติองฺควเสนฯ ตถา หิ ‘‘น อเสเกฺขน สีลกฺขเนฺธนา’’ติ จ ‘‘อตฺตนา น อเสเกฺขนา’’ติ จ ‘‘อสฺสโทฺธ’’ติ จ อาทีสุ ตีสุ ปญฺจเกสุ อยุตฺตวเสน ปฎิเกฺขโป กโต, น อาปตฺติองฺควเสนฯ โย หิ อเสเกฺขหิ สีลกฺขนฺธาทีหิ อสมนฺนาคโต ปเร จ ตตฺถ สมาทเปตุํ อสโกฺกโนฺต อสฺสทฺธิยาทิโทสยุโตฺตว หุตฺวา ปริสํ ปริหรติ, ตสฺส ปริสา สีลาทีหิ ปริยายติเยว น วฑฺฒติ, ตสฺมา ‘‘เตน น อุปสมฺปาเทตพฺพ’’นฺติอาทิ อยุตฺตวเสน วุตฺตํ, น อาปตฺติองฺควเสนฯ น หิ ขีณาสวเสฺสว อุปชฺฌาจริยภาโว ภควตา อนุญฺญาโต, ยทิ ตเสฺสว อนุญฺญาโต อภวิสฺส, ‘‘สเจ อุปชฺฌายสฺส อนภิรติ อุปฺปนฺนา โหตี’’ติอาทิํ น วเทยฺย, ยสฺมา ปน ขีณาสวสฺส ปริสา สีลาทีหิ น ปริหายติ, ตสฺมา ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา อุปสมฺปาเทตพฺพ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
Tattha (mahāva. aṭṭha. 84) kiñci ayuttavasena paṭikkhittaṃ, kiñci āpattiaṅgavasena. Tathā hi ‘‘na asekkhena sīlakkhandhenā’’ti ca ‘‘attanā na asekkhenā’’ti ca ‘‘assaddho’’ti ca ādīsu tīsu pañcakesu ayuttavasena paṭikkhepo kato, na āpattiaṅgavasena. Yo hi asekkhehi sīlakkhandhādīhi asamannāgato pare ca tattha samādapetuṃ asakkonto assaddhiyādidosayuttova hutvā parisaṃ pariharati, tassa parisā sīlādīhi pariyāyatiyeva na vaḍḍhati, tasmā ‘‘tena na upasampādetabba’’ntiādi ayuttavasena vuttaṃ, na āpattiaṅgavasena. Na hi khīṇāsavasseva upajjhācariyabhāvo bhagavatā anuññāto, yadi tasseva anuññāto abhavissa, ‘‘sace upajjhāyassa anabhirati uppannā hotī’’tiādiṃ na vadeyya, yasmā pana khīṇāsavassa parisā sīlādīhi na parihāyati, tasmā ‘‘pañcahi, bhikkhave, aṅgehi samannāgatena bhikkhunā upasampādetabba’’ntiādi vuttaṃ.
อธิสีเล สีลวิปโนฺนติอาทีสุ ปาราชิกญฺจ สงฺฆาทิเสสญฺจ อาปโนฺน อธิสีเล สีลวิปโนฺน นามฯ อิตเร ปญฺจาปตฺติกฺขเนฺธ อาปโนฺน อชฺฌาจาเร อาจารวิปโนฺน นามฯ สมฺมาทิฎฺฐิํ ปหาย อนฺตคฺคาหิกาย ทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต อติทิฎฺฐิยา ทิฎฺฐิวิปโนฺน นามฯ ยตฺตกํ สุตํ ปริสํ ปริหรนฺตสฺส อิจฺฉิตพฺพํ, เตน วิรหิตตฺตา อปฺปสฺสุโตฯ ยํ เตน ชานิตพฺพํ อาปตฺตาทิ, ตสฺส อชานนโต ทุปฺปโญฺญฯ อิมสฺมิํ ปญฺจเก ปุริมานิ ตีณิ ปทานิ อยุตฺตวเสน วุตฺตานิ, ปจฺฉิมานิ เทฺว อาปตฺติองฺควเสนฯ
Adhisīlesīlavipannotiādīsu pārājikañca saṅghādisesañca āpanno adhisīle sīlavipanno nāma. Itare pañcāpattikkhandhe āpanno ajjhācāre ācāravipanno nāma. Sammādiṭṭhiṃ pahāya antaggāhikāya diṭṭhiyā samannāgato atidiṭṭhiyā diṭṭhivipanno nāma. Yattakaṃ sutaṃ parisaṃ pariharantassa icchitabbaṃ, tena virahitattā appassuto. Yaṃ tena jānitabbaṃ āpattādi, tassa ajānanato duppañño. Imasmiṃ pañcake purimāni tīṇi padāni ayuttavasena vuttāni, pacchimāni dve āpattiaṅgavasena.
อาปตฺติํ น ชานาตีติ ‘‘อิทํ นาม มยา กต’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อิมํ นาม อาปตฺติํ อยํ อาปโนฺน’’ติ น ชานาติฯ วุฎฺฐานํ น ชานาตีติ ‘‘วุฎฺฐานคามินิโต วา เทสนาคามินิโต วา อาปตฺติโต เอวํ นาม วุฎฺฐานํ โหตี’’ติ น ชานาติฯ อิมสฺมิญฺหิ ปญฺจเก ปุริมานิ เทฺว ปทานิ อยุตฺตวเสน วุตฺตานิ, ปจฺฉิมานิ ตีณิ อาปตฺติองฺควเสนฯ
Āpattiṃ na jānātīti ‘‘idaṃ nāma mayā kata’’nti vutte ‘‘imaṃ nāma āpattiṃ ayaṃ āpanno’’ti na jānāti. Vuṭṭhānaṃ na jānātīti ‘‘vuṭṭhānagāminito vā desanāgāminito vā āpattito evaṃ nāma vuṭṭhānaṃ hotī’’ti na jānāti. Imasmiñhi pañcake purimāni dve padāni ayuttavasena vuttāni, pacchimāni tīṇi āpattiaṅgavasena.
อาภิสมาจาริกาย สิกฺขายาติ ขนฺธกวเตฺต วิเนตุํ น ปฎิพโล โหตีติ อโตฺถฯ อาทิพฺรหฺมจริยกายาติ เสกฺขปณฺณตฺติยํ วิเนตุํ น ปฎิพโลติ อโตฺถฯ อภิธเมฺมติ นามรูปปริเจฺฉเท วิเนตุํ น ปฎิพโลติ อโตฺถฯ อภิวินเยติ สกเล วินยปิฎเก วิเนตุํ น ปฎิพโลติ อโตฺถฯ วิเนตุํ น ปฎิพโลติ จ สพฺพตฺถ สิกฺขาเปตุํ น สโกฺกตีติ อโตฺถฯ ธมฺมโต วิเวเจตุนฺติ ธเมฺมน การเณน วิสฺสชฺชาเปตุํฯ อิมสฺมิํ ปญฺจเก สพฺพปเทสุ อาปตฺติฯ
Ābhisamācārikāyasikkhāyāti khandhakavatte vinetuṃ na paṭibalo hotīti attho. Ādibrahmacariyakāyāti sekkhapaṇṇattiyaṃ vinetuṃ na paṭibaloti attho. Abhidhammeti nāmarūpaparicchede vinetuṃ na paṭibaloti attho. Abhivinayeti sakale vinayapiṭake vinetuṃ na paṭibaloti attho. Vinetuṃ na paṭibaloti ca sabbattha sikkhāpetuṃ na sakkotīti attho. Dhammato vivecetunti dhammena kāraṇena vissajjāpetuṃ. Imasmiṃ pañcake sabbapadesu āpatti.
‘‘อาปตฺติํ น ชานาตี’’ติอาทิปญฺจกสฺมิํ วิตฺถาเรนาติ อุภโตวิภเงฺคน สทฺธิํฯ น สฺวาคตานีติ น สุฎฺฐุ อาคตานิฯ สุวิภตฺตานีติ สุฎฺฐุ วิภตฺตานิ ปทปจฺจาภฎฺฐสงฺกรโทสรอตานิฯ สุปฺปวตฺตีนีติ ปคุณานิ วาจุคฺคตานิ สุวินิจฺฉิตานิฯ สุตฺตโสติ ขนฺธกปริวารโต อาหริตพฺพสุตฺตวเสน สุฎฺฐุ วินิจฺฉิตานิฯ อนุพฺยญฺชนโสติ อกฺขรปทปาริปูริยา จ สุวินิจฺฉิตานิ อขณฺฑานิ อวิปรีตกฺขรานิฯ เอเตน อฎฺฐกถา ทีปิตาฯ อฎฺฐกถาโต หิ เอส วินิจฺฉโย โหตีติฯ อิมสฺมิํ ปญฺจเกปิ สพฺพปเทสุ อาปตฺติฯ อูนทสวสฺสปริโยสานปญฺจเกปิ เอเสว นโยฯ อิติ อาทิโต ตโย ปญฺจกา, จตุเตฺถ ตีณิ ปทานิ, ปญฺจเม เทฺว ปทานีติ สเพฺพปิ จตฺตาโร ปญฺจกา อยุตฺตวเสน วุตฺตา, จตุเตฺถ ปญฺจเก เทฺว ปทานิ, ปญฺจเม ตีณิ, ฉฎฺฐสตฺตมฎฺฐมา ตโย ปญฺจกาติ สเพฺพปิ จตฺตาโร ปญฺจกา อาปตฺติองฺควเสน วุตฺตาฯ
‘‘Āpattiṃ na jānātī’’tiādipañcakasmiṃ vitthārenāti ubhatovibhaṅgena saddhiṃ. Na svāgatānīti na suṭṭhu āgatāni. Suvibhattānīti suṭṭhu vibhattāni padapaccābhaṭṭhasaṅkaradosaraatāni. Suppavattīnīti paguṇāni vācuggatāni suvinicchitāni. Suttasoti khandhakaparivārato āharitabbasuttavasena suṭṭhu vinicchitāni. Anubyañjanasoti akkharapadapāripūriyā ca suvinicchitāni akhaṇḍāni aviparītakkharāni. Etena aṭṭhakathā dīpitā. Aṭṭhakathāto hi esa vinicchayo hotīti. Imasmiṃ pañcakepi sabbapadesu āpatti. Ūnadasavassapariyosānapañcakepi eseva nayo. Iti ādito tayo pañcakā, catutthe tīṇi padāni, pañcame dve padānīti sabbepi cattāro pañcakā ayuttavasena vuttā, catutthe pañcake dve padāni, pañcame tīṇi, chaṭṭhasattamaṭṭhamā tayo pañcakāti sabbepi cattāro pañcakā āpattiaṅgavasena vuttā.
สุกฺกปเกฺข ปน วุตฺตวิปริยาเยน ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา อุปสมฺปาเทตพฺพํ, นิสฺสโย ทาตโพฺพ, สามเณโร อุปฎฺฐาเปตโพฺพฯ อเสเกฺขน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหตี’’ติอาทินา (มหาว. ๘๔) อฎฺฐ ปญฺจกา อาคตาเยวฯ ตตฺถ สพฺพเตฺถว อนาปตฺติฯ
Sukkapakkhe pana vuttavipariyāyena ‘‘pañcahi, bhikkhave, aṅgehi samannāgatena bhikkhunā upasampādetabbaṃ, nissayo dātabbo, sāmaṇero upaṭṭhāpetabbo. Asekkhena sīlakkhandhena samannāgato hotī’’tiādinā (mahāva. 84) aṭṭha pañcakā āgatāyeva. Tattha sabbattheva anāpatti.
๑๕๒. กสฺส ทาตโพฺพ, กสฺส น ทาตโพฺพติ เอตฺถ ปน โย ลชฺชี โหติ, ตสฺส ทาตโพฺพฯ อิตรสฺส น ทาตโพฺพ ‘‘น, ภิกฺขเว, อลชฺชีนํ นิสฺสโย ทาตโพฺพ, โย ทเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๒๐) วจนโตฯ นิสฺสาย วสเนฺตนปิ อลชฺชี นิสฺสาย น วสิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘น, ภิกฺขเว, อลชฺชีนํ นิสฺสาย วตฺถพฺพํ, โย วเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๒๐)ฯ เอตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๒๐) จ อลชฺชีนนฺติ อุปโยคเตฺถ สามิวจนํ, อลชฺชิปุคฺคเล นิสฺสาย น วสิตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺมา นวํ ฐานํ คเตน ‘‘เอหิ, ภิกฺขุ, นิสฺสยํ คณฺหาหี’’ติ วุจฺจมาเนนปิ จตูหปญฺจาหํ นิสฺสยทายกสฺส ลชฺชิภาวํ อุปปริกฺขิตฺวา นิสฺสโย คเหตโพฺพฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, จตูหปญฺจาหํ อาคเมตุํ ยาว ภิกฺขุสภาคตํ ชานามี’’ติ (มหาว. ๑๒๐) หิ วุตฺตํฯ สเจ ‘‘เถโร ลชฺชี’’ติ ภิกฺขูนํ สนฺติเก สุตฺวา อาคตทิวเสเยว คเหตุกาโม โหติ, เถโร ปน ‘‘อาคเมหิ ตาว, วสโนฺต ชานิสฺสสี’’ติ กติปาหํ อาจารํ อุปปริกฺขิตฺวา นิสฺสยํ เทติ, วฎฺฎติ, ปกติยา นิสฺสยคหณฎฺฐานํ คเตน ปน ตทเหว คเหตโพฺพ, เอกทิวสมฺปิ ปริหาโร นตฺถิฯ สเจ ปฐมยาเม อาจริยสฺส โอกาโส นตฺถิ, โอกาสํ อลภโนฺต ‘‘ปจฺจูสสมเย คเหสฺสามี’’ติ สยติ, อรุณํ อุคฺคตมฺปิ น ชานาติ, อนาปตฺติฯ สเจ ปน ‘‘คณฺหิสฺสามี’’ติ อาโภคํ อกตฺวา สยติ, อรุณุคฺคมเน ทุกฺกฎํฯ อคตปุพฺพํ ฐานํ คเตน เทฺว ตีณิ ทิวสานิ วสิตฺวา คนฺตุกาเมน อนิสฺสิเตน วสิตพฺพํฯ ‘‘สตฺตาหํ วสิสฺสามี’’ติ อาลยํ กโรเนฺตน ปน นิสฺสโย คเหตโพฺพฯ สเจ เถโร ‘‘กิํ สตฺตาหํ วสนฺตสฺส นิสฺสเยนา’’ติ วทติ, ปฎิกฺขิตฺตกาลโต ปฎฺฐาย ลทฺธปริหาโร โหติฯ
152.Kassa dātabbo, kassa na dātabboti ettha pana yo lajjī hoti, tassa dātabbo. Itarassa na dātabbo ‘‘na, bhikkhave, alajjīnaṃ nissayo dātabbo, yo dadeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 120) vacanato. Nissāya vasantenapi alajjī nissāya na vasitabbaṃ. Vuttañhetaṃ ‘‘na, bhikkhave, alajjīnaṃ nissāya vatthabbaṃ, yo vaseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 120). Ettha (mahāva. aṭṭha. 120) ca alajjīnanti upayogatthe sāmivacanaṃ, alajjipuggale nissāya na vasitabbanti vuttaṃ hoti. Tasmā navaṃ ṭhānaṃ gatena ‘‘ehi, bhikkhu, nissayaṃ gaṇhāhī’’ti vuccamānenapi catūhapañcāhaṃ nissayadāyakassa lajjibhāvaṃ upaparikkhitvā nissayo gahetabbo. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, catūhapañcāhaṃ āgametuṃ yāva bhikkhusabhāgataṃ jānāmī’’ti (mahāva. 120) hi vuttaṃ. Sace ‘‘thero lajjī’’ti bhikkhūnaṃ santike sutvā āgatadivaseyeva gahetukāmo hoti, thero pana ‘‘āgamehi tāva, vasanto jānissasī’’ti katipāhaṃ ācāraṃ upaparikkhitvā nissayaṃ deti, vaṭṭati, pakatiyā nissayagahaṇaṭṭhānaṃ gatena pana tadaheva gahetabbo, ekadivasampi parihāro natthi. Sace paṭhamayāme ācariyassa okāso natthi, okāsaṃ alabhanto ‘‘paccūsasamaye gahessāmī’’ti sayati, aruṇaṃ uggatampi na jānāti, anāpatti. Sace pana ‘‘gaṇhissāmī’’ti ābhogaṃ akatvā sayati, aruṇuggamane dukkaṭaṃ. Agatapubbaṃ ṭhānaṃ gatena dve tīṇi divasāni vasitvā gantukāmena anissitena vasitabbaṃ. ‘‘Sattāhaṃ vasissāmī’’ti ālayaṃ karontena pana nissayo gahetabbo. Sace thero ‘‘kiṃ sattāhaṃ vasantassa nissayenā’’ti vadati, paṭikkhittakālato paṭṭhāya laddhaparihāro hoti.
‘‘อนุชานามิ , ภิกฺขเว, อทฺธานมคฺคปฺปฎิปเนฺนน ภิกฺขุนา นิสฺสยํ อลภมาเนน อนิสฺสิเตน วตฺถุ’’นฺติ วจนโต ปน อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺน สเจ อตฺตนา สทฺธิํ อทฺธานมคฺคปฺปฎิปนฺนํ นิสฺสยทายกํ น ลภติ, เอวํ นิสฺสยํ อลภมาเนน อนิสฺสิเตน พหูนิปิ ทิวสานิ คนฺตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปุเพฺพ นิสฺสยํ คเหตฺวา วุตฺถปุพฺพํ กิญฺจิ อาวาสํ ปวิสติ, เอกรตฺตํ วสเนฺตนปิ นิสฺสโย คเหตโพฺพฯ อนฺตรามเคฺค วิสฺสมโนฺต วา สตฺถํ วา ปริเยสโนฺต กติปาหํ วสติ, อนาปตฺติฯ อโนฺตวเสฺส ปน นิพทฺธวาสํ วสิตพฺพํ, นิสฺสโย จ คเหตโพฺพฯ นาวาย คจฺฉนฺตสฺส ปน วสฺสาเน อาคเตปิ นิสฺสยํ อลภนฺตสฺส อนาปตฺติฯ สเจ อนฺตรามเคฺค คิลาโน โหติ, นิสฺสยํ อลภมาเนน อนิสฺสิเตน วสิตุํ วฎฺฎติฯ
‘‘Anujānāmi , bhikkhave, addhānamaggappaṭipannena bhikkhunā nissayaṃ alabhamānena anissitena vatthu’’nti vacanato pana addhānamaggappaṭipanno sace attanā saddhiṃ addhānamaggappaṭipannaṃ nissayadāyakaṃ na labhati, evaṃ nissayaṃ alabhamānena anissitena bahūnipi divasāni gantuṃ vaṭṭati. Sace pubbe nissayaṃ gahetvā vutthapubbaṃ kiñci āvāsaṃ pavisati, ekarattaṃ vasantenapi nissayo gahetabbo. Antarāmagge vissamanto vā satthaṃ vā pariyesanto katipāhaṃ vasati, anāpatti. Antovasse pana nibaddhavāsaṃ vasitabbaṃ, nissayo ca gahetabbo. Nāvāya gacchantassa pana vassāne āgatepi nissayaṃ alabhantassa anāpatti. Sace antarāmagge gilāno hoti, nissayaṃ alabhamānena anissitena vasituṃ vaṭṭati.
คิลานุปฎฺฐาโกปิ คิลาเนน ยาจิยมาโน อนิสฺสิโต เอว วสิตุํ ลภติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิลาเนน ภิกฺขุนา นิสฺสยํ อลภมาเนน อนิสฺสิเตน วตฺถุํ, อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิลานุปฎฺฐาเกน ภิกฺขุนา นิสฺสยํ อลภมาเนน ยาจิยมาเนน อนิสฺสิเตน วตฺถุ’’นฺติ (มหาว. ๑๒๑)ฯ สเจ ปน ‘‘ยาจาหิ ม’’นฺติ วุจฺจมาโนปิ คิลาโน มาเนน น ยาจติ, คนฺตพฺพํฯ
Gilānupaṭṭhākopi gilānena yāciyamāno anissito eva vasituṃ labhati. Vuttañhetaṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, gilānena bhikkhunā nissayaṃ alabhamānena anissitena vatthuṃ, anujānāmi, bhikkhave, gilānupaṭṭhākena bhikkhunā nissayaṃ alabhamānena yāciyamānena anissitena vatthu’’nti (mahāva. 121). Sace pana ‘‘yācāhi ma’’nti vuccamānopi gilāno mānena na yācati, gantabbaṃ.
‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อารญฺญิเกน ภิกฺขุนา ผาสุวิหารํ สลฺลเกฺขเนฺตน นิสฺสยํ อลภมาเนน อนิสฺสิเตน วตฺถุํ ‘ยทา ปติรูโป นิสฺสยทายโก อาคจฺฉิสฺสติ, ตทา ตสฺส นิสฺสาย วสิสฺสามี’’’ติ วจนโต ปน ยตฺถ วสนฺตสฺส สมถวิปสฺสนานํ ปฎิลาภวเสน ผาสุ โหติ, ตาทิสํ ผาสุวิหารํ สลฺลเกฺขเนฺตน นิสฺสยํ อลภมาเนน อนิสฺสิเตน วตฺถพฺพํฯ อิมญฺจ ปน ปริหารํ เนว โสตาปโนฺน, น สกทาคามิอนาคามิอรหโนฺต ลภนฺติ, น ถามคตสฺส สมาธิโน วา วิปสฺสนาย วา ลาภี, วิสฺสฎฺฐกมฺมฎฺฐาเน ปน พาลปุถุชฺชเน กถาว นตฺถิฯ ยสฺส โข ปน สมโถ วา วิปสฺสนา วา ตรุณา โหติ, อยํ อิมํ ปริหารํ ลภติ, ปวารณาสงฺคโหปิ เอตเสฺสว อนุญฺญาโตฯ ตสฺมา อิมินา ปุคฺคเลน อาจริเย ปวาเรตฺวา คเตปิ ‘‘ยทา ปติรูโปนิสฺสยทายโก อาคจฺฉิสฺสติ, ตํ นิสฺสาย วสิสฺสามี’’ติ อาโภคํ กตฺวา ปุน ยาว อาสาฬฺหีปุณฺณมา, ตาว อนิสฺสิเตน วตฺถุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน อาสาฬฺหีมาเส อาจริโย นาคจฺฉติ, ยตฺถ นิสฺสโย ลพฺภติ, ตตฺถ คนฺตพฺพํฯ
‘‘Anujānāmi, bhikkhave, āraññikena bhikkhunā phāsuvihāraṃ sallakkhentena nissayaṃ alabhamānena anissitena vatthuṃ ‘yadā patirūpo nissayadāyako āgacchissati, tadā tassa nissāya vasissāmī’’’ti vacanato pana yattha vasantassa samathavipassanānaṃ paṭilābhavasena phāsu hoti, tādisaṃ phāsuvihāraṃ sallakkhentena nissayaṃ alabhamānena anissitena vatthabbaṃ. Imañca pana parihāraṃ neva sotāpanno, na sakadāgāmianāgāmiarahanto labhanti, na thāmagatassa samādhino vā vipassanāya vā lābhī, vissaṭṭhakammaṭṭhāne pana bālaputhujjane kathāva natthi. Yassa kho pana samatho vā vipassanā vā taruṇā hoti, ayaṃ imaṃ parihāraṃ labhati, pavāraṇāsaṅgahopi etasseva anuññāto. Tasmā iminā puggalena ācariye pavāretvā gatepi ‘‘yadā patirūponissayadāyako āgacchissati, taṃ nissāya vasissāmī’’ti ābhogaṃ katvā puna yāva āsāḷhīpuṇṇamā, tāva anissitena vatthuṃ vaṭṭati. Sace pana āsāḷhīmāse ācariyo nāgacchati, yattha nissayo labbhati, tattha gantabbaṃ.
๑๕๓. กถํ คหิโต โหตีติ เอตฺถ อุปชฺฌายสฺส สนฺติเก ตาว อุปชฺฌํ คณฺหเนฺตน เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘อุปชฺฌาโย เม, ภเนฺต, โหหี’’ติ ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํฯ เอวํ สทฺธิวิหาริเกน วุเตฺต สเจ อุปชฺฌาโย ‘‘สาหู’’ติ วา ‘‘ลหู’’ติ วา ‘‘โอปายิก’’นฺติ วา ‘‘ปติรูป’’นฺติ วา ‘‘ปาสาทิเกน สมฺปาเทหี’’ติ วา กาเยน วิญฺญาเปติ, วาจาย วิญฺญาเปติ, กาเยน วาจาย วิญฺญาเปติ, คหิโต โหติ อุปชฺฌาโยฯ อิทเมว เหตฺถ อุปชฺฌายคฺคหณํ, ยทิทํ อุปชฺฌายสฺส อิเมสุ ปญฺจสุ ปเทสุ ยสฺส กสฺสจิ ปทสฺส วาจาย สาวนํ กาเยน วา อตฺถวิญฺญาปนนฺติฯ เกจิ ปน ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉนํ สนฺธาย วทนฺติ, น ตํ ปมาณํฯ อายาจนทานมเตฺตน หิ คหิโต โหติ อุปชฺฌาโย, น เอตฺถ สมฺปฎิจฺฉนํ องฺคํฯ สทฺธิวิหาริเกนปิ น เกวลํ ‘‘อิมินา เม ปเทน อุปชฺฌาโย คหิโต’’ติ ญาตุํ วฎฺฎติ, ‘‘อชฺชตเคฺค ทานิ เถโร มยฺหํ ภาโร, อหมฺปิ เถรสฺส ภาโร’’ติ อิทมฺปิ ญาตุํ วฎฺฎติ (มหาว. อฎฺฐ. ๖๔)ฯ วุตฺตเญฺหตํ –
153.Kathaṃgahito hotīti ettha upajjhāyassa santike tāva upajjhaṃ gaṇhantena ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā ‘‘upajjhāyo me, bhante, hohī’’ti tikkhattuṃ vattabbaṃ. Evaṃ saddhivihārikena vutte sace upajjhāyo ‘‘sāhū’’ti vā ‘‘lahū’’ti vā ‘‘opāyika’’nti vā ‘‘patirūpa’’nti vā ‘‘pāsādikena sampādehī’’ti vā kāyena viññāpeti, vācāya viññāpeti, kāyena vācāya viññāpeti, gahito hoti upajjhāyo. Idameva hettha upajjhāyaggahaṇaṃ, yadidaṃ upajjhāyassa imesu pañcasu padesu yassa kassaci padassa vācāya sāvanaṃ kāyena vā atthaviññāpananti. Keci pana ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchanaṃ sandhāya vadanti, na taṃ pamāṇaṃ. Āyācanadānamattena hi gahito hoti upajjhāyo, na ettha sampaṭicchanaṃ aṅgaṃ. Saddhivihārikenapi na kevalaṃ ‘‘iminā me padena upajjhāyo gahito’’ti ñātuṃ vaṭṭati, ‘‘ajjatagge dāni thero mayhaṃ bhāro, ahampi therassa bhāro’’ti idampi ñātuṃ vaṭṭati (mahāva. aṭṭha. 64). Vuttañhetaṃ –
‘‘อุปชฺฌาโย, ภิกฺขเว, สทฺธิวิหาริกมฺหิ ปุตฺตจิตฺตํ อุปฎฺฐเปสฺสติ, สทฺธิวิหาริโก อุปชฺฌายมฺหิ ปิตุจิตฺตํ อุปฎฺฐเปสฺสติ, เอวํ เต อญฺญมญฺญํ สคารวา สปฺปติสฺสา สภาควุตฺติโน วิหรนฺตา อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย วุฑฺฒิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ อาปชฺชิสฺสนฺตี’’ติ (มหาว. ๖๕)ฯ
‘‘Upajjhāyo, bhikkhave, saddhivihārikamhi puttacittaṃ upaṭṭhapessati, saddhivihāriko upajjhāyamhi pitucittaṃ upaṭṭhapessati, evaṃ te aññamaññaṃ sagāravā sappatissā sabhāgavuttino viharantā imasmiṃ dhammavinaye vuḍḍhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ āpajjissantī’’ti (mahāva. 65).
อาจริยสฺส สนฺติเก นิสฺสยคฺคหเณปิ อยเมว วินิจฺฉโยฯ อยํ ปเนตฺถ วิเสโส – อาจริยสฺส สนฺติเก นิสฺสยํ คณฺหเนฺตน อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา ‘‘อาจริโย เม, ภเนฺต, โหหิ, อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามี’’ติ (มหาว. ๗๗) ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํ, เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
Ācariyassa santike nissayaggahaṇepi ayameva vinicchayo. Ayaṃ panettha viseso – ācariyassa santike nissayaṃ gaṇhantena ukkuṭikaṃ nisīditvā ‘‘ācariyo me, bhante, hohi, āyasmato nissāya vacchāmī’’ti (mahāva. 77) tikkhattuṃ vattabbaṃ, sesaṃ vuttanayameva.
๑๕๔. กถํ ปฎิปฺปสฺสมฺภตีติ เอตฺถ ตาว อุปชฺฌายมฺหา ปญฺจหากาเรหิ นิสฺสยปฎิปฺปสฺสทฺธิ เวทิตพฺพา, อาจริยมฺหา ฉหิ อากาเรหิฯ วุตฺตเญฺหตํ –
154.Kathaṃpaṭippassambhatīti ettha tāva upajjhāyamhā pañcahākārehi nissayapaṭippassaddhi veditabbā, ācariyamhā chahi ākārehi. Vuttañhetaṃ –
‘‘ปญฺจิมา, ภิกฺขเว, นิสฺสยปฎิปฺปสฺสทฺธิโย อุปชฺฌายมฺหาฯ อุปชฺฌาโย ปกฺกโนฺต วา โหติ, วิพฺภโนฺต วา, กาลกโต วา, ปกฺขสงฺกโนฺต วา, อาณตฺติเยว ปญฺจมีฯ อิมา โข, ภิกฺขเว, ปญฺจ นิสฺสยปฎิปฺปสฺสทฺธิโย อุปชฺฌายมฺหาฯ
‘‘Pañcimā, bhikkhave, nissayapaṭippassaddhiyo upajjhāyamhā. Upajjhāyo pakkanto vā hoti, vibbhanto vā, kālakato vā, pakkhasaṅkanto vā, āṇattiyeva pañcamī. Imā kho, bhikkhave, pañca nissayapaṭippassaddhiyo upajjhāyamhā.
ฉยิมา , ภิกฺขเว, นิสฺสยปฎิปฺปสฺสทฺธิโย อาจริยมฺหาฯ อาจริโย ปกฺกโนฺต วา โหติ, วิพฺภโนฺต วา, กาลกโต วา, ปกฺขสงฺกโนฺต วา, อาณตฺติเยว ปญฺจมี, อุปชฺฌาเยน วา สโมธานคโต โหติฯ อิมา โข, ภิกฺขเว, ฉ นิสฺสยปฎิปฺปสฺสทฺธิโย อาจริยมฺหา’’ติ (มหาว. ๘๓)ฯ
Chayimā , bhikkhave, nissayapaṭippassaddhiyo ācariyamhā. Ācariyo pakkanto vā hoti, vibbhanto vā, kālakato vā, pakkhasaṅkanto vā, āṇattiyeva pañcamī, upajjhāyena vā samodhānagato hoti. Imā kho, bhikkhave, cha nissayapaṭippassaddhiyo ācariyamhā’’ti (mahāva. 83).
ตตฺรายํ วินิจฺฉโย (มหาว. อฎฺฐ. ๘๓) – ปกฺกโนฺตติ ทิสํ คโตฯ เอวํ คเต จ ปน ตสฺมิํ สเจ วิหาเร นิสฺสยทายโก อตฺถิ, ยสฺส สนฺติเก อญฺญทาปิ นิสฺสโย วา คหิตปุโพฺพ โหติ, โย วา เอกสโมฺภคปริโภโค, ตสฺส สนฺติเก นิสฺสโย คเหตโพฺพ, เอกทิวสมฺปิ ปริหาโร นตฺถิฯ สเจ ตาทิโส นตฺถิ, อโญฺญ ลชฺชี เปสโล อตฺถิ, ตสฺส เปสลภาวํ ชานเนฺตน ตทเหว นิสฺสโย ยาจิตโพฺพฯ สเจ เทติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ อถ ปน ‘‘ตุมฺหากํ อุปชฺฌาโย ลหุํ อาคมิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉติ, อุปชฺฌาเยน เจ ตถา วุตฺตํ, ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ วทติ ‘‘เตน หิ อุปชฺฌายสฺส อาคมนํ อาคเมถา’’ติ, วฎฺฎติฯ อถ ปนสฺส ปกติยา เปสลภาวํ น ชานาติ, จตฺตาริ ปญฺจ ทิวสานิ ตสฺส ภิกฺขุสฺส สภาคตํ โอโลเกตฺวา โอกาสํ กาเรตฺวา นิสฺสโย คเหตโพฺพฯ สเจ ปน วิหาเร นิสฺสยทายโก นตฺถิ, อุปชฺฌาโย จ ‘‘อหํ กติปาเหน อาคมิสฺสามิ, มา อุกฺกณฺฐิตฺถา’’ติ วตฺวา คโต, ยาว อาคมนา ปริหาโร ลพฺภติ, อถาปิ นํ ตตฺถ มนุสฺสา ปริจฺฉินฺนกาลโต อุตฺตริปิ ปญฺจ วา ทส วา ทิวสานิ วาเสนฺติเยว, เตน วิหารํ ปวตฺติ เปเสตพฺพา ‘‘ทหรา มา อุกฺกณฺฐนฺตุ, อหํ อสุกทิวสํ นาม อาคมิสฺสามี’’ติ, เอวมฺปิ ปริหาโร ลพฺภติฯ อถ อาคจฺฉโต อนฺตรามเคฺค นทีปูเรน วา โจราทีหิ วา อุปทฺทโว โหติ, เถโร อุทโกสกฺกนํ วา อาคเมติ, สหาเย วา ปริเยสติ, ตํ เจ ปวตฺติํ ทหรา สุณนฺติ, ยาว อาคมนา ปริหาโร ลพฺภติฯ สเจ ปน โส ‘‘อิเธวาหํ วสิสฺสามี’’ติ ปหิณติ, ปริหาโร นตฺถิฯ ยตฺถ นิสฺสโย ลพฺภติ, ตตฺถ คนฺตพฺพํฯ วิพฺภเนฺต ปน กาลกเต ปกฺขสงฺกเนฺต วา เอกทิวสมฺปิ ปริหาโร นตฺถิ, ยตฺถ นิสฺสโย ลพฺภติ, ตตฺถ คนฺตพฺพํฯ
Tatrāyaṃ vinicchayo (mahāva. aṭṭha. 83) – pakkantoti disaṃ gato. Evaṃ gate ca pana tasmiṃ sace vihāre nissayadāyako atthi, yassa santike aññadāpi nissayo vā gahitapubbo hoti, yo vā ekasambhogaparibhogo, tassa santike nissayo gahetabbo, ekadivasampi parihāro natthi. Sace tādiso natthi, añño lajjī pesalo atthi, tassa pesalabhāvaṃ jānantena tadaheva nissayo yācitabbo. Sace deti, iccetaṃ kusalaṃ. Atha pana ‘‘tumhākaṃ upajjhāyo lahuṃ āgamissatī’’ti pucchati, upajjhāyena ce tathā vuttaṃ, ‘‘āma, bhante’’ti vattabbaṃ. Sace vadati ‘‘tena hi upajjhāyassa āgamanaṃ āgamethā’’ti, vaṭṭati. Atha panassa pakatiyā pesalabhāvaṃ na jānāti, cattāri pañca divasāni tassa bhikkhussa sabhāgataṃ oloketvā okāsaṃ kāretvā nissayo gahetabbo. Sace pana vihāre nissayadāyako natthi, upajjhāyo ca ‘‘ahaṃ katipāhena āgamissāmi, mā ukkaṇṭhitthā’’ti vatvā gato, yāva āgamanā parihāro labbhati, athāpi naṃ tattha manussā paricchinnakālato uttaripi pañca vā dasa vā divasāni vāsentiyeva, tena vihāraṃ pavatti pesetabbā ‘‘daharā mā ukkaṇṭhantu, ahaṃ asukadivasaṃ nāma āgamissāmī’’ti, evampi parihāro labbhati. Atha āgacchato antarāmagge nadīpūrena vā corādīhi vā upaddavo hoti, thero udakosakkanaṃ vā āgameti, sahāye vā pariyesati, taṃ ce pavattiṃ daharā suṇanti, yāva āgamanā parihāro labbhati. Sace pana so ‘‘idhevāhaṃ vasissāmī’’ti pahiṇati, parihāro natthi. Yattha nissayo labbhati, tattha gantabbaṃ. Vibbhante pana kālakate pakkhasaṅkante vā ekadivasampi parihāro natthi, yattha nissayo labbhati, tattha gantabbaṃ.
อาณตฺตีติ ปน นิสฺสยปณามนา วุจฺจติ, ตสฺมา ‘‘ปณาเมมิ ต’’นฺติ วา ‘‘มา อิธ ปฎิกฺกมี’’ติ วา ‘‘นีหร เต ปตฺตจีวร’’นฺติ วา ‘‘นาหํ ตยา อุปฎฺฐาเปตโพฺพ’’ติ วาติ อิมินา ปาฬินเยน ‘‘มา มํ คามปฺปเวสนํ อาปุจฺฉี’’ติอาทินา ปาฬิมุตฺตกนเยน วา โย นิสฺสยปณามนาย ปณามิโต โหติ, เตน อุปชฺฌาโย ขมาเปตโพฺพฯ สเจ อาทิโตว น ขมติ, ทณฺฑกมฺมํ อาหริตฺวา ติกฺขตฺตุํ ตาว สยเมว ขมาเปตโพฺพฯ โน เจ ขมติ, ตสฺมิํ วิหาเร มหาเถเร คเหตฺวา ขมาเปตโพฺพฯ โน เจ ขมติ, สามนฺตวิหาเร ภิกฺขู คเหตฺวา ขมาเปตโพฺพฯ สเจ เอวมฺปิ น ขมติ, อญฺญตฺถ คนฺตฺวา อุปชฺฌายสฺส สภาคานํ สนฺติเก วสิตพฺพํ ‘‘อเปฺปว นาม ‘สภาคานํ เม สนฺติเก วสตี’ติ ญตฺวาปิ ขเมยฺยา’’ติฯ สเจ เอวมฺปิ น ขมติ, ตเตฺรว วสิตพฺพํฯ ตตฺร เจ ทุพฺภิกฺขาทิโทเสน น สกฺกา โหติ วสิตุํ, ตํเยว วิหารํ อาคนฺตฺวา อญฺญสฺส สนฺติเก นิสฺสยํ คเหตฺวา วสิตุํ วฎฺฎติฯ อยมาณตฺติยํ วินิจฺฉโยฯ
Āṇattīti pana nissayapaṇāmanā vuccati, tasmā ‘‘paṇāmemi ta’’nti vā ‘‘mā idha paṭikkamī’’ti vā ‘‘nīhara te pattacīvara’’nti vā ‘‘nāhaṃ tayā upaṭṭhāpetabbo’’ti vāti iminā pāḷinayena ‘‘mā maṃ gāmappavesanaṃ āpucchī’’tiādinā pāḷimuttakanayena vā yo nissayapaṇāmanāya paṇāmito hoti, tena upajjhāyo khamāpetabbo. Sace āditova na khamati, daṇḍakammaṃ āharitvā tikkhattuṃ tāva sayameva khamāpetabbo. No ce khamati, tasmiṃ vihāre mahāthere gahetvā khamāpetabbo. No ce khamati, sāmantavihāre bhikkhū gahetvā khamāpetabbo. Sace evampi na khamati, aññattha gantvā upajjhāyassa sabhāgānaṃ santike vasitabbaṃ ‘‘appeva nāma ‘sabhāgānaṃ me santike vasatī’ti ñatvāpi khameyyā’’ti. Sace evampi na khamati, tatreva vasitabbaṃ. Tatra ce dubbhikkhādidosena na sakkā hoti vasituṃ, taṃyeva vihāraṃ āgantvā aññassa santike nissayaṃ gahetvā vasituṃ vaṭṭati. Ayamāṇattiyaṃ vinicchayo.
อาจริยมฺหา นิสฺสยปฎิปฺปสฺสทฺธีสุ อาจริโย ปกฺกโนฺต วา โหตีติ เอตฺถ โกจิ อาจริโย อาปุจฺฉิตฺวา ปกฺกมติ, โกจิ อนาปุจฺฉิตฺวา, อเนฺตวาสิโกปิ เอวเมวฯ ตตฺร สเจ อเนฺตวาสิโก อาจริยํ อาปุจฺฉติ ‘‘อสุกํ นาม, ภเนฺต, ฐานํ คนฺตุํ อิจฺฉามิ เกนจิเทว กรณีเยนา’’ติ, อาจริเยน จ ‘‘กทา คมิสฺสสี’’ติ วุโตฺต ‘‘สายเนฺห วา รตฺติํ วา อุฎฺฐหิตฺวา คมิสฺสามี’’ติ วทติ, อาจริโยปิ ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉติ, ตํ ขณํเยว นิสฺสโย ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ สเจ ปน ‘‘ภเนฺต, อสุกํ นาม ฐานํ คนฺตุกาโมมฺหี’’ติ วุเตฺต อาจริโย ‘‘อสุกสฺมิํ นาม คาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉา ชานิสฺสสี’’ติ วทติ, โส จ ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉติ, ตโต เจ คโต สุคโตฯ สเจ ปน น คจฺฉติ, นิสฺสโย น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ อถาปิ ‘‘คจฺฉามี’’ติ วุเตฺต อาจริเยน ‘‘มา ตาว คจฺฉ, รตฺติํ มเนฺตตฺวา ชานิสฺสามา’’ติ วุโตฺต มเนฺตตฺวา คจฺฉติ, สุคโตฯ โน เจ คจฺฉติ, นิสฺสโย น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ อาจริยํ อนาปุจฺฉา ปกฺกมนฺตสฺส ปน อุปจารสีมาติกฺกเม นิสฺสโย ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, อโนฺตอุปจารสีมโต ปฎินิวตฺตนฺตสฺส น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ สเจ ปน อาจริโย อเนฺตวาสิกํ อาปุจฺฉติ ‘‘อาวุโส, อสุกํ นาม ฐานํ คมิสฺสามี’’ติ, อเนฺตวาสิเกน จ ‘‘กทา’’ติ วุเตฺต ‘‘สายเนฺห วา รตฺติภาเค วา’’ติ วทติ, อเนฺตวาสิโกปิ ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉติ, ตํ ขณํเยว นิสฺสโย ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, สเจ ปน อาจริโย ‘‘เสฺว ปิณฺฑาย จริตฺวา คมิสฺสามี’’ติ วทติ, อิตโร จ ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉติ, เอกทิวสํ ตาว นิสฺสโย น ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, ปุนทิวเส ปฎิปฺปสฺสโทฺธ โหติฯ ‘‘อสุกสฺมิํ นาม คาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา ชานิสฺสามิ มม คมนํ วา อคมนํ วา’’ติ วตฺวา ปน สเจ น คจฺฉติ, นิสฺสโย น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ อถาปิ ‘‘คจฺฉามี’’ติ วุเตฺต อเนฺตวาสิเกน ‘‘มา ตาว คจฺฉถ, รตฺติํ มเนฺตตฺวา ชานิสฺสถา’’ติ วุโตฺต มเนฺตตฺวาปิ น คจฺฉติ, นิสฺสโย น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ สเจ อุโภปิ อาจริยเนฺตวาสิกา เกนจิเทว กรณีเยน พหิสีมํ คจฺฉนฺติ, ตโต เจ อาจริโย คมิยจิเตฺต อุปฺปเนฺน อนาปุจฺฉาว คนฺตฺวา ทฺวินฺนํ เลฑฺฑุปาตานํ อโนฺตเยว นิวตฺตติ, นิสฺสโย น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ สเจ เทฺว เลฑฺฑุปาเต อติกฺกมิตฺวา นิวตฺตติ, ปฎิปฺปสฺสโทฺธ โหติฯ อาจริยุปชฺฌายา เทฺว เลฑฺฑุปาเต อติกฺกมฺม อญฺญสฺมิํ วิหาเร วสนฺติ, นิสฺสโย ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ อาจริเย วิพฺภเนฺต กาลกเต ปกฺขสงฺกเนฺต จ ตํ ขณํเยว ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ
Ācariyamhā nissayapaṭippassaddhīsu ācariyo pakkanto vā hotīti ettha koci ācariyo āpucchitvā pakkamati, koci anāpucchitvā, antevāsikopi evameva. Tatra sace antevāsiko ācariyaṃ āpucchati ‘‘asukaṃ nāma, bhante, ṭhānaṃ gantuṃ icchāmi kenacideva karaṇīyenā’’ti, ācariyena ca ‘‘kadā gamissasī’’ti vutto ‘‘sāyanhe vā rattiṃ vā uṭṭhahitvā gamissāmī’’ti vadati, ācariyopi ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchati, taṃ khaṇaṃyeva nissayo paṭippassambhati. Sace pana ‘‘bhante, asukaṃ nāma ṭhānaṃ gantukāmomhī’’ti vutte ācariyo ‘‘asukasmiṃ nāma gāme piṇḍāya caritvā pacchā jānissasī’’ti vadati, so ca ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchati, tato ce gato sugato. Sace pana na gacchati, nissayo na paṭippassambhati. Athāpi ‘‘gacchāmī’’ti vutte ācariyena ‘‘mā tāva gaccha, rattiṃ mantetvā jānissāmā’’ti vutto mantetvā gacchati, sugato. No ce gacchati, nissayo na paṭippassambhati. Ācariyaṃ anāpucchā pakkamantassa pana upacārasīmātikkame nissayo paṭippassambhati, antoupacārasīmato paṭinivattantassa na paṭippassambhati. Sace pana ācariyo antevāsikaṃ āpucchati ‘‘āvuso, asukaṃ nāma ṭhānaṃ gamissāmī’’ti, antevāsikena ca ‘‘kadā’’ti vutte ‘‘sāyanhe vā rattibhāge vā’’ti vadati, antevāsikopi ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchati, taṃ khaṇaṃyeva nissayo paṭippassambhati, sace pana ācariyo ‘‘sve piṇḍāya caritvā gamissāmī’’ti vadati, itaro ca ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchati, ekadivasaṃ tāva nissayo na paṭippassambhati, punadivase paṭippassaddho hoti. ‘‘Asukasmiṃ nāma gāme piṇḍāya caritvā jānissāmi mama gamanaṃ vā agamanaṃ vā’’ti vatvā pana sace na gacchati, nissayo na paṭippassambhati. Athāpi ‘‘gacchāmī’’ti vutte antevāsikena ‘‘mā tāva gacchatha, rattiṃ mantetvā jānissathā’’ti vutto mantetvāpi na gacchati, nissayo na paṭippassambhati. Sace ubhopi ācariyantevāsikā kenacideva karaṇīyena bahisīmaṃ gacchanti, tato ce ācariyo gamiyacitte uppanne anāpucchāva gantvā dvinnaṃ leḍḍupātānaṃ antoyeva nivattati, nissayo na paṭippassambhati. Sace dve leḍḍupāte atikkamitvā nivattati, paṭippassaddho hoti. Ācariyupajjhāyā dve leḍḍupāte atikkamma aññasmiṃ vihāre vasanti, nissayo paṭippassambhati. Ācariye vibbhante kālakate pakkhasaṅkante ca taṃ khaṇaṃyeva paṭippassambhati.
อาณตฺติยํ ปน อาจริโย มุญฺจิตุกาโมว หุตฺวา นิสฺสยปณามนาย ปณาเมติ, อเนฺตวาสิโก จ ‘‘กิญฺจาปิ มํ อาจริโย ปณาเมติ, อถ โข หทเยน มุทุโก’’ติ สาลโย โหติ, นิสฺสโย น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ สเจปิ อาริโย สาลโย, อเนฺตวาสิโก นิราลโย ‘‘น ทานิ อิมํ นิสฺสาย วสิสฺสามี’’ติ ธุรํ นิกฺขิปติ, เอวมฺปิ น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ อุภินฺนํ สาลยภาเว ปน น ปฎิปฺปสฺสมฺภติเยว, อุภินฺนํ ธุรนิเกฺขเปน ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, ปณามิเตน ทณฺฑกมฺมํ อาหริตฺวา ติกฺขตฺตุํ ขมาเปตโพฺพฯ โน เจ ขมติ, อุปชฺฌาเย วุตฺตนเยน ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ ยถาปญฺญตฺตํ ปน อาจริยุปชฺฌายวตฺตํ ปริปูเรนฺตํ อธิมตฺตเปมาทิปญฺจงฺคสมนฺนาคตํ อเนฺตวาสิกํ สทฺธิวิหาริกํ วา ปณาเมนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, อิตรํ อปณาเมนฺตสฺสปิ ทุกฺกฎเมวฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Āṇattiyaṃ pana ācariyo muñcitukāmova hutvā nissayapaṇāmanāya paṇāmeti, antevāsiko ca ‘‘kiñcāpi maṃ ācariyo paṇāmeti, atha kho hadayena muduko’’ti sālayo hoti, nissayo na paṭippassambhati. Sacepi āriyo sālayo, antevāsiko nirālayo ‘‘na dāni imaṃ nissāya vasissāmī’’ti dhuraṃ nikkhipati, evampi na paṭippassambhati. Ubhinnaṃ sālayabhāve pana na paṭippassambhatiyeva, ubhinnaṃ dhuranikkhepena paṭippassambhati, paṇāmitena daṇḍakammaṃ āharitvā tikkhattuṃ khamāpetabbo. No ce khamati, upajjhāye vuttanayena paṭipajjitabbaṃ. Yathāpaññattaṃ pana ācariyupajjhāyavattaṃ paripūrentaṃ adhimattapemādipañcaṅgasamannāgataṃ antevāsikaṃ saddhivihārikaṃ vā paṇāmentassa dukkaṭaṃ, itaraṃ apaṇāmentassapi dukkaṭameva. Vuttañhetaṃ –
‘‘น, ภิกฺขเว, สมฺมาวตฺตโนฺต ปณาเมตโพฺพ, โย ปณาเมยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ น จ, ภิกฺขเว, อสมฺมาวตฺตโนฺต น ปณาเมตโพฺพ, โย น ปณาเมยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส (มหาว. ๘๐)ฯ
‘‘Na, bhikkhave, sammāvattanto paṇāmetabbo, yo paṇāmeyya, āpatti dukkaṭassa. Na ca, bhikkhave, asammāvattanto na paṇāmetabbo, yo na paṇāmeyya, āpatti dukkaṭassa (mahāva. 80).
‘‘ปญฺจหิ , ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคตํ อเนฺตวาสิกํ อปณาเมโนฺต อาจริโย สาติสาโร โหติ, ปณาเมโนฺต อนติสาโร โหติฯ อาจริยมฺหิ นาธิมตฺตํ เปมํ โหติ, นาธิมโตฺต ปสาโท โหติ, นาธิมตฺตา หิรี โหติ, นาธิมโตฺต คารโว โหติ, นาธิมตฺตา ภาวนา โหติฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคตํ อเนฺตวาสิกํ อปณาเมโนฺต อาจริโย สาติสาโร โหติ, ปณาเมโนฺต อนติสาโร โหติ (มหาว. ๘๑)ฯ
‘‘Pañcahi , bhikkhave, aṅgehi samannāgataṃ antevāsikaṃ apaṇāmento ācariyo sātisāro hoti, paṇāmento anatisāro hoti. Ācariyamhi nādhimattaṃ pemaṃ hoti, nādhimatto pasādo hoti, nādhimattā hirī hoti, nādhimatto gāravo hoti, nādhimattā bhāvanā hoti. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgataṃ antevāsikaṃ apaṇāmento ācariyo sātisāro hoti, paṇāmento anatisāro hoti (mahāva. 81).
‘‘ปญฺจหิ , ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคตํ สทฺธิวิหาริกํ อปณาเมโนฺต อุปชฺฌาโย สาติสาโร โหติ, ปณาเมโนฺต อนติสาโร โหติฯ อุปชฺฌายมฺหิ นาธิมตฺตํ เปมํ โหติ, นาธิมโตฺต ปสาโท โหติ, นาธิมตฺตา หิรี โหติ, นาธิมโตฺต คารโว โหติ, นาธิมตฺตา ภาวนา โหติฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคตํ สทฺธิวิหาริกํ อปณาเมโนฺต อุปชฺฌาโย สาติสาโร โหติ, ปณาเมโนฺต อนติสาโร โหตี’’ติอาทิ (มหาว. ๖๘)ฯ
‘‘Pañcahi , bhikkhave, aṅgehi samannāgataṃ saddhivihārikaṃ apaṇāmento upajjhāyo sātisāro hoti, paṇāmento anatisāro hoti. Upajjhāyamhi nādhimattaṃ pemaṃ hoti, nādhimatto pasādo hoti, nādhimattā hirī hoti, nādhimatto gāravo hoti, nādhimattā bhāvanā hoti. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgataṃ saddhivihārikaṃ apaṇāmento upajjhāyo sātisāro hoti, paṇāmento anatisāro hotī’’tiādi (mahāva. 68).
ตตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๖๘) นาธิมตฺตํ เปมํ โหตีติ อุปชฺฌายมฺหิ อธิมตฺตํ เคหสฺสิตเปมํ น โหติฯ นาธิมตฺตา ภาวนา โหตีติ อธิมตฺตา เมตฺตาภาวนา น โหตีติ อโตฺถฯ
Tattha (mahāva. aṭṭha. 68) nādhimattaṃ pemaṃ hotīti upajjhāyamhi adhimattaṃ gehassitapemaṃ na hoti. Nādhimattā bhāvanā hotīti adhimattā mettābhāvanā na hotīti attho.
อุปชฺฌาเยน วา สโมธานคโตติ เอตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๘๓) ทสฺสนสวนวเสน สโมธานํ เวทิตพฺพํฯ สเจ หิ อาจริยํ นิสฺสาย วสโนฺต สทฺธิวิหาริโก เอกวิหาเร เจติยํ วา วนฺทนฺตํ, เอกคาเม วา ปิณฺฑาย จรนฺตํ อุปชฺฌายํ ปสฺสติ, นิสฺสโย ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ อุปชฺฌาโย ปสฺสติ, สทฺธิวิหาริโก น ปสฺสติ, น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ มคฺคปฺปฎิปนฺนํ วา อากาเสน วา คจฺฉนฺตํ อุปชฺฌายํ ทิสฺวา ทูรตฺตา ‘‘ภิกฺขู’’ติ ชานาติ, ‘‘อุปชฺฌาโย’’ติ น ชานาติ, น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ สเจ ชานาติ, ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ อุปริปาสาเท อุปชฺฌาโย วสติ, เหฎฺฐา สทฺธิวิหาริโก, ตํ อทิสฺวาว ยาคุํ ปิวิตฺวา ปฎิกฺกมติ, อาสนสาลาย วา นิสินฺนํ อทิสฺวาว เอกมเนฺต ภุญฺชิตฺวา ปกฺกมติ, ธมฺมสฺสวนมณฺฑเป วา นิสินฺนมฺปิ ตํ อทิสฺวาว ธมฺมํ สุตฺวา ปกฺกมติ, นิสฺสโย น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ เอวํ ตาว ทสฺสนวเสน สโมธานํ เวทิตพฺพํฯ สวนวเสน ปน สเจ อุปชฺฌายสฺส วิหาเร วา อนฺตรฆเร วา ธมฺมํ วา กเถนฺตสฺส อนุโมทนํ วา กโรนฺตสฺส สทฺทํ สุตฺวา ‘‘อุปชฺฌายสฺส เม สโทฺท’’ติ สญฺชานาติ, นิสฺสโย ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, อสญฺชานนฺตสฺส น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ อยํ สโมธาเน วินิจฺฉโยฯ
Upajjhāyena vā samodhānagatoti ettha (mahāva. aṭṭha. 83) dassanasavanavasena samodhānaṃ veditabbaṃ. Sace hi ācariyaṃ nissāya vasanto saddhivihāriko ekavihāre cetiyaṃ vā vandantaṃ, ekagāme vā piṇḍāya carantaṃ upajjhāyaṃ passati, nissayo paṭippassambhati. Upajjhāyo passati, saddhivihāriko na passati, na paṭippassambhati. Maggappaṭipannaṃ vā ākāsena vā gacchantaṃ upajjhāyaṃ disvā dūrattā ‘‘bhikkhū’’ti jānāti, ‘‘upajjhāyo’’ti na jānāti, na paṭippassambhati. Sace jānāti, paṭippassambhati. Uparipāsāde upajjhāyo vasati, heṭṭhā saddhivihāriko, taṃ adisvāva yāguṃ pivitvā paṭikkamati, āsanasālāya vā nisinnaṃ adisvāva ekamante bhuñjitvā pakkamati, dhammassavanamaṇḍape vā nisinnampi taṃ adisvāva dhammaṃ sutvā pakkamati, nissayo na paṭippassambhati. Evaṃ tāva dassanavasena samodhānaṃ veditabbaṃ. Savanavasena pana sace upajjhāyassa vihāre vā antaraghare vā dhammaṃ vā kathentassa anumodanaṃ vā karontassa saddaṃ sutvā ‘‘upajjhāyassa me saddo’’ti sañjānāti, nissayo paṭippassambhati, asañjānantassa na paṭippassambhati. Ayaṃ samodhāne vinicchayo.
๑๕๕. นิสฺสาย เกน วสิตพฺพํ, เกน น วสิตพฺพนฺติ เอตฺถ ปน ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน ปญฺจ วสฺสานิ นิสฺสาย วตฺถุํ, อพฺยเตฺตน ยาวชีว’’นฺติ (มหาว. ๑๐๓) วจนโต โย อพฺยโตฺต โหติ, เตน ยาวชีวํ นิสฺสาเยว วสิตพฺพํฯ สจายํ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๐๓) วุฑฺฒตรํ อาจริยํ น ลภติ, อุปสมฺปทาย สฎฺฐิวโสฺส วา สตฺตติวโสฺส วา โหติ, นวกตรสฺสปิ พฺยตฺตสฺส สนฺติเก อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘อาจริโย เม, อาวุโส, โหติ, อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามี’’ติ เอวํ ติกฺขตฺตุํ วตฺวา นิสฺสโย คเหตโพฺพวฯ คามปฺปเวสนํ อาปุจฺฉเนฺตนปิ อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘คามปฺปเวสนํ อาปุจฺฉามิ อาจริยา’’ติ วตฺตพฺพํฯ เอส นโย สพฺพอาปุจฺฉเนสุฯ
155. Nissāya kena vasitabbaṃ, kena na vasitabbanti ettha pana ‘‘anujānāmi, bhikkhave, byattena bhikkhunā paṭibalena pañca vassāni nissāya vatthuṃ, abyattena yāvajīva’’nti (mahāva. 103) vacanato yo abyatto hoti, tena yāvajīvaṃ nissāyeva vasitabbaṃ. Sacāyaṃ (mahāva. aṭṭha. 103) vuḍḍhataraṃ ācariyaṃ na labhati, upasampadāya saṭṭhivasso vā sattativasso vā hoti, navakatarassapi byattassa santike ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā ‘‘ācariyo me, āvuso, hoti, āyasmato nissāya vacchāmī’’ti evaṃ tikkhattuṃ vatvā nissayo gahetabbova. Gāmappavesanaṃ āpucchantenapi ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā ‘‘gāmappavesanaṃ āpucchāmi ācariyā’’ti vattabbaṃ. Esa nayo sabbaāpucchanesu.
โย ปน พฺยโตฺต โหติ อุปสมฺปทาย ปญฺจวโสฺส, เตน อนิสฺสิเตน วตฺถุํ วฎฺฎติฯ ตสฺมา นิสฺสยมุจฺจนเกน (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๔๕-๑๔๗) อุปสมฺปทาย ปญฺจวเสฺสน สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน เทฺว มาติกา ปคุณา วาจุคฺคตา กตฺตพฺพา, ปกฺขทิวเสสุ ธมฺมสฺสวนตฺถาย สุตฺตนฺตโต จตฺตาโร ภาณวารา, สมฺปตฺตานํ ปริสานํ ปริกถนตฺถาย อนฺธกวินฺท(อ. นิ. ๕.๑๑๔) มหาราหุโลวาท(ม. นิ. ๒.๑๑๓ อาทโย) อมฺพฎฺฐ(ทอี. นิ. ๑.๒๕๔ อาทโย) สทิโส เอโก กถามโคฺค, สงฺฆภตฺตมงฺคลามงฺคเลสุ อนุโมทนตฺถาย ติโสฺส อนุโมทนา, อุโปสถปวารณาทิชานนตฺถํ กมฺมากมฺมวินิจฺฉโย, สมณธมฺมกรณตฺถํ สมาธิวเสน วา วิปสฺสนาวเสน วา อรหตฺตปริโยสานเมกํ กมฺมฎฺฐานํ, เอตฺตกํ อุคฺคเหตพฺพํฯ เอตฺตาวตา หิ อยํ พหุสฺสุโต โหติ จาตุทฺทิโส, ยตฺถ กตฺถจิ อตฺตโน อิสฺสริเยน วสิตุํ ลภติฯ ยํ ปน วุตฺตํ –
Yo pana byatto hoti upasampadāya pañcavasso, tena anissitena vatthuṃ vaṭṭati. Tasmā nissayamuccanakena (pāci. aṭṭha. 145-147) upasampadāya pañcavassena sabbantimena paricchedena dve mātikā paguṇā vācuggatā kattabbā, pakkhadivasesu dhammassavanatthāya suttantato cattāro bhāṇavārā, sampattānaṃ parisānaṃ parikathanatthāya andhakavinda(a. ni. 5.114) mahārāhulovāda(ma. ni. 2.113 ādayo) ambaṭṭha(daī. ni. 1.254 ādayo) sadiso eko kathāmaggo, saṅghabhattamaṅgalāmaṅgalesu anumodanatthāya tisso anumodanā, uposathapavāraṇādijānanatthaṃ kammākammavinicchayo, samaṇadhammakaraṇatthaṃ samādhivasena vā vipassanāvasena vā arahattapariyosānamekaṃ kammaṭṭhānaṃ, ettakaṃ uggahetabbaṃ. Ettāvatā hi ayaṃ bahussuto hoti cātuddiso, yattha katthaci attano issariyena vasituṃ labhati. Yaṃ pana vuttaṃ –
‘‘ปญฺจหิ , ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อนิสฺสิเตน วตฺถพฺพํฯ น อเสเกฺขน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหติ, น อเสเกฺขน สมาธิกฺขเนฺธน… น อเสเกฺขน ปญฺญากฺขเนฺธน… น อเสเกฺขน วิมุตฺติกฺขเนฺธน… น อเสเกฺขน วิมุตฺติญาณทสฺสนกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต โหติฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อนิสฺสิเตน วตฺถพฺพํฯ
‘‘Pañcahi , bhikkhave, aṅgehi samannāgatena bhikkhunā na anissitena vatthabbaṃ. Na asekkhena sīlakkhandhena samannāgato hoti, na asekkhena samādhikkhandhena… na asekkhena paññākkhandhena… na asekkhena vimuttikkhandhena… na asekkhena vimuttiñāṇadassanakkhandhena samannāgato hoti. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na anissitena vatthabbaṃ.
‘‘อปเรหิปิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อนิสฺสิเตน วตฺถพฺพํฯ อสฺสโทฺธ โหติ, อหิริโก โหติ, อโนตฺตปฺปี โหติ, กุสีโต โหติ, มุฎฺฐสฺสติ โหติฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อนิสฺสิเตน วตฺถพฺพํฯ
‘‘Aparehipi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na anissitena vatthabbaṃ. Assaddho hoti, ahiriko hoti, anottappī hoti, kusīto hoti, muṭṭhassati hoti. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na anissitena vatthabbaṃ.
‘‘อปเรหิปิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อนิสฺสิเตน วตฺถพฺพํฯ อธิสีเล สีลวิปโนฺน โหติ, อชฺฌาจาเร อาจารวิปโนฺน โหติ, อติทิฎฺฐิยา ทิฎฺฐิวิปโนฺน โหติ, อปฺปสฺสุโต โหติ, ทุปฺปโญฺญ โหติฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อนิสฺสิเตน วตฺถพฺพํฯ
‘‘Aparehipi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na anissitena vatthabbaṃ. Adhisīle sīlavipanno hoti, ajjhācāre ācāravipanno hoti, atidiṭṭhiyā diṭṭhivipanno hoti, appassuto hoti, duppañño hoti. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na anissitena vatthabbaṃ.
‘‘อปเรหิปิ , ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อนิสฺสิเตน วตฺถพฺพํฯ อาปตฺติํ น ชานาติ, อนาปตฺติํ น ชานาติ, ลหุกํ อาปตฺติํ น ชานาติ, ครุกํ อาปตฺติํ น ชานาติ, อุภยานิ โข ปนสฺส ปาติโมกฺขานิ วิตฺถาเรน น สฺวาคตานิ โหนฺติ น สุวิภตฺตานิ น สุปฺปวตฺตีนิ น สุวินิจฺฉิตานิ สุตฺตโส อนุพฺยญฺชนโสฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อนิสฺสิเตน วตฺถพฺพํฯ
‘‘Aparehipi , bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na anissitena vatthabbaṃ. Āpattiṃ na jānāti, anāpattiṃ na jānāti, lahukaṃ āpattiṃ na jānāti, garukaṃ āpattiṃ na jānāti, ubhayāni kho panassa pātimokkhāni vitthārena na svāgatāni honti na suvibhattāni na suppavattīni na suvinicchitāni suttaso anubyañjanaso. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na anissitena vatthabbaṃ.
‘‘อปเรหิปิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อนิสฺสิเตน วตฺถพฺพํฯ อาปตฺติํ น ชานาติ, อนาปตฺติํ น ชานาติ, ลหุกํ อาปตฺติํ น ชานาติ, ครุกํ อาปตฺติํ น ชานาติ, อูนปญฺจวโสฺส โหติฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น อนิสฺสิเตน วตฺถพฺพ’’นฺติ (มหาว. ๑๐๓)ฯ เอตฺถาปิ ปุริมนเยเนว อยุตฺตวเสน อาปตฺติองฺควเสน จ ปฎิเกฺขโป กโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ
‘‘Aparehipi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na anissitena vatthabbaṃ. Āpattiṃ na jānāti, anāpattiṃ na jānāti, lahukaṃ āpattiṃ na jānāti, garukaṃ āpattiṃ na jānāti, ūnapañcavasso hoti. Imehi kho, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatena bhikkhunā na anissitena vatthabba’’nti (mahāva. 103). Etthāpi purimanayeneva ayuttavasena āpattiaṅgavasena ca paṭikkhepo katoti daṭṭhabbaṃ.
พาลานํ ปน อพฺยตฺตานํ ทิสํคมิกานํ อเนฺตวาสิกสทฺธิวิหาริกานํ อนุญฺญา น ทาตพฺพาฯ สเจ เทนฺติ, อาจริยุปชฺฌายานํ ทุกฺกฎํฯ เต เจ อนนุญฺญาตา คจฺฉนฺติ, เตสมฺปิ ทุกฺกฎํฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Bālānaṃ pana abyattānaṃ disaṃgamikānaṃ antevāsikasaddhivihārikānaṃ anuññā na dātabbā. Sace denti, ācariyupajjhāyānaṃ dukkaṭaṃ. Te ce ananuññātā gacchanti, tesampi dukkaṭaṃ. Vuttañhetaṃ –
‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, สมฺพหุลา ภิกฺขู พาลา อพฺยตฺตา ทิสํคมิกา อาจริยุปชฺฌาเย อาปุจฺฉนฺติฯ เต, ภิกฺขเว, อาจริยุปชฺฌาเยหิ ปุจฺฉิตพฺพา ‘‘กหํ คมิสฺสถ, เกน สทฺธิํ คมิสฺสถา’’ติฯ เต เจ, ภิกฺขเว, พาลา อพฺยตฺตา อเญฺญ พาเล อพฺยเตฺต อปทิเสยฺยุํฯ น, ภิกฺขเว, อาจริยุปชฺฌาเยหิ อนุชานิตพฺพา, อนุชาเนยฺยุํ เจ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ เต เจ, ภิกฺขเว, พาลา อพฺยตฺตา อนนุญฺญาตา อาจริยุปชฺฌาเยหิ คเจฺฉยฺยุํ เจ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๖๓)ฯ
‘‘Idha pana, bhikkhave, sambahulā bhikkhū bālā abyattā disaṃgamikā ācariyupajjhāye āpucchanti. Te, bhikkhave, ācariyupajjhāyehi pucchitabbā ‘‘kahaṃ gamissatha, kena saddhiṃ gamissathā’’ti. Te ce, bhikkhave, bālā abyattā aññe bāle abyatte apadiseyyuṃ. Na, bhikkhave, ācariyupajjhāyehi anujānitabbā, anujāneyyuṃ ce, āpatti dukkaṭassa. Te ce, bhikkhave, bālā abyattā ananuññātā ācariyupajjhāyehi gaccheyyuṃ ce, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 163).
อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห
Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe
นิสฺสยวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ
Nissayavinicchayakathā samattā.