Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation

    มชฺฌิม นิกาย ๒๕

    The Middle-Length Suttas Collection 25

    นิวาปสุตฺต

    Fodder

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ภิกฺขโว”ติฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery. There the Buddha addressed the bhikkhus, “Bhikkhus!”

    “ภทนฺเต”ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:

    “Venerable sir,” they replied. The Buddha said this:

    “น, ภิกฺขเว, เนวาปิโก นิวาปํ นิวปติ มิคชาตานํ: ‘อิมํ เม นิวาปํ นิวุตฺตํ มิคชาตา ปริภุญฺชนฺตา ทีฆายุกา วณฺณวนฺโต จิรํ ทีฆมทฺธานํ ยาเปนฺตู'ติฯ เอวญฺจ โข, ภิกฺขเว, เนวาปิโก นิวาปํ นิวปติ มิคชาตานํ: ‘อิมํ เม นิวาปํ นิวุตฺตํ มิคชาตา อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชิสฺสนฺติ, อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา มทํ อาปชฺชิสฺสนฺติ, มตฺตา สมานา ปมาทํ อาปชฺชิสฺสนฺติ, ปมตฺตา สมานา ยถากามกรณียา ภวิสฺสนฺติ อิมสฺมึ นิวาเป'ติฯ

    “Bhikkhus, a trapper doesn’t cast bait for deer thinking, ‘May the deer, enjoying this bait, be healthy and in good condition. May they live long and prosper!’ A trapper casts bait for deer thinking, ‘When these deer intrude on where I cast the bait, they’ll recklessly enjoy eating it. They’ll become indulgent, then they’ll become negligent, and then I’ll be able to do what I want with them on account of this bait.’

    ตตฺร, ภิกฺขเว, ปฐมา มิคชาตา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุ, เต ตตฺถ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา มทํ อาปชฺชึสุ, มตฺตา สมานา ปมาทํ อาปชฺชึสุ, ปมตฺตา สมานา ยถากามกรณียา อเหสุํ เนวาปิกสฺส อมุสฺมึ นิวาเปฯ เอวญฺหิ เต, ภิกฺขเว, ปฐมา มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ

    And indeed, the first herd of deer intruded on where the trapper cast the bait and recklessly enjoyed eating it. They became indulgent, then they became negligent, and then the trapper was able to do what he wanted with them on account of that bait. And that’s how the first herd of deer failed to get free from the trapper’s power.

    ตตฺร, ภิกฺขเว, ทุติยา มิคชาตา เอวํ สมจินฺเตสุํ: ‘เย โข เต ปฐมา มิคชาตา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุฯ เต ตตฺถ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา มทํ อาปชฺชึสุ, มตฺตา สมานา ปมาทํ อาปชฺชึสุ, ปมตฺตา สมานา ยถากามกรณียา อเหสุํ เนวาปิกสฺส อมุสฺมึ นิวาเปฯ เอวญฺหิ เต ปฐมา มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ สพฺพโส นิวาปโภชนา ปฏิวิรเมยฺยาม, ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหเรยฺยามา'ติฯ เต สพฺพโส นิวาปโภชนา ปฏิวิรมึสุ, ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหรึสุฯ เตสํ คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส, ติโณทกสงฺขเย, อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺโต กาโย โหติฯ เตสํ อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺตกายานํ พลวีริยํ ปริหายิฯ พลวีริเย ปริหีเน ตเมว นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส ปจฺจาคมึสุฯ เต ตตฺถ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุฯ เต ตตฺถ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา มทํ อาปชฺชึสุ, มตฺตา สมานา ปมาทํ อาปชฺชึสุ, ปมตฺตา สมานา ยถากามกรณียา อเหสุํ เนวาปิกสฺส อมุสฺมึ นิวาเปฯ เอวญฺหิ เต, ภิกฺขเว, ทุติยาปิ มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ

    So then a second herd of deer thought up a plan, ‘The first herd of deer became indulgent … and failed to get free of the trapper’s power. Why don’t we avoid eating the bait altogether? Avoiding dangerous food, we can venture deep into a wilderness region and live there.’ And that’s just what they did. But when it came to the last month of summer, the grass and water ran out. Their bodies became much too thin, and they lost their strength and energy. So they went back to that same place where the trapper had cast bait. Intruding on that place, they recklessly enjoyed eating it … And that’s how the second herd failed to get free from the trapper’s power.

    ตตฺร, ภิกฺขเว, ตติยา มิคชาตา เอวํ สมจินฺเตสุํ: ‘เย โข เต ปฐมา มิคชาตา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส …เป… เอวญฺหิ เต ปฐมา มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ เยปิ เต ทุติยา มิคชาตา เอวํ สมจินฺเตสุํ: “เย โข เต ปฐมา มิคชาตา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส …เป… เอวญฺหิ เต ปฐมา มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ สพฺพโส นิวาปโภชนา ปฏิวิรเมยฺยาม, ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหเรยฺยามา”ติฯ เต สพฺพโส นิวาปโภชนา ปฏิวิรมึสุ, ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหรึสุฯ เตสํ คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ติโณทกสงฺขเย อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺโต กาโย โหติฯ เตสํ อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺตกายานํ พลวีริยํ ปริหายิฯ พลวีริเย ปริหีเน ตเมว นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส ปจฺจาคมึสุฯ เต ตตฺถ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุฯ เต ตตฺถ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา มทํ อาปชฺชึสุ, มตฺตา สมานา ปมาทํ อาปชฺชึสุ, ปมตฺตา สมานา ยถากามกรณียา อเหสุํ เนวาปิกสฺส อมุสฺมึ นิวาเปฯ เอวญฺหิ เต ทุติยาปิ มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส อุปนิสฺสาย อาสยํ กปฺเปยฺยามฯ ตตฺราสยํ กปฺเปตฺวา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชิสฺสาม, อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา น มทํ อาปชฺชิสฺสาม, อมตฺตา สมานา น ปมาทํ อาปชฺชิสฺสาม, อปฺปมตฺตา สมานา น ยถากามกรณียา ภวิสฺสาม เนวาปิกสฺส อมุสฺมึ นิวาเป'ติฯ เต อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส อุปนิสฺสาย อาสยํ กปฺปยึสุฯ ตตฺราสยํ กปฺเปตฺวา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุ, เต ตตฺถ อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา น มทํ อาปชฺชึสุ, อมตฺตา สมานา น ปมาทํ อาปชฺชึสุ, อปฺปมตฺตา สมานา น ยถากามกรณียา อเหสุํ เนวาปิกสฺส อมุสฺมึ นิวาเปฯ

    So then a third herd of deer thought up a plan, ‘The first … and second herds of deer … failed to get free of the trapper’s power. Why don’t we set up our lair close by the place where the trapper has cast the bait? Then we can intrude on it and enjoy eating without being reckless. We won’t become indulgent, then we won’t become negligent, and then the trapper won’t be able to do what he wants with us on account of that bait.’ And that’s just what they did.

    ตตฺร, ภิกฺขเว, เนวาปิกสฺส จ เนวาปิกปริสาย จ เอตทโหสิ: ‘สฐาสฺสุนามิเม ตติยา มิคชาตา เกตพิโน, อิทฺธิมนฺตาสฺสุนามิเม ตติยา มิคชาตา ปรชนา; อิมญฺจ นาม นิวาปํ นิวุตฺตํ ปริภุญฺชนฺติ, น จ เนสํ ชานาม อาคตึ วา คตึ วาฯ ยนฺนูน มยํ อิมํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มหตีหิ ทณฺฑวากราหิ สมนฺตา สปฺปเทสํ อนุปริวาเรยฺยาม, อปฺเปว นาม ตติยานํ มิคชาตานํ อาสยํ ปเสฺสยฺยาม, ยตฺถ เต คาหํ คจฺเฉยฺยุนฺ'ติฯ เต อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มหตีหิ ทณฺฑวากราหิ สมนฺตา สปฺปเทสํ อนุปริวาเรสุํฯ อทฺทสํสุ โข, ภิกฺขเว, เนวาปิโก จ เนวาปิกปริสา จ ตติยานํ มิคชาตานํ อาสยํ, ยตฺถ เต คาหํ อคมํสุฯ เอวญฺหิ เต, ภิกฺขเว, ตติยาปิ มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ

    So the trapper and his companions thought, ‘Wow, this third herd of deer is so sneaky and devious, they must be some kind of unnatural spirits with psychic power! For they eat the bait we’ve cast without us knowing how they come and go. Why don’t we surround the bait on all sides by staking out high nets? Hopefully we might get to see their lair, where they go to hide out.’ And that’s just what they did. And they saw where the third herd of deer had their lair, where they went to hide out. And that’s how the third herd failed to get free from the trapper’s power.

    ตตฺร, ภิกฺขเว, จตุตฺถา มิคชาตา เอวํ สมจินฺเตสุํ: ‘เย โข เต ปฐมา มิคชาตา …เป… เอวญฺหิ เต ปฐมา มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ เยปิ เต ทุติยา มิคชาตา เอวํ สมจินฺเตสุํ: “เย โข เต ปฐมา มิคชาตา …เป… เอวญฺหิ เต ปฐมา มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ สพฺพโส นิวาปโภชนา ปฏิวิรเมยฺยาม, ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหเรยฺยามา”ติฯ เต สพฺพโส นิวาปโภชนา ปฏิวิรมึสุ …เป… เอวญฺหิ เต ทุติยาปิ มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ เยปิ เต ตติยา มิคชาตา เอวํ สมจินฺเตสุํ: “เย โข เต ปฐมา มิคชาตา …เป… เอวญฺหิ เต ปฐมา มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ เยปิ เต ทุติยา มิคชาตา เอวํ สมจินฺเตสุํ: ‘เย โข เต ปฐมา มิคชาตา …เป… เอวญฺหิ เต ปฐมา มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ สพฺพโส นิวาปโภชนา ปฏิวิรเมยฺยาม, ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหเรยฺยามา'ติฯ เต สพฺพโส นิวาปโภชนา ปฏิวิรมึสุ …เป… เอวญฺหิ เต ทุติยาปิ มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส อุปนิสฺสาย อาสยํ กปฺเปยฺยาม, ตตฺราสยํ กปฺเปตฺวา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชิสฺสาม, อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา น มทํ อาปชฺชิสฺสาม, อมตฺตา สมานา น ปมาทํ อาปชฺชิสฺสาม, อปฺปมตฺตา สมานา น ยถากามกรณียา ภวิสฺสาม เนวาปิกสฺส อมุสฺมึ นิวาเป”ติฯ เต อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส อุปนิสฺสาย อาสยํ กปฺปยึสุ, ตตฺราสยํ กปฺเปตฺวา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุ, เต ตตฺถ อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา น มทํ อาปชฺชึสุ, อมตฺตา สมานา น ปมาทํ อาปชฺชึสุ, อปฺปมตฺตา สมานา น ยถากามกรณียา อเหสุํ เนวาปิกสฺส อมุสฺมึ นิวาเปฯ ตตฺร เนวาปิกสฺส จ เนวาปิกปริสาย จ เอตทโหสิ: “สฐาสฺสุนามิเม ตติยา มิคชาตา เกตพิโน, อิทฺธิมนฺตาสฺสุนามิเม ตติยา มิคชาตา ปรชนา, อิมญฺจ นาม นิวาปํ นิวุตฺตํ ปริภุญฺชนฺติฯ น จ เนสํ ชานาม อาคตึ วา คตึ วาฯ ยนฺนูน มยํ อิมํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มหตีหิ ทณฺฑวากราหิ สมนฺตา สปฺปเทสํ อนุปริวาเรยฺยาม, อปฺเปว นาม ตติยานํ มิคชาตานํ อาสยํ ปเสฺสยฺยาม, ยตฺถ เต คาหํ คจฺเฉยฺยุนฺ”ติฯ เต อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มหตีหิ ทณฺฑวากราหิ สมนฺตา สปฺปเทสํ อนุปริวาเรสุํฯ อทฺทสํสุ โข เนวาปิโก จ เนวาปิกปริสา จ ตติยานํ มิคชาตานํ อาสยํ, ยตฺถ เต คาหํ อคมํสุฯ เอวญฺหิ เต ตติยาปิ มิคชาตา น ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ ยตฺถ อคติ เนวาปิกสฺส จ เนวาปิกปริสาย จ ตตฺราสยํ กปฺเปยฺยาม, ตตฺราสยํ กปฺเปตฺวา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชิสฺสาม, อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา น มทํ อาปชฺชิสฺสาม, อมตฺตา สมานา น ปมาทํ อาปชฺชิสฺสาม, อปฺปมตฺตา สมานา น ยถากามกรณียา ภวิสฺสาม เนวาปิกสฺส อมุสฺมึ นิวาเป'ติฯ เต ยตฺถ อคติ เนวาปิกสฺส จ เนวาปิกปริสาย จ ตตฺราสยํ กปฺปยึสุฯ ตตฺราสยํ กปฺเปตฺวา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ เนวาปิกสฺส อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุ, เต ตตฺถ อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา น มทํ อาปชฺชึสุ, อมตฺตา สมานา น ปมาทํ อาปชฺชึสุ, อปฺปมตฺตา สมานา น ยถากามกรณียา อเหสุํ เนวาปิกสฺส อมุสฺมึ นิวาเปฯ

    So then a fourth herd of deer thought up a plan, ‘The first … second … and third herds of deer … failed to get free of the trapper’s power. Why don’t we set up our lair somewhere the trapper and his companions can’t go? Then we can intrude on where the trapper has cast the bait and enjoy eating it without being reckless. We won’t become indulgent, then we won’t become negligent, and then the trapper won’t be able to do with them what he wants on account of that bait.’ And that’s just what they did.

    ตตฺร, ภิกฺขเว, เนวาปิกสฺส จ เนวาปิกปริสาย จ เอตทโหสิ: ‘สฐาสฺสุนามิเม จตุตฺถา มิคชาตา เกตพิโน, อิทฺธิมนฺตาสฺสุนามิเม จตุตฺถา มิคชาตา ปรชนาฯ อิมญฺจ นาม นิวาปํ นิวุตฺตํ ปริภุญฺชนฺติ, น จ เนสํ ชานาม อาคตึ วา คตึ วาฯ ยนฺนูน มยํ อิมํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มหตีหิ ทณฺฑวากราหิ สมนฺตา สปฺปเทสํ อนุปริวาเรยฺยาม, อปฺเปว นาม จตุตฺถานํ มิคชาตานํ อาสยํ ปเสฺสยฺยาม ยตฺถ เต คาหํ คจฺเฉยฺยุนฺ'ติฯ เต อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มหตีหิ ทณฺฑวากราหิ สมนฺตา สปฺปเทสํ อนุปริวาเรสุํฯ เนว โข, ภิกฺขเว, อทฺทสํสุ เนวาปิโก จ เนวาปิกปริสา จ จตุตฺถานํ มิคชาตานํ อาสยํ, ยตฺถ เต คาหํ คจฺเฉยฺยุํฯ ตตฺร, ภิกฺขเว, เนวาปิกสฺส จ เนวาปิกปริสาย จ เอตทโหสิ: ‘สเจ โข มยํ จตุตฺเถ มิคชาเต ฆฏฺเฏสฺสาม, เต ฆฏฺฏิตา อญฺเญ ฆฏฺฏิสฺสนฺติ เต ฆฏฺฏิตา อญฺเญ ฆฏฺฏิสฺสนฺติฯ เอวํ อิมํ นิวาปํ นิวุตฺตํ สพฺพโส มิคชาตา ปริมุญฺจิสฺสนฺติฯ ยนฺนูน มยํ จตุตฺเถ มิคชาเต อชฺฌุเปกฺเขยฺยามา'ติฯ อชฺฌุเปกฺขึสุ โข, ภิกฺขเว, เนวาปิโก จ เนวาปิกปริสา จ จตุตฺเถ มิคชาเตฯ เอวญฺหิ เต, ภิกฺขเว, จตุตฺถา มิคชาตา ปริมุจฺจึสุ เนวาปิกสฺส อิทฺธานุภาวาฯ

    So the trapper and his companions thought, ‘Wow, this fourth herd of deer is so sneaky and devious, they must be some kind of unnatural spirits with psychic power! For they eat the bait we’ve cast without us knowing how they come and go. Why don’t we surround the bait on all sides by staking out high nets? Hopefully we might get to see their lair, where they go to hide out.’ And that’s just what they did. But they couldn’t see where the fourth herd of deer had their lair, where they went to hide out. So the trapper and his companions thought, ‘If we disturb this fourth herd of deer, they’ll disturb others, who in turn will disturb even more. Then all of the deer will be free from this bait we’ve cast. Why don’t we just keep an eye on that fourth herd?’ And that’s just what they did. And that’s how the fourth herd of deer got free from the trapper’s power.

    อุปมา โข เม อยํ, ภิกฺขเว, กตา อตฺถสฺส วิญฺญาปนายฯ อยํ เจเวตฺถ อตฺโถ—

    I’ve made up this simile to make a point. And this is what it means.

    นิวาโปติ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจนฺเนตํ กามคุณานํ อธิวจนํฯ

    ‘Bait’ is a term for the five kinds of sensual stimulation.

    เนวาปิโกติ โข, ภิกฺขเว, มารเสฺสตํ ปาปิมโต อธิวจนํฯ

    ‘Trapper’ is a term for Māra the Wicked.

    เนวาปิกปริสาติ โข, ภิกฺขเว, มารปริสาเยตํ อธิวจนํฯ

    ‘Trapper’s companions’ is a term for Māra’s assembly.

    มิคชาตาติ โข, ภิกฺขเว, สมณพฺราหฺมณานเมตํ อธิวจนํฯ

    ‘Deer’ is a term for ascetics and brahmins.

    ตตฺร, ภิกฺขเว, ปฐมา สมณพฺราหฺมณา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุฯ เต ตตฺถ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา มทํ อาปชฺชึสุ, มตฺตา สมานา ปมาทํ อาปชฺชึสุ, ปมตฺตา สมานา ยถากามกรณียา อเหสุํ มารสฺส อมุสฺมึ นิวาเป อมุสฺมิญฺจ โลกามิเสฯ เอวญฺหิ เต, ภิกฺขเว, ปฐมา สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ เสยฺยถาปิ เต, ภิกฺขเว, ปฐมา มิคชาตา ตถูปเม อหํ อิเม ปฐเม สมณพฺราหฺมเณ วทามิฯ

    Now, the first group of ascetics and brahmins intruded on where the bait and the worldly pleasures of the flesh were cast by Māra and recklessly enjoyed eating it. They became indulgent, then they became negligent, and then Māra was able to do what he wanted with them on account of that bait and the worldly pleasures of the flesh. And that’s how the first group of ascetics and brahmins failed to get free from Māra’s power. This first group of ascetics and brahmins is just like the first herd of deer, I say.

    ตตฺร, ภิกฺขเว, ทุติยา สมณพฺราหฺมณา เอวํ สมจินฺเตสุํ: ‘เย โข เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุฯ เต ตตฺถ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา มทํ อาปชฺชึสุ, มตฺตา สมานา ปมาทํ อาปชฺชึสุ, ปมตฺตา สมานา ยถากามกรณียา อเหสุํ มารสฺส อมุสฺมึ นิวาเป อมุสฺมิญฺจ โลกามิเสฯ เอวญฺหิ เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ สพฺพโส นิวาปโภชนา โลกามิสา ปฏิวิรเมยฺยาม, ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหเรยฺยามา'ติฯ เต สพฺพโส นิวาปโภชนา โลกามิสา ปฏิวิรมึสุ, ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหเรยฺยามาติฯ เต สพฺพโส นิวาปโภชนา โลกามิสา ปฏิวิรมึสุ, ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหรึสุฯ เต ตตฺถ สากภกฺขาปิ อเหสุํ, สามากภกฺขาปิ อเหสุํ, นีวารภกฺขาปิ อเหสุํ, ททฺทุลภกฺขาปิ อเหสุํ, หฏภกฺขาปิ อเหสุํ, กณภกฺขาปิ อเหสุํ, อาจามภกฺขาปิ อเหสุํ, ปิญฺญากภกฺขาปิ อเหสุํ, ติณภกฺขาปิ อเหสุํ, โคมยภกฺขาปิ อเหสุํ, วนมูลผลาหารา ยาเปสุํ ปวตฺตผลโภชีฯ

    So then a second group of ascetics and brahmins thought up a plan, ‘The first group of ascetics and brahmins became indulgent … and failed to get free of Māra’s power. Why don’t we avoid eating the bait and the worldly pleasures of the flesh altogether? Avoiding dangerous food, we can venture deep into a wilderness region and live there.’ And that’s just what they did. They ate herbs, millet, wild rice, poor rice, water lettuce, rice bran, scum from boiling rice, sesame flour, grass, or cow dung. They survived on forest roots and fruits, or eating fallen fruit.

    เตสํ คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส, ติโณทกสงฺขเย, อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺโต กาโย โหติฯ เตสํ อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺตกายานํ พลวีริยํ ปริหายิฯ พลวีริเย ปริหีเน เจโตวิมุตฺติ ปริหายิฯ เจโตวิมุตฺติยา ปริหีนาย ตเมว นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส ปจฺจาคมึสุ ตานิ จ โลกามิสานิฯ เต ตตฺถ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุฯ เต ตตฺถ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา มทํ อาปชฺชึสุ, มตฺตา สมานา ปมาทํ อาปชฺชึสุ, ปมตฺตา สมานา ยถากามกรณียา อเหสุํ มารสฺส อมุสฺมึ นิวาเป อมุสฺมิญฺจ โลกามิเสฯ เอวญฺหิ เต, ภิกฺขเว, ทุติยาปิ สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ เสยฺยถาปิ เต, ภิกฺขเว, ทุติยา มิคชาตา ตถูปเม อหํ อิเม ทุติเย สมณพฺราหฺมเณ วทามิฯ

    But when it came to the last month of summer, the grass and water ran out. Their bodies became much too thin, and they lost their strength and energy. Because of this, they lost their heart’s release, so they went back to that same place where Māra had cast the bait and the worldly pleasures of the flesh. Intruding on that place, they recklessly enjoyed eating them … And that’s how the second group of ascetics and brahmins failed to get free from Māra’s power. This second group of ascetics and brahmins is just like the second herd of deer, I say.

    ตตฺร, ภิกฺขเว, ตติยา สมณพฺราหฺมณา เอวํ สมจินฺเตสุํ: ‘เย โข เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ …เป…ฯ เอวญฺหิ เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ เยปิ เต ทุติยา สมณพฺราหฺมณา เอวํ สมจินฺเตสุํ: “เย โข เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ …เป…ฯ เอวญฺหิ เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ สพฺพโส นิวาปโภชนา โลกามิสา ปฏิวิรเมยฺยาม, ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหเรยฺยามา”ติฯ เต สพฺพโส นิวาปโภชนา โลกามิสา ปฏิวิรมึสุฯ ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหรึสุฯ เต ตตฺถ สากภกฺขาปิ อเหสุํ …เป… ปวตฺตผลโภชีฯ เตสํ คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ติโณทกสงฺขเย อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺโต กาโย โหติฯ เตสํ อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺตกายานํ พลวีริยํ ปริหายิ, พลวีริเย ปริหีเน เจโตวิมุตฺติ ปริหายิ, เจโตวิมุตฺติยา ปริหีนาย ตเมว นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส ปจฺจาคมึสุ ตานิ จ โลกามิสานิฯ เต ตตฺถ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุฯ เต ตตฺถ อนุปขชฺช มุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา มทํ อาปชฺชึสุ, มตฺตา สมานา ปมาทํ อาปชฺชึสุ, ปมตฺตา สมานา ยถากามกรณียา อเหสุํ มารสฺส อมุสฺมึ นิวาเป อมุสฺมิญฺจ โลกามิเสฯ เอวญฺหิ เต ทุติยาปิ สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ อุปนิสฺสาย อาสยํ กปฺเปยฺยาม, ตตฺราสยํ กปฺเปตฺวา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชิสฺสาม, อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา น มทํ อาปชฺชิสฺสาม, อมตฺตา สมานา น ปมาทํ อาปชฺชิสฺสาม, อปฺปมตฺตา สมานา น ยถากามกรณียา ภวิสฺสาม มารสฺส อมุสฺมึ นิวาเป อมุสฺมิญฺจ โลกามิเส'ติฯ

    So then a third group of ascetics and brahmins thought up a plan, ‘The first … and second groups of ascetics and brahmins … failed to get free of Māra’s power. Why don’t we set up our lair close by the place where Māra has cast the bait and those worldly pleasures of the flesh? Then we can intrude on it and enjoy eating without being reckless. We won’t become indulgent, then we won’t become negligent, and then Māra won’t be able to do what he wants with us on account of that bait and those worldly pleasures of the flesh.’

    เต อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ อุปนิสฺสาย อาสยํ กปฺปยึสุฯ ตตฺราสยํ กปฺเปตฺวา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุฯ เต ตตฺถ อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา น มทํ อาปชฺชึสุ, อมตฺตา สมานา น ปมาทํ อาปชฺชึสุ, อปฺปมตฺตา สมานา น ยถากามกรณียา อเหสุํ มารสฺส อมุสฺมึ นิวาเป อมุสฺมิญฺจ โลกามิเสฯ อปิ จ โข เอวํทิฏฺฐิกา อเหสุํ—สสฺสโต โลโก อิติปิ, อสสฺสโต โลโก อิติปิ; อนฺตวา โลโก อิติปิ, อนนฺตวา โลโก อิติปิ; ตํ ชีวํ ตํ สรีรํ อิติปิ, อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีรํ อิติปิ; โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา อิติปิ, น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา อิติปิ, โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา อิติปิ, เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา อิติปิฯ เอวญฺหิ เต, ภิกฺขเว, ตติยาปิ สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ เสยฺยถาปิ เต, ภิกฺขเว, ตติยา มิคชาตา ตถูปเม อหํ อิเม ตติเย สมณพฺราหฺมเณ วทามิฯ

    And that’s just what they did. Still, they had such views as these: ‘The cosmos is eternal’ or ‘The cosmos is not eternal’; ‘The world is finite’ or ‘The world is infinite’; ‘The soul and the body are the same thing’ or ‘The soul and the body are different things’; or that after death, a Realized One still exists, or no longer exists, or both still exists and no longer exists, or neither still exists nor no longer exists. And that’s how the third group of ascetics and brahmins failed to get free from Māra’s power. This third group of ascetics and brahmins is just like the third herd of deer, I say.

    ตตฺร, ภิกฺขเว, จตุตฺถา สมณพฺราหฺมณา เอวํ สมจินฺเตสุํ: ‘เย โข เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส …เป…ฯ เอวญฺหิ เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ เยปิ เต ทุติยา สมณพฺราหฺมณา เอวํ สมจินฺเตสุํ: ‘เย โข เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา …เป…ฯ เอวญฺหิ เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ สพฺพโส นิวาปโภชนา โลกามิสา ปฏิวิรเมยฺยาม ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหเรยฺยามา'ติฯ เต สพฺพโส นิวาปโภชนา โลกามิสา ปฏิวิรมึสุ …เป…ฯ เอวญฺหิ เต ทุติยาปิ สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ เยปิ เต ตติยา สมณพฺราหฺมณา เอวํ สมจินฺเตสุํ เย โข เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา …เป…ฯ เอวญฺหิ เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ เยปิ เต ทุติยา สมณพฺราหฺมณา เอวํ สมจินฺเตสุํ เย โข เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา …เป…ฯ เอวญฺหิ เต ปฐมา สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ สพฺพโส นิวาปโภชนา โลกามิสา ปฏิวิรเมยฺยาม, ภยโภคา ปฏิวิรตา อรญฺญายตนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหเรยฺยามา'ติฯ เต สพฺพโส นิวาปโภชนา โลกามิสา ปฏิวิรมึสุ …เป…ฯ เอวญฺหิ เต ทุติยาปิ สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ อุปนิสฺสาย อาสยํ กปฺเปยฺยามฯ ตตฺราสยํ กปฺเปตฺวา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชิสฺสาม, อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา น มทํ อาปชฺชิสฺสาม, อมตฺตา สมานา น ปมาทํ อาปชฺชิสฺสาม, อปฺปมตฺตา สมานา น ยถากามกรณียา ภวิสฺสาม มารสฺส อมุสฺมึ นิวาเป อมุสฺมิญฺจ โลกามิเสติฯ เต อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ อุปนิสฺสาย อาสยํ กปฺปยึสุฯ ตตฺราสยํ กปฺเปตฺวา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุฯ เต ตตฺถ อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา น มทํ อาปชฺชึสุฯ อมตฺตา สมานา น ปมาทํ อาปชฺชึสุฯ อปฺปมตฺตา สมานา น ยถากามกรณียา อเหสุํ มารสฺส อมุสฺมึ นิวาเป อมุสฺมิญฺจ โลกามิเสฯ อปิ จ โข เอวํทิฏฺฐิกา อเหสุํ สสฺสโต โลโก อิติปิ …เป… เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา อิติปิฯ เอวญฺหิ เต ตติยาปิ สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ ยนฺนูน มยํ ยตฺถ อคติ มารสฺส จ มารปริสาย จ ตตฺราสยํ กปฺเปยฺยามฯ ตตฺราสยํ กปฺเปตฺวา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชิสฺสาม, อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา น มทํ อาปชฺชิสฺสาม, อมตฺตา สมานา น ปมาทํ อาปชฺชิสฺสาม, อปฺปมตฺตา สมานา น ยถากามกรณียา ภวิสฺสาม มารสฺส อมุสฺมึ นิวาเป อมุสฺมิญฺจ โลกามิเสติฯ

    So then a fourth group of ascetics and brahmins thought up a plan, ‘The first … second … and third groups of ascetics and brahmins … failed to get free of Māra’s power. Why don’t we set up our lair somewhere Māra and his assembly can’t go? Then we can intrude on where Māra has cast the bait and those worldly pleasures of the flesh, and enjoy eating without being reckless. We won’t become indulgent, then we won’t become negligent, and then Māra won’t be able to do what he wants with us on account of that bait and those worldly pleasures of the flesh.’

    เต ยตฺถ อคติ มารสฺส จ มารปริสาย จ ตตฺราสยํ กปฺปยึสุฯ ตตฺราสยํ กปฺเปตฺวา อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานิ อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชึสุ, เต ตตฺถ อนนุปขชฺช อมุจฺฉิตา โภชนานิ ภุญฺชมานา น มทํ อาปชฺชึสุ, อมตฺตา สมานา น ปมาทํ อาปชฺชึสุ, อปฺปมตฺตา สมานา น ยถากามกรณียา อเหสุํ มารสฺส อมุสฺมึ นิวาเป อมุสฺมิญฺจ โลกามิเสฯ เอวญฺหิ เต, ภิกฺขเว, จตุตฺถา สมณพฺราหฺมณา ปริมุจฺจึสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาฯ เสยฺยถาปิ เต, ภิกฺขเว, จตุตฺถา มิคชาตา ตถูปเม อหํ อิเม จตุตฺเถ สมณพฺราหฺมเณ วทามิฯ

    And that’s just what they did. And that’s how the fourth group of ascetics and brahmins got free from Māra’s power. This fourth group of ascetics and brahmins is just like the fourth herd of deer, I say.

    กถญฺจ, ภิกฺขเว, อคติ มารสฺส จ มารปริสาย จ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อนฺธมกาสิ มารํ, อปทํ วธิตฺวา มารจกฺขุํ อทสฺสนํ คโต ปาปิมโตฯ

    And where is it that Māra and his assembly can’t go? It’s when a bhikkhu, quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, enters and remains in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. This is called a bhikkhu who has blinded Māra, put out his eyes without a trace, and gone where the Wicked One cannot see.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, as the placing of the mind and keeping it connected are stilled, a bhikkhu enters and remains in the second jhāna, which has the rapture and bliss born of immersion, with internal clarity and mind at one, without placing the mind and keeping it connected. This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ สโต จ สมฺปชาโน, สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทติ ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี'ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, with the fading away of rapture, a bhikkhu enters and remains in the third jhāna, where they meditate with equanimity, mindful and aware, personally experiencing the bliss of which the noble ones declare, ‘Equanimous and mindful, one meditates in bliss.’ This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา, ปุพฺเพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา, อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, giving up pleasure and pain, and ending former happiness and sadness, a bhikkhu enters and remains in the fourth jhāna, without pleasure or pain, with pure equanimity and mindfulness. This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนนฺโต อากาโส'ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond perceptions of form, with the ending of perceptions of impingement, not focusing on perceptions of diversity, aware that ‘space is infinite’, enters and remains in the dimension of infinite space. This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณนฺ'ติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond the dimension of infinite space, aware that ‘consciousness is infinite’, enters and remains in the dimension of infinite consciousness. This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี'ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond the dimension of infinite consciousness, aware that ‘there is nothing at all’, enters and remains in the dimension of nothingness. This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond the dimension of nothingness, enters and remains in the dimension of neither perception nor non-perception. This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อนฺธมกาสิ มารํ, อปทํ วธิตฺวา มารจกฺขุํ อทสฺสนํ คโต ปาปิมโต ติณฺโณ โลเก วิสตฺติกนฺ”ติฯ

    Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond the dimension of neither perception nor non-perception, enters and remains in the cessation of perception and feeling. And, having seen with wisdom, their defilements come to an end. This is called a bhikkhu who has blinded Māra, put out his eyes without a trace, and gone where the Wicked One cannot see. And they’ve crossed over clinging to the world.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ

    That is what the Buddha said. Satisfied, the bhikkhus approved what the Buddha said.

    นิวาปสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ปญฺจมํฯ





    The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact