Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๕. นิวาปสุตฺตวณฺณนา

    5. Nivāpasuttavaṇṇanā

    ๒๖๑. เอวํ เม สุตนฺติ นิวาปสุตฺตํฯ ตตฺถ เนวาปิโกติ โย มิคานํ คหณตฺถาย อรเญฺญ ติณพีชานิ วปติ ‘‘อิทํ ติณํ ขาทิตุํ อาคเต มิเค สุขํ คณฺหิสฺสามี’’ติฯ นิวาปนฺติ วปฺปํฯ นิวุตฺตนฺติ วปิตํฯ มิคชาตาติ มิคฆฎาฯ อนุปขชฺชาติ อนุปวิสิตฺวาฯ มุจฺฉิตาติ ตณฺหามุจฺฉนาย มุจฺฉิตา, ตณฺหาย หทยํ ปวิสิตฺวา มุจฺฉนาการํ ปาปิตาติ อโตฺถฯ มทํ อาปชฺชิสฺสนฺตีติ มานมทํ อาปชฺชิสฺสนฺติฯ ปมาทนฺติ วิสฺสฎฺฐสติภาวํฯ ยถากามกรณียา ภวิสฺสนฺตีติ ยถา อิจฺฉิสฺสาม, ตถา กาตพฺพา ภวิสฺสนฺติฯ อิมสฺมิํ นิวาเปติ อิมสฺมิํ นิวาปฎฺฐาเนฯ เอกํ กิร นิวาปติณํ นาม อตฺถิ นิทาฆภทฺทกํ, ตํ ยถา ยถา นิทาโฆ โหติ, ตถา ตถา นีวารวนํ วิย เมฆมาลา วิย จ เอกคฺฆนํ โหติ, ตํ ลุทฺทกา เอกสฺมิํ อุทกผาสุกฎฺฐาเน กสิตฺวา วปิตฺวา วติํ กตฺวา ทฺวารํ โยเชตฺวา รกฺขนฺติฯ อถ ยทา มหานิทาเฆ สพฺพติณานิ สุกฺขานิ โหนฺติ, ชิวฺหาเตมนมตฺตมฺปิ อุทกํ ทุลฺลภํ โหติ, ตทา มิคชาตา สุกฺขติณานิ เจว ปุราณปณฺณานิ จ ขาทนฺตา กมฺปมานา วิย วิจรนฺตา นิวาปติณสฺส คนฺธํ ฆายิตฺวา วธพนฺธนาทีนิ อคณยิตฺวา วติํ อโชฺฌตฺถรนฺตา ปวิสนฺติฯ เตสญฺหิ นิวาปติณํ อติวิย ปิยํ โหติ มนาปํฯ เนวาปิโก เต ทิสฺวา เทฺว ตีณิ ทิวสานิ ปมโตฺต วิย โหติ, ทฺวารํ วิวริตฺวา ติฎฺฐติฯ อโนฺตนิวาปฎฺฐาเน ตหิํ ตหิํ อุทกอาวาฎกาปิ โหนฺติ, มิคา วิวฎทฺวาเรน ปวิสิตฺวา ขาทิตมตฺตกํ ปิวิตมตฺตกเมว กตฺวา ปกฺกมนฺติ, ปุนทิวเส กิญฺจิ น กโรนฺตีติ กเณฺณ จาลยมานา ขาทิตฺวา ปิวิตฺวา อตรมานา คจฺฉนฺติ, ปุนทิวเส โกจิ กิญฺจิ กตฺตา นตฺถีติ ยาวทตฺถํ ขาทิตฺวา ปิวิตฺวา มณฺฑลคุมฺพํ ปวิสิตฺวา นิปชฺชนฺติฯ ลุทฺทกา เตสํ ปมตฺตภาวํ ชานิตฺวา ทฺวารํ ปิธาย สมฺปริวาเรตฺวา โกฎิโต ปฎฺฐาย โกเฎฺฎตฺวา คจฺฉนฺติ, เอวํ เต ตสฺมิํ นิวาเป เนวาปิกสฺส ยถากามกรณียา ภวนฺติฯ

    261.Evaṃme sutanti nivāpasuttaṃ. Tattha nevāpikoti yo migānaṃ gahaṇatthāya araññe tiṇabījāni vapati ‘‘idaṃ tiṇaṃ khādituṃ āgate mige sukhaṃ gaṇhissāmī’’ti. Nivāpanti vappaṃ. Nivuttanti vapitaṃ. Migajātāti migaghaṭā. Anupakhajjāti anupavisitvā. Mucchitāti taṇhāmucchanāya mucchitā, taṇhāya hadayaṃ pavisitvā mucchanākāraṃ pāpitāti attho. Madaṃ āpajjissantīti mānamadaṃ āpajjissanti. Pamādanti vissaṭṭhasatibhāvaṃ. Yathākāmakaraṇīyā bhavissantīti yathā icchissāma, tathā kātabbā bhavissanti. Imasmiṃ nivāpeti imasmiṃ nivāpaṭṭhāne. Ekaṃ kira nivāpatiṇaṃ nāma atthi nidāghabhaddakaṃ, taṃ yathā yathā nidāgho hoti, tathā tathā nīvāravanaṃ viya meghamālā viya ca ekagghanaṃ hoti, taṃ luddakā ekasmiṃ udakaphāsukaṭṭhāne kasitvā vapitvā vatiṃ katvā dvāraṃ yojetvā rakkhanti. Atha yadā mahānidāghe sabbatiṇāni sukkhāni honti, jivhātemanamattampi udakaṃ dullabhaṃ hoti, tadā migajātā sukkhatiṇāni ceva purāṇapaṇṇāni ca khādantā kampamānā viya vicarantā nivāpatiṇassa gandhaṃ ghāyitvā vadhabandhanādīni agaṇayitvā vatiṃ ajjhottharantā pavisanti. Tesañhi nivāpatiṇaṃ ativiya piyaṃ hoti manāpaṃ. Nevāpiko te disvā dve tīṇi divasāni pamatto viya hoti, dvāraṃ vivaritvā tiṭṭhati. Antonivāpaṭṭhāne tahiṃ tahiṃ udakaāvāṭakāpi honti, migā vivaṭadvārena pavisitvā khāditamattakaṃ pivitamattakameva katvā pakkamanti, punadivase kiñci na karontīti kaṇṇe cālayamānā khāditvā pivitvā ataramānā gacchanti, punadivase koci kiñci kattā natthīti yāvadatthaṃ khāditvā pivitvā maṇḍalagumbaṃ pavisitvā nipajjanti. Luddakā tesaṃ pamattabhāvaṃ jānitvā dvāraṃ pidhāya samparivāretvā koṭito paṭṭhāya koṭṭetvā gacchanti, evaṃ te tasmiṃ nivāpe nevāpikassa yathākāmakaraṇīyā bhavanti.

    ๒๖๒. ตตฺร, ภิกฺขเวติ, ภิกฺขเว, เตสุ มิคชาเตสุฯ ปฐมา มิคชาตาติ, มิคชาตา ปฐมทุติยา นาม นตฺถิฯ ภควา ปน อาคตปฎิปาฎิวเสน กเปฺปตฺวา ปฐมา, ทุติยา, ตติยา , จตุตฺถาติ นามํ อาโรเปตฺวา ทเสฺสสิฯ อิทฺธานุภาวาติ ยถากามํ กตฺตพฺพภาวโต; วสีภาโวเยว หิ เอตฺถ อิทฺธีติ จ อานุภาโวติ จ อธิเปฺปโตฯ

    262.Tatra, bhikkhaveti, bhikkhave, tesu migajātesu. Paṭhamā migajātāti, migajātā paṭhamadutiyā nāma natthi. Bhagavā pana āgatapaṭipāṭivasena kappetvā paṭhamā, dutiyā, tatiyā , catutthāti nāmaṃ āropetvā dassesi. Iddhānubhāvāti yathākāmaṃ kattabbabhāvato; vasībhāvoyeva hi ettha iddhīti ca ānubhāvoti ca adhippeto.

    ๒๖๓. ภยโภคาติ ภเยน โภคโตฯ พลวีริยนฺติ อปราปรํ สญฺจรณวาโยธาตุ, สา ปริหายีติ อโตฺถฯ

    263.Bhayabhogāti bhayena bhogato. Balavīriyanti aparāparaṃ sañcaraṇavāyodhātu, sā parihāyīti attho.

    ๒๖๔. อุปนิสฺสาย อาสยํ กเปฺปยฺยามาติ อโนฺต นิปชฺชิตฺวา ขาทนฺตานมฺปิ ภยเมว, พาหิรโต อาคนฺตฺวา ขาทนฺตานมฺปิ ภยเมว, มยํ ปน อมุํ นิวาปฎฺฐานํ นิสฺสาย เอกมเนฺต อาสยํ กเปฺปยฺยามาติ จินฺตยิํสุฯ อุปนิสฺสาย อาสยํ กปฺปยิํสูติ ลุทฺทกา นาม น สพฺพกาลํ อปฺปมตฺตา โหนฺติฯ มยํ ตตฺถ ตตฺถ มณฺฑลคุเมฺพสุ เจว วติปาเทสุ จ นิปชฺชิตฺวา เอเตสุ มุขโธวนตฺถํ วา อาหารกิจฺจกรณตฺถํ วา ปกฺกเนฺตสุ นิวาปวตฺถุํ ปวิสิตฺวา ขาทิตมตฺตํ กตฺวา อมฺหากํ วสนฎฺฐานํ ปวิสิสฺสามาติ นิวาปวตฺถุํ อุปนิสฺสาย คหเนสุ คุมฺพวติปาทาทีสุ อาสยํ กปฺปยิํสุฯ ภุญฺชิํสูติ วุตฺตนเยน ลุทฺทกานํ ปมาทกาลํ ญตฺวา สีฆํ สีฆํ ปวิสิตฺวา ภุญฺชิํสุฯ เกตพิโนติ สิกฺขิตเกราฎิกาฯ อิทฺธิมนฺตาติ อิทฺธิมโนฺต วิยฯ ปรชนาติ ยกฺขาฯ อิเม น มิคชาตาติฯ อาคติํ วา คติํ วาติ อิมินา นาม ฐาเนน อาคจฺฉนฺติ, อมุตฺร คจฺฉนฺตีติ อิทํ เนสํ น ชานามฯ ทณฺฑวากราหีติ ทณฺฑวากรชาเลหิฯ สมนฺตา สปฺปเทสํ อนุปริวาเรสุนฺติ อติมายาวิโน เอเต, น ทูรํ คมิสฺสนฺติ, สนฺติเกเยว นิปนฺนา ภวิสฺสนฺตีติ นิวาปเกฺขตฺตสฺส สมนฺตา สปฺปเทสํ มหนฺตํ โอกาสํ อนุปริวาเรสุํฯ อทฺทสํสูติ เอวํ ปริวาเรตฺวา วากรชาลํ สมนฺตโต จาเลตฺวา โอโลเกนฺตา อทฺทสํสุฯ ยตฺถ เตติ ยสฺมิํ ฐาเน เต คาหํ อคมํสุ, ตํ ฐานํ อทฺทสํสูติ อโตฺถฯ

    264.Upanissāya āsayaṃ kappeyyāmāti anto nipajjitvā khādantānampi bhayameva, bāhirato āgantvā khādantānampi bhayameva, mayaṃ pana amuṃ nivāpaṭṭhānaṃ nissāya ekamante āsayaṃ kappeyyāmāti cintayiṃsu. Upanissāyaāsayaṃ kappayiṃsūti luddakā nāma na sabbakālaṃ appamattā honti. Mayaṃ tattha tattha maṇḍalagumbesu ceva vatipādesu ca nipajjitvā etesu mukhadhovanatthaṃ vā āhārakiccakaraṇatthaṃ vā pakkantesu nivāpavatthuṃ pavisitvā khāditamattaṃ katvā amhākaṃ vasanaṭṭhānaṃ pavisissāmāti nivāpavatthuṃ upanissāya gahanesu gumbavatipādādīsu āsayaṃ kappayiṃsu. Bhuñjiṃsūti vuttanayena luddakānaṃ pamādakālaṃ ñatvā sīghaṃ sīghaṃ pavisitvā bhuñjiṃsu. Ketabinoti sikkhitakerāṭikā. Iddhimantāti iddhimanto viya. Parajanāti yakkhā. Ime na migajātāti. Āgatiṃ vā gatiṃ vāti iminā nāma ṭhānena āgacchanti, amutra gacchantīti idaṃ nesaṃ na jānāma. Daṇḍavākarāhīti daṇḍavākarajālehi. Samantā sappadesaṃ anuparivāresunti atimāyāvino ete, na dūraṃ gamissanti, santikeyeva nipannā bhavissantīti nivāpakkhettassa samantā sappadesaṃ mahantaṃ okāsaṃ anuparivāresuṃ. Addasaṃsūti evaṃ parivāretvā vākarajālaṃ samantato cāletvā olokentā addasaṃsu. Yattha teti yasmiṃ ṭhāne te gāhaṃ agamaṃsu, taṃ ṭhānaṃ addasaṃsūti attho.

    ๒๖๕. ยํนูน มยํ ยตฺถ อคตีติ เต กิร เอวํ จินฺตยิํสุ – ‘‘อโนฺต นิปชฺชิตฺวา อโนฺต ขาทนฺตานมฺปิ ภยเมว, พาหิรโต อาคนฺตฺวา ขาทนฺตานมฺปิ สนฺติเก วสิตฺวา ขาทนฺตานมฺปิ ภยเมว, เตปิ หิ วากรชาเลน ปริกฺขิปิตฺวา คหิตาเยวา’’ติ, เตน เตสํ เอตทโหสิ – ‘‘ยํนูน มยํ ยตฺถ เนวาปิกสฺส จ เนวาปิกปริสาย จ อคติ อวิสโย, ตตฺถ ตตฺถ เสยฺยํ กเปฺปยฺยามา’’ติฯ อเญฺญ ฆเฎฺฎสฺสนฺตีติ ตโต ตโต ทูรตรวาสิโน อเญฺญ ฆเฎฺฎสฺสนฺติฯ เต ฆฎฺฎิตา อเญฺญติ เตปิ ฆฎฺฎิตา อเญฺญ ตโต ทูรตรวาสิโน ฆเฎฺฎสฺสนฺติฯ เอวํ อิมํ นิวาปํ นิวุตฺตํ สพฺพโส มิคชาตา ปริมุจฺจิสฺสนฺตีติ เอวํ อิมํ อเมฺหหิ นิวุตฺตํ นิวาปํ สเพฺพ มิคฆฎา มิคสงฺฆา วิสฺสเชฺชสฺสนฺติ ปริจฺจชิสฺสนฺติฯ อชฺฌุเปเกฺขยฺยามาติ เตสํ คหเณ อพฺยาวฎา ภเวยฺยามาติ; ยถา ตถา อาคจฺฉเนฺตสุ หิ ตรุณโปตโก วา มหลฺลโก วา ทุพฺพโล วา ยูถปริหีโน วา สกฺกา โหนฺติ ลทฺธุํ, อนาคจฺฉเนฺตสุ กิญฺจิ นตฺถิฯ อชฺฌุเปกฺขิํสุ โข, ภิกฺขเวติ เอวํ จิเนฺตตฺวา อพฺยาวฎาว อเหสุํฯ

    265.Yaṃnūna mayaṃ yattha agatīti te kira evaṃ cintayiṃsu – ‘‘anto nipajjitvā anto khādantānampi bhayameva, bāhirato āgantvā khādantānampi santike vasitvā khādantānampi bhayameva, tepi hi vākarajālena parikkhipitvā gahitāyevā’’ti, tena tesaṃ etadahosi – ‘‘yaṃnūna mayaṃ yattha nevāpikassa ca nevāpikaparisāya ca agati avisayo, tattha tattha seyyaṃ kappeyyāmā’’ti. Aññe ghaṭṭessantīti tato tato dūrataravāsino aññe ghaṭṭessanti. Te ghaṭṭitā aññeti tepi ghaṭṭitā aññe tato dūrataravāsino ghaṭṭessanti. Evaṃ imaṃnivāpaṃ nivuttaṃ sabbaso migajātā parimuccissantīti evaṃ imaṃ amhehi nivuttaṃ nivāpaṃ sabbe migaghaṭā migasaṅghā vissajjessanti pariccajissanti. Ajjhupekkheyyāmāti tesaṃ gahaṇe abyāvaṭā bhaveyyāmāti; yathā tathā āgacchantesu hi taruṇapotako vā mahallako vā dubbalo vā yūthaparihīno vā sakkā honti laddhuṃ, anāgacchantesu kiñci natthi. Ajjhupekkhiṃsu kho, bhikkhaveti evaṃ cintetvā abyāvaṭāva ahesuṃ.

    ๒๖๗. อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺส อมูนิ จ โลกามิสานีติ เอตฺถ นิวาโปติ วา โลกามิสานีติ วา วฎฺฎามิสภูตานํ ปญฺจนฺนํ กามคุณานเมตํ อธิวจนํฯ มาโร น จ พีชานิ วิย กามคุเณ วเปโนฺต อาหิณฺฑติ, กามคุณคิทฺธานํ ปน อุปริ วสํ วเตฺตติ, ตสฺมา กามคุณา มารสฺส นิวาปา นาม โหนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อมุํ นิวาปํ นิวุตฺตํ มารสฺสา’’ติฯ น ปริมุจฺจิํสุ มารสฺส อิทฺธานุภาวาติ มารสฺส วสํ คตา อเหสุํ, ยถากามกรณียาฯ อยํ สปุตฺตภริยปพฺพชฺชาย อาคตอุปมาฯ

    267.Amuṃnivāpaṃ nivuttaṃ mārassa amūni ca lokāmisānīti ettha nivāpoti vā lokāmisānīti vā vaṭṭāmisabhūtānaṃ pañcannaṃ kāmaguṇānametaṃ adhivacanaṃ. Māro na ca bījāni viya kāmaguṇe vapento āhiṇḍati, kāmaguṇagiddhānaṃ pana upari vasaṃ vatteti, tasmā kāmaguṇā mārassa nivāpā nāma honti. Tena vuttaṃ – ‘‘amuṃ nivāpaṃ nivuttaṃ mārassā’’ti. Na parimucciṃsu mārassa iddhānubhāvāti mārassa vasaṃ gatā ahesuṃ, yathākāmakaraṇīyā. Ayaṃ saputtabhariyapabbajjāya āgataupamā.

    ๒๖๘. เจโตวิมุตฺติ ปริหายีติ เอตฺถ เจโตวิมุตฺติ นาม อรเญฺญ วสิสฺสามาติ อุปฺปนฺนอชฺฌาสโย; โส ปริหายีติ อโตฺถฯ ตถูปเม อหํ อิเม ทุติเยติ อยํ พฺราหฺมณธมฺมิกปพฺพชฺชาย อุปมาฯ พฺราหฺมณา หิ อฎฺฐจตฺตาลีสวสฺสานิ โกมารพฺรหฺมจริยํ จริตฺวา วฎฺฎุปเจฺฉทภเยน ปเวณิํ ฆฎยิสฺสามาติ ธนํ ปริเยสิตฺวา ภริยํ คเหตฺวา อคารมเชฺฌ วสนฺตา เอกสฺมิํ ปุเตฺต ชาเต ‘‘อมฺหากํ ปุโตฺต ชาโต วฎฺฎํ น อุจฺฉินฺนํ ปเวณิ ฆฎิตา’’ติ ปุน นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชนฺติ วา ตเมว วา ส’กลตฺตวาสํ วสนฺติฯ

    268.Cetovimutti parihāyīti ettha cetovimutti nāma araññe vasissāmāti uppannaajjhāsayo; so parihāyīti attho. Tathūpame ahaṃ ime dutiyeti ayaṃ brāhmaṇadhammikapabbajjāya upamā. Brāhmaṇā hi aṭṭhacattālīsavassāni komārabrahmacariyaṃ caritvā vaṭṭupacchedabhayena paveṇiṃ ghaṭayissāmāti dhanaṃ pariyesitvā bhariyaṃ gahetvā agāramajjhe vasantā ekasmiṃ putte jāte ‘‘amhākaṃ putto jāto vaṭṭaṃ na ucchinnaṃ paveṇi ghaṭitā’’ti puna nikkhamitvā pabbajanti vā tameva vā sa’kalattavāsaṃ vasanti.

    ๒๖๙. เอวญฺหิ เต, ภิกฺขเว, ตติยาปิ สมณพฺราหฺมณา น ปริมุจฺจิํสูติ ปุริมา วิย เตปิ มารสฺส อิทฺธานุภาวา น มุจฺจิํสุ; ยถากามกรณียาว อเหสุํฯ กิํ ปน เต อกํสูติ? คามนิคมราชธานิโย โอสริตฺวา เตสุ เตสุ อารามอุยฺยานฎฺฐาเนสุ อสฺสมํ มาเปตฺวา นิวสนฺตา กุลทารเก หตฺถิอสฺสรถสิปฺปาทีนิ นานปฺปการานิ สิปฺปานิ สิกฺขาเปสุํฯ อิติ เต วากรชาเลน ตติยา มิคชาตา วิย มารสฺส ปาปิมโต ทิฎฺฐิชาเลน ปริกฺขิปิตฺวา ยถากามกรณียา อเหสุํฯ

    269.Evañhi te, bhikkhave, tatiyāpi samaṇabrāhmaṇā na parimucciṃsūti purimā viya tepi mārassa iddhānubhāvā na mucciṃsu; yathākāmakaraṇīyāva ahesuṃ. Kiṃ pana te akaṃsūti? Gāmanigamarājadhāniyo osaritvā tesu tesu ārāmauyyānaṭṭhānesu assamaṃ māpetvā nivasantā kuladārake hatthiassarathasippādīni nānappakārāni sippāni sikkhāpesuṃ. Iti te vākarajālena tatiyā migajātā viya mārassa pāpimato diṭṭhijālena parikkhipitvā yathākāmakaraṇīyā ahesuṃ.

    ๒๗๐. ตถูปเม อหํ อิเม จตุเตฺถติ อยํ อิมสฺส สาสนสฺส อุปมา อาหฎาฯ

    270.Tathūpameahaṃ ime catuttheti ayaṃ imassa sāsanassa upamā āhaṭā.

    ๒๗๑. อนฺธมกาสิ มารนฺติ น มารสฺส อกฺขีนิ ภินฺทิฯ วิปสฺสนาปาทกชฺฌานํ สมาปนฺนสฺส ปน ภิกฺขุโน อิมํ นาม อารมฺมณํ นิสฺสาย จิตฺตํ วตฺตตีติ มาโร ปสฺสิตุํ น สโกฺกติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อนฺธมกาสิ มาร’’นฺติฯ อปทํ วธิตฺวา มารจกฺขุนฺติ เตเนว ปริยาเยน ยถา มารสฺส จกฺขุ อปทํ โหติ นิปฺปทํ, อปฺปติฎฺฐํ, นิรารมฺมณํ, เอวํ วธิตฺวาติ อโตฺถฯ อทสฺสนํ คโต ปาปิมโตติ เตเนว ปริยาเยน มารสฺส ปาปิมโต อทสฺสนํ คโตฯ น หิ โส อตฺตโน มํสจกฺขุนา ตสฺส วิปสฺสนาปาทกชฺฌานํ สมาปนฺนสฺส ภิกฺขุโน ญาณสรีรํ ทฎฺฐุํ สโกฺกติฯ ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺตีติ มคฺคปญฺญาย จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ทิสฺวา จตฺตาโร อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติฯ ติโณฺณ โลเก วิสตฺติกนฺติ โลเก สตฺตวิสตฺตภาเวน วิสตฺติกาติ เอวํ สงฺขํ คตํฯ อถ วา ‘‘วิสตฺติกาติ เกนเฎฺฐน วิสตฺติกา? วิสตาติ วิสตฺติกา วิสฎาติ วิสตฺติกา, วิปุลาติ วิสตฺติกา, วิสาลาติ วิสตฺติกา, วิสมาติ วิสตฺติกา, วิสกฺกตีติ วิสตฺติกา, วิสํ หรตีติ วิสตฺติกา, วิสํวาทิกาติ วิสตฺติกา, วิสมูลาติ วิสตฺติกา, วิสผลาติ วิสตฺติกา, วิสปริโภคาติ วิสตฺติกา, วิสาลา วา ปน สา ตณฺหา รูเป สเทฺท คเนฺธ รเส โผฎฺฐเพฺพ’’ติ (มหานิ. ๓; จูฬนิ. เมตฺตคูมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒๒, ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๔) วิสตฺติกาฯ เอวํ วิสตฺติกาติ สงฺขํ คตํ ตณฺหํ ติโณฺณ นิตฺติโณฺณ อุตฺติโณฺณฯ เตน วุจฺจติ – ‘‘ติโณฺณ โลเก วิสตฺติก’’นฺติฯ

    271.Andhamakāsi māranti na mārassa akkhīni bhindi. Vipassanāpādakajjhānaṃ samāpannassa pana bhikkhuno imaṃ nāma ārammaṇaṃ nissāya cittaṃ vattatīti māro passituṃ na sakkoti. Tena vuttaṃ – ‘‘andhamakāsi māra’’nti. Apadaṃ vadhitvā māracakkhunti teneva pariyāyena yathā mārassa cakkhu apadaṃ hoti nippadaṃ, appatiṭṭhaṃ, nirārammaṇaṃ, evaṃ vadhitvāti attho. Adassanaṃ gato pāpimatoti teneva pariyāyena mārassa pāpimato adassanaṃ gato. Na hi so attano maṃsacakkhunā tassa vipassanāpādakajjhānaṃ samāpannassa bhikkhuno ñāṇasarīraṃ daṭṭhuṃ sakkoti. Paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā hontīti maggapaññāya cattāri ariyasaccāni disvā cattāro āsavā parikkhīṇā honti. Tiṇṇo loke visattikanti loke sattavisattabhāvena visattikāti evaṃ saṅkhaṃ gataṃ. Atha vā ‘‘visattikāti kenaṭṭhena visattikā? Visatāti visattikā visaṭāti visattikā, vipulāti visattikā, visālāti visattikā, visamāti visattikā, visakkatīti visattikā, visaṃ haratīti visattikā, visaṃvādikāti visattikā, visamūlāti visattikā, visaphalāti visattikā, visaparibhogāti visattikā, visālā vā pana sā taṇhā rūpe sadde gandhe rase phoṭṭhabbe’’ti (mahāni. 3; cūḷani. mettagūmāṇavapucchāniddesa 22, khaggavisāṇasuttaniddesa 124) visattikā. Evaṃ visattikāti saṅkhaṃ gataṃ taṇhaṃ tiṇṇo nittiṇṇo uttiṇṇo. Tena vuccati – ‘‘tiṇṇo loke visattika’’nti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    นิวาปสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nivāpasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. นิวาปสุตฺตํ • 5. Nivāpasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. นิวาปสุตฺตวณฺณนา • 5. Nivāpasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact