Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
๒. นีวรณปฺปหานวคฺควณฺณนา
2. Nīvaraṇappahānavaggavaṇṇanā
๑๑. ทุติยสฺส ปฐเม เอกธมฺมมฺปีติ เอตฺถ ‘‘ตสฺมิํ โข ปน สมเย ธมฺมา โหนฺตี’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๒๑) วิย นิสฺสตฺตเฎฺฐน ธโมฺม เวทิตโพฺพฯ ตสฺมา เอกธมฺมมฺปีติ นิสฺสตฺตํ เอกสภาวมฺปีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ อนุปฺปโนฺนวาติ เอตฺถ ปน ‘‘ภูตานํ วา สตฺตานํ ฐิติยา สมฺภเวสีนํ วา อนุคฺคหาย (ม. นิ. ๑.๔๐๒; สํ. นิ. ๒.๑๑) ยาวตา, ภิกฺขเว, สตฺตา อปทา วา ทฺวิปทา วา’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐) เอวมาทีสุ วิย สมุจฺจยโตฺถ วาสโทฺท ทฎฺฐโพฺพ, น วิกปฺปโตฺถฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – เยน ธเมฺมน อนุปฺปโนฺน จ กามจฺฉโนฺท อุปฺปชฺชติ, อุปฺปโนฺน จ กามจฺฉโนฺท ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย สํวตฺตติ, ตมหํ ยถา สุภนิมิตฺตํ, เอวํ อญฺญํ น ปสฺสามีติฯ ตตฺถ อนุปฺปโนฺนติ อชาโต อสญฺชาโต อปาตุภูโต อสมุทาคโตฯ กามจฺฉโนฺทติ ‘‘โย กาเมสุ กามจฺฉโนฺท กามราโค กามนนฺที กามตณฺหา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑๑๕๖) นเยน วิตฺถาริตํ กามจฺฉนฺทนีวรณํฯ อุปฺปชฺชตีติ นิพฺพตฺตติ ปาตุภวติฯ โส ปเนส อสมุทาจารวเสน วา อนนุภูตารมฺมณวเสน วา อนุปฺปโนฺน อุปฺปชฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ อญฺญถา หิ อนมตเคฺค สํสาเร อนุปฺปโนฺน นาม นตฺถิฯ
11. Dutiyassa paṭhame ekadhammampīti ettha ‘‘tasmiṃ kho pana samaye dhammā hontī’’tiādīsu (dha. sa. 121) viya nissattaṭṭhena dhammo veditabbo. Tasmā ekadhammampīti nissattaṃ ekasabhāvampīti ayamettha attho. Anuppannovāti ettha pana ‘‘bhūtānaṃ vā sattānaṃ ṭhitiyā sambhavesīnaṃ vā anuggahāya (ma. ni. 1.402; saṃ. ni. 2.11) yāvatā, bhikkhave, sattā apadā vā dvipadā vā’’ti (a. ni. 4.34; itivu. 90) evamādīsu viya samuccayattho vāsaddo daṭṭhabbo, na vikappattho. Ayañhettha attho – yena dhammena anuppanno ca kāmacchando uppajjati, uppanno ca kāmacchando bhiyyobhāvāya vepullāya saṃvattati, tamahaṃ yathā subhanimittaṃ, evaṃ aññaṃ na passāmīti. Tattha anuppannoti ajāto asañjāto apātubhūto asamudāgato. Kāmacchandoti ‘‘yo kāmesu kāmacchando kāmarāgo kāmanandī kāmataṇhā’’tiādinā (dha. sa. 1156) nayena vitthāritaṃ kāmacchandanīvaraṇaṃ. Uppajjatīti nibbattati pātubhavati. So panesa asamudācāravasena vā ananubhūtārammaṇavasena vā anuppanno uppajjatīti veditabbo. Aññathā hi anamatagge saṃsāre anuppanno nāma natthi.
ตตฺถ เอกจฺจสฺส วตฺตวเสน กิเลโส น สมุทาจรติ, เอกจฺจสฺส คนฺถธุตงฺคสมาธิ- วิปสฺสนานวกมฺมาทีนํ อญฺญตรวเสนฯ กถํ? เอกโจฺจ หิ วตฺตสมฺปโนฺน โหติ, ตสฺส เทฺวอสีติ ขุทฺทกวตฺตานิ จุทฺทส มหาวตฺตานิ เจติยงฺคณโพธิยงฺคณปานียมาฬกอุโปสถาคารอาคนฺตุกคมิกวตฺตานิ จ กโรนฺตเสฺสว กิเลโส โอกาสํ น ลภติฯ อปรภาเค ปนสฺส วตฺตํ วิสฺสเชฺชตฺวา ภินฺนวตฺตสฺส จรโต อโยนิโสมนสิการเญฺจว สติโวสฺสคฺคญฺจ อาคมฺม อุปฺปชฺชติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปโนฺน อุปฺปชฺชติ นามฯ
Tattha ekaccassa vattavasena kileso na samudācarati, ekaccassa ganthadhutaṅgasamādhi- vipassanānavakammādīnaṃ aññataravasena. Kathaṃ? Ekacco hi vattasampanno hoti, tassa dveasīti khuddakavattāni cuddasa mahāvattāni cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇapānīyamāḷakauposathāgāraāgantukagamikavattāni ca karontasseva kileso okāsaṃ na labhati. Aparabhāge panassa vattaṃ vissajjetvā bhinnavattassa carato ayonisomanasikārañceva sativossaggañca āgamma uppajjati. Evampi asamudācāravasena anuppanno uppajjati nāma.
เอกโจฺจ คนฺถยุโตฺต โหติ, เอกมฺปิ นิกายํ คณฺหาติ เทฺวปิ ตโยปิ จตฺตาโรปิ ปญฺจปิฯ ตสฺส เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ อตฺถวเสน ปาฬิวเสน อนุสนฺธิวเสน ปุพฺพาปรวเสน คณฺหนฺตสฺส สชฺฌายนฺตสฺส วาเจนฺตสฺส เทเสนฺตสฺส ปกาเสนฺตสฺส กิเลโส โอกาสํ น ลภติฯ อปรภาเค ปนสฺส คนฺถกมฺมํ ปหาย กุสีตสฺส จรโต อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม อุปฺปชฺชติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปโนฺน อุปฺปชฺชติ นามฯ
Ekacco ganthayutto hoti, ekampi nikāyaṃ gaṇhāti dvepi tayopi cattāropi pañcapi. Tassa tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ atthavasena pāḷivasena anusandhivasena pubbāparavasena gaṇhantassa sajjhāyantassa vācentassa desentassa pakāsentassa kileso okāsaṃ na labhati. Aparabhāge panassa ganthakammaṃ pahāya kusītassa carato ayonisomanasikārasativossagge āgamma uppajjati. Evampi asamudācāravasena anuppanno uppajjati nāma.
เอกโจฺจ ปน ธุตงฺคธโร โหติ, เตรส ธุตงฺคคุเณ สมาทาย วตฺตติฯ ตสฺส ปน ธุตงฺคคุเณ ปริหรนฺตสฺส กิเลโส โอกาสํ น ลภติฯ อปรภาเค ปนสฺส ธุตงฺคานิ วิสฺสเชฺชตฺวา พาหุลฺลาย อาวตฺตสฺส จรโต อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม อุปฺปชฺชติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปโนฺน อุปฺปชฺชติ นามฯ
Ekacco pana dhutaṅgadharo hoti, terasa dhutaṅgaguṇe samādāya vattati. Tassa pana dhutaṅgaguṇe pariharantassa kileso okāsaṃ na labhati. Aparabhāge panassa dhutaṅgāni vissajjetvā bāhullāya āvattassa carato ayonisomanasikārasativossagge āgamma uppajjati. Evampi asamudācāravasena anuppanno uppajjati nāma.
เอกโจฺจ อฎฺฐสุ สมาปตฺตีสุ จิณฺณวสี โหติ, ตสฺส ปฐมชฺฌานาทีสุ อาวชฺชนวสิอาทีนํ วเสน วิหรนฺตสฺส กิเลโส โอกาสํ น ลภติฯ อปรภาเค ปนสฺส ปริหีนชฺฌานสฺส วา วิสฺสฎฺฐชฺฌานสฺส วา ภสฺสาทีสุ อนุยุตฺตสฺส วิหรโต อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม อุปฺปชฺชติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปโนฺน อุปฺปชฺชติ นามฯ
Ekacco aṭṭhasu samāpattīsu ciṇṇavasī hoti, tassa paṭhamajjhānādīsu āvajjanavasiādīnaṃ vasena viharantassa kileso okāsaṃ na labhati. Aparabhāge panassa parihīnajjhānassa vā vissaṭṭhajjhānassa vā bhassādīsu anuyuttassa viharato ayonisomanasikārasativossagge āgamma uppajjati. Evampi asamudācāravasena anuppanno uppajjati nāma.
เอกโจฺจ ปน วิปสฺสโก โหติ, สตฺตสุ วา อนุปสฺสนาสุ อฎฺฐารสสุ วา มหาวิปสฺสนาสุ กมฺมํ กโรโนฺต วิหรติฯ ตเสฺสวํ วิหรโต กิเลโส โอกาสํ น ลภติฯ อปรภาเค ปนสฺส วิปสฺสนากมฺมํ ปหาย กายทฬฺหีพหุลสฺส วิหรโต อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม อุปฺปชฺชติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปโนฺน อุปฺปชฺชติ นามฯ
Ekacco pana vipassako hoti, sattasu vā anupassanāsu aṭṭhārasasu vā mahāvipassanāsu kammaṃ karonto viharati. Tassevaṃ viharato kileso okāsaṃ na labhati. Aparabhāge panassa vipassanākammaṃ pahāya kāyadaḷhībahulassa viharato ayonisomanasikārasativossagge āgamma uppajjati. Evampi asamudācāravasena anuppanno uppajjati nāma.
เอกโจฺจ นวกมฺมิโก โหติ, อุโปสถาคารโภชนสาลาทีนิ กาเรติฯ ตสฺส เตสํ อุปกรณานิ จิเนฺตนฺตสฺส กิเลโส โอกาสํ น ลภติฯ อปรภาเค ปนสฺส นวกเมฺม นิฎฺฐิเต วา วิสฺสเฎฺฐ วา อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม อุปฺปชฺชติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปโนฺน อุปฺปชฺชติ นามฯ
Ekacco navakammiko hoti, uposathāgārabhojanasālādīni kāreti. Tassa tesaṃ upakaraṇāni cintentassa kileso okāsaṃ na labhati. Aparabhāge panassa navakamme niṭṭhite vā vissaṭṭhe vā ayonisomanasikārasativossagge āgamma uppajjati. Evampi asamudācāravasena anuppanno uppajjati nāma.
เอกโจฺจ ปน พฺรหฺมโลกา อาคโต สุทฺธสโตฺต โหติ, ตสฺส อนาเสวนตาย กิเลโส โอกาสํ น ลภติฯ อปรภาเค ปนสฺส ลทฺธาเสวนสฺส อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม อุปฺปชฺชติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปโนฺน อุปฺปชฺชติ นามฯ เอวํ ตาว อสมุทาจารวเสน อนุปฺปนฺนสฺส อุปฺปนฺนตา เวทิตพฺพาฯ
Ekacco pana brahmalokā āgato suddhasatto hoti, tassa anāsevanatāya kileso okāsaṃ na labhati. Aparabhāge panassa laddhāsevanassa ayonisomanasikārasativossagge āgamma uppajjati. Evampi asamudācāravasena anuppanno uppajjati nāma. Evaṃ tāva asamudācāravasena anuppannassa uppannatā veditabbā.
กถํ อนนุภูตารมฺมณวเสน? อิเธกโจฺจ อนนุภูตปุพฺพํ มนาปิยํ รูปาทิอารมฺมณํ ลภติ, ตสฺส ตตฺถ อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม ราโค อุปฺปชฺชติฯ เอวํ อนนุภูตารมฺมณวเสน อนุปฺปโนฺน อุปฺปชฺชติ นามฯ
Kathaṃ ananubhūtārammaṇavasena? Idhekacco ananubhūtapubbaṃ manāpiyaṃ rūpādiārammaṇaṃ labhati, tassa tattha ayonisomanasikārasativossagge āgamma rāgo uppajjati. Evaṃ ananubhūtārammaṇavasena anuppanno uppajjati nāma.
อุปฺปโนฺนติ ชาโต สญฺชาโต นิพฺพโตฺต อภินิพฺพโตฺต ปาตุภูโตฯ ภิโยฺยภาวายาติ ปุนปฺปุนภาวายฯ เวปุลฺลายาติ วิปุลภาวาย ราสิภาวายฯ ตตฺถ สกิํ อุปฺปโนฺน กามจฺฉโนฺท น นิรุชฺฌิสฺสติ, สกิํ นิรุโทฺธ วา เสฺวว ปุน อุปฺปชฺชิสฺสตีติ อฎฺฐานเมตํฯ เอกสฺมิํ ปน นิรุเทฺธ ตสฺมิํ วา อารมฺมเณ อญฺญสฺมิํ วา อารมฺมเณ อปราปรํ อุปฺปชฺชมาโน ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย สํวตฺตติ นามฯ
Uppannoti jāto sañjāto nibbatto abhinibbatto pātubhūto. Bhiyyobhāvāyāti punappunabhāvāya. Vepullāyāti vipulabhāvāya rāsibhāvāya. Tattha sakiṃ uppanno kāmacchando na nirujjhissati, sakiṃ niruddho vā sveva puna uppajjissatīti aṭṭhānametaṃ. Ekasmiṃ pana niruddhe tasmiṃ vā ārammaṇe aññasmiṃ vā ārammaṇe aparāparaṃ uppajjamāno bhiyyobhāvāya vepullāya saṃvattati nāma.
สุภนิมิตฺตนฺติ ราคฎฺฐานิยํ อารมฺมณํฯ ‘‘สนิมิตฺตา, ภิกฺขเว, อุปฺปชฺชนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา, โน อนิมิตฺตา’’ติ เอตฺถ นิมิตฺตนฺติ ปจฺจยสฺส นามํฯ ‘‘อธิจิตฺตมนุยุเตฺตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ปญฺจ นิมิตฺตานิ กาเลน กาลํ มนสิกาตพฺพานี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๑๖) เอตฺถ การณสฺสฯ ‘‘โส ตํ นิมิตฺตํ อาเสวติ ภาเวตี’’ติ (อ. นิ. ๙.๓๕) เอตฺถ สมาธิสฺสฯ ‘‘ยํ นิมิตฺตํ อาคมฺม ยํ นิมิตฺตํ มนสิกโรโต อนนฺตรา อาสวานํ ขโย โหตี’’ติ (อ. นิ. ๖.๒๗) เอตฺถ วิปสฺสนายฯ อิธ ปน ราคฎฺฐานิโย อิฎฺฐารมฺมณธโมฺม ‘‘สุภนิมิตฺต’’นฺติ อธิเปฺปโตฯ อโยนิโสมนสิกโรโตติฯ ‘‘ตตฺถ กตโม อโยนิโสมนสิกาโร? อนิเจฺจ นิจฺจนฺติ, ทุเกฺข สุขนฺติ, อนตฺตนิ อตฺตาติ, อสุเภ สุภนฺติ, อโยนิโสมนสิกาโร อุปฺปถมนสิกาโร, สจฺจวิปฺปฎิกูเลน วา จิตฺตสฺส อาวชฺชนา อนฺวาวชฺชนา อาโภโค สมนฺนาหาโร มนสิกาโรฯ อยํ วุจฺจติ อโยนิโสมนสิกาโร’’ติ (วิภ. ๙๓๖) อิมสฺส มนสิการสฺส วเสน อนุปาเยน มนสิกโรนฺตสฺสาติฯ
Subhanimittanti rāgaṭṭhāniyaṃ ārammaṇaṃ. ‘‘Sanimittā, bhikkhave, uppajjanti pāpakā akusalā dhammā, no animittā’’ti ettha nimittanti paccayassa nāmaṃ. ‘‘Adhicittamanuyuttena, bhikkhave, bhikkhunā pañca nimittāni kālena kālaṃ manasikātabbānī’’ti (ma. ni. 1.216) ettha kāraṇassa. ‘‘So taṃ nimittaṃ āsevati bhāvetī’’ti (a. ni. 9.35) ettha samādhissa. ‘‘Yaṃ nimittaṃ āgamma yaṃ nimittaṃ manasikaroto anantarā āsavānaṃ khayo hotī’’ti (a. ni. 6.27) ettha vipassanāya. Idha pana rāgaṭṭhāniyo iṭṭhārammaṇadhammo ‘‘subhanimitta’’nti adhippeto. Ayonisomanasikarototi. ‘‘Tattha katamo ayonisomanasikāro? Anicce niccanti, dukkhe sukhanti, anattani attāti, asubhe subhanti, ayonisomanasikāro uppathamanasikāro, saccavippaṭikūlena vā cittassa āvajjanā anvāvajjanā ābhogo samannāhāro manasikāro. Ayaṃ vuccati ayonisomanasikāro’’ti (vibha. 936) imassa manasikārassa vasena anupāyena manasikarontassāti.
๑๒. ทุติเย พฺยาปาโทติ ภตฺตพฺยาปตฺติ วิย จิตฺตสฺส พฺยาปชฺชนํ ปกติวิชหนภาโวฯ ‘‘ตตฺถ กตมํ พฺยาปาทนีวรณํ? อนตฺถํ เม อจรีติ อาฆาโต ชายตี’’ติ (ธ. ส. ๑๑๖๐) เอวํ วิตฺถาริตสฺส พฺยาปาทนีวรณเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปฎิฆนิมิตฺตนฺติ อนิฎฺฐํ นิมิตฺตํฯ ปฎิฆสฺสปิ ปฎิฆารมฺมณสฺสปิ เอตํ อธิวจนํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ อฎฺฐกถายํ – ‘‘ปฎิฆมฺปิ ปฎิฆนิมิตฺตํ, ปฎิฆารมฺมโณปิ ธโมฺม ปฎิฆนิมิตฺต’’นฺติฯ เสสเมตฺถ กามจฺฉเนฺท วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ อิโต ปเรสุปิฯ ตตฺถ ตตฺถ หิ วิเสสมตฺตเมว วกฺขามาติฯ
12. Dutiye byāpādoti bhattabyāpatti viya cittassa byāpajjanaṃ pakativijahanabhāvo. ‘‘Tattha katamaṃ byāpādanīvaraṇaṃ? Anatthaṃ me acarīti āghāto jāyatī’’ti (dha. sa. 1160) evaṃ vitthāritassa byāpādanīvaraṇassetaṃ adhivacanaṃ. Paṭighanimittanti aniṭṭhaṃ nimittaṃ. Paṭighassapi paṭighārammaṇassapi etaṃ adhivacanaṃ. Vuttampi cetaṃ aṭṭhakathāyaṃ – ‘‘paṭighampi paṭighanimittaṃ, paṭighārammaṇopi dhammo paṭighanimitta’’nti. Sesamettha kāmacchande vuttanayeneva veditabbaṃ. Yathā cettha, evaṃ ito paresupi. Tattha tattha hi visesamattameva vakkhāmāti.
๑๓. ตติเย ถินมิทฺธนฺติ ถินเญฺจว มิทฺธญฺจฯ เตสุ จิตฺตสฺส อกมฺมญฺญตา ถินํ, อาลสิยภาวเสฺสตํ อธิวจนํฯ ติณฺณํ ขนฺธานํ อกมฺมญฺญตา มิทฺธํ, กปิมิทฺธสฺส ปจลายิกภาวเสฺสตํ อธิวจนํฯ อุภินฺนมฺปิ ‘‘ตตฺถ กตมํ ถินํ? ยา จิตฺตสฺส อกลฺยตา อกมฺมญฺญตา โอลียนา สลฺลียนาฯ ตตฺถ กตมํ มิทฺธํ? ยา กายสฺส อกลฺยตา อกมฺมญฺญตา โอนาโห ปริโยนาโห’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑๑๖๒-๑๑๖๓) นเยน วิตฺถาโร เวทิตโพฺพฯ อรตีติอาทีนิ วิภเงฺค วิภตฺตนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ วุตฺตเญฺหตํ –
13. Tatiye thinamiddhanti thinañceva middhañca. Tesu cittassa akammaññatā thinaṃ, ālasiyabhāvassetaṃ adhivacanaṃ. Tiṇṇaṃ khandhānaṃ akammaññatā middhaṃ, kapimiddhassa pacalāyikabhāvassetaṃ adhivacanaṃ. Ubhinnampi ‘‘tattha katamaṃ thinaṃ? Yā cittassa akalyatā akammaññatā olīyanā sallīyanā. Tattha katamaṃ middhaṃ? Yā kāyassa akalyatā akammaññatā onāho pariyonāho’’tiādinā (dha. sa. 1162-1163) nayena vitthāro veditabbo. Aratītiādīni vibhaṅge vibhattanayeneva veditabbāni. Vuttañhetaṃ –
‘‘ตตฺถ กตมา อรติ? ปเนฺตสุ วา เสนาสเนสุ อญฺญตรญฺญตเรสุ วา อธิกุสเลสุ ธเมฺมสุ อรติ อรติตา อนภิรติ อนภิรมนา อุกฺกณฺฐิตา ปริตสฺสิตา, อยํ วุจฺจติ อรติฯ ตตฺถ กตมา ตนฺที? ยา ตนฺที ตนฺทิยนา ตนฺทิมนตา อาลสฺสํ อาลสฺสายนา อาลสฺสายิตตฺตํ, อยํ วุจฺจติ ตนฺทีฯ ตตฺถ กตมา วิชมฺภิตา? ยา กายสฺส ชมฺภนา วิชมฺภนา อานมนา วินมนา สนฺนมนา ปณมนา พฺยาธิยกํ, อยํ วุจฺจติ วิชมฺภิตาฯ ตตฺถ กตโม ภตฺตสมฺมโท? ยา ภุตฺตาวิสฺส ภตฺตมุจฺฉา ภตฺตกิลมโถ ภตฺตปริฬาโห กายทุฎฺฐุลฺลํ, อยํ วุจฺจติ ภตฺตสมฺมโทฯ ตตฺถ กตมํ เจตโส จ ลีนตฺตํ? ยา จิตฺตสฺส อกลฺยตา อกมฺมญฺญตา โอลียนา สลฺลียนา ลีนํ ลียนา ลียิตตฺตํ ถินํ ถิยนา ถิยิตตฺตํ จิตฺตสฺส, อิทํ วุจฺจติ เจตโส จ ลีนตฺต’’นฺติ (วิภ. ๘๕๖, ๘๕๗, ๘๕๙, ๘๖๐)ฯ
‘‘Tattha katamā arati? Pantesu vā senāsanesu aññataraññataresu vā adhikusalesu dhammesu arati aratitā anabhirati anabhiramanā ukkaṇṭhitā paritassitā, ayaṃ vuccati arati. Tattha katamā tandī? Yā tandī tandiyanā tandimanatā ālassaṃ ālassāyanā ālassāyitattaṃ, ayaṃ vuccati tandī. Tattha katamā vijambhitā? Yā kāyassa jambhanā vijambhanā ānamanā vinamanā sannamanā paṇamanā byādhiyakaṃ, ayaṃ vuccati vijambhitā. Tattha katamo bhattasammado? Yā bhuttāvissa bhattamucchā bhattakilamatho bhattapariḷāho kāyaduṭṭhullaṃ, ayaṃ vuccati bhattasammado. Tattha katamaṃ cetaso ca līnattaṃ? Yā cittassa akalyatā akammaññatā olīyanā sallīyanā līnaṃ līyanā līyitattaṃ thinaṃ thiyanā thiyitattaṃ cittassa, idaṃ vuccati cetaso ca līnatta’’nti (vibha. 856, 857, 859, 860).
เอตฺถ จ ปุริมา จตฺตาโร ธมฺมา ถินมิทฺธนีวรณสฺส สหชาตวเสนาปิ อุปนิสฺสยวเสนาปิ ปจฺจยา โหนฺติ, เจตโส จ ลีนตฺตํ อตฺตโนว อตฺตนา สหชาตํ น โหติ, อุปนิสฺสยโกฎิยา ปน โหตีติฯ
Ettha ca purimā cattāro dhammā thinamiddhanīvaraṇassa sahajātavasenāpi upanissayavasenāpi paccayā honti, cetaso ca līnattaṃ attanova attanā sahajātaṃ na hoti, upanissayakoṭiyā pana hotīti.
๑๔. จตุเตฺถ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจนฺติ อุทฺธจฺจเญฺจว กุกฺกุจฺจญฺจฯ ตตฺถ อุทฺธจฺจํ นาม จิตฺตสฺส อุทฺธตากาโรฯ กุกฺกุจฺจํ นาม อกตกลฺยาณสฺส กตปาปสฺส ตปฺปจฺจยา วิปฺปฎิสาโรฯ เจตโส อวูปสโมติ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจเสฺสเวตํ นามํฯ อวูปสนฺตจิตฺตสฺสาติ ฌาเนน วา วิปสฺสนาย วา อวูปสมิตจิตฺตสฺสฯ อยํ ปน อวูปสโม อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส อุปนิสฺสยโกฎิยา ปจฺจโย โหตีติฯ
14. Catutthe uddhaccakukkuccanti uddhaccañceva kukkuccañca. Tattha uddhaccaṃ nāma cittassa uddhatākāro. Kukkuccaṃ nāma akatakalyāṇassa katapāpassa tappaccayā vippaṭisāro. Cetaso avūpasamoti uddhaccakukkuccassevetaṃ nāmaṃ. Avūpasantacittassāti jhānena vā vipassanāya vā avūpasamitacittassa. Ayaṃ pana avūpasamo uddhaccakukkuccassa upanissayakoṭiyā paccayo hotīti.
๑๕. ปญฺจเม วิจิกิจฺฉาติ ‘‘สตฺถริ กงฺขตี’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑๑๖๗) นเยน วิตฺถาริตํ วิจิกิจฺฉานีวรณํฯ อโยนิโสมนสิกาโร วุตฺตลกฺขโณเยวาติฯ
15. Pañcame vicikicchāti ‘‘satthari kaṅkhatī’’tiādinā (dha. sa. 1167) nayena vitthāritaṃ vicikicchānīvaraṇaṃ. Ayonisomanasikāro vuttalakkhaṇoyevāti.
๑๖. ฉเฎฺฐ อนุปฺปโนฺน วา กามจฺฉโนฺท นุปฺปชฺชตีติ อสมุทาจารวเสน วา อนนุภูตารมฺมณวเสน วาติ ทฺวีเหว การเณหิ อนุปฺปโนฺน น อุปฺปชฺชติ, ตถา วิกฺขมฺภิโตว โหติ, ปุน เหตุํ วา ปจฺจยํ วา น ลภติฯ อิธาปิ วตฺตาทีนํเยว วเสน อสมุทาจาโร เวทิตโพฺพฯ เอกจฺจสฺส หิ วุตฺตนเยเนว วเตฺต ยุตฺตสฺส วตฺตํ กโรนฺตเสฺสว กิเลโส โอกาสํ น ลภติ, วตฺตวเสน วิกฺขมฺภิโต โหติฯ โส ตํ ตถาวิกฺขมฺภิตเมว กตฺวา วิวเฎฺฎตฺวา อรหตฺตํ คณฺหาติ มิลกฺขติสฺสเตฺถโร วิยฯ
16. Chaṭṭhe anuppanno vā kāmacchando nuppajjatīti asamudācāravasena vā ananubhūtārammaṇavasena vāti dvīheva kāraṇehi anuppanno na uppajjati, tathā vikkhambhitova hoti, puna hetuṃ vā paccayaṃ vā na labhati. Idhāpi vattādīnaṃyeva vasena asamudācāro veditabbo. Ekaccassa hi vuttanayeneva vatte yuttassa vattaṃ karontasseva kileso okāsaṃ na labhati, vattavasena vikkhambhito hoti. So taṃ tathāvikkhambhitameva katvā vivaṭṭetvā arahattaṃ gaṇhāti milakkhatissatthero viya.
โส กิรายสฺมา โรหณชนปเท คาเมณฺฑวาลมหาวิหารสฺส ภิกฺขาจาเร เนสาทกุเล นิพฺพโตฺตฯ วยํ อาคมฺม กตฆราวาโส ‘‘ปุตฺตทารํ โปเสสฺสามี’’ติ อทูหลสตํ สณฺฐเปตฺวา ปาสสตํ โยเชตฺวา สูลสตํ โรเปตฺวา พหุํ ปาปํ อายูหโนฺต เอกทิวสํ เคหโต อคฺคิญฺจ โลณญฺจ คเหตฺวา อรญฺญํ คโตฯ ปาเส พทฺธมิคํ วธิตฺวา องฺคารปกฺกมํสํ ขาทิตฺวา ปิปาสิโต หุตฺวา คาเมณฺฑวาลมหาวิหารํ ปวิโฎฺฐ ปานียมาฬเก ทสมเตฺตสุ ปานียฆเฎสุ ปิปาสาวิโนทนมตฺตมฺปิ ปานียํ อลภโนฺต, ‘‘กิํ นาเมตํ เอตฺตกานํ ภิกฺขูนํ วสนฎฺฐาเน ปิปาสาย อาคตานํ ปิปาสาวิโนทนมตฺตํ ปานียํ นตฺถี’’ติ อุชฺฌายิตุํ อารโทฺธฯ จูฬปิณฺฑปาติกติสฺสเตฺถโร ตสฺส กถํ สุตฺวา ตสฺส สนฺติกํ คจฺฉโนฺต ปานียมาฬเก ทสมเตฺต ปานียฆเฎ ปูเร ทิสฺวา ‘‘ชีวมานเปตกสโตฺต อยํ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา, ‘‘อุปาสก, สเจ ปิปาสิโตสิ, ปิว ปานีย’’นฺติ วตฺวา กุฎํ อุกฺขิปิตฺวา ตสฺส หเตฺถสุ อาสิญฺจิฯ ตสฺส กมฺมํ ปฎิจฺจ ปีตปีตํ ปานียํ ตตฺตกปาเล ปกฺขิตฺตมิว นสฺสติ, สกเลปิ ฆเฎ ปิวโต ปิปาสา น ปจฺฉิชฺชิฯ อถ นํ เถโร อาห – ‘‘ยาว ทารุณญฺจ เต, อุปาสก, กมฺมํ กตํ, อิทาเนว เปโต ชาโต, วิปาโก กีทิโส ภวิสฺสตี’’ติ?
So kirāyasmā rohaṇajanapade gāmeṇḍavālamahāvihārassa bhikkhācāre nesādakule nibbatto. Vayaṃ āgamma katagharāvāso ‘‘puttadāraṃ posessāmī’’ti adūhalasataṃ saṇṭhapetvā pāsasataṃ yojetvā sūlasataṃ ropetvā bahuṃ pāpaṃ āyūhanto ekadivasaṃ gehato aggiñca loṇañca gahetvā araññaṃ gato. Pāse baddhamigaṃ vadhitvā aṅgārapakkamaṃsaṃ khāditvā pipāsito hutvā gāmeṇḍavālamahāvihāraṃ paviṭṭho pānīyamāḷake dasamattesu pānīyaghaṭesu pipāsāvinodanamattampi pānīyaṃ alabhanto, ‘‘kiṃ nāmetaṃ ettakānaṃ bhikkhūnaṃ vasanaṭṭhāne pipāsāya āgatānaṃ pipāsāvinodanamattaṃ pānīyaṃ natthī’’ti ujjhāyituṃ āraddho. Cūḷapiṇḍapātikatissatthero tassa kathaṃ sutvā tassa santikaṃ gacchanto pānīyamāḷake dasamatte pānīyaghaṭe pūre disvā ‘‘jīvamānapetakasatto ayaṃ bhavissatī’’ti cintetvā, ‘‘upāsaka, sace pipāsitosi, piva pānīya’’nti vatvā kuṭaṃ ukkhipitvā tassa hatthesu āsiñci. Tassa kammaṃ paṭicca pītapītaṃ pānīyaṃ tattakapāle pakkhittamiva nassati, sakalepi ghaṭe pivato pipāsā na pacchijji. Atha naṃ thero āha – ‘‘yāva dāruṇañca te, upāsaka, kammaṃ kataṃ, idāneva peto jāto, vipāko kīdiso bhavissatī’’ti?
โส ตสฺส กถํ สุตฺวา ลทฺธสํเวโค เถรํ วนฺทิตฺวา ตานิ อทูหลาทีนิ วิสงฺขริตฺวา เวเคน ฆรํ คนฺตฺวา ปุตฺตทารํ โอโลเกตฺวา สตฺถานิ ภินฺทิตฺวา ทีปกมิคปกฺขิโน อรเญฺญ วิสฺสเชฺชตฺวา เถรํ ปจฺจุปสงฺกมิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ ทุกฺกรา, อาวุโส, ปพฺพชฺชา, กถํ ตฺวํ ปพฺพชิสฺสสีติ? ภเนฺต, เอวรูปํ ปจฺจกฺขการณํ ทิสฺวา กถํ น ปพฺพชิสฺสามีติ? เถโร ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ ทตฺวา ปพฺพาเชสิฯ โส วตฺตารภิโต หุตฺวา พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหโนฺต เอกทิวสํ เทวทูตสุเตฺต ‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา ปุน มหานิรเย ปกฺขิปนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๗๐; อ. นิ. ๓.๓๖) อิมํ ฐานํ สุตฺวา ‘‘เอตฺตกํ ทุกฺขราสิํ อนุภวิตสตฺตํ ปุน มหานิรเย ปกฺขิปนฺติ, อโห ภาริโย, ภเนฺต, มหานิรโย’’ติ อาหฯ อามาวุโส, ภาริโยติฯ สกฺกา, ภเนฺต, ปสฺสิตุนฺติ? ‘‘น สกฺกา ปสฺสิตุํ, ทิฎฺฐสทิสํ กาตุํ เอกํ การณํ ทเสฺสสฺสามี’’ติ สามเณเร สมาทเปตฺวา ปาสาณปิเฎฺฐ อลฺลทารุราสิํ กาเรหีติฯ โส ตถา กาเรสิฯ เถโร ยถานิสิโนฺนว อิทฺธิยา อภิสงฺขริตฺวา มหานิรยโต ขโชฺชปนกมตฺตํ อคฺคิปปฎิกํ นีหริตฺวา ปสฺสนฺตเสฺสว ตสฺส เถรสฺส ทารุราสิมฺหิ ปกฺขิปิฯ ตสฺส ตตฺถ นิปาโต จ ทารุราสิโน ฌายิตฺวา ฉาริกภาวูปคมนญฺจ อปจฺฉา อปุริมํ อโหสิฯ
So tassa kathaṃ sutvā laddhasaṃvego theraṃ vanditvā tāni adūhalādīni visaṅkharitvā vegena gharaṃ gantvā puttadāraṃ oloketvā satthāni bhinditvā dīpakamigapakkhino araññe vissajjetvā theraṃ paccupasaṅkamitvā pabbajjaṃ yāci. Dukkarā, āvuso, pabbajjā, kathaṃ tvaṃ pabbajissasīti? Bhante, evarūpaṃ paccakkhakāraṇaṃ disvā kathaṃ na pabbajissāmīti? Thero tacapañcakakammaṭṭhānaṃ datvā pabbājesi. So vattārabhito hutvā buddhavacanaṃ uggaṇhanto ekadivasaṃ devadūtasutte ‘‘tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā puna mahāniraye pakkhipantī’’ti (ma. ni. 3.270; a. ni. 3.36) imaṃ ṭhānaṃ sutvā ‘‘ettakaṃ dukkharāsiṃ anubhavitasattaṃ puna mahāniraye pakkhipanti, aho bhāriyo, bhante, mahānirayo’’ti āha. Āmāvuso, bhāriyoti. Sakkā, bhante, passitunti? ‘‘Na sakkā passituṃ, diṭṭhasadisaṃ kātuṃ ekaṃ kāraṇaṃ dassessāmī’’ti sāmaṇere samādapetvā pāsāṇapiṭṭhe alladārurāsiṃ kārehīti. So tathā kāresi. Thero yathānisinnova iddhiyā abhisaṅkharitvā mahānirayato khajjopanakamattaṃ aggipapaṭikaṃ nīharitvā passantasseva tassa therassa dārurāsimhi pakkhipi. Tassa tattha nipāto ca dārurāsino jhāyitvā chārikabhāvūpagamanañca apacchā apurimaṃ ahosi.
โส ตํ ทิสฺวา, ‘‘ภเนฺต, อิมสฺมิํ สาสเน กติ ธุรานิ นามา’’ติ ปุจฺฉิฯ อาวุโส, วิปสฺสนาธุรํ, คนฺถธุรนฺติฯ ‘‘ภเนฺต, คโนฺถ นาม ปฎิพลสฺส ภาโร, มยฺหํ ปน ทุกฺขูปนิสา สทฺธา, วิปสฺสนาธุรํ ปูเรสฺสามิ กมฺมฎฺฐานํ เม เทถา’’ติ วนฺทิตฺวา นิสีทิฯ เถโร ‘‘วตฺตสมฺปโนฺน ภิกฺขู’’ติ วตฺตสีเส ฐตฺวา ตสฺส กมฺมฎฺฐานํ กเถสิฯ โส กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วิปสฺสนาย จ กมฺมํ กโรติ, วตฺตญฺจ ปูเรติฯ เอกทิวสํ จิตฺตลปพฺพตมหาวิหาเร วตฺตํ กโรติ, เอกทิวสํ คาเมณฺฑวาลมหาวิหาเร, เอกทิวสํ โคจรคามมหาวิหาเรฯ ถินมิเทฺธ โอกฺกนฺตมเตฺต วตฺตปริหานิภเยน ปลาลวรณกํ เตเมตฺวา สีเส ฐเปตฺวา ปาเท อุทเก โอตาเรตฺวา นิสีทติฯ โส เอกทิวสํ จิตฺตลปพฺพตมหาวิหาเร เทฺว ยาเม วตฺตํ กตฺวา พลวปจฺจูสกาเล นิทฺทาย โอกฺกมิตุํ อารทฺธาย อลฺลปลาลํ สีเส ฐเปตฺวา นิสิโนฺน ปาจีนปพฺพตปเสฺส สามเณรสฺส อรุณวติยสุตฺตนฺตํ สชฺฌายนฺตสฺส –
So taṃ disvā, ‘‘bhante, imasmiṃ sāsane kati dhurāni nāmā’’ti pucchi. Āvuso, vipassanādhuraṃ, ganthadhuranti. ‘‘Bhante, gantho nāma paṭibalassa bhāro, mayhaṃ pana dukkhūpanisā saddhā, vipassanādhuraṃ pūressāmi kammaṭṭhānaṃ me dethā’’ti vanditvā nisīdi. Thero ‘‘vattasampanno bhikkhū’’ti vattasīse ṭhatvā tassa kammaṭṭhānaṃ kathesi. So kammaṭṭhānaṃ gahetvā vipassanāya ca kammaṃ karoti, vattañca pūreti. Ekadivasaṃ cittalapabbatamahāvihāre vattaṃ karoti, ekadivasaṃ gāmeṇḍavālamahāvihāre, ekadivasaṃ gocaragāmamahāvihāre. Thinamiddhe okkantamatte vattaparihānibhayena palālavaraṇakaṃ temetvā sīse ṭhapetvā pāde udake otāretvā nisīdati. So ekadivasaṃ cittalapabbatamahāvihāre dve yāme vattaṃ katvā balavapaccūsakāle niddāya okkamituṃ āraddhāya allapalālaṃ sīse ṭhapetvā nisinno pācīnapabbatapasse sāmaṇerassa aruṇavatiyasuttantaṃ sajjhāyantassa –
‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถ, ยุญฺชถ พุทฺธสาสเน;
‘‘Ārambhatha nikkamatha, yuñjatha buddhasāsane;
ธุนาถ มจฺจุโน เสนํ, นฬาคารํว กุญฺชโรฯ
Dhunātha maccuno senaṃ, naḷāgāraṃva kuñjaro.
‘‘โย อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย, อปฺปมโตฺต วิหสฺสติ;
‘‘Yo imasmiṃ dhammavinaye, appamatto vihassati;
ปหาย ชาติสํสารํ, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๘๕) –
Pahāya jātisaṃsāraṃ, dukkhassantaṃ karissatī’’ti. (saṃ. ni. 1.185) –
อิทํ ฐานํ สุตฺวา ‘‘มาทิสสฺส อารทฺธวีริยสฺส ภิกฺขุโน สมฺมาสมฺพุเทฺธน อิทํ กถิตํ ภวิสฺสตี’’ติ ปีติํ อุปฺปาเทตฺวา ฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตเทว ปาทกํ กตฺวา อนาคามิผเล ปติฎฺฐาย อปราปรํ วายมโนฺต สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ปรินิพฺพานกาเล จ ตเทว การณํ ทเสฺสโนฺต เอวมาห –
Idaṃ ṭhānaṃ sutvā ‘‘mādisassa āraddhavīriyassa bhikkhuno sammāsambuddhena idaṃ kathitaṃ bhavissatī’’ti pītiṃ uppādetvā jhānaṃ nibbattetvā tadeva pādakaṃ katvā anāgāmiphale patiṭṭhāya aparāparaṃ vāyamanto saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Parinibbānakāle ca tadeva kāraṇaṃ dassento evamāha –
‘‘อลฺลํ ปลาลปุญฺชาหํ, สีเสนาทาย จงฺกมิํ;
‘‘Allaṃ palālapuñjāhaṃ, sīsenādāya caṅkamiṃ;
ปโตฺตสฺมิ ตติยํ ฐานํ, เอตฺถ เม นตฺถิ สํสโย’’ติฯ
Pattosmi tatiyaṃ ṭhānaṃ, ettha me natthi saṃsayo’’ti.
เอวรูปสฺส วตฺตวเสน วิกฺขมฺภิตกิเลโส ตถา วิกฺขมฺภิโตว โหติฯ
Evarūpassa vattavasena vikkhambhitakileso tathā vikkhambhitova hoti.
เอกจฺจสฺส วุตฺตนเยเนว คเนฺถ ยุตฺตสฺส คนฺถํ อุคฺคณฺหนฺตสฺส สชฺฌายนฺตสฺส วาเจนฺตสฺส เทเสนฺตสฺส ปกาเสนฺตสฺส จ กิเลโส โอกาสํ น ลภติ, คนฺถวเสน วิกฺขมฺภิโตว โหติฯ โส ตํ ตถา วิกฺขมฺภิตเมว กตฺวา วิวเฎฺฎตฺวา อรหตฺตํ คณฺหาติ มลิยเทวเตฺถโร วิยฯ โส กิรายสฺมา ติวสฺสภิกฺขุกาเล กลฺลคามเก มณฺฑลารามมหาวิหาเร อุเทฺทสญฺจ คณฺหาติ, วิปสฺสนาย จ กมฺมํ กโรติฯ ตเสฺสกทิวสํ กลฺลคาเม ภิกฺขาย จรโต เอกา อุปาสิกา ยาคุอุฬุงฺกํ ทตฺวา ปุตฺตสิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา เถรํ อโนฺตนิเวสเน นิสีทาเปตฺวา ปณีตโภชนํ โภเชตฺวา ‘‘กตรคามวาสิโกสิ ตาตา’’ติ ปุจฺฉิฯ มณฺฑลารามมหาวิหาเร คนฺถกมฺมํ กโรมิ, อุปาสิเกติฯ เตน หิ ตาต ยาว คนฺถกมฺมํ กโรสิ, อิเธว นิพทฺธํ ภิกฺขํ คณฺหาสีติฯ โส ตํ อธิวาเสตฺวา ตตฺถ นิพทฺธํ ภิกฺขํ คณฺหาติ, ภตฺตกิจฺจาวสาเน อนุโมทนํ กโรโนฺต ‘‘สุขํ โหตุ, ทุกฺขา มุจฺจตู’’ติ ปททฺวยเมว กเถตฺวา คจฺฉติฯ อโนฺตวเสฺส เตมาสํ ตสฺสาเยว สงฺคหํ กโรโนฺต ปิณฺฑาปจิติํ กตฺวา มหาปวารณาย สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เนวาสิกมหาเถโร อาห – ‘‘อาวุโส มหาเทว, อชฺช วิหาเร มหาชโน สนฺนิปติสฺสติ, ตสฺส ธมฺมทานํ ทเทยฺยาสี’’ติฯ เถโร อธิวาเสสิฯ
Ekaccassa vuttanayeneva ganthe yuttassa ganthaṃ uggaṇhantassa sajjhāyantassa vācentassa desentassa pakāsentassa ca kileso okāsaṃ na labhati, ganthavasena vikkhambhitova hoti. So taṃ tathā vikkhambhitameva katvā vivaṭṭetvā arahattaṃ gaṇhāti maliyadevatthero viya. So kirāyasmā tivassabhikkhukāle kallagāmake maṇḍalārāmamahāvihāre uddesañca gaṇhāti, vipassanāya ca kammaṃ karoti. Tassekadivasaṃ kallagāme bhikkhāya carato ekā upāsikā yāguuḷuṅkaṃ datvā puttasinehaṃ uppādetvā theraṃ antonivesane nisīdāpetvā paṇītabhojanaṃ bhojetvā ‘‘kataragāmavāsikosi tātā’’ti pucchi. Maṇḍalārāmamahāvihāre ganthakammaṃ karomi, upāsiketi. Tena hi tāta yāva ganthakammaṃ karosi, idheva nibaddhaṃ bhikkhaṃ gaṇhāsīti. So taṃ adhivāsetvā tattha nibaddhaṃ bhikkhaṃ gaṇhāti, bhattakiccāvasāne anumodanaṃ karonto ‘‘sukhaṃ hotu, dukkhā muccatū’’ti padadvayameva kathetvā gacchati. Antovasse temāsaṃ tassāyeva saṅgahaṃ karonto piṇḍāpacitiṃ katvā mahāpavāraṇāya saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Nevāsikamahāthero āha – ‘‘āvuso mahādeva, ajja vihāre mahājano sannipatissati, tassa dhammadānaṃ dadeyyāsī’’ti. Thero adhivāsesi.
ทหรสามเณรา อุปาสิกาย สญฺญํ อทํสุ – ‘‘อชฺช เต ปุโตฺต ธมฺมํ กเถสฺสติ, วิหารํ คนฺตฺวา สุเณยฺยาสี’’ติฯ ตาตา, น สเพฺพว ธมฺมกถํ ชานนฺติ, มม ปุโตฺต เอตฺตกํ กาลํ มยฺหํ กเถโนฺต ‘‘สุขํ โหตุ, ทุกฺขา มุจฺจตู’’ติ ปททฺวยเมว กเถสิ, มา เกฬิํ กโรถาติฯ มา, ตฺวํ อุปาสิเก, ชานนํ วา อชานนํ วา อุปฎฺฐหสฺสุ, วิหารํ คนฺตฺวา ธมฺมเมว สุณาหีติฯ อุปาสิกา คนฺธมาลาทีนิ คเหตฺวา คนฺตฺวา ปูเชตฺวา ปริสเนฺต ธมฺมํ สุณมานา นิสีทิฯ ทิวาธมฺมกถิโก จ สรภาณโก จ อตฺตโน ปมาณํ ญตฺวา อุฎฺฐหิํสุฯ ตโต มลิยเทวเตฺถโร ธมฺมาสเน นิสีทิตฺวา จิตฺตพีชนิํ คเหตฺวา อนุปุพฺพิํ กถํ วตฺวา – ‘‘มยา มหาอุปาสิกาย ตโย มาเส ทฺวีเหว ปเทหิ อนุโมทนา กตา, อชฺช สพฺพรตฺติํ ตีหิ ปิฎเกหิ สมฺมสิตฺวา ตเสฺสว ปททฺวยสฺส อตฺถํ กเถสฺสามี’’ติ ธมฺมเทสนํ อารภิตฺวา สพฺพรตฺติํ กเถสิฯ อรุณุคฺคมเน เทสนาปริโยสาเน มหาอุปาสิกา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ
Daharasāmaṇerā upāsikāya saññaṃ adaṃsu – ‘‘ajja te putto dhammaṃ kathessati, vihāraṃ gantvā suṇeyyāsī’’ti. Tātā, na sabbeva dhammakathaṃ jānanti, mama putto ettakaṃ kālaṃ mayhaṃ kathento ‘‘sukhaṃ hotu, dukkhā muccatū’’ti padadvayameva kathesi, mā keḷiṃ karothāti. Mā, tvaṃ upāsike, jānanaṃ vā ajānanaṃ vā upaṭṭhahassu, vihāraṃ gantvā dhammameva suṇāhīti. Upāsikā gandhamālādīni gahetvā gantvā pūjetvā parisante dhammaṃ suṇamānā nisīdi. Divādhammakathiko ca sarabhāṇako ca attano pamāṇaṃ ñatvā uṭṭhahiṃsu. Tato maliyadevatthero dhammāsane nisīditvā cittabījaniṃ gahetvā anupubbiṃ kathaṃ vatvā – ‘‘mayā mahāupāsikāya tayo māse dvīheva padehi anumodanā katā, ajja sabbarattiṃ tīhi piṭakehi sammasitvā tasseva padadvayassa atthaṃ kathessāmī’’ti dhammadesanaṃ ārabhitvā sabbarattiṃ kathesi. Aruṇuggamane desanāpariyosāne mahāupāsikā sotāpattiphale patiṭṭhāsi.
อปโรปิ ตสฺมิํเยว มหาวิหาเร ติสฺสภูติเตฺถโร นาม วินยํ คณฺหโนฺต ภิกฺขาจารเวลายํ อโนฺตคามํ ปวิโฎฺฐ วิสภาคารมฺมณํ โอโลเกสิฯ ตสฺส โลโภ อุปฺปชฺชิ, โส ปติฎฺฐิตปาทํ อจาเลตฺวา อตฺตโน ปเตฺต ยาคุํ อุปฎฺฐากทหรสฺส ปเตฺต อากิริตฺวา ‘‘อยํ วิตโกฺก วฑฺฒมาโน มํ จตูสุ อปาเยสุ สํสีทาเปสฺสตี’’ติ ตโตว นิวตฺติตฺวา อาจริยสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต อาห – ‘‘เอโก เม พฺยาธิ อุปฺปโนฺน, อหํ เอตํ ติกิจฺฉิตุํ สโกฺกโนฺต อาคมิสฺสามิ, อิตรถา นาคมิสฺสามิฯ ตุเมฺห ทิวา อุเทฺทสญฺจ สายํ อุเทฺทสญฺจ มํ โอโลเกตฺวา ฐเปถ, ปจฺจูสกาเล อุเทฺทสํ ปน มา ฐปยิตฺถา’’ติ เอวํ วตฺวา มลยวาสิมหาสงฺฆรกฺขิตเตฺถรสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ เถโร อตฺตโน ปณฺณสาลาย ปริภณฺฑํ กโรโนฺต ตํ อโนโลเกตฺวาว ‘‘ปฎิสาเมหิ, อาวุโส, ตว ปตฺตจีวร’’นฺติ อาหฯ ภเนฺต, เอโก เม พฺยาธิ อตฺถิ, สเจ ตุเมฺห ตํ ติกิจฺฉิตุํ สโกฺกถ, ปฎิสาเมสฺสามีติฯ อาวุโส, อุปฺปนฺนํ โรคํ ติกิจฺฉิตุํ สมตฺถสฺส สนฺติกํ อาคโตสิ, ปฎิสาเมหีติฯ สุพฺพโจ ภิกฺขุ ‘‘อมฺหากํ อาจริโย อชานิตฺวา เอวํ น วกฺขตี’’ติ ปตฺตจีวรํ ฐเปตฺวา เถรสฺส วตฺตํ ทเสฺสตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
Aparopi tasmiṃyeva mahāvihāre tissabhūtitthero nāma vinayaṃ gaṇhanto bhikkhācāravelāyaṃ antogāmaṃ paviṭṭho visabhāgārammaṇaṃ olokesi. Tassa lobho uppajji, so patiṭṭhitapādaṃ acāletvā attano patte yāguṃ upaṭṭhākadaharassa patte ākiritvā ‘‘ayaṃ vitakko vaḍḍhamāno maṃ catūsu apāyesu saṃsīdāpessatī’’ti tatova nivattitvā ācariyassa santikaṃ gantvā vanditvā ekamantaṃ ṭhito āha – ‘‘eko me byādhi uppanno, ahaṃ etaṃ tikicchituṃ sakkonto āgamissāmi, itarathā nāgamissāmi. Tumhe divā uddesañca sāyaṃ uddesañca maṃ oloketvā ṭhapetha, paccūsakāle uddesaṃ pana mā ṭhapayitthā’’ti evaṃ vatvā malayavāsimahāsaṅgharakkhitattherassa santikaṃ agamāsi. Thero attano paṇṇasālāya paribhaṇḍaṃ karonto taṃ anoloketvāva ‘‘paṭisāmehi, āvuso, tava pattacīvara’’nti āha. Bhante, eko me byādhi atthi, sace tumhe taṃ tikicchituṃ sakkotha, paṭisāmessāmīti. Āvuso, uppannaṃ rogaṃ tikicchituṃ samatthassa santikaṃ āgatosi, paṭisāmehīti. Subbaco bhikkhu ‘‘amhākaṃ ācariyo ajānitvā evaṃ na vakkhatī’’ti pattacīvaraṃ ṭhapetvā therassa vattaṃ dassetvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi.
เถโร ‘‘ราคจริโต อย’’นฺติ ญตฺวา อสุภกมฺมฎฺฐานํ กเถสิฯ โส อุฎฺฐาย ปตฺตจีวรํ อํเส ลเคฺคตฺวา เถรํ ปุนปฺปุนํ วนฺทิฯ กิํ, อาวุโส, มหาภูติ อติเรกนิปจฺจการํ ทเสฺสสีติ? ภเนฺต, สเจ อตฺตโน กิจฺจํ กาตุํ สกฺขิสฺสามิ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ, อิทํ เม ปจฺฉิมทสฺสนนฺติ! คจฺฉาวุโส, มหาภูติ ตาทิสสฺส ยุตฺตโยคสฺส กุลปุตฺตสฺส น ฌานํ วา วิปสฺสนา วา มโคฺค วา ผลํ วา ทุลฺลภนฺติฯ โส เถรสฺส กถํ สุตฺวา นิปจฺจการํ ทเสฺสตฺวา อาคมนกาเล ววตฺถาปิตํ ฉนฺนํ เสปณฺณิคจฺฉมูลํ คนฺตฺวา ปลฺลเงฺกน นิสิโนฺน อสุภกมฺมฎฺฐานํ ปาทกํ กตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหเตฺต ปติฎฺฐาย ปจฺจูสกาเล อุเทฺทสํ สมฺปาปุณิฯ เอวรูปานํ คนฺถวเสน วิกฺขมฺภิตา กิเลสา ตถา วิกฺขมฺภิตาว โหนฺติฯ
Thero ‘‘rāgacarito aya’’nti ñatvā asubhakammaṭṭhānaṃ kathesi. So uṭṭhāya pattacīvaraṃ aṃse laggetvā theraṃ punappunaṃ vandi. Kiṃ, āvuso, mahābhūti atirekanipaccakāraṃ dassesīti? Bhante, sace attano kiccaṃ kātuṃ sakkhissāmi, iccetaṃ kusalaṃ. No ce, idaṃ me pacchimadassananti! Gacchāvuso, mahābhūti tādisassa yuttayogassa kulaputtassa na jhānaṃ vā vipassanā vā maggo vā phalaṃ vā dullabhanti. So therassa kathaṃ sutvā nipaccakāraṃ dassetvā āgamanakāle vavatthāpitaṃ channaṃ sepaṇṇigacchamūlaṃ gantvā pallaṅkena nisinno asubhakammaṭṭhānaṃ pādakaṃ katvā vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahatte patiṭṭhāya paccūsakāle uddesaṃ sampāpuṇi. Evarūpānaṃ ganthavasena vikkhambhitā kilesā tathā vikkhambhitāva honti.
เอกจฺจสฺส ปน วุตฺตนเยเนว ธุตงฺคานิ ปริหรโต กิเลโส โอกาสํ น ลภติ, ธุตงฺควเสน วิกฺขมฺภิโตว โหติฯ โส ตํ ตถา วิกฺขมฺภิตเมว กตฺวา วิวเฎฺฎตฺวา อรหตฺตํ คณฺหาติ คามนฺตปพฺภารวาสี มหาสีวเตฺถโร วิยฯ เถโร กิร มหาคาเม ติสฺสมหาวิหาเร วสโนฺต เตปิฎกํ อตฺถวเสน จ ปาฬิวเสน จ อฎฺฐารส มหาคเณ วาเจติฯ เถรสฺส โอวาเท ฐตฺวา สฎฺฐิสหสฺส ภิกฺขู อรหตฺตํ ปาปุณิํสุ ฯ เตสุ เอโก ภิกฺขุ อตฺตนา ปฎิวิทฺธธมฺมํ อารพฺภ อุปฺปนฺนโสมนโสฺส จิเนฺตสิ – ‘‘อตฺถิ นุ โข อิทํ สุขํ อมฺหากํ อาจริยสฺสา’’ติฯ โส อาวเชฺชโนฺต เถรสฺส ปุถุชฺชนภาวํ ญตฺวา ‘‘เอเกนุปาเยน เถรสฺส สํเวคํ อุปฺปาเทสฺสามี’’ติ อตฺตโน วสนฎฺฐานโต เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา วตฺตํ ทเสฺสตฺวา นิสีทิฯ อถ นํ เถโร ‘‘กิํ อาคโตสิ, อาวุโส, ปิณฺฑปาติกา’’ติ อาหฯ ‘‘สเจ เม โอกาสํ กริสฺสถ, เอกํ ธมฺมปทํ คณฺหิสฺสามี’’ติ อาคโตสฺมิ, ภเนฺตติฯ พหู, อาวุโส, คณฺหนฺติ, ตุยฺหํ โอกาโส น ภวิสฺสตีติฯ โส สเพฺพสุ รตฺติทิวสภาเคสุ โอกาสํ อลภโนฺต, ‘‘ภเนฺต, เอวํ โอกาเส อสติ มรณสฺส กถํ โอกาสํ ลภิสฺสถา’’ติ อาหฯ ตทา เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘นายํ อุเทฺทสตฺถาย อาคโต, มยฺหํ ปเนส สํเวคชนนตฺถาย อาคโต’’ติฯ โสปิ เถโร ‘‘ภิกฺขุนา นาม, ภเนฺต, มาทิเสน ภวิตพฺพ’’นฺติ วตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา มณิวเณฺณ อากาเส อุปฺปติตฺวา อคมาสิฯ
Ekaccassa pana vuttanayeneva dhutaṅgāni pariharato kileso okāsaṃ na labhati, dhutaṅgavasena vikkhambhitova hoti. So taṃ tathā vikkhambhitameva katvā vivaṭṭetvā arahattaṃ gaṇhāti gāmantapabbhāravāsī mahāsīvatthero viya. Thero kira mahāgāme tissamahāvihāre vasanto tepiṭakaṃ atthavasena ca pāḷivasena ca aṭṭhārasa mahāgaṇe vāceti. Therassa ovāde ṭhatvā saṭṭhisahassa bhikkhū arahattaṃ pāpuṇiṃsu . Tesu eko bhikkhu attanā paṭividdhadhammaṃ ārabbha uppannasomanasso cintesi – ‘‘atthi nu kho idaṃ sukhaṃ amhākaṃ ācariyassā’’ti. So āvajjento therassa puthujjanabhāvaṃ ñatvā ‘‘ekenupāyena therassa saṃvegaṃ uppādessāmī’’ti attano vasanaṭṭhānato therassa santikaṃ gantvā vanditvā vattaṃ dassetvā nisīdi. Atha naṃ thero ‘‘kiṃ āgatosi, āvuso, piṇḍapātikā’’ti āha. ‘‘Sace me okāsaṃ karissatha, ekaṃ dhammapadaṃ gaṇhissāmī’’ti āgatosmi, bhanteti. Bahū, āvuso, gaṇhanti, tuyhaṃ okāso na bhavissatīti. So sabbesu rattidivasabhāgesu okāsaṃ alabhanto, ‘‘bhante, evaṃ okāse asati maraṇassa kathaṃ okāsaṃ labhissathā’’ti āha. Tadā thero cintesi – ‘‘nāyaṃ uddesatthāya āgato, mayhaṃ panesa saṃvegajananatthāya āgato’’ti. Sopi thero ‘‘bhikkhunā nāma, bhante, mādisena bhavitabba’’nti vatvā theraṃ vanditvā maṇivaṇṇe ākāse uppatitvā agamāsi.
เถโร ตสฺส คตกาลโต ปฎฺฐาย ชาตสํเวโค ทิวา อุเทฺทสญฺจ สายํ อุเทฺทสญฺจ วาเจตฺวา ปตฺตจีวรํ หตฺถปาเส ฐเปตฺวา ปจฺจูสกาเล อุเทฺทสํ คเหตฺวา โอตรเนฺตน ภิกฺขุนา สทฺธิํ ปตฺตจีวรมาทาย โอติโณฺณ เตรส ธุตคุเณ ปริปุเณฺณ อธิฎฺฐาย คามนฺตปพฺภารเสนาสนํ คนฺตฺวา ปพฺภารํ ปฎิชคฺคิตฺวา มญฺจปีฐํ อุสฺสาเปตฺวา ‘‘อรหตฺตํ อปตฺวา มเญฺจ ปิฎฺฐิํ น ปสาเรสฺสามี’’ติ มานสํ พนฺธิตฺวา จงฺกมํ โอตริฯ ตสฺส ‘‘อชฺช อรหตฺตํ คณฺหิสฺสามิ อชฺช อรหตฺตํ คณฺหิสฺสามี’’ติ ฆเฎนฺตเสฺสว ปวารณา สมฺปตฺตาฯ โส ปวารณาย อุปกฎฺฐาย ‘‘ปุถุชฺชนภาวํ ปหาย วิสุทฺธิปวารณํ ปวาเรสฺสามี’’ติ จิเนฺตโนฺต อติวิย กิลมติฯ โส ตาย ปวารณาย มคฺคํ วา ผลํ วา อุปฺปาเทตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘มาทิโสปิ นาม อารทฺธวิปสฺสโก น ลภติ, ยาว ทุลฺลภญฺจ วติทํ อรหตฺต’’นฺติ วตฺวา เตเนว นิยาเมน ฐานจงฺกมพหุโล หุตฺวา ติํส วสฺสานิ สมณธมฺมํ กตฺวา มหาปวารณาย มเชฺฌ ฐิตํ ปุณฺณจนฺทํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข จนฺทมณฺฑลํ วิสุทฺธํ, อุทาหุ มยฺหํ สีล’’นฺติ จิเนฺตโนฺต ‘‘จนฺทมณฺฑเล สสลกฺขณํ ปญฺญายติ, มยฺหํ ปน อุปสมฺปทโต ปฎฺฐาย ยาวชฺชทิวสา สีลสฺมิํ กาฬกํ วา ติลโก วา นตฺถี’’ติ อาวเชฺชตฺวา สญฺชาตปีติโสมนโสฺส ปริปกฺกญาณตฺตา ปีติํ วิกฺขเมฺภตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เอวรูปสฺส ธุตงฺควเสน วิกฺขมฺภิโต กิเลโส ตถา วิกฺขมฺภิโตว โหติฯ
Thero tassa gatakālato paṭṭhāya jātasaṃvego divā uddesañca sāyaṃ uddesañca vācetvā pattacīvaraṃ hatthapāse ṭhapetvā paccūsakāle uddesaṃ gahetvā otarantena bhikkhunā saddhiṃ pattacīvaramādāya otiṇṇo terasa dhutaguṇe paripuṇṇe adhiṭṭhāya gāmantapabbhārasenāsanaṃ gantvā pabbhāraṃ paṭijaggitvā mañcapīṭhaṃ ussāpetvā ‘‘arahattaṃ apatvā mañce piṭṭhiṃ na pasāressāmī’’ti mānasaṃ bandhitvā caṅkamaṃ otari. Tassa ‘‘ajja arahattaṃ gaṇhissāmi ajja arahattaṃ gaṇhissāmī’’ti ghaṭentasseva pavāraṇā sampattā. So pavāraṇāya upakaṭṭhāya ‘‘puthujjanabhāvaṃ pahāya visuddhipavāraṇaṃ pavāressāmī’’ti cintento ativiya kilamati. So tāya pavāraṇāya maggaṃ vā phalaṃ vā uppādetuṃ asakkonto ‘‘mādisopi nāma āraddhavipassako na labhati, yāva dullabhañca vatidaṃ arahatta’’nti vatvā teneva niyāmena ṭhānacaṅkamabahulo hutvā tiṃsa vassāni samaṇadhammaṃ katvā mahāpavāraṇāya majjhe ṭhitaṃ puṇṇacandaṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho candamaṇḍalaṃ visuddhaṃ, udāhu mayhaṃ sīla’’nti cintento ‘‘candamaṇḍale sasalakkhaṇaṃ paññāyati, mayhaṃ pana upasampadato paṭṭhāya yāvajjadivasā sīlasmiṃ kāḷakaṃ vā tilako vā natthī’’ti āvajjetvā sañjātapītisomanasso paripakkañāṇattā pītiṃ vikkhambhetvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Evarūpassa dhutaṅgavasena vikkhambhito kileso tathā vikkhambhitova hoti.
เอกจฺจสฺส วุตฺตนเยเนว ปฐมชฺฌานาทิสมาปชฺชนพหุลตาย กิเลโส โอกาสํ น ลภติ, สมาปตฺติวเสน วิกฺขมฺภิโตว โหติฯ โส ตํ ตถา วิกฺขมฺภิตเมว กตฺวา วิวเฎฺฎตฺวา อรหตฺตํ คณฺหาติ มหาติสฺสเตฺถโร วิยฯ เถโร กิร อวสฺสิกกาลโต ปฎฺฐาย อฎฺฐสมาปตฺติลาภีฯ โส สมาปตฺติวิกฺขมฺภิตานํ กิเลสานํ อสมุทาจาเรน อุคฺคหปริปุจฺฉาวเสเนว อริยมคฺคสามนฺตํ กเถติ, สฎฺฐิวสฺสกาเลปิ อตฺตโน ปุถุชฺชนภาวํ น ชานาติฯ อเถกทิวสํ มหาคาเม ติสฺสมหาวิหารโต ภิกฺขุสโงฺฆ ตลงฺครวาสิธมฺมทินฺนเตฺถรสฺส สาสนํ เปเสสิ ‘‘เถโร อาคนฺตฺวา อมฺหากํ ธมฺมกถํ กเถตู’’ติฯ เถโร อธิวาเสตฺวา ‘‘มม สนฺติเก มหลฺลกตโร ภิกฺขุ นตฺถิ, มหาติสฺสเตฺถโร โข ปน เม กมฺมฎฺฐานาจริโย, ตํ สงฺฆเตฺถรํ กตฺวา คมิสฺสามี’’ติ จิเนฺตโนฺต ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต เถรสฺส วิหารํ คนฺตฺวา ทิวาฎฺฐาเน เถรสฺส วตฺตํ ทเสฺสตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
Ekaccassa vuttanayeneva paṭhamajjhānādisamāpajjanabahulatāya kileso okāsaṃ na labhati, samāpattivasena vikkhambhitova hoti. So taṃ tathā vikkhambhitameva katvā vivaṭṭetvā arahattaṃ gaṇhāti mahātissatthero viya. Thero kira avassikakālato paṭṭhāya aṭṭhasamāpattilābhī. So samāpattivikkhambhitānaṃ kilesānaṃ asamudācārena uggahaparipucchāvaseneva ariyamaggasāmantaṃ katheti, saṭṭhivassakālepi attano puthujjanabhāvaṃ na jānāti. Athekadivasaṃ mahāgāme tissamahāvihārato bhikkhusaṅgho talaṅgaravāsidhammadinnattherassa sāsanaṃ pesesi ‘‘thero āgantvā amhākaṃ dhammakathaṃ kathetū’’ti. Thero adhivāsetvā ‘‘mama santike mahallakataro bhikkhu natthi, mahātissatthero kho pana me kammaṭṭhānācariyo, taṃ saṅghattheraṃ katvā gamissāmī’’ti cintento bhikkhusaṅghaparivuto therassa vihāraṃ gantvā divāṭṭhāne therassa vattaṃ dassetvā ekamantaṃ nisīdi.
เถโร อาห – ‘‘กิํ, ธมฺมทินฺน, จิรสฺสํ อาคโตสี’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต, ติสฺสมหาวิหารโต เม ภิกฺขุสโงฺฆ สาสนํ เปเสสิ, อหํ เอกโก น คมิสฺสามิ, ตุเมฺหหิ ปน สทฺธิํ คนฺตุกาโม หุตฺวา อาคโตมฺหี’’ติ สารณียกถํ กเถโนฺตว ปปเญฺจตฺวา ‘‘กทา, ภเนฺต, ตุเมฺหหิ อยํ ธโมฺม อธิคโต’’ติ ปุจฺฉิฯ สฎฺฐิมตฺตานิ, อาวุโส ธมฺมทินฺน, วสฺสานิ โหนฺตีติ ฯ สมาปตฺติํ ปน, ภเนฺต, วฬเญฺชถาติฯ อาม, อาวุโสติฯ เอกํ โปกฺขรณิํ มาเปตุํ สกฺกุเณยฺยาถ, ภเนฺตติ? ‘‘น, อาวุโส, เอตํ ภาริย’’นฺติ วตฺวา สมฺมุขฎฺฐาเน โปกฺขรณิํ มาเปสิฯ ‘‘เอตฺถ, ภเนฺต, เอกํ ปทุมคจฺฉํ มาเปถา’’ติ จ วุโตฺต ตมฺปิ มาเปสิฯ อิทาเนตฺถ มหนฺตํ ปุปฺผํ ทเสฺสถาติฯ เถโร ตมฺปิ ทเสฺสสิฯ เอตฺถ โสฬสวสฺสุเทฺทสิกํ อิตฺถิรูปํ ทเสฺสถาติ ฯ เถโร โสฬสวสฺสุเทฺทสิกํ อิตฺถิรูปํ ทเสฺสสิฯ ตโต นํ อาห – ‘‘อิทํ, ภเนฺต, ปุนปฺปุนํ สุภโต มนสิ กโรถา’’ติฯ เถโร อตฺตนาว มาปิตํ อิตฺถิรูปํ โอโลเกโนฺต โลภํ อุปฺปาเทสิฯ ตทา อตฺตโน ปุถุชฺชนภาวํ ญตฺวา ‘‘อวสฺสโย เม สปฺปุริส โหหี’’ติ อเนฺตวาสิกสฺส สนฺติเก อุกฺกุฎิกํ นิสีทิฯ ‘‘เอตทตฺถเมวาหํ, ภเนฺต, อาคโต’’ติ เถรสฺส อสุภวเสน สลฺลหุกํ กตฺวา กมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา เถรสฺส โอกาสํ กาตุํ พหิ นิกฺขโนฺตฯ สุปริมทฺทิตสงฺขาโร เถโร ตสฺมิํ ทิวาฎฺฐานโต นิกฺขนฺตมเตฺตเยว สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถ นํ สงฺฆเตฺถรํ กตฺวา ธมฺมทินฺนเตฺถโร ติสฺสมหาวิหารํ คนฺตฺวา สงฺฆสฺส ธมฺมกถํ กเถสิฯ เอวรูปสฺส สมาปตฺติวเสน วิกฺขมฺภิโต กิเลโส ตถา วิกฺขมฺภิโตว โหติฯ
Thero āha – ‘‘kiṃ, dhammadinna, cirassaṃ āgatosī’’ti? ‘‘Āma, bhante, tissamahāvihārato me bhikkhusaṅgho sāsanaṃ pesesi, ahaṃ ekako na gamissāmi, tumhehi pana saddhiṃ gantukāmo hutvā āgatomhī’’ti sāraṇīyakathaṃ kathentova papañcetvā ‘‘kadā, bhante, tumhehi ayaṃ dhammo adhigato’’ti pucchi. Saṭṭhimattāni, āvuso dhammadinna, vassāni hontīti . Samāpattiṃ pana, bhante, vaḷañjethāti. Āma, āvusoti. Ekaṃ pokkharaṇiṃ māpetuṃ sakkuṇeyyātha, bhanteti? ‘‘Na, āvuso, etaṃ bhāriya’’nti vatvā sammukhaṭṭhāne pokkharaṇiṃ māpesi. ‘‘Ettha, bhante, ekaṃ padumagacchaṃ māpethā’’ti ca vutto tampi māpesi. Idānettha mahantaṃ pupphaṃ dassethāti. Thero tampi dassesi. Ettha soḷasavassuddesikaṃ itthirūpaṃ dassethāti . Thero soḷasavassuddesikaṃ itthirūpaṃ dassesi. Tato naṃ āha – ‘‘idaṃ, bhante, punappunaṃ subhato manasi karothā’’ti. Thero attanāva māpitaṃ itthirūpaṃ olokento lobhaṃ uppādesi. Tadā attano puthujjanabhāvaṃ ñatvā ‘‘avassayo me sappurisa hohī’’ti antevāsikassa santike ukkuṭikaṃ nisīdi. ‘‘Etadatthamevāhaṃ, bhante, āgato’’ti therassa asubhavasena sallahukaṃ katvā kammaṭṭhānaṃ kathetvā therassa okāsaṃ kātuṃ bahi nikkhanto. Suparimadditasaṅkhāro thero tasmiṃ divāṭṭhānato nikkhantamatteyeva saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Atha naṃ saṅghattheraṃ katvā dhammadinnatthero tissamahāvihāraṃ gantvā saṅghassa dhammakathaṃ kathesi. Evarūpassa samāpattivasena vikkhambhito kileso tathā vikkhambhitova hoti.
เอกจฺจสฺส ปน วุตฺตนเยเนว วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรนฺตสฺส กิเลโส โอกาสํ น ลภติ, วิปสฺสนาวเสน วิกฺขมฺภิโตว โหติฯ โส ตํ ตถา วิกฺขมฺภิตเมว กตฺวา วิวเฎฺฎตฺวา อรหตฺตํ คณฺหาติ, พุทฺธกาเล สฎฺฐิมตฺตา อารทฺธวิปสฺสกา ภิกฺขู วิยฯ เต กิร สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วิวิตฺตํ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรนฺตา กิเลสานํ อสมุทาจารวเสน ‘‘ปฎิวิทฺธมคฺคผลา มย’’นฺติ สญฺญาย มคฺคผลตฺถาย วายามํ อกตฺวา ‘‘อเมฺหหิ ปฎิวิทฺธธมฺมํ ทสพลสฺส อาโรเจสฺสามา’’ติ สตฺถุ สนฺติกํ อาคจฺฉนฺติฯ
Ekaccassa pana vuttanayeneva vipassanāya kammaṃ karontassa kileso okāsaṃ na labhati, vipassanāvasena vikkhambhitova hoti. So taṃ tathā vikkhambhitameva katvā vivaṭṭetvā arahattaṃ gaṇhāti, buddhakāle saṭṭhimattā āraddhavipassakā bhikkhū viya. Te kira satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā vivittaṃ araññaṃ pavisitvā vipassanāya kammaṃ karontā kilesānaṃ asamudācāravasena ‘‘paṭividdhamaggaphalā maya’’nti saññāya maggaphalatthāya vāyāmaṃ akatvā ‘‘amhehi paṭividdhadhammaṃ dasabalassa ārocessāmā’’ti satthu santikaṃ āgacchanti.
สตฺถา เตสํ ปุเร อาคมนโตว อานนฺทเตฺถรํ อาห – ‘‘อานนฺท, ปธานกมฺมิกา ภิกฺขู อชฺช มํ ปสฺสิตุํ อาคมิสฺสนฺติ, เตสํ มม ทสฺสนาย โอกาสํ อกตฺวา ‘อามกสุสานํ คนฺตฺวา อลฺลอสุภภาวนํ กโรถา’ติ ปหิเณยฺยาสี’’ติฯ เถโร เตสํ อาคตานํ สตฺถารา กถิตสาสนํ อาโรเจสิฯ เต ‘‘ตถาคโต อชานิตฺวา น กเถสฺสติ, อทฺธา เอตฺถ การณํ ภวิสฺสตี’’ติ อามกสุสานํ คนฺตฺวา อลฺลอสุภํ โอโลเกนฺตา โลภํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘อิทํ นูน สมฺมาสมฺพุเทฺธน ทิฎฺฐํ ภวิสฺสตี’’ติ ชาตสํเวคา ลทฺธมคฺคํ กมฺมฎฺฐานํ อาทิโต ปฎฺฐาย อารภิํสุฯ สตฺถา เตสํ วิปสฺสนาย อารทฺธภาวํ ญตฺวา คนฺธกุฎิยํ นิสิโนฺนว อิมํ โอภาสคาถมาห –
Satthā tesaṃ pure āgamanatova ānandattheraṃ āha – ‘‘ānanda, padhānakammikā bhikkhū ajja maṃ passituṃ āgamissanti, tesaṃ mama dassanāya okāsaṃ akatvā ‘āmakasusānaṃ gantvā allaasubhabhāvanaṃ karothā’ti pahiṇeyyāsī’’ti. Thero tesaṃ āgatānaṃ satthārā kathitasāsanaṃ ārocesi. Te ‘‘tathāgato ajānitvā na kathessati, addhā ettha kāraṇaṃ bhavissatī’’ti āmakasusānaṃ gantvā allaasubhaṃ olokentā lobhaṃ uppādetvā ‘‘idaṃ nūna sammāsambuddhena diṭṭhaṃ bhavissatī’’ti jātasaṃvegā laddhamaggaṃ kammaṭṭhānaṃ ādito paṭṭhāya ārabhiṃsu. Satthā tesaṃ vipassanāya āraddhabhāvaṃ ñatvā gandhakuṭiyaṃ nisinnova imaṃ obhāsagāthamāha –
‘‘ยานิมานิ อปตฺตานิ, อลาพูเนว สารเท;
‘‘Yānimāni apattāni, alābūneva sārade;
กาโปตกานิ อฎฺฐีนิ, ตานิ ทิสฺวาน กา รตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๔๙);
Kāpotakāni aṭṭhīni, tāni disvāna kā ratī’’ti. (dha. pa. 149);
คาถาปริโยสาเน อรหตฺตผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ เอวรูปานํ วิปสฺสนาวเสน วิกฺขมฺภิตา กิเลสา ตถา วิกฺขมฺภิตาว โหนฺติฯ
Gāthāpariyosāne arahattaphale patiṭṭhahiṃsu. Evarūpānaṃ vipassanāvasena vikkhambhitā kilesā tathā vikkhambhitāva honti.
เอกจฺจสฺส วุตฺตนเยเนว นวกมฺมํ กโรนฺตสฺส กิเลโส โอกาสํ น ลภติ, นวกมฺมวเสน วิกฺขมฺภิโตว โหติฯ โส ตํ ตถา วิกฺขมฺภิตเมว กตฺวา วิวเฎฺฎตฺวา อรหตฺตํ คณฺหาติ จิตฺตลปพฺพเต ติสฺสเตฺถโร วิยฯ ตสฺส กิร อฎฺฐวสฺสิกกาเล อนภิรติ อุปฺปชฺชิ, โส ตํ วิโนเทตุํ อสโกฺกโนฺต อตฺตโน จีวรํ โธวิตฺวา รชิตฺวา ปตฺตํ ปจิตฺวา เกเส โอหาเรตฺวา อุปชฺฌายํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ เถโร อาห – ‘‘กิํ, อาวุโส มหาติสฺส, อตุฎฺฐสฺส วิย เต อากาโร’’ติ? อาม, ภเนฺต, อนภิรติ เม อุปฺปนฺนา, ตํ วิโนเทตุํ น สโกฺกมีติฯ เถโร ตสฺสาสยํ โอโลเกโนฺต อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา อนุกมฺปาวเสน อาห – ‘‘อาวุโส ติสฺส, มยํ มหลฺลกา, เอกํ โน วสนฎฺฐานํ กโรหี’’ติ ฯ ทุติยกถํ อกถิตปุโพฺพ ภิกฺขุ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ
Ekaccassa vuttanayeneva navakammaṃ karontassa kileso okāsaṃ na labhati, navakammavasena vikkhambhitova hoti. So taṃ tathā vikkhambhitameva katvā vivaṭṭetvā arahattaṃ gaṇhāti cittalapabbate tissatthero viya. Tassa kira aṭṭhavassikakāle anabhirati uppajji, so taṃ vinodetuṃ asakkonto attano cīvaraṃ dhovitvā rajitvā pattaṃ pacitvā kese ohāretvā upajjhāyaṃ vanditvā aṭṭhāsi. Atha naṃ thero āha – ‘‘kiṃ, āvuso mahātissa, atuṭṭhassa viya te ākāro’’ti? Āma, bhante, anabhirati me uppannā, taṃ vinodetuṃ na sakkomīti. Thero tassāsayaṃ olokento arahattassa upanissayaṃ disvā anukampāvasena āha – ‘‘āvuso tissa, mayaṃ mahallakā, ekaṃ no vasanaṭṭhānaṃ karohī’’ti . Dutiyakathaṃ akathitapubbo bhikkhu ‘‘sādhu, bhante’’ti sampaṭicchi.
อถ นํ เถโร อาห – ‘‘อาวุโส, นวกมฺมํ กโรโนฺต อุเทฺทสมคฺคญฺจ มา วิสฺสชฺชิ, กมฺมฎฺฐานญฺจ มนสิ กโรหิ, กาเลน จ กาลํ กสิณปริกมฺมํ กโรหี’’ติฯ ‘‘เอวํ กริสฺสามิ, ภเนฺต’’ติ เถรํ วนฺทิตฺวา ตถารูปํ สปฺปายฎฺฐานํ โอโลเกตฺวา ‘‘เอตฺถ กาตุํ สกฺกา’’ติ ทารูหิ ปูเรตฺวา ฌาเปตฺวา โสเธตฺวา อิฎฺฐกาหิ ปริกฺขิปิตฺวา ทฺวารวาตปานาทีนิ โยเชตฺวา สทฺธิํ จงฺกมนภูมิภิตฺติปริกมฺมาทีหิ เลณํ นิฎฺฐาเปตฺวา มญฺจปีฐํ สนฺถริตฺวา เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, นิฎฺฐิตํ เลเณ ปริกมฺมํ, วสถา’’ติ อาหฯ อาวุโส, ทุเกฺขน ตยา เอตํ กมฺมํ กตํ, อชฺช เอกทิวสํ ตฺวเญฺญเวตฺถ วสาหีติฯ โส ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ วนฺทิตฺวา ปาเท โธวิตฺวา เลณํ ปวิสิตฺวา ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสิโนฺน อตฺตนา กตกมฺมํ อาวชฺชิฯ ตสฺส ‘‘มนาปํ มยา อุปชฺฌายสฺส กายเวยฺยาวจฺจํ กต’’นฺติ จิเนฺตนฺตสฺส อพฺภนฺตเร ปีติ อุปฺปนฺนาฯ โส ตํ วิกฺขเมฺภตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อคฺคผลํ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เอวรูปสฺส นวกมฺมวเสน วิกฺขมฺภิโต กิเลโส ตถา วิกฺขมฺภิโตว โหติฯ
Atha naṃ thero āha – ‘‘āvuso, navakammaṃ karonto uddesamaggañca mā vissajji, kammaṭṭhānañca manasi karohi, kālena ca kālaṃ kasiṇaparikammaṃ karohī’’ti. ‘‘Evaṃ karissāmi, bhante’’ti theraṃ vanditvā tathārūpaṃ sappāyaṭṭhānaṃ oloketvā ‘‘ettha kātuṃ sakkā’’ti dārūhi pūretvā jhāpetvā sodhetvā iṭṭhakāhi parikkhipitvā dvāravātapānādīni yojetvā saddhiṃ caṅkamanabhūmibhittiparikammādīhi leṇaṃ niṭṭhāpetvā mañcapīṭhaṃ santharitvā therassa santikaṃ gantvā vanditvā, ‘‘bhante, niṭṭhitaṃ leṇe parikammaṃ, vasathā’’ti āha. Āvuso, dukkhena tayā etaṃ kammaṃ kataṃ, ajja ekadivasaṃ tvaññevettha vasāhīti. So ‘‘sādhu, bhante’’ti vanditvā pāde dhovitvā leṇaṃ pavisitvā pallaṅkaṃ ābhujitvā nisinno attanā katakammaṃ āvajji. Tassa ‘‘manāpaṃ mayā upajjhāyassa kāyaveyyāvaccaṃ kata’’nti cintentassa abbhantare pīti uppannā. So taṃ vikkhambhetvā vipassanaṃ paṭṭhapetvā aggaphalaṃ arahattaṃ pāpuṇi. Evarūpassa navakammavasena vikkhambhito kileso tathā vikkhambhitova hoti.
เอกโจฺจ ปน พฺรหฺมโลกโต อาคโต สุทฺธสโตฺต โหติฯ ตสฺส อนาเสวนตาย กิเลโส น สมุทาจรติ, ภววเสน วิกฺขมฺภิโต โหติฯ โส ตํ ตถา วิกฺขมฺภิตเมว กตฺวา วิวเฎฺฎตฺวา อรหตฺตํ คณฺหาติ อายสฺมา มหากสฺสโป วิยฯ โส หิ อายสฺมา อคารมเชฺฌปิ กาเม อปริภุญฺชิตฺวา มหาสมฺปตฺติํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา นิกฺขโนฺต อนฺตรามเคฺค ปจฺจุคฺคมนตฺถาย อาคตํ สตฺถารํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา ตีหิ โอวาเทหิ อุปสมฺปทํ ลภิตฺวา อฎฺฐเม อรุเณ สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เอวรูปสฺส ภววเสน วิกฺขมฺภิโต กิเลโส ตถา วิกฺขมฺภิโตว โหติฯ
Ekacco pana brahmalokato āgato suddhasatto hoti. Tassa anāsevanatāya kileso na samudācarati, bhavavasena vikkhambhito hoti. So taṃ tathā vikkhambhitameva katvā vivaṭṭetvā arahattaṃ gaṇhāti āyasmā mahākassapo viya. So hi āyasmā agāramajjhepi kāme aparibhuñjitvā mahāsampattiṃ pahāya pabbajitvā nikkhanto antarāmagge paccuggamanatthāya āgataṃ satthāraṃ disvā vanditvā tīhi ovādehi upasampadaṃ labhitvā aṭṭhame aruṇe saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Evarūpassa bhavavasena vikkhambhito kileso tathā vikkhambhitova hoti.
โย ปน อนนุภูตปุพฺพํ รูปาทิอารมฺมณํ ลภิตฺวา ตเตฺถว วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา วิวเฎฺฎตฺวา อรหตฺตํ คณฺหาติ, เอวรูปสฺส อนนุภูตารมฺมณวเสน กามจฺฉโนฺท อนุปฺปโนฺนว นุปฺปชฺชติ นามฯ
Yo pana ananubhūtapubbaṃ rūpādiārammaṇaṃ labhitvā tattheva vipassanaṃ paṭṭhapetvā vivaṭṭetvā arahattaṃ gaṇhāti, evarūpassa ananubhūtārammaṇavasena kāmacchando anuppannova nuppajjati nāma.
อุปฺปโนฺน วา กามจฺฉโนฺท ปหียตีติ เอตฺถ อุปฺปโนฺนติ ชาโต ภูโต สมุทาคโตฯ ปหียตีติ ตทงฺคปฺปหานํ, วิกฺขมฺภนปฺปหานํ, สมุเจฺฉทปฺปหานํ, ปฎิปสฺสทฺธิปฺปหานํ, นิสฺสรณปฺปหานนฺติ อิเมหิ ปญฺจหิ ปหาเนหิ ปหียติ, น ปุน อุปฺปชฺชตีติ อโตฺถฯ ตตฺถ วิปสฺสนาย กิเลสา ตทงฺควเสน ปหียนฺตีติ วิปสฺสนา ตทงฺคปฺปหานนฺติ เวทิตพฺพาฯ สมาปตฺติ ปน กิเลเส วิกฺขเมฺภตีติ สา วิกฺขมฺภนปฺปหานนฺติ เวทิตพฺพาฯ มโคฺค สมุจฺฉินฺทโนฺต อุปฺปชฺชติ, ผลํ ปฎิปฺปสฺสมฺภยมานํ, นิพฺพานํ สพฺพกิเลเสหิ นิสฺสฎนฺติ อิมานิ ตีณิ สมุเจฺฉทปฎิปสฺสทฺธินิสฺสรณปฺปหานานีติ วุจฺจนฺติฯ อิเมหิ โลกิยโลกุตฺตเรหิ ปญฺจหิ ปหาเนหิ ปหียตีติ อโตฺถฯ
Uppanno vā kāmacchando pahīyatīti ettha uppannoti jāto bhūto samudāgato. Pahīyatīti tadaṅgappahānaṃ, vikkhambhanappahānaṃ, samucchedappahānaṃ, paṭipassaddhippahānaṃ, nissaraṇappahānanti imehi pañcahi pahānehi pahīyati, na puna uppajjatīti attho. Tattha vipassanāya kilesā tadaṅgavasena pahīyantīti vipassanā tadaṅgappahānanti veditabbā. Samāpatti pana kilese vikkhambhetīti sā vikkhambhanappahānanti veditabbā. Maggo samucchindanto uppajjati, phalaṃ paṭippassambhayamānaṃ, nibbānaṃ sabbakilesehi nissaṭanti imāni tīṇi samucchedapaṭipassaddhinissaraṇappahānānīti vuccanti. Imehi lokiyalokuttarehi pañcahi pahānehi pahīyatīti attho.
อสุภนิมิตฺตนฺติ ทสสุ อสุเภสุ อุปฺปนฺนํ สารมฺมณํ ปฐมชฺฌานํฯ เตนาหุ โปราณา – ‘‘อสุภมฺปิ อสุภนิมิตฺตํ, อสุภารมฺมณา ธมฺมาปิ อสุภนิมิตฺต’’นฺติฯ โยนิโสมนสิกโรโตติฯ ‘‘ตตฺถ กตโม โยนิโสมนสิกาโร? อนิเจฺจ อนิจฺจ’’นฺติอาทินา นเยน วุตฺตสฺส อุปายมนสิการสฺส วเสน มนสิกโรโตฯ อนุปฺปโนฺน เจว กามจฺฉโนฺท นุปฺปชฺชตีติ อสมุทาคโต น สมุทาคจฺฉติฯ อุปฺปโนฺน จ กามจฺฉโนฺท ปหียตีติ สมุทาคโต จ กามจฺฉโนฺท ปญฺจวิเธน ปหาเนน ปหียติฯ
Asubhanimittanti dasasu asubhesu uppannaṃ sārammaṇaṃ paṭhamajjhānaṃ. Tenāhu porāṇā – ‘‘asubhampi asubhanimittaṃ, asubhārammaṇā dhammāpi asubhanimitta’’nti. Yonisomanasikarototi. ‘‘Tattha katamo yonisomanasikāro? Anicce anicca’’ntiādinā nayena vuttassa upāyamanasikārassa vasena manasikaroto. Anuppanno ceva kāmacchando nuppajjatīti asamudāgato na samudāgacchati. Uppanno ca kāmacchando pahīyatīti samudāgato ca kāmacchando pañcavidhena pahānena pahīyati.
อปิจ ฉ ธมฺมา กามจฺฉนฺทสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ – อสุภนิมิตฺตสฺส อุคฺคโห, อสุภภาวนานุโยโค, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา, โภชเน มตฺตญฺญุตา, กลฺยาณมิตฺตตา สปฺปายกถาติฯ ทสวิธญฺหิ อสุภนิมิตฺตํ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ กามจฺฉโนฺท ปหียติ, ภาเวนฺตสฺสาปิ, อินฺทฺริเยสุ ปิหิตทฺวารสฺสาปิ, จตุนฺนํ ปญฺจนฺนํ อาโลปานํ โอกาเส สติ อุทกํ ปิวิตฺวา ยาปนสีลตาย โภชเน มตฺตญฺญุโนปิฯ เตเนตํ วุตฺตํ –
Apica cha dhammā kāmacchandassa pahānāya saṃvattanti – asubhanimittassa uggaho, asubhabhāvanānuyogo, indriyesu guttadvāratā, bhojane mattaññutā, kalyāṇamittatā sappāyakathāti. Dasavidhañhi asubhanimittaṃ uggaṇhantassāpi kāmacchando pahīyati, bhāventassāpi, indriyesu pihitadvārassāpi, catunnaṃ pañcannaṃ ālopānaṃ okāse sati udakaṃ pivitvā yāpanasīlatāya bhojane mattaññunopi. Tenetaṃ vuttaṃ –
‘‘จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป, อภุตฺวา อุทกํ ปิเว;
‘‘Cattāro pañca ālope, abhutvā udakaṃ pive;
อลํ ผาสุวิหาราย, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ (เถรคา. ๙๘๓);
Alaṃ phāsuvihārāya, pahitattassa bhikkhuno’’ti. (theragā. 983);
อสุภกมฺมิกติสฺสเตฺถรสทิเส อสุภภาวนารเต กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ กามจฺฉโนฺท ปหียติ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ทสอสุภนิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉ ธมฺมา กามจฺฉนฺทสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ
Asubhakammikatissattherasadise asubhabhāvanārate kalyāṇamitte sevantassāpi kāmacchando pahīyati, ṭhānanisajjādīsu dasaasubhanissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ – ‘‘cha dhammā kāmacchandassa pahānāya saṃvattantī’’ti.
๑๗. สตฺตเม เมตฺตา เจโตวิมุตฺตีติ สพฺพสเตฺตสุ หิตผรณกา เมตฺตาฯ ยสฺมา ปน ตํสมฺปยุตฺตจิตฺตํ นีวรณาทีหิ ปจฺจนีกธเมฺมหิ วิมุจฺจติ, ตสฺมา สา ‘‘เจโตวิมุตฺตี’’ติ วุจฺจติฯ วิเสสโต วา สพฺพพฺยาปาทปริยุฎฺฐาเนน วิมุตฺตตฺตา สา เจโตวิมุตฺตีติ เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ ‘‘เมตฺตา’’ติ เอตฺตาวตา ปุพฺพภาโคปิ วฎฺฎติ, ‘‘เจโตวิมุตฺตี’’ติ วุตฺตตฺตา ปน อิธ ติกจตุกฺกชฺฌานวเสน อปฺปนาว อธิเปฺปตาฯ โยนิโสมนสิกโรโตติ ตํ เมตฺตํ เจโตวิมุตฺติํ วุตฺตลกฺขเณน อุปายมนสิกาเรน มนสิกโรนฺตสฺสฯ
17. Sattame mettā cetovimuttīti sabbasattesu hitapharaṇakā mettā. Yasmā pana taṃsampayuttacittaṃ nīvaraṇādīhi paccanīkadhammehi vimuccati, tasmā sā ‘‘cetovimuttī’’ti vuccati. Visesato vā sabbabyāpādapariyuṭṭhānena vimuttattā sā cetovimuttīti veditabbā. Tattha ‘‘mettā’’ti ettāvatā pubbabhāgopi vaṭṭati, ‘‘cetovimuttī’’ti vuttattā pana idha tikacatukkajjhānavasena appanāva adhippetā. Yonisomanasikarototi taṃ mettaṃ cetovimuttiṃ vuttalakkhaṇena upāyamanasikārena manasikarontassa.
อปิจ ฉ ธมฺมา พฺยาปาทสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ – เมตฺตานิมิตฺตสฺส อุคฺคโห, เมตฺตาภาวนานุโยโค, กมฺมสฺสกตาปจฺจเวกฺขณา, ปฎิสงฺขานพหุลตา, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติฯ โอทิสฺสกอโนทิสฺสกทิสาผรณานญฺหิ อญฺญตรวเสน เมตฺตํ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ พฺยาปาโท ปหียติ, โอธิโส อโนธิโส ทิสาผรณวเสน เมตฺตํ ภาเวนฺตสฺสาปิฯ ‘‘ตฺวํ เอตสฺส กุโทฺธ กิํ กริสฺสสิ, กิมสฺส สีลาทีนิ นาเสตุํ สกฺขิสฺสสิ, นนุ ตฺวํ อตฺตโน กเมฺมน อาคนฺตฺวา อตฺตโน กเมฺมเนว คมิสฺสสิ? ปรสฺส กุชฺฌนํ นาม วีตจฺจิตงฺคารตตฺตอยสลากคูถาทีนิ คเหตฺวา ปรํ ปหริตุกามตาสทิสํ โหติฯ เอโสปิ ตว กุโทฺธ กิํ กริสฺสติ, กิํ เต สีลาทีนิ นาเสตุํ สกฺขิสฺสติ? เอส อตฺตโน กเมฺมน อาคนฺตฺวา อตฺตโน กเมฺมเนว คมิสฺสติ, อปฺปฎิจฺฉิตปเหณกํ วิย ปฎิวาตํ ขิตฺตรโชมุฎฺฐิ วิย จ เอตเสฺสเวส โกโธ มตฺถเก ปติสฺสตี’’ติ เอวํ อตฺตโน จ ปรสฺส จ กมฺมสฺสกตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ, อุภยกมฺมสฺสกตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปฎิสงฺขาเน ฐิตสฺสาปิ, อสฺสคุตฺตเตฺถรสทิเส เมตฺตาภาวนารเต กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ พฺยาปาโท ปหียติ, ฐานนิสชฺชาทีสุ เมตฺตานิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉ ธมฺมา พฺยาปาทสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ เสสมิธ อิโต ปเรสุ จ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํ, วิเสสมตฺตเมว ปน วกฺขามาติฯ
Apica cha dhammā byāpādassa pahānāya saṃvattanti – mettānimittassa uggaho, mettābhāvanānuyogo, kammassakatāpaccavekkhaṇā, paṭisaṅkhānabahulatā, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti. Odissakaanodissakadisāpharaṇānañhi aññataravasena mettaṃ uggaṇhantassāpi byāpādo pahīyati, odhiso anodhiso disāpharaṇavasena mettaṃ bhāventassāpi. ‘‘Tvaṃ etassa kuddho kiṃ karissasi, kimassa sīlādīni nāsetuṃ sakkhissasi, nanu tvaṃ attano kammena āgantvā attano kammeneva gamissasi? Parassa kujjhanaṃ nāma vītaccitaṅgāratattaayasalākagūthādīni gahetvā paraṃ paharitukāmatāsadisaṃ hoti. Esopi tava kuddho kiṃ karissati, kiṃ te sīlādīni nāsetuṃ sakkhissati? Esa attano kammena āgantvā attano kammeneva gamissati, appaṭicchitapaheṇakaṃ viya paṭivātaṃ khittarajomuṭṭhi viya ca etassevesa kodho matthake patissatī’’ti evaṃ attano ca parassa ca kammassakataṃ paccavekkhatopi, ubhayakammassakataṃ paccavekkhitvā paṭisaṅkhāne ṭhitassāpi, assaguttattherasadise mettābhāvanārate kalyāṇamitte sevantassāpi byāpādo pahīyati, ṭhānanisajjādīsu mettānissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ – ‘‘cha dhammā byāpādassa pahānāya saṃvattantī’’ti. Sesamidha ito paresu ca vuttanayeneva veditabbaṃ, visesamattameva pana vakkhāmāti.
๑๘. อฎฺฐเม อารมฺภธาตูอาทีสุ อารมฺภธาตุ นาม ปฐมารมฺภวีริยํฯ นิกฺกมธาตุ นาม โกสชฺชโต นิกฺขนฺตตฺตา ตโต พลวตรํฯ ปรกฺกมธาตุ นาม ปรํ ปรํ ฐานํ อกฺกมนโต ตโตปิ พลวตรํฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘อารโมฺภ เจตโส กามานํ ปนูทนาย, นิกฺกโม เจตโส ปลิฆุคฺฆาฎนาย, ปรกฺกโม เจตโส พนฺธนเจฺฉทนายา’’ติ วตฺวา ‘‘ตีหิ เปเตหิ อธิมตฺตวีริยเมว กถิต’’นฺติ วุตฺตํฯ
18. Aṭṭhame ārambhadhātūādīsu ārambhadhātu nāma paṭhamārambhavīriyaṃ. Nikkamadhātu nāma kosajjato nikkhantattā tato balavataraṃ. Parakkamadhātu nāma paraṃ paraṃ ṭhānaṃ akkamanato tatopi balavataraṃ. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘ārambho cetaso kāmānaṃ panūdanāya, nikkamo cetaso palighugghāṭanāya, parakkamo cetaso bandhanacchedanāyā’’ti vatvā ‘‘tīhi petehi adhimattavīriyameva kathita’’nti vuttaṃ.
อารทฺธวีริยสฺสาติ ปริปุณฺณวีริยสฺส เจว ปคฺคหิตวีริยสฺส จฯ ตตฺถ จตุโทสาปคตํ วีริยํ อารทฺธนฺติ เวทิตพฺพํฯ น จ อติลีนํ โหติ, น จ อติปคฺคหิตํ, น จ อชฺฌตฺตํ สํขิตฺตํ, น จ พหิทฺธา วิกฺขิตฺตํฯ ตเทตํ ทุวิธํ โหติ – กายิกํ, เจตสิกญฺจฯ ตตฺถ ‘‘อิธ ภิกฺขุ ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธเมฺมหิ จิตฺตํ ปริโสเธตี’’ติ (วิภ. ๕๑๙) เอวํ รตฺติทิวสสฺส ปญฺจ โกฎฺฐาเส กาเยน ฆเฎนฺตสฺส วายมนฺตสฺส กายิกวีริยํ เวทิตพฺพํฯ ‘‘น ตาวาหํ อิโต เลณา นิกฺขมิสฺสามิ, ยาว เม น อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจตี’’ติ เอวํ โอกาสปริเจฺฉเทน วา, ‘‘น ตาวาหํ อิมํ ปลฺลงฺกํ ภินฺทิสฺสามี’’ติ เอวํ นิสชฺชาทิปริเจฺฉเทน วา มานสํ พนฺธิตฺวา ฆเฎนฺตสฺส วายมนฺตสฺส เจตสิกวีริยํ เวทิตพฺพํฯ ตทุภยมฺปิ อิธ วฎฺฎติฯ ทุวิเธนาปิ หิ อิมินา วีริเยน อารทฺธวีริยสฺส อนุปฺปนฺนเญฺจว ถินมิทฺธํ นุปฺปชฺชติ, อุปฺปนฺนญฺจ ถินมิทฺธํ ปหียติ มิลกฺขติสฺสเตฺถรสฺส วิย, คามนฺตปพฺภารวาสิมหาสีวเตฺถรสฺส วิย, ปีติมลฺลกเตฺถรสฺส วิย, กุฎุมฺพิยปุตฺตติสฺสเตฺถรสฺส วิย จฯ เอเตสุ หิ ปุริมา ตโย อเญฺญ จ เอวรูปา กายิกวีริเยน อารทฺธวีริยา, กุฎุมฺพิยปุตฺตติสฺสเตฺถโร อเญฺญ จ เอวรูปา เจตสิกวีริเยน อารทฺธวีริยา, อุจฺจาวาลุกวาสี มหานาคเตฺถโร ปน ทฺวีหิปิ วีริเยหิ อารทฺธวีริโยวฯ เถโร กิร เอกํ สตฺตาหํ จงฺกมติ, เอกํ ติฎฺฐติ, เอกํ นิสีทติ, เอกํ นิปชฺชติฯ มหาเถรสฺส เอกอิริยาปโถปิ อสปฺปาโย นาม นตฺถิ, จตุเตฺถ สตฺตาเห วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหเตฺต ปติฎฺฐาสิฯ
Āraddhavīriyassāti paripuṇṇavīriyassa ceva paggahitavīriyassa ca. Tattha catudosāpagataṃ vīriyaṃ āraddhanti veditabbaṃ. Na ca atilīnaṃ hoti, na ca atipaggahitaṃ, na ca ajjhattaṃ saṃkhittaṃ, na ca bahiddhā vikkhittaṃ. Tadetaṃ duvidhaṃ hoti – kāyikaṃ, cetasikañca. Tattha ‘‘idha bhikkhu divasaṃ caṅkamena nisajjāya āvaraṇīyehi dhammehi cittaṃ parisodhetī’’ti (vibha. 519) evaṃ rattidivasassa pañca koṭṭhāse kāyena ghaṭentassa vāyamantassa kāyikavīriyaṃ veditabbaṃ. ‘‘Na tāvāhaṃ ito leṇā nikkhamissāmi, yāva me na anupādāya āsavehi cittaṃ vimuccatī’’ti evaṃ okāsaparicchedena vā, ‘‘na tāvāhaṃ imaṃ pallaṅkaṃ bhindissāmī’’ti evaṃ nisajjādiparicchedena vā mānasaṃ bandhitvā ghaṭentassa vāyamantassa cetasikavīriyaṃ veditabbaṃ. Tadubhayampi idha vaṭṭati. Duvidhenāpi hi iminā vīriyena āraddhavīriyassa anuppannañceva thinamiddhaṃ nuppajjati, uppannañca thinamiddhaṃ pahīyati milakkhatissattherassa viya, gāmantapabbhāravāsimahāsīvattherassa viya, pītimallakattherassa viya, kuṭumbiyaputtatissattherassa viya ca. Etesu hi purimā tayo aññe ca evarūpā kāyikavīriyena āraddhavīriyā, kuṭumbiyaputtatissatthero aññe ca evarūpā cetasikavīriyena āraddhavīriyā, uccāvālukavāsī mahānāgatthero pana dvīhipi vīriyehi āraddhavīriyova. Thero kira ekaṃ sattāhaṃ caṅkamati, ekaṃ tiṭṭhati, ekaṃ nisīdati, ekaṃ nipajjati. Mahātherassa ekairiyāpathopi asappāyo nāma natthi, catutthe sattāhe vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahatte patiṭṭhāsi.
อปิจ ฉ ธมฺมา ถินมิทฺธสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ – อติโภชเน นิมิตฺตคฺคาโห, อิริยาปถสมฺปริวตฺตนตา, อาโลกสญฺญามนสิกาโร, อโพฺภกาสวาโส, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติฯ อาหรหตฺถก-ภุตฺตวมิตก-ตตฺรวฎฺฎก-อลํสาฎก-กากมาสก-พฺราหฺมณาทโย วิย โภชนํ ภุญฺชิตฺวา รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐาเน นิสินฺนสฺส หิ สมณธมฺมํ กโรโต ถินมิทฺธํ มหาหตฺถี วิย โอตฺถรนฺตํ อาคจฺฉติ, จตุปญฺจอาโลปโอกาสํ ปน ฐเปตฺวา ปานียํ ปิวิตฺวา ยาปนสีลสฺส ภิกฺขุโน ตํ น โหตีติ เอวํ อติโภชเน นิมิตฺตํ คณฺหนฺตสฺสาปิ ถินมิทฺธํ ปหียติฯ ยสฺมิํ อิริยาปเถ ถินมิทฺธํ โอกฺกมติ, ตโต อญฺญํ ปริวเตฺตนฺตสฺสาปิ, รตฺติํ จนฺทาโลกทีปาโลกอุกฺกาโลเก ทิวา สูริยาโลกํ มนสิกโรนฺตสฺสาปิ , อโพฺภกาเส วสนฺตสฺสาปิ, มหากสฺสปเตฺถรสทิเส ปหีนถินมิเทฺธ กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ ถินมิทฺธํ ปหียติ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ธุตงฺคนิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉ ธมฺมา ถินมิทฺธสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ
Apica cha dhammā thinamiddhassa pahānāya saṃvattanti – atibhojane nimittaggāho, iriyāpathasamparivattanatā, ālokasaññāmanasikāro, abbhokāsavāso, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti. Āharahatthaka-bhuttavamitaka-tatravaṭṭaka-alaṃsāṭaka-kākamāsaka-brāhmaṇādayo viya bhojanaṃ bhuñjitvā rattiṭṭhānadivāṭṭhāne nisinnassa hi samaṇadhammaṃ karoto thinamiddhaṃ mahāhatthī viya ottharantaṃ āgacchati, catupañcaālopaokāsaṃ pana ṭhapetvā pānīyaṃ pivitvā yāpanasīlassa bhikkhuno taṃ na hotīti evaṃ atibhojane nimittaṃ gaṇhantassāpi thinamiddhaṃ pahīyati. Yasmiṃ iriyāpathe thinamiddhaṃ okkamati, tato aññaṃ parivattentassāpi, rattiṃ candālokadīpālokaukkāloke divā sūriyālokaṃ manasikarontassāpi , abbhokāse vasantassāpi, mahākassapattherasadise pahīnathinamiddhe kalyāṇamitte sevantassāpi thinamiddhaṃ pahīyati, ṭhānanisajjādīsu dhutaṅganissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ – ‘‘cha dhammā thinamiddhassa pahānāya saṃvattantī’’ti.
๑๙. นวเม วูปสนฺตจิตฺตสฺสาติ ฌาเนน วา วิปสฺสนาย วา วูปสมิตจิตฺตสฺสฯ
19. Navame vūpasantacittassāti jhānena vā vipassanāya vā vūpasamitacittassa.
อปิจ ฉ ธมฺมา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ – พหุสฺสุตตา, ปริปุจฺฉกตา, วินเย ปกตญฺญุตา, วุทฺธเสวิตา, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติฯ พาหุสเจฺจนาปิ หิ เอกํ วา เทฺว วา ตโย วา จตฺตาโร วา ปญฺจ วา นิกาเย ปาฬิวเสน จ อตฺถวเสน จ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหียติ, กปฺปิยากปฺปิยปริปุจฺฉาพหุลสฺสาปิ, วินยปญฺญตฺติยํ จิณฺณวสีภาวตาย ปกตญฺญุโนปิ, วุเฑฺฒ มหลฺลกเตฺถเร อุปสงฺกมนฺตสฺสาปิ, อุปาลิเตฺถรสทิเส วินยธเร กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหียติ, ฐานนิสชฺชาทีสุ กปฺปิยากปฺปิยนิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉ ธมฺมา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ
Apica cha dhammā uddhaccakukkuccassa pahānāya saṃvattanti – bahussutatā, paripucchakatā, vinaye pakataññutā, vuddhasevitā, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti. Bāhusaccenāpi hi ekaṃ vā dve vā tayo vā cattāro vā pañca vā nikāye pāḷivasena ca atthavasena ca uggaṇhantassāpi uddhaccakukkuccaṃ pahīyati, kappiyākappiyaparipucchābahulassāpi, vinayapaññattiyaṃ ciṇṇavasībhāvatāya pakataññunopi, vuḍḍhe mahallakatthere upasaṅkamantassāpi, upālittherasadise vinayadhare kalyāṇamitte sevantassāpi uddhaccakukkuccaṃ pahīyati, ṭhānanisajjādīsu kappiyākappiyanissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ – ‘‘cha dhammā uddhaccakukkuccassa pahānāya saṃvattantī’’ti.
๒๐. ทสเม โยนิโส, ภิกฺขเว, มนสิกโรโตติ วุตฺตนเยเนว อุปายโต มนสิกโรนฺตสฺสฯ
20. Dasame yoniso, bhikkhave, manasikarototi vuttanayeneva upāyato manasikarontassa.
อปิจ ฉ ธมฺมา วิจิกิจฺฉาย ปหานาย สํวตฺตนฺติ – พหุสฺสุตตา, ปริปุจฺฉกตา, วินเย ปกตญฺญุตา, อธิโมกฺขพหุลตา, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติฯ พหุสเจฺจนาปิ หิ เอกํ วา…เป.… ปญฺจ วา นิกาเย ปาฬิวเสน จ อตฺถวเสน จ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ วิจิกิจฺฉา ปหียติ, ตีณิ รตนานิ อารพฺภ ปริปุจฺฉาพหุลสฺสาปิ, วินเย จิณฺณวสีภาวสฺสาปิ, ตีสุ รตเนสุ โอกปฺปนิยสทฺธาสงฺขาตอธิโมกฺขพหุลสฺสาปิ, สทฺธาธิมุเตฺต วกฺกลิเตฺถรสทิเส กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ วิจิกิจฺฉา ปหียติ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ติณฺณํ รตนานํ คุณนิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉ ธมฺมา วิจิกิจฺฉาย ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ อิมสฺมิํ นีวรณปฺปหานวเคฺค วฎฺฎวิวฎฺฎํ กถิตนฺติฯ
Apica cha dhammā vicikicchāya pahānāya saṃvattanti – bahussutatā, paripucchakatā, vinaye pakataññutā, adhimokkhabahulatā, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti. Bahusaccenāpi hi ekaṃ vā…pe… pañca vā nikāye pāḷivasena ca atthavasena ca uggaṇhantassāpi vicikicchā pahīyati, tīṇi ratanāni ārabbha paripucchābahulassāpi, vinaye ciṇṇavasībhāvassāpi, tīsu ratanesu okappaniyasaddhāsaṅkhātaadhimokkhabahulassāpi, saddhādhimutte vakkalittherasadise kalyāṇamitte sevantassāpi vicikicchā pahīyati, ṭhānanisajjādīsu tiṇṇaṃ ratanānaṃ guṇanissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ – ‘‘cha dhammā vicikicchāya pahānāya saṃvattantī’’ti. Imasmiṃ nīvaraṇappahānavagge vaṭṭavivaṭṭaṃ kathitanti.
นีวรณปฺปหานวคฺควณฺณนาฯ
Nīvaraṇappahānavaggavaṇṇanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๒. นีวรณปฺปหานวโคฺค • 2. Nīvaraṇappahānavaggo
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๒. นีวรณปฺปหานวคฺควณฺณนา • 2. Nīvaraṇappahānavaggavaṇṇanā