Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa
สํยุตฺตนิกาเย
Saṃyuttanikāye
สคาถาวคฺค-อฎฺฐกถา
Sagāthāvagga-aṭṭhakathā
คนฺถารมฺภกถา
Ganthārambhakathā
กรุณาสีตลหทยํ , ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตมํ;
Karuṇāsītalahadayaṃ , paññāpajjotavihatamohatamaṃ;
สนรามรโลกครุํ, วเนฺท สุคตํ คติวิมุตฺตํฯ
Sanarāmaralokagaruṃ, vande sugataṃ gativimuttaṃ.
พุโทฺธปิ พุทฺธภาวํ, ภาเวตฺวา เจว สจฺฉิกตฺวา จ;
Buddhopi buddhabhāvaṃ, bhāvetvā ceva sacchikatvā ca;
ยํ อุปคโต คตมลํ, วเนฺท ตมนุตฺตรํ ธมฺมํฯ
Yaṃ upagato gatamalaṃ, vande tamanuttaraṃ dhammaṃ.
สุคตสฺส โอรสานํ, ปุตฺตานํ มารเสนมถนานํ;
Sugatassa orasānaṃ, puttānaṃ mārasenamathanānaṃ;
อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูหํ, สิรสา วเนฺท อริยสงฺฆํฯ
Aṭṭhannampi samūhaṃ, sirasā vande ariyasaṅghaṃ.
อิติ เม ปสนฺนมติโน, รตนตฺตยวนฺทนามยํ ปุญฺญํ;
Iti me pasannamatino, ratanattayavandanāmayaṃ puññaṃ;
ยํ สุวิหตนฺตราโย, หุตฺวา ตสฺสานุภาเวนฯ
Yaṃ suvihatantarāyo, hutvā tassānubhāvena.
สํยุตฺตวคฺคปฎิมณฺฑิตสฺส, สํยุตฺตอาคมวรสฺส;
Saṃyuttavaggapaṭimaṇḍitassa, saṃyuttaāgamavarassa;
พุทฺธานุพุทฺธสํวณฺณิตสฺส, ญาณปฺปเภทชนนสฺสฯ
Buddhānubuddhasaṃvaṇṇitassa, ñāṇappabhedajananassa.
อตฺถปฺปกาสนตฺถํ, อฎฺฐกถา อาทิโต วสิสเตหิ;
Atthappakāsanatthaṃ, aṭṭhakathā ādito vasisatehi;
ปญฺจหิ ยา สงฺคีตา, อนุสงฺคีตา จ ปจฺฉาปิฯ
Pañcahi yā saṅgītā, anusaṅgītā ca pacchāpi.
สีหฬทีปํ ปน อาภตาถ, วสินา มหามหิเนฺทน;
Sīhaḷadīpaṃ pana ābhatātha, vasinā mahāmahindena;
ฐปิตา สีหฬภาสาย, ทีปวาสีนมตฺถายฯ
Ṭhapitā sīhaḷabhāsāya, dīpavāsīnamatthāya.
อปเนตฺวาน ตโตหํ, สีหฬภาสํ มโนรมํ ภาสํ;
Apanetvāna tatohaṃ, sīhaḷabhāsaṃ manoramaṃ bhāsaṃ;
ตนฺตินยานุจฺฉวิกํ, อาโรเปโนฺต วิคตโทสํฯ
Tantinayānucchavikaṃ, āropento vigatadosaṃ.
สมยํ อวิโลเมโนฺต, เถรานํ เถรวํสทีปานํ;
Samayaṃ avilomento, therānaṃ theravaṃsadīpānaṃ;
สุนิปุณวินิจฺฉยานํ, มหาวิหาเร นิวาสีนํฯ
Sunipuṇavinicchayānaṃ, mahāvihāre nivāsīnaṃ.
หิตฺวา ปุนปฺปุนาคต-มตฺถํ, อตฺถํ ปกาสยิสฺสามิ;
Hitvā punappunāgata-matthaṃ, atthaṃ pakāsayissāmi;
สุชนสฺส จ ตุฎฺฐตฺถํ, จิรฎฺฐิตตฺถญฺจ ธมฺมสฺสฯ
Sujanassa ca tuṭṭhatthaṃ, ciraṭṭhitatthañca dhammassa.
สาวตฺถิปภูตีนํ, นครานํ วณฺณนา กตา เหฎฺฐา;
Sāvatthipabhūtīnaṃ, nagarānaṃ vaṇṇanā katā heṭṭhā;
สงฺคีตีนํ ทฺวินฺนํ, ยา เม อตฺถํ วทเนฺตนฯ
Saṅgītīnaṃ dvinnaṃ, yā me atthaṃ vadantena.
วิตฺถารวเสน สุทํ, วตฺถูนิ จ ยานิ ตตฺถ วุตฺตานิ;
Vitthāravasena sudaṃ, vatthūni ca yāni tattha vuttāni;
เตสมฺปิ น อิธ ภิโยฺย, วิตฺถารกถํ กริสฺสามิฯ
Tesampi na idha bhiyyo, vitthārakathaṃ karissāmi.
สุตฺตานํ ปน อตฺถา, น วินา วตฺถูหิ เย ปกาสนฺติ;
Suttānaṃ pana atthā, na vinā vatthūhi ye pakāsanti;
เตสํ ปกาสนตฺถํ, วตฺถูนิปิ ทสฺสยิสฺสามิฯ
Tesaṃ pakāsanatthaṃ, vatthūnipi dassayissāmi.
สีลกถา ธุตธมฺมา, กมฺมฎฺฐานานิ เจว สพฺพานิ;
Sīlakathā dhutadhammā, kammaṭṭhānāni ceva sabbāni;
จริยาวิธานสหิโต, ฌานสมาปตฺติวิตฺถาโรฯ
Cariyāvidhānasahito, jhānasamāpattivitthāro.
สพฺพา จ อภิญฺญาโย, ปญฺญาสงฺกลนนิจฺฉโย เจว;
Sabbā ca abhiññāyo, paññāsaṅkalananicchayo ceva;
ขนฺธาธาตายตนินฺทฺริยานิ, อริยานิ เจว จตฺตาริฯ
Khandhādhātāyatanindriyāni, ariyāni ceva cattāri.
สจฺจานิ ปจฺจยาการเทสนา, สุปริสุทฺธนิปุณนยา;
Saccāni paccayākāradesanā, suparisuddhanipuṇanayā;
อวิมุตฺตตนฺติมคฺคา, วิปสฺสนาภาวนา เจวฯ
Avimuttatantimaggā, vipassanābhāvanā ceva.
อิติ ปน สพฺพํ ยสฺมา, วิสุทฺธิมเคฺค มยา สุปริสุทฺธํ;
Iti pana sabbaṃ yasmā, visuddhimagge mayā suparisuddhaṃ;
วุตฺตํ ตสฺมา ภิโยฺย, น ตํ อิธ วิจารยิสฺสามิฯ
Vuttaṃ tasmā bhiyyo, na taṃ idha vicārayissāmi.
‘‘มเชฺฌ วิสุทฺธิมโคฺค, เอส จตุนฺนมฺปิ อาคมานญฺหิ;
‘‘Majjhe visuddhimaggo, esa catunnampi āgamānañhi;
ฐตฺวา ปกาสยิสฺสติ, ตตฺถ ยถาภาสิตมตฺถํ’’ฯ
Ṭhatvā pakāsayissati, tattha yathābhāsitamatthaṃ’’.
อิเจฺจว กโต ตสฺมา, ตมฺปิ คเหตฺวาน สทฺธิเมตาย;
Icceva kato tasmā, tampi gahetvāna saddhimetāya;
อฎฺฐกถาย วิชานถ, สํยุตฺตวินิสฺสิตํ อตฺถนฺติฯ
Aṭṭhakathāya vijānatha, saṃyuttavinissitaṃ atthanti.
๑. เทวตาสํยุตฺตํ
1. Devatāsaṃyuttaṃ
๑. นฬวโคฺค
1. Naḷavaggo
๑. โอฆตรณสุตฺตวณฺณนา
1. Oghataraṇasuttavaṇṇanā
ตตฺถ สํยุตฺตาคโม นาม สคาถาวโคฺค, นิทานวโคฺค, ขนฺธกวโคฺค, สฬายตนวโคฺค, มหาวโคฺคติ ปญฺจวโคฺค โหติฯ สุตฺตโต –
Tattha saṃyuttāgamo nāma sagāthāvaggo, nidānavaggo, khandhakavaggo, saḷāyatanavaggo, mahāvaggoti pañcavaggo hoti. Suttato –
‘‘สตฺต สุตฺตสหสฺสานิ, สตฺต สุตฺตสตานิ จ;
‘‘Satta suttasahassāni, satta suttasatāni ca;
ทฺวาสฎฺฐิ เจว สุตฺตานิ, เอโส สํยุตฺตสงฺคโห’’ฯ
Dvāsaṭṭhi ceva suttāni, eso saṃyuttasaṅgaho’’.
ภาณวารโต ภาณวารสตํ โหติฯ ตสฺส วเคฺคสุ สคาถาวโคฺค อาทิ, สุเตฺตสุ โอฆตรณสุตฺตํฯ ตสฺสาปิ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิกํ อายสฺมตา อานเนฺทน ปฐมมหาสงฺคีติกาเล วุตฺตํ นิทานมาทิฯ สา ปเนสา ปฐมมหาสงฺคีติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถาย อาทิมฺหิ วิตฺถาริตา, ตสฺมา สา ตตฺถ วิตฺถาริตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ
Bhāṇavārato bhāṇavārasataṃ hoti. Tassa vaggesu sagāthāvaggo ādi, suttesu oghataraṇasuttaṃ. Tassāpi ‘‘evaṃ me suta’’ntiādikaṃ āyasmatā ānandena paṭhamamahāsaṅgītikāle vuttaṃ nidānamādi. Sā panesā paṭhamamahāsaṅgīti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāya ādimhi vitthāritā, tasmā sā tattha vitthāritanayeneva veditabbā.
๑. ยํ ปเนตํ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิกํ นิทานํ, ตตฺถ เอวนฺติ นิปาตปทํฯ เมติอาทีนิ นามปทานิฯ สาวตฺถิยํ วิหรตีติ เอตฺถ วีติ อุปสคฺคปทํ, หรตีติ อาขฺยาตปทนฺติ อิมินา ตาว นเยน ปทวิภาโค เวทิตโพฺพฯ
1. Yaṃ panetaṃ ‘‘evaṃ me suta’’ntiādikaṃ nidānaṃ, tattha evanti nipātapadaṃ. Metiādīni nāmapadāni. Sāvatthiyaṃ viharatīti ettha vīti upasaggapadaṃ, haratīti ākhyātapadanti iminā tāva nayena padavibhāgo veditabbo.
อตฺถโต ปน เอวํสโทฺท ตาว อุปมูปเทส-สมฺปหํสน-ครหณ-วจนสมฺปฎิคฺคหาการนิทสฺสนาวธารณาทิ-อเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถา เหส – ‘‘เอวํ ชาเตน มเจฺจน, กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุ’’นฺติ (ธ. ป. ๕๓) เอวมาทีสุ อุปมายํ อาคโตฯ ‘‘เอวํ เต อภิกฺกมิตพฺพํ , เอวํ เต ปฎิกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๒๒) อุปเทเสฯ ‘‘เอวเมตํ ภควา, เอวเมตํ สุคตา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) สมฺปหํสเนฯ ‘‘เอวเมวํ ปนายํ วสลี ยสฺมิํ วา ตสฺมิํ วา ตสฺส มุณฺฑกสฺส สมณกสฺส วณฺณํ ภาสตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๘๗) ครหเณฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺตติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑) วจนสมฺปฎิคฺคเหฯ ‘‘เอวํ พฺยา โข อหํ, ภเนฺต, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๙๘) อากาเร ฯ ‘‘เอหิ ตฺวํ มาณวก, เยน สมโณ อานโนฺท เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ – ‘สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต ภวนฺตํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี’ติฯ เอวญฺจ วเทหิ – ‘สาธุ กิร ภวํ อานโนฺท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ, เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’ติ’’อาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๕) นิทสฺสเนฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ กาลามา, อิเม ธมฺมา กุสลา วา อกุสลา วาติ? อกุสลา, ภเนฺตฯ สาวชฺชา วา อนวชฺชา วาติ? สาวชฺชา, ภเนฺตฯ วิญฺญุครหิตา วา วิญฺญุปฺปสตฺถา วาติ? วิญฺญุครหิตา, ภเนฺตฯ สมตฺตา สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ วา โน วา, กถํ โว เอตฺถ โหตีติ? สมตฺตา, ภเนฺต, สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ, เอวํ โน เอตฺถ โหตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) อวธารเณฯ สฺวายมิธ อาการนิทสฺสนาวธารเณสุ ทฎฺฐโพฺพฯ
Atthato pana evaṃsaddo tāva upamūpadesa-sampahaṃsana-garahaṇa-vacanasampaṭiggahākāranidassanāvadhāraṇādi-anekatthappabhedo. Tathā hesa – ‘‘evaṃ jātena maccena, kattabbaṃ kusalaṃ bahu’’nti (dha. pa. 53) evamādīsu upamāyaṃ āgato. ‘‘Evaṃ te abhikkamitabbaṃ , evaṃ te paṭikkamitabba’’ntiādīsu (a. ni. 4.122) upadese. ‘‘Evametaṃ bhagavā, evametaṃ sugatā’’tiādīsu (a. ni. 3.66) sampahaṃsane. ‘‘Evamevaṃ panāyaṃ vasalī yasmiṃ vā tasmiṃ vā tassa muṇḍakassa samaṇakassa vaṇṇaṃ bhāsatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.187) garahaṇe. ‘‘Evaṃ, bhanteti kho te bhikkhū bhagavato paccassosu’’ntiādīsu (ma. ni. 1.1) vacanasampaṭiggahe. ‘‘Evaṃ byā kho ahaṃ, bhante, bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.398) ākāre . ‘‘Ehi tvaṃ māṇavaka, yena samaṇo ānando tenupasaṅkama; upasaṅkamitvā mama vacanena samaṇaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ puccha – ‘subho māṇavo todeyyaputto bhavantaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchatī’ti. Evañca vadehi – ‘sādhu kira bhavaṃ ānando yena subhassa māṇavassa todeyyaputtassa nivesanaṃ, tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’ti’’ādīsu (dī. ni. 1.445) nidassane. ‘‘Taṃ kiṃ maññatha kālāmā, ime dhammā kusalā vā akusalā vāti? Akusalā, bhante. Sāvajjā vā anavajjā vāti? Sāvajjā, bhante. Viññugarahitā vā viññuppasatthā vāti? Viññugarahitā, bhante. Samattā samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattanti vā no vā, kathaṃ vo ettha hotīti? Samattā, bhante, samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattanti, evaṃ no ettha hotī’’tiādīsu (a. ni. 3.66) avadhāraṇe. Svāyamidha ākāranidassanāvadhāraṇesu daṭṭhabbo.
ตตฺถ อาการเตฺถน เอวํสเทฺทน เอตมตฺถํ ทีเปติ – นานานยนิปุณํ อเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ วิวิธปาฎิหาริยํ ธมฺมตฺถเทสนา ปฎิเวธคมฺภีรํ สพฺพสตฺตานํ สกสกภาสานุรูปโต โสตปถมาคจฺฉนฺตํ ตสฺส ภควโต วจนํ สพฺพปฺปกาเรน โก สมโตฺถ วิญฺญาตุํ? สพฺพถาเมน ปน โสตุกามตํ ชเนตฺวาปิ เอวํ เม สุตํ, มยาปิ เอเกนากาเรน สุตนฺติฯ
Tattha ākāratthena evaṃsaddena etamatthaṃ dīpeti – nānānayanipuṇaṃ anekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ atthabyañjanasampannaṃ vividhapāṭihāriyaṃ dhammatthadesanā paṭivedhagambhīraṃ sabbasattānaṃ sakasakabhāsānurūpato sotapathamāgacchantaṃ tassa bhagavato vacanaṃ sabbappakārena ko samattho viññātuṃ? Sabbathāmena pana sotukāmataṃ janetvāpi evaṃ me sutaṃ, mayāpi ekenākārena sutanti.
นิทสฺสนเตฺถน – ‘‘นาหํ สยมฺภู, น มยา อิทํ สจฺฉิกต’’นฺติ อตฺตานํ ปริโมเจโนฺต – ‘‘เอวํ เม สุตํ, มยาปิ เอวํ สุต’’นฺติ อิทานิ วตฺตพฺพํ สกลสุตฺตํ นิทเสฺสติฯ
Nidassanatthena – ‘‘nāhaṃ sayambhū, na mayā idaṃ sacchikata’’nti attānaṃ parimocento – ‘‘evaṃ me sutaṃ, mayāpi evaṃ suta’’nti idāni vattabbaṃ sakalasuttaṃ nidasseti.
อวธารณเตฺถน – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ พหุสฺสุตานํ ยทิทํ อานโนฺท, คติมนฺตานํ, สติมนฺตานํ, ธิติมนฺตานํ, อุปฎฺฐากานํ ยทิทํ อานโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๒๐-๒๒๓) เอวํ ภควตา – ‘‘อายสฺมา อานโนฺท อตฺถกุสโล ธมฺมกุสโล พฺยญฺชนกุสโล นิรุตฺติกุสโล ปุพฺพาปรกุสโล’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๖๙) เอวํ ธมฺมเสนาปตินา จ ปสตฺถภาวานุรูปํ อตฺตโน ธารณพลํ ทเสฺสโนฺต สตฺตานํ โสตุกามตํ ชเนติ – ‘‘เอวํ เม สุตํ, ตญฺจ โข อตฺถโต วา พฺยญฺชนโต วา อนูนมนธิกํ, เอวเมว น อญฺญถา ทฎฺฐพฺพ’’นฺติฯ
Avadhāraṇatthena – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ bahussutānaṃ yadidaṃ ānando, gatimantānaṃ, satimantānaṃ, dhitimantānaṃ, upaṭṭhākānaṃ yadidaṃ ānando’’ti (a. ni. 1.220-223) evaṃ bhagavatā – ‘‘āyasmā ānando atthakusalo dhammakusalo byañjanakusalo niruttikusalo pubbāparakusalo’’ti (a. ni. 5.169) evaṃ dhammasenāpatinā ca pasatthabhāvānurūpaṃ attano dhāraṇabalaṃ dassento sattānaṃ sotukāmataṃ janeti – ‘‘evaṃ me sutaṃ, tañca kho atthato vā byañjanato vā anūnamanadhikaṃ, evameva na aññathā daṭṭhabba’’nti.
เมสโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิสฺส – ‘‘คาถาภิคีตํ เม อโภชเนยฺย’’นฺติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๑) มยาติ อโตฺถฯ ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต, ภควา สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู ’’ ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๘๘) มยฺหนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว, ภวถา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๙) มมาติ อโตฺถฯ อิธ ปน ‘‘มยา สุต’’นฺติ จ ‘‘มม สุต’’นฺติ จ อตฺถทฺวเย ยุชฺชติฯ
Mesaddo tīsu atthesu dissati. Tathā hissa – ‘‘gāthābhigītaṃ me abhojaneyya’’ntiādīsu (su. ni. 81) mayāti attho. ‘‘Sādhu me, bhante, bhagavā saṃkhittena dhammaṃ desetū ’’ tiādīsu (saṃ. ni. 4.88) mayhanti attho. ‘‘Dhammadāyādā me, bhikkhave, bhavathā’’tiādīsu (ma. ni. 1.29) mamāti attho. Idha pana ‘‘mayā suta’’nti ca ‘‘mama suta’’nti ca atthadvaye yujjati.
สุตนฺติ อยํ สุตสโทฺท สอุปสโคฺค อนุปสโคฺค จ คมน-วิสฺสุต-กิลินฺนอุปจิตานุโยค-โสตวิเญฺญยฺย-โสตทฺวารานุสารวิญฺญาตาทิอเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถา หิสฺส – ‘‘เสนาย ปสุโต’’ติอาทีสุ คจฺฉโนฺตติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต’’ติอาทีสุ (อุทา. ๑๑) วิสฺสุตธมฺมสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺสา’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๖๕๗) กิลินฺนากิลินฺนสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘ตุเมฺหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปก’’นฺติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๗.๑๒) อุปจิตนฺติ อโตฺถฯ ‘‘เย ฌานปสุตา ธีรา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๘๑) ฌานานุยุตฺตาติ อโตฺถฯ ‘‘ทิฎฺฐํ สุตํ มุต’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๔๑) โสตวิเญฺญยฺยนฺติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธโร สุตสนฺนิจโย’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๓๙) โสตทฺวารานุสารวิญฺญาตธโรติ อโตฺถฯ อิธ ปนสฺส โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาริตนฺติ วา อุปธารณนฺติ วา อโตฺถฯ เม-สทฺทสฺส หิ มยาติ อเตฺถ สติ – ‘‘เอวํ มยา สุตํ, โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาริต’’นฺติ ยุชฺชติฯ มมาติ อเตฺถ สติ – ‘‘เอวํ มม สุตํ, โสตทฺวารานุสาเรน อุปธารณ’’นฺติ ยุชฺชติฯ
Sutanti ayaṃ sutasaddo saupasaggo anupasaggo ca gamana-vissuta-kilinnaupacitānuyoga-sotaviññeyya-sotadvārānusāraviññātādianekatthappabhedo. Tathā hissa – ‘‘senāya pasuto’’tiādīsu gacchantoti attho. ‘‘Sutadhammassa passato’’tiādīsu (udā. 11) vissutadhammassāti attho. ‘‘Avassutā avassutassā’’tiādīsu (pāci. 657) kilinnākilinnassāti attho. ‘‘Tumhehi puññaṃ pasutaṃ anappaka’’ntiādīsu (khu. pā. 7.12) upacitanti attho. ‘‘Ye jhānapasutā dhīrā’’tiādīsu (dha. pa. 181) jhānānuyuttāti attho. ‘‘Diṭṭhaṃ sutaṃ muta’’ntiādīsu (ma. ni. 1.241) sotaviññeyyanti attho. ‘‘Sutadharo sutasannicayo’’tiādīsu (ma. ni. 1.339) sotadvārānusāraviññātadharoti attho. Idha panassa sotadvārānusārena upadhāritanti vā upadhāraṇanti vā attho. Me-saddassa hi mayāti atthe sati – ‘‘evaṃ mayā sutaṃ, sotadvārānusārena upadhārita’’nti yujjati. Mamāti atthe sati – ‘‘evaṃ mama sutaṃ, sotadvārānusārena upadhāraṇa’’nti yujjati.
เอวเมเตสุ ตีสุ ปเทสุ เอวนฺติ โสตวิญฺญาณาทิวิญฺญาณกิจฺจนิทสฺสนํฯ เมติ วุตฺตวิญฺญาณสมงฺคิปุคฺคลนิทสฺสนํฯ สุตนฺติ อสฺสวนภาวปฎิเกฺขปโต อนูนานธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสนํฯ ตถา เอวนฺติ ตสฺส โสตทฺวารานุสาเรน ปวตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺติภาวปฺปกาสนํฯ เมติ อตฺตปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ธมฺมปฺปกาสนํฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขโป – ‘‘นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา มยา น อญฺญํ กตํ, อิทํ ปน กตํ, อยํ ธโมฺม สุโต’’ติฯ
Evametesu tīsu padesu evanti sotaviññāṇādiviññāṇakiccanidassanaṃ. Meti vuttaviññāṇasamaṅgipuggalanidassanaṃ. Sutanti assavanabhāvapaṭikkhepato anūnānadhikāviparītaggahaṇanidassanaṃ. Tathā evanti tassa sotadvārānusārena pavattāya viññāṇavīthiyā nānappakārena ārammaṇe pavattibhāvappakāsanaṃ. Meti attappakāsanaṃ. Sutanti dhammappakāsanaṃ. Ayañhettha saṅkhepo – ‘‘nānappakārena ārammaṇe pavattāya viññāṇavīthiyā mayā na aññaṃ kataṃ, idaṃ pana kataṃ, ayaṃ dhammo suto’’ti.
ตถา เอวนฺติ นิทฺทิสิตพฺพปฺปกาสนํฯ เมติ ปุคฺคลปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ปุคฺคลกิจฺจปฺปกาสนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิสฺสามิ, ตํ มยา เอวํ สุต’’นฺติฯ
Tathā evanti niddisitabbappakāsanaṃ. Meti puggalappakāsanaṃ. Sutanti puggalakiccappakāsanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘yaṃ suttaṃ niddisissāmi, taṃ mayā evaṃ suta’’nti.
ตถา เอวนฺติ ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นานาการปฺปวตฺติยา นานตฺถพฺยญฺชนคหณํ โหติ, ตสฺส นานาการนิเทฺทโส ฯ เอวนฺติ หิ อยํ อาการปญฺญตฺติฯ เมติ กตฺตุนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ วิสยนิเทฺทโสฯ เอตฺตาวตา นานาการปฺปวเตฺตน จิตฺตสนฺตาเนน ตํสมงฺคิโน กตฺตุวิสเย คหณสนฺนิฎฺฐานํ กตํ โหติฯ
Tathā evanti yassa cittasantānassa nānākārappavattiyā nānatthabyañjanagahaṇaṃ hoti, tassa nānākāraniddeso . Evanti hi ayaṃ ākārapaññatti. Meti kattuniddeso. Sutanti visayaniddeso. Ettāvatā nānākārappavattena cittasantānena taṃsamaṅgino kattuvisaye gahaṇasanniṭṭhānaṃ kataṃ hoti.
อถ วา เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโสฯ เมติ อุภยกิจฺจยุตฺตปุคฺคลนิเทฺทโสฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโป – ‘‘มยา สวนกิจฺจวิญฺญาณสมงฺคินา ปุคฺคเลน วิญฺญาณวเสน ลทฺธสวนกิจฺจโวหาเรน สุต’’นฺติฯ
Atha vā evanti puggalakiccaniddeso. Sutanti viññāṇakiccaniddeso. Meti ubhayakiccayuttapuggalaniddeso. Ayaṃ panettha saṅkhepo – ‘‘mayā savanakiccaviññāṇasamaṅginā puggalena viññāṇavasena laddhasavanakiccavohārena suta’’nti.
ตตฺถ เอวนฺติ จ เมติ จ สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อวิชฺชมานปญฺญตฺติฯ กิเญฺหตฺถ ตํ ปรมตฺถโต อตฺถิ, ยํ เอวนฺติ วา เมติ วา นิเทฺทสํ ลเภถฯ สุตนฺติ วิชฺชมานปญฺญตฺติฯ ยญฺหิ ตํ เอตฺถ โสเตน อุปลทฺธํ, ตํ ปรมตฺถโต วิชฺชมานนฺติฯ ตถา เอวนฺติ จ เมติ จ ตํ ตํ อุปาทาย วตฺตพฺพโต อุปาทาปญฺญตฺติฯ สุตนฺติ ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตพฺพโต อุปนิธาปญฺญตฺติฯ
Tattha evanti ca meti ca saccikaṭṭhaparamatthavasena avijjamānapaññatti. Kiñhettha taṃ paramatthato atthi, yaṃ evanti vā meti vā niddesaṃ labhetha. Sutanti vijjamānapaññatti. Yañhi taṃ ettha sotena upaladdhaṃ, taṃ paramatthato vijjamānanti. Tathā evanti ca meti ca taṃ taṃ upādāya vattabbato upādāpaññatti. Sutanti diṭṭhādīni upanidhāya vattabbato upanidhāpaññatti.
เอตฺถ จ เอวนฺติ วจเนน อสโมฺมหํ ทีเปติฯ น หิ สมฺมูโฬฺห นานปฺปการปฎิเวธสมโตฺถ โหติฯ สุตนฺติ วจเนน สุตสฺส อสโมฺมสํ ทีเปติฯ ยสฺส หิ สุตํ สมฺมุฎฺฐํ โหติ, น โส กาลนฺตเรน มยา สุตนฺติ ปฎิชานาติฯ อิจฺจสฺส อสโมฺมเหน ปญฺญาสิทฺธิ, อสโมฺมเสน ปน สติสิทฺธิฯ ตตฺถ ปญฺญาปุพฺพงฺคมาย สติยา พฺยญฺชนาวธารณสมตฺถตา, สติปุพฺพงฺคมาย ปญฺญาย อตฺถปฎิเวธสมตฺถตา ฯ ตทุภยสมตฺถตาโยเคน อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺส ธมฺมโกสสฺส อนุปาลนสมตฺถโต ธมฺมภณฺฑาคาริกตฺตสิทฺธิฯ
Ettha ca evanti vacanena asammohaṃ dīpeti. Na hi sammūḷho nānappakārapaṭivedhasamattho hoti. Sutanti vacanena sutassa asammosaṃ dīpeti. Yassa hi sutaṃ sammuṭṭhaṃ hoti, na so kālantarena mayā sutanti paṭijānāti. Iccassa asammohena paññāsiddhi, asammosena pana satisiddhi. Tattha paññāpubbaṅgamāya satiyā byañjanāvadhāraṇasamatthatā, satipubbaṅgamāya paññāya atthapaṭivedhasamatthatā . Tadubhayasamatthatāyogena atthabyañjanasampannassa dhammakosassa anupālanasamatthato dhammabhaṇḍāgārikattasiddhi.
อปโร นโย – เอวนฺติ วจเนน โยนิโส มนสิการํ ทีเปติ, อโยนิโส มนสิกโรโต หิ นานปฺปการปฎิเวธาภาวโตฯ สุตนฺติ วจเนน อวิเกฺขปํ ทีเปติ วิกฺขิตฺตจิตฺตสฺส สวนาภาวโตฯ ตถา หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต ปุคฺคโล สพฺพสมฺปตฺติยา วุจฺจมาโนปิ ‘‘น มยา สุตํ, ปุน ภณถา’’ติ ภณติฯ โยนิโส มนสิกาเรน เจตฺถ อตฺตสมฺมาปณิธิํ ปุเพฺพ จ กตปุญฺญตํ สาเธติ, สมฺมา อปฺปณิหิตตฺตสฺส ปุเพฺพ อกตปุญฺญสฺส วา ตทภาวโตฯ อวิเกฺขเปน สทฺธมฺมสฺสวนํ สปฺปุริสูปนิสฺสยญฺจ สาเธติฯ น หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต โสตุํ สโกฺกติ, น จ สปฺปุริเส อนุปนิสฺสยมานสฺส สวนํ อตฺถีติฯ
Aparo nayo – evanti vacanena yoniso manasikāraṃ dīpeti, ayoniso manasikaroto hi nānappakārapaṭivedhābhāvato. Sutanti vacanena avikkhepaṃ dīpeti vikkhittacittassa savanābhāvato. Tathā hi vikkhittacitto puggalo sabbasampattiyā vuccamānopi ‘‘na mayā sutaṃ, puna bhaṇathā’’ti bhaṇati. Yoniso manasikārena cettha attasammāpaṇidhiṃ pubbe ca katapuññataṃ sādheti, sammā appaṇihitattassa pubbe akatapuññassa vā tadabhāvato. Avikkhepena saddhammassavanaṃ sappurisūpanissayañca sādheti. Na hi vikkhittacitto sotuṃ sakkoti, na ca sappurise anupanissayamānassa savanaṃ atthīti.
อปโร นโย – ยสฺมา ‘‘เอวนฺติ ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นานาการปฺปวตฺติยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณํ โหติ, ตสฺส นานาการนิเทฺทโส’’ติ วุตฺตํ, โส จ เอวํ ภทฺทโก อากาโร น สมฺมา อปฺปณิหิตตฺตโน ปุเพฺพ อกตปุญฺญสฺส วา โหติ, ตสฺมา เอวนฺติ อิมินา ภทฺทเกน อากาเรน ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติมตฺตโน ทีเปติฯ สุตนฺติ สวนโยเคน ปุริมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติํฯ น หิ อปฺปติรูปเทเส วสโต สปฺปุริสูปนิสฺสยวิรหิตสฺส วา สวนํ อตฺถิฯ อิจฺจสฺส ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสิทฺธิยา อาสยสุทฺธิ สิทฺธา โหติ, ปุริมจกฺกทฺวยสิทฺธิยา ปโยคสุทฺธิ, ตาย จ อาสยสุทฺธิยา อธิคมพฺยตฺติสิทฺธิ, ปโยคสุทฺธิยา อาคมพฺยตฺติสิทฺธิฯ อิติ ปโยคาสยสุทฺธสฺส อาคมาธิคมสมฺปนฺนสฺส วจนํ อรุณุคฺคํ วิย สูริยสฺส อุทยโต, โยนิโส มนสิกาโร วิย จ กุสลกมฺมสฺส, อรหติ ภควโต วจนสฺส ปุพฺพงฺคมํ ภวิตุนฺติ ฐาเน นิทานํ ฐเปโนฺต เอวํ เม สุตนฺติอาทิมาหฯ
Aparo nayo – yasmā ‘‘evanti yassa cittasantānassa nānākārappavattiyā nānatthabyañjanaggahaṇaṃ hoti, tassa nānākāraniddeso’’ti vuttaṃ, so ca evaṃ bhaddako ākāro na sammā appaṇihitattano pubbe akatapuññassa vā hoti, tasmā evanti iminā bhaddakena ākārena pacchimacakkadvayasampattimattano dīpeti. Sutanti savanayogena purimacakkadvayasampattiṃ. Na hi appatirūpadese vasato sappurisūpanissayavirahitassa vā savanaṃ atthi. Iccassa pacchimacakkadvayasiddhiyā āsayasuddhi siddhā hoti, purimacakkadvayasiddhiyā payogasuddhi, tāya ca āsayasuddhiyā adhigamabyattisiddhi, payogasuddhiyā āgamabyattisiddhi. Iti payogāsayasuddhassa āgamādhigamasampannassa vacanaṃ aruṇuggaṃ viya sūriyassa udayato, yoniso manasikāro viya ca kusalakammassa, arahati bhagavato vacanassa pubbaṅgamaṃ bhavitunti ṭhāne nidānaṃ ṭhapento evaṃ me sutantiādimāha.
อปโร นโย – เอวนฺติ อิมินา นานปฺปการปฎิเวธทีปเกน วจเนน อตฺตโน อตฺถปฎิภานปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติสพฺภาวํ ทีเปติฯ สุตนฺติ อิมินา โสตพฺพเภทปฎิเวธทีปเกน ธมฺมนิรุตฺติปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติสพฺภาวํฯ เอวนฺติ จ อิทํ โยนิโส มนสิการทีปกวจนํ ภาสมาโน – ‘‘เอเต มยา ธมฺมา มนสานุเปกฺขิตา ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธา’’ติ ทีเปติฯ สุตนฺติ อิทํ สวนโยคทีปกวจนํ ภาสมาโน – ‘‘พหู มยา ธมฺมา สุตา ธาตา วจสา ปริจิตา’’ติ ทีเปติฯ ตทุภเยนปิ อตฺถพฺยญฺชนปาริปูริํ ทีเปโนฺต สวเน อาทรํ ชเนติฯ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณญฺหิ ธมฺมํ อาทเรน อสฺสุณโนฺต มหตา หิตา ปริพาหิโร โหตีติ อาทรํ ชเนตฺวา สกฺกจฺจํ ธโมฺม โสตโพฺพติฯ
Aparo nayo – evanti iminā nānappakārapaṭivedhadīpakena vacanena attano atthapaṭibhānapaṭisambhidāsampattisabbhāvaṃ dīpeti. Sutanti iminā sotabbabhedapaṭivedhadīpakena dhammaniruttipaṭisambhidāsampattisabbhāvaṃ. Evanti ca idaṃ yoniso manasikāradīpakavacanaṃ bhāsamāno – ‘‘ete mayā dhammā manasānupekkhitā diṭṭhiyā suppaṭividdhā’’ti dīpeti. Sutanti idaṃ savanayogadīpakavacanaṃ bhāsamāno – ‘‘bahū mayā dhammā sutā dhātā vacasā paricitā’’ti dīpeti. Tadubhayenapi atthabyañjanapāripūriṃ dīpento savane ādaraṃ janeti. Atthabyañjanaparipuṇṇañhi dhammaṃ ādarena assuṇanto mahatā hitā paribāhiro hotīti ādaraṃ janetvā sakkaccaṃ dhammo sotabboti.
เอวํ เม สุตนฺติ อิมินา ปน สกเลน วจเนน อายสฺมา อานโนฺท ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมํ อตฺตโน อทหโนฺต อสปฺปุริสภูมิํ อติกฺกมติ, สาวกตฺตํ ปฎิชานโนฺต สปฺปุริสภูมิํ โอกฺกมติฯ ตถา อสทฺธมฺมา จิตฺตํ วุฎฺฐาเปติ, สทฺธเมฺม จิตฺตํ ปติฎฺฐาเปติฯ ‘‘เกวลํ สุตเมเวตํ มยา, ตเสฺสว ปน ภควโต วจน’’นฺติ ทีเปโนฺต อตฺตานํ ปริโมเจติ, สตฺถารํ อปทิสติ, ชินวจนํ อเปฺปติ, ธมฺมเนตฺติํ ปติฎฺฐาเปติฯ
Evaṃme sutanti iminā pana sakalena vacanena āyasmā ānando tathāgatappaveditaṃ dhammaṃ attano adahanto asappurisabhūmiṃ atikkamati, sāvakattaṃ paṭijānanto sappurisabhūmiṃ okkamati. Tathā asaddhammā cittaṃ vuṭṭhāpeti, saddhamme cittaṃ patiṭṭhāpeti. ‘‘Kevalaṃ sutamevetaṃ mayā, tasseva pana bhagavato vacana’’nti dīpento attānaṃ parimoceti, satthāraṃ apadisati, jinavacanaṃ appeti, dhammanettiṃ patiṭṭhāpeti.
อปิจ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ อตฺตนา อุปฺปาทิตภาวํ อปฺปฎิชานโนฺต ปุริมวจนํ วิวรโนฺต – ‘‘สมฺมุขา ปฎิคฺคหิตมิทํ มยา ตสฺส ภควโต จตุเวสารชฺชวิสารทสฺส ทสพลธรสฺส อาสภฎฺฐานฎฺฐายิโน สีหนาทนาทิโน สพฺพสตฺตุตฺตมสฺส ธมฺมิสฺสรสฺส ธมฺมราชสฺส ธมฺมาธิปติโน ธมฺมทีปสฺส ธมฺมสรณสฺส สทฺธมฺมวรจกฺกวตฺติโน สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วจนํ, น เอตฺถ อเตฺถ วา ธเมฺม วา ปเท วา พฺยญฺชเน วา กงฺขา วา วิมติ วา กตฺตพฺพา’’ติ สพฺพเทวมนุสฺสานํ อิมสฺมิํ ธเมฺม อสฺสทฺธิยํ วินาเสติ, สทฺธาสมฺปทํ อุปฺปาเทตีติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
Apica ‘‘evaṃ me suta’’nti attanā uppāditabhāvaṃ appaṭijānanto purimavacanaṃ vivaranto – ‘‘sammukhā paṭiggahitamidaṃ mayā tassa bhagavato catuvesārajjavisāradassa dasabaladharassa āsabhaṭṭhānaṭṭhāyino sīhanādanādino sabbasattuttamassa dhammissarassa dhammarājassa dhammādhipatino dhammadīpassa dhammasaraṇassa saddhammavaracakkavattino sammāsambuddhassa vacanaṃ, na ettha atthe vā dhamme vā pade vā byañjane vā kaṅkhā vā vimati vā kattabbā’’ti sabbadevamanussānaṃ imasmiṃ dhamme assaddhiyaṃ vināseti, saddhāsampadaṃ uppādetīti. Tenetaṃ vuccati –
‘‘วินาสยติ อสฺสทฺธํ, สทฺธํ วเฑฺฒติ สาสเน;
‘‘Vināsayati assaddhaṃ, saddhaṃ vaḍḍheti sāsane;
เอวํ เม สุตมิเจฺจวํ, วทํ โคตมสาวโก’’ติฯ
Evaṃ me sutamiccevaṃ, vadaṃ gotamasāvako’’ti.
เอกนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโสฯ สมยนฺติ ปริจฺฉินฺนนิเทฺทโสฯ เอกํ สมยนฺติ อนิยมิตปริทีปนํฯ ตตฺถ สมยสโทฺท –
Ekanti gaṇanaparicchedaniddeso. Samayanti paricchinnaniddeso. Ekaṃ samayanti aniyamitaparidīpanaṃ. Tattha samayasaddo –
‘‘สมวาเย ขเณ กาเล, สมูเห เหตุทิฎฺฐิสุ;
‘‘Samavāye khaṇe kāle, samūhe hetudiṭṭhisu;
ปฎิลาเภ ปหาเน จ, ปฎิเวเธ จ ทิสฺสติ’’ฯ
Paṭilābhe pahāne ca, paṭivedhe ca dissati’’.
ตถา หิสฺส ‘‘อเปฺปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๗) สมวาโย อโตฺถฯ ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๙) ขโณฯ ‘‘อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๓๕๘) กาโลฯ ‘‘มหาสมโย ปวนสฺมิ’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๓๒) สมูโหฯ ‘‘สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ, ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ, ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ – ‘ภทฺทาลิ, นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’ติฯ อยมฺปิ โข เต , ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๓๕) เหตุฯ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต สมยปฺปวาทเก ตินฺทุกาจีเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเม ปฎิวสตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๒๖๐) ทิฎฺฐิฯ
Tathā hissa ‘‘appeva nāma svepi upasaṅkameyyāma kālañca samayañca upādāyā’’ti evamādīsu (dī. ni. 1.447) samavāyo attho. ‘‘Ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’tiādīsu (a. ni. 8.29) khaṇo. ‘‘Uṇhasamayo pariḷāhasamayo’’tiādīsu (pāci. 358) kālo. ‘‘Mahāsamayo pavanasmi’’ntiādīsu (dī. ni. 2.332) samūho. ‘‘Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi, bhagavā kho sāvatthiyaṃ viharati, bhagavāpi maṃ jānissati – ‘bhaddāli, nāma bhikkhu satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī’ti. Ayampi kho te , bhaddāli, samayo appaṭividdho ahosī’’tiādīsu (ma. ni. 2.135) hetu. ‘‘Tena kho pana samayena uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto samayappavādake tindukācīre ekasālake mallikāya ārāme paṭivasatī’’tiādīsu (ma. ni. 2.260) diṭṭhi.
‘‘ทิเฎฺฐ ธเมฺม จ โย อโตฺถ, โย จโตฺถ สมฺปรายิโก;
‘‘Diṭṭhe dhamme ca yo attho, yo cattho samparāyiko;
อตฺถาภิสมยา ธีโร, ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจตี’’ติฯ –
Atthābhisamayā dhīro, paṇḍitoti pavuccatī’’ti. –
อาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๒๙) ปฎิลาโภฯ ‘‘สมฺมา มานาภิสมยา อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺสา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๘) ปหานํฯ ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ สงฺขตโฎฺฐ สนฺตาปโฎฺฐ วิปริณามโฎฺฐ อภิสมยโฎฺฐ’’ติอาทีสุ (ปฎิ. ม. ๒.๘) ปฎิเวโธฯ อิธ ปนสฺส กาโล อโตฺถฯ เตน สํวจฺฉร-อุตุ-มาสฑฺฒมาส-รตฺติ-ทิว-ปุพฺพณฺห-มชฺฌนฺหิก-สายนฺห-ปฐมมชฺฌิมปจฺฉิมยาม-มุหุตฺตาทีสุ กาลปฺปเภทภูเตสุ สมเยสุ เอกํ สมยนฺติ ทีเปติฯ
Ādīsu (saṃ. ni. 1.129) paṭilābho. ‘‘Sammā mānābhisamayā antamakāsi dukkhassā’’tiādīsu (ma. ni. 1.28) pahānaṃ. ‘‘Dukkhassa pīḷanaṭṭho saṅkhataṭṭho santāpaṭṭho vipariṇāmaṭṭho abhisamayaṭṭho’’tiādīsu (paṭi. ma. 2.8) paṭivedho. Idha panassa kālo attho. Tena saṃvacchara-utu-māsaḍḍhamāsa-ratti-diva-pubbaṇha-majjhanhika-sāyanha-paṭhamamajjhimapacchimayāma-muhuttādīsu kālappabhedabhūtesu samayesu ekaṃ samayanti dīpeti.
ตตฺถ กิญฺจาปิ เอเตสุ สํวจฺฉราทีสุ สมเยสุ ยํ ยํ สุตฺตํ ยสฺมิํ ยสฺมิํ สํวจฺฉเร อุตุมฺหิ มาเส ปเกฺข รตฺติภาเค ทิวสภาเค วา วุตฺตํ, สพฺพํ ตํ เถรสฺส สุวิทิตํ สุววตฺถาปิตํ ปญฺญายฯ ยสฺมา ปน ‘‘เอวํ เม สุตํ อสุกสํวจฺฉเร อสุกอุตุมฺหิ อสุกมาเส อสุกปเกฺข อสุกรตฺติภาเค อสุกทิวสภาเค วา’’ติ เอวํ วุเตฺต น สกฺกา สุเขน ธาเรตุํ วา อุทฺทิสิตุํ วา อุทฺทิสาเปตุํ วา, พหุ จ วตฺตพฺพํ โหติ, ตสฺมา เอเกเนว ปเทน ตมตฺถํ สโมธาเนตฺวา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อาหฯ
Tattha kiñcāpi etesu saṃvaccharādīsu samayesu yaṃ yaṃ suttaṃ yasmiṃ yasmiṃ saṃvacchare utumhi māse pakkhe rattibhāge divasabhāge vā vuttaṃ, sabbaṃ taṃ therassa suviditaṃ suvavatthāpitaṃ paññāya. Yasmā pana ‘‘evaṃ me sutaṃ asukasaṃvacchare asukautumhi asukamāse asukapakkhe asukarattibhāge asukadivasabhāge vā’’ti evaṃ vutte na sakkā sukhena dhāretuṃ vā uddisituṃ vā uddisāpetuṃ vā, bahu ca vattabbaṃ hoti, tasmā ekeneva padena tamatthaṃ samodhānetvā ‘‘ekaṃ samaya’’nti āha.
เย วา อิเม คโพฺภกฺกนฺติสมโย ชาติสมโย สํเวคสมโย อภินิกฺขมนสมโย ทุกฺกรการิกสมโย มารวิชยสมโย อภิสโมฺพธิสมโย ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย เทสนาสมโย ปรินิพฺพานสมโยติ เอวมาทโย ภควโต เทวมนุเสฺสสุ อติวิย สุปฺปกาสา อเนกกาลปฺปเภทา เอว สมยาฯ เตสุ สมเยสุ เทสนาสมยสงฺขาตํ เอกํ สมยนฺติ ทีเปติฯ โย จายํ ญาณกรุณากิจฺจสมเยสุ กรุณากิจฺจสมโย, อตฺตหิตปรหิตปฎิปตฺติสมเยสุ ปรหิตปฎิปตฺติสมโย , สนฺนิปติตานํ กรณียทฺวยสมเยสุ ธมฺมิกถาสมโย, เทสนาปฎิปตฺติสมเยสุ เทสนาสมโย, เตสุปิ สมเยสุ อญฺญตรํ สนฺธาย ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อาหฯ
Ye vā ime gabbhokkantisamayo jātisamayo saṃvegasamayo abhinikkhamanasamayo dukkarakārikasamayo māravijayasamayo abhisambodhisamayo diṭṭhadhammasukhavihārasamayo desanāsamayo parinibbānasamayoti evamādayo bhagavato devamanussesu ativiya suppakāsā anekakālappabhedā eva samayā. Tesu samayesu desanāsamayasaṅkhātaṃ ekaṃ samayanti dīpeti. Yo cāyaṃ ñāṇakaruṇākiccasamayesu karuṇākiccasamayo, attahitaparahitapaṭipattisamayesu parahitapaṭipattisamayo , sannipatitānaṃ karaṇīyadvayasamayesu dhammikathāsamayo, desanāpaṭipattisamayesu desanāsamayo, tesupi samayesu aññataraṃ sandhāya ‘‘ekaṃ samaya’’nti āha.
กสฺมา ปเนตฺถ ยถา อภิธเมฺม ‘‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจร’’นฺติ จ อิโต อเญฺญสุ สุตฺตปเทสุ ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหี’’ติ จ ภุมฺมวจเนน นิเทฺทโส กโต, วินเย จ ‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา’’ติ กรณวจเนน, ตถา อกตฺวา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อุปโยควจเนน นิเทฺทโส กโตติฯ ตตฺถ ตถา, อิธ จ อญฺญถา อตฺถสมฺภวโตฯ ตตฺถ หิ อภิธเมฺม อิโต อเญฺญสุ สุตฺตปเทสุ จ อธิกรณโตฺถ ภาเวนภาวลกฺขณโตฺถ จ สมฺภวติฯ อธิกรณญฺหิ กาลโตฺถ สมูหโตฺถ จ สมโย, ตตฺถ วุตฺตานํ ผสฺสาทิธมฺมานํ ขณสมวายเหตุสงฺขาตสฺส จ สมยสฺส ภาเวน เตสํ ภาโว ลกฺขียติฯ ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ตตฺถ ภุมฺมวจนนิเทฺทโส กโตฯ
Kasmā panettha yathā abhidhamme ‘‘yasmiṃ samaye kāmāvacara’’nti ca ito aññesu suttapadesu ‘‘yasmiṃ samaye, bhikkhave, bhikkhu vivicceva kāmehī’’ti ca bhummavacanena niddeso kato, vinaye ca ‘‘tena samayena buddho bhagavā’’ti karaṇavacanena, tathā akatvā ‘‘ekaṃ samaya’’nti upayogavacanena niddeso katoti. Tattha tathā, idha ca aññathā atthasambhavato. Tattha hi abhidhamme ito aññesu suttapadesu ca adhikaraṇattho bhāvenabhāvalakkhaṇattho ca sambhavati. Adhikaraṇañhi kālattho samūhattho ca samayo, tattha vuttānaṃ phassādidhammānaṃ khaṇasamavāyahetusaṅkhātassa ca samayassa bhāvena tesaṃ bhāvo lakkhīyati. Tasmā tadatthajotanatthaṃ tattha bhummavacananiddeso kato.
วินเย จ เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวติฯ โย หิ โส สิกฺขาปทปญฺญตฺติสมโย สาริปุตฺตาทีหิปิ ทุพฺพิเญฺญโยฺย, เตน สมเยน เหตุภูเตน กรณภูเตน จ สิกฺขาปทานิ ปญฺญาปยโนฺต สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน ภควา ตตฺถ ตตฺถ วิหาสิฯ ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ตตฺถ กรณวจเนน นิเทฺทโส กโตฯ
Vinaye ca hetuattho karaṇattho ca sambhavati. Yo hi so sikkhāpadapaññattisamayo sāriputtādīhipi dubbiññeyyo, tena samayena hetubhūtena karaṇabhūtena ca sikkhāpadāni paññāpayanto sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno bhagavā tattha tattha vihāsi. Tasmā tadatthajotanatthaṃ tattha karaṇavacanena niddeso kato.
อิธ ปน อญฺญสฺมิํ จ เอวํชาติเก อจฺจนฺตสํโยคโตฺถ สมฺภวติฯ ยญฺหิ สมยํ ภควา อิมํ อญฺญํ วา สุตฺตนฺตํ เทเสสิ, อจฺจนฺตเมว ตํ สมยํ กรุณาวิหาเรน วิหาสิฯ ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ อิธ อุปโยควจนนิเทฺทโส กโตติฯ
Idha pana aññasmiṃ ca evaṃjātike accantasaṃyogattho sambhavati. Yañhi samayaṃ bhagavā imaṃ aññaṃ vā suttantaṃ desesi, accantameva taṃ samayaṃ karuṇāvihārena vihāsi. Tasmā tadatthajotanatthaṃ idha upayogavacananiddeso katoti.
เตเนตํ วุจฺจติ –
Tenetaṃ vuccati –
‘‘ตํ ตํ อตฺถมเปกฺขิตฺวา, ภุเมฺมน กรเณน จ;
‘‘Taṃ taṃ atthamapekkhitvā, bhummena karaṇena ca;
อญฺญตฺร สมโย วุโตฺต, อุปโยเคน โส อิธา’’ติฯ
Aññatra samayo vutto, upayogena so idhā’’ti.
โปราณา ปน วณฺณยนฺติ – ‘‘ตสฺมิํ สมเย’’ติ วา ‘‘เตน สมเยนา’’ติ วา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ วา อภิลาปมตฺตเภโท เอส, สพฺพตฺถ ภุมฺมเมว อโตฺถติฯ ตสฺมา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ วุเตฺตปิ ‘‘เอกสฺมิํ สมเย’’ติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Porāṇā pana vaṇṇayanti – ‘‘tasmiṃ samaye’’ti vā ‘‘tena samayenā’’ti vā ‘‘ekaṃ samaya’’nti vā abhilāpamattabhedo esa, sabbattha bhummameva atthoti. Tasmā ‘‘ekaṃ samaya’’nti vuttepi ‘‘ekasmiṃ samaye’’ti attho veditabbo.
ภควาติ ครุฯ ครุํ หิ โลเก ‘‘ภควา’’ติ วทนฺติฯ อยญฺจ สพฺพคุณวิสิฎฺฐตาย สพฺพสตฺตานํ ครุ, ตสฺมา ‘‘ภควา’’ติ เวทิตโพฺพฯ โปราเณหิปิ วุตฺตํ –
Bhagavāti garu. Garuṃ hi loke ‘‘bhagavā’’ti vadanti. Ayañca sabbaguṇavisiṭṭhatāya sabbasattānaṃ garu, tasmā ‘‘bhagavā’’ti veditabbo. Porāṇehipi vuttaṃ –
‘‘ภควาติ วจนํ เสฎฺฐํ, ภควาติ วจนมุตฺตมํ;
‘‘Bhagavāti vacanaṃ seṭṭhaṃ, bhagavāti vacanamuttamaṃ;
ครุ คารวยุโตฺต โส, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๔๒);
Garu gāravayutto so, bhagavā tena vuccatī’’ti. (visuddhi. 1.142);
อปิจ –
Apica –
‘‘ภคฺยวา ภคฺควา ยุโตฺต, ภเคหิ จ วิภตฺตวา;
‘‘Bhagyavā bhaggavā yutto, bhagehi ca vibhattavā;
ภตฺตวา วนฺตคมโน, ภเวสุ ภควา ตโต’’ติฯ –
Bhattavā vantagamano, bhavesu bhagavā tato’’ti. –
อิมิสฺสา คาถาย วเสนสฺส ปทสฺส วิตฺถารโต อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ โส จ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๔๔) พุทฺธานุสฺสตินิเทฺทเส วุโตฺตเยวฯ
Imissā gāthāya vasenassa padassa vitthārato attho veditabbo. So ca visuddhimagge (visuddhi. 1.144) buddhānussatiniddese vuttoyeva.
เอตฺตาวตา เจตฺถ เอวํ เม สุตนฺติ วจเนน ยถาสุตํ ธมฺมํ ทเสฺสโนฺต ภควโต ธมฺมสรีรํ ปจฺจกฺขํ กโรติฯ เตน ‘‘นยิทํ อติกฺกนฺตสตฺถุกํ ปาวจนํ, อยํ โว สตฺถา’’ติ สตฺถุ อทสฺสเนน อุกฺกณฺฐิตํ ชนํ สมสฺสาเสติฯ เอกํ สมยํ ภควาติ วจเนน ตสฺมิํ สมเย ภควโต อวิชฺชมานภาวํ ทเสฺสโนฺต รูปกายปรินิพฺพานํ สาเธติฯ เตน ‘‘เอวํวิธสฺส นาม อริยธมฺมสฺส เทสโก ทสพลธโร วชิรสงฺฆาตสมานกาโย โสปิ ภควา ปรินิพฺพุโต, เกน อเญฺญน ชีวิเต อาสา ชเนตพฺพา’’ติ ชีวิตมทมตฺตํ ชนํ สํเวเชติ, สทฺธเมฺม จสฺส อุสฺสาหํ ชเนติฯ เอวนฺติ จ ภณโนฺต เทสนาสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติฯ เม สุตนฺติ สาวกสมฺปตฺติํฯ เอกํ สมยนฺติ กาลสมฺปตฺติํฯ ภควาติ เทสกสมฺปตฺติํฯ
Ettāvatā cettha evaṃ me sutanti vacanena yathāsutaṃ dhammaṃ dassento bhagavato dhammasarīraṃ paccakkhaṃ karoti. Tena ‘‘nayidaṃ atikkantasatthukaṃ pāvacanaṃ, ayaṃ vo satthā’’ti satthu adassanena ukkaṇṭhitaṃ janaṃ samassāseti. Ekaṃ samayaṃ bhagavāti vacanena tasmiṃ samaye bhagavato avijjamānabhāvaṃ dassento rūpakāyaparinibbānaṃ sādheti. Tena ‘‘evaṃvidhassa nāma ariyadhammassa desako dasabaladharo vajirasaṅghātasamānakāyo sopi bhagavā parinibbuto, kena aññena jīvite āsā janetabbā’’ti jīvitamadamattaṃ janaṃ saṃvejeti, saddhamme cassa ussāhaṃ janeti. Evanti ca bhaṇanto desanāsampattiṃ niddisati. Me sutanti sāvakasampattiṃ. Ekaṃ samayanti kālasampattiṃ. Bhagavāti desakasampattiṃ.
สาวตฺถิยนฺติ เอวํนามเก นคเรฯ สมีปเตฺถ เจตํ ภุมฺมวจนํฯ วิหรตีติ อวิเสเสน อิริยาปถทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเรสุ อญฺญตรวิหารสมงฺคีปริทีปนเมตํฯ อิธ ปน ฐานคมนนิสชฺชาสยนปฺปเภเทสุ อิริยาปเถสุ อญฺญตรอิริยาปถสมาโยคปริทีปนํ , เตน ฐิโตปิ คจฺฉโนฺตปิ นิสิโนฺนปิ สยาโนปิ ภควา วิหรติเจฺจว เวทิตโพฺพฯ โส หิ เอกํ อิริยาปถพาธนํ อเญฺญน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา อปริปตนฺตํ อตฺตภาวํ หรติ ปวเตฺตติ, ตสฺมา ‘‘วิหรตี’’ติ วุจฺจติฯ
Sāvatthiyanti evaṃnāmake nagare. Samīpatthe cetaṃ bhummavacanaṃ. Viharatīti avisesena iriyāpathadibbabrahmaariyavihāresu aññataravihārasamaṅgīparidīpanametaṃ. Idha pana ṭhānagamananisajjāsayanappabhedesu iriyāpathesu aññatarairiyāpathasamāyogaparidīpanaṃ , tena ṭhitopi gacchantopi nisinnopi sayānopi bhagavā viharaticceva veditabbo. So hi ekaṃ iriyāpathabādhanaṃ aññena iriyāpathena vicchinditvā aparipatantaṃ attabhāvaṃ harati pavatteti, tasmā ‘‘viharatī’’ti vuccati.
เชตวเนติ เชตสฺส ราชกุมารสฺส วเนฯ ตญฺหิ เตน โรปิตํ สํวฑฺฒิตํ ปริปาลิตํ อโหสิ, ตสฺมา ‘‘เชตวน’’นฺติ สงฺขํ คตํฯ ตสฺมิํ เชตวเนฯ อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมติ อนาถปิณฺฑิเกน คหปตินา จตุปญฺญาสหิรญฺญโกฎิปริจฺจาเคน พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส นิยฺยาติตตฺตา ‘‘อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราโม’’ติ สงฺขํ คเต อาราเมฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมฎฺฐกถาย สพฺพาสวสุตฺตวณฺณนายํ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔) วุโตฺตฯ
Jetavaneti jetassa rājakumārassa vane. Tañhi tena ropitaṃ saṃvaḍḍhitaṃ paripālitaṃ ahosi, tasmā ‘‘jetavana’’nti saṅkhaṃ gataṃ. Tasmiṃ jetavane. Anāthapiṇḍikassa ārāmeti anāthapiṇḍikena gahapatinā catupaññāsahiraññakoṭipariccāgena buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa niyyātitattā ‘‘anāthapiṇḍikassa ārāmo’’ti saṅkhaṃ gate ārāme. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana papañcasūdaniyā majjhimaṭṭhakathāya sabbāsavasuttavaṇṇanāyaṃ (ma. ni. aṭṭha. 1.14) vutto.
ตตฺถ สิยา – ยทิ ตาว ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ, ‘‘เชตวเน’’ติ น วตฺตพฺพํฯ อถ ตตฺถ วิหรติ, ‘‘สาวตฺถิย’’นฺติ น วตฺตพฺพํฯ น หิ สกฺกา อุภยตฺถ เอกํ สมยํ วิหริตุนฺติฯ น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํฯ
Tattha siyā – yadi tāva bhagavā sāvatthiyaṃ viharati, ‘‘jetavane’’ti na vattabbaṃ. Atha tattha viharati, ‘‘sāvatthiya’’nti na vattabbaṃ. Na hi sakkā ubhayattha ekaṃ samayaṃ viharitunti. Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ.
นนุ อโวจุมฺห ‘‘สมีปเตฺถ ภุมฺมวจน’’นฺติฯ ตสฺมา ยถา คงฺคายมุนาทีนํ สมีเป โคยูถานิ จรนฺตานิ ‘‘คงฺคายํ จรนฺติ, ยมุนายํ จรนฺตี’’ติ วุจฺจติ, เอวมิธาปิ ยทิทํ สาวตฺถิยา สมีเป เชตวนํ, ตตฺถ วิหรโนฺต วุจฺจติ ‘‘สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน’’ติฯ โคจรคามนิทสฺสนตฺถํ หิสฺส สาวตฺถิวจนํ, ปพฺพชิตานุรูปนิวาสฎฺฐานนิทสฺสนตฺถํ เสสวจนํฯ
Nanu avocumha ‘‘samīpatthe bhummavacana’’nti. Tasmā yathā gaṅgāyamunādīnaṃ samīpe goyūthāni carantāni ‘‘gaṅgāyaṃ caranti, yamunāyaṃ carantī’’ti vuccati, evamidhāpi yadidaṃ sāvatthiyā samīpe jetavanaṃ, tattha viharanto vuccati ‘‘sāvatthiyaṃ viharati jetavane’’ti. Gocaragāmanidassanatthaṃ hissa sāvatthivacanaṃ, pabbajitānurūpanivāsaṭṭhānanidassanatthaṃ sesavacanaṃ.
อญฺญตรา เทวตาติ นามโคตฺตวเสน อปากฎา เอกา เทวตาติ อโตฺถฯ ‘‘อภิชานาติ โน, ภเนฺต, ภควา อหุ ญาตญฺญตรสฺส มเหสกฺขสฺส ยกฺขสฺส สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติํ ภาสิตา’’ติ เอตฺถ ปน อภิญฺญาโต สโกฺกปิ เทวราชา ‘‘อญฺญตโร’’ติ วุโตฺตฯ ‘‘เทวตา’’ติ จ อิทํ เทวานมฺปิ เทวธีตานมฺปิ สาธารณวจนํฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ เทโว อธิเปฺปโต, โส จ โข รูปาวจรานํ เทวานํ อญฺญตโรฯ
Aññatarā devatāti nāmagottavasena apākaṭā ekā devatāti attho. ‘‘Abhijānāti no, bhante, bhagavā ahu ñātaññatarassa mahesakkhassa yakkhassa saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimuttiṃ bhāsitā’’ti ettha pana abhiññāto sakkopi devarājā ‘‘aññataro’’ti vutto. ‘‘Devatā’’ti ca idaṃ devānampi devadhītānampi sādhāraṇavacanaṃ. Imasmiṃ panatthe devo adhippeto, so ca kho rūpāvacarānaṃ devānaṃ aññataro.
อภิกฺกนฺตาย รตฺติยาติ เอตฺถ อภิกฺกนฺต-สโทฺท ขยสุนฺทราภิรูปอพฺภานุโมทนาทีสุ ทิสฺสติ ฯ ตตฺถ ‘‘อภิกฺกนฺตา, ภเนฺต, รตฺติ, นิกฺขโนฺต ปฐโม ยาโม , จิรนิสิโนฺน ภิกฺขุสโงฺฆ, อุทฺทิสตุ, ภเนฺต, ภควา ภิกฺขูนํ ปาติโมกฺข’’นฺติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๐; จูฬว. ๓๘๓) ขเย ทิสฺสติฯ ‘‘อยํ อิเมสํ จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๐๐) สุนฺทเรฯ
Abhikkantāya rattiyāti ettha abhikkanta-saddo khayasundarābhirūpaabbhānumodanādīsu dissati . Tattha ‘‘abhikkantā, bhante, ratti, nikkhanto paṭhamo yāmo , ciranisinno bhikkhusaṅgho, uddisatu, bhante, bhagavā bhikkhūnaṃ pātimokkha’’nti evamādīsu (a. ni. 8.20; cūḷava. 383) khaye dissati. ‘‘Ayaṃ imesaṃ catunnaṃ puggalānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti evamādīsu (a. ni. 4.100) sundare.
‘‘โก เม วนฺทติ ปาทานิ, อิทฺธิยา ยสสา ชลํ;
‘‘Ko me vandati pādāni, iddhiyā yasasā jalaṃ;
อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, สพฺพา โอภาสยํ ทิสา’’ติฯ –
Abhikkantena vaṇṇena, sabbā obhāsayaṃ disā’’ti. –
เอวมาทีสุ (วิ. ว. ๘๕๗) อภิรูเปฯ ‘‘อภิกฺกนฺตํ โภ โคตม, อภิกฺกนฺตํ โภ โคตมา’’ติ เอวมาทีสุ (ปารา. ๑๕) อพฺภานุโมทเนฯ อิธ ปน ขเยฯ เตน อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา, ปริกฺขีณาย รตฺติยาติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถายํ เทวปุโตฺต มชฺฌิมยามสมนนฺตเร อาคโตติ เวทิตโพฺพฯ นิยาโม หิ กิเรส เทวตานํ ยทิทํ พุทฺธานํ วา พุทฺธสาวกานํ วา อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉนฺตา มชฺฌิมยามสมนนฺตเรเยว อาคจฺฉนฺติฯ
Evamādīsu (vi. va. 857) abhirūpe. ‘‘Abhikkantaṃ bho gotama, abhikkantaṃ bho gotamā’’ti evamādīsu (pārā. 15) abbhānumodane. Idha pana khaye. Tena abhikkantāya rattiyā, parikkhīṇāya rattiyāti vuttaṃ hoti. Tatthāyaṃ devaputto majjhimayāmasamanantare āgatoti veditabbo. Niyāmo hi kiresa devatānaṃ yadidaṃ buddhānaṃ vā buddhasāvakānaṃ vā upaṭṭhānaṃ āgacchantā majjhimayāmasamanantareyeva āgacchanti.
อภิกฺกนฺตวณฺณาติ อิธ อภิกฺกนฺต-สโทฺท อภิรูเป, วณฺณ-สโทฺท ปน ฉวิถุติ-กุลวคฺค-การณ-สณฺฐานปฺปมาณ-รูปายตนาทีสุ ทิสฺสติฯ ตตฺถ ‘‘สุวณฺณวโณฺณสิ ภควา’’ติ เอวมาทีสุ (สุ. นิ. ๕๕๓) ฉวิยาฯ ‘‘กทา สญฺญูฬฺหา ปน เต, คหปติ, อิเม สมณสฺส วณฺณา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๒.๗๗) ถุติยํฯ ‘‘จตฺตาโรเม, โภ โคตม, วณฺณา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๓.๑๑๕) กุลวเคฺคฯ ‘‘อถ เกน นุ วเณฺณน, คนฺธเถโนติ วุจฺจตี’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๓๔) การเณฯ ‘‘มหนฺตํ หตฺถิราชวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๓๘) สณฺฐาเนฯ ‘‘ตโย ปตฺตสฺส วณฺณา’’ติ เอวมาทีสุ (ปารา. ๖๐๒) ปมาเณฯ ‘‘วโณฺณ คโนฺธ รโส โอชา’’ติ เอวมาทีสุ รูปายตเนฯ โส อิธ ฉวิยา ทฎฺฐโพฺพฯ เตน อภิกฺกนฺตวณฺณา อภิรูปจฺฉวิ, อิฎฺฐวณฺณา มนาปวณฺณาติ วุตฺตํ โหติฯ เทวตา หิ มนุสฺสโลกํ อาคจฺฉมานา ปกติวณฺณํ ปกติอิทฺธิํ ชหิตฺวา โอฬาริกํ อตฺตภาวํ กตฺวา อติเรกวณฺณํ อติเรกอิทฺธิํ มาเปตฺวา นฎสมชฺชาทีนิ คจฺฉนฺตา มนุสฺสา วิย อภิสงฺขเตน กาเยน อาคจฺฉนฺติฯ ตตฺถ กามาวจรา อนภิสงฺขเตนปิ อาคนฺตุํ สโกฺกนฺติ, รูปาวจรา ปน น สโกฺกนฺติฯ เตสญฺหิ อติสุขุโม อตฺตภาโว, น เตน อิริยาปถกปฺปนํ โหติฯ ตสฺมา อยํ เทวปุโตฺต อภิสงฺขเตเนว อาคโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อภิกฺกนฺตวณฺณา’’ติฯ
Abhikkantavaṇṇāti idha abhikkanta-saddo abhirūpe, vaṇṇa-saddo pana chavithuti-kulavagga-kāraṇa-saṇṭhānappamāṇa-rūpāyatanādīsu dissati. Tattha ‘‘suvaṇṇavaṇṇosi bhagavā’’ti evamādīsu (su. ni. 553) chaviyā. ‘‘Kadā saññūḷhā pana te, gahapati, ime samaṇassa vaṇṇā’’ti evamādīsu (ma. ni. 2.77) thutiyaṃ. ‘‘Cattārome, bho gotama, vaṇṇā’’ti evamādīsu (dī. ni. 3.115) kulavagge. ‘‘Atha kena nu vaṇṇena, gandhathenoti vuccatī’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 1.234) kāraṇe. ‘‘Mahantaṃ hatthirājavaṇṇaṃ abhinimminitvā’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 1.138) saṇṭhāne. ‘‘Tayo pattassa vaṇṇā’’ti evamādīsu (pārā. 602) pamāṇe. ‘‘Vaṇṇo gandho raso ojā’’ti evamādīsu rūpāyatane. So idha chaviyā daṭṭhabbo. Tena abhikkantavaṇṇā abhirūpacchavi, iṭṭhavaṇṇā manāpavaṇṇāti vuttaṃ hoti. Devatā hi manussalokaṃ āgacchamānā pakativaṇṇaṃ pakatiiddhiṃ jahitvā oḷārikaṃ attabhāvaṃ katvā atirekavaṇṇaṃ atirekaiddhiṃ māpetvā naṭasamajjādīni gacchantā manussā viya abhisaṅkhatena kāyena āgacchanti. Tattha kāmāvacarā anabhisaṅkhatenapi āgantuṃ sakkonti, rūpāvacarā pana na sakkonti. Tesañhi atisukhumo attabhāvo, na tena iriyāpathakappanaṃ hoti. Tasmā ayaṃ devaputto abhisaṅkhateneva āgato. Tena vuttaṃ ‘‘abhikkantavaṇṇā’’ti.
เกวลกปฺปนฺติ เอตฺถ เกวล-สโทฺท อนวเสส-เยภุยฺยาพฺยามิสฺสานติเรกทฬฺหตฺถวิสํโยคาทิอเนกโตฺถฯ ตถา หิสฺส ‘‘เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริย’’นฺติ เอวมาทีสุ (ปารา. ๑) อนวเสสตฺถมโตฺถฯ ‘‘เกวลกปฺปา จ องฺคมคธา ปหูตํ ขาทนียโภชนียํ อาทาย อุปสงฺกมิสฺสนฺตี’’ติ เอวมาทีสุ (มหาว. ๔๓) เยภุยฺยตาฯ ‘‘เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหตี’’ติ เอวมาทีสุ (วิภ. ๒๒๕) อพฺยามิสฺสตาฯ ‘‘เกวลํ สทฺธามตฺตกํ นูน อยมายสฺมา’’ติ เอวมาทีสุ (มหาว. ๒๔๔) อนติเรกตาฯ ‘‘อายสฺมโต, ภเนฺต, อนุรุทฺธสฺส พาหิโย นาม สทฺธิวิหาริโก เกวลกปฺปํ สงฺฆเภทาย ฐิโต’’ติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๔.๒๔๓) ทฬฺหตฺถตาฯ ‘‘เกวลี วุสิตวา อุตฺตมปุริโสติ วุจฺจตี’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๕๗) วิสํโยโค อโตฺถฯ อิธ ปนสฺส อนวเสสโตฺถ อธิเปฺปโตฯ
Kevalakappanti ettha kevala-saddo anavasesa-yebhuyyābyāmissānatirekadaḷhatthavisaṃyogādianekattho. Tathā hissa ‘‘kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariya’’nti evamādīsu (pārā. 1) anavasesatthamattho. ‘‘Kevalakappā ca aṅgamagadhā pahūtaṃ khādanīyabhojanīyaṃ ādāya upasaṅkamissantī’’ti evamādīsu (mahāva. 43) yebhuyyatā. ‘‘Kevalassa dukkhakkhandhassa samudayo hotī’’ti evamādīsu (vibha. 225) abyāmissatā. ‘‘Kevalaṃ saddhāmattakaṃ nūna ayamāyasmā’’ti evamādīsu (mahāva. 244) anatirekatā. ‘‘Āyasmato, bhante, anuruddhassa bāhiyo nāma saddhivihāriko kevalakappaṃ saṅghabhedāya ṭhito’’ti evamādīsu (a. ni. 4.243) daḷhatthatā. ‘‘Kevalī vusitavā uttamapurisoti vuccatī’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 3.57) visaṃyogo attho. Idha panassa anavasesattho adhippeto.
กปฺป-สโทฺท ปนายํ อภิสทฺทหน-โวหาร-กาล-ปญฺญตฺติ-เฉทน-วิกปฺป-เลสสมนฺตภาวาทิอเนกโตฺถฯ ตถา หิสฺส ‘‘โอกปฺปนิยเมตํ โภโต โคตมสฺส, ยถา ตํ อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) อภิสทฺทหนมโตฺถฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหิ สมณกเปฺปหิ ผลํ ปริภุญฺชิตุ’’นฺติ เอวมาทีสุ (จูฬว. ๒๕๐) โวหาโรฯ ‘‘เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) กาโลฯ ‘‘อิจฺจายสฺมา กโปฺป’’ติ เอวมาทีสุ ปญฺญตฺติฯ ‘‘อลงฺกโต กปฺปิตเกสมสฺสู’’ติ เอวมาทีสุ (วิ. ว. ๑๐๙๔, ๑๑๐๑) เฉทนํฯ ‘‘กปฺปติ ทฺวงฺคุลกโปฺป’’ติ เอวมาทีสุ (จูฬว. ๔๔๖) วิกโปฺปฯ ‘‘อาตฺถิ กโปฺป นิปชฺชิตุ’’นฺติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๘.๘๐) เลโสฯ ‘‘เกวลกปฺปํ เวฬุวนํ โอภาเสตฺวา’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๙๔) สมนฺตภาโวฯ อิธ ปนสฺส สมนฺตภาวโตฺถ อธิเปฺปโตฯ ตสฺมา เกวลกปฺปํ เชตวนนฺติ เอตฺถ ‘‘อนวเสสํ สมนฺตโต เชตวน’’นฺติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Kappa-saddo panāyaṃ abhisaddahana-vohāra-kāla-paññatti-chedana-vikappa-lesasamantabhāvādianekattho. Tathā hissa ‘‘okappaniyametaṃ bhoto gotamassa, yathā taṃ arahato sammāsambuddhassā’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.387) abhisaddahanamattho. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pañcahi samaṇakappehi phalaṃ paribhuñjitu’’nti evamādīsu (cūḷava. 250) vohāro. ‘‘Yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.387) kālo. ‘‘Iccāyasmā kappo’’ti evamādīsu paññatti. ‘‘Alaṅkato kappitakesamassū’’ti evamādīsu (vi. va. 1094, 1101) chedanaṃ. ‘‘Kappati dvaṅgulakappo’’ti evamādīsu (cūḷava. 446) vikappo. ‘‘Ātthi kappo nipajjitu’’nti evamādīsu (a. ni. 8.80) leso. ‘‘Kevalakappaṃ veḷuvanaṃ obhāsetvā’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 1.94) samantabhāvo. Idha panassa samantabhāvattho adhippeto. Tasmā kevalakappaṃ jetavananti ettha ‘‘anavasesaṃ samantato jetavana’’nti evamattho daṭṭhabbo.
โอภาเสตฺวาติ วตฺถาลงฺการสรีรสมุฎฺฐิตาย อาภาย ผริตฺวา, จนฺทิมา วิย สูริโย วิย จ เอโกภาสํ เอกปโชฺชตํ กริตฺวาติ อโตฺถฯ
Obhāsetvāti vatthālaṅkārasarīrasamuṭṭhitāya ābhāya pharitvā, candimā viya sūriyo viya ca ekobhāsaṃ ekapajjotaṃ karitvāti attho.
เยนาติ ภุมฺมเตฺถ กรณวจนํฯ เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติ ตสฺมา ‘‘ยตฺถ ภควา, ตตฺถ อุปสงฺกมี’’ติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เยน วา การเณน ภควา เทวมนุเสฺสหิ อุปสงฺกมิตโพฺพ, เตน การเณน อุปสงฺกมีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เกน จ การเณน ภควา อุปสงฺกมิตโพฺพ? นานปฺปการคุณวิเสสาธิคมาธิปฺปาเยน, สาทุผลูปโภคาธิปฺปาเยน ทิชคเณหิ นิจฺจผลิตมหารุโกฺข วิยฯ อุปสงฺกมีติ จ คตาติ วุตฺตํ โหติฯ อุปสงฺกมิตฺวาติ อุปสงฺกมนปริโยสานทีปนํฯ อถ วา เอวํ คตา ตโต อาสนฺนตรํ ฐานํ ภควโต สมีปสงฺขาตํ คนฺตฺวาติปิ วุตฺตํ โหติฯ
Yenāti bhummatthe karaṇavacanaṃ. Yena bhagavā tenupasaṅkamīti tasmā ‘‘yattha bhagavā, tattha upasaṅkamī’’ti evamettha attho daṭṭhabbo. Yena vā kāraṇena bhagavā devamanussehi upasaṅkamitabbo, tena kāraṇena upasaṅkamīti evamettha attho daṭṭhabbo. Kena ca kāraṇena bhagavā upasaṅkamitabbo? Nānappakāraguṇavisesādhigamādhippāyena, sāduphalūpabhogādhippāyena dijagaṇehi niccaphalitamahārukkho viya. Upasaṅkamīti ca gatāti vuttaṃ hoti. Upasaṅkamitvāti upasaṅkamanapariyosānadīpanaṃ. Atha vā evaṃ gatā tato āsannataraṃ ṭhānaṃ bhagavato samīpasaṅkhātaṃ gantvātipi vuttaṃ hoti.
อิทานิ เยนเตฺถน โลเก อคฺคปุคฺคลสฺส อุปฎฺฐานํ อาคตา, ตํ ปุจฺฉิตุกามา ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชุลิํ สิรสิ ปติฎฺฐเปตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส – ‘‘วิสมํ จนฺทิมสูริยา ปริวตฺตนฺตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๗๐) วิยฯ ตสฺมา ยถา ฐิตา เอกมนฺตํ ฐิตา โหติ, ตถา อฎฺฐาสีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ภุมฺมเตฺถ วา เอตํ อุปโยควจนํฯ อฎฺฐาสีติ ฐานํ กเปฺปสิฯ ปณฺฑิตา หิ เทวมนุสฺสา ครุฎฺฐานิยํ อุปสงฺกมิตฺวา อาสนกุสลตาย เอกมนฺตํ ติฎฺฐนฺติ, อยญฺจ เทโว เตสํ อญฺญตโร, ตสฺมา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ
Idāni yenatthena loke aggapuggalassa upaṭṭhānaṃ āgatā, taṃ pucchitukāmā dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjuliṃ sirasi patiṭṭhapetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantanti bhāvanapuṃsakaniddeso – ‘‘visamaṃ candimasūriyā parivattantī’’tiādīsu (a. ni. 4.70) viya. Tasmā yathā ṭhitā ekamantaṃ ṭhitā hoti, tathā aṭṭhāsīti evamettha attho daṭṭhabbo. Bhummatthe vā etaṃ upayogavacanaṃ. Aṭṭhāsīti ṭhānaṃ kappesi. Paṇḍitā hi devamanussā garuṭṭhāniyaṃ upasaṅkamitvā āsanakusalatāya ekamantaṃ tiṭṭhanti, ayañca devo tesaṃ aññataro, tasmā ekamantaṃ aṭṭhāsi.
กถํ ฐิโต ปน เอกมนฺตํ ฐิโต โหตีติ? ฉ ฐานโทเส วเชฺชตฺวาฯ เสยฺยถิทํ – อติทูรํ, อจฺจาสนฺนํ, อุปริวาตํ , อุนฺนตปฺปเทสํ, อติสมฺมุขํ, อติปจฺฉาติฯ อติทูเร ฐิโต หิ สเจ กเถตุกาโม โหติ, อุจฺจาสเทฺทน กเถตพฺพํ โหติฯ อจฺจาสเนฺน ฐิโต สงฺฆฎฺฎนํ กโรติฯ อุปริวาเต ฐิโต สรีรคเนฺธน พาธติฯ อุนฺนตปฺปเทเส ฐิโต อคารวํ ปกาเสติฯ อติสมฺมุขา ฐิโต สเจ ทฎฺฐุกาโม โหติ, จกฺขุนา จกฺขุํ อาหจฺจ ทฎฺฐพฺพํ โหติฯ อติปจฺฉา ฐิโต สเจ ทฎฺฐุกาโม โหติ, คีวํ ปสาเรตฺวา ทฎฺฐพฺพํ โหติฯ ตสฺมา อยมฺปิ เอเต ฉ ฐานโทเส วเชฺชตฺวา อฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เอกมนฺตํ อฎฺฐาสี’’ติฯ
Kathaṃ ṭhito pana ekamantaṃ ṭhito hotīti? Cha ṭhānadose vajjetvā. Seyyathidaṃ – atidūraṃ, accāsannaṃ, uparivātaṃ , unnatappadesaṃ, atisammukhaṃ, atipacchāti. Atidūre ṭhito hi sace kathetukāmo hoti, uccāsaddena kathetabbaṃ hoti. Accāsanne ṭhito saṅghaṭṭanaṃ karoti. Uparivāte ṭhito sarīragandhena bādhati. Unnatappadese ṭhito agāravaṃ pakāseti. Atisammukhā ṭhito sace daṭṭhukāmo hoti, cakkhunā cakkhuṃ āhacca daṭṭhabbaṃ hoti. Atipacchā ṭhito sace daṭṭhukāmo hoti, gīvaṃ pasāretvā daṭṭhabbaṃ hoti. Tasmā ayampi ete cha ṭhānadose vajjetvā aṭṭhāsi. Tena vuttaṃ ‘‘ekamantaṃ aṭṭhāsī’’ti.
เอตทโวจาติ เอตํ อโวจฯ กถํ นูติ การณปุจฺฉาฯ ภควโต หิ ติโณฺณฆภาโว ทสสหสฺสิโลกธาตุยา ปากโฎ, เตนิมิสฺสา เทวตาย ตตฺถ กงฺขา นตฺถิ, อิมินา ปน การเณน ‘‘ติโณฺณ’’ติ น ชานาติ, เตน สา ตํ การณํ ปุจฺฉมานา เอวมาหฯ
Etadavocāti etaṃ avoca. Kathaṃ nūti kāraṇapucchā. Bhagavato hi tiṇṇoghabhāvo dasasahassilokadhātuyā pākaṭo, tenimissā devatāya tattha kaṅkhā natthi, iminā pana kāraṇena ‘‘tiṇṇo’’ti na jānāti, tena sā taṃ kāraṇaṃ pucchamānā evamāha.
มาริสาติ เทวตานํ ปิยสมุทาจารวจนเมตํฯ นิทฺทุกฺขาติ วุตฺตํ โหติฯ ยทิ เอวํ ‘‘ยทา โข เต, มาริส, สงฺกุนา สงฺกุ หทเย สมาคเจฺฉยฺย, อถ นํ ตฺวํ ชาเนยฺยาสิ ‘วสฺสสหสฺสํ เม นิรเย ปจฺจมานสฺสา’’’ติ (ม. นิ. ๑.๕๑๒) อิทํ วิรุชฺฌติฯ น หิ เนรยิกสโตฺต นิทฺทุโกฺข นาม โหติฯ กิญฺจาปิ น นิทฺทุโกฺข, รุฬฺหีสเทฺทน ปน เอวํ วุจฺจติฯ ปุเพฺพ กิร ปฐมกปฺปิกานํ นิทฺทุกฺขานํ สุขสมปฺปิตานํ เอส โวหาโร, อปรภาเค ทุกฺขํ โหตุ วา มา วา, รุฬฺหีสเทฺทน อยํ โวหาโร วุจฺจเตว นิปฺปทุมาปิ นิรุทกาปิ วา โปกฺขรณี โปกฺขรณี วิยฯ
Mārisāti devatānaṃ piyasamudācāravacanametaṃ. Niddukkhāti vuttaṃ hoti. Yadi evaṃ ‘‘yadā kho te, mārisa, saṅkunā saṅku hadaye samāgaccheyya, atha naṃ tvaṃ jāneyyāsi ‘vassasahassaṃ me niraye paccamānassā’’’ti (ma. ni. 1.512) idaṃ virujjhati. Na hi nerayikasatto niddukkho nāma hoti. Kiñcāpi na niddukkho, ruḷhīsaddena pana evaṃ vuccati. Pubbe kira paṭhamakappikānaṃ niddukkhānaṃ sukhasamappitānaṃ esa vohāro, aparabhāge dukkhaṃ hotu vā mā vā, ruḷhīsaddena ayaṃ vohāro vuccateva nippadumāpi nirudakāpi vā pokkharaṇī pokkharaṇī viya.
โอฆมตรีติ เอตฺถ จตฺตาโร โอฆา, กาโมโฆ ภโวโฆ ทิโฎฺฐโฆ อวิโชฺชโฆติฯ ตตฺถ ปญฺจสุ กามคุเณสุ ฉนฺทราโค กาโมโฆ นามฯ รูปารูปภเวสุ ฉนฺทราโค ฌานนิกนฺติ จ ภโวโฆ นามฯ ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิโย ทิโฎฺฐโฆ นามฯ จตูสุ สเจฺจสุ อญฺญาณํ อวิโชฺชโฆ นามฯ ตตฺถ กาโมโฆ อฎฺฐสุ โลภสหคเตสุ จิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชติ, ภโวโฆ จตูสุ ทิฎฺฐิคตวิปฺปยุตฺตโลภสหคเตสุ จิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชติ, ทิโฎฺฐโฆ จตูสุ ทิฎฺฐิคตสมฺปยุเตฺตสุ จิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชติ, อวิโชฺชโฆ สพฺพากุสเลสุ อุปฺปชฺชติฯ
Oghamatarīti ettha cattāro oghā, kāmogho bhavogho diṭṭhogho avijjoghoti. Tattha pañcasu kāmaguṇesu chandarāgo kāmogho nāma. Rūpārūpabhavesu chandarāgo jhānanikanti ca bhavogho nāma. Dvāsaṭṭhi diṭṭhiyo diṭṭhogho nāma. Catūsu saccesu aññāṇaṃ avijjogho nāma. Tattha kāmogho aṭṭhasu lobhasahagatesu cittuppādesu uppajjati, bhavogho catūsu diṭṭhigatavippayuttalobhasahagatesu cittuppādesu uppajjati, diṭṭhogho catūsu diṭṭhigatasampayuttesu cittuppādesu uppajjati, avijjogho sabbākusalesu uppajjati.
สโพฺพปิ เจส อวหนนเฎฺฐน ราสเฎฺฐน จ โอโฆติ เวทิตโพฺพฯ อวหนนเฎฺฐนาติ อโธคมนเฎฺฐนฯ อยญฺหิ อตฺตโน วสํ คเต สเตฺต อโธ คเมติ, นิรยาทิเภทาย ทุคฺคติยํเยว นิพฺพเตฺตติ, อุปริภาวํ วา นิพฺพานํ คนฺตุํ อเทโนฺต อโธ ตีสุ ภเวสุ จตูสุ โยนีสุ ปญฺจสุ คตีสุ สตฺตสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ นวสุ สตฺตาวาเสสุ จ คเมตีติปิ อโตฺถฯ ราสเฎฺฐนาติ มหนฺตเฎฺฐนฯ มหา เหโส กิเลสราสิ อวีจิโต ปฎฺฐาย ยาว ภวคฺคา ปตฺถโฎ, ยทิทํ ปญฺจสุ กามคุเณสุ ฉนฺทราโค นามฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ เอวมยํ ราสเฎฺฐนาปิ โอโฆติ เวทิตโพฺพฯ อตรีติ อิมํ จตุพฺพิธมฺปิ โอฆํ เกน นุ ตฺวํ, มาริส, การเณน ติโณฺณติ ปุจฺฉติฯ
Sabbopi cesa avahananaṭṭhena rāsaṭṭhena ca oghoti veditabbo. Avahananaṭṭhenāti adhogamanaṭṭhena. Ayañhi attano vasaṃ gate satte adho gameti, nirayādibhedāya duggatiyaṃyeva nibbatteti, uparibhāvaṃ vā nibbānaṃ gantuṃ adento adho tīsu bhavesu catūsu yonīsu pañcasu gatīsu sattasu viññāṇaṭṭhitīsu navasu sattāvāsesu ca gametītipi attho. Rāsaṭṭhenāti mahantaṭṭhena. Mahā heso kilesarāsi avīcito paṭṭhāya yāva bhavaggā patthaṭo, yadidaṃ pañcasu kāmaguṇesu chandarāgo nāma. Sesesupi eseva nayo. Evamayaṃ rāsaṭṭhenāpi oghoti veditabbo. Atarīti imaṃ catubbidhampi oghaṃ kena nu tvaṃ, mārisa, kāraṇena tiṇṇoti pucchati.
อถสฺสา ภควา ปญฺหํ วิสฺสเชฺชโนฺต อปฺปติฎฺฐํ ขฺวาหนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อปฺปติฎฺฐนฺติ อปฺปติฎฺฐหโนฺตฯ อนายูหนฺติ อนายูหโนฺต, อวายมโนฺตติ อโตฺถฯ อิติ ภควา คูฬฺหํ ปฎิจฺฉนฺนํ กตฺวา ปญฺหํ กเถสิฯ เทวตาปิ นํ สุตฺวา ‘‘พาหิรกํ ตาว โอฆํ ตรนฺตา นาม ฐาตพฺพฎฺฐาเน ติฎฺฐนฺตา ตริตพฺพฎฺฐาเน อายูหนฺตา ตรนฺติ, อยํ ปน อวีจิโต ยาว ภวคฺคา ปตฺถฎํ กิเลโสฆํ กิเลสราสิํ อปฺปติฎฺฐหโนฺต อนายูหโนฺต อตรินฺติ อาหฯ กิํ นุ โข เอตํ? กถํ นุ โข เอต’’นฺติ? วิมติํ ปกฺขนฺตา ปญฺหสฺส อตฺถํ น อญฺญาสิฯ
Athassā bhagavā pañhaṃ vissajjento appatiṭṭhaṃ khvāhantiādimāha. Tattha appatiṭṭhanti appatiṭṭhahanto. Anāyūhanti anāyūhanto, avāyamantoti attho. Iti bhagavā gūḷhaṃ paṭicchannaṃ katvā pañhaṃ kathesi. Devatāpi naṃ sutvā ‘‘bāhirakaṃ tāva oghaṃ tarantā nāma ṭhātabbaṭṭhāne tiṭṭhantā taritabbaṭṭhāne āyūhantā taranti, ayaṃ pana avīcito yāva bhavaggā patthaṭaṃ kilesoghaṃ kilesarāsiṃ appatiṭṭhahanto anāyūhanto atarinti āha. Kiṃ nu kho etaṃ? Kathaṃ nu kho eta’’nti? Vimatiṃ pakkhantā pañhassa atthaṃ na aññāsi.
กิํ ปน ภควตา ยถา สตฺตา น ชานนฺติ, เอวํ กถนตฺถาย ปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพญฺญุตา ปฎิวิทฺธาติ? น เอตทตฺถาย ปฎิวิทฺธาฯ เทฺว ปน ภควโต เทสนา นิคฺคหมุเขน จ อนุคฺคหมุเขน จฯ ตตฺถ เย ปณฺฑิตมานิโน โหนฺติ อญฺญาเตปิ ญาตสญฺญิโน ปญฺจสตา พฺราหฺมณปพฺพชิตา วิย, เตสํ มานนิคฺคหตฺถํ ยถา น ชานนฺติ, เอวํ มูลปริยายาทิสทิสํ ธมฺมํ เทเสติฯ อยํ นิคฺคหมุเขน เทสนาฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘นิคฺคยฺห นิคฺคยฺหาหํ, อานนฺท, วกฺขามิ, ปวยฺห ปวยฺห, อานนฺท, วกฺขามิ, โย สาโร, โส ฐสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๙๖)ฯ เย ปน อุชุกา สิกฺขากามา, เตสํ สุวิเญฺญยฺยํ กตฺวา อากเงฺขยฺยสุตฺตาทิสทิสํ ธมฺมํ เทเสติ, ‘‘อภิรม, ติสฺส, อภิรม, ติสฺส, อหโมวาเทน อหมนุคฺคเหน อหมนุสาสนิยา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๘๔) จ เน สมสฺสาเสติฯ อยํ อนุคฺคหมุเขน เทสนาฯ
Kiṃ pana bhagavatā yathā sattā na jānanti, evaṃ kathanatthāya pāramiyo pūretvā sabbaññutā paṭividdhāti? Na etadatthāya paṭividdhā. Dve pana bhagavato desanā niggahamukhena ca anuggahamukhena ca. Tattha ye paṇḍitamānino honti aññātepi ñātasaññino pañcasatā brāhmaṇapabbajitā viya, tesaṃ mānaniggahatthaṃ yathā na jānanti, evaṃ mūlapariyāyādisadisaṃ dhammaṃ deseti. Ayaṃ niggahamukhena desanā. Vuttampi cetaṃ ‘‘niggayha niggayhāhaṃ, ānanda, vakkhāmi, pavayha pavayha, ānanda, vakkhāmi, yo sāro, so ṭhassatī’’ti (ma. ni. 3.196). Ye pana ujukā sikkhākāmā, tesaṃ suviññeyyaṃ katvā ākaṅkheyyasuttādisadisaṃ dhammaṃ deseti, ‘‘abhirama, tissa, abhirama, tissa, ahamovādena ahamanuggahena ahamanusāsaniyā’’ti (saṃ. ni. 3.84) ca ne samassāseti. Ayaṃ anuggahamukhena desanā.
อยํ ปน เทวปุโตฺต มานตฺถโทฺธ ปณฺฑิตมานี, เอวํ กิรสฺส อโหสิ – อหํ โอฆํ ชานามิ, ตถาคตสฺส โอฆติณฺณภาวํ ชานามิ, ‘‘อิมินา ปน การเณน ติโณฺณ’’ติ เอตฺตกมตฺตํ น ชานามิฯ อิติ มยฺหํ ญาตเมว พหุ, อปฺปํ อญฺญาตํ, ตมหํ กถิตมตฺตเมว ชานิสฺสามิฯ กิญฺหิ นาม ตํ ภควา วเทยฺย, ยสฺสาหํ อตฺถํ น ชาเนยฺยนฺติฯ อถ สตฺถา ‘‘อยํ กิลิฎฺฐวตฺถํ วิย รงฺคชาตํ อภโพฺพ อิมํ มานํ อปฺปหาย เทสนํ สมฺปฎิจฺฉิตุํ, มานนิคฺคหํ ตาวสฺส กตฺวา ปุน นีจจิเตฺตน ปุจฺฉนฺตสฺส ปกาเสสฺสามี’’ติ ปฎิจฺฉนฺนํ กตฺวา ปญฺหํ กเถสิฯ โสปิ นิหตมาโน อโหสิ, สา จสฺส นิหตมานตา อุตฺตริปญฺหปุจฺฉเนเนว เวทิตพฺพาฯ ตสฺส ปน ปญฺหปุจฺฉนสฺส อยมโตฺถ – กถํ ปน ตฺวํ, มาริส, อปฺปติฎฺฐํ อนายูหํ โอฆมตริ, ยถาหํ ชานามิ, เอวํ เม กเถหีติฯ
Ayaṃ pana devaputto mānatthaddho paṇḍitamānī, evaṃ kirassa ahosi – ahaṃ oghaṃ jānāmi, tathāgatassa oghatiṇṇabhāvaṃ jānāmi, ‘‘iminā pana kāraṇena tiṇṇo’’ti ettakamattaṃ na jānāmi. Iti mayhaṃ ñātameva bahu, appaṃ aññātaṃ, tamahaṃ kathitamattameva jānissāmi. Kiñhi nāma taṃ bhagavā vadeyya, yassāhaṃ atthaṃ na jāneyyanti. Atha satthā ‘‘ayaṃ kiliṭṭhavatthaṃ viya raṅgajātaṃ abhabbo imaṃ mānaṃ appahāya desanaṃ sampaṭicchituṃ, mānaniggahaṃ tāvassa katvā puna nīcacittena pucchantassa pakāsessāmī’’ti paṭicchannaṃ katvā pañhaṃ kathesi. Sopi nihatamāno ahosi, sā cassa nihatamānatā uttaripañhapucchaneneva veditabbā. Tassa pana pañhapucchanassa ayamattho – kathaṃ pana tvaṃ, mārisa, appatiṭṭhaṃ anāyūhaṃ oghamatari, yathāhaṃ jānāmi, evaṃ me kathehīti.
อถสฺส ภควา กเถโนฺต ยทาสฺวาหนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยทา สฺวาหนฺติ ยสฺมิํ กาเล อหํฯ สุกาโร นิปาตมตฺตํฯ ยถา จ เอตฺถ, เอวํ สพฺพปเทสุฯ สํสีทามีติ ปฎิจฺฉนฺนํ กตฺวา อตรโนฺต ตเตฺถว โอสีทามิฯ นิพฺพุยฺหามีติ ฐาตุํ อสโกฺกโนฺต อติวตฺตามิฯ อิติ ฐาเน จ วายาเม จ โทสํ ทิสฺวา อติฎฺฐโนฺต อวายมโนฺต โอฆมตรินฺติ เอวํ ภควตา ปโญฺห กถิโตฯ เทวตายปิ ปฎิวิโทฺธ, น ปน ปากโฎ, ตสฺส ปากฎีกรณตฺถํ สตฺต ทุกา ทสฺสิตาฯ กิเลสวเสน หิ สนฺติฎฺฐโนฺต สํสีทติ นาม, อภิสงฺขารวเสน อายูหโนฺต นิพฺพุยฺหติ นามฯ ตณฺหาทิฎฺฐีหิ วา สนฺติฎฺฐโนฺต สํสีทติ นาม, อวเสสกิเลสานเญฺจว อภิสงฺขารานญฺจ วเสน อายูหโนฺต นิพฺพุยฺหติ นามฯ ตณฺหาวเสน วา สนฺติฎฺฐโนฺต สํสีทติ นาม, ทิฎฺฐิวเสน อายูหโนฺต นิพฺพุยฺหติ นามฯ สสฺสตทิฎฺฐิยา วา สนฺติฎฺฐโนฺต สํสีทติ นาม, อุเจฺฉททิฎฺฐิยา อายูหโนฺต นิพฺพุยฺหติ นามฯ โอลียนาภินิเวสา หิ ภวทิฎฺฐิ, อติธาวนาภินิเวสา วิภวทิฎฺฐิ ฯ ลีนวเสน วา สนฺติฎฺฐโนฺต สํสีทติ นาม, อุทฺธจฺจวเสน อายูหโนฺต นิพฺพุยฺหติ นามฯ ตถา กามสุขลฺลิกานุโยควเสน สนฺติฎฺฐโนฺต สํสีทติ นาม, อตฺตกิลมถานุโยควเสน อายูหโนฺต นิพฺพุยฺหติ นามฯ สพฺพากุสลาภิสงฺขารวเสน สนฺติฎฺฐโนฺต สํสีทติ นาม, สพฺพโลกิยกุสลาภิสงฺขารวเสน อายูหโนฺต นิพฺพุยฺหติ นามฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘เสยฺยถาปิ, จุนฺท, เย เกจิ อกุสลา ธมฺมา, สเพฺพ เต อโธภาคงฺคมนียา, เย เกจิ กุสลา ธมฺมา, สเพฺพ เต อุปริภาคงฺคมนียา’’ติ (ม. นิ. ๑.๘๖)ฯ
Athassa bhagavā kathento yadāsvāhantiādimāha. Tattha yadā svāhanti yasmiṃ kāle ahaṃ. Sukāro nipātamattaṃ. Yathā ca ettha, evaṃ sabbapadesu. Saṃsīdāmīti paṭicchannaṃ katvā ataranto tattheva osīdāmi. Nibbuyhāmīti ṭhātuṃ asakkonto ativattāmi. Iti ṭhāne ca vāyāme ca dosaṃ disvā atiṭṭhanto avāyamanto oghamatarinti evaṃ bhagavatā pañho kathito. Devatāyapi paṭividdho, na pana pākaṭo, tassa pākaṭīkaraṇatthaṃ satta dukā dassitā. Kilesavasena hi santiṭṭhanto saṃsīdati nāma, abhisaṅkhāravasena āyūhanto nibbuyhati nāma. Taṇhādiṭṭhīhi vā santiṭṭhanto saṃsīdati nāma, avasesakilesānañceva abhisaṅkhārānañca vasena āyūhanto nibbuyhati nāma. Taṇhāvasena vā santiṭṭhanto saṃsīdati nāma, diṭṭhivasena āyūhanto nibbuyhati nāma. Sassatadiṭṭhiyā vā santiṭṭhanto saṃsīdati nāma, ucchedadiṭṭhiyā āyūhanto nibbuyhati nāma. Olīyanābhinivesā hi bhavadiṭṭhi, atidhāvanābhinivesā vibhavadiṭṭhi . Līnavasena vā santiṭṭhanto saṃsīdati nāma, uddhaccavasena āyūhanto nibbuyhati nāma. Tathā kāmasukhallikānuyogavasena santiṭṭhanto saṃsīdati nāma, attakilamathānuyogavasena āyūhanto nibbuyhati nāma. Sabbākusalābhisaṅkhāravasena santiṭṭhanto saṃsīdati nāma, sabbalokiyakusalābhisaṅkhāravasena āyūhanto nibbuyhati nāma. Vuttampi cetaṃ – ‘‘seyyathāpi, cunda, ye keci akusalā dhammā, sabbe te adhobhāgaṅgamanīyā, ye keci kusalā dhammā, sabbe te uparibhāgaṅgamanīyā’’ti (ma. ni. 1.86).
อิมํ ปญฺหวิสฺสชฺชนํ สุตฺวาว เทวตา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย ตุฎฺฐา ปสนฺนา อตฺตโน ตุฎฺฐิญฺจ ปสาทญฺจ ปกาสยนฺตี จิรสฺสํ วตาติ คาถมาหฯ ตตฺถ จิรสฺสนฺติ จิรสฺส กาลสฺส อจฺจเยนาติ อโตฺถฯ อยํ กิร เทวตา กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธํ ทิสฺวา ตสฺส ปรินิพฺพานโต ปฎฺฐาย อนฺตรา อญฺญํ พุทฺธํ น ทิฎฺฐปุพฺพา, ตสฺมา อชฺช ภควนฺตํ ทิสฺวา เอวมาหฯ กิํ ปนิมาย เทวตาย อิโต ปุเพฺพ สตฺถา น ทิฎฺฐปุโพฺพติฯ ทิฎฺฐปุโพฺพ วา โหตุ อทิฎฺฐปุโพฺพ วา, ทสฺสนํ อุปาทาย เอวํ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ พฺราหฺมณนฺติ พาหิตปาปํ ขีณาสวพฺราหฺมณํฯ ปรินิพฺพุตนฺติ กิเลสนิพฺพาเนน นิพฺพุตํฯ โลเกติ สตฺตโลเกฯ วิสตฺติกนฺติ รูปาทีสุ อารมฺมเณสุ อาสตฺตวิสตฺตตาทีหิ การเณหิ วิสตฺติกา วุจฺจติ ตณฺหา, ตํ วิสตฺติกํ อปฺปติฎฺฐมานํ อนายูหมานํ ติณฺณํ นิตฺติณฺณํ อุตฺติณฺณํ จิรสฺสํ วต ขีณาสวพฺราหฺมณํ ปสฺสามีติ อโตฺถฯ
Imaṃ pañhavissajjanaṃ sutvāva devatā sotāpattiphale patiṭṭhāya tuṭṭhā pasannā attano tuṭṭhiñca pasādañca pakāsayantī cirassaṃ vatāti gāthamāha. Tattha cirassanti cirassa kālassa accayenāti attho. Ayaṃ kira devatā kassapasammāsambuddhaṃ disvā tassa parinibbānato paṭṭhāya antarā aññaṃ buddhaṃ na diṭṭhapubbā, tasmā ajja bhagavantaṃ disvā evamāha. Kiṃ panimāya devatāya ito pubbe satthā na diṭṭhapubboti. Diṭṭhapubbo vā hotu adiṭṭhapubbo vā, dassanaṃ upādāya evaṃ vattuṃ vaṭṭati. Brāhmaṇanti bāhitapāpaṃ khīṇāsavabrāhmaṇaṃ. Parinibbutanti kilesanibbānena nibbutaṃ. Loketi sattaloke. Visattikanti rūpādīsu ārammaṇesu āsattavisattatādīhi kāraṇehi visattikā vuccati taṇhā, taṃ visattikaṃ appatiṭṭhamānaṃ anāyūhamānaṃ tiṇṇaṃ nittiṇṇaṃ uttiṇṇaṃ cirassaṃ vata khīṇāsavabrāhmaṇaṃ passāmīti attho.
สมนุโญฺญ สตฺถา อโหสีติ ตสฺสา เทวตาย วจนํ จิเตฺตเนว สมนุโมทิ, เอกชฺฌาสโย อโหสิฯ อนฺตรธายีติ อภิสงฺขตกายํ ชหิตฺวา อตฺตโน ปกติอุปาทิณฺณกกายสฺมิํเยว ฐตฺวา ลทฺธาสา ลทฺธปติฎฺฐา หุตฺวา ทสพลํ คเนฺธหิ จ มาเลหิ จ ปูเชตฺวา อตฺตโน ภวนํเยว อคมาสีติฯ
Samanuñño satthā ahosīti tassā devatāya vacanaṃ citteneva samanumodi, ekajjhāsayo ahosi. Antaradhāyīti abhisaṅkhatakāyaṃ jahitvā attano pakatiupādiṇṇakakāyasmiṃyeva ṭhatvā laddhāsā laddhapatiṭṭhā hutvā dasabalaṃ gandhehi ca mālehi ca pūjetvā attano bhavanaṃyeva agamāsīti.
โอฆตรณสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Oghataraṇasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑. โอฆตรณสุตฺตํ • 1. Oghataraṇasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑. โอฆตรณสุตฺตวณฺณนา • 1. Oghataraṇasuttavaṇṇanā