Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā)

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    สํยุตฺตนิกาเย

    Saṃyuttanikāye

    สคาถาวคฺคฎีกา

    Sagāthāvaggaṭīkā

    คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา

    Ganthārambhakathāvaṇṇanā

    . สํวณฺณนารเมฺภ รตนตฺตยวนฺทนา สํวเณฺณตพฺพสฺส ธมฺมสฺส ปภวนิสฺสยวิสุทฺธิปฎิเวทนตฺถํ, ตํ ปน ธมฺมสํวณฺณนาสุ วิญฺญูนํ พหุมานุปฺปาทนตฺถํ, ตํ สมฺมเทว เตสํ อุคฺคหณธารณาทิกฺกมลทฺธพฺพาย สมฺมาปฎิปตฺติยา สพฺพหิตสุขนิปฺผาทนตฺถนฺติฯ อถ วา มงฺคลภาวโต, สพฺพกิริยาสุ ปุพฺพกิจฺจภาวโต, ปณฺฑิเตหิ สมาจริตภาวโต, อายติํ ปเรสํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชนโต จ สํวณฺณนายํ รตนตฺตยปณามกิริยาติฯ อถ วา รตนตฺตยปณามกรณํ ปูชนียปูชาปุญฺญวิเสสนิพฺพตฺตนตฺถํ, ตํ อตฺตโน ยถาลทฺธสมฺปตฺตินิมิตฺตกสฺส กมฺมสฺส พลานุปฺปทานตฺถํ, อนฺตรา จ ตสฺส อสํโกจาปนตฺถํ, ตทุภยํ อนนฺตราเยน อฎฺฐกถาย ปริสมาปนตฺถนฺติ อิทเมว จ ปโยชนํ อาจริเยน อิธาธิเปฺปตํฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘อิติ เม ปสนฺนมติโน…เป.… ตสฺสานุภาเวนา’’ติฯ วตฺถุตฺตยปูชา หิ นิรติสยปุญฺญเกฺขตฺตสํพุทฺธิยา อปริเมยฺยปภาโว ปุญฺญาติสโยติ พหุวิธนฺตราเยปิ โลกสนฺนิวาเส อนฺตรายนิพนฺธนสกลสํกิเลสวิทฺธํสนาย ปโหติ, ภยาทิอุปทฺทวญฺจ นิวาเรติฯ ยถาห ‘‘ปูชารเห ปูชยโต’’ติอาทิ (ธ. ป. ๑๙๕; อป. เถร ๑.๑๐.๑), ตถา ‘‘เย, ภิกฺขเว, พุเทฺธ ปสนฺนา, อเคฺค เต ปสนฺนา, อเคฺค โข ปน ปสนฺนานํ อโคฺค วิปาโก โหตี’’ติอาทิ (อิติวุ. ๙๐)ฯ

    1. Saṃvaṇṇanārambhe ratanattayavandanā saṃvaṇṇetabbassa dhammassa pabhavanissayavisuddhipaṭivedanatthaṃ, taṃ pana dhammasaṃvaṇṇanāsu viññūnaṃ bahumānuppādanatthaṃ, taṃ sammadeva tesaṃ uggahaṇadhāraṇādikkamaladdhabbāya sammāpaṭipattiyā sabbahitasukhanipphādanatthanti. Atha vā maṅgalabhāvato, sabbakiriyāsu pubbakiccabhāvato, paṇḍitehi samācaritabhāvato, āyatiṃ paresaṃ diṭṭhānugatiāpajjanato ca saṃvaṇṇanāyaṃ ratanattayapaṇāmakiriyāti. Atha vā ratanattayapaṇāmakaraṇaṃ pūjanīyapūjāpuññavisesanibbattanatthaṃ, taṃ attano yathāladdhasampattinimittakassa kammassa balānuppadānatthaṃ, antarā ca tassa asaṃkocāpanatthaṃ, tadubhayaṃ anantarāyena aṭṭhakathāya parisamāpanatthanti idameva ca payojanaṃ ācariyena idhādhippetaṃ. Tathā hi vakkhati ‘‘iti me pasannamatino…pe… tassānubhāvenā’’ti. Vatthuttayapūjā hi niratisayapuññakkhettasaṃbuddhiyā aparimeyyapabhāvo puññātisayoti bahuvidhantarāyepi lokasannivāse antarāyanibandhanasakalasaṃkilesaviddhaṃsanāya pahoti, bhayādiupaddavañca nivāreti. Yathāha ‘‘pūjārahe pūjayato’’tiādi (dha. pa. 195; apa. thera 1.10.1), tathā ‘‘ye, bhikkhave, buddhe pasannā, agge te pasannā, agge kho pana pasannānaṃ aggo vipāko hotī’’tiādi (itivu. 90).

    ‘‘พุโทฺธติ กิตฺตยนฺตสฺส, กาเย ภวติ ยา ปีติ;

    ‘‘Buddhoti kittayantassa, kāye bhavati yā pīti;

    วรเมว หิ สา ปีติ, กสิเณนปิ ชมฺพุทีปสฺส;

    Varameva hi sā pīti, kasiṇenapi jambudīpassa;

    ธโมฺมติ…เป.…, สโงฺฆติ…เป.…, ชมฺพุทีปสฺสา’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๖);

    Dhammoti…pe…, saṅghoti…pe…, jambudīpassā’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.6);

    ตถา ‘‘ยสฺมิํ, มหานาม, สมเย อริยสาวโก ตถาคตํ อนุสฺสรติ, เนวสฺส ตสฺมิํ สมเย ราคปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โทส…เป.… น โมหปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๖.๑๐; ๑๑.๑๑)ฯ ‘‘อรเญฺญ รุกฺขมูเล วา…เป.… ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา โลมหํโส น เหสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๔๙) จฯ

    Tathā ‘‘yasmiṃ, mahānāma, samaye ariyasāvako tathāgataṃ anussarati, nevassa tasmiṃ samaye rāgapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na dosa…pe… na mohapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hotī’’tiādi (a. ni. 6.10; 11.11). ‘‘Araññe rukkhamūle vā…pe… bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā lomahaṃso na hessatī’’ti (saṃ. ni. 1.249) ca.

    ตตฺถ ยสฺส วตฺถุตฺตยสฺส วนฺทนํ กตฺตุกาโม, ตสฺส คุณาติสยโยคสนฺทสฺสนตฺถํ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติอาทินา คาถตฺตยมาหฯ คุณาติสยโยเคน หิ วนฺทนารหภาโว, วนฺทนารเห จ กตา วนฺทนา ยถาธิเปฺปตํ ปโยชนํ สาเธตีติฯ ตตฺถ ยสฺสา เทสนาย สํวณฺณนํ กตฺตุกาโม, สา น วินยเทสนา วิย กรุณาปฺปธานา, นาปิ อภิธมฺมเทสนา วิย ปญฺญาปฺปธานา, อถ โข กรุณาปญฺญาปฺปธานาติ ตทุภยปฺปธานเมว ตาว สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส โถมนํ กาตุํ ตมฺมูลกตฺตา เสสรตนานํ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ กิรตีติ กรุณา, ปรทุกฺขํ วิกฺขิปติ อปเนตีติ อโตฺถฯ อถ วา กิณาตีติ กรุณา, ปรทุเกฺข สติ การุณิกํ หิํสติ วิพาธตีติ อโตฺถฯ ปรทุเกฺข สติ สาธูนํ กมฺปนํ หทยเขทํ กโรตีติ วา กรุณาฯ อถ วา กมิติ สุขํ, ตํ รุนฺธตีติ กรุณาฯ เอสา หิ ปรทุกฺขาปนยนกามตาลกฺขณา อตฺตสุขนิรเปกฺขตาย การุณิกานํ สุขํ รุนฺธติ วิพนฺธตีติ อโตฺถฯ กรุณาย สีตลํ กรุณาสีตลํ, กรุณาสีตลํ หทยํ อสฺสาติ กรุณาสีตลหทโย, ตํ กรุณาสีตลหทยํฯ

    Tattha yassa vatthuttayassa vandanaṃ kattukāmo, tassa guṇātisayayogasandassanatthaṃ ‘‘karuṇāsītalahadaya’’ntiādinā gāthattayamāha. Guṇātisayayogena hi vandanārahabhāvo, vandanārahe ca katā vandanā yathādhippetaṃ payojanaṃ sādhetīti. Tattha yassā desanāya saṃvaṇṇanaṃ kattukāmo, sā na vinayadesanā viya karuṇāppadhānā, nāpi abhidhammadesanā viya paññāppadhānā, atha kho karuṇāpaññāppadhānāti tadubhayappadhānameva tāva sammāsambuddhassa thomanaṃ kātuṃ tammūlakattā sesaratanānaṃ ‘‘karuṇāsītalahadaya’’ntiādi vuttaṃ. Tattha kiratīti karuṇā, paradukkhaṃ vikkhipati apanetīti attho. Atha vā kiṇātīti karuṇā, paradukkhe sati kāruṇikaṃ hiṃsati vibādhatīti attho. Paradukkhe sati sādhūnaṃ kampanaṃ hadayakhedaṃ karotīti vā karuṇā. Atha vā kamiti sukhaṃ, taṃ rundhatīti karuṇā. Esā hi paradukkhāpanayanakāmatālakkhaṇā attasukhanirapekkhatāya kāruṇikānaṃ sukhaṃ rundhati vibandhatīti attho. Karuṇāya sītalaṃ karuṇāsītalaṃ, karuṇāsītalaṃ hadayaṃ assāti karuṇāsītalahadayo, taṃ karuṇāsītalahadayaṃ.

    ตตฺถ กิญฺจาปิ ปเรสํ หิโตปสํหารสุขาทิอปริหานิจฺฉนสภาวตาย, พฺยาปาทารตีนํ อุชุวิปจฺจนีกตาย จ สตฺตสนฺตานคตสนฺตาปวิเจฺฉทนาการปวตฺติยา เมตฺตามุทิตานมฺปิ จิตฺตสีตลภาวการณตา อุปลพฺภติ, ตถาปิ ปรทุกฺขาปนยนาการปฺปวตฺติยา ปรูปตาปาสหนรสา อวิหิํสาภูตา กรุณาว วิเสเสน ภควโต จิตฺตสฺส จิตฺตปสฺสทฺธิ วิย สีติภาวนิมิตฺตนฺติ วุตฺตํ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติฯ กรุณามุเขน วา เมตฺตามุทิตานมฺปิ หทยสีตลภาวการณตา วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพา ฯ

    Tattha kiñcāpi paresaṃ hitopasaṃhārasukhādiaparihānicchanasabhāvatāya, byāpādāratīnaṃ ujuvipaccanīkatāya ca sattasantānagatasantāpavicchedanākārapavattiyā mettāmuditānampi cittasītalabhāvakāraṇatā upalabbhati, tathāpi paradukkhāpanayanākārappavattiyā parūpatāpāsahanarasā avihiṃsābhūtā karuṇāva visesena bhagavato cittassa cittapassaddhi viya sītibhāvanimittanti vuttaṃ ‘‘karuṇāsītalahadaya’’nti. Karuṇāmukhena vā mettāmuditānampi hadayasītalabhāvakāraṇatā vuttāti daṭṭhabbā .

    อถ วา ฉอสาธารณญาณวิเสสนิพนฺธนภูตา สาติสยํ นิรวเสสญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ วิย สวิสยพฺยาปิตาย มหากรุณาภาวมุปคตา กรุณาว ภควโต อภิสเยน หทยสีตลภาวเหตูติ อาห ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติฯ

    Atha vā chaasādhāraṇañāṇavisesanibandhanabhūtā sātisayaṃ niravasesañca sabbaññutaññāṇaṃ viya savisayabyāpitāya mahākaruṇābhāvamupagatā karuṇāva bhagavato abhisayena hadayasītalabhāvahetūti āha ‘‘karuṇāsītalahadaya’’nti.

    อถ วา สติปิ เมตฺตามุทิตานํ สาติสเย หทยสีติภาวนิพนฺธนเตฺต สกลพุทฺธคุณวิเสสการณตาย ตาสมฺปิ การณนฺติ กรุณาว ภควโต ‘‘หทยสีตลภาวการณ’’นฺติ วุตฺตาฯ กรุณานิทานา หิ สเพฺพปิ พุทฺธคุณา, กรุณานุภาวนิพฺพาปิยมานสํสารทุกฺขสนฺตาปสฺส หิ ภควโต ปรทุกฺขาปนยนกามตาย อเนกานิปิ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปานํ อกิลนฺตรูปเสฺสว นิรวเสสพุทฺธกรธมฺมสมฺภรณนิยตสฺส สมธิคตธมฺมาธิปเตยฺยสฺส จ สนฺนิหิเตสุปิ สตฺตสงฺฆาฎสมุปนีตหทยูปตาปนิมิเตฺตสุ น อีสกมฺปิ จิตฺตสีติภาวสฺส อญฺญถตฺตมโหสีติฯ เอตสฺมิญฺจ อตฺถวิกเปฺป ตีสุปิ อวตฺถาสุ ภควโต กรุณา สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ

    Atha vā satipi mettāmuditānaṃ sātisaye hadayasītibhāvanibandhanatte sakalabuddhaguṇavisesakāraṇatāya tāsampi kāraṇanti karuṇāva bhagavato ‘‘hadayasītalabhāvakāraṇa’’nti vuttā. Karuṇānidānā hi sabbepi buddhaguṇā, karuṇānubhāvanibbāpiyamānasaṃsāradukkhasantāpassa hi bhagavato paradukkhāpanayanakāmatāya anekānipi asaṅkhyeyyāni kappānaṃ akilantarūpasseva niravasesabuddhakaradhammasambharaṇaniyatassa samadhigatadhammādhipateyyassa ca sannihitesupi sattasaṅghāṭasamupanītahadayūpatāpanimittesu na īsakampi cittasītibhāvassa aññathattamahosīti. Etasmiñca atthavikappe tīsupi avatthāsu bhagavato karuṇā saṅgahitāti daṭṭhabbā.

    ปชานาตีติ ปญฺญา, ยถาสภาวํ ปกาเรหิ ปฎิวิชฺฌตีติ อโตฺถฯ ปญฺญาว เญยฺยาวรณปฺปหานโต ปกาเรหิ ธมฺมสภาวโชตนเฎฺฐน ปโชฺชโตติ ปญฺญาปโชฺชโตฯ สวาสนปฺปหานโต วิเสเสน หตํ สมุคฺฆาฎิตํ วิหตํฯ ปญฺญาปโชฺชเตน วิหตํ ปญฺญาปโชฺชตวิหตํฯ มุยฺหนฺติ เตน, สยํ วา มุยฺหติ, โมหนมตฺตเมว วา ตนฺติ โมโห, อวิชฺชาฯ เสฺวว วิสยสภาวปฎิจฺฉาทนกรณโต อนฺธการสริกฺขตาย ตโม วิยาติ ตโมฯ ปญฺญาปโชฺชตวิหโต โมหตโม เอตสฺสาติ ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตโม, ตํ ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตมํฯ สเพฺพสมฺปิ หิ ขีณาสวานํ สติปิ ปญฺญาปโชฺชเตน อวิชฺชนฺธการสฺส วิหตภาเว สทฺธาธิมุเตฺตหิ วิย ทิฎฺฐิปฺปตฺตานํ สาวเกหิ ปเจฺจกสมฺพุเทฺธหิ จ สวาสนปฺปหาเนน สมฺมาสมฺพุทฺธานํ กิเลสปฺปหานสฺส วิเสโส วิชฺชตีติ สาติสเยน อวิชฺชาปฺปหาเนน ภควนฺตํ โถเมโนฺต อาห ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ

    Pajānātīti paññā, yathāsabhāvaṃ pakārehi paṭivijjhatīti attho. Paññāva ñeyyāvaraṇappahānato pakārehi dhammasabhāvajotanaṭṭhena pajjototi paññāpajjoto. Savāsanappahānato visesena hataṃ samugghāṭitaṃ vihataṃ. Paññāpajjotena vihataṃ paññāpajjotavihataṃ. Muyhanti tena, sayaṃ vā muyhati, mohanamattameva vā tanti moho, avijjā. Sveva visayasabhāvapaṭicchādanakaraṇato andhakārasarikkhatāya tamo viyāti tamo. Paññāpajjotavihato mohatamo etassāti paññāpajjotavihatamohatamo, taṃ paññāpajjotavihatamohatamaṃ. Sabbesampi hi khīṇāsavānaṃ satipi paññāpajjotena avijjandhakārassa vihatabhāve saddhādhimuttehi viya diṭṭhippattānaṃ sāvakehi paccekasambuddhehi ca savāsanappahānena sammāsambuddhānaṃ kilesappahānassa viseso vijjatīti sātisayena avijjāppahānena bhagavantaṃ thomento āha ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti.

    อถ วา อนฺตเรน ปโรปเทสํ อตฺตโน สนฺตาเน อจฺจนฺตํ อวิชฺชนฺธการวิคมสฺส นิพฺพตฺติตตฺตา, ตถา สพฺพญฺญุตาย พเลสุ จ วสีภาวสฺส สมธิคตตฺตา, ปรสนฺตติยญฺจ ธมฺมเทสนาติสยานุภาเวน สมฺมเทว ตสฺส ปวตฺติตตฺตา ภควาว วิเสสโต โมหตมวิคเมน โถเมตโพฺพติ อาห ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ อิมสฺมิญฺจ อตฺถวิกเปฺป ‘‘ปญฺญาปโชฺชโต’’ติ ปเทน ภควโต ปฎิเวธปญฺญา วิย เทสนาปญฺญาปิ สามญฺญนิเทฺทเสน, เอกเสสนเยน วา สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ

    Atha vā antarena paropadesaṃ attano santāne accantaṃ avijjandhakāravigamassa nibbattitattā, tathā sabbaññutāya balesu ca vasībhāvassa samadhigatattā, parasantatiyañca dhammadesanātisayānubhāvena sammadeva tassa pavattitattā bhagavāva visesato mohatamavigamena thometabboti āha ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti. Imasmiñca atthavikappe ‘‘paññāpajjoto’’ti padena bhagavato paṭivedhapaññā viya desanāpaññāpi sāmaññaniddesena, ekasesanayena vā saṅgahitāti daṭṭhabbā.

    อถ วา ภควโต ญาณสฺส เญยฺยปริยนฺติกตฺตา สกลเญยฺยธมฺมสภาวาวโพธนสมเตฺถน อนาวรณญาณสงฺขาเตน ปญฺญาปโชฺชเตน สพฺพเญยฺยธมฺมสภาวจฺฉาทกสฺส โมหนฺธการสฺส วิธมิตตฺตา อนญฺญสาธารโณ ภควโต โมหตมวินาโสติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ เอตฺถ จ โมหตมวิธมนเนฺต อธิคตตฺตา อนาวรณญาณํ การณูปจาเรน สสนฺตาเน โมหตมวิธมนนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อภินีหารสมฺปตฺติยา สวาสนปฺปหานเมว หิ กิเลสานํ เญยฺยาวรณปหานนฺติ, ปรสนฺตาเน ปน โมหตมวิธมนสฺส การณภาวโต ผลูปจาเรน อนาวรณญาณํ ‘‘โมหตมวิธมน’’นฺติ วุจฺจตีติฯ

    Atha vā bhagavato ñāṇassa ñeyyapariyantikattā sakalañeyyadhammasabhāvāvabodhanasamatthena anāvaraṇañāṇasaṅkhātena paññāpajjotena sabbañeyyadhammasabhāvacchādakassa mohandhakārassa vidhamitattā anaññasādhāraṇo bhagavato mohatamavināsoti katvā vuttaṃ ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti. Ettha ca mohatamavidhamanante adhigatattā anāvaraṇañāṇaṃ kāraṇūpacārena sasantāne mohatamavidhamananti daṭṭhabbaṃ. Abhinīhārasampattiyā savāsanappahānameva hi kilesānaṃ ñeyyāvaraṇapahānanti, parasantāne pana mohatamavidhamanassa kāraṇabhāvato phalūpacārena anāvaraṇañāṇaṃ ‘‘mohatamavidhamana’’nti vuccatīti.

    กิํ ปน การณํ อวิชฺชาสมุคฺฆาโตเยเวโก ปหานสมฺปตฺติวเสน ภควโต โถมนานิมิตฺตํ คยฺหติ, น ปน สาติสยํ นิรวเสสกิเลสปหานนฺติ? ตปฺปหานวจเนเนว ตเทกฎฺฐตาย สกลสํกิเลสคณสมุคฺฆาตสฺส โชติตภาวโตฯ น หิ โส ตาทิโส กิเลโส อตฺถิ, โย นิรวเสสอวิชฺชาปฺปหาเนน น ปหียตีติฯ

    Kiṃ pana kāraṇaṃ avijjāsamugghātoyeveko pahānasampattivasena bhagavato thomanānimittaṃ gayhati, na pana sātisayaṃ niravasesakilesapahānanti? Tappahānavacaneneva tadekaṭṭhatāya sakalasaṃkilesagaṇasamugghātassa jotitabhāvato. Na hi so tādiso kileso atthi, yo niravasesaavijjāppahānena na pahīyatīti.

    อถ วา วิชฺชา วิย สกลกุสลธมฺมสมุปฺปตฺติยา นิรวเสสากุสลธมฺมนิพฺพตฺติยา สํสารปฺปวตฺติยา จ อวิชฺชา ปธานการณนฺติ ตพฺพิฆาตวจเนน สกลสํกิเลสคณสมุคฺฆาโต วุโตฺต เอว โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ

    Atha vā vijjā viya sakalakusaladhammasamuppattiyā niravasesākusaladhammanibbattiyā saṃsārappavattiyā ca avijjā padhānakāraṇanti tabbighātavacanena sakalasaṃkilesagaṇasamugghāto vutto eva hotīti vuttaṃ ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti.

    นรา จ อมรา จ นรามรา, สห นรามเรหีติ สนรามโร, สนรามโร จ โส โลโก จาติ สนรามรโลโก, ตสฺส ครูติ สนรามรโลกครุ, ตํ สนรามรโลกครุํฯ เอเตน เทวมนุสฺสานํ วิย ตทวสิฎฺฐสตฺตานมฺปิ ยถารหํ คุณวิเสสาวหตาย ภควโต อุปการตํ ทเสฺสติฯ น เจตฺถ ปธานาปฺปธานภาโว โจเทตโพฺพฯ อโญฺญ หิ สทฺทกฺกโม, อโญฺญ อตฺถกฺกโมฯ เอทิเสสุ หิ สมาสปเทสุ ปธานมฺปิ อปฺปธานํ วิย นิทฺทิสียติ ยถา ‘‘สราชิกาย ปริสายา’’ติ (อป. อฎฺฐ. ๑.๑.๘๒)ฯ กามเญฺจตฺถ สตฺตสงฺขาโรกาสวเสน ติวิโธ โลโก, ครุภาวสฺส ปน อธิเปฺปตตฺตา ครุกรณสมตฺถเสฺสว สตฺตโลกสฺส วเสน อโตฺถ คเหตโพฺพฯ โส หิ โลกียนฺติ เอตฺถ ปุญฺญปาปานิ ตพฺพิปาโก จาติ ‘‘โลโก’’ติ วุจฺจติฯ อมรคฺคหเณน เจตฺถ อุปปตฺติเทวา อธิเปฺปตาฯ

    Narā ca amarā ca narāmarā, saha narāmarehīti sanarāmaro, sanarāmaro ca so loko cāti sanarāmaraloko, tassa garūti sanarāmaralokagaru, taṃ sanarāmaralokagaruṃ. Etena devamanussānaṃ viya tadavasiṭṭhasattānampi yathārahaṃ guṇavisesāvahatāya bhagavato upakārataṃ dasseti. Na cettha padhānāppadhānabhāvo codetabbo. Añño hi saddakkamo, añño atthakkamo. Edisesu hi samāsapadesu padhānampi appadhānaṃ viya niddisīyati yathā ‘‘sarājikāya parisāyā’’ti (apa. aṭṭha. 1.1.82). Kāmañcettha sattasaṅkhārokāsavasena tividho loko, garubhāvassa pana adhippetattā garukaraṇasamatthasseva sattalokassa vasena attho gahetabbo. So hi lokīyanti ettha puññapāpāni tabbipāko cāti ‘‘loko’’ti vuccati. Amaraggahaṇena cettha upapattidevā adhippetā.

    อถ วา สมูหโตฺถ โลก-สโทฺท สมุทายวเสน โลกียติ ปญฺญาปียตีติฯ สห นเรหีติ สนรา, สนรา จ เต อมรา จาติ สนรามรา, เตสํ โลโกติ สนรามรโลโกติ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ อมร-สเทฺทน เจตฺถ วิสุทฺธิเทวาปิ สงฺคยฺหนฺติฯ เต หิ มรณาภาวโต ปรมตฺถโต อมรา, นรามรานํเยว คหณํ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทสวเสน ยถา ‘‘สตฺถา เทวมนุสฺสาน’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๑๕๗)ฯ ตถา หิ สพฺพานตฺถปริหรณปุพฺพงฺคมาย นิรวเสสหิตสุขวิธานตปฺปราย นิรติสยาย ปโยคสมฺปตฺติยา สเทวมนุสฺสาย ปชาย อจฺจนฺตมุปการิตาย อปริมิตนิรุปมปฺปภาวคุณวิเสสสมงฺคิตาย จ สพฺพสตฺตุตฺตโม ภควา อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ อุตฺตมํ คารวฎฺฐานํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สนรามรโลกครุ’’นฺติฯ

    Atha vā samūhattho loka-saddo samudāyavasena lokīyati paññāpīyatīti. Saha narehīti sanarā, sanarā ca te amarā cāti sanarāmarā, tesaṃ lokoti sanarāmaralokoti purimanayeneva yojetabbaṃ. Amara-saddena cettha visuddhidevāpi saṅgayhanti. Te hi maraṇābhāvato paramatthato amarā, narāmarānaṃyeva gahaṇaṃ ukkaṭṭhaniddesavasena yathā ‘‘satthā devamanussāna’’nti (dī. ni. 1.157). Tathā hi sabbānatthapariharaṇapubbaṅgamāya niravasesahitasukhavidhānatapparāya niratisayāya payogasampattiyā sadevamanussāya pajāya accantamupakāritāya aparimitanirupamappabhāvaguṇavisesasamaṅgitāya ca sabbasattuttamo bhagavā aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ uttamaṃ gāravaṭṭhānaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘sanarāmaralokagaru’’nti.

    โสภนํ คตํ คมนํ เอตสฺสาติ สุคโตฯ ภควโต หิ เวเนยฺยชนุปสงฺกมนํ เอกเนฺตน เตสํ หิตสุขนิปฺผาทนโต โสภนํ, ตถา ลกฺขณานุพฺยญฺชนปฎิมณฺฑิตรูปกายตาย ทุตวิลมฺพิตขลิตานุกฑฺฒนนิปฺปีฬนุกฺกุฎิกกุฎิลากุลตาทิ- โทสรหิตมวหสิตราชหํสวสภวารณมิคราชคมนํ กายคมนํ ญาณคมนญฺจ วิปุลนิมฺมลกรุณาสติวีริยาทิคุณวิเสสสหิตมภินีหารโต ยาว มหาโพธิ นิรวชฺชตาย โสภนเมวาติฯ

    Sobhanaṃ gataṃ gamanaṃ etassāti sugato. Bhagavato hi veneyyajanupasaṅkamanaṃ ekantena tesaṃ hitasukhanipphādanato sobhanaṃ, tathā lakkhaṇānubyañjanapaṭimaṇḍitarūpakāyatāya dutavilambitakhalitānukaḍḍhananippīḷanukkuṭikakuṭilākulatādi- dosarahitamavahasitarājahaṃsavasabhavāraṇamigarājagamanaṃ kāyagamanaṃ ñāṇagamanañca vipulanimmalakaruṇāsativīriyādiguṇavisesasahitamabhinīhārato yāva mahābodhi niravajjatāya sobhanamevāti.

    อถ วา สยมฺภูญาเณน สกลมปิ โลกํ ปริญฺญาภิสมยวเสน ปริชานโนฺต ญาเณน สมฺมา คโต อวคโตติ สุคโต, ตถา โลกสมุทยํ ปหานาภิสมยวเสน ปชหโนฺต อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปาเทโนฺต สมฺมา คโต อตีโตติ สุคโต, โลกนิโรธํ นิพฺพานํ สจฺฉิกิริยาภิสมยวเสน สมฺมา คโต อธิคโตติ สุคโต, โลกนิโรธคามินิํ ปฎิปทํ ภาวนาภิสมยวเสน สมฺมา คโต ปฎิปโนฺนติ สุคโตฯ ‘‘โสตาปตฺติมเคฺคน เย กิเลสา ปหีนา, เต กิเลเส น ปุเนติ น ปเจฺจติ น ปจฺจาคจฺฉตีติ สุคโต’’ติอาทินา นเยน (มหานิ. ๓๘) อยมโตฺถ วิภาเวตโพฺพติฯ

    Atha vā sayambhūñāṇena sakalamapi lokaṃ pariññābhisamayavasena parijānanto ñāṇena sammā gato avagatoti sugato, tathā lokasamudayaṃ pahānābhisamayavasena pajahanto anuppattidhammataṃ āpādento sammā gato atītoti sugato, lokanirodhaṃ nibbānaṃ sacchikiriyābhisamayavasena sammā gato adhigatoti sugato, lokanirodhagāminiṃ paṭipadaṃ bhāvanābhisamayavasena sammā gato paṭipannoti sugato. ‘‘Sotāpattimaggena ye kilesā pahīnā, te kilese na puneti na pacceti na paccāgacchatīti sugato’’tiādinā nayena (mahāni. 38) ayamattho vibhāvetabboti.

    อถ วา สุนฺทรํ ฐานํ สมฺมาสโมฺพธิํ, นิพฺพานเมว วา คโต อธิคโตติ สุคโตฯ ยสฺมา วา ภูตํ ตจฺฉํ อตฺถสํหิตํ เวเนยฺยานํ ยถารหํ กาลยุตฺตเมว จ ธมฺมํ ภาสติ, ตสฺมา สมฺมา คทติ วทตีติ สุคโต ท-การสฺส ต-การํ กตฺวาฯ อิติ โสภนคมนตาทีหิ สุคโต, ตํ สุคตํฯ

    Atha vā sundaraṃ ṭhānaṃ sammāsambodhiṃ, nibbānameva vā gato adhigatoti sugato. Yasmā vā bhūtaṃ tacchaṃ atthasaṃhitaṃ veneyyānaṃ yathārahaṃ kālayuttameva ca dhammaṃ bhāsati, tasmā sammā gadati vadatīti sugato da-kārassa ta-kāraṃ katvā. Iti sobhanagamanatādīhi sugato, taṃ sugataṃ.

    ปุญฺญปาปเกหิ อุปปชฺชนวเสน คนฺตพฺพโต คติโย, อุปปตฺติภววิเสสาฯ ตา ปน นิรยาทิวเสน ปญฺจวิธาฯ ตา หิ สกลสฺสปิ ภวคามิกมฺมสฺส อริยมคฺคาธิคเมน อวิปาการหภาวกรเณน นิวตฺติตตฺตา ภควา ปญฺจหิปิ คตีหิ สุฎฺฐุ มุโตฺต วิสํยุโตฺตติ อาห ‘‘คติวิมุตฺต’’นฺติฯ เอเตน ภควโต กตฺถจิปิ อปริยาปนฺนตํ ทเสฺสติ, ยโต ภควา ‘‘เทวาติเทโว’’ติ วุจฺจติฯ เตนาห –

    Puññapāpakehi upapajjanavasena gantabbato gatiyo, upapattibhavavisesā. Tā pana nirayādivasena pañcavidhā. Tā hi sakalassapi bhavagāmikammassa ariyamaggādhigamena avipākārahabhāvakaraṇena nivattitattā bhagavā pañcahipi gatīhi suṭṭhu mutto visaṃyuttoti āha ‘‘gativimutta’’nti. Etena bhagavato katthacipi apariyāpannataṃ dasseti, yato bhagavā ‘‘devātidevo’’ti vuccati. Tenāha –

    ‘‘เยน เทวูปปตฺยสฺส, คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม;

    ‘‘Yena devūpapatyassa, gandhabbo vā vihaṅgamo;

    ยกฺขตฺตํ เยน คเจฺฉยฺยํ, มนุสฺสตฺตญฺจ อพฺพเช;

    Yakkhattaṃ yena gaccheyyaṃ, manussattañca abbaje;

    เต มยฺหํ อาสวา ขีณา, วิทฺธสฺตา วินฬีกตา’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๓๖);

    Te mayhaṃ āsavā khīṇā, viddhastā vinaḷīkatā’’ti. (a. ni. 4.36);

    ตํตํคติสํวตฺตนกานญฺหิ กมฺมกิเลสานํ อคฺคมเคฺคน โพธิมูเลเยว สุปฺปหีนตฺตา นตฺถิ ภควโต คติปริยาปนฺนตาติ อจฺจนฺตเมว ภควา สพฺพภวโยนิคติวิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตาวาสสตฺตนิกาเยหิ สุปริมุโตฺตฯ ตํ คติวิมุตฺตํฯ วเนฺทติ นมามิ, โถเมมีติ วา อโตฺถฯ

    Taṃtaṃgatisaṃvattanakānañhi kammakilesānaṃ aggamaggena bodhimūleyeva suppahīnattā natthi bhagavato gatipariyāpannatāti accantameva bhagavā sabbabhavayonigativiññāṇaṭṭhitisattāvāsasattanikāyehi suparimutto. Taṃ gativimuttaṃ. Vandeti namāmi, thomemīti vā attho.

    อถ วา คติวิมุตฺตนฺติ อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุปฺปตฺติยา ภควนฺตํ โถเมติฯ เอตฺถ หิ ทฺวีหิ อากาเรหิ ภควโต โถมนา เวทิตพฺพา อตฺตหิตสมฺปตฺติโต ปรหิตปฎิปตฺติโต จฯ เตสุ อตฺตหิตสมฺปตฺติ อนาวรณญาณาธิคมโต, สวาสนานํ สเพฺพสํ กิเลสานํ อจฺจนฺตปหานโต, อนุปาทิเสสนิพฺพานปฺปตฺติโต จ เวทิตพฺพาฯ ปรหิตปฎิปตฺติ ลาภสกฺการาทินิรเปกฺขจิตฺตสฺส สพฺพทุกฺขนิยฺยานิกธมฺมเทสนโต, วิรุเทฺธสุปิ นิจฺจํ หิตชฺฌาสยวเสน ญาณปริปากกาลาคมนโต จฯ สา ปเนตฺถ อาสยโต ปโยคโต จ ทุวิธา ปรหิตปฎิปตฺติ, ติวิธา จ อตฺตหิตสมฺปตฺติ ปกาสิตา โหติ, กถํ? ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติ เอเตน อาสยโต ปรหิตปฎิปตฺติ, สมฺมาคทนเตฺถน สุคต-สเทฺทน ปโยคโต ปรหิตปฎิปตฺติ, ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตมํ คติวิมุตฺต’’นฺติ เอเตหิ จตุสจฺจปฎิเวธเตฺถน จ สุคต-สเทฺทน ติวิธาปิ อตฺตหิตสมฺปตฺติ, อวสิฎฺฐเตฺถน เตน ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติ เอเตน จ สพฺพาปิ อตฺตหิตสมฺปตฺติ ปรหิตปฎิปตฺติ ปกาสิตา โหตีติฯ

    Atha vā gativimuttanti anupādisesanibbānadhātuppattiyā bhagavantaṃ thometi. Ettha hi dvīhi ākārehi bhagavato thomanā veditabbā attahitasampattito parahitapaṭipattito ca. Tesu attahitasampatti anāvaraṇañāṇādhigamato, savāsanānaṃ sabbesaṃ kilesānaṃ accantapahānato, anupādisesanibbānappattito ca veditabbā. Parahitapaṭipatti lābhasakkārādinirapekkhacittassa sabbadukkhaniyyānikadhammadesanato, viruddhesupi niccaṃ hitajjhāsayavasena ñāṇaparipākakālāgamanato ca. Sā panettha āsayato payogato ca duvidhā parahitapaṭipatti, tividhā ca attahitasampatti pakāsitā hoti, kathaṃ? ‘‘Karuṇāsītalahadaya’’nti etena āsayato parahitapaṭipatti, sammāgadanatthena sugata-saddena payogato parahitapaṭipatti, ‘‘paññāpajjotavihatamohatamaṃ gativimutta’’nti etehi catusaccapaṭivedhatthena ca sugata-saddena tividhāpi attahitasampatti, avasiṭṭhatthena tena ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti etena ca sabbāpi attahitasampatti parahitapaṭipatti pakāsitā hotīti.

    อถ วา ตีหิ อากาเรหิ ภควโต โถมนา เวทิตพฺพา – เหตุโต ผลโต อุปการโต จฯ ตตฺถ เหตุ มหากรุณา, สา ปฐมปเทน ทสฺสิตาฯ ผลํ จตุพฺพิธํ ญาณสมฺปทา ปหานสมฺปทา อานุภาวสมฺปทา รูปกายสมฺปทา จาติฯ ตาสุ ญาณปหานสมฺปทา ทุติยปเทน สจฺจปฎิเวธเตฺถน จ สุคต-สเทฺทน ปกาสิตา โหนฺติ, อานุภาวสมฺปทา ปน ตติยปเทน, รูปกายสมฺปทา ยถาวุตฺตกายคมนโสภนเตฺถน สุคต-สเทฺทน ลกฺขณานุพฺยญฺชนปาริปูริยา วินา ตทภาวโต ฯ อุปกาโร อนนฺตรํ อพาหิรํ กริตฺวา ติวิธยานมุเขน วิมุตฺติธมฺมเทสนาฯ โส สมฺมาคทนเตฺถน สุคต-สเทฺทน ปกาสิโต โหตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Atha vā tīhi ākārehi bhagavato thomanā veditabbā – hetuto phalato upakārato ca. Tattha hetu mahākaruṇā, sā paṭhamapadena dassitā. Phalaṃ catubbidhaṃ ñāṇasampadā pahānasampadā ānubhāvasampadā rūpakāyasampadā cāti. Tāsu ñāṇapahānasampadā dutiyapadena saccapaṭivedhatthena ca sugata-saddena pakāsitā honti, ānubhāvasampadā pana tatiyapadena, rūpakāyasampadā yathāvuttakāyagamanasobhanatthena sugata-saddena lakkhaṇānubyañjanapāripūriyā vinā tadabhāvato . Upakāro anantaraṃ abāhiraṃ karitvā tividhayānamukhena vimuttidhammadesanā. So sammāgadanatthena sugata-saddena pakāsito hotīti veditabbaṃ.

    ตตฺถ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติ เอเตน สมฺมาสโมฺพธิยา มูลํ ทเสฺสติฯ มหากรุณาย สโญฺจทิตมานโส หิ ภควา สํสารปงฺกโต สตฺตานํ สมุทฺธรณตฺถํ กตาภินีหาโร อนุปุเพฺพน ปารมิโย ปูเรตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคโตติ กรุณา สมฺมาสโมฺพธิยา มูลํฯ ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติ เอเตน สมฺมาสโมฺพธิํ ทเสฺสติฯ อนาวรณญาณปทฎฺฐานญฺหิ มคฺคญาณํ, มคฺคญาณปทฎฺฐานญฺจ อนาวรณญาณํ สมฺมาสโมฺพธีติ วุจฺจตีติฯ สมฺมาคมนเตฺถน สุคต-สเทฺทน สมฺมาสโมฺพธิยา ปฎิปตฺติํ ทเสฺสติ ลีนุทฺธจฺจปติฎฺฐานายูหนกามสุขลฺลิกตฺตกิลมถานุโยค-สสฺสตุเจฺฉทาภินิเวสาทิ-อนฺตทฺวยรหิตาย กรุณาปญฺญาปริคฺคหิตาย มชฺฌิมาย ปฎิปตฺติยา ปกาสนโต สุคต-สทฺทสฺสฯ อิตเรหิ สมฺมาสโมฺพธิยา ปธานาปฺปธานเภทํ ปโยชนํ ทเสฺสติฯ สํสารมโหฆโต สตฺตสนฺตารณเญฺหตฺถ ปธานํ ปโยชนํ, ตทญฺญมปฺปธานํฯ เตสุ ปธาเนน ปรหิตปฎิปตฺติํ ทเสฺสติ, อิตเรน อตฺตหิตสมฺปตฺติํ, ตทุภเยน อตฺตหิตาย ปฎิปนฺนาทีสุ จตูสุ ปุคฺคเลสุ ภควโต จตุตฺถปุคฺคลภาวํ ทเสฺสติฯ เตน จ อนุตฺตรทกฺขิเณยฺยภาวํ, อุตฺตมวนฺทนียภาวํ, อตฺตโน จ วนฺทนกิริยาย เขตฺตงฺคตภาวํ ทเสฺสติฯ

    Tattha ‘‘karuṇāsītalahadaya’’nti etena sammāsambodhiyā mūlaṃ dasseti. Mahākaruṇāya sañcoditamānaso hi bhagavā saṃsārapaṅkato sattānaṃ samuddharaṇatthaṃ katābhinīhāro anupubbena pāramiyo pūretvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ adhigatoti karuṇā sammāsambodhiyā mūlaṃ. ‘‘Paññāpajjotavihatamohatama’’nti etena sammāsambodhiṃ dasseti. Anāvaraṇañāṇapadaṭṭhānañhi maggañāṇaṃ, maggañāṇapadaṭṭhānañca anāvaraṇañāṇaṃ sammāsambodhīti vuccatīti. Sammāgamanatthena sugata-saddena sammāsambodhiyā paṭipattiṃ dasseti līnuddhaccapatiṭṭhānāyūhanakāmasukhallikattakilamathānuyoga-sassatucchedābhinivesādi-antadvayarahitāya karuṇāpaññāpariggahitāya majjhimāya paṭipattiyā pakāsanato sugata-saddassa. Itarehi sammāsambodhiyā padhānāppadhānabhedaṃ payojanaṃ dasseti. Saṃsāramahoghato sattasantāraṇañhettha padhānaṃ payojanaṃ, tadaññamappadhānaṃ. Tesu padhānena parahitapaṭipattiṃ dasseti, itarena attahitasampattiṃ, tadubhayena attahitāya paṭipannādīsu catūsu puggalesu bhagavato catutthapuggalabhāvaṃ dasseti. Tena ca anuttaradakkhiṇeyyabhāvaṃ, uttamavandanīyabhāvaṃ, attano ca vandanakiriyāya khettaṅgatabhāvaṃ dasseti.

    เอตฺถ จ กรุณาคหเณน โลกิเยสุ มหคฺคตภาวปฺปตฺตาสาธารณคุณทีปนโต ภควโต สพฺพโลกิยคุณสมฺปตฺติ ทสฺสิตา โหติ, ปญฺญาคหเณน สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐานมคฺคญาณทีปนโต สพฺพโลกุตฺตรคุณสมฺปตฺติฯ ตทุภยคฺคหณสิโทฺธ หิ อโตฺถ ‘‘สนรามรโลกครุ’’นฺติอาทินา วิปญฺจียตีติฯ กรุณาคหเณน จ อุปคมนํ นิรุปกฺกิเลสํ ทเสฺสติ, ปญฺญาคหเณน อปคมนํฯ ตถา กรุณาคหเณน โลกสมญฺญานุรูปํ ภควโต ปวตฺติํ ทเสฺสติ โลกโวหารวิสยตฺตา กรุณาย, ปญฺญาคหเณน สมญฺญาย อนติธาวนํฯ สภาวานวโพเธน หิ ธมฺมานํ สมญฺญํ อติธาวิตฺวา สตฺตาทิปรามสนํ โหตีติฯ ตถา กรุณาคหเณน มหากรุณาสมาปตฺติวิหารํ ทเสฺสติ, ปญฺญาคหเณน ตีสุ กาเลสุ อปฺปฎิหตญาณํ จตุสจฺจญาณํ จตุปฎิสมฺภิทาญาณํ จตุเวสารชฺชญาณํ, กรุณาคหเณน มหากรุณาสมาปตฺติญาณสฺส คหิตตฺตา เสสาธารณญาณานิ ฉ อภิญฺญา อฎฺฐสุ ปริสาสุ อกมฺปนญาณานิ ทส พลานิ จุทฺทส พุทฺธญาณานิ โสฬส ญาณจริยา อฎฺฐารส พุทฺธธมฺมา จตุจตฺตาลีส ญาณวตฺถูนิ สตฺตสตฺตติ ญาณวตฺถูนีติ เอวมาทีนํ อเนเกสํ ปญฺญาปเภทานํ วเสน ญาณจารํ ทเสฺสติฯ ตถา กรุณาคหเณน จรณสมฺปตฺติํ, ปญฺญาคหเณน วิชฺชาสมฺปตฺติํฯ กรุณาคหเณน อตฺตาธิปติตา, ปญฺญาคหเณน ธมฺมาธิปติตาฯ กรุณาคหเณน โลกนาถภาโว, ปญฺญาคหเณน อตฺตนาถภาโวฯ ตถา กรุณาคหเณน ปุพฺพการิภาโว, ปญฺญาคหเณน กตญฺญุตาฯ กรุณาคหเณน อปรนฺตปตา, ปญฺญาคหเณน อนตฺตนฺตปตาฯ กรุณาคหเณน วา พุทฺธกรธมฺมสิทฺธิ, ปญฺญาคหเณน พุทฺธภาวสิทฺธิฯ ตถา กรุณาคหเณน ปเรสํ ตารณํ, ปญฺญาคหเณน สยํ ตารณํฯ ตถา กรุณาคหเณน สพฺพสเตฺตสุ อนุคฺคหจิตฺตตา, ปญฺญาคหเณน สพฺพธเมฺมสุ วิรตฺตจิตฺตตา ทสฺสิตา โหติฯ

    Ettha ca karuṇāgahaṇena lokiyesu mahaggatabhāvappattāsādhāraṇaguṇadīpanato bhagavato sabbalokiyaguṇasampatti dassitā hoti, paññāgahaṇena sabbaññutaññāṇapadaṭṭhānamaggañāṇadīpanato sabbalokuttaraguṇasampatti. Tadubhayaggahaṇasiddho hi attho ‘‘sanarāmaralokagaru’’ntiādinā vipañcīyatīti. Karuṇāgahaṇena ca upagamanaṃ nirupakkilesaṃ dasseti, paññāgahaṇena apagamanaṃ. Tathā karuṇāgahaṇena lokasamaññānurūpaṃ bhagavato pavattiṃ dasseti lokavohāravisayattā karuṇāya, paññāgahaṇena samaññāya anatidhāvanaṃ. Sabhāvānavabodhena hi dhammānaṃ samaññaṃ atidhāvitvā sattādiparāmasanaṃ hotīti. Tathā karuṇāgahaṇena mahākaruṇāsamāpattivihāraṃ dasseti, paññāgahaṇena tīsu kālesu appaṭihatañāṇaṃ catusaccañāṇaṃ catupaṭisambhidāñāṇaṃ catuvesārajjañāṇaṃ, karuṇāgahaṇena mahākaruṇāsamāpattiñāṇassa gahitattā sesādhāraṇañāṇāni cha abhiññā aṭṭhasu parisāsu akampanañāṇāni dasa balāni cuddasa buddhañāṇāni soḷasa ñāṇacariyā aṭṭhārasa buddhadhammā catucattālīsa ñāṇavatthūni sattasattati ñāṇavatthūnīti evamādīnaṃ anekesaṃ paññāpabhedānaṃ vasena ñāṇacāraṃ dasseti. Tathā karuṇāgahaṇena caraṇasampattiṃ, paññāgahaṇena vijjāsampattiṃ. Karuṇāgahaṇena attādhipatitā, paññāgahaṇena dhammādhipatitā. Karuṇāgahaṇena lokanāthabhāvo, paññāgahaṇena attanāthabhāvo. Tathā karuṇāgahaṇena pubbakāribhāvo, paññāgahaṇena kataññutā. Karuṇāgahaṇena aparantapatā, paññāgahaṇena anattantapatā. Karuṇāgahaṇena vā buddhakaradhammasiddhi, paññāgahaṇena buddhabhāvasiddhi. Tathā karuṇāgahaṇena paresaṃ tāraṇaṃ, paññāgahaṇena sayaṃ tāraṇaṃ. Tathā karuṇāgahaṇena sabbasattesu anuggahacittatā, paññāgahaṇena sabbadhammesu virattacittatā dassitā hoti.

    สเพฺพสญฺจ พุทฺธคุณานํ กรุณา อาทิ ตนฺนิทานภาวโต, ปญฺญา ปริโยสานํ ตโต อุตฺตริ กรณียาภาวโตฯ อิติ อาทิปริโยสานทสฺสเนน สเพฺพ พุทฺธคุณา ทสฺสิตา โหนฺติฯ ตถา กรุณาคหเณน สีลกฺขนฺธปุพฺพงฺคโม สมาธิกฺขโนฺธ ทสฺสิโต โหติฯ กรุณานิทานญฺหิ สีลํ ตโต ปาณาติปาตาทิวิรติปฺปวตฺติโต, สา จ ฌานตฺตยสมฺปโยคินีติฯ ปญฺญาวจเนน ปญฺญากฺขโนฺธฯ สีลญฺจ สพฺพพุทฺธคุณานํ อาทิ, สมาธิ มเชฺฌ, ปญฺญา ปริโยสานนฺติ เอวมฺปิ อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณทสฺสเนน สเพฺพ พุทฺธคุณา ทสฺสิตา โหนฺติ นยโต ทสฺสิตตฺตาฯ เอโส เอว หิ นิรวเสสโต พุทฺธคุณานํ ทสฺสนุปาโย, ยทิทํ นยคฺคหณํ, อญฺญถา โก นาม สมโตฺถ ภควโต คุเณ อนุปทํ นิรวเสสโต ทเสฺสตุํฯ เตเนวาห –

    Sabbesañca buddhaguṇānaṃ karuṇā ādi tannidānabhāvato, paññā pariyosānaṃ tato uttari karaṇīyābhāvato. Iti ādipariyosānadassanena sabbe buddhaguṇā dassitā honti. Tathā karuṇāgahaṇena sīlakkhandhapubbaṅgamo samādhikkhandho dassito hoti. Karuṇānidānañhi sīlaṃ tato pāṇātipātādiviratippavattito, sā ca jhānattayasampayoginīti. Paññāvacanena paññākkhandho. Sīlañca sabbabuddhaguṇānaṃ ādi, samādhi majjhe, paññā pariyosānanti evampi ādimajjhapariyosānakalyāṇadassanena sabbe buddhaguṇā dassitā honti nayato dassitattā. Eso eva hi niravasesato buddhaguṇānaṃ dassanupāyo, yadidaṃ nayaggahaṇaṃ, aññathā ko nāma samattho bhagavato guṇe anupadaṃ niravasesato dassetuṃ. Tenevāha –

    ‘‘พุโทฺธปิ พุทฺธสฺส ภเณยฺย วณฺณํ,

    ‘‘Buddhopi buddhassa bhaṇeyya vaṇṇaṃ,

    กปฺปมฺปิ เจ อญฺญมภาสมาโน;

    Kappampi ce aññamabhāsamāno;

    ขีเยถ กโปฺป จิรทีฆมนฺตเร,

    Khīyetha kappo ciradīghamantare,

    วโณฺณ น ขีเยถ ตถาคตสฺสา’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๐๔; ๓.๑๔๑; ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๔๒๕; อุทา. ๕๓; พุ. วํ. อฎฺฐ. ๔.๕; จริยา. อฎฺฐ. นิทานกถา, ปกิณฺณกกถา; อป. ๒.๗.๒๐) –

    Vaṇṇo na khīyetha tathāgatassā’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.304; 3.141; ma. ni. aṭṭha. 3.425; udā. 53; bu. vaṃ. aṭṭha. 4.5; cariyā. aṭṭha. nidānakathā, pakiṇṇakakathā; apa. 2.7.20) –

    เตเนว จ อายสฺมตา สาริปุตฺตเตฺถเรนปิ พุทฺทคุณปริเจฺฉทนํ ปติ อนุยุเตฺตน ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘อปิ จ เม, ภเนฺต, ธมฺมนฺวโย วิทิโต’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๔๖) วุตฺตํฯ

    Teneva ca āyasmatā sāriputtattherenapi buddaguṇaparicchedanaṃ pati anuyuttena ‘‘no hetaṃ, bhante’’ti paṭikkhipitvā ‘‘api ca me, bhante, dhammanvayo vidito’’ti (dī. ni. 2.146) vuttaṃ.

    . เอวํ สเงฺขเปน สกลสพฺพญฺญุคุเณหิ ภควนฺตํ อภิตฺถวิตฺวา อิทานิ สทฺธมฺมํ โถเมตุํ ‘‘พุโทฺธปี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ พุโทฺธติ กตฺตุนิเทฺทโสฯ พุทฺธภาวนฺติ กมฺมนิเทฺทโสฯ ภาเวตฺวา สจฺฉิกตฺวาติ จ ปุพฺพกาลกิริยานิเทฺทโสฯ นฺติ อนิยมโต กมฺมนิเทฺทโสฯ อุปคโตติ อปรกาลกิริยานิเทฺทโสฯ วเนฺทติ กิริยานิเทฺทโสฯ นฺติ นิยมนํฯ ธมฺมนฺติ วนฺทนกิริยาย กมฺมนิเทฺทโสฯ คตมลํ อนุตฺตรนฺติ จ ตพฺพิเสสนํฯ

    2. Evaṃ saṅkhepena sakalasabbaññuguṇehi bhagavantaṃ abhitthavitvā idāni saddhammaṃ thometuṃ ‘‘buddhopī’’tiādimāha. Tattha buddhoti kattuniddeso. Buddhabhāvanti kammaniddeso. Bhāvetvā sacchikatvāti ca pubbakālakiriyāniddeso. Yanti aniyamato kammaniddeso. Upagatoti aparakālakiriyāniddeso. Vandeti kiriyāniddeso. Tanti niyamanaṃ. Dhammanti vandanakiriyāya kammaniddeso. Gatamalaṃ anuttaranti ca tabbisesanaṃ.

    ตตฺถ พุทฺธสทฺทสฺส ตาว – ‘‘พุชฺฌิตา สจฺจานีติ พุโทฺธ, โพเธตา ปชายาติ พุโทฺธ’’ติอาทินา นิเทฺทสนเยน (มหานิ. ๑๙๒; จูฬนิ. ปารายนตฺถุติคาถานิเทฺทส ๙๗) อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อถ วา สวาสนาย อญฺญาณนิทฺทาย อจฺจนฺตวิคมโต, พุทฺธิยา วา วิกสิตภาวโต พุทฺธวาติ พุโทฺธ ชาครณวิกสนตฺถวเสนฯ อถ วา กสฺสจิปิ เญยฺยธมฺมสฺส อนวพุทฺธสฺส อภาเวน เญยฺยวิเสสสฺส กมฺมภาเวน อคฺคหณโต กมฺมวจนิจฺฉาย อภาเวน อวคมนตฺถวเสเนว กตฺตุนิเทฺทโส ลพฺภตีติ พุทฺธวาติ พุโทฺธ ยถา ‘‘ทิกฺขิโต น ททาตี’’ติฯ อตฺถโต ปน ปารมิตาปริภาวิโต สยมฺภูญาเณน สห วาสนาย วิหตวิทฺธสฺตนิรวเสสกิเลโส มหากรุณา สพฺพญฺญุตญฺญาณาทิอปริเมยฺยคุณคณาธาโร ขนฺธสนฺตาโน พุโทฺธฯ ยถาห – ‘‘พุโทฺธติ โย โส ภควา สยมฺภู อนาจริยโก ปุเพฺพ อนนุสฺสุเตสุ ธเมฺมสุ สามํ สจฺจานิ อภิสมฺพุชฺฌิฯ ตตฺถ จ สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต พเลสุ จ วสีภาว’’นฺติ (มหานิ. ๑๙๒)ฯ อปิ-สโทฺท สมฺภาวเนฯ เตน ‘‘เอวํ คุณวิเสสยุโตฺต โสปิ นาม ภควา’’ติ วกฺขมานคุเณ ธเมฺม สมฺภาวนํ ทีเปติฯ พุทฺธภาวนฺติ สมฺมาสโมฺพธิํฯ ภาเวตฺวาติ อุปฺปาเทตฺวา วเฑฺฒตฺวา จฯ สจฺฉิกตฺวาติ ปจฺจกฺขํ กตฺวาฯ อุปคโตติ ปโตฺต, อธิคโตติ อโตฺถฯ เอตสฺส ‘‘พุทฺธภาว’’นฺติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ คตมลนฺติ วิคตมลํ, นิโทฺทสนฺติ อโตฺถฯ วเนฺทติ ปณมามิ, โถเมมิ วาฯ อนุตฺตรนฺติ อุตฺตรรหิตํ, โลกุตฺตรนฺติ อโตฺถฯ ธมฺมนฺติ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาเน อปายโต สํสารโต จ อปตมาเน ธาเรตีติ ธโมฺม

    Tattha buddhasaddassa tāva – ‘‘bujjhitā saccānīti buddho, bodhetā pajāyāti buddho’’tiādinā niddesanayena (mahāni. 192; cūḷani. pārāyanatthutigāthāniddesa 97) attho veditabbo. Atha vā savāsanāya aññāṇaniddāya accantavigamato, buddhiyā vā vikasitabhāvato buddhavāti buddho jāgaraṇavikasanatthavasena. Atha vā kassacipi ñeyyadhammassa anavabuddhassa abhāvena ñeyyavisesassa kammabhāvena aggahaṇato kammavacanicchāya abhāvena avagamanatthavaseneva kattuniddeso labbhatīti buddhavāti buddho yathā ‘‘dikkhito na dadātī’’ti. Atthato pana pāramitāparibhāvito sayambhūñāṇena saha vāsanāya vihataviddhastaniravasesakileso mahākaruṇā sabbaññutaññāṇādiaparimeyyaguṇagaṇādhāro khandhasantāno buddho. Yathāha – ‘‘buddhoti yo so bhagavā sayambhū anācariyako pubbe ananussutesu dhammesu sāmaṃ saccāni abhisambujjhi. Tattha ca sabbaññutaṃ patto balesu ca vasībhāva’’nti (mahāni. 192). Api-saddo sambhāvane. Tena ‘‘evaṃ guṇavisesayutto sopi nāma bhagavā’’ti vakkhamānaguṇe dhamme sambhāvanaṃ dīpeti. Buddhabhāvanti sammāsambodhiṃ. Bhāvetvāti uppādetvā vaḍḍhetvā ca. Sacchikatvāti paccakkhaṃ katvā. Upagatoti patto, adhigatoti attho. Etassa ‘‘buddhabhāva’’nti etena sambandho. Gatamalanti vigatamalaṃ, niddosanti attho. Vandeti paṇamāmi, thomemi vā. Anuttaranti uttararahitaṃ, lokuttaranti attho. Dhammanti yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāne apāyato saṃsārato ca apatamāne dhāretīti dhammo.

    อยเญฺหตฺถ สเงฺขปโตฺถ – เอวํ วิวิธคุณคณสมนฺนาคโต พุโทฺธปิ ภควา ยํ อริยมคฺคสงฺขาตํ ธมฺมํ ภาเวตฺวา ผลนิพฺพานสงฺขาตํ ปน ธมฺมํ สจฺฉิกตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคโต, ตเมตํ พุทฺธานมฺปิ พุทฺธภาวเหตุภูตํ สพฺพโทสมลรหิตํ อตฺตโน อุตฺตริตราภาเวน อนุตฺตรํ ปฎิเวธสทฺธมฺมํ นมามีติฯ ปริยตฺติสทฺธมฺมสฺสปิ ตปฺปกาสนตฺตา อิธ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ อถ วา ‘‘อภิธมฺมนยสมุทฺทํ อธิคจฺฉิ, ตีณิ ปิฎกานิ สมฺมสี’’ติ จ อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา ปริยตฺติธมฺมสฺสปิ สจฺฉิกิริยสมฺมสนปริยาโย ลพฺภตีติ โสปิ อิธ วุโตฺต เอวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Ayañhettha saṅkhepattho – evaṃ vividhaguṇagaṇasamannāgato buddhopi bhagavā yaṃ ariyamaggasaṅkhātaṃ dhammaṃ bhāvetvā phalanibbānasaṅkhātaṃ pana dhammaṃ sacchikatvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ adhigato, tametaṃ buddhānampi buddhabhāvahetubhūtaṃ sabbadosamalarahitaṃ attano uttaritarābhāvena anuttaraṃ paṭivedhasaddhammaṃ namāmīti. Pariyattisaddhammassapi tappakāsanattā idha saṅgaho daṭṭhabbo. Atha vā ‘‘abhidhammanayasamuddaṃ adhigacchi, tīṇi piṭakāni sammasī’’ti ca aṭṭhakathāyaṃ vuttattā pariyattidhammassapi sacchikiriyasammasanapariyāyo labbhatīti sopi idha vutto evāti daṭṭhabbaṃ.

    ตถา ‘‘ยํ ธมฺมํ ภาเวตฺวา สจฺฉิกตฺวา’’ติ จ วุตฺตตฺตา พุทฺธกรธมฺมภูตาหิ ปารมิตาหิ สห ปุพฺพภาเค อธิสีลสิกฺขาทโยปิ อิธ ธมฺม-สเทฺทน สงฺคหิตาติ เวทิตพฺพํฯ ตาปิ หิ มลปฎิปกฺขตาย คตมลา อนญฺญสาธารณตาย อนุตฺตรา จาติฯ ตถา หิ สตฺตานํ สกลวฎฺฎทุกฺขนิสฺสรณตฺถาย กตมหาภินีหาโร มหากรุณาธิวาสเปสลชฺฌาสโย ปญฺญาวิเสสปริโธตนิมฺมลานํ ทานทมสญฺญมาทีนํ อุตฺตมธมฺมานํ สตสหสฺสาธิกานิ กปฺปานํ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ สกฺกจฺจํ นิรนฺตรํ นิรวเสสานํ ภาวนาปจฺจกฺขกรเณหิ กมฺมาทีสุ อธิคตวสิภาโว อจฺฉริยาจิเนฺตยฺยมหานุภาโว อธิสีลาธิจิตฺตานํ ปรมุกฺกํสปารมิปฺปโตฺต ภควา ปจฺจยากาเร จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสมุเขน มหาวชิรญาณํ เปเสตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติฯ

    Tathā ‘‘yaṃ dhammaṃ bhāvetvā sacchikatvā’’ti ca vuttattā buddhakaradhammabhūtāhi pāramitāhi saha pubbabhāge adhisīlasikkhādayopi idha dhamma-saddena saṅgahitāti veditabbaṃ. Tāpi hi malapaṭipakkhatāya gatamalā anaññasādhāraṇatāya anuttarā cāti. Tathā hi sattānaṃ sakalavaṭṭadukkhanissaraṇatthāya katamahābhinīhāro mahākaruṇādhivāsapesalajjhāsayo paññāvisesaparidhotanimmalānaṃ dānadamasaññamādīnaṃ uttamadhammānaṃ satasahassādhikāni kappānaṃ cattāri asaṅkhyeyyāni sakkaccaṃ nirantaraṃ niravasesānaṃ bhāvanāpaccakkhakaraṇehi kammādīsu adhigatavasibhāvo acchariyācinteyyamahānubhāvo adhisīlādhicittānaṃ paramukkaṃsapāramippatto bhagavā paccayākāre catuvīsatikoṭisatasahassamukhena mahāvajirañāṇaṃ pesetvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddhoti.

    เอตฺถ จ ‘‘ภาเวตฺวา’’ติ เอเตน วิชฺชาสมฺปทาย ธมฺมํ โถเมติ, ‘‘สจฺฉิกตฺวา’’ติ เอเตน วิมุตฺติสมฺปทายฯ ตถา ปฐเมน ฌานสมฺปทาย, ทุติเยน วิโมกฺขสมฺปทายฯ ปฐเมน วา สมาธิสมฺปทาย, ทุติเยน สมาปตฺติสมฺปทายฯ อถ วา ปฐเมน ขเยญาณภาเวน, ทุติเยน อนุปฺปาเทญาณภาเวนฯ ปุริเมน วา วิชฺชูปมตาย, ทุติเยน วชิรุปมตายฯ ปุริเมน วา วิราคสมฺปตฺติยา, ทุติเยน นิโรธสมฺปตฺติยาฯ ตถา ปฐเมน นิยฺยานภาเวน, ทุติเยน นิสฺสรณภาเวนฯ ปฐเมน วา เหตุภาเวน, ทุติเยน อสงฺขตภาเวนฯ ปฐเมน วา ทสฺสนภาเวน, ทุติเยน วิเวกภาเวนฯ ปฐเมน วา อธิปติภาเวน, ทุติเยน อมตภาเวน ธมฺมํ โถเมติฯ อถ วา ‘‘ยํ ธมฺมํ ภาเวตฺวา พุทฺธภาวํ อุปคโต’’ติ เอเตน สฺวากฺขาตตาย ธมฺมํ โถเมติ, ‘‘สจฺฉิกตฺวา’’ติ เอเตน สนฺทิฎฺฐิกตายฯ ตถา ปุริเมน อกาลิกตาย, ปจฺฉิเมน เอหิปสฺสิกตายฯ ปุริเมน วา โอปเนยฺยิกตาย, ปจฺฉิเมน ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺพตาย ธมฺมํ โถเมติฯ ‘‘คตมล’’นฺติ อิมินา สํกิเลสาภาวทีปเนน ธมฺมสฺส ปริสุทฺธตํ ทเสฺสติฯ ‘‘อนุตฺตร’’นฺติ เอเตน อญฺญสฺส วิสิฎฺฐสฺส อภาวทีปเนน วิปุลปริปุณฺณตํฯ ปฐเมน วา ปหานสมฺปทํ ธมฺมสฺส ทเสฺสติ, ทุติเยน สภาวสมฺปทํฯ ภาเวตพฺพตาย วา ธมฺมสฺส คตมลภาโว โยเชตโพฺพฯ ภาวนาพเลน หิ โส โทสานํ สมุคฺฆาตโก โหตีติฯ สจฺฉิกาตพฺพภาเวน อนุตฺตรภาโว โยเชตโพฺพฯ สจฺฉิกิริยานิพฺพตฺติโต หิ ตตุตฺตริกรณียาภาวโต อนญฺญสาธารณตาย อนุตฺตโรติฯ ตถา ‘‘ภาเวตฺวา’’ติ เอเตน สห ปุพฺพภาคสีลาทีหิ เสกฺขา สีลสมาธิปญฺญากฺขนฺธา ทสฺสิตา โหนฺติฯ ‘‘สจฺฉิกตฺวา’’ติ เอเตน สห อสงฺขตาย ธาตุยา อเสกฺขา สีลสมาธิปญฺญากฺขนฺธา ทสฺสิตา โหนฺตีติฯ

    Ettha ca ‘‘bhāvetvā’’ti etena vijjāsampadāya dhammaṃ thometi, ‘‘sacchikatvā’’ti etena vimuttisampadāya. Tathā paṭhamena jhānasampadāya, dutiyena vimokkhasampadāya. Paṭhamena vā samādhisampadāya, dutiyena samāpattisampadāya. Atha vā paṭhamena khayeñāṇabhāvena, dutiyena anuppādeñāṇabhāvena. Purimena vā vijjūpamatāya, dutiyena vajirupamatāya. Purimena vā virāgasampattiyā, dutiyena nirodhasampattiyā. Tathā paṭhamena niyyānabhāvena, dutiyena nissaraṇabhāvena. Paṭhamena vā hetubhāvena, dutiyena asaṅkhatabhāvena. Paṭhamena vā dassanabhāvena, dutiyena vivekabhāvena. Paṭhamena vā adhipatibhāvena, dutiyena amatabhāvena dhammaṃ thometi. Atha vā ‘‘yaṃ dhammaṃ bhāvetvā buddhabhāvaṃ upagato’’ti etena svākkhātatāya dhammaṃ thometi, ‘‘sacchikatvā’’ti etena sandiṭṭhikatāya. Tathā purimena akālikatāya, pacchimena ehipassikatāya. Purimena vā opaneyyikatāya, pacchimena paccattaṃ veditabbatāya dhammaṃ thometi. ‘‘Gatamala’’nti iminā saṃkilesābhāvadīpanena dhammassa parisuddhataṃ dasseti. ‘‘Anuttara’’nti etena aññassa visiṭṭhassa abhāvadīpanena vipulaparipuṇṇataṃ. Paṭhamena vā pahānasampadaṃ dhammassa dasseti, dutiyena sabhāvasampadaṃ. Bhāvetabbatāya vā dhammassa gatamalabhāvo yojetabbo. Bhāvanābalena hi so dosānaṃ samugghātako hotīti. Sacchikātabbabhāvena anuttarabhāvo yojetabbo. Sacchikiriyānibbattito hi tatuttarikaraṇīyābhāvato anaññasādhāraṇatāya anuttaroti. Tathā ‘‘bhāvetvā’’ti etena saha pubbabhāgasīlādīhi sekkhā sīlasamādhipaññākkhandhā dassitā honti. ‘‘Sacchikatvā’’ti etena saha asaṅkhatāya dhātuyā asekkhā sīlasamādhipaññākkhandhā dassitā hontīti.

    . เอวํ สเงฺขเปเนว สพฺพธมฺมคุเณหิ สทฺธมฺมํ อภิตฺถวิตฺวา อิทานิ อริยสงฺฆํ โถเมตุํ ‘‘สุคตสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุคตสฺสาติ สมฺพนฺธนิเทฺทโส ฯ ตสฺส ‘‘ปุตฺตาน’’นฺติ เอเตน สมฺพโนฺธ ฯ โอรสานนฺติ ปุตฺตวิเสสนํฯ มารเสนมถนานนฺติ โอรสปุตฺตภาเว การณนิเทฺทโสฯ เตน กิเลสปหานเมว ภควโต โอรสปุตฺตภาเว การณํ อนุชานาตีติ ทเสฺสติฯ อฎฺฐนฺนนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโสฯ เตน จ สติปิ เตสํ สตฺตวิเสสภาเวน อเนกสหสฺสสงฺขาภาเว อิมํ คณนปริเจฺฉทํ นาติวตฺตนฺตีติ ทเสฺสติ มคฺคฎฺฐผลฎฺฐภาวานติวตฺตนโตฯ สมูหนฺติ สมุทายนิเทฺทโสฯ อริยสงฺฆนฺติ คุณวิสิฎฺฐสงฺฆาตภาวนิเทฺทโสฯ เตน อสติปิ อริยปุคฺคลานํ กายสามคฺคิยํ อริยสงฺฆภาวํ ทเสฺสติ ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สํหตภาวโตฯ

    3. Evaṃ saṅkhepeneva sabbadhammaguṇehi saddhammaṃ abhitthavitvā idāni ariyasaṅghaṃ thometuṃ ‘‘sugatassā’’tiādimāha. Tattha sugatassāti sambandhaniddeso . Tassa ‘‘puttāna’’nti etena sambandho . Orasānanti puttavisesanaṃ. Mārasenamathanānanti orasaputtabhāve kāraṇaniddeso. Tena kilesapahānameva bhagavato orasaputtabhāve kāraṇaṃ anujānātīti dasseti. Aṭṭhannanti gaṇanaparicchedaniddeso. Tena ca satipi tesaṃ sattavisesabhāvena anekasahassasaṅkhābhāve imaṃ gaṇanaparicchedaṃ nātivattantīti dasseti maggaṭṭhaphalaṭṭhabhāvānativattanato. Samūhanti samudāyaniddeso. Ariyasaṅghanti guṇavisiṭṭhasaṅghātabhāvaniddeso. Tena asatipi ariyapuggalānaṃ kāyasāmaggiyaṃ ariyasaṅghabhāvaṃ dasseti diṭṭhisīlasāmaññena saṃhatabhāvato.

    ตตฺถ อุรสิ ภวา ชาตา สํพทฺธา จ โอรสาฯ ยถา หิ สตฺตานํ โอรสปุตฺตา อตฺตชาตตาย ปิตุ สนฺตกสฺส ทายชฺชสฺส วิเสเสน ภาคิโน โหนฺติ, เอวเมเตปิ อริยปุคฺคลา สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ธมฺมสฺสวนเนฺต อริยาย ชาติยา ชาตตาย ภควโต สนฺตกสฺส วิมุตฺติสุขสฺส อริยธมฺมรตนสฺส จ เอกนฺตภาคิโนติ โอรสา วิย โอรสาฯ อถ วา ภควโต ธมฺมเทสนานุภาเวเนว อริยภูมิํ โอกฺกมมานา โอกฺกนฺตา จ อริยสาวกา ภควโต อุเรน วายามชนิตาภิชาติตาย นิปฺปริยาเยน โอรสา ปุตฺตาติ วตฺตพฺพตํ อรหนฺติฯ สาวเกหิ ปวตฺติยมานาปิ หิ ธมฺมเทสนา ‘‘ภควโต ธมฺมเทสนา’’อิเจฺจว วุจฺจติ ตมฺมูลิกตฺตา ลกฺขณาทิวิเสสาภาวโต จฯ

    Tattha urasi bhavā jātā saṃbaddhā ca orasā. Yathā hi sattānaṃ orasaputtā attajātatāya pitu santakassa dāyajjassa visesena bhāgino honti, evametepi ariyapuggalā sammāsambuddhassa dhammassavanante ariyāya jātiyā jātatāya bhagavato santakassa vimuttisukhassa ariyadhammaratanassa ca ekantabhāginoti orasā viya orasā. Atha vā bhagavato dhammadesanānubhāveneva ariyabhūmiṃ okkamamānā okkantā ca ariyasāvakā bhagavato urena vāyāmajanitābhijātitāya nippariyāyena orasā puttāti vattabbataṃ arahanti. Sāvakehi pavattiyamānāpi hi dhammadesanā ‘‘bhagavato dhammadesanā’’icceva vuccati tammūlikattā lakkhaṇādivisesābhāvato ca.

    ยทิปิ อริยสาวกานํ อริยมคฺคาธิคมสมเย ภควโต วิย ตทนฺตรายกรณตฺถํ เทวปุตฺตมาโร, มารวาหินี วา น เอกเนฺตน อปสาเทติ, เตหิ ปน อปสาเทตพฺพตาย การเณ วิมถิเต เตปิ วิมถิตา เอว นาม โหนฺตีติ อาห ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ ‘‘มารมารเสนมถนาน’’นฺติ วตฺตเพฺพ มารเสนมถนานนฺติ เอกเทสสรูเปกเสโส กโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา ขนฺธาภิสงฺขารมารานํ วิย เทวปุตฺตมารสฺสปิ คุณมารเณ สหายภาวูปคมนโต กิเลสพลกาโย ‘‘เสนา’’ติ วุจฺจติฯ ยถาห ‘‘กามา เต ปฐมา เสนา’’ติอาทิ (สุ. นิ. ๔๓๘)ฯ สา จ เตหิ ทิยฑฺฒสหสฺสเภทา, อนนฺตเภทา วา กิเลสวาหินี สติธมฺมวิจยวีริยสมถาทิคุณปหรเณหิ โอธิโส วิมถิตา วิหตา วิทฺธสฺตา จาติ มารเสนมถนา, อริยสาวกาฯ เอเตน เตสํ ภควโต อนุชาตปุตฺตตํ ทเสฺสติฯ

    Yadipi ariyasāvakānaṃ ariyamaggādhigamasamaye bhagavato viya tadantarāyakaraṇatthaṃ devaputtamāro, māravāhinī vā na ekantena apasādeti, tehi pana apasādetabbatāya kāraṇe vimathite tepi vimathitā eva nāma hontīti āha ‘‘mārasenamathanāna’’nti. Imasmiṃ panatthe ‘‘māramārasenamathanāna’’nti vattabbe mārasenamathanānanti ekadesasarūpekaseso katoti daṭṭhabbaṃ. Atha vā khandhābhisaṅkhāramārānaṃ viya devaputtamārassapi guṇamāraṇe sahāyabhāvūpagamanato kilesabalakāyo ‘‘senā’’ti vuccati. Yathāha ‘‘kāmā te paṭhamā senā’’tiādi (su. ni. 438). Sā ca tehi diyaḍḍhasahassabhedā, anantabhedā vā kilesavāhinī satidhammavicayavīriyasamathādiguṇapaharaṇehi odhiso vimathitā vihatā viddhastā cāti mārasenamathanā, ariyasāvakā. Etena tesaṃ bhagavato anujātaputtataṃ dasseti.

    อารกตฺตา กิเลเสหิ, อนเย น อิริยนโต, อเย จ อิริยนโต อริยา นิรุตฺตินเยนฯ อถ วา สเทวเกน โลเกน สรณนฺติ อรณียโต อุปคนฺตพฺพโต, อุปคตานญฺจ ตทตฺถสิทฺธิโต อริยาฯ อริยานํ สโงฺฆติ อริยสโงฺฆฯ อริโย จ โส สโงฺฆ จาติ วา อริยสโงฺฆฯ ภควโต อปรภาเค พุทฺธธมฺมรตนานมฺปิ สมธิคโม สงฺฆรตนาธีโนติ อสฺส อริยสงฺฆสฺส พหูปการตํ ทเสฺสตุํ อิเธว ‘‘สิรสา วเนฺท’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Ārakattā kilesehi, anaye na iriyanato, aye ca iriyanato ariyā niruttinayena. Atha vā sadevakena lokena saraṇanti araṇīyato upagantabbato, upagatānañca tadatthasiddhito ariyā. Ariyānaṃ saṅghoti ariyasaṅgho. Ariyo ca so saṅgho cāti vā ariyasaṅgho. Bhagavato aparabhāge buddhadhammaratanānampi samadhigamo saṅgharatanādhīnoti assa ariyasaṅghassa bahūpakārataṃ dassetuṃ idheva ‘‘sirasā vande’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ.

    เอตฺถ จ ‘‘สุคตสฺส โอรสานํ ปุตฺตาน’’นฺติ เอเตน อริยสงฺฆสฺส ปภวสมฺปทํ ทเสฺสติ, ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ เอเตน ปหานสมฺปทํ สกลสํกิเลสปหานทีปนโต, ‘‘อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูห’’นฺติ เอเตน ญาณสมฺปทํ มคฺคฎฺฐผลฎฺฐภาวทีปนโตฯ ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ เอเตน ปภวสมฺปทํ ทเสฺสติ สพฺพสงฺฆานํ อคฺคภาวทีปนโตฯ อถ วา สุคตสฺส โอรสานํ ปุตฺตานนฺติ อริยสงฺฆสฺส วิสุทฺธนิสฺสยภาวทีปนํฯ มารเสนมถนานนฺติ สมฺมาอุชุญายสามีจิปฺปฎิปนฺนภาวทีปนํฯ อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูหนฺติ อาหุเนยฺยาทิภาวทีปนํฯ อริยสงฺฆนฺติ อนุตฺตรปุญฺญเขตฺตภาวทีปนํฯ ตถา ‘‘สุคตสฺส โอรสานํ ปุตฺตาน’’นฺติ เอเตน อริยสงฺฆสฺส โลกุตฺตรสรณคมนสภาวํ ทีเปติฯ โลกุตฺตรสรณคมเนน หิ เต ภควโต โอรสปุตฺตา ชาตาฯ ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ เอเตน อภินีหารสมฺปทาย สิทฺธํ ปุพฺพภาเค สมฺมาปฎิปตฺติํ ทเสฺสติฯ กตาภินีหารา หิ สมฺมาปฎิปนฺนา มารํ มารปริสํ วา อภิวิชินนฺติฯ ‘‘อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูห’’นฺติ เอเตน ปฎิวิทฺธสฺตวิปเกฺข เสกฺขาเสกฺขธเมฺม ทเสฺสติ ปุคฺคลาธิฎฺฐาเนน มคฺคผลธมฺมานํ ปกาสิตตฺตาฯ ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ อคฺคทกฺขิเณยฺยภาวํ ทเสฺสติฯ สรณคมนญฺจ สาวกานํ สพฺพคุณานํ อาทิ, สปุพฺพภาคปฎิปทา เสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย มเชฺฌ, อเสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย ปริโยสานนฺติ อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณา สเงฺขปโต สเพฺพ อริยสงฺฆคุณา ปกาสิตา โหนฺติฯ

    Ettha ca ‘‘sugatassa orasānaṃ puttāna’’nti etena ariyasaṅghassa pabhavasampadaṃ dasseti, ‘‘mārasenamathanāna’’nti etena pahānasampadaṃ sakalasaṃkilesapahānadīpanato, ‘‘aṭṭhannampi samūha’’nti etena ñāṇasampadaṃ maggaṭṭhaphalaṭṭhabhāvadīpanato. ‘‘Ariyasaṅgha’’nti etena pabhavasampadaṃ dasseti sabbasaṅghānaṃ aggabhāvadīpanato. Atha vā sugatassa orasānaṃ puttānanti ariyasaṅghassa visuddhanissayabhāvadīpanaṃ. Mārasenamathanānanti sammāujuñāyasāmīcippaṭipannabhāvadīpanaṃ. Aṭṭhannampi samūhanti āhuneyyādibhāvadīpanaṃ. Ariyasaṅghanti anuttarapuññakhettabhāvadīpanaṃ. Tathā ‘‘sugatassa orasānaṃ puttāna’’nti etena ariyasaṅghassa lokuttarasaraṇagamanasabhāvaṃ dīpeti. Lokuttarasaraṇagamanena hi te bhagavato orasaputtā jātā. ‘‘Mārasenamathanāna’’nti etena abhinīhārasampadāya siddhaṃ pubbabhāge sammāpaṭipattiṃ dasseti. Katābhinīhārā hi sammāpaṭipannā māraṃ māraparisaṃ vā abhivijinanti. ‘‘Aṭṭhannampi samūha’’nti etena paṭividdhastavipakkhe sekkhāsekkhadhamme dasseti puggalādhiṭṭhānena maggaphaladhammānaṃ pakāsitattā. ‘‘Ariyasaṅgha’’nti aggadakkhiṇeyyabhāvaṃ dasseti. Saraṇagamanañca sāvakānaṃ sabbaguṇānaṃ ādi, sapubbabhāgapaṭipadā sekkhā sīlakkhandhādayo majjhe, asekkhā sīlakkhandhādayo pariyosānanti ādimajjhapariyosānakalyāṇā saṅkhepato sabbe ariyasaṅghaguṇā pakāsitā honti.

    . เอวํ คาถาตฺตเยน สเงฺขปโต สกลคุณสํกิตฺตนมุเขน รตนตฺตยสฺส ปณามํ กตฺวา อิทานิ ตํ นิปจฺจการํ ยถาธิเปฺปเต ปโยชเน ปริณาเมโนฺต ‘‘อิติ เม’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ รติชนนเฎฺฐน รตนํ, พุทฺธธมฺมสงฺฆาฯ เตสญฺหิ ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินา ยถาภูตคุเณ อาวเชฺชนฺตสฺส อมตาธิคมเหตุภูตํ อนปฺปกํ ปีติปาโมชฺชํ อุปฺปชฺชติฯ ยถาห –

    4. Evaṃ gāthāttayena saṅkhepato sakalaguṇasaṃkittanamukhena ratanattayassa paṇāmaṃ katvā idāni taṃ nipaccakāraṃ yathādhippete payojane pariṇāmento ‘‘iti me’’tiādimāha. Tattha ratijananaṭṭhena ratanaṃ, buddhadhammasaṅghā. Tesañhi ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinā yathābhūtaguṇe āvajjentassa amatādhigamahetubhūtaṃ anappakaṃ pītipāmojjaṃ uppajjati. Yathāha –

    ‘‘ยสฺมิํ, มหานาม, สมเย อริยสาวโก ตถาคตํ อนุสฺสรติ, เนวสฺส ตสฺมิํ สมเย ราคปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โทสปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โมหปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, อุชุคตเมวสฺส ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ โหติ ตถาคตํ อารพฺภฯ อุชุคตจิโตฺต โข ปน, มหานาม, อริยสาวโก ลภติ อตฺถเวทํ, ลภติ ธมฺมเวทํ, ลภติ ธมฺมูปสํหิตํ ปาโมชฺชํ, ปมุทิตสฺส ปีติ ชายตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๖.๑๐; ๑๑.๑๑)ฯ

    ‘‘Yasmiṃ, mahānāma, samaye ariyasāvako tathāgataṃ anussarati, nevassa tasmiṃ samaye rāgapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na dosapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na mohapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, ujugatamevassa tasmiṃ samaye cittaṃ hoti tathāgataṃ ārabbha. Ujugatacitto kho pana, mahānāma, ariyasāvako labhati atthavedaṃ, labhati dhammavedaṃ, labhati dhammūpasaṃhitaṃ pāmojjaṃ, pamuditassa pīti jāyatī’’tiādi (a. ni. 6.10; 11.11).

    จิตฺตีกตาทิภาโว วา รตนโฎฺฐฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Cittīkatādibhāvo vā ratanaṭṭho. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘จิตฺตีกตํ มหคฺฆญฺจ, อตุลํ ทุลฺลภทสฺสนํ;

    ‘‘Cittīkataṃ mahagghañca, atulaṃ dullabhadassanaṃ;

    อโนมสตฺตปริโภคํ, รตนํ เตน วุจฺจตี’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๓; ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๖.๓; สุ. นิ. อฎฺฐ. ๒๒๖; มหานิ. อฎฺฐ. ๕๐) –

    Anomasattaparibhogaṃ, ratanaṃ tena vuccatī’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 2.33; khu. pā. aṭṭha. 6.3; su. ni. aṭṭha. 226; mahāni. aṭṭha. 50) –

    จิตฺตีกตภาวาทโย จ อนญฺญสาธารณา พุทฺธาทีสุ เอว ลพฺภนฺตีติฯ

    Cittīkatabhāvādayo ca anaññasādhāraṇā buddhādīsu eva labbhantīti.

    วนฺทนาว วนฺทนามยํ ยถา ‘‘ทานมยํ สีลมย’’นฺติฯ วนฺทนา เจตฺถ กายวาจาจิเตฺตหิ ติณฺณํ รตนานํ คุณนินฺนตา, โถมนา วาฯ ปุชฺชภวผลนิพฺพตฺตนโต ปุญฺญํ, อตฺตโน สนฺตานํ ปุนาตีติ วาฯ สุวิหตนฺตราโยติฯ สุฎฺฐุ วิหตนฺตราโยฯ เอเตน อตฺตโน ปสาทสมฺปตฺติยา, รตนตฺตยสฺส จ เขตฺตภาวสมฺปตฺติยา ตํ ปุญฺญํ อตฺถปฺปกาสนสฺส อุปฆาตกอุปทฺทวานํ วิหนเน สมตฺถนฺติ ทเสฺสติฯ หุตฺวาติ ปุพฺพกาลกิริยาฯ ตสฺส ‘‘อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ ตสฺสาติ ยํ รตนตฺตยวนฺทนามยํ ปุญฺญํ, ตสฺสฯ อานุภาเวนาติ พเลนฯ

    Vandanāva vandanāmayaṃ yathā ‘‘dānamayaṃ sīlamaya’’nti. Vandanā cettha kāyavācācittehi tiṇṇaṃ ratanānaṃ guṇaninnatā, thomanā vā. Pujjabhavaphalanibbattanato puññaṃ, attano santānaṃ punātīti vā. Suvihatantarāyoti. Suṭṭhu vihatantarāyo. Etena attano pasādasampattiyā, ratanattayassa ca khettabhāvasampattiyā taṃ puññaṃ atthappakāsanassa upaghātakaupaddavānaṃ vihanane samatthanti dasseti. Hutvāti pubbakālakiriyā. Tassa ‘‘atthaṃ pakāsayissāmī’’ti etena sambandho. Tassāti yaṃ ratanattayavandanāmayaṃ puññaṃ, tassa. Ānubhāvenāti balena.

    . เอวํ รตนตฺตยสฺส นิปจฺจกาเร ปโยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยสฺสา ธมฺมเทสนาย อตฺถํ สํวเณฺณตุกาโม, ตสฺสา ตาว คุณาภิตฺถวนวเสน อุปญฺญาปนตฺถํ ‘‘สํยุตฺตวคฺคปฎิมณฺฑิตสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํ, เทวตาสํยุตฺตาทิสํยุเตฺตหิ เจว นฬวคฺคาทิวเคฺคหิ จ วิภูสิตสฺสาติ อโตฺถฯ ตตฺถ ‘‘สํยุตฺต’’นฺติ ‘‘สํโยโค’’ติ จ อตฺถโต เอกํฯ เกสํ สํยุตฺตํ? สุตฺตวคฺคานํฯ ยถา หิ พฺยญฺชนสมุทาโย ปทํ, เอวํ อเตฺถสุ จ กตาวธิโก ปทสมุทาโย วากฺยํ, วากฺยสมุทาโย สุตฺตํ, สุตฺตสมุทาเย วโคฺคติ สมญฺญา, ตถา สุตฺตวคฺคสมุทาเย สํยุตฺตสมญฺญาฯ สํยุชฺชนฺตีติ เอตฺถ สุตฺตวคฺคาติ สํยุตฺตํฯ ยทิปิ อวยววินิมุโตฺต สมุทาโย นาม ปรมตฺถโต นตฺถิ, อวยเว เอว ตํตํสนฺนิเวสวิสิเฎฺฐ อุปาทาย ปทาทิสมญฺญา วิย สุตฺตวคฺคสมญฺญา สํยุตฺตสมญฺญา อาคมสมญฺญา จ, ตถาปิ ปรมตฺถโต อวิชฺชมาโนปิ สมุทาโย พุทฺธิปริกปฺปิตรูเปน วิชฺชมาโน วิย คยฺหมาโน อวยวานํ อธิฎฺฐานภาเวน โวหรียติ ยถา ‘‘รุเกฺข สาขา’’ติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘สํยุตฺตวคฺคปฎิมณฺฑิตสฺสา’’ติฯ

    5. Evaṃ ratanattayassa nipaccakāre payojanaṃ dassetvā idāni yassā dhammadesanāya atthaṃ saṃvaṇṇetukāmo, tassā tāva guṇābhitthavanavasena upaññāpanatthaṃ ‘‘saṃyuttavaggapaṭimaṇḍitassā’’tiādi vuttaṃ, devatāsaṃyuttādisaṃyuttehi ceva naḷavaggādivaggehi ca vibhūsitassāti attho. Tattha ‘‘saṃyutta’’nti ‘‘saṃyogo’’ti ca atthato ekaṃ. Kesaṃ saṃyuttaṃ? Suttavaggānaṃ. Yathā hi byañjanasamudāyo padaṃ, evaṃ atthesu ca katāvadhiko padasamudāyo vākyaṃ, vākyasamudāyo suttaṃ, suttasamudāye vaggoti samaññā, tathā suttavaggasamudāye saṃyuttasamaññā. Saṃyujjantīti ettha suttavaggāti saṃyuttaṃ. Yadipi avayavavinimutto samudāyo nāma paramatthato natthi, avayave eva taṃtaṃsannivesavisiṭṭhe upādāya padādisamaññā viya suttavaggasamaññā saṃyuttasamaññā āgamasamaññā ca, tathāpi paramatthato avijjamānopi samudāyo buddhiparikappitarūpena vijjamāno viya gayhamāno avayavānaṃ adhiṭṭhānabhāvena voharīyati yathā ‘‘rukkhe sākhā’’ti, tasmā vuttaṃ ‘‘saṃyuttavaggapaṭimaṇḍitassā’’ti.

    นนุ สํยุตฺตวโคฺค เอว อาคโม, ตสฺส ปน เกหิ มณฺฑนนฺติ? น โจเทตพฺพเมตํฯ ภวติ หิ อภิเนฺนปิ วตฺถุสฺมิํ ยถาธิเปฺปตวิเสสาวโพธนโต เภทกสมุทาจาโร ยถา ‘‘สิลาปุตฺตกสฺส สรีร’’นฺติฯ อาคมิสฺสนฺติ เอตฺถ, เอเตน, เอตสฺมา วา อตฺตตฺถปรตฺถาทโยติ อาคโม, อาทิกลฺยาณาทิคุณสมฺปตฺติยา อุตฺตมเฎฺฐน ตํตํอภิปตฺถิตสมิทฺธิเหตุตาย ปณฺฑิเตหิ วริตพฺพโต วโร, อาคโม จ โส วโร จาติ อาคมวโรฯ อาคมสมฺมเตหิ วา วโรติ อาคมวโร, สํยุโตฺต จ โส อาคมวโร จาติ สํยุตฺตาคมวโร, ตสฺสฯ พุทฺธานํ อนุพุทฺธา พุทฺธานุพุทฺธา, พุทฺธานํ สจฺจปฎิเวธํ อนุคมฺม ปฎิวิทฺธสจฺจา อคฺคสาวกาทโย อริยาฯ เตหิ อตฺถสํวณฺณนาคุณสํวณฺณนานํ วเสน สํวณฺณิตสฺส

    Nanu saṃyuttavaggo eva āgamo, tassa pana kehi maṇḍananti? Na codetabbametaṃ. Bhavati hi abhinnepi vatthusmiṃ yathādhippetavisesāvabodhanato bhedakasamudācāro yathā ‘‘silāputtakassa sarīra’’nti. Āgamissanti ettha, etena, etasmā vā attatthaparatthādayoti āgamo, ādikalyāṇādiguṇasampattiyā uttamaṭṭhena taṃtaṃabhipatthitasamiddhihetutāya paṇḍitehi varitabbato varo, āgamo ca so varo cāti āgamavaro. Āgamasammatehi vā varoti āgamavaro, saṃyutto ca so āgamavaro cāti saṃyuttāgamavaro, tassa. Buddhānaṃ anubuddhā buddhānubuddhā, buddhānaṃ saccapaṭivedhaṃ anugamma paṭividdhasaccā aggasāvakādayo ariyā. Tehi atthasaṃvaṇṇanāguṇasaṃvaṇṇanānaṃ vasena saṃvaṇṇitassa.

    อถ วา พุทฺธา จ อนุพุทฺธา จ พุทฺธานุพุทฺธาติ โยเชตพฺพํฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธเนว หิ วินยสุตฺตอภิธมฺมานํ ปกิณฺณกเทสนาทิวเสน โย ปฐมํ อโตฺถ วิภโตฺต, โส เอว ปจฺฉา เตสํ อตฺถวณฺณนาวเสน สงฺคีติกาเรหิ สงฺคหํ อาโรปิโตติฯ เอตฺถ จ สํยุตฺตานํ วคฺคา สมูหาติ สํยุตฺตวคฺคา, สคาถาวคฺคาทโยฯ ตปฺปริยาปนฺนตาย สํยุเตฺตสุ วคฺคา สํยุตฺตวคฺคา, นฬวคฺคาทโยฯ สํยุตฺตาว วคฺคา สํยุตฺตวคฺคาฯ ติวิเธปิ เต เอกเสสนเยน คเหตฺวา วุตฺตํ ‘‘สํยุตฺตวคฺคปฎิมณฺฑิตสฺสา’’ติฯ

    Atha vā buddhā ca anubuddhā ca buddhānubuddhāti yojetabbaṃ. Sammāsambuddheneva hi vinayasuttaabhidhammānaṃ pakiṇṇakadesanādivasena yo paṭhamaṃ attho vibhatto, so eva pacchā tesaṃ atthavaṇṇanāvasena saṅgītikārehi saṅgahaṃ āropitoti. Ettha ca saṃyuttānaṃ vaggā samūhāti saṃyuttavaggā, sagāthāvaggādayo. Tappariyāpannatāya saṃyuttesu vaggā saṃyuttavaggā, naḷavaggādayo. Saṃyuttāva vaggā saṃyuttavaggā. Tividhepi te ekasesanayena gahetvā vuttaṃ ‘‘saṃyuttavaggapaṭimaṇḍitassā’’ti.

    ตตฺถ สคาถาวเคฺค ตาว เอกาทส สํยุตฺตานิ อฎฺฐติํส วคฺคาฯ นิทานวเคฺค นว สํยุตฺตานิ เอกูนจตฺตาลีส วคฺคาฯ ขนฺธวเคฺค เอกาทส สํยุตฺตานิ เอกูนสฎฺฐิ วคฺคาฯ สฬายตนวเคฺค นว สํยุตฺตานิ อฎฺฐติํส วคฺคาฯ มหาวเคฺค ทฺวาทส สํยุตฺตานิ อฎฺฐจตฺตาลีส วคฺคาฯ อิทเมตฺถ สํยุตฺตนฺตรวคฺคานํ ปริมาณํฯ

    Tattha sagāthāvagge tāva ekādasa saṃyuttāni aṭṭhatiṃsa vaggā. Nidānavagge nava saṃyuttāni ekūnacattālīsa vaggā. Khandhavagge ekādasa saṃyuttāni ekūnasaṭṭhi vaggā. Saḷāyatanavagge nava saṃyuttāni aṭṭhatiṃsa vaggā. Mahāvagge dvādasa saṃyuttāni aṭṭhacattālīsa vaggā. Idamettha saṃyuttantaravaggānaṃ parimāṇaṃ.

    ญาณปฺปเภทชนนสฺสาติ ปฎิจฺจสมุปฺปาทขนฺธายตนาทิกถาพหุลตาย คมฺภีรญาณจริยาวิภาวนโต ปญฺญาวิภาคสมุปฺปาทกสฺสฯ อิธ ปน ‘‘ปญฺญาปฺปเภทชนนสฺสา’’ติ สฺวายมาคโม โถมิโต, สํวณฺณนาสุ จายํ อาจริยสฺส ปกติ, ยทิทํ ตํตํสํวณฺณนานํ อาทิโต ตสฺส ตสฺส สํวเณฺณตพฺพสฺส ธมฺมสฺส วิเสสคุณกิตฺตเนน โถมนาฯ ตถา หิ สุมงฺคลวิลาสินีปปญฺจสูทนีมโนรถปูรณีอฎฺฐสาลินีอาทีสุ จ ยถากฺกมํ ‘‘สทฺธาวหคุณสฺส, ปรวาทมถนสฺส, ธมฺมกถิกปุงฺควานํ วิจิตฺตปฎิภานชนนสฺส, ตสฺส คมฺภีรญาเณหิ โอคาฬฺหสฺส อภิณฺหโส นานานยวิจิตฺตสฺส อภิธมฺมสฺสา’’ติอาทินา โถมนา กตาฯ

    Ñāṇappabhedajananassāti paṭiccasamuppādakhandhāyatanādikathābahulatāya gambhīrañāṇacariyāvibhāvanato paññāvibhāgasamuppādakassa. Idha pana ‘‘paññāppabhedajananassā’’ti svāyamāgamo thomito, saṃvaṇṇanāsu cāyaṃ ācariyassa pakati, yadidaṃ taṃtaṃsaṃvaṇṇanānaṃ ādito tassa tassa saṃvaṇṇetabbassa dhammassa visesaguṇakittanena thomanā. Tathā hi sumaṅgalavilāsinīpapañcasūdanīmanorathapūraṇīaṭṭhasālinīādīsu ca yathākkamaṃ ‘‘saddhāvahaguṇassa, paravādamathanassa, dhammakathikapuṅgavānaṃ vicittapaṭibhānajananassa, tassa gambhīrañāṇehi ogāḷhassa abhiṇhaso nānānayavicittassa abhidhammassā’’tiādinā thomanā katā.

    . อโตฺถ กถียติ เอตายาติ อตฺถกถา, อตฺถกถาว อฎฺฐกถา ตฺถ-การสฺส ฎฺฐ-การํ กตฺวา ยถา ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ’’ติฯ อาทิโตติ อาทิมฺหิ ปฐมสงฺคีติยํฯ ฉฬภิญฺญตาย ปรเมน จิตฺตวสิภาเวน สมนฺนาคตตฺตา ฌานาทีสุ ปญฺจวิธวสิตาสมฺภาวโต จ วสิโน, เถรา มหากสฺสปาทโย ฯ เตสํ สเตหิ ปญฺจหิฯ ยาติ ยา อฎฺฐกถาฯ สงฺคีตาติ อตฺถํ กเถตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน ‘‘อยํ เอตสฺส อโตฺถ, อยํ เอตสฺส อโตฺถ’’ติ สงฺคเหตฺวา วุตฺตาฯ อนุสงฺคีตา จ ยสเตฺถราทีหิ ปจฺฉาปิ ทุติยตติยสงฺคีตีสุฯ อิมินา อตฺตโน สํวณฺณนาย อาคมนวิสุทฺธิํ ทเสฺสติฯ

    6. Attho kathīyati etāyāti atthakathā, atthakathāva aṭṭhakathā ttha-kārassa ṭṭha-kāraṃ katvā yathā ‘‘dukkhassa pīḷanaṭṭho’’ti. Āditoti ādimhi paṭhamasaṅgītiyaṃ. Chaḷabhiññatāya paramena cittavasibhāvena samannāgatattā jhānādīsu pañcavidhavasitāsambhāvato ca vasino, therā mahākassapādayo . Tesaṃ satehi pañcahi. ti yā aṭṭhakathā. Saṅgītāti atthaṃ kathetuṃ yuttaṭṭhāne ‘‘ayaṃ etassa attho, ayaṃ etassa attho’’ti saṅgahetvā vuttā. Anusaṅgītā ca yasattherādīhi pacchāpi dutiyatatiyasaṅgītīsu. Iminā attano saṃvaṇṇanāya āgamanavisuddhiṃ dasseti.

    . สีหสฺส ลานโต คหณโต สีหโฬ, สีหกุมาโร, ตพฺพํสชาตตาย ตมฺพปณฺณิทีเป ขตฺติยา, เตสํ นิวาสตาย ตมฺพปณฺณิทีปสฺส จ สีหฬภาโว เวทิตโพฺพฯ อาภตาติ ชมฺพุทีปโต อานีตาฯ อถาติ ปจฺฉาฯ อปรภาเค หิ นิกายนฺตรลทฺธีหิ อสงฺกรตฺถํ สีหฬภาสาย อฎฺฐกถา ฐปิตาติฯ เตน มูลฎฺฐกถา สพฺพสาธารณา น โหตีติ อิทํ อตฺถปฺปกาสนํ เอกเนฺตน กรณียนฺติ ทเสฺสติฯ เตเนวาห ‘‘ทีปวาสีนมตฺถายา’’ติฯ เอตฺถ ทีปวาสีนนฺติ ชมฺพุทีปวาสีนํ, สีหฬทีปวาสีนํ วา อตฺถาย สีหฬภาสาย ฐปิตาติ โยชนาฯ

    7. Sīhassa lānato gahaṇato sīhaḷo, sīhakumāro, tabbaṃsajātatāya tambapaṇṇidīpe khattiyā, tesaṃ nivāsatāya tambapaṇṇidīpassa ca sīhaḷabhāvo veditabbo. Ābhatāti jambudīpato ānītā. Athāti pacchā. Aparabhāge hi nikāyantaraladdhīhi asaṅkaratthaṃ sīhaḷabhāsāya aṭṭhakathā ṭhapitāti. Tena mūlaṭṭhakathā sabbasādhāraṇā na hotīti idaṃ atthappakāsanaṃ ekantena karaṇīyanti dasseti. Tenevāha ‘‘dīpavāsīnamatthāyā’’ti. Ettha dīpavāsīnanti jambudīpavāsīnaṃ, sīhaḷadīpavāsīnaṃ vā atthāya sīhaḷabhāsāya ṭhapitāti yojanā.

    . อปเนตฺวาติ กญฺจุกสทิสํ สีหฬภาสํ อปเนตฺวาฯ ตโตติ อฎฺฐกถาโตฯ อหนฺติ อตฺตานํ นิทฺทิสติฯ มโนรมํ ภาสนฺติ มาคธภาสํฯ สา หิ สภาวนิรุตฺติภูตา ปณฺฑิตมนํ รมยติฯ เตเนวาห ‘‘ตนฺตินยานุจฺฉวิก’’นฺติ, ปาฬิคติยา อนุโลมิกํ ปาฬิฉายานุวิธายินินฺติ อโตฺถฯ วิคตโทสนฺติ อสภาวนิรุตฺติภาสนฺตรรหิตํฯ

    8.Apanetvāti kañcukasadisaṃ sīhaḷabhāsaṃ apanetvā. Tatoti aṭṭhakathāto. Ahanti attānaṃ niddisati. Manoramaṃ bhāsanti māgadhabhāsaṃ. Sā hi sabhāvaniruttibhūtā paṇḍitamanaṃ ramayati. Tenevāha ‘‘tantinayānucchavika’’nti, pāḷigatiyā anulomikaṃ pāḷichāyānuvidhāyininti attho. Vigatadosanti asabhāvaniruttibhāsantararahitaṃ.

    . สมยํ อวิโลเมโนฺตติ สิทฺธนฺตํ อวิโรเธโนฺตฯ เอเตน อตฺถโทสาภาวมาหฯ อวิรุทฺธตฺตา เอว หิ เถรวาทาปิ อิธ ปกาสียิสฺสนฺติฯ เถรวํสทีปานนฺติ ถิเรหิ สีลกฺขนฺธาทีหิ สมนฺนาคตตฺตา เถรา, มหากสฺสปาทโยฯ เตหิ อาคตา อาจริยปรมฺปรา เถรวํโส, ตปฺปริยาปนฺนา หุตฺวา อาคมาธิคมสมฺปนฺนตฺตา ปญฺญาปโชฺชเตน ตสฺส สมุชฺชลนโต เถรวํสทีปา, มหาวิหารวาสิโน, เตสํฯ วิวิเธหิ อากาเรหิ นิจฺฉียตีติ วินิจฺฉโย, คณฺฐิฎฺฐาเนสุ ขิลมทฺทนากาเรน ปวตฺตา วิมติเจฺฉทนี กถาฯ สุฎฺฐุนิปุโณ สโณฺห วินิจฺฉโย เอเตสนฺติ สุนิปุณวินิจฺฉยาฯ อถ วา วินิจฺฉิโนตีติ วินิจฺฉโย วุตฺตปฺปการวิสยํ ญาณํฯ สุฎฺฐุ นิปุโณ เฉโก วินิจฺฉโย เอเตสนฺติ โยเชตพฺพํฯ เอเตน มหากสฺสปาทิเถรปรมฺปราคโต, ตโต เอว จ อวิปรีโต สโณฺห สุขุโม มหาวิหารวาสีนํ วินิจฺฉโย, ตสฺส ปมาณภูตตํ ทเสฺสติฯ

    9.Samayaṃ avilomentoti siddhantaṃ avirodhento. Etena atthadosābhāvamāha. Aviruddhattā eva hi theravādāpi idha pakāsīyissanti. Theravaṃsadīpānanti thirehi sīlakkhandhādīhi samannāgatattā therā, mahākassapādayo. Tehi āgatā ācariyaparamparā theravaṃso, tappariyāpannā hutvā āgamādhigamasampannattā paññāpajjotena tassa samujjalanato theravaṃsadīpā, mahāvihāravāsino, tesaṃ. Vividhehi ākārehi nicchīyatīti vinicchayo, gaṇṭhiṭṭhānesu khilamaddanākārena pavattā vimaticchedanī kathā. Suṭṭhunipuṇo saṇho vinicchayo etesanti sunipuṇavinicchayā. Atha vā vinicchinotīti vinicchayo vuttappakāravisayaṃ ñāṇaṃ. Suṭṭhu nipuṇo cheko vinicchayo etesanti yojetabbaṃ. Etena mahākassapāditheraparamparāgato, tato eva ca aviparīto saṇho sukhumo mahāvihāravāsīnaṃ vinicchayo, tassa pamāṇabhūtataṃ dasseti.

    ๑๐. สุชนสฺส จาติ -สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถฯ เตน ‘‘น เกวลํ ชมฺพุทีปวาสีนเมว อตฺถาย , อถ โข สาธุชนโตสนตฺถญฺจา’’ติ ทเสฺสติฯ เตน จ ‘‘ตมฺพปณฺณิทีปวาสีนมฺปิ อตฺถายา’’ติ อยมโตฺถ สิโทฺธ โหติ อุคฺคหณาทิสุกรตาย เตสมฺปิ พหุการตฺตาฯ จิรฎฺฐิตตฺถนฺติ จิรฎฺฐิติอตฺถํ, จิรกาลปฺปวตฺตนายาติ อโตฺถฯ อิทญฺหิ อตฺถปฺปกาสนํ อวิปรีตปทพฺยญฺชนสุนิเกฺขปสฺส อตฺถสุนยสฺส จ อุปายภาวโต สทฺธมฺมสฺส จิรฎฺฐิติยา ปวตฺตติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส ฐิติยา อสโมฺมสาย อนนฺตรธานาย สํวตฺตนฺติฯ กตเม เทฺว? สุนิกฺขิตฺตญฺจ ปทพฺยญฺชนํ อโตฺถ จ สุนีโต’’ติ (อ. นิ. ๒.๒๐)ฯ

    10.Sujanassa cāti ca-saddo sampiṇḍanattho. Tena ‘‘na kevalaṃ jambudīpavāsīnameva atthāya , atha kho sādhujanatosanatthañcā’’ti dasseti. Tena ca ‘‘tambapaṇṇidīpavāsīnampi atthāyā’’ti ayamattho siddho hoti uggahaṇādisukaratāya tesampi bahukārattā. Ciraṭṭhitatthanti ciraṭṭhitiatthaṃ, cirakālappavattanāyāti attho. Idañhi atthappakāsanaṃ aviparītapadabyañjanasunikkhepassa atthasunayassa ca upāyabhāvato saddhammassa ciraṭṭhitiyā pavattati. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘dveme, bhikkhave, dhammā saddhammassa ṭhitiyā asammosāya anantaradhānāya saṃvattanti. Katame dve? Sunikkhittañca padabyañjanaṃ attho ca sunīto’’ti (a. ni. 2.20).

    ๑๑-๑๒. ยํ อตฺถวณฺณนํ กตฺตุกาโม, ตสฺสา มหตฺตํ ปริหริตุํ ‘‘สาวตฺถิปภูตีน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ เตเนวาห – ‘‘น อิธ ภิโยฺย วิตฺถารกถํ กริสฺสามิ, น ตํ อิธ วิจารยิสฺสามี’’ติ จฯ สงฺคีตีนํ ทฺวินฺนนฺติ ทีฆมชฺฌิมนิกายานํฯ

    11-12. Yaṃ atthavaṇṇanaṃ kattukāmo, tassā mahattaṃ pariharituṃ ‘‘sāvatthipabhūtīna’’ntiādi vuttaṃ. Tenevāha – ‘‘na idha bhiyyo vitthārakathaṃ karissāmi, na taṃ idha vicārayissāmī’’ti ca. Saṅgītīnaṃ dvinnanti dīghamajjhimanikāyānaṃ.

    ๑๓. ‘‘น อิธ ภิโยฺย วิตฺถารกถํ กริสฺสามี’’ติ สามญฺญโต วุตฺตสฺส อตฺถสฺส อวสฺสยํ ทเสฺสตุํ ‘‘สุตฺตานํ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    13. ‘‘Na idha bhiyyo vitthārakathaṃ karissāmī’’ti sāmaññato vuttassa atthassa avassayaṃ dassetuṃ ‘‘suttānaṃ panā’’tiādi vuttaṃ.

    ๑๔. ยํ อฎฺฐกถํ กตฺตุกาโม, ตเทกเทสภาเวน วิสุทฺธิมโคฺค คเหตโพฺพติ กถิกานํ อุปเทสํ กโรโนฺต ตตฺต วิจาริตธเมฺม อุเทฺทสวเสน ทเสฺสติ ‘‘สีลกถา’’ติอาทินาฯ ตตฺถ สีลกถาติ จาริตฺตวาริตฺตาทิวเสน สีลสฺส วิตฺถารกถาฯ ธุตธมฺมาติ ปิณฺฑปาติกงฺคาทโย เตรส กิเลสธุนนกธมฺมาฯ กมฺมฎฺฐานานิ สพฺพานีติ ปาฬิยํ อาคตานิ อฎฺฐตฺติํส, อฎฺฐกถายํ เทฺวติ นิรวเสสานิ โยคกมฺมสฺส ภาวนาย ปวตฺติฎฺฐานานิฯ จริยาวิธานสหิโตติ ราคจริยาทีนํ สภาคาทิวิธาเนน สหิโตฯ ฌานานิ จตฺตาริ รูปาวจรชฺฌานานิ, สมาปตฺติโย จตโสฺส อรูปสมาปตฺติโยฯ อฎฺฐปิ วา ปฎิลทฺธมตฺตานิ ฌานานิ, สมาปชฺชนวสิภาวปฺปตฺติยา สมาปตฺติโยฯ ฌานานิ วา รูปารูปาวจรชฺฌานานิ, สมาปตฺติโย ผลสมาปตฺตินิโรธสมาปตฺติโยฯ

    14. Yaṃ aṭṭhakathaṃ kattukāmo, tadekadesabhāvena visuddhimaggo gahetabboti kathikānaṃ upadesaṃ karonto tatta vicāritadhamme uddesavasena dasseti ‘‘sīlakathā’’tiādinā. Tattha sīlakathāti cārittavārittādivasena sīlassa vitthārakathā. Dhutadhammāti piṇḍapātikaṅgādayo terasa kilesadhunanakadhammā. Kammaṭṭhānāni sabbānīti pāḷiyaṃ āgatāni aṭṭhattiṃsa, aṭṭhakathāyaṃ dveti niravasesāni yogakammassa bhāvanāya pavattiṭṭhānāni. Cariyāvidhānasahitoti rāgacariyādīnaṃ sabhāgādividhānena sahito. Jhānāni cattāri rūpāvacarajjhānāni, samāpattiyo catasso arūpasamāpattiyo. Aṭṭhapi vā paṭiladdhamattāni jhānāni, samāpajjanavasibhāvappattiyā samāpattiyo. Jhānāni vā rūpārūpāvacarajjhānāni, samāpattiyo phalasamāpattinirodhasamāpattiyo.

    ๑๕. โลกิยโลกุตฺตรเภทา ฉ อภิญฺญาโย สพฺพา อภิญฺญาโยฯ ญาณวิภงฺคาทีสุ อาคตนเยน เอกวิธาทินา ปญฺญาย สงฺกเลตฺวา สมฺปิเณฺฑตฺวา นิจฺฉโย ปญฺญาสงฺกลนนิจฺฉโย

    15. Lokiyalokuttarabhedā cha abhiññāyo sabbā abhiññāyo. Ñāṇavibhaṅgādīsu āgatanayena ekavidhādinā paññāya saṅkaletvā sampiṇḍetvā nicchayo paññāsaṅkalananicchayo.

    ๑๖. ปจฺจยธมฺมานํ เหตุอาทีนํ ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมานํ เหตุปจฺจยาทิภาโว ปจฺจยากาโร, ตสฺส เทสนา ปจฺจยาการเทสนา, ปฎิจฺจสมุปฺปาทกถาติ อโตฺถฯ สา ปน นิกายนฺตรลทฺธิสงฺกรรหิตตาย สุฎฺฐุปริสุทฺธา, ฆนวินิโพฺภคสฺส จ สุทุกฺกรตาย นิปุณา สณฺหสุขุมา, เอกตฺตนยาทิสหิตา จ ตตฺถ วิจาริตาติ อาห ‘‘สุปริสุทฺธนิปุณนยา’’ติฯ ปฎิสมฺภิทาทีสุ อาคตนยํ อวิสเชฺชตฺวาว วิจาริตตฺตา อวิมุตฺตตนฺติมคฺคา

    16. Paccayadhammānaṃ hetuādīnaṃ paccayuppannadhammānaṃ hetupaccayādibhāvo paccayākāro, tassa desanā paccayākāradesanā, paṭiccasamuppādakathāti attho. Sā pana nikāyantaraladdhisaṅkararahitatāya suṭṭhuparisuddhā, ghanavinibbhogassa ca sudukkaratāya nipuṇā saṇhasukhumā, ekattanayādisahitā ca tattha vicāritāti āha ‘‘suparisuddhanipuṇanayā’’ti. Paṭisambhidādīsu āgatanayaṃ avisajjetvāva vicāritattā avimuttatantimaggā.

    ๑๗. อิติ ปน สพฺพนฺติ อิติ-สโทฺท ปริสมาปเน, ปน-สโทฺท วจนาลงฺกาเร, เอตํ สพฺพนฺติ อโตฺถฯ อิธาติ อิมิสฺสา อฎฺฐกถายฯ น ตํ วิจารยิสฺสามิ ปุนรุตฺติภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ

    17.Iti pana sabbanti iti-saddo parisamāpane, pana-saddo vacanālaṅkāre, etaṃ sabbanti attho. Idhāti imissā aṭṭhakathāya. Na taṃ vicārayissāmi punaruttibhāvatoti adhippāyo.

    ๑๘. อิทานิ ตเสฺสว อวิจารณสฺส เอกนฺตการณํ นิทฺธาเรโนฺต ‘‘มเชฺฌ วิสุทฺธิมโคฺค’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ‘‘มเชฺฌ ฐตฺวา’’ติ เอเตน มชฺฌฎฺฐภาวทีปเนน วิเสสโต จตุนฺนํ อาคมานํ สาธารณฎฺฐกถา วิสุทฺธิมโคฺค, น สุมงฺคลวิลาสินิอาทโย วิย อสาธารณฎฺฐกถาติ ทเสฺสติฯ ‘‘วิเสสโต’’ติ จ อิทํ วินยาภิธมฺมานมฺปิ วิสุทฺธิมโคฺค ยถารหํ อตฺถวณฺณนา โหติ เอวาติ กตฺวา วุตฺตํฯ

    18. Idāni tasseva avicāraṇassa ekantakāraṇaṃ niddhārento ‘‘majjhe visuddhimaggo’’tiādimāha. Tattha ‘‘majjhe ṭhatvā’’ti etena majjhaṭṭhabhāvadīpanena visesato catunnaṃ āgamānaṃ sādhāraṇaṭṭhakathā visuddhimaggo, na sumaṅgalavilāsiniādayo viya asādhāraṇaṭṭhakathāti dasseti. ‘‘Visesato’’ti ca idaṃ vinayābhidhammānampi visuddhimaggo yathārahaṃ atthavaṇṇanā hoti evāti katvā vuttaṃ.

    ๑๙. อิเจฺจวาติ อิติ เอวฯ ตมฺปีติ วิสุทฺธิมคฺคมฺปิฯ เอตายาติ สารตฺถปฺปกาสินิยาฯ

    19.Iccevāti iti eva. Tampīti visuddhimaggampi. Etāyāti sāratthappakāsiniyā.

    เอตฺถ จ ‘‘สีหฬทีปํ อาภตา’’ติอาทินา อฎฺฐกถากรณสฺส นิมิตฺตํ ทเสฺสติ, ‘‘ทีปวาสีนมตฺถาย สุชนสฺส จ ตุฎฺฐตฺถํ จิรฎฺฐิตตฺถญฺจ ธมฺมสฺสา’’ติ เอเตหิ ปโยชนํ, ‘‘สํยุตฺตาคมวรสฺส อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ เอเตน ปิณฺฑตฺถํ, ‘‘อปเนตฺวาน ตโตหํ สีหฬภาส’’นฺติอาทินา ‘‘สาวตฺถิปภูตีน’’นฺติอาทินา ‘‘สีลกถา’’ติอาทินา จ กรณปฺปการํฯ เหฎฺฐิมนิกาเยสุ วิสุทฺธิมเคฺค จ วิจาริตานํ อตฺถานํ อวิจารณมฺปิ หิ อิธ กรณปฺปกาโร เอวาติฯ

    Ettha ca ‘‘sīhaḷadīpaṃ ābhatā’’tiādinā aṭṭhakathākaraṇassa nimittaṃ dasseti, ‘‘dīpavāsīnamatthāya sujanassa ca tuṭṭhatthaṃ ciraṭṭhitatthañca dhammassā’’ti etehi payojanaṃ, ‘‘saṃyuttāgamavarassa atthaṃ pakāsayissāmī’’ti etena piṇḍatthaṃ, ‘‘apanetvāna tatohaṃ sīhaḷabhāsa’’ntiādinā ‘‘sāvatthipabhūtīna’’ntiādinā ‘‘sīlakathā’’tiādinā ca karaṇappakāraṃ. Heṭṭhimanikāyesu visuddhimagge ca vicāritānaṃ atthānaṃ avicāraṇampi hi idha karaṇappakāro evāti.

    คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ganthārambhakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑. เทวตาสํยุตฺตํ

    1. Devatāsaṃyuttaṃ

    ๑. นฬวโคฺค

    1. Naḷavaggo

    ๑. โอฆตรณสุตฺตวณฺณนา

    1. Oghataraṇasuttavaṇṇanā

    วิภาควนฺตานํ สภาววิภาวนํ วิภาคทสฺสนวเสเนว โหตีติ ปฐมํ ตาว สํยุตฺตวคฺคสุตฺตาทิวเสน สํยุตฺตาคมสฺส วิภาคํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ สํยุตฺตาคโม นามา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตตฺถาติ ยํ วุตฺตํ – ‘‘สํยุตฺตาคมวรสฺส อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ, ตสฺมิํ วจเนฯ ตตฺถาติ วา ‘‘เอตาย อฎฺฐกถาย วิชานาถ สํยุตฺตนิสฺสิตํ อตฺถ’’นฺติ เอตฺถ ยํ สํยุตฺตคฺคหณํ กตํ, ตตฺถฯ ปญฺจ วคฺคา เอตสฺสาติ ปญฺจวโคฺคฯ อวยเวน วิคฺคโห, สมุทาโย สมาสโตฺถฯ

    Vibhāgavantānaṃ sabhāvavibhāvanaṃ vibhāgadassanavaseneva hotīti paṭhamaṃ tāva saṃyuttavaggasuttādivasena saṃyuttāgamassa vibhāgaṃ dassetuṃ ‘‘tattha saṃyuttāgamo nāmā’’tiādimāha. Tattha tatthāti yaṃ vuttaṃ – ‘‘saṃyuttāgamavarassa atthaṃ pakāsayissāmī’’ti, tasmiṃ vacane. Tatthāti vā ‘‘etāya aṭṭhakathāya vijānātha saṃyuttanissitaṃ attha’’nti ettha yaṃ saṃyuttaggahaṇaṃ kataṃ, tattha. Pañca vaggā etassāti pañcavaggo. Avayavena viggaho, samudāyo samāsattho.

    อิทานิ ตํ อาทิโต ปฎฺฐาย สํวเณฺณตุกาโม อตฺตโน สํวณฺณนาย ตสฺส ปฐมมหาสงฺคีติยํ นิกฺขิตฺตานุกฺกเมเนว ปวตฺตภาวํ ทเสฺสตุํ, ‘‘ตสฺส วเคฺคสุ สคาถาวโคฺค อาที’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยถาปจฺจยํ ตตฺถ ตตฺถ เทสิตตฺตา ปญฺญตฺตตฺตา จ วิปฺปกิณฺณานํ ธมฺมวินยานํ สงฺคเหตฺวา คายนํ กถนํ สงฺคีติ, มหาวิสยตฺตา ปูชนิยตฺตา จ มหตี สงฺคีติ มหาสงฺคีติฯ ปฐมา มหาสงฺคีติ ปฐมมหาสงฺคีติ, ตสฺสา ปวตฺติตกาโล ปฐมมหาสงฺคีติกาโล, ตสฺมิํ ปฐมมหาสงฺคีติกาเลฯ

    Idāni taṃ ādito paṭṭhāya saṃvaṇṇetukāmo attano saṃvaṇṇanāya tassa paṭhamamahāsaṅgītiyaṃ nikkhittānukkameneva pavattabhāvaṃ dassetuṃ, ‘‘tassa vaggesu sagāthāvaggo ādī’’tiādi vuttaṃ. Tattha yathāpaccayaṃ tattha tattha desitattā paññattattā ca vippakiṇṇānaṃ dhammavinayānaṃ saṅgahetvā gāyanaṃ kathanaṃ saṅgīti, mahāvisayattā pūjaniyattā ca mahatī saṅgīti mahāsaṅgīti. Paṭhamā mahāsaṅgīti paṭhamamahāsaṅgīti, tassā pavattitakālo paṭhamamahāsaṅgītikālo, tasmiṃ paṭhamamahāsaṅgītikāle.

    นิททาติ เทสนํ เทสกาลาทิวเสน อวิทิตํ วิทิตํ กตฺวา นิทเสฺสตีติ นิทานํฯ โย โลเก คนฺถสฺส อุโปคฺฆาโตติ วุจฺจติ, สฺวายเมตฺถ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ-อาทิโก คโนฺถ เวทิตโพฺพ, น ปน ‘‘สนิทานาหํ, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสมี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๑๒๖) วิย อตฺตชฺฌาสยาทิเทสนุปฺปตฺติเหตุฯ เตเนวาห – ‘‘เอวํ เม สุตนฺติ-อาทิกํ อายสฺมตา อานเนฺทน ปฐมมหาสงฺคีติกาเล วุตฺตํ นิทานมาที’’ติฯ กามเญฺจตฺถ ยสฺสํ ปฐมมหาสงฺคีติยํ นิกฺขิตฺตานุกฺกเมน สํวณฺณนํ กตฺตุกาโม, สา วิตฺถารโต วตฺตพฺพา, สุมงฺคลวิลาสินิยํ ปน อตฺตนา วิตฺถาริตตฺตา ตเตฺถว คเหตพฺพาติ อิมิสฺสา สํวณฺณนาย มหตฺตํ ปริหรโนฺต ‘‘สา ปเนสา’’ติอาทิมาหฯ

    Nidadāti desanaṃ desakālādivasena aviditaṃ viditaṃ katvā nidassetīti nidānaṃ. Yo loke ganthassa upogghātoti vuccati, svāyamettha ‘‘evaṃ me suta’’nti-ādiko gantho veditabbo, na pana ‘‘sanidānāhaṃ, bhikkhave, dhammaṃ desemī’’tiādīsu (a. ni. 3.126) viya attajjhāsayādidesanuppattihetu. Tenevāha – ‘‘evaṃ me sutanti-ādikaṃ āyasmatā ānandena paṭhamamahāsaṅgītikāle vuttaṃ nidānamādī’’ti. Kāmañcettha yassaṃ paṭhamamahāsaṅgītiyaṃ nikkhittānukkamena saṃvaṇṇanaṃ kattukāmo, sā vitthārato vattabbā, sumaṅgalavilāsiniyaṃ pana attanā vitthāritattā tattheva gahetabbāti imissā saṃvaṇṇanāya mahattaṃ pariharanto ‘‘sā panesā’’tiādimāha.

    . เอวํ พาหิรนิทาเน วตฺตพฺพํ อติทิสิตฺวา อิทานิ อพฺภนฺตรนิทานํ อาทิโต ปฎฺฐาย สํวเณฺณตุํ ‘‘ยํ ปเนต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยสฺมา สํวณฺณนํ กโรเนฺตน สํวเณฺณตเพฺพ ธเมฺม ปทวิภาคํ ปทตฺถญฺจ ทเสฺสตฺวา ตโต ปรํ ปิณฺฑตฺถาทิทสฺสนวเสน สํวณฺณนา กาตพฺพา, ตสฺมา ปทานิ ตาว ทเสฺสโนฺต ‘‘เอวนฺติ นิปาตปท’’นฺติ-อาทิมาหฯ ตตฺถ ปทวิภาโคติ ปทานํ วิเสโส, น ปทวิคฺคโหฯ อถ วา ปทานิ จ ปทวิภาโค จ ปทวิภาโคฯ ปทวิคฺคโห จ ปทวิภาโค จ ปทวิภาโคติ วา เอกเสสวเสน ปทปทวิคฺคหา ปทวิภาคสเทฺทน วุตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ปทวิคฺคโห ‘‘เชตสฺส วนํ เชตวน’’นฺติอาทินา สมาสปเทสุ ทฎฺฐโพฺพฯ

    1. Evaṃ bāhiranidāne vattabbaṃ atidisitvā idāni abbhantaranidānaṃ ādito paṭṭhāya saṃvaṇṇetuṃ ‘‘yaṃ paneta’’ntiādi vuttaṃ. Tattha yasmā saṃvaṇṇanaṃ karontena saṃvaṇṇetabbe dhamme padavibhāgaṃ padatthañca dassetvā tato paraṃ piṇḍatthādidassanavasena saṃvaṇṇanā kātabbā, tasmā padāni tāva dassento ‘‘evanti nipātapada’’nti-ādimāha. Tattha padavibhāgoti padānaṃ viseso, na padaviggaho. Atha vā padāni ca padavibhāgo ca padavibhāgo. Padaviggaho ca padavibhāgo ca padavibhāgoti vā ekasesavasena padapadaviggahā padavibhāgasaddena vuttāti veditabbaṃ. Tattha padaviggaho ‘‘jetassa vanaṃ jetavana’’ntiādinā samāsapadesu daṭṭhabbo.

    อตฺถโตติ ปทตฺถโตฯ ตํ ปน ปทตฺถํ อตฺถุทฺธารกฺกเมน ปฐมํ เอวํสทฺทสฺส ทเสฺสโนฺต ‘‘เอวํสโทฺท ตาวา’’ติอาทิมาหฯ อวธารณาทีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อิทมตฺถปุจฺฉาปริมาณาทิอตฺถานํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา หิ ‘‘เอวํคตานิ ปุถุสิปฺปายตนานิ (ที. นิ. ๑.๑๖๓, ๑๖๕), เอวํวิโธ เอวมากาโร’’ติ จ อาทีสุ อิทํ-สทฺทสฺส อเตฺถ เอวํ-สโทฺทฯ คต-สโทฺท หิ ปการปริยาโย, ตถา วิธาการ-สโทฺท จฯ ตถา หิ คตวิธอาการสเทฺท โลกิยา ปการเตฺถ วทนฺติฯ ‘‘เอวํ สุ เต สุนฺหาตา สุวิลิตฺตา กปฺปิตเกสมสฺสู อามุตฺตมาลาภรณา โอทาตวตฺถวสนา ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิตา สมงฺคีภูตา ปริจาเรนฺติ, เสยฺยถาปิ ตฺวํ เอตรหิ สาจริยโกติฯ โน หิทํ, โภ โคตมา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๘๖) ปุจฺฉายํ, ‘‘เอวํ ลหุปริวตฺตํ (อ. นิ. ๑.๔๘), เอวมายุปริยโนฺต’’ติ (ปารา. ๑๒) จ อาทีสุ ปริมาเณฯ

    Atthatoti padatthato. Taṃ pana padatthaṃ atthuddhārakkamena paṭhamaṃ evaṃsaddassa dassento ‘‘evaṃsaddo tāvā’’tiādimāha. Avadhāraṇādīti ettha ādi-saddena idamatthapucchāparimāṇādiatthānaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Tathā hi ‘‘evaṃgatāni puthusippāyatanāni (dī. ni. 1.163, 165), evaṃvidho evamākāro’’ti ca ādīsu idaṃ-saddassa atthe evaṃ-saddo. Gata-saddo hi pakārapariyāyo, tathā vidhākāra-saddo ca. Tathā hi gatavidhaākārasadde lokiyā pakāratthe vadanti. ‘‘Evaṃ su te sunhātā suvilittā kappitakesamassū āmuttamālābharaṇā odātavatthavasanā pañcahi kāmaguṇehi samappitā samaṅgībhūtā paricārenti, seyyathāpi tvaṃ etarahi sācariyakoti. No hidaṃ, bho gotamā’’tiādīsu (dī. ni. 1.286) pucchāyaṃ, ‘‘evaṃ lahuparivattaṃ (a. ni. 1.48), evamāyupariyanto’’ti (pārā. 12) ca ādīsu parimāṇe.

    นนุ จ ‘‘เอวํ สุ เต สุนฺหาตา สุวิลิตฺตา, เอวมายุปริยโนฺต’’ติ เอตฺถ เอวํ-สเทฺทน ปุจฺฉนาการปริมาณาการานํ วุตฺตตฺตา อาการโตฺถ เอว เอวํ-สโทฺทติ? น, วิเสสสพฺภาวโตฯ อาการมตฺตวาจโก หิ เอวํ-สโทฺท, อาการโตฺถติ อธิเปฺปโต ยถา ‘‘เอวํ พฺยาโข’’ติอาทีสุ, น ปน อาการวิเสสวาจโกฯ เอวญฺจ กตฺวา, ‘‘เอวํ ชาเตน มเจฺจนา’’ติอาทีนิ (ธ. ป. ๕๓) อุปมาทีสุ อุทาหรณานิ อุปปนฺนานิ โหนฺติฯ ตถา หิ ‘‘ยถาปิ…เป.… พหุ’’นฺติ (ธ. ป. ๕๓)? เอตฺถ ปุปฺผราสิฎฺฐานิยโต มนุสฺสูปปตฺติสปฺปุริสูปนิสฺสย-สทฺธมฺมสฺสวน- โยนิโสมนสิการ-โภคสมฺปตฺติอาทิทานาทิปุญฺญกิริยเหตุสมุทายโต โสภาสุคนฺธตาทิคุณโยคโต มาลาคุฬสทิสิโย ปหูตา ปุญฺญกิริยา มริตพฺพสภาวตาย มเจฺจน สเตฺตน กตฺตพฺพาติ โชติตตฺตา ปุปฺผราสิมาลาคุฬาว อุปมา, เตสํ อุปมากาโร ยถา-สเทฺทน อนิยมโต วุโตฺตติ ‘‘เอวํ-สโทฺท อุปมาการนิคมนโตฺถ’’ติ วตฺถุํ ยุตฺตํ, โส ปน อุปมากาโร นิยมิยมาโน อตฺถโต อุปมาว โหตีติ อาห ‘‘อุปมายํ อาคโต’’ติฯ ตถา ‘‘เอวํ อิมินา อากาเรน อภิกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทินา อุปทิสิยมานาย สมณสารุปฺปาย อากปฺปสมฺปตฺติยา โย ตตฺถ อุปทิสนากาโร, โส อตฺถโต อุปเทโส เอวาติ วุตฺตํ, ‘‘เอวํ เต…เป.… อุปเทเส’’ติฯ ตถา ‘‘เอวเมตํ ภควา, เอวเมตํ สุคตา’’ติ เอตฺถ จ ภควตา ยถาวุตฺตมตฺถํ อวิปรีตโต ชานเนฺตหิ กตํ ตตฺถ สํวิชฺชมานคุณานํ ปกาเรหิ หํสนํ อุทคฺคตากรณํ สมฺปหํสนํฯ โย ตตฺถ สมฺปหํสนากาโรติ โยเชตพฺพํฯ

    Nanu ca ‘‘evaṃ su te sunhātā suvilittā, evamāyupariyanto’’ti ettha evaṃ-saddena pucchanākāraparimāṇākārānaṃ vuttattā ākārattho eva evaṃ-saddoti? Na, visesasabbhāvato. Ākāramattavācako hi evaṃ-saddo, ākāratthoti adhippeto yathā ‘‘evaṃ byākho’’tiādīsu, na pana ākāravisesavācako. Evañca katvā, ‘‘evaṃ jātena maccenā’’tiādīni (dha. pa. 53) upamādīsu udāharaṇāni upapannāni honti. Tathā hi ‘‘yathāpi…pe… bahu’’nti (dha. pa. 53)? Ettha puppharāsiṭṭhāniyato manussūpapattisappurisūpanissaya-saddhammassavana- yonisomanasikāra-bhogasampattiādidānādipuññakiriyahetusamudāyato sobhāsugandhatādiguṇayogato mālāguḷasadisiyo pahūtā puññakiriyā maritabbasabhāvatāya maccena sattena kattabbāti jotitattā puppharāsimālāguḷāva upamā, tesaṃ upamākāro yathā-saddena aniyamato vuttoti ‘‘evaṃ-saddo upamākāranigamanattho’’ti vatthuṃ yuttaṃ, so pana upamākāro niyamiyamāno atthato upamāva hotīti āha ‘‘upamāyaṃ āgato’’ti. Tathā ‘‘evaṃ iminā ākārena abhikkamitabba’’ntiādinā upadisiyamānāya samaṇasāruppāya ākappasampattiyā yo tattha upadisanākāro, so atthato upadeso evāti vuttaṃ, ‘‘evaṃ te…pe… upadese’’ti. Tathā ‘‘evametaṃ bhagavā, evametaṃ sugatā’’ti ettha ca bhagavatā yathāvuttamatthaṃ aviparītato jānantehi kataṃ tattha saṃvijjamānaguṇānaṃ pakārehi haṃsanaṃ udaggatākaraṇaṃ sampahaṃsanaṃ. Yo tattha sampahaṃsanākāroti yojetabbaṃ.

    เอวเมวํ ปนายนฺติ เอตฺถ ครหณากาโรติ โยเชตพฺพํ, โส จ ครหณากาโร วสลีติ-อาทิขุํสนสทฺทสนฺนิธานโต อิธ เอวํ-สเทฺทน ปกาสิโตติ วิญฺญายติฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ อุปมาการาทโยปิ อุปมาทิวเสน วุตฺตานํ ปุปฺผราสิอาทิสทฺทานํ สนฺนิธานโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอวํ, ภเนฺตติ ปน ธมฺมสฺส สาธุกํ สวนมนสิกาเร สนฺนิโยชิเตหิ ภิกฺขูหิ อตฺตโน ตตฺถ ฐิตภาวสฺส ปฎิชานนวเสน วุตฺตตฺตา เอตฺถ เอวํ-สโทฺท ‘‘วจนสมฺปฎิจฺฉนโตฺถ’’ติ วุโตฺตฯ เตน เอวํ, ภเนฺตติ สาธุ, ภเนฺต, สุฎฺฐุ, ภเนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ เอวญฺจ วเทหีติ ยถาหํ วทามิ, เอวํ สมณํ อานนฺทํ วเทหีติ โย เอวํ วทนากาโร อิทานิ วตฺตโพฺพ, โส เอวํ-สเทฺทน นิทสฺสียตีติ ‘‘นิทสฺสนโตฺถ’’ติ วุโตฺตติฯ เอวํ โนติ เอตฺถาปิ เนสํ ยถาวุตฺตธมฺมานํ อหิตทุกฺขาวหภาเว สนฺนิฎฺฐานชนนตฺถํ อนุมติคหณวเสน ‘‘สํวตฺตนฺติ วา โน วา, กถํ โว เอตฺถ โหตี’’ติ ปุจฺฉาย กตาย ‘‘เอวํ โน เอตฺถ โหตี’’ติ วุตฺตตฺตา ตทาการสนฺนิฎฺฐานํ เอวํ-สเทฺทน วิภาวิตนฺติ วิญฺญายติฯ โส ปน เตสํ ธมฺมานํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนากาโร นิยมิยมาโน อวธารณโตฺถ โหตีติ อาห – ‘‘เอวํ โน เอตฺถ โหตีติอาทีสุ อวธารเณ’’ติฯ

    Evamevaṃ panāyanti ettha garahaṇākāroti yojetabbaṃ, so ca garahaṇākāro vasalīti-ādikhuṃsanasaddasannidhānato idha evaṃ-saddena pakāsitoti viññāyati. Yathā cettha, evaṃ upamākārādayopi upamādivasena vuttānaṃ puppharāsiādisaddānaṃ sannidhānatoti daṭṭhabbaṃ. Evaṃ, bhanteti pana dhammassa sādhukaṃ savanamanasikāre sanniyojitehi bhikkhūhi attano tattha ṭhitabhāvassa paṭijānanavasena vuttattā ettha evaṃ-saddo ‘‘vacanasampaṭicchanattho’’ti vutto. Tena evaṃ, bhanteti sādhu, bhante, suṭṭhu, bhanteti vuttaṃ hoti. Evañca vadehīti yathāhaṃ vadāmi, evaṃ samaṇaṃ ānandaṃ vadehīti yo evaṃ vadanākāro idāni vattabbo, so evaṃ-saddena nidassīyatīti ‘‘nidassanattho’’ti vuttoti. Evaṃ noti etthāpi nesaṃ yathāvuttadhammānaṃ ahitadukkhāvahabhāve sanniṭṭhānajananatthaṃ anumatigahaṇavasena ‘‘saṃvattanti vā no vā, kathaṃ vo ettha hotī’’ti pucchāya katāya ‘‘evaṃ no ettha hotī’’ti vuttattā tadākārasanniṭṭhānaṃ evaṃ-saddena vibhāvitanti viññāyati. So pana tesaṃ dhammānaṃ ahitāya dukkhāya saṃvattanākāro niyamiyamāno avadhāraṇattho hotīti āha – ‘‘evaṃ no ettha hotītiādīsu avadhāraṇe’’ti.

    นานานยนิปุณนฺติ เอกตฺตนานตฺตอพฺยาปารเอวํธมฺมตาสงฺขาตา, นนฺทิยาวฎฺฎติปุกฺขลสีหวิกฺกีฬิตองฺกุสทิสาโลจนสงฺขาตา วา อาธาราทิเภทวเสน นานาวิธา นยา นานานยาฯ นยา วา ปาฬิคติโย ตา จ ปญฺญตฺติอนุปญฺญตฺติอาทิวเสน สํกิเลสภาคิยาทิโลกิยาทิตทุภยโวมิสฺสกาทิวเสน กุสลาทิวเสน ขนฺธาทิวเสน สงฺคหาทิวเสน สมยวิมุตฺตาทิวเสน ฐปนาทิวเสน กุสลมูลาทิวเสน ติกปฺปฎฺฐานาทิวเสน จ นานปฺปการาติ นานานยา, เตหิ นิปุณํ สณฺหํ สุขุมนฺติ นานานยนิปุณํฯ อาสโยว อชฺฌาสโย, เต จ สสฺสตาทิเภเทน ตตฺถ จ อปฺปรชกฺขตาทิเภเทน อเนเก, อตฺตชฺฌาสยาทโย เอว วา สมุฎฺฐานํ อุปฺปตฺติเหตุ เอตสฺสาติ อเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํอตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนนฺติ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณํ อุปเนตพฺพาภาวโต, สงฺกาสนปกาสนวิวรณวิภชนอุตฺตานีกรณปญฺญตฺติวเสน ฉหิ อตฺถปเทหิ อกฺขรปทพฺยญฺชนาการนิรุตฺตินิเทฺทสวเสน ฉหิ พฺยญฺชนปเทหิ จ สมนฺนาคตนฺติ วา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Nānānayanipuṇanti ekattanānattaabyāpāraevaṃdhammatāsaṅkhātā, nandiyāvaṭṭatipukkhalasīhavikkīḷitaaṅkusadisālocanasaṅkhātā vā ādhārādibhedavasena nānāvidhā nayā nānānayā. Nayā vā pāḷigatiyo tā ca paññattianupaññattiādivasena saṃkilesabhāgiyādilokiyāditadubhayavomissakādivasena kusalādivasena khandhādivasena saṅgahādivasena samayavimuttādivasena ṭhapanādivasena kusalamūlādivasena tikappaṭṭhānādivasena ca nānappakārāti nānānayā, tehi nipuṇaṃ saṇhaṃ sukhumanti nānānayanipuṇaṃ. Āsayova ajjhāsayo, te ca sassatādibhedena tattha ca apparajakkhatādibhedena aneke, attajjhāsayādayo eva vā samuṭṭhānaṃ uppattihetu etassāti anekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ. Atthabyañjanasampannanti atthabyañjanaparipuṇṇaṃ upanetabbābhāvato, saṅkāsanapakāsanavivaraṇavibhajanauttānīkaraṇapaññattivasena chahi atthapadehi akkharapadabyañjanākāraniruttiniddesavasena chahi byañjanapadehi ca samannāgatanti vā attho daṭṭhabbo.

    วิวิธปาฎิหาริยนฺติ เอตฺถ ปาฎิหาริยปทสฺส วจนตฺถํ (อุทา. อฎฺฐ. ๑; อิติวุ. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา; ธ. ส. มูลฎี. ๒) ‘‘ปฎิปกฺขหรณโต ราคาทิกิเลสาปนยนโต ปาฎิหาริย’’นฺติ วทนฺติฯ ภควโต ปน ปฎิปกฺขา ราคาทโย น สนฺติ เย หริตพฺพา, ปุถุชฺชนานมฺปิ วิคตูปกฺกิเลเส อฎฺฐคุณสมนฺนาคเต จิเตฺต หตปฎิปเกฺข อิทฺธิวิธํ ปวตฺตติ, ตสฺมา ตตฺถ ปวตฺตโวหาเรน จ น สกฺกา อิธ ‘‘ปาฎิหาริย’’นฺติ วตฺตุํฯ สเจ ปน มหาการุณิกสฺส ภควโต เวเนยฺยคตา จ กิเลสา ปฎิปกฺขา, เตสํ หรณโต ‘‘ปาฎิหาริย’’นฺติ วุตฺตํ, เอวํ สติ ยุตฺตเมตํฯ อถ วา ภควโต จ สาสนสฺส จ ปฎิปกฺขา ติตฺถิยา, เตสํ หรณโต ปาฎิหาริยํฯ เต หิ ทิฎฺฐิหรณวเสน ทิฎฺฐิปฺปกาสเน อสมตฺถภาเวน จ อิทฺธิอาเทสนานุสาสนีหิ หริตา อปนีตา โหนฺตีติฯ ปฎีติ วา อยํ สโทฺท ‘‘ปจฺฉา’’ติ เอตสฺส อตฺถํ โพเธติ ‘‘ตสฺมิํ ปฎิปวิฎฺฐมฺหิ, อโญฺญ อาคญฺฉิ พฺราหฺมโณ’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๙๘๕; จูฬนิ. วตฺถุคาถา ๔) วิย, ตสฺมา สมาหิเต จิเตฺต วิคตูปกฺกิเลเส กตกิเจฺจน ปจฺฉาหริตพฺพํ ปวเตฺตตพฺพนฺติ ปฎิหาริยํ, อตฺตโน วา อุปกฺกิเลเสสุ จตุตฺถชฺฌานมเคฺคหิ หริเตสุ ปจฺฉา หรณํ ปฎิหาริยํ, อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิโย จ วิคตูปกฺกิเลเสน กตกิเจฺจน จ สตฺตหิตตฺถํ ปุน ปวเตฺตตพฺพา, หริเตสุ จ อตฺตโน อุปตฺติเลเสสุ ปรสตฺตานํ อุปกฺกิเลสหรณานิ โหนฺตีติ ปฎิหาริยานิ ภวนฺติ, ปฎิหาริยเมว ปาฎิหาริยํฯ ปฎิหาริเย วา อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิสมุทาเย ภวํ เอเกกํ ปาฎิหาริยนฺติ วุจฺจติฯ ปฎิหาริยํ วา จตุตฺถชฺฌานํ มโคฺค จ ปฎิปกฺขหรณโต, ตตฺถ ชาตํ, ตสฺมิํ วา นิมิตฺตภูเต, ตโต วา อาคตนฺติ ปาฎิหาริยํฯ ตสฺส ปน อิทฺธิอาทิเภเทน วิสยเภเทน จ พหุวิธสฺส ภควโต เทสนายํ ลพฺภมานตฺตา อาห ‘‘วิวิธปาฎิหาริย’’นฺติฯ

    Vividhapāṭihāriyanti ettha pāṭihāriyapadassa vacanatthaṃ (udā. aṭṭha. 1; itivu. aṭṭha. nidānavaṇṇanā; dha. sa. mūlaṭī. 2) ‘‘paṭipakkhaharaṇato rāgādikilesāpanayanato pāṭihāriya’’nti vadanti. Bhagavato pana paṭipakkhā rāgādayo na santi ye haritabbā, puthujjanānampi vigatūpakkilese aṭṭhaguṇasamannāgate citte hatapaṭipakkhe iddhividhaṃ pavattati, tasmā tattha pavattavohārena ca na sakkā idha ‘‘pāṭihāriya’’nti vattuṃ. Sace pana mahākāruṇikassa bhagavato veneyyagatā ca kilesā paṭipakkhā, tesaṃ haraṇato ‘‘pāṭihāriya’’nti vuttaṃ, evaṃ sati yuttametaṃ. Atha vā bhagavato ca sāsanassa ca paṭipakkhā titthiyā, tesaṃ haraṇato pāṭihāriyaṃ. Te hi diṭṭhiharaṇavasena diṭṭhippakāsane asamatthabhāvena ca iddhiādesanānusāsanīhi haritā apanītā hontīti. Paṭīti vā ayaṃ saddo ‘‘pacchā’’ti etassa atthaṃ bodheti ‘‘tasmiṃ paṭipaviṭṭhamhi, añño āgañchi brāhmaṇo’’tiādīsu (su. ni. 985; cūḷani. vatthugāthā 4) viya, tasmā samāhite citte vigatūpakkilese katakiccena pacchāharitabbaṃ pavattetabbanti paṭihāriyaṃ, attano vā upakkilesesu catutthajjhānamaggehi haritesu pacchā haraṇaṃ paṭihāriyaṃ, iddhiādesanānusāsaniyo ca vigatūpakkilesena katakiccena ca sattahitatthaṃ puna pavattetabbā, haritesu ca attano upattilesesu parasattānaṃ upakkilesaharaṇāni hontīti paṭihāriyāni bhavanti, paṭihāriyameva pāṭihāriyaṃ. Paṭihāriye vā iddhiādesanānusāsanisamudāye bhavaṃ ekekaṃ pāṭihāriyanti vuccati. Paṭihāriyaṃ vā catutthajjhānaṃ maggo ca paṭipakkhaharaṇato, tattha jātaṃ, tasmiṃ vā nimittabhūte, tato vā āgatanti pāṭihāriyaṃ. Tassa pana iddhiādibhedena visayabhedena ca bahuvidhassa bhagavato desanāyaṃ labbhamānattā āha ‘‘vividhapāṭihāriya’’nti.

    น อญฺญถาติ ภควโต สมฺมุขา สุตาการโต น อญฺญถาติ อโตฺถ, น ปน ภควโต เทสิตาการโตฯ อจิเนฺตยฺยานุภาวา หิ ภควโต เทสนาฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘สพฺพปฺปกาเรน โก สมโตฺถ วิญฺญาตุ’’นฺติ อิทํ วจนํ สมตฺถิตํ ภวติ, ธารณพลทสฺสนญฺจ น วิรุชฺฌติ สุตาการอวิรชฺฌนสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ น เหตฺถ อตฺถนฺตรตาปริหาโร ทฺวินฺนมฺปิ อตฺถานํ เอกวิสยตฺตาฯ อิตรถา เถโร ภควโต เทสนาย สพฺพถา ปฎิคฺคหเณ สมโตฺถ อสมโตฺถ จาติ อาปเชฺชยฺยาติฯ

    Na aññathāti bhagavato sammukhā sutākārato na aññathāti attho, na pana bhagavato desitākārato. Acinteyyānubhāvā hi bhagavato desanā. Evañca katvā ‘‘sabbappakārena ko samattho viññātu’’nti idaṃ vacanaṃ samatthitaṃ bhavati, dhāraṇabaladassanañca na virujjhati sutākāraavirajjhanassa adhippetattā. Na hettha atthantaratāparihāro dvinnampi atthānaṃ ekavisayattā. Itarathā thero bhagavato desanāya sabbathā paṭiggahaṇe samattho asamattho cāti āpajjeyyāti.

    ‘‘โย ปโร น โหติ, โส อตฺตา’’ติ เอวํ วุตฺตาย นิยกชฺฌตฺตสงฺขาตาย สสนฺตติยา วตฺตนโต ติวิโธปิ เม-สโทฺท กิญฺจาปิ เอกสฺมิํ เอว อเตฺถ ทิสฺสติ, กรณสมฺปทานสามินิเทฺทสวเสน ปน วิชฺชมานํ เภทํ สนฺธายาห, ‘‘เม-สโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสตี’’ติฯ

    ‘‘Yo paro na hoti, so attā’’ti evaṃ vuttāya niyakajjhattasaṅkhātāya sasantatiyā vattanato tividhopi me-saddo kiñcāpi ekasmiṃ eva atthe dissati, karaṇasampadānasāminiddesavasena pana vijjamānaṃ bhedaṃ sandhāyāha, ‘‘me-saddo tīsu atthesu dissatī’’ti.

    กิญฺจาปิ อุปสโคฺค กิริยํ วิเสเสติ, โชตกภาวโต ปน สติปิ ตสฺมิํ สุต-สโทฺท เอว ตํ ตํ อตฺตํ วทตีติ อนุปสคฺคสฺส สุต-สทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเร สอุปสคฺคสฺส คหณํ น วิรุชฺฌตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สอุปสโคฺค อนุปสโคฺค จา’’ติอาทิมาหฯ อสฺสาติ สุต-สทฺทสฺสฯ กมฺมภาวสาธนานิ อิธ สุตสเทฺท สมฺภวนฺตีติ วุตฺตํ ‘‘อุปธาริตนฺติ วา อุปธารณนฺติ วา อโตฺถ’’ติฯ มยาติ อเตฺถ สตีติ ยทา เม-สทฺทสฺส กตฺตุวเสน กรณนิเทฺทโส, ตทาติ อโตฺถฯ มมาติ อเตฺถ สตีติ ยทา สมฺพนฺธวเสน สามินิเทฺทโส, ตทาฯ

    Kiñcāpi upasaggo kiriyaṃ viseseti, jotakabhāvato pana satipi tasmiṃ suta-saddo eva taṃ taṃ attaṃ vadatīti anupasaggassa suta-saddassa atthuddhāre saupasaggassa gahaṇaṃ na virujjhatīti dassento ‘‘saupasaggo anupasaggo cā’’tiādimāha. Assāti suta-saddassa. Kammabhāvasādhanāni idha sutasadde sambhavantīti vuttaṃ ‘‘upadhāritanti vā upadhāraṇanti vā attho’’ti. Mayāti atthe satīti yadā me-saddassa kattuvasena karaṇaniddeso, tadāti attho. Mamāti atthe satīti yadā sambandhavasena sāminiddeso, tadā.

    สุต-สทฺทสนฺนิธาเน ปยุเตฺตน เอวํ-สเทฺทน สวนกิริยาโชตเกน ภวิตพฺพนฺติ วุตฺตํ ‘‘เอวนฺติ โสตวิญฺญาณาทิวิญฺญาณกิจฺจนิทสฺสน’’นฺติฯ อาทิ-สเทฺทน สมฺปฎิจฺฉนาทีนํ ปญฺจทฺวาริกวิญฺญาณานํ ตทภินีหฎานญฺจ มโนทฺวาริกวิญฺญาณานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ สเพฺพสมฺปิ วากฺยานํ เอวการตฺถสหิตตฺตา ‘‘สุต’’นฺติ เอตสฺส สุตเมวาติ อยมโตฺถ ลพฺภตีติ อาห ‘‘อสฺสวนภาวปฎิเกฺขปโต’’ติฯ เอเตน อวธารเณน นิราสงฺกตํ ทเสฺสติฯ ยถา จ สุตํ สุตเมวาติ นิยเมตพฺพํ, ตํ สมฺมา สุตํ โหตีติ อาห ‘‘อนูนานธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสน’’นฺติฯ อถ วา สทฺทนฺตรตฺถาโปหนวเสน สโทฺท อตฺถํ วทตีติ สุตนฺติ อสุตํ น โหตีติ อยเมตสฺส อโตฺถติ วุตฺตํ ‘‘อสฺสวนภาวปฎิเกฺขปโต’’ติฯ อิมินา ทิฎฺฐาทิวินิวตฺตนํ กโรติฯ

    Suta-saddasannidhāne payuttena evaṃ-saddena savanakiriyājotakena bhavitabbanti vuttaṃ ‘‘evanti sotaviññāṇādiviññāṇakiccanidassana’’nti. Ādi-saddena sampaṭicchanādīnaṃ pañcadvārikaviññāṇānaṃ tadabhinīhaṭānañca manodvārikaviññāṇānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Sabbesampi vākyānaṃ evakāratthasahitattā ‘‘suta’’nti etassa sutamevāti ayamattho labbhatīti āha ‘‘assavanabhāvapaṭikkhepato’’ti. Etena avadhāraṇena nirāsaṅkataṃ dasseti. Yathā ca sutaṃ sutamevāti niyametabbaṃ, taṃ sammā sutaṃ hotīti āha ‘‘anūnānadhikāviparītaggahaṇanidassana’’nti. Atha vā saddantaratthāpohanavasena saddo atthaṃ vadatīti sutanti asutaṃ na hotīti ayametassa atthoti vuttaṃ ‘‘assavanabhāvapaṭikkhepato’’ti. Iminā diṭṭhādivinivattanaṃ karoti.

    อิทํ วุตฺตํ โหติ – น อิทํ มยา ทิฎฺฐํ, น สยมฺภูญาเณน สจฺฉิกตํ, อถ โข สุตํ, ตญฺจ โข สมฺมเทวาติฯ เตเนวาห ‘‘อนูนานธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสน’’นฺติฯ อวธารณเตฺถ วา เอวํ-สเทฺท อยมตฺถโยชนา กรียตีติ ตทเปกฺขสฺส สุต-สทฺทสฺส อยมโตฺถ วุโตฺต ‘‘อสฺสวนภาวปฎิเกฺขปโต’’ติฯ เตเนวาห ‘‘อนูนานธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสน’’นฺติฯ สวนสโทฺท เจตฺถ กมฺมโตฺถ เวทิตโพฺพ ‘‘สุยฺยตี’’ติฯ

    Idaṃ vuttaṃ hoti – na idaṃ mayā diṭṭhaṃ, na sayambhūñāṇena sacchikataṃ, atha kho sutaṃ, tañca kho sammadevāti. Tenevāha ‘‘anūnānadhikāviparītaggahaṇanidassana’’nti. Avadhāraṇatthe vā evaṃ-sadde ayamatthayojanā karīyatīti tadapekkhassa suta-saddassa ayamattho vutto ‘‘assavanabhāvapaṭikkhepato’’ti. Tenevāha ‘‘anūnānadhikāviparītaggahaṇanidassana’’nti. Savanasaddo cettha kammattho veditabbo ‘‘suyyatī’’ti.

    เอวํ สวนเหตุสวนวิเสสวเสน ปทตฺตยสฺส เอเกน ปกาเรน อตฺถโยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปการนฺตเรหิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตถา เอว’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตสฺสาติ ยา สา ภควโต สมฺมุขา ธมฺมสฺสวนากาเรน ปวตฺตา มโนทฺวารวิญฺญาณวีถิ, ตสฺสาฯ สา หิ นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวเตฺตตุํ สมตฺถาฯ ตถา จ วุตฺตํ ‘‘โสตทฺวารานุสาเรนา’’ติฯ นานปฺปกาเรนาติ วกฺขมานานํ อเนกวิหิตานํ พฺยญฺชนตฺถคฺคหณานํ นานากาเรนฯ เอเตน อิมิสฺสา โยชนาย อาการโตฺถ เอวํ-สโทฺท คหิโตติ ทีเปติฯ ปวตฺติภาวปฺปกาสนนฺติ ปวตฺติยา อตฺถิตาปกาสนํฯ สุตนฺติ ธมฺมปฺปกาสนนฺติ ยสฺมิํ อารมฺมเณ วุตฺตปฺปการา วิญฺญาณวีถิ นานปฺปกาเรน ปวตฺตา, ตสฺส ธมฺมตฺตา วุตฺตํ, น สุต-สทฺทสฺส ธมฺมตฺถตฺตาฯ วุตฺตเสฺสวตฺถสฺส ปากฎีกรณํ ‘‘อยํ เหตฺถา’’ติอาทิฯ ตตฺถ วิญฺญาณวีถิยาติ กรณเตฺถ กรณวจนํ, มยาติ กตฺตุอเตฺถฯ

    Evaṃ savanahetusavanavisesavasena padattayassa ekena pakārena atthayojanaṃ dassetvā idāni pakārantarehi taṃ dassetuṃ ‘‘tathā eva’’ntiādi vuttaṃ. Tattha tassāti yā sā bhagavato sammukhā dhammassavanākārena pavattā manodvāraviññāṇavīthi, tassā. Sā hi nānappakārena ārammaṇe pavattetuṃ samatthā. Tathā ca vuttaṃ ‘‘sotadvārānusārenā’’ti. Nānappakārenāti vakkhamānānaṃ anekavihitānaṃ byañjanatthaggahaṇānaṃ nānākārena. Etena imissā yojanāya ākārattho evaṃ-saddo gahitoti dīpeti. Pavattibhāvappakāsananti pavattiyā atthitāpakāsanaṃ. Sutanti dhammappakāsananti yasmiṃ ārammaṇe vuttappakārā viññāṇavīthi nānappakārena pavattā, tassa dhammattā vuttaṃ, na suta-saddassa dhammatthattā. Vuttassevatthassa pākaṭīkaraṇaṃ ‘‘ayaṃ hetthā’’tiādi. Tattha viññāṇavīthiyāti karaṇatthe karaṇavacanaṃ, mayāti kattuatthe.

    เอวนฺติ นิทฺทิสิตพฺพปฺปกาสนนฺติ นิทสฺสนตฺถเมวํ สทฺทํ คเหตฺวา วุตฺตํ นิทเสฺสตพฺพสฺส นิทฺทิสิตพฺพตฺตาภาวาภาวโตฯ เตน เอวํ-สเทฺทน สกลมฺปิ สุตฺตํ ปจฺจามฎฺฐนฺติ ทเสฺสติฯ สุต-สทฺทสฺส กิริยาสทฺทตฺตา สวนกิริยาย จ สาธารณวิญฺญาณปฺปพนฺธปฎิพทฺธตฺตา ตตฺถ จ ปุคฺคลโวหาโรติ วุตฺตํ ‘‘สุตนฺติ ปุคฺคลกิจฺจปฺปกาสน’’นฺติฯ น หิ ปุคฺคลโวหารรหิเต ธมฺมปฺปพเนฺธ สวนกิริยา ลพฺภตีติฯ

    Evanti niddisitabbappakāsananti nidassanatthamevaṃ saddaṃ gahetvā vuttaṃ nidassetabbassa niddisitabbattābhāvābhāvato. Tena evaṃ-saddena sakalampi suttaṃ paccāmaṭṭhanti dasseti. Suta-saddassa kiriyāsaddattā savanakiriyāya ca sādhāraṇaviññāṇappabandhapaṭibaddhattā tattha ca puggalavohāroti vuttaṃ ‘‘sutanti puggalakiccappakāsana’’nti. Na hi puggalavohārarahite dhammappabandhe savanakiriyā labbhatīti.

    ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺสาติอาทิปิ อาการตฺถเมว เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา ปุริมโยชนาย อญฺญถา อตฺถโยชนํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ตตฺถ อาการปญฺญตฺตีติ อุปาทาปญฺญตฺติ เอว ธมฺมานํ ปวตฺติอาการุปาทานวเสน ตถา วุตฺตาฯ สุตนฺติ วิสยนิเทฺทโสติ โสตพฺพภูโต ธโมฺม สวนกิริยากตฺตุปุคฺคลสฺส สวนกิริยาวเสน ปวตฺติฎฺฐานนฺติ กตฺวา วุตฺตํฯ จิตฺตสนฺตานวินิมุตฺตสฺส ปรมตฺถโต กสฺสจิ กตฺตุ อภาเวปิ สทฺทโวหาเรน พุทฺธิปริกปฺปิตเภทวจนิจฺฉาย จิตฺตสนฺตานโต อญฺญํ วิย ตํสมงฺคิํ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘จิตฺตสนฺตาเนน ตํสมงฺคีโน’’ติฯ สวนกิริยาวิสโยปิ โสตพฺพธโมฺม สวนกิริยาวเสน ปวตฺตจิตฺตสนฺตานสฺส อิธ ปรมตฺถโต กตฺตุภาวโต, สวนวเสน จิตฺตปฺปวตฺติยา เอว วา สวนกิริยาภาวโต ตํกิริยากตฺตุ จ วิสโย โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ตํสมงฺคีโน กตฺตุวิสเย’’ติฯ สุตาการสฺส จ เถรสฺส สมฺมานิจฺฉิตภาวโต อาห ‘‘คหณสนฺนิฎฺฐาน’’นฺติฯ เอเตน วา อวธารณตฺถํ เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา อยมตฺถโยชนา กตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Yassa cittasantānassātiādipi ākāratthameva evaṃ-saddaṃ gahetvā purimayojanāya aññathā atthayojanaṃ dassetuṃ vuttaṃ. Tattha ākārapaññattīti upādāpaññatti eva dhammānaṃ pavattiākārupādānavasena tathā vuttā. Sutanti visayaniddesoti sotabbabhūto dhammo savanakiriyākattupuggalassa savanakiriyāvasena pavattiṭṭhānanti katvā vuttaṃ. Cittasantānavinimuttassa paramatthato kassaci kattu abhāvepi saddavohārena buddhiparikappitabhedavacanicchāya cittasantānato aññaṃ viya taṃsamaṅgiṃ katvā vuttaṃ ‘‘cittasantānena taṃsamaṅgīno’’ti. Savanakiriyāvisayopi sotabbadhammo savanakiriyāvasena pavattacittasantānassa idha paramatthato kattubhāvato, savanavasena cittappavattiyā eva vā savanakiriyābhāvato taṃkiriyākattu ca visayo hotīti vuttaṃ ‘‘taṃsamaṅgīno kattuvisaye’’ti. Sutākārassa ca therassa sammānicchitabhāvato āha ‘‘gahaṇasanniṭṭhāna’’nti. Etena vā avadhāraṇatthaṃ evaṃ-saddaṃ gahetvā ayamatthayojanā katāti daṭṭhabbaṃ.

    ปุเพฺพ สุตานํ นานาวิหิตานํ สุตฺตสงฺขาตานํ อตฺถพฺยญฺชนานํ อุปธาริตรูปสฺส อาการสฺส นิทสฺสนสฺส, อวธารณสฺส วา ปกาสนสภาโว เอวํ-สโทฺทติ ตทาการาทิอุปธารณสฺส ปุคฺคลปญฺญตฺติยา อุปาทานภูตธมฺมปฺปพนฺธพฺยาปารตาย วุตฺตํ ‘‘เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโส’’ติฯ สวนกิริยา ปน ปุคฺคลวาทิโนปิ วิญฺญาณนิรเปกฺขา นตฺถีติ วิเสสโต วิญฺญาณพฺยาปาโรติ อาห ‘‘สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโส’’ติฯ เมติ สทฺทปฺปวตฺติยา เอกเนฺตเนว สตฺตวิสยตฺตา วิญฺญาณกิจฺจสฺส จ ตเตฺถว สโมทหิตพฺพโต ‘‘เมติ อุภยกิจฺจยุตฺตปุคฺคลนิเทฺทโส’’ติ วุตฺตํฯ อวิชฺชมานปญฺญตฺติวิชฺชมานปญฺญตฺติสภาวา ยถากฺกมํ เอวํ-สทฺทสุต-สทฺทานํ อตฺถาติ เต ตถารูป-ปญฺญตฺติ-อุปาทานภูต-ธมฺมปฺปพนฺธพฺยาปารภาเวน ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโส, สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโส’’ติฯ เอตฺถ จ กรณกิริยากตฺตุกมฺม-วิเสสปฺปกาสนวเสน ปุคฺคลพฺยาปารวิสย-ปุคฺคลพฺยาปารนิทสฺสนวเสน คหณาการคาหกตพฺพิสยวิเสสนิเทฺทสวเสน กตฺตุกรณพฺยาปาร-กตฺตุนิเทฺทสวเสน จ ทุติยาทโย จตโสฺส อตฺถโยชนา ทสฺสิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Pubbe sutānaṃ nānāvihitānaṃ suttasaṅkhātānaṃ atthabyañjanānaṃ upadhāritarūpassa ākārassa nidassanassa, avadhāraṇassa vā pakāsanasabhāvo evaṃ-saddoti tadākārādiupadhāraṇassa puggalapaññattiyā upādānabhūtadhammappabandhabyāpāratāya vuttaṃ ‘‘evanti puggalakiccaniddeso’’ti. Savanakiriyā pana puggalavādinopi viññāṇanirapekkhā natthīti visesato viññāṇabyāpāroti āha ‘‘sutanti viññāṇakiccaniddeso’’ti. Meti saddappavattiyā ekanteneva sattavisayattā viññāṇakiccassa ca tattheva samodahitabbato ‘‘meti ubhayakiccayuttapuggalaniddeso’’ti vuttaṃ. Avijjamānapaññattivijjamānapaññattisabhāvā yathākkamaṃ evaṃ-saddasuta-saddānaṃ atthāti te tathārūpa-paññatti-upādānabhūta-dhammappabandhabyāpārabhāvena dassento āha – ‘‘evanti puggalakiccaniddeso, sutanti viññāṇakiccaniddeso’’ti. Ettha ca karaṇakiriyākattukamma-visesappakāsanavasena puggalabyāpāravisaya-puggalabyāpāranidassanavasena gahaṇākāragāhakatabbisayavisesaniddesavasena kattukaraṇabyāpāra-kattuniddesavasena ca dutiyādayo catasso atthayojanā dassitāti daṭṭhabbaṃ.

    สพฺพสฺสปิ สทฺทาธิคมนียสฺส อตฺถสฺส ปญฺญตฺติมุเขเนว ปฎิปชฺชิตพฺพตฺตา สพฺพปญฺญตฺตีนญฺจ วิชฺชมานาทิวเสน ฉสุ ปญฺญตฺติเภเทสุ อโนฺตคธตฺตา เตสุ ‘‘เอว’’นฺติอาทีนํ ปญฺญตฺตีนํ สรูปํ นิทฺธาเรโนฺต อาห ‘‘เอวนฺติ จ เมติ จา’’ติอาทิฯ ตตฺถ เอวนฺติ จ เมติ จ วุจฺจมานสฺส อตฺถสฺส อาการาทิโน ธมฺมานํ อสลกฺขณภาวโต อวิชฺชมานปญฺญตฺติภาโวติ อาห ‘‘สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อวิชฺชมานปญฺญตฺตี’’ติฯ ตตฺถ สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสนาติ ภูตตฺถอุตฺตมตฺถวเสนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – โย มายามรีจิอาทโย วิย อภูตโตฺถ, อนุสฺสวาทีหิ คเหตโพฺพ วิย อนุตฺตมโตฺถ จ น โหติ, โส รูปสทฺทาทิสภาโว, รุปฺปนานุภวนาทิสภาโว วา อโตฺถ สจฺจิกโฎฺฐ ปรมโตฺถ จาติ วุจฺจติ, น ตถา เอวํ เมติ ปทานํ อโตฺถติฯ เอตเมวตฺถํ ปากฎตรํ กาตุํ ‘‘กิเญฺหตฺถต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ สุตนฺติ ปน สทฺทายตนํ สนฺธายาห ‘‘วิชฺชมานปญฺญตฺตี’’ติฯ เตเนว หิ ‘‘ยญฺหิ ตํ เอตฺถ โสเตน อุปลทฺธ’’นฺติ วุตฺตํฯ โสตทฺวารานุสาเรน อุปลทฺธนฺติ ปน วุเตฺต อตฺถพฺยญฺชนาทิ สพฺพํ ลพฺภตีติฯ ตํ ตํ อุปาทาย วตฺตพฺพโตติ โสตปถมาคเต ธเมฺม อุปาทาย เตสํ อุปธาริตาการาทิโน ปจฺจามสนวเสน เอวนฺติ, สสนฺตติปริยาปเนฺน ขเนฺธ อุปาทาย เมติ วตฺตพฺพตฺตาติ อโตฺถฯ ทิฎฺฐาทิสภาวรหิเต สทฺทายตเน ปวตฺตมาโนปิ สุตโวหาโร ‘‘ทุติยํ ตติย’’นฺติอาทิโก วิย ปฐมาทีนิ ทิฎฺฐมุตวิญฺญาเต อเปกฺขิตฺวา ปวโตฺตติ อาห ‘‘ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตพฺพโต’’ติฯ อสุตํ น โหตีติ หิ สุตนฺติ ปกาสิโตยมโตฺถติฯ

    Sabbassapi saddādhigamanīyassa atthassa paññattimukheneva paṭipajjitabbattā sabbapaññattīnañca vijjamānādivasena chasu paññattibhedesu antogadhattā tesu ‘‘eva’’ntiādīnaṃ paññattīnaṃ sarūpaṃ niddhārento āha ‘‘evanti ca meti cā’’tiādi. Tattha evanti ca meti ca vuccamānassa atthassa ākārādino dhammānaṃ asalakkhaṇabhāvato avijjamānapaññattibhāvoti āha ‘‘saccikaṭṭhaparamatthavasena avijjamānapaññattī’’ti. Tattha saccikaṭṭhaparamatthavasenāti bhūtatthauttamatthavasena. Idaṃ vuttaṃ hoti – yo māyāmarīciādayo viya abhūtattho, anussavādīhi gahetabbo viya anuttamattho ca na hoti, so rūpasaddādisabhāvo, ruppanānubhavanādisabhāvo vā attho saccikaṭṭho paramattho cāti vuccati, na tathā evaṃ meti padānaṃ atthoti. Etamevatthaṃ pākaṭataraṃ kātuṃ ‘‘kiñhetthata’’ntiādi vuttaṃ. Sutanti pana saddāyatanaṃ sandhāyāha ‘‘vijjamānapaññattī’’ti. Teneva hi ‘‘yañhi taṃ ettha sotena upaladdha’’nti vuttaṃ. Sotadvārānusārena upaladdhanti pana vutte atthabyañjanādi sabbaṃ labbhatīti. Taṃ taṃ upādāya vattabbatoti sotapathamāgate dhamme upādāya tesaṃ upadhāritākārādino paccāmasanavasena evanti, sasantatipariyāpanne khandhe upādāya meti vattabbattāti attho. Diṭṭhādisabhāvarahite saddāyatane pavattamānopi sutavohāro ‘‘dutiyaṃ tatiya’’ntiādiko viya paṭhamādīni diṭṭhamutaviññāte apekkhitvā pavattoti āha ‘‘diṭṭhādīni upanidhāya vattabbato’’ti. Asutaṃ na hotīti hi sutanti pakāsitoyamatthoti.

    อตฺตนา ปฎิวิทฺธา สุตฺตสฺส ปการวิเสสา เอวนฺติ เถเรน ปจฺจามฎฺฐาติ อาห ‘‘อสโมฺมหํ ทีเปตี’’ติฯ นานปฺปการปฎิเวธสมโตฺถ โหตีติ เอเตน วกฺขมานสฺส สุตฺตสฺส นานปฺปการตํ ทุปฺปฎิวิชฺฌตญฺจ ทเสฺสติฯ สุตสฺส อสโมฺมสํ ทีเปตีติ สุตาการสฺส ยาถาวโต ทสฺสิยมานตฺตา วุตฺตํฯ อสโมฺมเหนาติ สโมฺมหาภาเวน, ปญฺญาย เอว วา สวนกาลสมฺภูตาย ตทุตฺตรกาลปญฺญาสิทฺธิ ฯ เอวํ อสโมฺมเสนาติ เอตฺถาปิ วตฺตพฺพํฯ พฺยญฺชนานํ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ อากาโร นาติคมฺภีโร ยถาสุตธารณเมว ตตฺถ กรณียนฺติ สติยา พฺยาปาโร อธิโก, ปญฺญา ตตฺถ คุณีภูตาติ วุตฺตํ ‘‘ปญฺญาปุพฺพงฺคมายา’’ติอาทิ ปญฺญาย ปุพฺพงฺคมาติ กตฺวาฯ ปุพฺพงฺคมตา เจตฺถ ปธานตา ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา’’ติอาทีสุ วิยฯ ปุพฺพงฺคมตาย วา จกฺขุวิญฺญาณาทีสุ อาวชฺชนาทีนํ วิย อปฺปธานเตฺต ปญฺญา ปุพฺพงฺคมา เอติสฺสาติ อยมฺปิ อโตฺถ ยุชฺชติ, เอวํ สติ ปุพฺพงฺคมายาติ เอตฺถาปิ วุตฺตวิปริยาเยน ยถาสมฺภวํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺสาติ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณสฺส , สงฺกาสน-ปกาสน-วิวรณ-วิภชน-อุตฺตานีกรณปญฺญตฺติวเสน ฉหิ อตฺถปเทหิ, อกฺขรปทพฺยญฺชนาการนิรุตฺตินิเทฺทสวเสน ฉหิ พฺยญฺชนปเทหิ จ สมนฺนาคตสฺสาติ วา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Attanā paṭividdhā suttassa pakāravisesā evanti therena paccāmaṭṭhāti āha ‘‘asammohaṃ dīpetī’’ti. Nānappakārapaṭivedhasamattho hotīti etena vakkhamānassa suttassa nānappakārataṃ duppaṭivijjhatañca dasseti. Sutassa asammosaṃ dīpetīti sutākārassa yāthāvato dassiyamānattā vuttaṃ. Asammohenāti sammohābhāvena, paññāya eva vā savanakālasambhūtāya taduttarakālapaññāsiddhi . Evaṃ asammosenāti etthāpi vattabbaṃ. Byañjanānaṃ paṭivijjhitabbo ākāro nātigambhīro yathāsutadhāraṇameva tattha karaṇīyanti satiyā byāpāro adhiko, paññā tattha guṇībhūtāti vuttaṃ ‘‘paññāpubbaṅgamāyā’’tiādi paññāya pubbaṅgamāti katvā. Pubbaṅgamatā cettha padhānatā ‘‘manopubbaṅgamā’’tiādīsu viya. Pubbaṅgamatāya vā cakkhuviññāṇādīsu āvajjanādīnaṃ viya appadhānatte paññā pubbaṅgamā etissāti ayampi attho yujjati, evaṃ sati pubbaṅgamāyāti etthāpi vuttavipariyāyena yathāsambhavaṃ attho veditabbo. Atthabyañjanasampannassāti atthabyañjanaparipuṇṇassa , saṅkāsana-pakāsana-vivaraṇa-vibhajana-uttānīkaraṇapaññattivasena chahi atthapadehi, akkharapadabyañjanākāraniruttiniddesavasena chahi byañjanapadehi ca samannāgatassāti vā attho daṭṭhabbo.

    โยนิโส มนสิการํ ทีเปติ เอวํ-สเทฺทน วุจฺจมานานํ อาการนิทสฺสนาวธารณตฺถานํ อวิปรีตสทฺธมฺมวิสยตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อวิเกฺขปํ ทีเปตีติ ‘‘โอฆตรณสุตฺตํ กตฺถ ภาสิต’’นฺติอาทิปุจฺฉาวเสน ปกรณปฺปวตฺตสฺส วกฺขมานสฺส สุตฺตสฺส สวนํ สมาธานมนฺตเรน น สมฺภวตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ วิกฺขิตฺตจิตฺตสฺสาติอาทิ ตเสฺสวตฺถสฺส สมตฺถนวเสน วุตฺตํฯ สพฺพสมฺปตฺติยาติ อตฺถพฺยญฺชนเทสก-ปโยชนาทิสมฺปตฺติยาฯ อวิปรีตสทฺธมฺมวิสเยหิ วิย อาการนิทสฺสนาวธารณเตฺถหิ โยนิโสมนสิการสฺส, สทฺธมฺมสฺสวเนน วิย จ อวิเกฺขปสฺส ยถา โยนิโสมนสิกาเรน ผลภูเตน อตฺตสมฺมาปณิธิปุเพฺพกตปุญฺญตานํ สิทฺธิ วุตฺตา ตทวินาภาวโต, เอวํ อวิเกฺขเปเนว ผลภูเตน การณภูตานํ สทฺธมฺมสฺสวนสปฺปุริสูปนิสฺสยานํ สิทฺธิ ทเสฺสตพฺพา สิยา อสฺสุตวโต สปฺปุริสูปนิสฺสยรหิตสฺส จ ตทภาวโตฯ ‘‘น หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต’’ติอาทินา สมตฺถนวจเนน ปน อวิเกฺขเปน การณภูเตน สปฺปุริสูปนิสฺสเยน จ ผลภูตสฺส สทฺธมฺมสฺสวนสฺส สิทฺธิ ทสฺสิตาฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย ยุโตฺต สิยา, สทฺธมฺมสฺสวนสปฺปุริสูปนิสฺสยา น เอกเนฺตน อวิเกฺขปสฺส การณํ พาหิรงฺคตฺตาฯ อวิเกฺขโป ปน สปฺปุริสูปนิสฺสโย วิย สทฺธมฺมสฺสวนสฺส เอกนฺตการณนฺติ, เอวมฺปิ อวิเกฺขเปน สปฺปุริสูปนิสฺสยสิทฺธิโชตนา น สมตฺถิตาว, โน น สมตฺถิตา วิกฺขิตฺตจิตฺตานํ สปฺปุริสปยิรูปาสนาภาวสฺส อตฺถสิทฺธิโตฯ เอตฺถ จ ปุริมํ ผเลน การณสฺส สิทฺธิทสฺสนํ นทีปูเรน วิย อุปริ วุฎฺฐิสพฺภาวสฺสฯ ทุติยํ การเณน ผลสฺส สิทฺธิทสฺสนํ ทฎฺฐพฺพํ เอกนฺตวสฺสินา วิย เมฆวุฎฺฐาเนน วุฎฺฐิปฺปวตฺติยาฯ

    Yoniso manasikāraṃ dīpeti evaṃ-saddena vuccamānānaṃ ākāranidassanāvadhāraṇatthānaṃ aviparītasaddhammavisayattāti adhippāyo. Avikkhepaṃ dīpetīti ‘‘oghataraṇasuttaṃ kattha bhāsita’’ntiādipucchāvasena pakaraṇappavattassa vakkhamānassa suttassa savanaṃ samādhānamantarena na sambhavatīti katvā vuttaṃ. Vikkhittacittassātiādi tassevatthassa samatthanavasena vuttaṃ. Sabbasampattiyāti atthabyañjanadesaka-payojanādisampattiyā. Aviparītasaddhammavisayehi viya ākāranidassanāvadhāraṇatthehi yonisomanasikārassa, saddhammassavanena viya ca avikkhepassa yathā yonisomanasikārena phalabhūtena attasammāpaṇidhipubbekatapuññatānaṃ siddhi vuttā tadavinābhāvato, evaṃ avikkhepeneva phalabhūtena kāraṇabhūtānaṃ saddhammassavanasappurisūpanissayānaṃ siddhi dassetabbā siyā assutavato sappurisūpanissayarahitassa ca tadabhāvato. ‘‘Na hi vikkhittacitto’’tiādinā samatthanavacanena pana avikkhepena kāraṇabhūtena sappurisūpanissayena ca phalabhūtassa saddhammassavanassa siddhi dassitā. Ayaṃ panettha adhippāyo yutto siyā, saddhammassavanasappurisūpanissayā na ekantena avikkhepassa kāraṇaṃ bāhiraṅgattā. Avikkhepo pana sappurisūpanissayo viya saddhammassavanassa ekantakāraṇanti, evampi avikkhepena sappurisūpanissayasiddhijotanā na samatthitāva, no na samatthitā vikkhittacittānaṃ sappurisapayirūpāsanābhāvassa atthasiddhito. Ettha ca purimaṃ phalena kāraṇassa siddhidassanaṃ nadīpūrena viya upari vuṭṭhisabbhāvassa. Dutiyaṃ kāraṇena phalassa siddhidassanaṃ daṭṭhabbaṃ ekantavassinā viya meghavuṭṭhānena vuṭṭhippavattiyā.

    ภควโต วจนสฺส อตฺถพฺยญฺชนปเภท-ปริเจฺฉทวเสน สกลสาสนสมฺปตฺติ-โอคาหนากาโร นิรวเสสปรหิต-ปาริปูริการณนฺติ วุตฺตํ ‘‘เอวํ ภทฺทโก อากาโร’’ติฯ ยสฺมา น โหตีติ สมฺพโนฺธ ฯ ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสมฺปตฺตินฺติ อตฺตสมฺมาปณิธิ-ปุเพฺพกตปุญฺญตา-สงฺขาตํ คุณทฺวยํฯ อปราปรวุตฺติยา เจตฺถ จกฺกภาโว, จรนฺติ เอเตหิ สตฺตา, สมฺปตฺติภเวสูติ วา ฯ เย สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, จกฺกานิ, เยหิ สมนฺนาคตานํ เทวมนุสฺสานํ จตุจกฺกํ วตฺตตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๔.๓๑)ฯ ปุริมปจฺฉิมภาโว เจตฺถ เทสนกฺกมวเสน ทฎฺฐโพฺพฯ ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสิทฺธิยาติ ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสฺส จ อตฺถิตายฯ สมฺมาปณิหิตโตฺต ปุเพฺพ จ กตปุโญฺญ สุทฺธาสโย โหติ ตทสุทฺธิเหตูนํ กิเลสานํ ทูรีภาวโตติ อาห ‘‘อาสยสุทฺธิ สิทฺธา โหตี’’ติฯ ตถา หิ วุตฺตํ – ‘‘สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ, เสยฺยโส นํ ตโต กเร’’ติ (ธ. ป. ๔๓) ‘‘กตปุโญฺญสิ, ตฺวํ อานนฺท, ปธานมนุยุญฺช, ขิปฺปํ โหหิสิ อนาสโว’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๐๗) จฯ เตเนวาห ‘‘อาสยสุทฺธิยา อธิคมพฺยตฺติสิทฺธี’’ติฯ ปโยคสุทฺธิยาติ โยนิโสมนสิการปุพฺพงฺคมสฺส ธมฺมสฺสวนปโยคสฺส วิสทภาเวนฯ ตถา จาห ‘‘อาคมพฺยตฺติสิทฺธี’’ติ, สพฺพสฺส วา กายวจีปโยคสฺส นิโทฺทสภาเวนฯ ปริสุทฺธกายวจีปโยโค หิ วิปฺปฎิสาราภาวโต อวิกฺขิตฺตจิโตฺต ปริยตฺติยํ วิสารโท โหตีติฯ

    Bhagavato vacanassa atthabyañjanapabheda-paricchedavasena sakalasāsanasampatti-ogāhanākāro niravasesaparahita-pāripūrikāraṇanti vuttaṃ ‘‘evaṃ bhaddako ākāro’’ti. Yasmā na hotīti sambandho . Pacchimacakkadvayasampattinti attasammāpaṇidhi-pubbekatapuññatā-saṅkhātaṃ guṇadvayaṃ. Aparāparavuttiyā cettha cakkabhāvo, caranti etehi sattā, sampattibhavesūti vā . Ye sandhāya vuttaṃ ‘‘cattārimāni, bhikkhave, cakkāni, yehi samannāgatānaṃ devamanussānaṃ catucakkaṃ vattatī’’tiādi (a. ni. 4.31). Purimapacchimabhāvo cettha desanakkamavasena daṭṭhabbo. Pacchimacakkadvayasiddhiyāti pacchimacakkadvayassa ca atthitāya. Sammāpaṇihitatto pubbe ca katapuñño suddhāsayo hoti tadasuddhihetūnaṃ kilesānaṃ dūrībhāvatoti āha ‘‘āsayasuddhi siddhā hotī’’ti. Tathā hi vuttaṃ – ‘‘sammāpaṇihitaṃ cittaṃ, seyyaso naṃ tato kare’’ti (dha. pa. 43) ‘‘katapuññosi, tvaṃ ānanda, padhānamanuyuñja, khippaṃ hohisi anāsavo’’ti (dī. ni. 2.207) ca. Tenevāha ‘‘āsayasuddhiyā adhigamabyattisiddhī’’ti. Payogasuddhiyāti yonisomanasikārapubbaṅgamassa dhammassavanapayogassa visadabhāvena. Tathā cāha ‘‘āgamabyattisiddhī’’ti, sabbassa vā kāyavacīpayogassa niddosabhāvena. Parisuddhakāyavacīpayogo hi vippaṭisārābhāvato avikkhittacitto pariyattiyaṃ visārado hotīti.

    นานปฺปการปฎิเวธทีปเกนาติอาทินา อตฺถพฺยญฺชเนสุ เถรสฺส เอวํ-สทฺทสุต-สทฺทานํ อสโมฺมหาสโมฺมสทีปนโต จตุปฎิสมฺภิทาวเสน อตฺถโยชนํ ทเสฺสติฯ ตตฺถ โสตพฺพเภทปฎิเวธทีปเกนาติ เอเตน อยํ สุต-สโทฺท เอวํ-สทฺทสนฺนิธานโต, วกฺขมานาเปกฺขาย วา สามเญฺญเนว โสตพฺพธมฺมวิเสสํ อามสตีติ ทีเปติฯ มโนทิฎฺฐีหิ ปริยตฺติธมฺมานํ อนุเปกฺขนสุปฺปฎิเวธา วิเสสโต มนสิการปฎิพทฺธาติ เต วุตฺตนเยน โยนิโสมนสิการทีปเกน เอวํ สเทฺทน โยเชตฺวา, สวนธารณวจีปริจยา ปริยตฺติธมฺมานํ วิเสเสน โสตาวธานปฎิพทฺธาติ เต วุตฺตนเยน อวิเกฺขปทีปเกน สุต-สเทฺทน โยเชตฺวา ทเสฺสโนฺต สาสนสมฺปตฺติยา ธมฺมสฺสวเน อุสฺสาหํ ชเนติฯ ตตฺถ ธมฺมาติ ปริยตฺติธมฺมาฯ มนสา อนุเปกฺขิตาติ ‘‘อิธ สีลํ กถิตํ, อิธ สมาธิ, อิธ ปญฺญา, เอตฺตกา เอตฺถ อนุสนฺธิโย’’ติอาทินา นเยน มนสา อนุเปกฺขิตาฯ ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธาติ นิชฺฌานกฺขนฺติ ภูตาย, ญาตปริญฺญาสงฺขาตาย วา ทิฎฺฐิยา ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตรูปารูปธเมฺม ‘‘อิติ รูปํ, เอตฺตกํ รูป’’นฺติอาทินา สุฎฺฐุ ววตฺถเปตฺวา ปฎิวิทฺธาฯ

    Nānappakārapaṭivedhadīpakenātiādinā atthabyañjanesu therassa evaṃ-saddasuta-saddānaṃ asammohāsammosadīpanato catupaṭisambhidāvasena atthayojanaṃ dasseti. Tattha sotabbabhedapaṭivedhadīpakenāti etena ayaṃ suta-saddo evaṃ-saddasannidhānato, vakkhamānāpekkhāya vā sāmaññeneva sotabbadhammavisesaṃ āmasatīti dīpeti. Manodiṭṭhīhi pariyattidhammānaṃ anupekkhanasuppaṭivedhā visesato manasikārapaṭibaddhāti te vuttanayena yonisomanasikāradīpakena evaṃ saddena yojetvā, savanadhāraṇavacīparicayā pariyattidhammānaṃ visesena sotāvadhānapaṭibaddhāti te vuttanayena avikkhepadīpakena suta-saddena yojetvā dassento sāsanasampattiyā dhammassavane ussāhaṃ janeti. Tattha dhammāti pariyattidhammā. Manasā anupekkhitāti ‘‘idha sīlaṃ kathitaṃ, idha samādhi, idha paññā, ettakā ettha anusandhiyo’’tiādinā nayena manasā anupekkhitā. Diṭṭhiyā suppaṭividdhāti nijjhānakkhanti bhūtāya, ñātapariññāsaṅkhātāya vā diṭṭhiyā tattha tattha vuttarūpārūpadhamme ‘‘iti rūpaṃ, ettakaṃ rūpa’’ntiādinā suṭṭhu vavatthapetvā paṭividdhā.

    สกเลน วจเนนาติ ปุเพฺพ ตีหิ ปเทหิ วิสุํ วิสุํ โยชิตตฺตา วุตฺตํฯ อตฺตโน อทหโนฺตติ ‘‘มเมท’’นฺติ อตฺตนิ อฎฺฐเปโนฺตฯ ภุมฺมเตฺถ เจตํ สามิวจนํฯ อสปฺปุริสภูมินฺติ อกตญฺญุตํฯ ‘‘อิเธกโจฺจ ปาปภิกฺขุ ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ ปริยาปุณิตฺวา อตฺตโน ทหตี’’ติ (ปารา. ๑๙๕) เอวํ วุตฺตํ อนริยโวหาราวตฺถํ, สา เอว อนริยโวหาราวตฺถา อสทฺธโมฺม ฯ นนุ จ อานนฺทเตฺถรสฺส ‘‘มเมทํ วจน’’นฺติ อธิมานสฺส, มหากสฺสปเตฺถราทีนญฺจ ตทาสงฺกาย อภาวโต อสปฺปุริสภูมิ-สมติกฺกมาทิวจนํ นิรตฺถกนฺติ? นยิทเมวํฯ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ วทเนฺตน อยมฺปิ อโตฺถ วิภาวิโตติ ทสฺสนโตฯ เกจิ ปน ‘‘เทวตานํ ปริวิตกฺกาเปกฺขํ ตถาวจนนฺติ เอทิสี โจทนา อนวกาสา’’ติ วทนฺติฯ ตสฺมิํ กิร ขเณ เอกจฺจานํ เทวตานํ เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ ‘‘ภควา จ ปรินิพฺพุโต, อยญฺจ อายสฺมา เทสนากุสโล อิทานิ ธมฺมํ เทเสติ, สกฺยกุลปฺปสุโต ตถาคตสฺส ภาตา จูฬปิตุปุโตฺตฯ กิํ นุ โข สยํ สจฺฉิกตํ ธมฺมํ เทเสติ? อุทาหุ ภควโต เอว วจนํ ยถาสุต’’นฺติ, เอวํ ตทาสงฺกิตปฺปการโต อสปฺปุริสภูมิสโมกฺกมาทิโต อติกฺกมาทิ วิภาวิตนฺติฯ อเปฺปตีติ นิทเสฺสติฯ ทิฎฺฐธมฺมิก-สมฺปรายิก-ปรมเตฺถสุ ยถารหํ สเตฺต เนตีติ เนตฺติ, ธโมฺม เอว เนตฺติ ธมฺมเนตฺติ

    Sakalena vacanenāti pubbe tīhi padehi visuṃ visuṃ yojitattā vuttaṃ. Attano adahantoti ‘‘mameda’’nti attani aṭṭhapento. Bhummatthe cetaṃ sāmivacanaṃ. Asappurisabhūminti akataññutaṃ. ‘‘Idhekacco pāpabhikkhu tathāgatappaveditaṃ dhammavinayaṃ pariyāpuṇitvā attano dahatī’’ti (pārā. 195) evaṃ vuttaṃ anariyavohārāvatthaṃ, sā eva anariyavohārāvatthā asaddhammo . Nanu ca ānandattherassa ‘‘mamedaṃ vacana’’nti adhimānassa, mahākassapattherādīnañca tadāsaṅkāya abhāvato asappurisabhūmi-samatikkamādivacanaṃ niratthakanti? Nayidamevaṃ. ‘‘Evaṃ me suta’’nti vadantena ayampi attho vibhāvitoti dassanato. Keci pana ‘‘devatānaṃ parivitakkāpekkhaṃ tathāvacananti edisī codanā anavakāsā’’ti vadanti. Tasmiṃ kira khaṇe ekaccānaṃ devatānaṃ evaṃ cetaso parivitakko udapādi ‘‘bhagavā ca parinibbuto, ayañca āyasmā desanākusalo idāni dhammaṃ deseti, sakyakulappasuto tathāgatassa bhātā cūḷapituputto. Kiṃ nu kho sayaṃ sacchikataṃ dhammaṃ deseti? Udāhu bhagavato eva vacanaṃ yathāsuta’’nti, evaṃ tadāsaṅkitappakārato asappurisabhūmisamokkamādito atikkamādi vibhāvitanti. Appetīti nidasseti. Diṭṭhadhammika-samparāyika-paramatthesu yathārahaṃ satte netīti netti, dhammo eva netti dhammanetti.

    ทฬฺหตรนิวิฎฺฐา วิจิกิจฺฉา กงฺขา, นาติสํสปฺปนา มติเภทมตฺตา วิมติฯ อสฺสทฺธิยํ วินาเสตีติ ภควตา ภาสิตตฺตา สมฺมุขาวสฺส ปฎิคฺคหิตตฺตา ขลิตทุรุตฺตาทิคหณโทสาภาวโต จฯ เอตฺถ จ ปฐมาทโย ติโสฺส อตฺถโยชนา อาการาทิอเตฺถสุ อคฺคหิตวิเสสเมว เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา ทสฺสิตา, ตโต ปรา จตโสฺส อาการตฺถเมว เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา วิภาวิตาฯ ปจฺฉิมา ปน ติโสฺส ยถากฺกมํ อาการตฺถํ นิทสฺสนตฺถํ อวธารณตฺถญฺจ เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา โยชิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Daḷhataraniviṭṭhā vicikicchā kaṅkhā, nātisaṃsappanā matibhedamattā vimati. Assaddhiyaṃ vināsetīti bhagavatā bhāsitattā sammukhāvassa paṭiggahitattā khalitaduruttādigahaṇadosābhāvato ca. Ettha ca paṭhamādayo tisso atthayojanā ākārādiatthesu aggahitavisesameva evaṃ-saddaṃ gahetvā dassitā, tato parā catasso ākāratthameva evaṃ-saddaṃ gahetvā vibhāvitā. Pacchimā pana tisso yathākkamaṃ ākāratthaṃ nidassanatthaṃ avadhāraṇatthañca evaṃ-saddaṃ gahetvā yojitāti daṭṭhabbaṃ.

    เอก-สโทฺท อญฺญเสฎฺฐอสหายสงฺขยาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺติ อิเตฺถเก อภิวทนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๗) อญฺญเตฺถ ทิสฺสติฯ ‘‘เจตโส เอโกทิภาว’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๒๘; ปารา. ๑๑) เสเฎฺฐ, ‘‘เอโก วูปกโฎฺฐ’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๐๕) อสหาเย, ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๙) สงฺขยายํฯ อิธาปิ สงฺขยายนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เอกนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโส’’ติฯ กาลญฺจ สมยญฺจาติ ยุตฺตกาลญฺจ ปจฺจยสามคฺคิญฺจฯ ขโณติ โอกาโสฯ ตถาคตุปฺปาทาทิโก หิ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส โอกาโส ตปฺปจฺจยสฺส ปฎิลาภเหตุตฺตาฯ ขโณ เอว จ สมโย, โย ขโณติ จ สมโยติ จ วุจฺจติ, โส เอโก เอวาติ หิ อโตฺถฯ มหาสมโยติ มหาสมูโหฯ สมโยปิ โขติ สิกฺขาปทปูรณสฺส เหตุปิฯ สมยปฺปวาทเกติ ทิฎฺฐิปฺปวาทเกฯ ตตฺถ หิ นิสินฺนา ติตฺถิยา อตฺตโน อตฺตโน สมยํ ปวทนฺติฯ อตฺถาภิสมยาติ หิตปฎิลาภาฯ อภิสเมตโพฺพติ อภิสมโย, อภิสมโย อโตฺถ อภิสมยโตฺถติ ปีฬนาทีนิ อภิสเมตพฺพภาเวน เอกีภาวํ อุปเนตฺวา วุตฺตานิฯ อภิสมยสฺส วา ปฎิเวธสฺส วิสยภูโต อโตฺถ อภิสมยโตฺถติ ตาเนว ตถา เอกเตฺตน วุตฺตานิฯ ตตฺถ ปีฬนํ ทุกฺขสจฺจสฺส ตํสมงฺคิโน หิํสนํ อวิปฺผาริกตากรณํ, สนฺตาโป ทุกฺขทุกฺขตาทิวเสน สนฺตาปนํ ปริทหนํฯ

    Eka-saddo aññaseṭṭhaasahāyasaṅkhayādīsu dissati. Tathā hesa ‘‘sassato attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamaññanti ittheke abhivadantī’’tiādīsu (ma. ni. 3.27) aññatthe dissati. ‘‘Cetaso ekodibhāva’’ntiādīsu (dī. ni. 1.228; pārā. 11) seṭṭhe, ‘‘eko vūpakaṭṭho’’tiādīsu (dī. ni. 1.405) asahāye, ‘‘ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’tiādīsu (a. ni. 8.29) saṅkhayāyaṃ. Idhāpi saṅkhayāyanti dassento āha ‘‘ekantigaṇanaparicchedaniddeso’’ti. Kālañca samayañcāti yuttakālañca paccayasāmaggiñca. Khaṇoti okāso. Tathāgatuppādādiko hi maggabrahmacariyassa okāso tappaccayassa paṭilābhahetuttā. Khaṇo eva ca samayo, yo khaṇoti ca samayoti ca vuccati, so eko evāti hi attho. Mahāsamayoti mahāsamūho. Samayopi khoti sikkhāpadapūraṇassa hetupi. Samayappavādaketi diṭṭhippavādake. Tattha hi nisinnā titthiyā attano attano samayaṃ pavadanti. Atthābhisamayāti hitapaṭilābhā. Abhisametabboti abhisamayo, abhisamayo attho abhisamayatthoti pīḷanādīni abhisametabbabhāvena ekībhāvaṃ upanetvā vuttāni. Abhisamayassa vā paṭivedhassa visayabhūto attho abhisamayatthoti tāneva tathā ekattena vuttāni. Tattha pīḷanaṃ dukkhasaccassa taṃsamaṅgino hiṃsanaṃ avipphārikatākaraṇaṃ, santāpo dukkhadukkhatādivasena santāpanaṃ paridahanaṃ.

    ตตฺถ สหการิการณํ สนฺนิชฺฌํ สเมติ สมเวตีติ สมโย, สมวาโยฯ สเมติ สมาคจฺฉติ เอตฺถ มคฺคพฺรหฺมจริยํ ตทาธารปุคฺคเลหีติ สมโย, ขโณฯ สเมติ เอตฺถ, เอเตน วา สํคจฺฉติ สโตฺต, สภาวธโมฺม วา สหชาตาทีหิ, อุปฺปาทาทีหิ วาติ สมโย, กาโลฯ ธมฺมปฺปวตฺติมตฺตตาย อตฺถโต อภูโตปิ หิ กาโล ธมฺมปฺปวตฺติยา อธิกรณํ กรณํ วิย จ ปริกปฺปนามตฺตสิเทฺธน รูเปน โวหรียตีติฯ สมํ, สห วา อวยวานํ อยนํ ปวตฺติ อวฎฺฐานนฺติ สมโย, สมูโห ยถา ‘‘สมุทาโย’’ติฯ อวยวสหาวฎฺฐานเมว หิ สมูโหติฯ อวเสสปจฺจยานํ สมาคเม เอติ ผลํ เอตสฺมา อุปฺปชฺชติ ปวตฺตติ จาติ สมโย, เหตุ ยถา ‘‘สมุทโย’’ติฯ สเมติ สํโยชนภาวโต สมฺพโนฺธ เอติ อตฺตโน วิสเย ปวตฺตติ, ทฬฺหคฺคหณภาวโต วา สํยุตฺตา อยนฺติ ปวตฺตนฺติ สตฺตา ยถาภินิเวสํ เอเตนาติ สมโย, ทิฎฺฐิฯ ทิฎฺฐิสํโยชเนน หิ สตฺตา อติวิย พชฺฌนฺตีติฯ สมิติ สํคติ สโมธานนฺติ สมโย, ปฎิลาโภฯ สมสฺส นิโรธสฺส ยานํ, สมฺมา วา ยานํ อปคโม อปวตฺติ สมโย, ปหานํฯ อภิมุขํ ญาเณน สมฺมา เอตโพฺพ อธิคนฺตโพฺพติ อภิสมโย, ธมฺมานํ อวิปรีโต สภาโวฯ อภิมุขภาเวน สมฺมา เอติ คจฺฉติ พุชฺฌตีติ อภิสมโย, ธมฺมานํ อวิปรีตสภาวาวโพโธ ฯ เอวํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ อเตฺถ สมยสทฺทปฺปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ สมยสทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเร อภิสมยสทฺทสฺส อุทาหรณํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อสฺสาติ สมยสทฺทสฺสฯ กาโล อโตฺถ สมวายาทีนํ อตฺถานํ อิธ อสมฺภวโต เทสเทสกปริสานํ วิย สุตฺตสฺส นิทานภาเวน กาลสฺส อปทิสิตพฺพโต จฯ

    Tattha sahakārikāraṇaṃ sannijjhaṃ sameti samavetīti samayo, samavāyo. Sameti samāgacchati ettha maggabrahmacariyaṃ tadādhārapuggalehīti samayo, khaṇo. Sameti ettha, etena vā saṃgacchati satto, sabhāvadhammo vā sahajātādīhi, uppādādīhi vāti samayo, kālo. Dhammappavattimattatāya atthato abhūtopi hi kālo dhammappavattiyā adhikaraṇaṃ karaṇaṃ viya ca parikappanāmattasiddhena rūpena voharīyatīti. Samaṃ, saha vā avayavānaṃ ayanaṃ pavatti avaṭṭhānanti samayo, samūho yathā ‘‘samudāyo’’ti. Avayavasahāvaṭṭhānameva hi samūhoti. Avasesapaccayānaṃ samāgame eti phalaṃ etasmā uppajjati pavattati cāti samayo, hetu yathā ‘‘samudayo’’ti. Sameti saṃyojanabhāvato sambandho eti attano visaye pavattati, daḷhaggahaṇabhāvato vā saṃyuttā ayanti pavattanti sattā yathābhinivesaṃ etenāti samayo, diṭṭhi. Diṭṭhisaṃyojanena hi sattā ativiya bajjhantīti. Samiti saṃgati samodhānanti samayo, paṭilābho. Samassa nirodhassa yānaṃ, sammā vā yānaṃ apagamo apavatti samayo, pahānaṃ. Abhimukhaṃ ñāṇena sammā etabbo adhigantabboti abhisamayo, dhammānaṃ aviparīto sabhāvo. Abhimukhabhāvena sammā eti gacchati bujjhatīti abhisamayo, dhammānaṃ aviparītasabhāvāvabodho . Evaṃ tasmiṃ tasmiṃ atthe samayasaddappavatti veditabbā. Samayasaddassa atthuddhāre abhisamayasaddassa udāharaṇaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Assāti samayasaddassa. Kālo attho samavāyādīnaṃ atthānaṃ idha asambhavato desadesakaparisānaṃ viya suttassa nidānabhāvena kālassa apadisitabbato ca.

    กสฺมา ปเนตฺถ อนิยมิตวเสเนว กาโล นิทฺทิโฎฺฐ? น อุตุสํวจฺฉราทิวเสน นิยมิโตติ อาห ‘‘ตตฺถ กิญฺจาปี’’ติอาทิฯ อุตุสํวจฺฉราทิวเสน นิยมํ อกตฺวา สมยสทฺทสฺส วจเน อยมฺปิ คุโณ ลโทฺธ โหตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เย วา อิเม’’ติอาทิมาหฯ สามญฺญโชตนา หิ วิเสเส อวติฎฺฐตีติฯ ตตฺถ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย เทวสิกํ ฌานผลสมาปตฺตีหิ วีตินามนกาโล, วิเสสโต สตฺตสตฺตาหานิฯ สุปฺปกาสาติ ทสสหสฺสิโลกธาตุปกมฺปน-โอภาสปาตุภาวาทีหิ ปากฎาฯ ยถาวุตฺตปฺปเภเทสุ เอว สมเยสุ เอกเทสํ ปการนฺตเรหิ สงฺคเหตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘โย จาย’’นฺติอาทิมาหฯ ตถา หิ ญาณกิจฺจสมโย, อตฺตหิตปฎิปตฺติสมโย จ อภิสโมฺพธิสมโย, อริยตุณฺหีภาวสมโย, ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย, กรุณากิจฺจปรหิตปฎิปตฺติธมฺมีกถาสมยา, เทสนาสมโย เอวฯ

    Kasmā panettha aniyamitavaseneva kālo niddiṭṭho? Na utusaṃvaccharādivasena niyamitoti āha ‘‘tattha kiñcāpī’’tiādi. Utusaṃvaccharādivasena niyamaṃ akatvā samayasaddassa vacane ayampi guṇo laddho hotīti dassento ‘‘ye vā ime’’tiādimāha. Sāmaññajotanā hi visese avatiṭṭhatīti. Tattha diṭṭhadhammasukhavihārasamayo devasikaṃ jhānaphalasamāpattīhi vītināmanakālo, visesato sattasattāhāni. Suppakāsāti dasasahassilokadhātupakampana-obhāsapātubhāvādīhi pākaṭā. Yathāvuttappabhedesu eva samayesu ekadesaṃ pakārantarehi saṅgahetvā dassetuṃ ‘‘yo cāya’’ntiādimāha. Tathā hi ñāṇakiccasamayo, attahitapaṭipattisamayo ca abhisambodhisamayo, ariyatuṇhībhāvasamayo, diṭṭhadhammasukhavihārasamayo, karuṇākiccaparahitapaṭipattidhammīkathāsamayā, desanāsamayo eva.

    กรณวจเนน นิเทฺทโส กโตติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถาติ อภิธมฺมตทญฺญสุตฺตปทวินเยสุฯ ตถาติ ภุมฺมกรเณหิฯ อธิกรณโตฺถ อาธารโตฺถฯ ภาโว นาม กิริยา, ตาย กิริยนฺตรลกฺขณํ ภาเวนภาวลกฺขณํฯ ตตฺถ ยถา กาโล สภาวธมฺมปริจฺฉิโนฺน สยํ ปรมตฺถโต อวิชฺชมาโนปิ อาธารภาเวน ปญฺญาโต ตงฺขณปฺปวตฺตานํ ตโต ปุเพฺพ ปรโต จ อภาวโต ‘‘ปุพฺพเณฺห ชาโต, สายเนฺห คจฺฉตี’’ติ จ อาทีสุ, สมูโห จ อวยววินิมุโตฺต วิสุํ อวิชฺชมาโนปิ กปฺปนามตฺตสิโทฺธ อวยวานํ อาธารภาเวน ปญฺญาปียติ ยถา ‘‘รุเกฺข สาขา, ยวราสิยํ สมฺภูโต’’ติอาทีสุ, เอวํ อิธาปีติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อธิกรณญฺหิ…เป.… ธมฺมาน’’นฺติฯ ยสฺมิํ กาเล, ธมฺมปุเญฺช วา กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํ เอว กาเล ธมฺมปุเญฺช จ ผสฺสาทโยปิ โหนฺตีติ อยํ หิ ตตฺถ อโตฺถฯ ยถา จ ‘‘คาวีสุ ทุยฺหมานาสุ คโต, ทุทฺธาสุ อาคโต’’ติ โทหนกิริยาย คมนกิริยา ลกฺขียติ, เอวํ อิธาปิ ยสฺมิํ สมเย, ตสฺมิํ สมเยติ จ วุเตฺต ‘‘สตี’’ติ อยมโตฺถ วิญฺญายมาโน เอว โหติ ปทตฺถสฺส สตฺตาวิรหาภาวโตติ สมยสฺส สตฺตากิริยาย จิตฺตสฺส อุปฺปาทกิริยา ผสฺสาทิภวนกิริยา จ ลกฺขียติฯ ยสฺมิํ สมเยติ ยสฺมิํ นวเม ขเณ, ยสฺมิํ โยนิโสมนสิการาทิเหตุมฺหิ, ปจฺจยสมวาเย วา สติ กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํเยว ขเณ, เหตุมฺหิ, ปจฺจยสมวาเย วา ผสฺสาทโยปิ โหนฺตีติ อุภยตฺถ สมยสเทฺท ภุมฺมนิเทฺทโส กโต ลกฺขณภูตภาวยุโตฺตติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ขณ…เป.… ลกฺขียตี’’ติฯ

    Karaṇavacanena niddeso katoti sambandho. Tatthāti abhidhammatadaññasuttapadavinayesu. Tathāti bhummakaraṇehi. Adhikaraṇattho ādhārattho. Bhāvo nāma kiriyā, tāya kiriyantaralakkhaṇaṃ bhāvenabhāvalakkhaṇaṃ. Tattha yathā kālo sabhāvadhammaparicchinno sayaṃ paramatthato avijjamānopi ādhārabhāvena paññāto taṅkhaṇappavattānaṃ tato pubbe parato ca abhāvato ‘‘pubbaṇhe jāto, sāyanhe gacchatī’’ti ca ādīsu, samūho ca avayavavinimutto visuṃ avijjamānopi kappanāmattasiddho avayavānaṃ ādhārabhāvena paññāpīyati yathā ‘‘rukkhe sākhā, yavarāsiyaṃ sambhūto’’tiādīsu, evaṃ idhāpīti dassento āha ‘‘adhikaraṇañhi…pe… dhammāna’’nti. Yasmiṃ kāle, dhammapuñje vā kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃ eva kāle dhammapuñje ca phassādayopi hontīti ayaṃ hi tattha attho. Yathā ca ‘‘gāvīsu duyhamānāsu gato, duddhāsu āgato’’ti dohanakiriyāya gamanakiriyā lakkhīyati, evaṃ idhāpi yasmiṃ samaye, tasmiṃ samayeti ca vutte ‘‘satī’’ti ayamattho viññāyamāno eva hoti padatthassa sattāvirahābhāvatoti samayassa sattākiriyāya cittassa uppādakiriyā phassādibhavanakiriyā ca lakkhīyati. Yasmiṃ samayeti yasmiṃ navame khaṇe, yasmiṃ yonisomanasikārādihetumhi, paccayasamavāye vā sati kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃyeva khaṇe, hetumhi, paccayasamavāye vā phassādayopi hontīti ubhayattha samayasadde bhummaniddeso kato lakkhaṇabhūtabhāvayuttoti dassento āha ‘‘khaṇa…pe… lakkhīyatī’’ti.

    เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวติ ‘‘อเนฺนน วสติ, วิชฺชาย วสติ, ผรสุนา ฉินฺทติ, กุทาเลน ขณตี’’ติอาทีสุ วิยฯ วีติกฺกมญฺหิ สุตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาตาเปตฺวา โอติณฺณวตฺถุกํ ปุคฺคลํ ปฎิปุจฺฉิตฺวา วิครหิตฺวา จ ตํ ตํ วตฺถุโอติณฺณกาลํ อนติกฺกมิตฺวา เตเนว กาเลน สิกฺขาปทานิ ปญฺญเปโนฺต ภควา วิหรติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน ตติยปาราชิกาทีสุ วิยฯ

    Hetuattho karaṇattho ca sambhavati ‘‘annena vasati, vijjāya vasati, pharasunā chindati, kudālena khaṇatī’’tiādīsu viya. Vītikkamañhi sutvā bhikkhusaṅghaṃ sannipātāpetvā otiṇṇavatthukaṃ puggalaṃ paṭipucchitvā vigarahitvā ca taṃ taṃ vatthuotiṇṇakālaṃ anatikkamitvā teneva kālena sikkhāpadāni paññapento bhagavā viharati sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno tatiyapārājikādīsu viya.

    อจฺจนฺตเมว อารมฺภโต ปฎฺฐาย ยาว เทสนานิฎฺฐานํฯ ปรหิตปฎิปตฺติสงฺขาเตน กรุณาวิหาเรนฯ ตทตฺถโชตนตฺถนฺติ อจฺจนฺตสํโยคตฺถโชตนตฺถํฯ อุปโยคนิเทฺทโส กโต ยถา ‘‘มาสํ สชฺฌายตี’’ติ ฯ โปราณาติ อฎฺฐกถาจริยาฯ อภิลาปมตฺตเภโทติ วจนมเตฺตน วิเสโสฯ เตน สุตฺตวินเยสุ วิภตฺติพฺยตฺตโย กโตติ ทเสฺสติฯ

    Accantameva ārambhato paṭṭhāya yāva desanāniṭṭhānaṃ. Parahitapaṭipattisaṅkhātena karuṇāvihārena. Tadatthajotanatthanti accantasaṃyogatthajotanatthaṃ. Upayoganiddeso kato yathā ‘‘māsaṃ sajjhāyatī’’ti . Porāṇāti aṭṭhakathācariyā. Abhilāpamattabhedoti vacanamattena viseso. Tena suttavinayesu vibhattibyattayo katoti dasseti.

    เสฎฺฐนฺติ เสฎฺฐวาจกํ วจนํ ‘‘เสฎฺฐ’’นฺติ วุตฺตํ เสฎฺฐคุณสหจรณโต, ตถา ‘‘อุตฺตม’’นฺติ เอตฺถาปิฯ คารวยุโตฺตติ ครุภาวยุโตฺต ครุคุณโยคโต, ครุกรณารหตาย วา คารวยุโตฺตฯ วุโตฺตเยว, น ปน อิธ วตฺตโพฺพ วิสุทฺธิมคฺคสฺส อิมิสฺสา อฎฺฐกถาย เอกเทสภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ

    Seṭṭhanti seṭṭhavācakaṃ vacanaṃ ‘‘seṭṭha’’nti vuttaṃ seṭṭhaguṇasahacaraṇato, tathā ‘‘uttama’’nti etthāpi. Gāravayuttoti garubhāvayutto garuguṇayogato, garukaraṇārahatāya vā gāravayutto. Vuttoyeva, na pana idha vattabbo visuddhimaggassa imissā aṭṭhakathāya ekadesabhāvatoti adhippāyo.

    อปโร นโย (อิติวุ. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา; สารตฺถ. ฎี. ๑.๑.เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา; วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๑.๑๔๔) – ภาควาติ ภควา, ภตวาติ ภควา, ภาเค วนีติ ภควา, ภเค วนีติ ภควา, ภตฺตวาติ ภควา, ภเค วมีติ ภควา, ภาเค วมีติ ภควาฯ

    Aparo nayo (itivu. aṭṭha. nidānavaṇṇanā; sārattha. ṭī. 1.1.verañjakaṇḍavaṇṇanā; visuddhi. mahāṭī. 1.144) – bhāgavāti bhagavā, bhatavāti bhagavā, bhāge vanīti bhagavā, bhage vanīti bhagavā, bhattavāti bhagavā, bhage vamīti bhagavā, bhāge vamīti bhagavā.

    ‘‘ภาควา ภตวา ภาเค, ภเค จ วนิ ภตฺตวา;

    ‘‘Bhāgavā bhatavā bhāge, bhage ca vani bhattavā;

    ภเค วมิ ตถา ภาเค, วมีติ ภควา ชิโน’’ฯ

    Bhage vami tathā bhāge, vamīti bhagavā jino’’.

    ตตฺถ กถํ ภาควาติ ภควา? เย เต สีลาทโย ธมฺมกฺขนฺธา คุณภาคา คุณโกฎฺฐาสา, เต อนญฺญสาธารณา นิรติสยา ตถาคเต อตฺถิ อุปลพฺภนฺติฯ ตถา หิสฺส สีลํ สมาธิ ปญฺญา วิมุตฺติ วิมุตฺติญาณทสฺสนํ, หิรี โอตฺตปฺปํ, สทฺธา วีริยํ, สติ สมฺปชญฺญํ, สีลวิสุทฺธิ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิ, สมโถ วิปสฺสนา, ตีณิ กุสลมูลานิ, ตีณิ สุจริตานิ, ตโย สมฺมาวิตกฺกา, ติโสฺส อนวชฺชสญฺญา, ติโสฺส ธาตุโย, จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา, จตฺตาโร อริยมคฺคา, จตฺตาริ อริยผลานิ, จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา, จตุโยนิปริเจฺฉทกญาณานิ, จตฺตาโร อริยวํสา, จตฺตาริ เวสารชฺชญาณานิ, ปญฺจ ปธานิยงฺคานิ, ปญฺจงฺคิโก สมฺมาสมาธิ, ปญฺจญาณิโก สมฺมาสมาธิ, ปญฺจินฺทฺริยานิ, ปญฺจ พลานิ, ปญฺจ นิสฺสารณียา ธาตุโย, ปญฺจ วิมุตฺตายตนญาณานิ, ปญฺจ วิมุตฺติปริปาจนียา สญฺญา, ฉ อนุสฺสติฎฺฐานานิ, ฉ คารวา, ฉ นิสฺสารณียา ธาตุโย, ฉ สตตวิหารา, ฉ อนุตฺตริยานิ, ฉ นิเพฺพธภาคิยา สญฺญา, ฉ อภิญฺญา, ฉ อสาธารณญาณานิ, สตฺต อปริหานิยา ธมฺมา, สตฺต อริยธมฺมา, สตฺต อริยธนานิ, สตฺต โพชฺฌงฺคา, สตฺต สปฺปุริสธมฺมา, สตฺต นิชฺชรวตฺถูนิ, สตฺต สญฺญา, สตฺตทกฺขิเณยฺยปุคฺคลเทสนา, สตฺตขีณาสวพลเทสนา, อฎฺฐปญฺญาปฎิลาภเหตุเทสนา อฎฺฐ สมฺมตฺตานิ, อฎฺฐโลกธมฺมาติกฺกโม, อฎฺฐ อารมฺภวตฺถูนิ, อฎฺฐอกฺขณเทสนา, อฎฺฐ มหาปุริสวิตกฺกา, อฎฺฐอภิภายตนเทสนา, อฎฺฐ วิโมกฺขา, นว โยนิโสมนสิการมูลกา ธมฺมา, นว ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคานิ, นวสตฺตาวาสเทสนา, นว อาฆาตปฎิวินยา, นว สญฺญา, นวนานตฺตา, นว อนุปุพฺพวิหารา, ทส นาถกรณา ธมฺมา, ทส กสิณายตนานิ, ทส กุสลกมฺมปถา, ทส สมฺมตฺตานิ, ทส อริยวาสา, ทส อเสกฺขธมฺมา, ทส ตถาคตพลานิ, เอกาทส เมตฺตานิสํสา, ทฺวาทส ธมฺมาจกฺกาการา, เตรส ธุตคุณา, จุทฺทส พุทฺธญาณานิ, ปญฺจทส วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา, โสฬสวิธา อานาปานสฺสติ, โสฬส อปรนฺตปนียา ธมฺมา, อฎฺฐารส พุทฺธธมฺมา, เอกูนวีสติ ปจฺจเวกฺขณญาณานิ, จตุจตฺตาลีส ญาณวตฺถูนิ, ปญฺญาส อุทยพฺพยญาณานิ, ปโรปญฺญาส กุสลา ธมฺมา, สตฺตสตฺตติ ญาณวตฺถูนิ, จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขสมาปตฺติสญฺจาริมหาวชิรญาณํ , อนนฺตนยสมนฺตปฎฺฐาน-ปวิจย-ปจฺจเวกฺขณเทสนาญาณานิ, ตถา อนนฺตาสุ โลกธาตูสุ อนนฺตานํ สตฺตานํ อาสยาทิวิภาวนญาณานิ จาติ เอวมาทโย อนนฺตาปริมาณเภทา อนญฺญสาธารณา นิรติสยา คุณภาคา คุณโกฎฺฐาสา สํวิชฺชนฺติ อุปลพฺภนฺติ, ตสฺมา ยถาวุตฺตวิภาคา คุณภาคา อสฺส อตฺถีติ ‘‘ภาควา’’ติ วตฺตเพฺพ อาการสฺส รสฺสตฺตํ กตฺวา ‘‘ภควา’’ติ วุโตฺตฯ เอวํ ตาว ภาควาติ ภควา

    Tattha kathaṃ bhāgavāti bhagavā? Ye te sīlādayo dhammakkhandhā guṇabhāgā guṇakoṭṭhāsā, te anaññasādhāraṇā niratisayā tathāgate atthi upalabbhanti. Tathā hissa sīlaṃ samādhi paññā vimutti vimuttiñāṇadassanaṃ, hirī ottappaṃ, saddhā vīriyaṃ, sati sampajaññaṃ, sīlavisuddhi diṭṭhivisuddhi, samatho vipassanā, tīṇi kusalamūlāni, tīṇi sucaritāni, tayo sammāvitakkā, tisso anavajjasaññā, tisso dhātuyo, cattāro satipaṭṭhānā, cattāro sammappadhānā, cattāro iddhipādā, cattāro ariyamaggā, cattāri ariyaphalāni, catasso paṭisambhidā, catuyoniparicchedakañāṇāni, cattāro ariyavaṃsā, cattāri vesārajjañāṇāni, pañca padhāniyaṅgāni, pañcaṅgiko sammāsamādhi, pañcañāṇiko sammāsamādhi, pañcindriyāni, pañca balāni, pañca nissāraṇīyā dhātuyo, pañca vimuttāyatanañāṇāni, pañca vimuttiparipācanīyā saññā, cha anussatiṭṭhānāni, cha gāravā, cha nissāraṇīyā dhātuyo, cha satatavihārā, cha anuttariyāni, cha nibbedhabhāgiyā saññā, cha abhiññā, cha asādhāraṇañāṇāni, satta aparihāniyā dhammā, satta ariyadhammā, satta ariyadhanāni, satta bojjhaṅgā, satta sappurisadhammā, satta nijjaravatthūni, satta saññā, sattadakkhiṇeyyapuggaladesanā, sattakhīṇāsavabaladesanā, aṭṭhapaññāpaṭilābhahetudesanā aṭṭha sammattāni, aṭṭhalokadhammātikkamo, aṭṭha ārambhavatthūni, aṭṭhaakkhaṇadesanā, aṭṭha mahāpurisavitakkā, aṭṭhaabhibhāyatanadesanā, aṭṭha vimokkhā, nava yonisomanasikāramūlakā dhammā, nava pārisuddhipadhāniyaṅgāni, navasattāvāsadesanā, nava āghātapaṭivinayā, nava saññā, navanānattā, nava anupubbavihārā, dasa nāthakaraṇā dhammā, dasa kasiṇāyatanāni, dasa kusalakammapathā, dasa sammattāni, dasa ariyavāsā, dasa asekkhadhammā, dasa tathāgatabalāni, ekādasa mettānisaṃsā, dvādasa dhammācakkākārā, terasa dhutaguṇā, cuddasa buddhañāṇāni, pañcadasa vimuttiparipācanīyā dhammā, soḷasavidhā ānāpānassati, soḷasa aparantapanīyā dhammā, aṭṭhārasa buddhadhammā, ekūnavīsati paccavekkhaṇañāṇāni, catucattālīsa ñāṇavatthūni, paññāsa udayabbayañāṇāni, paropaññāsa kusalā dhammā, sattasattati ñāṇavatthūni, catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhasamāpattisañcārimahāvajirañāṇaṃ , anantanayasamantapaṭṭhāna-pavicaya-paccavekkhaṇadesanāñāṇāni, tathā anantāsu lokadhātūsu anantānaṃ sattānaṃ āsayādivibhāvanañāṇāni cāti evamādayo anantāparimāṇabhedā anaññasādhāraṇā niratisayā guṇabhāgā guṇakoṭṭhāsā saṃvijjanti upalabbhanti, tasmā yathāvuttavibhāgā guṇabhāgā assa atthīti ‘‘bhāgavā’’ti vattabbe ākārassa rassattaṃ katvā ‘‘bhagavā’’ti vutto. Evaṃ tāva bhāgavāti bhagavā.

    ‘‘ยสฺมา สีลาทโย สเพฺพ, คุณภาคา อเสสโต;

    ‘‘Yasmā sīlādayo sabbe, guṇabhāgā asesato;

    วิชฺชนฺติ สุคเต ตสฺมา, ภควาติ ปวุจฺจติ’’ฯ

    Vijjanti sugate tasmā, bhagavāti pavuccati’’.

    กถํ ภตวาติ ภควา? เย เต สพฺพโลกหิตาย อุสฺสุกฺกมาปเนฺนหิ มนุสฺสตฺตาทิเก อฎฺฐ ธเมฺม สโมธาเนตฺวา สมฺมาสโมฺพธิยา กตมหาภินีหาเรหิ มหาโพธิสเตฺตหิ ปริปูริตพฺพา ทานปารมี, สีล, เนกฺขมฺม, ปญฺญา, วีริย, ขนฺติ, สจฺจ, อธิฎฺฐาน, เมตฺตา, อุเปกฺขาปารมีติ ทส ปารมิโย, ทส อุปปารมิโย, ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมติํส ปารมิโย, ทานาทีนิ จตฺตาริ สงฺคหวตฺถูนิ, สจฺจาทีนิ จตฺตาริ อธิฎฺฐานานิ, องฺคปริจฺจาโค, ชีวิต, รชฺช, ปุตฺต, ทารปริจฺจาโคติ ปญฺจ มหาปริจฺจาคา, ปุพฺพโยโค, ปุพฺพจริยา, ธมฺมกฺขานํ, ญาตตฺถจริยา, โลกตฺถจริยา, พุทฺธิจริยาติ เอวมาทโย, สเงฺขปโต วา สเพฺพ ปุญฺญญาณสมฺภารา พุทฺธกรธมฺมา, เต มหาภินีหารโต ปฎฺฐาย กปฺปานํ สตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ยถา หานภาคิยา สํกิเลสภาคิยา ฐิติภาคิยา วา น โหนฺติ, อถ โข อุตฺตรุตฺตริ วิเสสภาคิยาว โหนฺติ, เอวํ สกฺกจฺจํ นิรนฺตรํ อนวเสสโต ภตา สมฺภตา อสฺส อตฺถีติ ‘‘ภตวา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ภควา’’ติ วุโตฺต นิรุตฺตินเยน ต-การสฺส ค-การํ กตฺวา ฯ อถ วา ภตวาติ เตเยว ยถาวุเตฺต พุทฺธกรธเมฺม วุตฺตนเยเนว ภริ, สมฺภริ, ปริปูเรสีติ อโตฺถฯ เอวมฺปิ ภตวาติ ภควา

    Kathaṃ bhatavāti bhagavā? Ye te sabbalokahitāya ussukkamāpannehi manussattādike aṭṭha dhamme samodhānetvā sammāsambodhiyā katamahābhinīhārehi mahābodhisattehi paripūritabbā dānapāramī, sīla, nekkhamma, paññā, vīriya, khanti, sacca, adhiṭṭhāna, mettā, upekkhāpāramīti dasa pāramiyo, dasa upapāramiyo, dasa paramatthapāramiyoti samatiṃsa pāramiyo, dānādīni cattāri saṅgahavatthūni, saccādīni cattāri adhiṭṭhānāni, aṅgapariccāgo, jīvita, rajja, putta, dārapariccāgoti pañca mahāpariccāgā, pubbayogo, pubbacariyā, dhammakkhānaṃ, ñātatthacariyā, lokatthacariyā, buddhicariyāti evamādayo, saṅkhepato vā sabbe puññañāṇasambhārā buddhakaradhammā, te mahābhinīhārato paṭṭhāya kappānaṃ satasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni yathā hānabhāgiyā saṃkilesabhāgiyā ṭhitibhāgiyā vā na honti, atha kho uttaruttari visesabhāgiyāva honti, evaṃ sakkaccaṃ nirantaraṃ anavasesato bhatā sambhatā assa atthīti ‘‘bhatavā’’ti vattabbe ‘‘bhagavā’’ti vutto niruttinayena ta-kārassa ga-kāraṃ katvā . Atha vā bhatavāti teyeva yathāvutte buddhakaradhamme vuttanayeneva bhari, sambhari, paripūresīti attho. Evampi bhatavāti bhagavā.

    ‘‘สมฺมาสโมฺพธิยา สเพฺพ, ทานปารมิอาทิเก;

    ‘‘Sammāsambodhiyā sabbe, dānapāramiādike;

    สมฺภาเร ภตวา นาโถ, ตสฺมาปิ ภควา มโต’’ฯ

    Sambhāre bhatavā nātho, tasmāpi bhagavā mato’’.

    กถํ ภาเค วนีติ ภควา? เย เต จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขา เทวสิกํ วฬญฺชนกสมาปตฺติภาคา, เต อนวเสสโต โลกหิตตฺถํ อตฺตโน จ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถํ นิจฺจกปฺปํ วนิ, ภชิ, เสวิ, พหุลมกาสีติ ภาเค วนีติ ภควาฯ อถ วา อภิเญฺญยฺยธเมฺมสุ กุสลาทีสุ ขนฺธาทีสุ จ เย เต ปริเญฺญยฺยาทิวเสน สเงฺขปโต วา จตุพฺพิธา อภิสมยภาคา, วิตฺถารโต ปน ‘‘จกฺขุ ปริเญฺญยฺยํ โสตํ…เป.… ชรามรณํ ปริเญฺญยฺย’’นฺติอาทินา (ปฎิ. ม. ๑.๒๑) อเนเก ปริเญฺญยฺยภาคา, ‘‘จกฺขุสฺส สมุทโย ปหาตโพฺพ…เป.… ชรามรณสฺส สมุทโย ปหาตโพฺพ’’ติอาทินา ปหาตพฺพภาคา, ‘‘จกฺขุสฺส นิโรโธ…เป.… ชรามรณสฺส นิโรโธ สจฺฉิกาตโพฺพ’’ติอาทินา สจฺฉิกาตพฺพภาคา, ‘‘จกฺขุนิโรธคามินีปฎิปทา’’ติอาทินา, ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติอาทินา จ อเนกเภทา ภาเวตพฺพภาคา จ ธมฺมา, เต สเพฺพ วนิ, ภชิ, ยถารหํ โคจรภาวนาเสวนานํ วเสน เสวิฯ เอวมฺปิ ภาเค วนีติ ภควาฯ อถ วา ‘‘เย อิเม สีลาทโย ธมฺมกฺขนฺธา สาวเกหิ สาธารณา คุณโกฎฺฐาสา คุณภาคา, กินฺติ นุ โข เต วิเนยฺยสนฺตาเนสุ ปติฎฺฐเปยฺย’’นฺติ มหากรุณาย วนิ อภิปตฺถยิ, สา จสฺส อภิปตฺถนา ยถาธิเปฺปตผลาวหา อโหสิฯ เอวมฺปิ ภาเค วนีติ ภควา

    Kathaṃ bhāge vanīti bhagavā? Ye te catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhā devasikaṃ vaḷañjanakasamāpattibhāgā, te anavasesato lokahitatthaṃ attano ca diṭṭhadhammasukhavihāratthaṃ niccakappaṃ vani, bhaji, sevi, bahulamakāsīti bhāge vanīti bhagavā. Atha vā abhiññeyyadhammesu kusalādīsu khandhādīsu ca ye te pariññeyyādivasena saṅkhepato vā catubbidhā abhisamayabhāgā, vitthārato pana ‘‘cakkhu pariññeyyaṃ sotaṃ…pe… jarāmaraṇaṃ pariññeyya’’ntiādinā (paṭi. ma. 1.21) aneke pariññeyyabhāgā, ‘‘cakkhussa samudayo pahātabbo…pe… jarāmaraṇassa samudayo pahātabbo’’tiādinā pahātabbabhāgā, ‘‘cakkhussa nirodho…pe… jarāmaraṇassa nirodho sacchikātabbo’’tiādinā sacchikātabbabhāgā, ‘‘cakkhunirodhagāminīpaṭipadā’’tiādinā, ‘‘cattāro satipaṭṭhānā’’tiādinā ca anekabhedā bhāvetabbabhāgā ca dhammā, te sabbe vani, bhaji, yathārahaṃ gocarabhāvanāsevanānaṃ vasena sevi. Evampi bhāge vanīti bhagavā. Atha vā ‘‘ye ime sīlādayo dhammakkhandhā sāvakehi sādhāraṇā guṇakoṭṭhāsā guṇabhāgā, kinti nu kho te vineyyasantānesu patiṭṭhapeyya’’nti mahākaruṇāya vani abhipatthayi, sā cassa abhipatthanā yathādhippetaphalāvahā ahosi. Evampi bhāge vanīti bhagavā.

    ‘‘ยสฺมา เญยฺยสมาปตฺติ-คุณภาเค ตถาคโต;

    ‘‘Yasmā ñeyyasamāpatti-guṇabhāge tathāgato;

    ภชิ ปตฺถยิ สตฺตานํ, หิตาย ภควา ตโต’’ฯ

    Bhaji patthayi sattānaṃ, hitāya bhagavā tato’’.

    กถํ ภเค วนีติ ภควา? สมาสโต ตาว กตปุเญฺญหิ ปโยคสมฺปเนฺนหิ ยถาวิภวํ ภชียนฺตีติ ภคา, โลกิยโลกุตฺตรสมฺปตฺติโยฯ ตตฺถ โลกิเย ตาว ตถาคโต สมฺมาสโมฺพธิโต ปุเพฺพ โพธิสตฺตภูโต ปรมุกฺกํสคเต, วนิ, ภชิ, เสวิ, ยตฺถ ปติฎฺฐาย นิรวเสสโต พุทฺธกรธเมฺม สมนฺนาเนโนฺต พุทฺธธเมฺม ปริปาเจสิ, พุทฺธภูโต ปน เต นิรวเชฺชสุ อุปสํหิเต อนญฺญสาธารเณ โลกุตฺตเรปิ, วนิ, ภชิ, เสวิ, วิตฺถารโต ปน ปเทสรชฺช-อิสฺสริยจกฺกวตฺติสมฺปตฺติ-เทวรชฺชสมฺปตฺติอาทิวเสน ฌาน-วิโมกฺข-สมาธิสมาปตฺติ-ญาณทสฺสน-มคฺคภาวนา-ผลสจฺฉิ-กิริยาทิ-อุตฺตริมนุสฺสธมฺมวเสน จ อเนกวิหิเต อนญฺญสาธารเณ, ภเค, วนิ, ภชิ, เสวิฯ เอวมฺปิ ภเค วนีติ ภควา

    Kathaṃ bhage vanīti bhagavā? Samāsato tāva katapuññehi payogasampannehi yathāvibhavaṃ bhajīyantīti bhagā, lokiyalokuttarasampattiyo. Tattha lokiye tāva tathāgato sammāsambodhito pubbe bodhisattabhūto paramukkaṃsagate, vani, bhaji, sevi, yattha patiṭṭhāya niravasesato buddhakaradhamme samannānento buddhadhamme paripācesi, buddhabhūto pana te niravajjesu upasaṃhite anaññasādhāraṇe lokuttarepi, vani, bhaji, sevi, vitthārato pana padesarajja-issariyacakkavattisampatti-devarajjasampattiādivasena jhāna-vimokkha-samādhisamāpatti-ñāṇadassana-maggabhāvanā-phalasacchi-kiriyādi-uttarimanussadhammavasena ca anekavihite anaññasādhāraṇe, bhage, vani, bhaji, sevi. Evampi bhage vanīti bhagavā.

    ‘‘ยา ตา สมฺปตฺติโย โลเก, ยา จ โลกุตฺตรา ปุถุ;

    ‘‘Yā tā sampattiyo loke, yā ca lokuttarā puthu;

    สพฺพา ตา ภชิ สมฺพุโทฺธ, ตสฺมาปิ ภควา มโต’’ฯ

    Sabbā tā bhaji sambuddho, tasmāpi bhagavā mato’’.

    กถํ สตฺตวาติ ภควา? ภตฺตา ทฬฺหภตฺติกา อสฺส พหู อตฺถีติ ภตฺตวาฯ ตถาคโต หิ มหากรุณาสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิ-อปริมิตนิรุปมปฺปภาว-คุณวิเสสสมงฺคิภาวโต สพฺพสตฺตุตฺตโม, สพฺพานตฺถปริหารปุพฺพงฺคมาย นิรวเสสหิตสุขวิธานตปฺปราย นิรติสยาย ปโยคสมฺปตฺติยา สเทวมนุสฺสาย ปชาย อจฺจนฺตุปการิตาย ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณอสีติ อนุพฺยญฺชนพฺยามปฺปภาทิ อนญฺญสาธารณวิเสสปฎิมณฺฑิตรูปกายตาย ยถาภุจฺจคุณาธิคเตน ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินยปฺปวเตฺตน โลกตฺตยพฺยาปินา สุวิปุเลน สุวิสุเทฺธน จ ถุติโฆเสน สมนฺนาคตตฺตา อุกฺกํสปารมิปฺปตฺตาสุ อปฺปิจฺฉตาสนฺตุฎฺฐิอาทีสุ สุปฺปติฎฺฐิตภาวโต ทสพลจตุเวสารชฺชาทิ-นิรติสยคุณวิเสส-สมงฺคีภาวโต จ รูปปฺปมาโณ รูปปฺปสโนฺน, โฆสปฺปมาโณ โฆสปฺปสโนฺน, ลูขปฺปมาโณ ลูขปฺปสโนฺน, ธมฺมปฺปมาโณ ธมฺมปฺปสโนฺนติ เอวํ จตุปฺปมาณิเก โลกสนฺนิวาเส สพฺพถาปิ ปสาทาวหภาเวน สมนฺตปาสาทิกตฺตา อปริมาณานํ สตฺตานํ สเทวมนุสฺสานํ อาทรพหุมานคารวายตนตาย ปรมเปมสมฺภตฺติฎฺฐานํฯ เย ตสฺส โอวาเท ปติฎฺฐิตา อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคตา โหนฺติ, เกนจิ อสํหาริยา เตสํ ปสาทภตฺติ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วาฯ ตถา หิ เต อตฺตโน ชีวิตปริจฺจาเคปิ ตตฺถ ปสาทํ น ปริจฺจชนฺติ, ตสฺส วา อาณํ ทฬฺหภตฺติภาวโตฯ

    Kathaṃ sattavāti bhagavā? Bhattā daḷhabhattikā assa bahū atthīti bhattavā. Tathāgato hi mahākaruṇāsabbaññutaññāṇādi-aparimitanirupamappabhāva-guṇavisesasamaṅgibhāvato sabbasattuttamo, sabbānatthaparihārapubbaṅgamāya niravasesahitasukhavidhānatapparāya niratisayāya payogasampattiyā sadevamanussāya pajāya accantupakāritāya dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇaasīti anubyañjanabyāmappabhādi anaññasādhāraṇavisesapaṭimaṇḍitarūpakāyatāya yathābhuccaguṇādhigatena ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinayappavattena lokattayabyāpinā suvipulena suvisuddhena ca thutighosena samannāgatattā ukkaṃsapāramippattāsu appicchatāsantuṭṭhiādīsu suppatiṭṭhitabhāvato dasabalacatuvesārajjādi-niratisayaguṇavisesa-samaṅgībhāvato ca rūpappamāṇo rūpappasanno, ghosappamāṇo ghosappasanno, lūkhappamāṇo lūkhappasanno, dhammappamāṇo dhammappasannoti evaṃ catuppamāṇike lokasannivāse sabbathāpi pasādāvahabhāvena samantapāsādikattā aparimāṇānaṃ sattānaṃ sadevamanussānaṃ ādarabahumānagāravāyatanatāya paramapemasambhattiṭṭhānaṃ. Ye tassa ovāde patiṭṭhitā aveccappasādena samannāgatā honti, kenaci asaṃhāriyā tesaṃ pasādabhatti samaṇena vā brāhmaṇena vā devena vā mārena vā brahmunā vā. Tathā hi te attano jīvitapariccāgepi tattha pasādaṃ na pariccajanti, tassa vā āṇaṃ daḷhabhattibhāvato.

    เตเนวาห –

    Tenevāha –

    ‘‘โย เว กตญฺญู กตเวทิ ธีโร;

    ‘‘Yo ve kataññū katavedi dhīro;

    กลฺยาณมิโตฺต ทฬฺหภตฺติ จ โหตี’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๗๘);

    Kalyāṇamitto daḷhabhatti ca hotī’’ti. (jā. 2.17.78);

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มหาสมุโทฺท ฐิตธโมฺม เวลํ นาติวตฺตติ, เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยํ มยา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตํ มม สาวกา ชีวิตเหตุปิ นาติกฺกมนฺตี’’ติ (อุทา. ๔๕; จูฬว. ๓๘๕) จฯ –

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, mahāsamuddo ṭhitadhammo velaṃ nātivattati, evameva kho, bhikkhave, yaṃ mayā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ, taṃ mama sāvakā jīvitahetupi nātikkamantī’’ti (udā. 45; cūḷava. 385) ca. –

    เอวํ ภตฺตวาติ ภควา นิรุตฺตินเยน เอกสฺส ต-การสฺส โลปํ กตฺวา อิตรสฺส ค-การํ กตฺวาฯ

    Evaṃ bhattavāti bhagavā niruttinayena ekassa ta-kārassa lopaṃ katvā itarassa ga-kāraṃ katvā.

    ‘‘คุณาติสยยุตฺตสฺส, ยสฺมา โลกหิเตสิโน;

    ‘‘Guṇātisayayuttassa, yasmā lokahitesino;

    สมฺภตฺตา พหโว สตฺถุ, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ

    Sambhattā bahavo satthu, bhagavā tena vuccatī’’ti.

    กถํ ภเค วมีติ ภควา? ยสฺมา ตถาคโต โพธิสตฺตภูโตปิ อปริมาณาสุ ชาตีสุ ปารมิโย ปริปูเรโนฺต ภคสงฺขาตํ สิริํ อิสฺสริยํ ยสญฺจ วมิ อุคฺคิริ, เขฬปิณฺฑํ วิย อนเปโกฺข ฉฑฺฑยิ, จริมตฺตภาเวปิ หตฺถคตํ จกฺกวตฺติสิริํ เทวโลกาธิปจฺจสทิสํ จตุทีปิสฺสริยํ จกฺกวตฺติสมฺปตฺติสนฺนิสฺสยํ สตฺตรตนสมุชฺชลํ ยสญฺจ ติณายปิ อมญฺญมาโน นิรเปโกฺข ปหาย อภินิกฺขมิตฺวา สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ, ตสฺมา อิเม สิรีอาทิเก ภเค วมีติ ภควาฯ อถ วา ภานิ นาม นกฺขตฺตานิ, เตหิ สมํ คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺตีติ ภคา, สิเนรุยุคนฺธรอุตฺตรกุรุหิมวนฺตาทิภาชนโลกวิเสสสนฺนิสฺสยา โสภา กปฺปฎฺฐิยภาวโต, เตปิ ภควา วมิ ตนฺนิวาสิสตฺตาวาสสมติกฺกมโต ตปฺปฎิพทฺธฉนฺทราคปฺปหาเนน ปชหีติฯ เอวมฺปิ ภเค วมีติ ภควา

    Kathaṃ bhage vamīti bhagavā? Yasmā tathāgato bodhisattabhūtopi aparimāṇāsu jātīsu pāramiyo paripūrento bhagasaṅkhātaṃ siriṃ issariyaṃ yasañca vami uggiri, kheḷapiṇḍaṃ viya anapekkho chaḍḍayi, carimattabhāvepi hatthagataṃ cakkavattisiriṃ devalokādhipaccasadisaṃ catudīpissariyaṃ cakkavattisampattisannissayaṃ sattaratanasamujjalaṃ yasañca tiṇāyapi amaññamāno nirapekkho pahāya abhinikkhamitvā sammāsambodhiṃ abhisambuddho, tasmā ime sirīādike bhage vamīti bhagavā. Atha vā bhāni nāma nakkhattāni, tehi samaṃ gacchanti pavattantīti bhagā, sineruyugandharauttarakuruhimavantādibhājanalokavisesasannissayā sobhā kappaṭṭhiyabhāvato, tepi bhagavā vami tannivāsisattāvāsasamatikkamato tappaṭibaddhachandarāgappahānena pajahīti. Evampi bhage vamīti bhagavā.

    ‘‘จกฺกวตฺติสิริํ ยสฺมา, ยสํ อิสฺสริยํ สุขํ;

    ‘‘Cakkavattisiriṃ yasmā, yasaṃ issariyaṃ sukhaṃ;

    ปหาสิ โลกจิตฺตญฺจ, สุคโต ภควา ตโต’’ฯ

    Pahāsi lokacittañca, sugato bhagavā tato’’.

    กถํ ภาเค วมีติ ภควา? ภาคา นาม สภาคธมฺมโกฎฺฐาสา, เต ขนฺธายตนธาตาทิวเสน, ตตฺถาปิ รูปเวทนาทิวเสน ปถวิยาทิวเสน อตีตาทิวเสน จ อเนกวิธา, เต จ ภควา สพฺพํ ปปญฺจํ สพฺพํ โยคํ สพฺพํ คนฺถํ สพฺพํ สํโยชนํ สมุจฺฉินฺทิตฺวา อมตธาตุํ สมธิคจฺฉโนฺต วมิ อุคฺคิริ, อนเปโกฺข ฉฑฺฑยิ น ปจฺจาวมิฯ ตถา เหส ‘‘สพฺพตฺถกเมว ปถวิํ อาปํ เตชํ วายํ, จกฺขุํ โสตํ ฆานํ ชิวฺหํ กายํ มนํ, รูเป สเทฺท คเนฺธ รเส โผฎฺฐเพฺพ ธเมฺม, จกฺขุวิญฺญาณํ…เป.… มโนวิญฺญาณํ, จกฺขุสมฺผสฺสํ…เป.… มโนสมฺผสฺสํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ เวทนํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ เวทนํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ สญฺญํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ สญฺญํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ เจตนํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ เจตนํ, รูปตณฺหํ…เป.… ธมฺมตณฺหํ, รูปวิตกฺกํ…เป.… ธมฺมวิตกฺกํ, รูปวิจารํ…เป.… ธมฺมวิจาร’’นฺติอาทินา อนุปทธมฺมวิภาควเสนปิ สเพฺพว ธมฺมโกฎฺฐาเส อนวเสสโต วมิ อุคฺคิริ, อนเปกฺขปริจฺจาเคน ฉฑฺฑยิฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ยํ ตํ, อานนฺท, จตฺตํ วนฺตํ มุตฺตํ ปหีนํ ปฎินิสฺสฎฺฐํ, ตํ ตถาคโต ปุน ปจฺจาวมิสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๘๓)ฯ เอวมฺปิ ภาเค วมีติ ภควาฯ อถ วา ภาเค วมีติ สเพฺพปิ กุสลากุสเล สาวชฺชานวเชฺช หีนปณีเต กณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาเค ธเมฺม อริยมคฺคญาณมุเขน วมิ อุคฺคิริ, อนเปโกฺข ปริจฺจชิ ปชหิ, ปเรสญฺจ ตถตฺตาย ธมฺมํ เทเสสิฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘ธมฺมาปิ โว, ภิกฺขเว, ปหาตพฺพา, ปเคว อธมฺมา (ม. นิ. ๑.๒๔๐)ฯ กุลฺลูปมํ โว, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสสฺสามิ นิตฺถรณตฺถาย, โน คหณตฺถายา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒๔๐)ฯ เอวมฺปิ ภาเค วมีติ ภควา

    Kathaṃ bhāge vamīti bhagavā? Bhāgā nāma sabhāgadhammakoṭṭhāsā, te khandhāyatanadhātādivasena, tatthāpi rūpavedanādivasena pathaviyādivasena atītādivasena ca anekavidhā, te ca bhagavā sabbaṃ papañcaṃ sabbaṃ yogaṃ sabbaṃ ganthaṃ sabbaṃ saṃyojanaṃ samucchinditvā amatadhātuṃ samadhigacchanto vami uggiri, anapekkho chaḍḍayi na paccāvami. Tathā hesa ‘‘sabbatthakameva pathaviṃ āpaṃ tejaṃ vāyaṃ, cakkhuṃ sotaṃ ghānaṃ jivhaṃ kāyaṃ manaṃ, rūpe sadde gandhe rase phoṭṭhabbe dhamme, cakkhuviññāṇaṃ…pe… manoviññāṇaṃ, cakkhusamphassaṃ…pe… manosamphassaṃ, cakkhusamphassajaṃ vedanaṃ…pe… manosamphassajaṃ vedanaṃ, cakkhusamphassajaṃ saññaṃ…pe… manosamphassajaṃ saññaṃ, cakkhusamphassajaṃ cetanaṃ…pe… manosamphassajaṃ cetanaṃ, rūpataṇhaṃ…pe… dhammataṇhaṃ, rūpavitakkaṃ…pe… dhammavitakkaṃ, rūpavicāraṃ…pe… dhammavicāra’’ntiādinā anupadadhammavibhāgavasenapi sabbeva dhammakoṭṭhāse anavasesato vami uggiri, anapekkhapariccāgena chaḍḍayi. Vuttañhetaṃ ‘‘yaṃ taṃ, ānanda, cattaṃ vantaṃ muttaṃ pahīnaṃ paṭinissaṭṭhaṃ, taṃ tathāgato puna paccāvamissatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti (dī. ni. 2.183). Evampi bhāge vamīti bhagavā. Atha vā bhāge vamīti sabbepi kusalākusale sāvajjānavajje hīnapaṇīte kaṇhasukkasappaṭibhāge dhamme ariyamaggañāṇamukhena vami uggiri, anapekkho pariccaji pajahi, paresañca tathattāya dhammaṃ desesi. Vuttampi cetaṃ ‘‘dhammāpi vo, bhikkhave, pahātabbā, pageva adhammā (ma. ni. 1.240). Kullūpamaṃ vo, bhikkhave, dhammaṃ desessāmi nittharaṇatthāya, no gahaṇatthāyā’’tiādi (ma. ni. 1.240). Evampi bhāge vamīti bhagavā.

    ‘‘ขนฺธายตนธาตาทิ-ธมฺมภาคา-มเหสินา;

    ‘‘Khandhāyatanadhātādi-dhammabhāgā-mahesinā;

    กณฺหสุกฺกา ยโต วนฺตา, ตโตปิ ภควา มโต’’ฯ

    Kaṇhasukkā yato vantā, tatopi bhagavā mato’’.

    เตน วุตฺตํ –

    Tena vuttaṃ –

    ‘‘ภาควา ภตวา ภาเค, ภเค จ วนิ ภตฺตวา;

    ‘‘Bhāgavā bhatavā bhāge, bhage ca vani bhattavā;

    ภเค วมิ ตถา ภาเค, วมีติ ภควา ชิโน’’ติฯ

    Bhage vami tathā bhāge, vamīti bhagavā jino’’ti.

    ธมฺมสรีรํ ปจฺจกฺขํ กโรตีติ ‘‘โย โว, อานนฺท, มยา ธโมฺม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญโตฺต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถา’’ติ วจนโต ธมฺมสฺส สตฺถุภาวปริยาโย วิชฺชตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ วชิรสงฺฆาตสมานกาโย ปเรหิ อเภชฺชสรีรตฺตาฯ น หิ ภควโต รูปกาเย เกนจิ สกฺกา อนฺตรายํ กาตุนฺติฯ เทสนาสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ วกฺขมานสฺส สกลสฺส สุตฺตสฺส ‘‘เอว’’นฺติ นิทสฺสนโตฯ สาวกสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ ปฎิสมฺภิทาปฺปเตฺตน ปญฺจสุ ฐาเนสุ ภควตา เอตทเคฺค ฐปิเตน มยา มหาสาวเกน สุตํ, ตญฺจ โข มยาว สุตํ, น อนุสฺสุตํ น ปรํปราภตนฺติ อิมสฺสตฺถสฺส ทีปนโตฯ กาลสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ ภควาสทฺทสนฺนิธาเน ปยุตฺตสฺส สมยสทฺทสฺส พุทฺธุปฺปาทปฎิมณฺฑิตภาวทีปนโตฯ พุทฺธุปฺปาทปรมา หิ กาลสมฺปทาฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Dhammasarīraṃ paccakkhaṃ karotīti ‘‘yo vo, ānanda, mayā dhammo ca vinayo ca desito paññatto, so vo mamaccayena satthā’’ti vacanato dhammassa satthubhāvapariyāyo vijjatīti katvā vuttaṃ. Vajirasaṅghātasamānakāyo parehi abhejjasarīrattā. Na hi bhagavato rūpakāye kenaci sakkā antarāyaṃ kātunti. Desanāsampattiṃ niddisati vakkhamānassa sakalassa suttassa ‘‘eva’’nti nidassanato. Sāvakasampattiṃ niddisati paṭisambhidāppattena pañcasu ṭhānesu bhagavatā etadagge ṭhapitena mayā mahāsāvakena sutaṃ, tañca kho mayāva sutaṃ, na anussutaṃ na paraṃparābhatanti imassatthassa dīpanato. Kālasampattiṃ niddisati bhagavāsaddasannidhāne payuttassa samayasaddassa buddhuppādapaṭimaṇḍitabhāvadīpanato. Buddhuppādaparamā hi kālasampadā. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘กปฺปกสาเย กลิยุเค, พุทฺธุปฺปาโท อโห มหจฺฉริยํ;

    ‘‘Kappakasāye kaliyuge, buddhuppādo aho mahacchariyaṃ;

    หุตาวหมเชฺฌ ชาตํ, สมุทิตมกรนฺทมรวินฺท’’นฺติฯ

    Hutāvahamajjhe jātaṃ, samuditamakarandamaravinda’’nti.

    ภควาติ เทสกสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมภาวทีปนโต ครุคารวาธิวจนภาวโตฯ

    Bhagavāti desakasampattiṃ niddisati guṇavisiṭṭhasattuttamabhāvadīpanato garugāravādhivacanabhāvato.

    อวิเสเสนาติ น วิเสเสน, วิหารภาวสามเญฺญนาติ อโตฺถฯ อิริยาปถ…เป.… วิหาเรสูติ อิริยาปถวิหาโร, ทิพฺพวิหาโร, พฺรหฺมวิหาโร, อริยวิหาโรติ เอเตสุ จตูสุ วิหาเรสุฯ สมงฺคีปริทีปนนฺติ สมงฺคีภาวปริทีปนํฯ เอตนฺติ ‘‘วิหรตี’’ติ เอตํ ปทํฯ ตถา หิ ตํ ‘‘อิเธกโจฺจ คิหีหิ สํสโฎฺฐ วิหรติ สหนนฺที สหโสกี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๒๔๑) อิริยาปถวิหาเร อาคตํฯ ‘‘ยสฺมิํ, ภิกฺขเว, สมเย ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรตี’’ติ (ธ. ส. ๑๖๐; วิภ. ๖๒๔) เอตฺถ ทิพฺพวิหาเรฯ ‘‘โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๕๕๖; ๓.๓๐๘; ม. นิ. ๑.๗๗; ๒.๓๐๙; ๓.๒๓๐) พฺรหฺมวิหาเรฯ ‘‘โส โข อหํ, อคฺคิเวสฺสน, ตสฺสาเยว กถาย ปริโยสาเน ตสฺมิํ เอว ปุริมสฺมิํ สมาธินิมิเตฺต อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สณฺฐเปมิ สนฺนิสาเทมิ เอโกทิํ กโรมิ สมาทหามิ, เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) อริยวิหาเรฯ

    Avisesenāti na visesena, vihārabhāvasāmaññenāti attho. Iriyāpatha…pe… vihāresūti iriyāpathavihāro, dibbavihāro, brahmavihāro, ariyavihāroti etesu catūsu vihāresu. Samaṅgīparidīpananti samaṅgībhāvaparidīpanaṃ. Etanti ‘‘viharatī’’ti etaṃ padaṃ. Tathā hi taṃ ‘‘idhekacco gihīhi saṃsaṭṭho viharati sahanandī sahasokī’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.241) iriyāpathavihāre āgataṃ. ‘‘Yasmiṃ, bhikkhave, samaye bhikkhu vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharatī’’ti (dha. sa. 160; vibha. 624) ettha dibbavihāre. ‘‘So mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharatī’’tiādīsu (dī. ni. 1.556; 3.308; ma. ni. 1.77; 2.309; 3.230) brahmavihāre. ‘‘So kho ahaṃ, aggivessana, tassāyeva kathāya pariyosāne tasmiṃ eva purimasmiṃ samādhinimitte ajjhattameva cittaṃ saṇṭhapemi sannisādemi ekodiṃ karomi samādahāmi, yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.387) ariyavihāre.

    ตตฺถ อิริยนํ วตฺตนํ อิริยา, กายปฺปโยโคฯ ตสฺสา ปวตฺตนุปายภาวโต ฐานาทิ อิริยาปโถฯ ฐานสมงฺคี วา หิ กาเยน กิญฺจิ กเรยฺย คมนาทีสุ อญฺญตรสมงฺคี วาฯ อถ วา อิริยติ ปวตฺตติ เอเตน อตฺตภาโว กายกิจฺจํ วาติ อิริยา, ตสฺสา ปวตฺติอุปายภาวโต อิริยา จ โส ปโถ จาติ อิริยาปโถ, ฐานาทิ เอวฯ โส จ อตฺถโต คตินิวตฺติอาทิอากาเรน ปวโตฺต จตุสนฺตติรูปปพโนฺธ เอวฯ วิหรณํ, วิหรติ เอเตนาติ วา วิหาโร, อิริยาปโถ เอว วิหาโร อิริยาปถวิหาโรฯ ทิวิ ภโว ทิโพฺพ, ตตฺถ พหุลปฺปวตฺติยา พฺรหฺมปาริสชฺชาทิเทวโลเก ภโวติ อโตฺถฯ ตตฺถ โย ทิพฺพานุภาโว, ตทตฺถาย สํวตฺตตีติ วา ทิโพฺพ, อภิญฺญาภินีหารวเสน มหาคติกตฺตา วา ทิโพฺพ, ทิโพฺพ จ โส วิหาโร จาติ ทิพฺพวิหาโร, จตโสฺส รูปาวจรสมาปตฺติโยฯ อารุปฺปสมาปตฺติโยปิ เอเตฺถว สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ พฺรหฺมูนํ, พฺรหฺมาโน วา วิหารา พฺรหฺมวิหารา, จตโสฺส อปฺปมญฺญาโยฯ อริยานํ, อริยา วา วิหารา อริยวิหารา, จตฺตาริ สามญฺญผลานิฯ โส หิ เอกํ อิริยาปถพาธนนฺติอาทิ ยทิปิ ภควา เอเกนปิ อิริยาปเถน จิรตรํ กาลํ อตฺตภาวํ ปวเตฺตตุํ สโกฺกติ, ตถาปิ อุปาทินฺนกสรีรสฺส นาม อยํ สภาโวติ ทเสฺสตุํ วุตฺตํ ฯ ยสฺมา วา ภควา ยตฺถ กตฺถจิ วสโนฺต วิเนยฺยานํ ธมฺมํ เทเสโนฺต, นานาสมาปตฺตีหิ จ กาลํ วีตินาเมโนฺต วสตีติ สตฺตานํ อตฺตโน จ วิวิธํ หิตสุขํ หรติ อุปเนติ อุปฺปาเทติ, ตสฺมา วิวิธํ หรตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Tattha iriyanaṃ vattanaṃ iriyā, kāyappayogo. Tassā pavattanupāyabhāvato ṭhānādi iriyāpatho. Ṭhānasamaṅgī vā hi kāyena kiñci kareyya gamanādīsu aññatarasamaṅgī vā. Atha vā iriyati pavattati etena attabhāvo kāyakiccaṃ vāti iriyā, tassā pavattiupāyabhāvato iriyā ca so patho cāti iriyāpatho, ṭhānādi eva. So ca atthato gatinivattiādiākārena pavatto catusantatirūpapabandho eva. Viharaṇaṃ, viharati etenāti vā vihāro, iriyāpatho eva vihāro iriyāpathavihāro. Divi bhavo dibbo, tattha bahulappavattiyā brahmapārisajjādidevaloke bhavoti attho. Tattha yo dibbānubhāvo, tadatthāya saṃvattatīti vā dibbo, abhiññābhinīhāravasena mahāgatikattā vā dibbo, dibbo ca so vihāro cāti dibbavihāro, catasso rūpāvacarasamāpattiyo. Āruppasamāpattiyopi ettheva saṅgahaṃ gacchanti. Brahmūnaṃ, brahmāno vā vihārā brahmavihārā, catasso appamaññāyo. Ariyānaṃ, ariyā vā vihārā ariyavihārā, cattāri sāmaññaphalāni. So hi ekaṃ iriyāpathabādhanantiādi yadipi bhagavā ekenapi iriyāpathena cirataraṃ kālaṃ attabhāvaṃ pavattetuṃ sakkoti, tathāpi upādinnakasarīrassa nāma ayaṃ sabhāvoti dassetuṃ vuttaṃ . Yasmā vā bhagavā yattha katthaci vasanto vineyyānaṃ dhammaṃ desento, nānāsamāpattīhi ca kālaṃ vītināmento vasatīti sattānaṃ attano ca vividhaṃ hitasukhaṃ harati upaneti uppādeti, tasmā vividhaṃ haratīti evamettha attho veditabbo.

    ปจฺจตฺถิเก ชินาตีติ เชโตฯ เชต-สโทฺท หิ โสต-สโทฺท วิย กตฺตุสาธโนปิ อตฺถีติฯ รโญฺญ วา ปจฺจตฺถิกานํ ชิตกาเล ชาตตฺตา เชโตฯ รโญฺญ หิ อตฺตโน ชยํ ตตฺถ อาโรเปตฺวา ชิตวาติ เชโตติ กุมาโร วุโตฺตฯ มงฺคลกามตาย วา เชโตติสฺส นามํ กตํ, ตสฺมา ‘‘เชโยฺย’’ติ เอตสฺมิํ อเตฺถ ‘‘เชโต’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตสฺส เชตสฺส ราชกุมารสฺสฯ วเนติอาทิโต ปฎฺฐาเยว ตํ ตสฺส สนฺตกนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตํ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สพฺพกามสมิทฺธิตาย วิคตมลมเจฺฉรตาย กรุณาทิคุณสมงฺคิตาย จ นิจฺจกาลํ อุปฎฺฐปิโต อนาถานํ ปิโณฺฑ เอตสฺส อตฺถีติ อนาถปิณฺฑิโก, ตสฺส อนาถปิณฺฑิกสฺสฯ ยทิ เชตวนํ, กถํ อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราโมติ อาห ‘‘อนาถปิณฺฑิเกนา’’ติอาทิฯ ปญฺจวิธเสนาสนงฺคสมฺปตฺติยา อารมนฺติ เอตฺถ ปพฺพชิตาติ อาราโม, ตสฺมิํ อาราเมฯ ยทิปิ โส ภูมิภาโค โกฎิสนฺถเรน มหาเสฎฺฐินา กีโต, รุกฺขา ปน เชเตน น วิกฺกีตาติ ตํ ‘‘เชตวน’’นฺติ วตฺตพฺพตํ ลภตีติ วทนฺติฯ อุภินฺนมฺปิ วา ตตฺถ ปริจฺจาควิเสสกิตฺตนตฺถํ อุภยวจนํ, เชเตนปิ หิ ภูมิภาควิกฺกเยน ลทฺธธนํ ตตฺถ ทฺวารโกฎฺฐกกรณวเสน วินิยุตฺตํฯ สาวตฺถิเชตวนานํ ภูมิภาควเสน ภินฺนตฺตา วุตฺตํ ‘‘น หิ สกฺกา อุภยตฺถ เอกํ สมยํ วิหริตุ’’นฺติฯ

    Paccatthike jinātīti jeto. Jeta-saddo hi sota-saddo viya kattusādhanopi atthīti. Rañño vā paccatthikānaṃ jitakāle jātattā jeto. Rañño hi attano jayaṃ tattha āropetvā jitavāti jetoti kumāro vutto. Maṅgalakāmatāya vā jetotissa nāmaṃ kataṃ, tasmā ‘‘jeyyo’’ti etasmiṃ atthe ‘‘jeto’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ. Tassa jetassa rājakumārassa. Vanetiādito paṭṭhāyeva taṃ tassa santakanti dassetuṃ ‘‘taṃ hī’’tiādi vuttaṃ. Sabbakāmasamiddhitāya vigatamalamaccheratāya karuṇādiguṇasamaṅgitāya ca niccakālaṃ upaṭṭhapito anāthānaṃ piṇḍo etassa atthīti anāthapiṇḍiko, tassa anāthapiṇḍikassa. Yadi jetavanaṃ, kathaṃ anāthapiṇḍikassa ārāmoti āha ‘‘anāthapiṇḍikenā’’tiādi. Pañcavidhasenāsanaṅgasampattiyā āramanti ettha pabbajitāti ārāmo, tasmiṃ ārāme. Yadipi so bhūmibhāgo koṭisantharena mahāseṭṭhinā kīto, rukkhā pana jetena na vikkītāti taṃ ‘‘jetavana’’nti vattabbataṃ labhatīti vadanti. Ubhinnampi vā tattha pariccāgavisesakittanatthaṃ ubhayavacanaṃ, jetenapi hi bhūmibhāgavikkayena laddhadhanaṃ tattha dvārakoṭṭhakakaraṇavasena viniyuttaṃ. Sāvatthijetavanānaṃ bhūmibhāgavasena bhinnattā vuttaṃ ‘‘na hi sakkā ubhayattha ekaṃ samayaṃ viharitu’’nti.

    อปากฎาติ สโกฺก สุยาโมติอาทินา อนภิญฺญาตาฯ อภิญฺญาตานมฺปิ อญฺญตรสโทฺท ทิสฺสเตว เอกสทิสายตฺตตฺตาติ ทเสฺสตุํ ‘‘อภิชานาติ โน’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อหุนา อิทาเนวฯ สาธารณวจนํ ทิพฺพตํ อโนฺตนีตํ กตฺวาฯ เทโว เอว เทวตา ปุริเสปิ วตฺตนโตฯ เตเนวาห ‘‘อิมสฺมิํ ปนเตฺถ’’ติอาทิฯ นนุ จ รูปาวจรสตฺตานํ ปุริสินฺทฺริยํ นตฺถิ, เยน เต ปุริสาติ วุเจฺจยฺยุํ? ยทิปิ ปุริสินฺทฺริยํ นตฺถิ, ปุริสสณฺฐานสฺส ปน ปุริสเวสสฺส จ วเสน ปุริสปุคฺคลาเตฺวว วุจฺจนฺติ ปุริสปกติภาวโตฯ

    Apākaṭāti sakko suyāmotiādinā anabhiññātā. Abhiññātānampi aññatarasaddo dissateva ekasadisāyattattāti dassetuṃ ‘‘abhijānāti no’’tiādi vuttaṃ. Ahunā idāneva. Sādhāraṇavacanaṃ dibbataṃ antonītaṃ katvā. Devo eva devatā purisepi vattanato. Tenevāha ‘‘imasmiṃ panatthe’’tiādi. Nanu ca rūpāvacarasattānaṃ purisindriyaṃ natthi, yena te purisāti vucceyyuṃ? Yadipi purisindriyaṃ natthi, purisasaṇṭhānassa pana purisavesassa ca vasena purisapuggalātveva vuccanti purisapakatibhāvato.

    อภิกฺกนฺตาติ อติกฺกนฺตา, วิคตาติ อโตฺถติ อาห ‘‘ขเย ทิสฺสตี’’ติฯ เตเนว หิ ‘‘นิกฺขโนฺต ปฐโม ยาโม’’ติ อุปริ วุตฺตํฯ อภิกฺกนฺตตโรติ อติวิย กนฺตตโรฯ ตาทิโส จ สุนฺทโร ภทฺทโก นาม โหตีติ อาห ‘‘สุนฺทเร ทิสฺสตี’’ติฯ โกติ เทวนาคยกฺขคนฺธพฺพาทีสุ โก กตโม? เมติ มมฯ ปาทานีติ ปาเทฯ อิทฺธิยาติ อิมาย เอวรูปาย เทวิทฺธิยาฯ ยสสาติ อิมินา เอทิเสน ปริวาเรน ปริจฺฉเทน จฯ ชลนฺติ วิโชฺชตมาโนฯ อภิกฺกเนฺตนาติ อติวิย กเนฺตน กมนิเยน อภิรูเปนฯ วเณฺณนาติ ฉวิวเณฺณน สรีรวณฺณนิภายฯ สพฺพา โอภาสยํ ทิสาติ สพฺพาปิ ทิสา ปภาเสโนฺต จโนฺท วิย สูริโย วิย จ เอโกภาสํ เอกาโลกํ กโรโนฺตติ คาถาย อโตฺถฯ อภิรูเปติ อุฬารรูเป สมฺปนฺนรูเปฯ

    Abhikkantāti atikkantā, vigatāti atthoti āha ‘‘khaye dissatī’’ti. Teneva hi ‘‘nikkhanto paṭhamo yāmo’’ti upari vuttaṃ. Abhikkantataroti ativiya kantataro. Tādiso ca sundaro bhaddako nāma hotīti āha ‘‘sundare dissatī’’ti. Koti devanāgayakkhagandhabbādīsu ko katamo? Meti mama. Pādānīti pāde. Iddhiyāti imāya evarūpāya deviddhiyā. Yasasāti iminā edisena parivārena paricchadena ca. Jalanti vijjotamāno. Abhikkantenāti ativiya kantena kamaniyena abhirūpena. Vaṇṇenāti chavivaṇṇena sarīravaṇṇanibhāya. Sabbā obhāsayaṃ disāti sabbāpi disā pabhāsento cando viya sūriyo viya ca ekobhāsaṃ ekālokaṃ karontoti gāthāya attho. Abhirūpeti uḷārarūpe sampannarūpe.

    กญฺจนสนฺนิภตฺตจตา สุวณฺณวณฺณคฺคหเณน คหิตาติ อธิปฺปาเยนาห ‘‘ฉวิย’’นฺติฯ ฉวิคตา ปน วณฺณธาตุ เอว ‘‘สุวณฺณวโณฺณ’’ติ เอตฺถ วณฺณคฺคหเณน คหิตาติ อปเรฯ วณฺณนํ กิตฺติยา อุโคฺฆสนนฺติ วโณฺณ, ถุติฯ วณฺณียติ อสงฺกรโต ววตฺถปียตีติ วโณฺณ, กุลวโคฺคฯ วณฺณียติ ผลํ เอเตน ยถาสภาวโต วิภาวียตีติ วโณฺณ, การณํฯ วณฺณนํ ทีฆรสฺสาทิวเสน สณฺฐหนนฺติ วโณฺณ, สณฺฐานํฯ วณฺณียติ อณุมหนฺตาทิวเสน ปมียตีติ วโณฺณ, ปมาณํฯ วเณฺณติ วิการํ อาปชฺชมานํ หทยงฺคตภาวํ ปกาเสตีติ วโณฺณ, รูปายตนํฯ เอวํ เตน เตน ปวตฺตินิมิเตฺตน วณฺณสทฺทสฺส ตสฺมิํ ตสฺมิํ อเตฺถ ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ อิทฺธิํ มาเปตฺวาติ วตฺถาลงฺการกายาทีหิ โอภาสมุญฺจนาทิวเสน ทิพฺพํ อิทฺธานุภาวํ นิมฺมินิตฺวาฯ กามาวจรา อนภิสงฺขเตนปิ อาคนฺตุํ สโกฺกนฺติ โอฬาริกรูปตฺตาฯ ตถา หิ เต กพฬีการภกฺขาฯ รูปาวจรา น สโกฺกนฺติ ตโต สุขุมตรรูปตฺตาฯ เตนาห ‘‘เตสํ หี’’ติอาทิฯ ตตฺถ ‘‘อติสุขุโม’’ติ มูลปฎิสนฺธิรูปํ สนฺธาย วทติฯ น เตน อิริยาปถกปฺปนํ โหตีติ เอเตน พฺรหฺมโลเกปิ พฺรหฺมาโน เยภุเยฺยน นิมฺมิตรูเปเนว ปวตฺตนฺตีติ ทเสฺสติฯ อิตรญฺหิ อติวิย สุขุมํ รูปํ เกวลํ จิตฺตุปฺปาทสฺส นิสฺสยาธิฎฺฐานภูตํ สณฺฐานวนฺตํ หุตฺวา ติฎฺฐติฯ

    Kañcanasannibhattacatā suvaṇṇavaṇṇaggahaṇena gahitāti adhippāyenāha ‘‘chaviya’’nti. Chavigatā pana vaṇṇadhātu eva ‘‘suvaṇṇavaṇṇo’’ti ettha vaṇṇaggahaṇena gahitāti apare. Vaṇṇanaṃ kittiyā ugghosananti vaṇṇo, thuti. Vaṇṇīyati asaṅkarato vavatthapīyatīti vaṇṇo, kulavaggo. Vaṇṇīyati phalaṃ etena yathāsabhāvato vibhāvīyatīti vaṇṇo, kāraṇaṃ. Vaṇṇanaṃ dīgharassādivasena saṇṭhahananti vaṇṇo, saṇṭhānaṃ. Vaṇṇīyati aṇumahantādivasena pamīyatīti vaṇṇo, pamāṇaṃ. Vaṇṇeti vikāraṃ āpajjamānaṃ hadayaṅgatabhāvaṃ pakāsetīti vaṇṇo, rūpāyatanaṃ. Evaṃ tena tena pavattinimittena vaṇṇasaddassa tasmiṃ tasmiṃ atthe pavatti veditabbā. Iddhiṃ māpetvāti vatthālaṅkārakāyādīhi obhāsamuñcanādivasena dibbaṃ iddhānubhāvaṃ nimminitvā. Kāmāvacarā anabhisaṅkhatenapi āgantuṃ sakkonti oḷārikarūpattā. Tathā hi te kabaḷīkārabhakkhā. Rūpāvacarā na sakkonti tato sukhumatararūpattā. Tenāha ‘‘tesaṃ hī’’tiādi. Tattha ‘‘atisukhumo’’ti mūlapaṭisandhirūpaṃ sandhāya vadati. Na tena iriyāpathakappanaṃ hotīti etena brahmalokepi brahmāno yebhuyyena nimmitarūpeneva pavattantīti dasseti. Itarañhi ativiya sukhumaṃ rūpaṃ kevalaṃ cittuppādassa nissayādhiṭṭhānabhūtaṃ saṇṭhānavantaṃ hutvā tiṭṭhati.

    อนวเสสตฺตํ สกลตาฯ เยภุยฺยตา พหุลภาโวฯ อพฺยามิสฺสตา วิชาติเยน อสงฺกโรฯ สุเขน หิ อโวกิณฺณตา ตตฺถ อธิเปฺปตา ฯ อนติเรกตา ตํปรมตา วิเสสาภาโวฯ เกวลกปฺปนฺติ เกวลํ ทฬฺหํ กตฺวาติ อโตฺถฯ สงฺฆเภทายาติ สเงฺฆ วิวาทาย, วิวาทุปฺปาทายาติ อโตฺถฯ เกวลํ วุจฺจติ นิพฺพานํ สพฺพสงฺขตวิวิตฺตตฺตา, เอตสฺส ตํ อตฺถีติ เกวลี, สจฺฉิกตนิโรโธ ขีณาสโวฯ เตนาห ‘‘วิสํโยโค อโตฺถ’’ติฯ

    Anavasesattaṃ sakalatā. Yebhuyyatā bahulabhāvo. Abyāmissatā vijātiyena asaṅkaro. Sukhena hi avokiṇṇatā tattha adhippetā . Anatirekatā taṃparamatā visesābhāvo. Kevalakappanti kevalaṃ daḷhaṃ katvāti attho. Saṅghabhedāyāti saṅghe vivādāya, vivāduppādāyāti attho. Kevalaṃ vuccati nibbānaṃ sabbasaṅkhatavivittattā, etassa taṃ atthīti kevalī, sacchikatanirodho khīṇāsavo. Tenāha ‘‘visaṃyogo attho’’ti.

    กปฺปสโทฺท ปนายํ สอุปสโคฺค อนุปสโคฺค จาติ อธิปฺปาเยน โอกปฺปนิยปเท ลพฺภมานํ กปฺปสทฺทมตฺตํ ทเสฺสติ, อญฺญถา กปฺปปทํ อนิทสฺสนเมว สิยาฯ สมณกเปฺปหีติ วินยสิเทฺธหิ สมณโวหาเรหิฯ นิจฺจกปฺปนฺติ นิจฺจกาลํฯ ปญฺญตฺตีติ นามํฯ นามเญฺหตํ ตสฺส อายสฺมโต, ยทิทํ กโปฺปติฯ กปฺปิตเกสมสฺสูติ กตฺตริกาย เฉทิตเกสมสฺสุฯ ทฺวงฺคุลกโปฺปติ มชฺฌนฺหิกเวลาย วีติกฺกนฺตาย ทฺวงฺคุลตาวิกโปฺปฯ เลโสติ อปเทโสฯ อนวเสสํ ผริตุํ สมตฺถสฺสปิ โอภาสสฺส เกนจิปิ การเณน เอกเทสผรณมฺปิ สิยา, อยํ ปน สพฺพโสว ผรตีติ ทเสฺสตุํ สมนฺตโตฺถ กปฺป-สโทฺท คหิโตติ อาห ‘‘อนวเสสํ สมนฺตโต’’ติฯ อีสํ อสมตฺตํ, เกวลํ วา เกวลกปฺปํฯ ภควโต อาภาย อโนภาสิตเมว หิ ปเทสํ เทวตา อตฺตโน ปภาย โอภาเสนฺติฯ น หิ ภควโต ปภา กายจิ ปภาย อภิภุยฺยติ, สูริยาทีนมฺปิ ปภํ สา อภิภุยฺย ติฎฺฐตีติฯ

    Kappasaddo panāyaṃ saupasaggo anupasaggo cāti adhippāyena okappaniyapade labbhamānaṃ kappasaddamattaṃ dasseti, aññathā kappapadaṃ anidassanameva siyā. Samaṇakappehīti vinayasiddhehi samaṇavohārehi. Niccakappanti niccakālaṃ. Paññattīti nāmaṃ. Nāmañhetaṃ tassa āyasmato, yadidaṃ kappoti. Kappitakesamassūti kattarikāya cheditakesamassu. Dvaṅgulakappoti majjhanhikavelāya vītikkantāya dvaṅgulatāvikappo. Lesoti apadeso. Anavasesaṃ pharituṃ samatthassapi obhāsassa kenacipi kāraṇena ekadesapharaṇampi siyā, ayaṃ pana sabbasova pharatīti dassetuṃ samantattho kappa-saddo gahitoti āha ‘‘anavasesaṃ samantato’’ti. Īsaṃ asamattaṃ, kevalaṃ vā kevalakappaṃ. Bhagavato ābhāya anobhāsitameva hi padesaṃ devatā attano pabhāya obhāsenti. Na hi bhagavato pabhā kāyaci pabhāya abhibhuyyati, sūriyādīnampi pabhaṃ sā abhibhuyya tiṭṭhatīti.

    เยน วา การเณนาติ เหตุมฺหิ อิทํ กรณวจนํฯ เหตุอโตฺถ หิ กิริยาย การณํ, น กรณํ วิย กิริยโตฺถ, ตสฺมา นานปฺปการ-คุณวิเสสาธิคมนตฺถา อิธ อุปสงฺกมนกิริยาติ ‘‘อเนฺนน วสติ, วิชฺชาย วสตี’’ติอาทีสุ วิย เหตุอตฺถเมว ตํ กรณวจนํ ยุตฺตํ น กรณตฺถํ ตสฺส อยุชฺชมานตฺตาติ วุตฺตํ ‘‘เยน วา การเณนา’’ติอาทิฯ ภควโต สตตปฺปวตฺตนิรติสย-สาทุวิปุลมตรส-สทฺธมฺมผลตาย สาทุผลนิจฺจผลิตมหารุเกฺขน ภควา อุปมิโตฯ สาทุผลูปโภคาธิปฺปายคฺคหเณเนว หิ มหาการุณิกสฺส สาทุผลตา คหิตาติฯ อุปสงฺกมีติ อุปสงฺกนฺตาฯ สมฺปตฺตกามตาย หิ กิญฺจิ ฐานํ คจฺฉโนฺต ตํตํปเทสาติกฺกมเนน อุปสงฺกมิ, อุปสงฺกโนฺตติ วตฺตพฺพตํ ลภติฯ เตนาห ‘‘คตาติ วุตฺตํ โหตี’’ติ, อุปคตาติ อโตฺถฯ อุปสงฺกมิตฺวาติ ปุพฺพกาลกิริยานิเทฺทโสติ อาห ‘‘อุปสงฺกมนปริโยสานทีปน’’นฺติฯ ตโตติ ยํ ฐานํ ปตฺตา ‘‘อุปสงฺกมี’’ติ วุตฺตา, ตโต อุปคตฎฺฐานโตฯ

    Yenavā kāraṇenāti hetumhi idaṃ karaṇavacanaṃ. Hetuattho hi kiriyāya kāraṇaṃ, na karaṇaṃ viya kiriyattho, tasmā nānappakāra-guṇavisesādhigamanatthā idha upasaṅkamanakiriyāti ‘‘annena vasati, vijjāya vasatī’’tiādīsu viya hetuatthameva taṃ karaṇavacanaṃ yuttaṃ na karaṇatthaṃ tassa ayujjamānattāti vuttaṃ ‘‘yena vā kāraṇenā’’tiādi. Bhagavato satatappavattaniratisaya-sāduvipulamatarasa-saddhammaphalatāya sāduphalaniccaphalitamahārukkhena bhagavā upamito. Sāduphalūpabhogādhippāyaggahaṇeneva hi mahākāruṇikassa sāduphalatā gahitāti. Upasaṅkamīti upasaṅkantā. Sampattakāmatāya hi kiñci ṭhānaṃ gacchanto taṃtaṃpadesātikkamanena upasaṅkami, upasaṅkantoti vattabbataṃ labhati. Tenāha ‘‘gatāti vuttaṃ hotī’’ti, upagatāti attho. Upasaṅkamitvāti pubbakālakiriyāniddesoti āha ‘‘upasaṅkamanapariyosānadīpana’’nti. Tatoti yaṃ ṭhānaṃ pattā ‘‘upasaṅkamī’’ti vuttā, tato upagataṭṭhānato.

    คตินิวตฺติอตฺถโต สามญฺญโต อาสนมฺปิ ฐานคฺคหเณน คยฺหตีติ วุตฺตํ ‘‘อาสนกุสลตาย เอกมนฺตํ ติฎฺฐนฺตี’’ติฯ นิสินฺนาปิ หิ คมนโต นิวตฺตา นาม โหนฺติ ฐตฺวา นิสีทิตพฺพตฺตา, ยถาวุตฺตฎฺฐานาทโยปิ อาสเนเนว สงฺคหิตาติฯ อติทูรอจฺจาสนฺนปฎิเกฺขเปน นาติทูรนจฺจาสนฺนํ นาม คหิตํฯ ตํ ปน อวกํสโต อุภินฺนํ ปสาริตหตฺถสงฺฆฎฺฎเนน ทฎฺฐพฺพํฯ คีวํ ปสาเรตฺวาติ คีวํ ปริวตฺตนวเสน ปสาเรตฺวาฯ

    Gatinivattiatthato sāmaññato āsanampi ṭhānaggahaṇena gayhatīti vuttaṃ ‘‘āsanakusalatāya ekamantaṃ tiṭṭhantī’’ti. Nisinnāpi hi gamanato nivattā nāma honti ṭhatvā nisīditabbattā, yathāvuttaṭṭhānādayopi āsaneneva saṅgahitāti. Atidūraaccāsannapaṭikkhepena nātidūranaccāsannaṃ nāma gahitaṃ. Taṃ pana avakaṃsato ubhinnaṃ pasāritahatthasaṅghaṭṭanena daṭṭhabbaṃ. Gīvaṃ pasāretvāti gīvaṃ parivattanavasena pasāretvā.

    กามํ ‘‘กถ’’นฺติ อยมาการปุจฺฉา, ตรณากาโร อิธ ปุจฺฉิโตฯ โส ปน ตรณากาโร อตฺถโต การณเมวาติ อาห ‘‘กถํ นูติ การณปุจฺฉา’’ติ? ปากโฎ อภิสโมฺพธิยํ มหาปถวีกมฺปนาทิอเนกจฺฉริยปาตุภาวาทินาฯ

    Kāmaṃ ‘‘katha’’nti ayamākārapucchā, taraṇākāro idha pucchito. So pana taraṇākāro atthato kāraṇamevāti āha ‘‘kathaṃ nūti kāraṇapucchā’’ti? Pākaṭo abhisambodhiyaṃ mahāpathavīkampanādianekacchariyapātubhāvādinā.

    มริสนเฎฺฐน ปาปานํ โรคาทิอนตฺถานํ อภิภวนเฎฺฐน มาริโส, ทุกฺขรหิโตฯ เตนาห ‘‘นิทฺทุกฺขาติ วุตฺตํ โหตี’’ติฯ นิรยปเกฺข ปิยาลปนวจนวเสน อุปจารวจนเญฺจตํ ยถา ‘‘เทวานํ ปิยา’’ติฯ เตเนวาห ‘‘ยทิ เอว’’นฺติอาทิฯ สงฺกุนา สงฺกูติ มตฺถกโต สมโกฎฺฎิเตน ยาว หทยปเทสา นิพฺพิชฺฌิตฺวา โอติเณฺณน สงฺกุนา ปาทตลโต สมโกฎฺฎิโต สงฺกุ นิพฺพิชฺฌิตฺวา อาโรหโนฺต หทเย หทยสฺส ปเทเส สมาคเจฺฉยฺย, อถ เนสํ สงฺกูนํ สมาคมสมกาเล นํ ยถาติกฺกนฺตสงฺกุกรณกาลํ ชาเนยฺยาสิฯ กิญฺจิ นิมิตฺตํ อุปาทาย กิสฺมิญฺจิ อเตฺถ ปวตฺตสฺส สทฺทสฺส ตนฺนิมิตฺตรหิเต ปวตฺติ รุฬฺหี นาม คมนกิริยารหิเต สาสนาทิมติ ปฎิปิเณฺฑ ยถา โคสทฺทสฺสฯ

    Marisanaṭṭhena pāpānaṃ rogādianatthānaṃ abhibhavanaṭṭhena māriso, dukkharahito. Tenāha ‘‘niddukkhāti vuttaṃ hotī’’ti. Nirayapakkhe piyālapanavacanavasena upacāravacanañcetaṃ yathā ‘‘devānaṃ piyā’’ti. Tenevāha ‘‘yadi eva’’ntiādi. Saṅkunā saṅkūti matthakato samakoṭṭitena yāva hadayapadesā nibbijjhitvā otiṇṇena saṅkunā pādatalato samakoṭṭito saṅku nibbijjhitvā ārohanto hadaye hadayassa padese samāgaccheyya, atha nesaṃ saṅkūnaṃ samāgamasamakāle naṃ yathātikkantasaṅkukaraṇakālaṃ jāneyyāsi. Kiñci nimittaṃ upādāya kismiñci atthe pavattassa saddassa tannimittarahite pavatti ruḷhī nāma gamanakiriyārahite sāsanādimati paṭipiṇḍe yathā gosaddassa.

    โอฆมตรีติ เยสํ โอฆานํ ตรณํ ปุจฺฉิตํ, เต คณนปริเจฺฉทโต สรูปโต จ ทเสฺสตุํ ‘‘จตฺตาโร’’ติอาทิ วุตฺตํฯ กสฺมา ปเนตฺถ จตฺตาโร เอว โอฆา วุตฺตา, เต จ กามาทโย เอวาติ? น โจเทตพฺพเมตํ, ยสฺมา ธมฺมานํ สภาวกิจฺจวิเสสญฺญุนา ภควตา สพฺพํ เญยฺยํ ยาถาวโต อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา เอตฺตกาว โอฆา เทสิตา, อิเม เอว จ เทสิตาติฯ วฎฺฎสฺมิํ โอหนนฺติ โอสีทาเปนฺตีติ โอฆา, โอหนนฺติ เหฎฺฐา กตฺวา หนนฺติ คาเมนฺติ, ตถาภูตา สเตฺต อโธ คาเมนฺติ นามฯ อยญฺจ อโตฺถ ‘‘สโพฺพปิ เจสา’’ติอาทินา ปรโต อฎฺฐกถายเมว อาคมิสฺสติฯ กามนเฎฺฐน กาโม, กาโม จ โส ยถาวุเตฺตนเตฺถน โอโฆ จาติ, กาเมสุ โอโฆติ วา กาโมโฆฯ ภโวโฆ นาม ภวราโคติ ทเสฺสตุํ ‘‘รูปารูปภเวสุ ฉนฺทราโค ฌานนิกนฺติ จา’’ติ วุตฺตํฯ สุมงฺคลวิลาสินีอาทีสุ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๓๑๒) ปน ‘‘สสฺสตทิฎฺฐิสหคตราโค จา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปฐโม อุปปตฺติภเวสุ ราโค, ทุติโย กมฺมภเวฯ ภวทิฎฺฐิวินิมุตฺตสฺส ทิฎฺฐิคตสฺส อภาวโตฯ ‘‘ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิโย ทิโฎฺฐโฆ’’ติ วุตฺตํ, จตุสจฺจโนฺตคธตฺตา สพฺพสฺส เญยฺยสฺส ‘‘จตูสุ สเจฺจสุ อญฺญาณํ อวิโชฺชโฆ’’ติ อาหฯ

    Oghamatarīti yesaṃ oghānaṃ taraṇaṃ pucchitaṃ, te gaṇanaparicchedato sarūpato ca dassetuṃ ‘‘cattāro’’tiādi vuttaṃ. Kasmā panettha cattāro eva oghā vuttā, te ca kāmādayo evāti? Na codetabbametaṃ, yasmā dhammānaṃ sabhāvakiccavisesaññunā bhagavatā sabbaṃ ñeyyaṃ yāthāvato abhisambujjhitvā ettakāva oghā desitā, ime eva ca desitāti. Vaṭṭasmiṃ ohananti osīdāpentīti oghā, ohananti heṭṭhā katvā hananti gāmenti, tathābhūtā satte adho gāmenti nāma. Ayañca attho ‘‘sabbopi cesā’’tiādinā parato aṭṭhakathāyameva āgamissati. Kāmanaṭṭhena kāmo, kāmo ca so yathāvuttenatthena ogho cāti, kāmesu oghoti vā kāmogho. Bhavogho nāma bhavarāgoti dassetuṃ ‘‘rūpārūpabhavesu chandarāgo jhānanikanti cā’’ti vuttaṃ. Sumaṅgalavilāsinīādīsu (dī. ni. aṭṭha. 3.312) pana ‘‘sassatadiṭṭhisahagatarāgo cā’’ti vuttaṃ. Tattha paṭhamo upapattibhavesu rāgo, dutiyo kammabhave. Bhavadiṭṭhivinimuttassa diṭṭhigatassa abhāvato. ‘‘Dvāsaṭṭhidiṭṭhiyo diṭṭhogho’’ti vuttaṃ, catusaccantogadhattā sabbassa ñeyyassa ‘‘catūsu saccesu aññāṇaṃ avijjogho’’ti āha.

    อิทานิ เตสํ โอฆสงฺขาตานํ ปาปธมฺมานํ อุปฺปตฺติฎฺฐานํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิ วุตฺตํ, ปวตฺติฎฺฐานํ ปน กามคุณาทโย ทสฺสิตา เอวฯ ‘‘ปญฺจสุ กามคุเณสุ ฉนฺทราโค กาโมโฆ’’ติ เอตฺถ ภโวฆํ ฐเปตฺวา สโพฺพ โลโภ กาโมโฆติ ยุตฺตํ สิยาฯ สสฺสตทิฎฺฐิสหคโต ราโค ภวทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตตฺตา ภโวโฆติ อฎฺฐกถาสุ วุโตฺต, ภโวโฆ ปน ทิฎฺฐิคตวิปฺปยุเตฺตสุ เอว อุปฺปชฺชตีติ ปาฬิยํ วุโตฺตฯ เตเนวาห – ‘‘ภโวโฆ จตูสุ ทิฎฺฐิวิปฺปยุตฺตโลภสหคตจิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชตี’’ติฯ ตสฺมา ทิฎฺฐิสหคตโลโภปิ กาโมโฆติ ยุตฺตํ สิยาฯ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกทุกฺขานญฺหิ การณภูตา กามาสวาทโยปิ ทฺวิธา วุตฺตา, อาสวา เอว จ โอฆาฯ กามาสวนิเทฺทเส จ กาเมสูติ กามราคทิฎฺฐิราคาทีนํ อารมฺมณภูเตสุ เตภูมเกสุ วตฺถุกาเมสูติ อโตฺถ สมฺภวติฯ ตตฺถ หิ อุปฺปชฺชมานา สายํ ตณฺหา สพฺพาปิ น กามจฺฉนฺทาทินามํ น ลภตีติฯ

    Idāni tesaṃ oghasaṅkhātānaṃ pāpadhammānaṃ uppattiṭṭhānaṃ dassetuṃ ‘‘tatthā’’tiādi vuttaṃ, pavattiṭṭhānaṃ pana kāmaguṇādayo dassitā eva. ‘‘Pañcasu kāmaguṇesu chandarāgo kāmogho’’ti ettha bhavoghaṃ ṭhapetvā sabbo lobho kāmoghoti yuttaṃ siyā. Sassatadiṭṭhisahagato rāgo bhavadiṭṭhisampayuttattā bhavoghoti aṭṭhakathāsu vutto, bhavogho pana diṭṭhigatavippayuttesu eva uppajjatīti pāḷiyaṃ vutto. Tenevāha – ‘‘bhavogho catūsu diṭṭhivippayuttalobhasahagatacittuppādesu uppajjatī’’ti. Tasmā diṭṭhisahagatalobhopi kāmoghoti yuttaṃ siyā. Diṭṭhadhammikasamparāyikadukkhānañhi kāraṇabhūtā kāmāsavādayopi dvidhā vuttā, āsavā eva ca oghā. Kāmāsavaniddese ca kāmesūti kāmarāgadiṭṭhirāgādīnaṃ ārammaṇabhūtesu tebhūmakesu vatthukāmesūti attho sambhavati. Tattha hi uppajjamānā sāyaṃ taṇhā sabbāpi na kāmacchandādināmaṃ na labhatīti.

    ยทิ ปน ปญฺจกามคุณิโก จ ราโค กาโมโฆติ วุโตฺตติ กตฺวา พฺรหฺมานํ วิมานาทีสุ ราคสฺส ทิฎฺฐิราคสฺส จ กาโมฆภาโว ปฎิเสธิตโพฺพ สิยา, เอวํ สติ กาโมฆภโวฆวินิมุเตฺตน นาม โลเภน ภวิตพฺพํ ฯ โส ยทา ทิฎฺฐิคตวิปฺปยุเตฺตสุ อุปฺปชฺชติ, ตทา เตน สมฺปยุโตฺต อวิโชฺชโฆ โอฆวิปฺปยุโตฺตติ โทมนสฺสวิจิกิจฺฉุทฺธจฺจสมฺปยุตฺตสฺส วิย ตสฺสปิ โอฆวิปฺปยุตฺตตา วตฺตพฺพา สิยา ‘‘จตูสุปิ ทิฎฺฐิคตวิปฺปยุตฺตโลภสหคเตสุ จิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปโนฺน โมโห สิยา โอฆสมฺปยุโตฺต สิยา โอฆวิปฺปยุโตฺต’’ติฯ ‘‘กาโมโฆ อฎฺฐสุ โลภสหคเตสุ จิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชตี’’ติ, ‘‘กาโมฆํ ปฎิจฺจ ทิโฎฺฐโฆ อวิโชฺชโฆ’’ติ จ วจนโต ทิฎฺฐิสหคโต กาโมโฆ น โหตีติ น สกฺกา วตฺตุํฯ ตถา เหตฺถ ‘‘รูปารูปภเวสุ ฉนฺทราโค ฌานนิกนฺติ จ ภโวโฆ นามาติ เอตฺตกเมว วุตฺตํ, น วุตฺตํ สสฺสตทิฎฺฐิสหคโต ราโค’’ติฯ

    Yadi pana pañcakāmaguṇiko ca rāgo kāmoghoti vuttoti katvā brahmānaṃ vimānādīsu rāgassa diṭṭhirāgassa ca kāmoghabhāvo paṭisedhitabbo siyā, evaṃ sati kāmoghabhavoghavinimuttena nāma lobhena bhavitabbaṃ . So yadā diṭṭhigatavippayuttesu uppajjati, tadā tena sampayutto avijjogho oghavippayuttoti domanassavicikicchuddhaccasampayuttassa viya tassapi oghavippayuttatā vattabbā siyā ‘‘catūsupi diṭṭhigatavippayuttalobhasahagatesu cittuppādesu uppanno moho siyā oghasampayutto siyā oghavippayutto’’ti. ‘‘Kāmogho aṭṭhasu lobhasahagatesu cittuppādesu uppajjatī’’ti, ‘‘kāmoghaṃ paṭicca diṭṭhogho avijjogho’’ti ca vacanato diṭṭhisahagato kāmogho na hotīti na sakkā vattuṃ. Tathā hettha ‘‘rūpārūpabhavesu chandarāgo jhānanikanti ca bhavogho nāmāti ettakameva vuttaṃ, na vuttaṃ sassatadiṭṭhisahagato rāgo’’ti.

    อโธคมนเฎฺฐนาติ เหฎฺฐาปวตฺตนเฎฺฐนฯ เหฎฺฐาปวตฺตนเญฺจตฺถ น เกวลํ อปายคมนิยภาเวน, อถ โข สํสารตรกาวโรธเนนปีติ ทเสฺสตุํ ‘‘อุปริภวญฺจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ กามํ นิพฺพานํ อรูปิภาวา อเทสํ, น ตสฺส ฐานวเสน อุปริคหณํ, สพฺพสงฺขตวินิสฺสฎตฺตา ปน สพฺพสฺสปิ ภวสฺส อุปรีติ วตฺตพฺพตํ อรหตีติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘อุปริภวํ นิพฺพาน’’นฺติฯ ‘‘มหาอุทโกโฆ’’ติอาทีสุ ราสโฎฺฐ โอฆ-สโทฺทติ ‘‘มหา เหโส กิเลสราสี’’ติ วุตฺตํ เสเสสุปีติ ภโวฆาทีสุปิฯ

    Adhogamanaṭṭhenāti heṭṭhāpavattanaṭṭhena. Heṭṭhāpavattanañcettha na kevalaṃ apāyagamaniyabhāvena, atha kho saṃsāratarakāvarodhanenapīti dassetuṃ ‘‘uparibhavañcā’’tiādi vuttaṃ. Kāmaṃ nibbānaṃ arūpibhāvā adesaṃ, na tassa ṭhānavasena uparigahaṇaṃ, sabbasaṅkhatavinissaṭattā pana sabbassapi bhavassa uparīti vattabbataṃ arahatīti katvā vuttaṃ ‘‘uparibhavaṃ nibbāna’’nti. ‘‘Mahāudakogho’’tiādīsu rāsaṭṭho ogha-saddoti ‘‘mahā heso kilesarāsī’’ti vuttaṃ sesesupīti bhavoghādīsupi.

    อปฺปติฎฺฐหโนฺตติ กิเลสาทีนํ วเสน อสนฺติฎฺฐโนฺต, อสํสีทโนฺตติ อโตฺถฯ อนายูหโนฺตติ อภิสงฺขาราทิวเสน น อายูหโนฺต มชฺฌิมํ ปฎิปทํ วิลงฺฆิตฺวา นิพฺพุยฺหโนฺตฯ เตนาห – ‘‘อวายมโนฺต’’ติ, มิจฺฉาวายามวเสน อวายมโนฺตติ อธิปฺปาโยฯ คูฬฺหนฺติ สํวุตํฯ ปฎิจฺฉนฺนนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ อตฺถวเสน วา สํวุตฺตํ คูฬฺหํ, สทฺทวเสนปิ อปากฎํ ปฎิจฺฉนฺนํ อนฺตรทีปาทิเก ฐาตพฺพฎฺฐาเนฯ อายูหนฺตาติ หเตฺถหิ จ ปาเทหิ จ วายมนฺตาฯ เอตํ อตฺถชาตํ, เอตํ วา วิสฺสชฺชนํฯ

    Appatiṭṭhahantoti kilesādīnaṃ vasena asantiṭṭhanto, asaṃsīdantoti attho. Anāyūhantoti abhisaṅkhārādivasena na āyūhanto majjhimaṃ paṭipadaṃ vilaṅghitvā nibbuyhanto. Tenāha – ‘‘avāyamanto’’ti, micchāvāyāmavasena avāyamantoti adhippāyo. Gūḷhanti saṃvutaṃ. Paṭicchannanti tasseva vevacanaṃ. Atthavasena vā saṃvuttaṃ gūḷhaṃ, saddavasenapi apākaṭaṃ paṭicchannaṃ antaradīpādike ṭhātabbaṭṭhāne. Āyūhantāti hatthehi ca pādehi ca vāyamantā. Etaṃ atthajātaṃ, etaṃ vā vissajjanaṃ.

    อิทานิ เยนาธิปฺปาเยน ภควตา ตถาคูฬฺหํ กตฺวา ปโญฺห กถิโต, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘กิํ ปนาติอาทิ วุตฺตํฯ นิคฺคหมุเขนาติ เวเนยฺยานํ วินยอุปายภูตนิคฺคหวเสนฯ เตนาห เย ปณฺฑิตมานิโน’’ติอาทิฯ ปวยฺห ปวยฺหาติ โอผุณิตฺวา โอผุณิตฺวาฯ

    Idāni yenādhippāyena bhagavatā tathāgūḷhaṃ katvā pañho kathito, taṃ dassetuṃ ‘‘kiṃ panātiādi vuttaṃ. Niggahamukhenāti veneyyānaṃ vinayaupāyabhūtaniggahavasena. Tenāha ye paṇḍitamānino’’tiādi. Pavayha pavayhāti ophuṇitvā ophuṇitvā.

    โสติ เทวปุโตฺต นิหตมาโน อโหสิ ยถาวิสฺสชฺชิตสฺส อตฺถสฺส อชานโนฺตฯ ยถาติ อนิยมวจนํ นิยมนิทฺทิฎฺฐํ โหติ, ตํสมฺพนฺธญฺจ กถนฺติ ปุจฺฉาวจนนฺติ ตทุภยสฺส อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยถาหํ ชานามิ, เอวํ เม กเถหี’’ติ อาหฯ

    Soti devaputto nihatamāno ahosi yathāvissajjitassa atthassa ajānanto. Yathāti aniyamavacanaṃ niyamaniddiṭṭhaṃ hoti, taṃsambandhañca kathanti pucchāvacananti tadubhayassa atthaṃ dassento ‘‘yathāhaṃ jānāmi, evaṃ me kathehī’’ti āha.

    ยทาสฺวาหนฺติ ยทา สุ อหํ, สุ-กาโร นิปาตมตฺตํ ‘‘ยทิทํ กถํ สู’’ติอาทีสุ วิยฯ สพฺพปเทสูติ ‘‘ตทาสฺสุ สํสีทามี’’ติอาทีสุ ตีสุปิ ปเทสุฯ อตรโนฺตติ โอฆานํ อติกฺกมนตฺถํ ตรณปฺปโยคํ อกโรโนฺตฯ ตเตฺถวาติ โอฆนิยโอเฆสุ เอวฯ โอสีทามีติ นิมุชฺชามิ โอเฆหิ อโชฺฌตฺถโฎ โหมิฯ นิพฺพุยฺหามีติ โอเฆหิ นิพฺพูโฬฺห โหมิฯ ฐาตุํ อสโกฺกโนฺต อสํสีทโนฺตฯ อติวตฺตามีติ อนุปโยคํ อติกฺกมามิ, อปนิธานวเสน สมฺมาปฎิปตฺติํ วิราเธมีติ อโตฺถฯ ฐาเน จ วายาเม จาติ วกฺขมานวิภาเค ปติฎฺฐหเน วายาเม จ โทสํ ทิสฺวาติ ปติฎฺฐานายูหเนสุ สํสีทนนิพฺพุยฺหนสงฺขาตํ ตรณสฺส วิพนฺธนภูตํ อาทีนวํ ทิสฺวานฯ อิทํ ภควตา โพธิมูเล อตฺตนา ปวตฺติต-ปุพฺพภาค-มนสิการวเสน วุตฺตํฯ อติฎฺฐโนฺต อวายมโนฺตติ ปติฎฺฐานายูหนกรณกิเลสาทีนํ ปริวชฺชเนน อสํสีทโนฺต อนิพฺพุยฺหโนฺตฯ เทวตายปิ ปฎิวิโทฺธ ตทโตฺถ อุปนิสฺสยสมฺปนฺนตาย วิมุตฺติปริปาจนียธมฺมานํ ปริปกฺกตฺตาฯ น ปน ปากโฎ วิปญฺจิตญฺญูอาทีนํ, อุคฺฆฎิตญฺญูนํ ปน ยถา ตสฺสา เทวตาย, ตถา ปากโฎ เอวาติฯ สตฺต ทุกา อิทานิ วุจฺจมานรูปา ทสฺสิตา โปราณฎฺฐกถายํฯ กิเลสวเสน สนฺติฎฺฐโนฺตติ โลภาทีหิ อภิภูตตาย สํสาเร ปติฎฺฐหโนฺต สมฺมา อปฺปฎิปชฺชเนน ตเตฺถว สํสีทติ นามฯ อภิสงฺขารวเสนาติ ตเตฺถวาภิสงฺขารเจตนาย เจเตโนฺต สมฺมาปฎิปตฺติโยคฺยสฺส ขณสฺส อติวตฺตเนน นิพฺพุยฺหติ นามฯ อิมินา นเยน เสสทุเกสุปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Yadāsvāhanti yadā su ahaṃ, su-kāro nipātamattaṃ ‘‘yadidaṃ kathaṃ sū’’tiādīsu viya. Sabbapadesūti ‘‘tadāssu saṃsīdāmī’’tiādīsu tīsupi padesu. Atarantoti oghānaṃ atikkamanatthaṃ taraṇappayogaṃ akaronto. Tatthevāti oghaniyaoghesu eva. Osīdāmīti nimujjāmi oghehi ajjhotthaṭo homi. Nibbuyhāmīti oghehi nibbūḷho homi. Ṭhātuṃ asakkonto asaṃsīdanto. Ativattāmīti anupayogaṃ atikkamāmi, apanidhānavasena sammāpaṭipattiṃ virādhemīti attho. Ṭhāne ca vāyāme cāti vakkhamānavibhāge patiṭṭhahane vāyāme ca dosaṃ disvāti patiṭṭhānāyūhanesu saṃsīdananibbuyhanasaṅkhātaṃ taraṇassa vibandhanabhūtaṃ ādīnavaṃ disvāna. Idaṃ bhagavatā bodhimūle attanā pavattita-pubbabhāga-manasikāravasena vuttaṃ. Atiṭṭhanto avāyamantoti patiṭṭhānāyūhanakaraṇakilesādīnaṃ parivajjanena asaṃsīdanto anibbuyhanto. Devatāyapi paṭividdho tadattho upanissayasampannatāya vimuttiparipācanīyadhammānaṃ paripakkattā. Na pana pākaṭo vipañcitaññūādīnaṃ, ugghaṭitaññūnaṃ pana yathā tassā devatāya, tathā pākaṭo evāti. Satta dukā idāni vuccamānarūpā dassitā porāṇaṭṭhakathāyaṃ. Kilesavasena santiṭṭhantoti lobhādīhi abhibhūtatāya saṃsāre patiṭṭhahanto sammā appaṭipajjanena tattheva saṃsīdati nāma. Abhisaṅkhāravasenāti tatthevābhisaṅkhāracetanāya cetento sammāpaṭipattiyogyassa khaṇassa ativattanena nibbuyhati nāma. Iminā nayena sesadukesupi attho veditabbo.

    เอตฺถ จ วฎฺฎมูลกา กิเลสาติ เตสํ วเสน สํสาเร อวฎฺฐานํ ตํตํกมฺมุนา ตตฺถ ตตฺถ ภเว อภินิพฺพตฺติ, กิเลสา ปน เตสํ ปจฺจยมตฺตํฯ ตตฺถ ตตฺถ ภเว อปราปรํ นิพฺพเตฺตโนฺต สํสาเร นิพฺพุยฺหติ นามาติ อิมสฺส อตฺถสฺส ทสฺสนวเสน ปฐมทุโก วุโตฺตฯ อิเม สตฺตา สํสาเร ปริพฺภมนฺตา ทุวิธา ตณฺหาจริตา ทิฎฺฐิจริตา จาติ เตสํ สํสารนายิกภูตานํ ธมฺมานํ วเสน สนฺติฎฺฐนํ, ตทเญฺญสํ ปวตฺติปจฺจยานํ วเสน อายูหนนฺติ อิมสฺส อตฺถสฺส ทสฺสนวเสน ทุติยทุโก วุโตฺตฯ สํโยชนิเยสุ ธเมฺมสุ อสฺสาททสฺสนสภาวาย ตณฺหาย วเสน วิเสสโต ปติฎฺฐานํ, อมุตฺติมเคฺค มุตฺติมคฺคปรามาสโต ตถา อายูหนมฺปิ ทิฎฺฐิยา วเสน โหตีติ ทเสฺสตุํ ตติยทุโก วุโตฺตฯ จตุตฺถทุเก ปน อธิปฺปาโย อฎฺฐกถาย เอว วิภาวิโตฯ ยสฺมา ‘‘สสฺสโต อตฺตา’’ติ อภินิวิสโนฺต อรูปราคํ, อสญฺญูปคํ วา อวิโมกฺขํเยว วิโมโกฺขติ คเหตฺวา สํสาเร เอว โอลียติฯ เตนาห ‘‘โอลียนาภินิเวสา หิ ภวทิฎฺฐี’’ติฯ ยสฺมา ปน กามภวาทีสุ ยํ วา ตํ วา ภวํ ปตฺวา อตฺตา อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสติ, น โหติ ปรํ มรณาติ อภินิวิสโนฺต ภววิปฺปโมกฺขาวหาย สมฺมาปฎิปตฺติยา อปฺปฎิปชฺชเนน ตํ อติวตฺตติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อติธาวนาภินิเวสา วิภวทิฎฺฐี’’ติฯ

    Ettha ca vaṭṭamūlakā kilesāti tesaṃ vasena saṃsāre avaṭṭhānaṃ taṃtaṃkammunā tattha tattha bhave abhinibbatti, kilesā pana tesaṃ paccayamattaṃ. Tattha tattha bhave aparāparaṃ nibbattento saṃsāre nibbuyhati nāmāti imassa atthassa dassanavasena paṭhamaduko vutto. Ime sattā saṃsāre paribbhamantā duvidhā taṇhācaritā diṭṭhicaritā cāti tesaṃ saṃsāranāyikabhūtānaṃ dhammānaṃ vasena santiṭṭhanaṃ, tadaññesaṃ pavattipaccayānaṃ vasena āyūhananti imassa atthassa dassanavasena dutiyaduko vutto. Saṃyojaniyesu dhammesu assādadassanasabhāvāya taṇhāya vasena visesato patiṭṭhānaṃ, amuttimagge muttimaggaparāmāsato tathā āyūhanampi diṭṭhiyā vasena hotīti dassetuṃ tatiyaduko vutto. Catutthaduke pana adhippāyo aṭṭhakathāya eva vibhāvito. Yasmā ‘‘sassato attā’’ti abhinivisanto arūparāgaṃ, asaññūpagaṃ vā avimokkhaṃyeva vimokkhoti gahetvā saṃsāre eva olīyati. Tenāha ‘‘olīyanābhinivesā hi bhavadiṭṭhī’’ti. Yasmā pana kāmabhavādīsu yaṃ vā taṃ vā bhavaṃ patvā attā ucchijjati vinassati, na hoti paraṃ maraṇāti abhinivisanto bhavavippamokkhāvahāya sammāpaṭipattiyā appaṭipajjanena taṃ ativattati. Tena vuttaṃ ‘‘atidhāvanābhinivesā vibhavadiṭṭhī’’ti.

    ลีนวเสน สนฺติฎฺฐโนฺตติ โกสชฺชาทิวเสน สํโกจาปชฺชเนน สมฺมา อปฺปฎิปชฺชโนฺตฯ อุทฺธจฺจวเสน อายูหโนฺตติ สมฺมาสมาธิโน อภาเวน วิเกฺขปวเสน ปญฺจโม ทุโก วุโตฺตฯ ยถา กามสุขํ ปวิฎฺฐสฺส สมาธานํ นตฺถิ จิตฺตสฺส อุปกฺกิลิฎฺฐตฺตา, เอวํ อตฺตปริตาปนมนุยุตฺตสฺส กายสฺส อุปกฺกิลิฎฺฐตฺตาฯ อิติ จิตฺตกายปริกฺกิเลสกรา เทฺว อนฺตา ตณฺหาทิฎฺฐินิสฺสยตาย สํสีทนนิพฺพุยฺหนนิมิตฺตา วุตฺตา ฉฎฺฐทุเกฯ ปุเพฺพ สปฺปเทสโตว สํกิเลสธมฺมา ‘‘สํสีทนนิมิตฺต’’นฺติ ทสฺสิตาติ อิทานิ นิปฺปเทสโต ทสฺสนวเสน, ปุเพฺพ จ สาธารณโต อภิสงฺขารธมฺมา ‘‘นิพฺพุยฺหนนิมิตฺต’’นฺติ ทสฺสิตาติ อิทานิ ปุญฺญาเนญฺชาภิสงฺขาเร เอว ‘‘อายูหนนิมิตฺต’’นฺติ ทสฺสนวเสน สตฺตมทุโก วุโตฺตฯ เอวญฺหิ ทุคฺคติสุคตูปปตฺติวเสน สํสีทนนิพฺพุยฺหนานิ วิภชฺช ทสฺสิตานิ โหนฺตีติฯ เตเนวาห ‘‘วุตฺตมฺปิ เจต’’นฺติอาทิฯ อโธภาคํ ทุคฺคติํ คเมนฺตีติ อโธภาคงฺคมนียา อนุนาสิกโลปํ อกตฺวาฯ ตถา อุปริภาคํ คเมนฺตีติ อุปริภาคงฺคมนียา

    Līnavasena santiṭṭhantoti kosajjādivasena saṃkocāpajjanena sammā appaṭipajjanto. Uddhaccavasena āyūhantoti sammāsamādhino abhāvena vikkhepavasena pañcamo duko vutto. Yathā kāmasukhaṃ paviṭṭhassa samādhānaṃ natthi cittassa upakkiliṭṭhattā, evaṃ attaparitāpanamanuyuttassa kāyassa upakkiliṭṭhattā. Iti cittakāyaparikkilesakarā dve antā taṇhādiṭṭhinissayatāya saṃsīdananibbuyhananimittā vuttā chaṭṭhaduke. Pubbe sappadesatova saṃkilesadhammā ‘‘saṃsīdananimitta’’nti dassitāti idāni nippadesato dassanavasena, pubbe ca sādhāraṇato abhisaṅkhāradhammā ‘‘nibbuyhananimitta’’nti dassitāti idāni puññāneñjābhisaṅkhāre eva ‘‘āyūhananimitta’’nti dassanavasena sattamaduko vutto. Evañhi duggatisugatūpapattivasena saṃsīdananibbuyhanāni vibhajja dassitāni hontīti. Tenevāha ‘‘vuttampi ceta’’ntiādi. Adhobhāgaṃ duggatiṃ gamentīti adhobhāgaṅgamanīyā anunāsikalopaṃ akatvā. Tathā uparibhāgaṃ gamentīti uparibhāgaṅgamanīyā.

    เอตฺถ จ โอฆตรณํ ปุจฺฉิเตน ภควตา ‘‘อปฺปติฎฺฐํ อนายูห’’นฺติ ตสฺส ปหานงฺคเมว ทสฺสิตํ, น สมฺปโยคงฺคนฺติ? น เอวํ ทฎฺฐพฺพํ, ยาวตา เยน ปติฎฺฐานํ โหติ, เยน จ อายูหนํ, ตทุภยปฎิเกฺขปมุเขน ตปฺปฎิปกฺขธมฺมทสฺสนเมตนฺติฯ น เหส อ-กาโร เกวลํ ปฎิเสเธ, อถ โข ปฎิปเกฺข ‘‘อกุสลา ธมฺมา, อหิโต, อธโมฺม’’ติอาทีสุ วิย, ตสฺมา อปฺปติฎฺฐํ อนายูหนฺติ ปติฎฺฐานายูหนานํ ปฎิปกฺขวเสน ปวตฺตมาโน ตถาปวตฺติเหตูวาติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ โขติ จ อวธารณเตฺถ นิปาโต ‘‘อโสฺสสิ โข’’ติอาทีสุ (ปารา. ๑) วิยฯ เตน อปฺปติฎฺฐานสฺส เอกํสิกตํ ทเสฺสติฯ โสยํ โข-สโทฺท ‘‘อนายูห’’นฺติ เอตฺถาปิ อาเนตฺวา วตฺตโพฺพฯ อนายูหนมฺปิ หิ เอกํสิกเมวาติ ตสฺส ปฎิปโกฺข สห วิปสฺสนาย อริยมโคฺคฯ เตน หิ โอฆตรณํ โหติ, น อญฺญถาฯ เอวมยํ ยถานุสนฺธิเทสนา กตา, เทวตา จ สหวิปสฺสนํ มคฺคํ ปฎิวิชฺฌีติ ปฐมผเล ปติฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อิมํ ปญฺหวิสฺสชฺชน’’นฺติอาทิฯ

    Ettha ca oghataraṇaṃ pucchitena bhagavatā ‘‘appatiṭṭhaṃ anāyūha’’nti tassa pahānaṅgameva dassitaṃ, na sampayogaṅganti? Na evaṃ daṭṭhabbaṃ, yāvatā yena patiṭṭhānaṃ hoti, yena ca āyūhanaṃ, tadubhayapaṭikkhepamukhena tappaṭipakkhadhammadassanametanti. Na hesa a-kāro kevalaṃ paṭisedhe, atha kho paṭipakkhe ‘‘akusalā dhammā, ahito, adhammo’’tiādīsu viya, tasmā appatiṭṭhaṃ anāyūhanti patiṭṭhānāyūhanānaṃ paṭipakkhavasena pavattamāno tathāpavattihetūvāti ayamettha attho. Khoti ca avadhāraṇatthe nipāto ‘‘assosi kho’’tiādīsu (pārā. 1) viya. Tena appatiṭṭhānassa ekaṃsikataṃ dasseti. Soyaṃ kho-saddo ‘‘anāyūha’’nti etthāpi ānetvā vattabbo. Anāyūhanampi hi ekaṃsikamevāti tassa paṭipakkho saha vipassanāya ariyamaggo. Tena hi oghataraṇaṃ hoti, na aññathā. Evamayaṃ yathānusandhidesanā katā, devatā ca sahavipassanaṃ maggaṃ paṭivijjhīti paṭhamaphale patiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ ‘‘imaṃ pañhavissajjana’’ntiādi.

    ‘‘จิรสฺสา’’ติ อิมินา สมานตฺถํ ปทนฺตรเมตนฺติ อาห ‘‘จิรสฺส กาลสฺสา’’ติ ยถา ‘‘มมํ วา, ภิกฺขเว’’ติ (ที. นิ. ๑.๕-๖) เอตฺถ ‘‘มมา’’ติ อิมินา สมานตฺถํ ปทนฺตรํ มมนฺติฯ น ทิฎฺฐปุพฺพาติ อทสฺสาวีฯ อทสฺสาวิตา จ ทิสฺวา กตฺตพฺพกิจฺจสฺส อสิทฺธตาย เวทิตพฺพาฯ อญฺญถา กา นาม สา เทวตา, ยา ภควนฺตํ น ทิฎฺฐวตี? เตนาห ‘‘กิํ ปนิมายา’’ติอาทิฯ ทสฺสนํ อุปาทาย เอวํ วตฺตุํ วตฺตตีติ ยทา กทาจิ กญฺจิ ปิยชาติกํ ทิสฺวา ตํ ทสฺสนํ อุปาทาย ‘‘จิเรน วต มยํ อายสฺมนฺตํ ปสฺสามา’’ติ อทิฎฺฐปุพฺพํ ทิฎฺฐปุพฺพํ วา เอวํ วตฺตุํ ยุชฺชติ, อยํ โลเก นิรุเฬฺห สมุทาจาโรติ ทเสฺสติฯ พฺรหฺมํ วา วุจฺจติ อริยมโคฺค, ตสฺส อณนโต ชานนโต ปฎิวิชฺฌนโต พฺราหฺมโณกิเลสนิพฺพาเนนาติ กิเลสานํ อจฺจนฺตสมุเจฺฉทสงฺขาเตน นิพฺพาเนน นิพฺพุตํ สมฺมเทว วูปสนฺต-สพฺพกิเลสทรถ-ปริฬาหํฯ อาสตฺตวิสตฺตาทีหีติ อาทิ-สเทฺทน วิสตาทิอากาเร สงฺคณฺหาติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    ‘‘Cirassā’’ti iminā samānatthaṃ padantarametanti āha ‘‘cirassa kālassā’’ti yathā ‘‘mamaṃ vā, bhikkhave’’ti (dī. ni. 1.5-6) ettha ‘‘mamā’’ti iminā samānatthaṃ padantaraṃ mamanti. Na diṭṭhapubbāti adassāvī. Adassāvitā ca disvā kattabbakiccassa asiddhatāya veditabbā. Aññathā kā nāma sā devatā, yā bhagavantaṃ na diṭṭhavatī? Tenāha ‘‘kiṃ panimāyā’’tiādi. Dassanaṃ upādāya evaṃ vattuṃ vattatīti yadā kadāci kañci piyajātikaṃ disvā taṃ dassanaṃ upādāya ‘‘cirena vata mayaṃ āyasmantaṃ passāmā’’ti adiṭṭhapubbaṃ diṭṭhapubbaṃ vā evaṃ vattuṃ yujjati, ayaṃ loke niruḷhe samudācāroti dasseti. Brahmaṃ vā vuccati ariyamaggo, tassa aṇanato jānanato paṭivijjhanato brāhmaṇo. Kilesanibbānenāti kilesānaṃ accantasamucchedasaṅkhātena nibbānena nibbutaṃ sammadeva vūpasanta-sabbakilesadaratha-pariḷāhaṃ. Āsattavisattādīhīti ādi-saddena visatādiākāre saṅgaṇhāti. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘วิสตาติ วิสตฺติกา, วิสฎาติ วิสตฺติกา, วิสาลาติ วิสตฺติกา, วิสกฺกตีติ วิสตฺติกา, วิสํวาทิกาติ วิสตฺติกา, วิสํ หรตีติ วิสตฺติกา, วิสมูลาติ วิสตฺติกา, วิสผลาติ วิสตฺติกา, วิสปริโภโคติ วิสตฺติกา, วิสาลา วา ปน สา ตณฺหา รูเป สเทฺท คเนฺธ รเส โผฎฺฐเพฺพ ธเมฺม กุเล คเณ วิสตา วิตฺถตาติ วิสตฺติกา’’ติ (มหานิ. ๓)ฯ

    ‘‘Visatāti visattikā, visaṭāti visattikā, visālāti visattikā, visakkatīti visattikā, visaṃvādikāti visattikā, visaṃ haratīti visattikā, visamūlāti visattikā, visaphalāti visattikā, visaparibhogoti visattikā, visālā vā pana sā taṇhā rūpe sadde gandhe rase phoṭṭhabbe dhamme kule gaṇe visatā vitthatāti visattikā’’ti (mahāni. 3).

    ตตฺถ วิสตาติ วิตฺถตา รูปาทีสุ เตภูมกธเมฺมสุ อภิพฺยาปนวเสน วิสฎาติ ปุริมวจนเมว ต-การสฺส ฎ-การํ กตฺวา วุตฺตํฯ วิสาลาติ วิปุลาฯ วิสกฺกตีติ ปริสกฺกติ, สหติ วาฯ รโตฺต หิ ราควตฺถุนา ปาเทน ตาฬิยมาโนปิ สหตีติฯ โอสกฺกนํ วิปฺผนฺทนํ วา ‘‘วิสกฺกน’’นฺติปิ วทนฺติฯ อนิจฺจาทิํ นิจฺจาทิโตฯ คณฺหาตีติ วิสํวาทิกา โหติฯ วิสํ หรตีติ ตถา ตถา กาเมสุ อานิสํสํ ปสฺสนฺตี วิวิเธหิ อากาเรหิ เนกฺขมฺมาภิมุขปฺปวตฺติโต จิตฺตํ สํหรติ สํขิปติ, วิสํ วา ทุกฺขํ, ตํ หรติ, วหตีติ อโตฺถฯ ทุกฺขนิพฺพตฺตกกมฺมสฺส เหตุภาวโต วิสมูลาฯ วิสํ วา ทุกฺขาภิภูตา เวทนา มูลํ เอติสฺสาติ วิสมูลาฯ ทุกฺขสมุทยตฺตา วิสํ ผลํ เอติสฺสาติ วิสผลาฯ ตณฺหาย รูปาทิกสฺส ทุกฺขเสฺสว ปริโภโค โหติ, น อมตสฺสาติ วิสปริโภโคติ วุตฺตา, สพฺพตฺถ นิรุตฺติวเสน ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ โย ปเนตฺถ ปธาโน อโตฺถ, ตํ ทเสฺสตุํ ปุน ‘‘วิสาลา วา ปนา’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ เอวเมตฺถ วิสตฺติกาปทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ติณฺณํ ปฐมทุติยมเคฺคหิฯ นิตฺติณฺณํ ตติยมเคฺคนฯ อุตฺติณฺณํ จตุตฺถมเคฺคนฯ

    Tattha visatāti vitthatā rūpādīsu tebhūmakadhammesu abhibyāpanavasena visaṭāti purimavacanameva ta-kārassa ṭa-kāraṃ katvā vuttaṃ. Visālāti vipulā. Visakkatīti parisakkati, sahati vā. Ratto hi rāgavatthunā pādena tāḷiyamānopi sahatīti. Osakkanaṃ vipphandanaṃ vā ‘‘visakkana’’ntipi vadanti. Aniccādiṃ niccādito. Gaṇhātīti visaṃvādikā hoti. Visaṃ haratīti tathā tathā kāmesu ānisaṃsaṃ passantī vividhehi ākārehi nekkhammābhimukhappavattito cittaṃ saṃharati saṃkhipati, visaṃ vā dukkhaṃ, taṃ harati, vahatīti attho. Dukkhanibbattakakammassa hetubhāvato visamūlā. Visaṃ vā dukkhābhibhūtā vedanā mūlaṃ etissāti visamūlā. Dukkhasamudayattā visaṃ phalaṃ etissāti visaphalā. Taṇhāya rūpādikassa dukkhasseva paribhogo hoti, na amatassāti visaparibhogoti vuttā, sabbattha niruttivasena padasiddhi veditabbā. Yo panettha padhāno attho, taṃ dassetuṃ puna ‘‘visālā vā panā’’tiādi vuttanti evamettha visattikāpadassa attho veditabbo. Tiṇṇaṃ paṭhamadutiyamaggehi. Nittiṇṇaṃ tatiyamaggena. Uttiṇṇaṃ catutthamaggena.

    สมนุโญฺญติ สมฺมเทว กตานุโญฺญฯ เตนาห ‘‘เอกชฺฌาสโย อโหสี’’ติฯ อนฺตรธายีติ อทสฺสนํ อคมาสิฯ ยถา ปน อนฺตรธายิ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อภิสงฺขตกาย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ มาเลหีติ ลิงฺควิปลฺลาเสน วุตฺตํ, ‘‘มาลาหี’’ติ เกจิ ปฐนฺติ, ‘‘มเลฺยหี’’ติ วตฺตเพฺพ ย-การโลปํ กตฺวา นิเทฺทโสฯ อยํ ตาว อฎฺฐกถาย ลีนตฺถวณฺณนาฯ

    Samanuññoti sammadeva katānuñño. Tenāha ‘‘ekajjhāsayo ahosī’’ti. Antaradhāyīti adassanaṃ agamāsi. Yathā pana antaradhāyi, taṃ dassetuṃ ‘‘abhisaṅkhatakāya’’ntiādi vuttaṃ. Mālehīti liṅgavipallāsena vuttaṃ, ‘‘mālāhī’’ti keci paṭhanti, ‘‘malyehī’’ti vattabbe ya-kāralopaṃ katvā niddeso. Ayaṃ tāva aṭṭhakathāya līnatthavaṇṇanā.

    เนตฺตินยวณฺณนา

    Nettinayavaṇṇanā

    อิทานิ ปกรณนเยน ปาฬิยา อตฺถวณฺณนํ กริสฺสามฯ สา ปน อตฺถวณฺณนา ยสฺมา เทสนาย สมุฎฺฐานปฺปโยชนภาชเนสุ ปิณฺฑเตฺถสุ จ นิทฺธาริเตสุ สุกรา โหติ สุวิเญฺญยฺยา จ, ตสฺมา สุตฺตเทสนาย สมุฎฺฐานาทีนิ ปฐมํ นิทฺธารยิสฺสามฯ ตตฺถ สมุฎฺฐานํ ตาว เทสนานิทานํ, ตํ สาธารณํ อสาธารณนฺติ ทุวิธํฯ ตตฺถ สาธารณมฺปิ อพฺภนฺตรพาหิรเภทโต ทุวิธํฯ ตตฺถ สาธารณํ อพฺภนฺตรสมุฎฺฐานํ นาม โลกนาถสฺส มหากรุณาฯ ตาย หิ สมุสฺสาหิตสฺส ภควโต เวเนยฺยานํ ธมฺมเทสนาย จิตฺตํ อุทปาทิ, ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘สเตฺตสุ จ การุญฺญตํ ปฎิจฺจ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกสี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒๘๓; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๙)ฯ เอตฺถ จ เหตุอวตฺถายปิ มหากรุณาย สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพ ยาวเทว สํสารมโหฆโต สทฺธมฺมเทสนาหตฺถทาเนหิ สตฺตสนฺตารณตฺถํ ตทุปฺปตฺติโตฯ ยถา จ มหากรุณา, เอวํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ทสพลญาณาทีนิ จ เทสนาย อพฺภนฺตรสมุฎฺฐานภาเวน วตฺตพฺพานิฯ สพฺพญฺหิ เญยฺยธมฺมํ เตสํ เทเสตพฺพปฺปการํ สตฺตานญฺจ อาสยานุสยาทิํ ยาถาวโต ชานโนฺต ภควา ฐานาฎฺฐานาทีสุ โกสเลฺลน เวเนยฺยชฺฌาสยานุรูปํ วิจิตฺตนยเทสนํ ปวเตฺตสีติฯ พาหิรํ ปน สาธารณํ สมุฎฺฐานํ ทสสหสฺสมหาพฺรหฺมปริวาร-สหมฺปติมหาพฺรหฺมุโน อเชฺฌสนํฯ ตทเชฺฌสนุตฺตรกาลญฺหิ ธมฺมคมฺภีรตาปจฺจเวกฺขณาชนิตํ อโปฺปสฺสุกฺกตํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา ธมฺมสฺสามี ธมฺมเทสนาย อุสฺสาหชาโต อโหสิฯ อสาธารณมฺปิ อพฺภนฺตรพาหิรเภทโต ทุวิธเมวฯ ตตฺถ อพฺภนฺตรํ ยาย มหากรุณาย เยน จ เทสนาญาเณน อิทํ สุตฺตํ ปวตฺติตํ, ตทุภยํ เวทิตพฺพํ พาหิรํ ปน ตสฺสา เทวตาย ปุจฺฉา, ปุจฺฉาวสิโก เหส สุตฺตนิเกฺขโปฯ ตยิทํ ปาฬิยํ อาคตเมวฯ

    Idāni pakaraṇanayena pāḷiyā atthavaṇṇanaṃ karissāma. Sā pana atthavaṇṇanā yasmā desanāya samuṭṭhānappayojanabhājanesu piṇḍatthesu ca niddhāritesu sukarā hoti suviññeyyā ca, tasmā suttadesanāya samuṭṭhānādīni paṭhamaṃ niddhārayissāma. Tattha samuṭṭhānaṃ tāva desanānidānaṃ, taṃ sādhāraṇaṃ asādhāraṇanti duvidhaṃ. Tattha sādhāraṇampi abbhantarabāhirabhedato duvidhaṃ. Tattha sādhāraṇaṃ abbhantarasamuṭṭhānaṃ nāma lokanāthassa mahākaruṇā. Tāya hi samussāhitassa bhagavato veneyyānaṃ dhammadesanāya cittaṃ udapādi, yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘sattesu ca kāruññataṃ paṭicca buddhacakkhunā lokaṃ volokesī’’tiādi (ma. ni. 1.283; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 9). Ettha ca hetuavatthāyapi mahākaruṇāya saṅgaho daṭṭhabbo yāvadeva saṃsāramahoghato saddhammadesanāhatthadānehi sattasantāraṇatthaṃ taduppattito. Yathā ca mahākaruṇā, evaṃ sabbaññutaññāṇaṃ dasabalañāṇādīni ca desanāya abbhantarasamuṭṭhānabhāvena vattabbāni. Sabbañhi ñeyyadhammaṃ tesaṃ desetabbappakāraṃ sattānañca āsayānusayādiṃ yāthāvato jānanto bhagavā ṭhānāṭṭhānādīsu kosallena veneyyajjhāsayānurūpaṃ vicittanayadesanaṃ pavattesīti. Bāhiraṃ pana sādhāraṇaṃ samuṭṭhānaṃ dasasahassamahābrahmaparivāra-sahampatimahābrahmuno ajjhesanaṃ. Tadajjhesanuttarakālañhi dhammagambhīratāpaccavekkhaṇājanitaṃ appossukkataṃ paṭippassambhetvā dhammassāmī dhammadesanāya ussāhajāto ahosi. Asādhāraṇampi abbhantarabāhirabhedato duvidhameva. Tattha abbhantaraṃ yāya mahākaruṇāya yena ca desanāñāṇena idaṃ suttaṃ pavattitaṃ, tadubhayaṃ veditabbaṃ bāhiraṃ pana tassā devatāya pucchā, pucchāvasiko hesa suttanikkhepo. Tayidaṃ pāḷiyaṃ āgatameva.

    ปโยชนมฺปิ สาธารณาสาธารณโต ทุวิธํฯ ตตฺถ สาธารณํ อนุกฺกเมน ยาว อนุปาทาปรินิพฺพานํ วิมุตฺติรสตฺตา ภควโต เทสนายฯ เตเนวาห ‘‘เอตทตฺถา กถา, เอตทตฺถา มนฺตนา’’ติอาทิ (ปริ. ๓๖๖)ฯ อสาธารณํ ปน ตสฺสา เทวตาย ทสฺสนมคฺคสมธิคโม, อุภยเมฺปตํ พาหิรเมวฯ สเจ ปน เวเนยฺยสนฺตานคตมฺปิ เทสนาพลสิทฺธิสงฺขาตํ ปโยชนํ อธิปฺปายสมิชฺฌนภาวโต ยถาธิเปฺปตตฺถสิทฺธิยา มหาการุณิกสฺส ภควโตปิ ปโยชนเมวาติ คเณฺหยฺย, อิมินา ปริยาเยนสฺส อพฺภนฺตรตาปิ สิยาฯ

    Payojanampi sādhāraṇāsādhāraṇato duvidhaṃ. Tattha sādhāraṇaṃ anukkamena yāva anupādāparinibbānaṃ vimuttirasattā bhagavato desanāya. Tenevāha ‘‘etadatthā kathā, etadatthā mantanā’’tiādi (pari. 366). Asādhāraṇaṃ pana tassā devatāya dassanamaggasamadhigamo, ubhayampetaṃ bāhirameva. Sace pana veneyyasantānagatampi desanābalasiddhisaṅkhātaṃ payojanaṃ adhippāyasamijjhanabhāvato yathādhippetatthasiddhiyā mahākāruṇikassa bhagavatopi payojanamevāti gaṇheyya, iminā pariyāyenassa abbhantaratāpi siyā.

    อปิจ ตสฺสา เทวตาย โอฆตรณาการสฺส ยาถาวโต อนวโพโธ อิมิสฺสา เทสนาย สมุฎฺฐานํ, ตทวโพโธ ปโยชนํฯ โส หิ อิมาย เทสนาย ภควนฺตํ ปโยเชติ ตนฺนิปฺผาทนปรายํ เทสนาติ กตฺวาฯ ยญฺหิ เทสนาย สาเธตพฺพํ ผลํ, ตํ อากงฺขิตพฺพตฺตา เทสกํ เทสนาย ปโยเชตีติ ปโยชนนฺติ วุจฺจติฯ ตถา เทวตาย ตทเญฺญสญฺจ วิเนยฺยานํ ปติฎฺฐานายูหนวิสฺสชฺชนเญฺจตฺถ ปโยชนํ ฯ ตถา สํสารจกฺกนิวตฺติ-สทฺธมฺมจกฺกปฺปวตฺติสสฺสตาทิมิจฺฉาจาร-นิรากรณํ สมฺมาวาทปุเรกฺขาโร อกุสลมูลสมูหนนํ กุสลมูลสมาโรปนํ อปายทฺวารปิทหนํ สคฺคโมกฺขทฺวารวิวรณํ ปริยุฎฺฐานวูปสมนํ อนุสยสมุคฺฆาตนํ ‘‘มุโตฺต โมเจสฺสามี’’ติ ปุริมปฎิญฺญาอวิสํวาทนํ ตปฺปฎิปกฺขมารมโนรถวิสํวาทนํ ติตฺถิยสมยนิมฺมถนํ พุทฺธธมฺมปติฎฺฐาปนนฺติ เอวมาทีนิปิ ปโยชนานิ อิธ เวทิตพฺพานิฯ

    Apica tassā devatāya oghataraṇākārassa yāthāvato anavabodho imissā desanāya samuṭṭhānaṃ, tadavabodho payojanaṃ. So hi imāya desanāya bhagavantaṃ payojeti tannipphādanaparāyaṃ desanāti katvā. Yañhi desanāya sādhetabbaṃ phalaṃ, taṃ ākaṅkhitabbattā desakaṃ desanāya payojetīti payojananti vuccati. Tathā devatāya tadaññesañca vineyyānaṃ patiṭṭhānāyūhanavissajjanañcettha payojanaṃ . Tathā saṃsāracakkanivatti-saddhammacakkappavattisassatādimicchācāra-nirākaraṇaṃ sammāvādapurekkhāro akusalamūlasamūhananaṃ kusalamūlasamāropanaṃ apāyadvārapidahanaṃ saggamokkhadvāravivaraṇaṃ pariyuṭṭhānavūpasamanaṃ anusayasamugghātanaṃ ‘‘mutto mocessāmī’’ti purimapaṭiññāavisaṃvādanaṃ tappaṭipakkhamāramanorathavisaṃvādanaṃ titthiyasamayanimmathanaṃ buddhadhammapatiṭṭhāpananti evamādīnipi payojanāni idha veditabbāni.

    ยถา เทวตา โอฆตรเณ สํสยปกฺขนฺทา, ตาทิสา อเญฺญ จ สงฺขาตธมฺมานํ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส จ ปฎิปตฺติํ อชานนฺตา อสทฺธมฺมสฺสวน-ธารณ-ปริจย-มนสิการวิปลฺลตฺถพุทฺธิกา สทฺธมฺมสฺสวน-ธารณ-ปริจยวิมุขา จ ภววิโมเกฺขสิโน วิเนยฺยา อิมิสฺสา เทสนาย ภาชนํ

    Yathā devatā oghataraṇe saṃsayapakkhandā, tādisā aññe ca saṅkhātadhammānaṃ sammāsambuddhassa ca paṭipattiṃ ajānantā asaddhammassavana-dhāraṇa-paricaya-manasikāravipallatthabuddhikā saddhammassavana-dhāraṇa-paricayavimukhā ca bhavavimokkhesino vineyyā imissā desanāya bhājanaṃ.

    ปิณฺฑตฺถา ปน ‘‘อปฺปติฎฺฐํ อนายูห’’นฺติ ปททฺวเย จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานานุโยควเสน โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร กุสลมูลสมาโยโค โอลียนาติธาวนาวิสฺสชฺชนํ อุปายวินิพนฺธวิธมนํ มิจฺฉาภินิเวสทูรีภาโว ตณฺหาวิชฺชาวิโสธนํ วฎฺฎตฺตยวิเจฺฉทนุปาโย อาสโวฆ-โยค-คนฺถาคติ-ตณฺหุปฺปาทุปาทานวิโยโค เจโตขิลวิเวจนํ อภินนฺทนนิวารณํ สํสคฺคาติกฺกโม วิวาทมูลปริจฺจาโค อกุสลกมฺมปถวิทฺธํสนํ มิจฺฉตฺตาติวตฺตนํ อนุสยมูลเจฺฉโทฯ สพฺพกิเลส-ทรถปริฬาห-สารมฺภปฎิปฺปสฺสมฺภนํ ทสฺสนสวนนิเทฺทโส วิชฺชูปมวชิรูปมธมฺมาปเทโส อปจยคามิธมฺมวิภาวนา ปหานตฺตยทีปนา สิกฺขตฺตยานุโยโค สมถวิปสฺสนานุฎฺฐานํ ภาวนาสจฺฉิกิริยาสิทฺธิ สีลกฺขนฺธาทิปาริสุทฺธีติ เอวมาทโย เวทิตพฺพาฯ

    Piṇḍatthā pana ‘‘appatiṭṭhaṃ anāyūha’’nti padadvaye catusaccakammaṭṭhānānuyogavasena yonisomanasikārabahulīkāro kusalamūlasamāyogo olīyanātidhāvanāvissajjanaṃ upāyavinibandhavidhamanaṃ micchābhinivesadūrībhāvo taṇhāvijjāvisodhanaṃ vaṭṭattayavicchedanupāyo āsavogha-yoga-ganthāgati-taṇhuppādupādānaviyogo cetokhilavivecanaṃ abhinandananivāraṇaṃ saṃsaggātikkamo vivādamūlapariccāgo akusalakammapathaviddhaṃsanaṃ micchattātivattanaṃ anusayamūlacchedo. Sabbakilesa-darathapariḷāha-sārambhapaṭippassambhanaṃ dassanasavananiddeso vijjūpamavajirūpamadhammāpadeso apacayagāmidhammavibhāvanā pahānattayadīpanā sikkhattayānuyogo samathavipassanānuṭṭhānaṃ bhāvanāsacchikiriyāsiddhi sīlakkhandhādipārisuddhīti evamādayo veditabbā.

    ตตฺถ เยสํ กิเลสาทีนํ วเสน ปติฎฺฐาติ สํสีทติ, เยสญฺจ อภิสงฺขาราทีนํ วเสน อายูหติ นิพฺพุยฺหติ, อุภยเมตํ สมุทยสจฺจํ, ตปฺปภาวิตา ตทุภยนิสฺสิตา จ ขนฺธา ทุกฺขสจฺจํ, ตทุภยมโตฺถ, ‘‘อปฺปติฎฺฐํ อนายูห’’นฺติ อธิเปฺปตสฺส อตฺถสฺส ปฎิจฺฉนฺนํ กตฺวา เทสนา อุปาโย มานนิคฺคณฺหนวเสน ตสฺสา เทวตาย สจฺจาภิสมยการณภาวโต ปติฎฺฐานายูหนปฎิเกฺขโปปเทเสน จตุโรฆนิรตฺถรณตฺถิเกหิ อนฺตทฺวยรหิตา มชฺฌิมา ปฎิปตฺติ ปฎิปชฺชิตพฺพาติ อยเมตฺถ ภควโต อาณตฺตีติ อยํ เทสนาหาโร

    Tattha yesaṃ kilesādīnaṃ vasena patiṭṭhāti saṃsīdati, yesañca abhisaṅkhārādīnaṃ vasena āyūhati nibbuyhati, ubhayametaṃ samudayasaccaṃ, tappabhāvitā tadubhayanissitā ca khandhā dukkhasaccaṃ, tadubhayamattho, ‘‘appatiṭṭhaṃ anāyūha’’nti adhippetassa atthassa paṭicchannaṃ katvā desanā upāyo mānaniggaṇhanavasena tassā devatāya saccābhisamayakāraṇabhāvato patiṭṭhānāyūhanapaṭikkhepopadesena caturoghanirattharaṇatthikehi antadvayarahitā majjhimā paṭipatti paṭipajjitabbāti ayamettha bhagavato āṇattīti ayaṃ desanāhāro.

    ปรสํสยปกฺขนฺทนตาย ญาตุกามตาย จ กถํ นูติ ปุจฺฉาวเสน วุตฺตํ? อภิมุขภาวโต เอกปุคฺคลภาวโต จ ‘‘ตฺว’’นฺติ วุตฺตํฯ ปรมุกฺกํสคตสฺส ครุภาวสฺส อนญฺญโยคฺยสฺส สทฺธมฺมธุรสฺส ปริทีปนโต สาธูติ มริสสีลาทิคุณตาย ‘‘มาริสา’’ติ วุตฺตํ ฯ อวหนนโต ราสิภาวโต จ ‘‘โอฆ’’นฺติ วุตฺตํฯ ญาตุํ อิจฺฉิตสฺส อตฺถสฺส กตตฺตา ปริโยสาปิตตฺตา ‘‘อิตี’’ติ วุตฺตํฯ สํสีทนลกฺขณสฺส ปติฎฺฐานสฺส อกาตพฺพโต สพฺพโส จ อกตตฺตาฯ ‘‘อปฺปติฎฺฐ’’นฺติ วุตฺตํฯ ตยิทํ อกรณํ เอกํสิกนฺติ โขติ อวธารณวเสน วุตฺตํฯ ตสฺส จ อปฺปติฎฺฐานสฺส สสนฺตติคตตฺตา ‘‘ตฺว’’นฺติ จ ปุจฺฉิตตฺตา ‘‘อห’’นฺติ วุตฺตํฯ เทวตาย สโมฺพธนโต ปิยาลปนโต จ, ‘‘อาวุโส’’ติ วุตฺตํฯ นิพฺพุยฺหนลกฺขณสฺส อายูหนสฺส อกาตพฺพโต สพฺพโส จ อกตตฺตา อนายูหนฺติ วุตฺตํฯ ติณฺณาการสฺส โอฆานํ อนิจฺฉิตภาวโต เอว ตตฺถ สํสยสฺส อนปคตตฺตา โอฆตรณสฺส จ อวิเสสตฺตา ‘‘ยถา กถํ ปนา’’ติ วุตฺตํฯ ตถา สํสีทนลกฺขณํ ปติฎฺฐานํ สํสาเร จ สณฺฐานนฺติ อนตฺถนฺตรตฺตา อภินฺนกาลิกํฯ ตถา นิพฺพุยฺหนลกฺขณํ อายูหนํ สมฺมาปฎิปตฺติยา อติวตฺตนนฺติ อนตฺถนฺตรตฺตา อภินฺนกาลิกนฺติ วุตฺตํ ‘‘ยทา สฺวาหํ…เป.… ตทาสฺสุ นิพฺพุยฺหามี’’ติฯ ตทุภยสฺส ปฎิปกฺขภาวโต ปฎิพาหนโต จ โอฆาติณฺณาติ วุตฺตํ ‘‘เอวํ ขฺวาหํ…เป.… โอฆมตริ’’นฺติฯ

    Parasaṃsayapakkhandanatāya ñātukāmatāya ca kathaṃ nūti pucchāvasena vuttaṃ? Abhimukhabhāvato ekapuggalabhāvato ca ‘‘tva’’nti vuttaṃ. Paramukkaṃsagatassa garubhāvassa anaññayogyassa saddhammadhurassa paridīpanato sādhūti marisasīlādiguṇatāya ‘‘mārisā’’ti vuttaṃ . Avahananato rāsibhāvato ca ‘‘ogha’’nti vuttaṃ. Ñātuṃ icchitassa atthassa katattā pariyosāpitattā ‘‘itī’’ti vuttaṃ. Saṃsīdanalakkhaṇassa patiṭṭhānassa akātabbato sabbaso ca akatattā. ‘‘Appatiṭṭha’’nti vuttaṃ. Tayidaṃ akaraṇaṃ ekaṃsikanti khoti avadhāraṇavasena vuttaṃ. Tassa ca appatiṭṭhānassa sasantatigatattā ‘‘tva’’nti ca pucchitattā ‘‘aha’’nti vuttaṃ. Devatāya sambodhanato piyālapanato ca, ‘‘āvuso’’ti vuttaṃ. Nibbuyhanalakkhaṇassa āyūhanassa akātabbato sabbaso ca akatattā anāyūhanti vuttaṃ. Tiṇṇākārassa oghānaṃ anicchitabhāvato eva tattha saṃsayassa anapagatattā oghataraṇassa ca avisesattā ‘‘yathā kathaṃ panā’’ti vuttaṃ. Tathā saṃsīdanalakkhaṇaṃ patiṭṭhānaṃ saṃsāre ca saṇṭhānanti anatthantarattā abhinnakālikaṃ. Tathā nibbuyhanalakkhaṇaṃ āyūhanaṃ sammāpaṭipattiyā ativattananti anatthantarattā abhinnakālikanti vuttaṃ ‘‘yadā svāhaṃ…pe… tadāssu nibbuyhāmī’’ti. Tadubhayassa paṭipakkhabhāvato paṭibāhanato ca oghātiṇṇāti vuttaṃ ‘‘evaṃ khvāhaṃ…pe… oghamatari’’nti.

    เอกพุทฺธนฺตรนฺตริกตฺตา สุทูรกาลิกตาย ‘‘จิรสฺส’’นฺติ วุตฺตํฯ อนฺตรา อทิฎฺฐปุพฺพตาย วิมฺหยนียตาย จ ‘‘วตา’’ติ วุตฺตํฯ ตทา อุปลพฺภมานตาย อตฺตปจฺจกฺขตาย จ ‘‘ปสฺสามี’’ติ วุตฺตํฯ พาหิตปาปโต พฺรหฺมสฺส จ อริยมคฺคสฺส อณนโต ปฎิวิชฺฌนโต ‘‘พฺราหฺมณ’’นฺติ วุตฺตํฯ กิเลสสนฺตาปวูปสมนโต ทุกฺขสนฺตาปวูปสมนโต จ สพฺพโส นิพฺพุตตฺตา ‘‘ปรินิพฺพุต’’นฺติ วุตฺตํฯ ตรณปโยคสฺส นิพฺพตฺติตตฺตา อุปริ ตริตพฺพาภาวโต จ ‘‘ติณฺณ’’นฺติ วุตฺตํฯ ญาณจกฺขุนา โอโลเกตพฺพโต ลุชฺชนโต ปลุชฺชนโต จ ‘‘โลเก’’ติ วุตฺตํฯ วิสเยสุ สญฺชนโต ชาตภาวโต ‘‘วิสตฺติก’’นฺติ วุตฺตํฯ ญาณสฺส ปจฺจกฺขภาวโต นิคมนโต จ ‘‘อิท’’นฺติ วุตฺตํฯ ภาสิตตฺตา ปริสมตฺตตฺตา จ ‘‘อโวจา’’ติ วุตฺตํฯ ปฐมํ คหิตตฺตา ปจฺจามสนโต จ ‘‘สา เทวตา’’ติ วุตฺตํฯ ปฎิเกฺขปสฺส อภาวโต อตฺถสฺส อนุโมทิตพฺพโต ‘‘สมนุโญฺญ’’ติ วุตฺตํฯ วิเนยฺยานํ สาสนโต ปรมตฺถสมฺปตฺติโต จ ‘‘สตฺถา’’ติ วุตฺตํฯ จกฺขุปถาติกฺกเมน ติโรภาวูปคมนโต ‘‘อนฺตรธายี’’ติ วุตฺตนฺติ อยํ อนุปทวิจยโต วิจยหาโร

    Ekabuddhantarantarikattā sudūrakālikatāya ‘‘cirassa’’nti vuttaṃ. Antarā adiṭṭhapubbatāya vimhayanīyatāya ca ‘‘vatā’’ti vuttaṃ. Tadā upalabbhamānatāya attapaccakkhatāya ca ‘‘passāmī’’ti vuttaṃ. Bāhitapāpato brahmassa ca ariyamaggassa aṇanato paṭivijjhanato ‘‘brāhmaṇa’’nti vuttaṃ. Kilesasantāpavūpasamanato dukkhasantāpavūpasamanato ca sabbaso nibbutattā ‘‘parinibbuta’’nti vuttaṃ. Taraṇapayogassa nibbattitattā upari taritabbābhāvato ca ‘‘tiṇṇa’’nti vuttaṃ. Ñāṇacakkhunā oloketabbato lujjanato palujjanato ca ‘‘loke’’ti vuttaṃ. Visayesu sañjanato jātabhāvato ‘‘visattika’’nti vuttaṃ. Ñāṇassa paccakkhabhāvato nigamanato ca ‘‘ida’’nti vuttaṃ. Bhāsitattā parisamattattā ca ‘‘avocā’’ti vuttaṃ. Paṭhamaṃ gahitattā paccāmasanato ca ‘‘sā devatā’’ti vuttaṃ. Paṭikkhepassa abhāvato atthassa anumoditabbato ‘‘samanuñño’’ti vuttaṃ. Vineyyānaṃ sāsanato paramatthasampattito ca ‘‘satthā’’ti vuttaṃ. Cakkhupathātikkamena tirobhāvūpagamanato ‘‘antaradhāyī’’ti vuttanti ayaṃ anupadavicayato vicayahāro.

    อปฺปติฎฺฐานานายูหเนหิ โอฆตรณํ ยุชฺชติ กิเลสาภิสงฺขารวิชหเนน ปารสมฺปตฺติสมิชฺฌนโตฯ สพฺพกิเลส-ตณฺหาทิฎฺฐิ-ตณฺหายตน-สสฺสตาทิวเสน สนฺติฎฺฐโต สํสาเร สํสีทนํ โหตีติ ยุชฺชติ การณสฺส สุปฺปติฎฺฐิตภาวโตฯ อภิสงฺขรณกิเจฺจ กิเลสาภิสงฺขาเร วิชฺชมาเน สพฺพทิฎฺฐาภินิเวส-อติธาวนาภินิเวสาทีนํ วเสน อายูหนฺตสฺส สํสารมโหเฆน นิพฺพุยฺหนํ โหตีติ ยุชฺชติ สมฺมาปฎิปตฺติยา อติวตฺตนโตฯ พฺรหฺมสฺส อริยมคฺคสฺส อณนโต ปฎิวิชฺฌนโต พฺราหฺมณภาโว ยุชฺชฺชติ พาหิตปาปตฺตาฯ สมฺมเทว สนฺตธมฺมสมธิคมโต ปรินิพฺพุตภาโว ยุชฺชติ สพฺพโส สวาสนปหีนกิเลสตฺตาฯ ตถา จ วิสตฺติกาย ติณฺณภาโว ยุชฺชติ ยถา ยาย เลโสปิ น ทิสฺสติ, เอวํ อคฺคมเคฺคน ตสฺสา สมุจฺฉินฺนตฺตาติ อยํ ยุตฺติหาโร

    Appatiṭṭhānānāyūhanehi oghataraṇaṃ yujjati kilesābhisaṅkhāravijahanena pārasampattisamijjhanato. Sabbakilesa-taṇhādiṭṭhi-taṇhāyatana-sassatādivasena santiṭṭhato saṃsāre saṃsīdanaṃ hotīti yujjati kāraṇassa suppatiṭṭhitabhāvato. Abhisaṅkharaṇakicce kilesābhisaṅkhāre vijjamāne sabbadiṭṭhābhinivesa-atidhāvanābhinivesādīnaṃ vasena āyūhantassa saṃsāramahoghena nibbuyhanaṃ hotīti yujjati sammāpaṭipattiyā ativattanato. Brahmassa ariyamaggassa aṇanato paṭivijjhanato brāhmaṇabhāvo yujjjati bāhitapāpattā. Sammadeva santadhammasamadhigamato parinibbutabhāvo yujjati sabbaso savāsanapahīnakilesattā. Tathā ca visattikāya tiṇṇabhāvo yujjati yathā yāya lesopi na dissati, evaṃ aggamaggena tassā samucchinnattāti ayaṃ yuttihāro.

    กิเลสวฎฺฎวเสน ปติฎฺฐานํ วิเสสโต กมฺมวฎฺฎสฺส ปทฎฺฐานํฯ อภิสงฺขารวเสน อายูหนญฺจ วิปากวฎฺฎสฺส ปทฎฺฐานํฯ อปฺปติฎฺฐานานายูหนานิ โอฆตรณสฺส ปทฎฺฐานํ, โอฆตรณํ อนุปาทิเสสนิพฺพานสฺสฯ ตณฺหาวเสน ปติฎฺฐานสฺส อสฺสาทานุปสฺสิตา ปทฎฺฐานํฯ เตนาห ภควา – ‘‘สํโยชนิเยสุ, ภิกฺขเว, ธเมฺมสุ อสฺสาทานุปสฺสิโน ตณฺหา ปวฑฺฒตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๕๒, ๕๖)ฯ

    Kilesavaṭṭavasena patiṭṭhānaṃ visesato kammavaṭṭassa padaṭṭhānaṃ. Abhisaṅkhāravasena āyūhanañca vipākavaṭṭassa padaṭṭhānaṃ. Appatiṭṭhānānāyūhanāni oghataraṇassa padaṭṭhānaṃ, oghataraṇaṃ anupādisesanibbānassa. Taṇhāvasena patiṭṭhānassa assādānupassitā padaṭṭhānaṃ. Tenāha bhagavā – ‘‘saṃyojaniyesu, bhikkhave, dhammesu assādānupassino taṇhā pavaḍḍhatī’’ti (saṃ. ni. 2.52, 56).

    ขนฺธาวิชฺชา-ผสฺส-สญฺญา-วิตกฺกาโยนิโสมนสิการ-ปาปมิตฺตปรโตโฆสา ทิฎฺฐิวเสน ปติฎฺฐานสฺส ปทฎฺฐานํฯ ยถาห – ปฎิสมฺภิทามเคฺค (ปฎิ. ม. ๑.๑๒๔) ‘‘ขนฺธาปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ, อวิชฺชาปิ ทิฎฺฐิฎฺฐาน’’นฺติอาทิฯ ตณฺหาทิฎฺฐาภินนฺทนอวเสสกิเลสาภิสงฺขารวเสน อายูหนสฺส ปทฎฺฐานํฯ อิมินา นเยน ยถารหํ ตณฺหาทิฎฺฐาทิวเสน ปติฎฺฐานายูหนานํ ปทฎฺฐานภาโว วตฺตโพฺพฯ เสสเมตฺถ ปาฬิโต เอว สุนิทฺธาริยํฯ อยํ ปทฎฺฐานหาโร

    Khandhāvijjā-phassa-saññā-vitakkāyonisomanasikāra-pāpamittaparatoghosā diṭṭhivasena patiṭṭhānassa padaṭṭhānaṃ. Yathāha – paṭisambhidāmagge (paṭi. ma. 1.124) ‘‘khandhāpi diṭṭhiṭṭhānaṃ, avijjāpi diṭṭhiṭṭhāna’’ntiādi. Taṇhādiṭṭhābhinandanaavasesakilesābhisaṅkhāravasena āyūhanassa padaṭṭhānaṃ. Iminā nayena yathārahaṃ taṇhādiṭṭhādivasena patiṭṭhānāyūhanānaṃ padaṭṭhānabhāvo vattabbo. Sesamettha pāḷito eva suniddhāriyaṃ. Ayaṃ padaṭṭhānahāro.

    อปฺปติฎฺฐํ อนายูหนฺติ ปติฎฺฐานายูหนปฎิเกฺขเปน วิสฺสเชฺชเนฺตน นิยฺยานาวหา สมฺมาปฎิปตฺติ คหิตา เอกนฺตโต โอฆนิตฺถรณูปายภาวโตฯ ตคฺคหเณน จ สเพฺพปิ สตฺตติํส โพธิปกฺขิยธมฺมา คหิตา โหนฺติ นิยฺยานลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตาติ อยํ ลกฺขณหาโร

    Appatiṭṭhaṃ anāyūhanti patiṭṭhānāyūhanapaṭikkhepena vissajjentena niyyānāvahā sammāpaṭipatti gahitā ekantato oghanittharaṇūpāyabhāvato. Taggahaṇena ca sabbepi sattatiṃsa bodhipakkhiyadhammā gahitā honti niyyānalakkhaṇena ekalakkhaṇattāti ayaṃ lakkhaṇahāro.

    นิทานมสฺสา เทวตาย โอฆตรณาการสฺส ยาถาวโต อนวโพโธติ วุโตฺตวายมโตฺถฯ อเญฺญปิ เย อิมํ เทสนํ นิสฺสาย โอฆตรณูปายํ ปฎิวิชฺฌนฺติ, เตปิ อิมิสฺสา เทสนาย นิทานนฺติ ทฎฺฐพฺพาฯ ‘‘กถํ นุ โข อิมํ เทสนํ นิสฺสาย สมฺมเทว ปฎิวิชฺฌนฺตา จตุพฺพิธมฺปิ โอฆํ ตรนฺตา สกลสํสารมโหฆโต นิตฺถเรยฺยุํ, ปเร จ ตตฺถ ปติฎฺฐเปยฺยุ’’นฺติ อยเมตฺถ ภควโต อธิปฺปาโยฯ ปทนิพฺพจนํ นิรุตฺตํ, ตํ ‘‘เอว’’นฺติอาทินิทานปทานํ ‘‘กถ’’นฺติอาทิปาฬิปทานญฺจ อฎฺฐกถาย ตสฺสา ลีนตฺถวณฺณนาย จ วุตฺตนยานุสาเรน สุกรตฺตา อติวิตฺถารภเยน น วิตฺถารยิมฺหฯ

    Nidānamassā devatāya oghataraṇākārassa yāthāvato anavabodhoti vuttovāyamattho. Aññepi ye imaṃ desanaṃ nissāya oghataraṇūpāyaṃ paṭivijjhanti, tepi imissā desanāya nidānanti daṭṭhabbā. ‘‘Kathaṃ nu kho imaṃ desanaṃ nissāya sammadeva paṭivijjhantā catubbidhampi oghaṃ tarantā sakalasaṃsāramahoghato nitthareyyuṃ, pare ca tattha patiṭṭhapeyyu’’nti ayamettha bhagavato adhippāyo. Padanibbacanaṃ niruttaṃ, taṃ ‘‘eva’’ntiādinidānapadānaṃ ‘‘katha’’ntiādipāḷipadānañca aṭṭhakathāya tassā līnatthavaṇṇanāya ca vuttanayānusārena sukarattā ativitthārabhayena na vitthārayimha.

    ปท-ปทตฺถ-เทสนา-นิเกฺขป-สุตฺตสนฺธิ-วเสน ปญฺจวิธา สนฺธิฯ ตตฺถ ปทสฺส ปทนฺตเรน สมฺพโนฺธ ปทสนฺธิฯ ตถา ปทตฺถสฺส ปทตฺถนฺตเรน สมฺพโนฺธ ปทตฺถสนฺธิ, โย ‘‘กิริยาการกสมฺพโนฺธ’’ติ วุโตฺตฯ นานานุสนฺธิกสฺส ตํตํอนุสนฺธีติ สมฺพโนฺธ, เอกานุสนฺธิกสฺส ปน ปุพฺพาปรสมฺพโนฺธ เทสนาสนฺธิ, ยา อฎฺฐกถายํ ‘‘ปุจฺฉานุสนฺธิ อชฺฌาสยานุสนฺธิ ยถานุสนฺธี’’ติ ติธา วิภตฺตาฯ อชฺฌาสโย เจตฺถ อตฺตชฺฌาสโย ปรชฺฌาสโยติ ทฺวิธา เวทิตโพฺพฯ นิเกฺขปสนฺธิ จตุนฺนํ สุตฺตนิเกฺขปานํ วเสน เวทิตพฺพาฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ ปปญฺจสูทนีฎีกายํ วุตฺตนเยน คเหตพฺพํฯ สุตฺตสนฺธิ อิธ ปฐมนิเกฺขปวเสน เวทิตพฺพาฯ

    Pada-padattha-desanā-nikkhepa-suttasandhi-vasena pañcavidhā sandhi. Tattha padassa padantarena sambandho padasandhi. Tathā padatthassa padatthantarena sambandho padatthasandhi, yo ‘‘kiriyākārakasambandho’’ti vutto. Nānānusandhikassa taṃtaṃanusandhīti sambandho, ekānusandhikassa pana pubbāparasambandho desanāsandhi, yā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘pucchānusandhi ajjhāsayānusandhi yathānusandhī’’ti tidhā vibhattā. Ajjhāsayo cettha attajjhāsayo parajjhāsayoti dvidhā veditabbo. Nikkhepasandhi catunnaṃ suttanikkhepānaṃ vasena veditabbā. Yaṃ panettha vattabbaṃ, taṃ papañcasūdanīṭīkāyaṃ vuttanayena gahetabbaṃ. Suttasandhi idha paṭhamanikkhepavasena veditabbā.

    ‘‘กสฺมา ปเนตฺถ โอฆตรณสุตฺตเมว ปฐมํ นิกฺขิตฺต’’นฺติ นายมนุโยโค กตฺถจิ น ปวตฺตติ? อปิจ ‘‘อปฺปติฎฺฐํ อนายูหํ โอฆมตริ’’นฺติ ปติฎฺฐานายูหนปฎิเกฺขปวเสน อนฺตทฺวยวิวชฺชนมุเขน วา มชฺฌิมาย ปฎิปทาย วิภาวนโต สพฺพปฐมมิทํ สุตฺตํ อิธ นิกฺขิตฺตํฯ อนฺตทฺวยํ อนุปคมฺม มชฺฌิมาย ปฎิปตฺติยา สงฺกาสนปรญฺหิ พุทฺธานํ สาสนนฺติฯ ยํ ปน เอกิสฺสา เทสนาย เทสนนฺตเรน สทฺธิํ สํสนฺทนํ, อยมฺปิ เทสนาสนฺธิฯ สา อิธ เอวํ เวทิตพฺพา –

    ‘‘Kasmā panettha oghataraṇasuttameva paṭhamaṃ nikkhitta’’nti nāyamanuyogo katthaci na pavattati? Apica ‘‘appatiṭṭhaṃ anāyūhaṃ oghamatari’’nti patiṭṭhānāyūhanapaṭikkhepavasena antadvayavivajjanamukhena vā majjhimāya paṭipadāya vibhāvanato sabbapaṭhamamidaṃ suttaṃ idha nikkhittaṃ. Antadvayaṃ anupagamma majjhimāya paṭipattiyā saṅkāsanaparañhi buddhānaṃ sāsananti. Yaṃ pana ekissā desanāya desanantarena saddhiṃ saṃsandanaṃ, ayampi desanāsandhi. Sā idha evaṃ veditabbā –

    ‘‘อปฺปติฎฺฐํ…เป.… อนายูหํ โอฆมตริ’’นฺติ อยํ เทสนา –

    ‘‘Appatiṭṭhaṃ…pe… anāyūhaṃ oghamatari’’nti ayaṃ desanā –

    ‘‘สพฺพทา สีลสมฺปโนฺน, ปญฺญวา สุสมาหิโต;

    ‘‘Sabbadā sīlasampanno, paññavā susamāhito;

    อารทฺธวีริโย ปหิตโตฺต, โอฆํ ตรติ ทุตฺตรํฯ

    Āraddhavīriyo pahitatto, oghaṃ tarati duttaraṃ.

    ‘‘วิรโต กามสญฺญาย, รูปสํโยชนาติโค;

    ‘‘Virato kāmasaññāya, rūpasaṃyojanātigo;

    นนฺทีราคปริกฺขีโณ, โส คมฺภีเร น สีทติ; (สํ. นิ. ๑.๙๖);

    Nandīrāgaparikkhīṇo, so gambhīre na sīdati; (Saṃ. ni. 1.96);

    สทฺธาย ตรติ โอฆํ, อปฺปมาเทน อณฺณวํฯ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖; สุ. นิ. ๑๘๖);

    Saddhāya tarati oghaṃ, appamādena aṇṇavaṃ. (saṃ. ni. 1.246; su. ni. 186);

    ‘‘ปญฺจ ฉิเนฺท ปญฺจ ชเห, ปญฺจ จุตฺตริ ภาวเย;

    ‘‘Pañca chinde pañca jahe, pañca cuttari bhāvaye;

    ปญฺจสงฺคาติโค ภิกฺขุ, โอฆติโณฺณติ วุจฺจติฯ (สํ. นิ. ๑.๕; ธ. ป. ๓๗๐);

    Pañcasaṅgātigo bhikkhu, oghatiṇṇoti vuccati. (saṃ. ni. 1.5; dha. pa. 370);

    ‘‘ตสฺมา ชนฺตุ สทา สโต, กามานิ ปริวชฺชเย;

    ‘‘Tasmā jantu sadā sato, kāmāni parivajjaye;

    เต ปหาย ตเร โอฆํ, นาวํ สิตฺวาว ปารคูฯ (สุ. นิ. ๗๗๗; มหานิ. ๖; เนตฺติ. ๕);

    Te pahāya tare oghaṃ, nāvaṃ sitvāva pāragū. (su. ni. 777; mahāni. 6; netti. 5);

    ‘‘เอกายนํ ชาติขยนฺตทสฺสี, มคฺคํ ปชานาติ หิตานุกมฺปี;

    ‘‘Ekāyanaṃ jātikhayantadassī, maggaṃ pajānāti hitānukampī;

    เอเตน มเคฺคน ตริํสุ ปุเพฺพ, ตริสฺสนฺติ เย จ ตรนฺติ โอฆ’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๕.๓๘๔, ๔๐๙; มหานิ. ๑๙๑; จูฬนิ. ปารายนานุคีติคาถานิเทฺทส ๑๐๗; ปฐมวคฺค ๑๒๑; เนตฺติ. ๑๗๐) –

    Etena maggena tariṃsu pubbe, tarissanti ye ca taranti ogha’’nti. (saṃ. ni. 5.384, 409; mahāni. 191; cūḷani. pārāyanānugītigāthāniddesa 107; paṭhamavagga 121; netti. 170) –

    เอวมาทีหิ เทสนาหิ สํสนฺทตีติ อยํ จตุพฺยูโห หาโร

    Evamādīhi desanāhi saṃsandatīti ayaṃ catubyūho hāro.

    อปฺปติฎฺฐํ อนายูหนฺติ เอตฺถ สํกิเลสวเสน ปติฎฺฐานํ อายูหนญฺจฯ เตน อโยนิโสมนสิกาโร ทีปิโต, สนฺตกิเลสวเสน อนายูหเนน โยนิโสมนสิกาโรฯ ตตฺถ อโยนิโสมนสิกโรโต ตณฺหาวิชฺชา ปวฑฺฒติฯ เตสุ ตณฺหาคหเณน จ ตณฺหามูลกา ธมฺมา อาวตฺตนฺติฯ อวิชฺชาคหเณน อวิชฺชามูลกํ สพฺพํ ภวจกฺกํ อาวตฺตติฯ โยนิโสมนสิการคฺคหเณน จ โยนิโสมนสิการมูลกา ธมฺมา อาวตฺตนฺติ จตุพฺพิธญฺจ สมฺปตฺติจกฺกํฯ ปติฎฺฐานายูหนปฎิเกฺขเปน ปน สมฺมาปฎิปตฺติ ทีปิตา, สา จ สเงฺขปโต สีลาทิสงฺคหาฯ ตตฺถ สีลคฺคหเณน เอกาทส สีลานิสํสา อาวตฺตนฺติ, สมาธิคฺคหเณน ปญฺจงฺคิโก สมฺมาสมาธิ ปญฺจญฺญาณิโก สมฺมาสมาธิ สมาธิปริกฺขารา จ อาวตฺตนฺติฯ ปญฺญาคหเณน ปญฺญา จ สมฺมาทิฎฺฐีติ สมฺมาทิฎฺฐิสุทสฺสนา สเพฺพปิ อริยมคฺคธมฺมา อาวตฺตนฺตีติ อยํ อาวโตฺต หาโร

    Appatiṭṭhaṃ anāyūhanti ettha saṃkilesavasena patiṭṭhānaṃ āyūhanañca. Tena ayonisomanasikāro dīpito, santakilesavasena anāyūhanena yonisomanasikāro. Tattha ayonisomanasikaroto taṇhāvijjā pavaḍḍhati. Tesu taṇhāgahaṇena ca taṇhāmūlakā dhammā āvattanti. Avijjāgahaṇena avijjāmūlakaṃ sabbaṃ bhavacakkaṃ āvattati. Yonisomanasikāraggahaṇena ca yonisomanasikāramūlakā dhammā āvattanti catubbidhañca sampatticakkaṃ. Patiṭṭhānāyūhanapaṭikkhepena pana sammāpaṭipatti dīpitā, sā ca saṅkhepato sīlādisaṅgahā. Tattha sīlaggahaṇena ekādasa sīlānisaṃsā āvattanti, samādhiggahaṇena pañcaṅgiko sammāsamādhi pañcaññāṇiko sammāsamādhi samādhiparikkhārā ca āvattanti. Paññāgahaṇena paññā ca sammādiṭṭhīti sammādiṭṭhisudassanā sabbepi ariyamaggadhammā āvattantīti ayaṃ āvatto hāro.

    ปติฎฺฐานํ กิเลสาทิวเสน สตฺตวิธํฯ อายูหนํ อภิสงฺขาราทิวเสน สตฺตวิธํฯ ตถา ตปฺปฎิปกฺขโต อปฺปติฎฺฐานํ อนายูหนญฺจฯ อยเมตฺถ ธมฺมวิภตฺติฯ ปทฎฺฐานภูมิวิภตฺติโย ปน เหฎฺฐา วุตฺตนยานุสาเรน เวทิตพฺพาฯ อยํ วิภตฺติหาโร

    Patiṭṭhānaṃ kilesādivasena sattavidhaṃ. Āyūhanaṃ abhisaṅkhārādivasena sattavidhaṃ. Tathā tappaṭipakkhato appatiṭṭhānaṃ anāyūhanañca. Ayamettha dhammavibhatti. Padaṭṭhānabhūmivibhattiyo pana heṭṭhā vuttanayānusārena veditabbā. Ayaṃ vibhattihāro.

    ปุพฺพภาคปฺปฎิปทํ สมฺมเทว สมฺปาเทตฺวา สมถวิปสฺสนํ ยุคนทฺธํ กตฺวา ภาวนํ อุสฺสเกฺกโนฺต กิเลสาทีนํ ทูรีกรณโต เตสํ วเสน อสํสีทโนฺต อนิพฺพุยฺหโนฺต อปฺปติฎฺฐํ อนายูหํ โอฆํ ตรติฯ กิเลสาทีนํ วเสน ปน สํสีทโนฺต นิพฺพุยฺหโนฺต สํสาเร ปติฎฺฐานโต อายติํ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติยา อายูหนโต โอฆํ น ตรตีติ อยํ ปริวโตฺต หาโร

    Pubbabhāgappaṭipadaṃ sammadeva sampādetvā samathavipassanaṃ yuganaddhaṃ katvā bhāvanaṃ ussakkento kilesādīnaṃ dūrīkaraṇato tesaṃ vasena asaṃsīdanto anibbuyhanto appatiṭṭhaṃ anāyūhaṃ oghaṃ tarati. Kilesādīnaṃ vasena pana saṃsīdanto nibbuyhanto saṃsāre patiṭṭhānato āyatiṃ punabbhavābhinibbattiyā āyūhanato oghaṃ na taratīti ayaṃ parivatto hāro.

    อปฺปติฎฺฐํ อสนฺติฎฺฐโนฺต อสํสีทโนฺต อนิพฺพิสํ อนวินิพฺพิสนฺติ ปริยายวจนํ, อนายูหํ อนิพฺพุยฺหโนฺต อเจเตโนฺต อปกเปฺปโนฺตติ ปริยายวจนํ, โอฆํ กิเลสสมุทฺทนฺติ ปริยายวจนํ, อตริ อติกฺกมิ อจฺจวายีติ ปริยายวจนํฯ อิมินา นเยน เสสปเทสุปิ ปริยายวจนํ เวทิตพฺพนฺติ อยํ เววจโน หาโร

    Appatiṭṭhaṃ asantiṭṭhanto asaṃsīdanto anibbisaṃ anavinibbisanti pariyāyavacanaṃ, anāyūhaṃ anibbuyhanto acetento apakappentoti pariyāyavacanaṃ, oghaṃ kilesasamuddanti pariyāyavacanaṃ, atari atikkami accavāyīti pariyāyavacanaṃ. Iminā nayena sesapadesupi pariyāyavacanaṃ veditabbanti ayaṃ vevacano hāro.

    อปฺปติฎฺฐํ อนายูหนฺติ เอตฺถ ปติฎฺฐํ อายูหนฺติ กิเลสานํ กิจฺจกรณปญฺญตฺติฯ ปริยุฎฺฐานานํ วิภาวนปญฺญตฺติฯ อภิสงฺขารานํ วิรุหนปญฺญตฺติฯ ตณฺหาย อสฺสาทปญฺญตฺติฯ ทิฎฺฐิยา ปรินิปฺผนฺทนปญฺญตฺติฯ ภวทิฎฺฐิยา ภวาภินิเวสปญฺญตฺติฯ วิภวทิฎฺฐิยา วิปลฺลาสปญฺญตฺติฯ กามสุขานุโยคสฺส กาเมสุ อนุคิชฺฌนปญฺญตฺติฯ อตฺตกิลมถานุโยคสฺส อตฺตปริตาปนปญฺญตฺติฯ อปฺปติฎฺฐํ อนายูหนฺติ ปน อภิเญฺญยฺยธมฺมานํ อภิญฺญาปญฺญตฺติฯ ปริเญฺญยฺยธมฺมานํ ปริญฺญาปญฺญตฺติฯ โอฆมตรินฺติ ปหาตพฺพธมฺมานํ ปหานปญฺญตฺติฯ มคฺคสฺส ภาวนาปญฺญตฺติฯ นิโรธสฺส สจฺฉิกิริยาปญฺญตฺตีติ อยํ ปญฺญตฺติหาโร

    Appatiṭṭhaṃ anāyūhanti ettha patiṭṭhaṃ āyūhanti kilesānaṃ kiccakaraṇapaññatti. Pariyuṭṭhānānaṃ vibhāvanapaññatti. Abhisaṅkhārānaṃ viruhanapaññatti. Taṇhāya assādapaññatti. Diṭṭhiyā parinipphandanapaññatti. Bhavadiṭṭhiyā bhavābhinivesapaññatti. Vibhavadiṭṭhiyā vipallāsapaññatti. Kāmasukhānuyogassa kāmesu anugijjhanapaññatti. Attakilamathānuyogassa attaparitāpanapaññatti. Appatiṭṭhaṃ anāyūhanti pana abhiññeyyadhammānaṃ abhiññāpaññatti. Pariññeyyadhammānaṃ pariññāpaññatti. Oghamatarinti pahātabbadhammānaṃ pahānapaññatti. Maggassa bhāvanāpaññatti. Nirodhassa sacchikiriyāpaññattīti ayaṃ paññattihāro.

    อปฺปติฎฺฐํ อนายูหนฺติ เอตฺถ ปติฎฺฐานายูหนคฺคหเณน โอฆคฺคหเณน จ สมุทยสจฺจํ คหิตํฯ อปฺปติฎฺฐํ อนายูหํ อตรินฺติ ปน ปทตฺตเยน มคฺคสจฺจํ คหิตํ, เหตุคหเณน จ เหตุมโต คหณํ สิทฺธเมวาติ ทุกฺขนิโรธสจฺจานิ อตฺถโต คหิตาเนวาติ อยํ สเจฺจหิ โอตรณาฯ ตตฺถ เย โลกิยา ปญฺจกฺขนฺธา, เยสํ วเสน ปติฎฺฐานายูหนสิทฺธิฯ เย โลกุตฺตรา จตฺตาโร ขนฺธา, เยสํ วเสน โอฆตรณสิทฺธิฯ อยํ ขนฺธมุเขน โอตรณาฯ เย เอว ปญฺจกฺขนฺธา ทฺวาทสายตนานิ อฎฺฐารส ธาตุโย, เต จตฺตาโร ขนฺธา ทฺวายตนานิ เทฺว ธาตุโยติ อยํ อายตนมุเขน ธาตุมุเขน จ โอตรณาฯ ตถา อปฺปติฎฺฐํ อนายูหนฺติ เอตฺถ ปติฎฺฐานายูหนคฺคหเณน กิเลสาภิสงฺขาราทีนํ คหณํฯ กิเลสาภิสงฺขาราทโย โอฆา จ สงฺขารกฺขนฺธา ธมฺมายตนํ ธมฺมธาตุ จ, อปฺปติฎฺฐานานายูหนคฺคหเณน โอฆตรณวจเนน จ สห วิปสฺสนาย มโคฺค กถิโตฯ เอวญฺจ สงฺขารกฺขโนฺธ ธมฺมายตนํ ธมฺมธาตุ จ คหิตาติ เอวมฺปิ ขนฺธมุเขน อายตนมุเขน ธาตุมุเขน โอตรณาฯ วิปสฺสนา เจ อนิจฺจานุปสฺสนา, อนิมิตฺตมุเขน วิโมกฺขมุขํ, ทุกฺขานุปสฺสนา เจ, อปฺปณิหิตวิโมกฺขมุขํ, อนตฺตานุปสฺสนา เจ, สุญฺญตวิโมกฺขมุขนฺติ เอวํ วิโมกฺขมุเขน โอตรณํฯ มเคฺค เสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย ธมฺมายตนธมฺมธาตู อนาสวา จ เอวมฺปิ โข ขนฺธาทิมุเขน โอตรณาติ อยํ โอตรโณ หาโร

    Appatiṭṭhaṃ anāyūhanti ettha patiṭṭhānāyūhanaggahaṇena oghaggahaṇena ca samudayasaccaṃ gahitaṃ. Appatiṭṭhaṃ anāyūhaṃ atarinti pana padattayena maggasaccaṃ gahitaṃ, hetugahaṇena ca hetumato gahaṇaṃ siddhamevāti dukkhanirodhasaccāni atthato gahitānevāti ayaṃ saccehi otaraṇā. Tattha ye lokiyā pañcakkhandhā, yesaṃ vasena patiṭṭhānāyūhanasiddhi. Ye lokuttarā cattāro khandhā, yesaṃ vasena oghataraṇasiddhi. Ayaṃ khandhamukhena otaraṇā. Ye eva pañcakkhandhā dvādasāyatanāni aṭṭhārasa dhātuyo, te cattāro khandhā dvāyatanāni dve dhātuyoti ayaṃ āyatanamukhena dhātumukhena ca otaraṇā. Tathā appatiṭṭhaṃ anāyūhanti ettha patiṭṭhānāyūhanaggahaṇena kilesābhisaṅkhārādīnaṃ gahaṇaṃ. Kilesābhisaṅkhārādayo oghā ca saṅkhārakkhandhā dhammāyatanaṃ dhammadhātu ca, appatiṭṭhānānāyūhanaggahaṇena oghataraṇavacanena ca saha vipassanāya maggo kathito. Evañca saṅkhārakkhandho dhammāyatanaṃ dhammadhātu ca gahitāti evampi khandhamukhena āyatanamukhena dhātumukhena otaraṇā. Vipassanā ce aniccānupassanā, animittamukhena vimokkhamukhaṃ, dukkhānupassanā ce, appaṇihitavimokkhamukhaṃ, anattānupassanā ce, suññatavimokkhamukhanti evaṃ vimokkhamukhena otaraṇaṃ. Magge sekkhā sīlakkhandhādayo dhammāyatanadhammadhātū anāsavā ca evampi kho khandhādimukhena otaraṇāti ayaṃ otaraṇo hāro.

    อปฺปติฎฺฐนฺติ อารโมฺภฯ อนายูหนฺติ ปทสุทฺธิ, โน อารมฺภสุทฺธิ, ตถา โอฆนฺติฯ อตรินฺติ ปน ปทสุทฺธิ เจว อารมฺภสุทฺธิ จาติ อยํ โสธโน หาโร

    Appatiṭṭhanti ārambho. Anāyūhanti padasuddhi, no ārambhasuddhi, tathā oghanti. Atarinti pana padasuddhi ceva ārambhasuddhi cāti ayaṃ sodhano hāro.

    อปฺปติฎฺฐํ อนายูหนฺติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ ตณฺหาทิฎฺฐิอาทิวเสน ปติฎฺฐานายูหนานํ สาธารณโต ปฎิเกฺขปโจทนาติ กตฺวา โอฆมตรินฺติ ตํ วิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํฯ โอฆตรณญฺหิ จตฺตาโร อริยมคฺคาฯ ตตฺถ ปฐมทุติยมคฺคา อวิเสเสน ทิโฎฺฐฆตรณํ, ตติยมโคฺค กาโมฆตรณํ, อคฺคมโคฺค เสโสฆตรณนฺติ อยํ อธิฎฺฐาโน หาโร

    Appatiṭṭhaṃanāyūhanti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ taṇhādiṭṭhiādivasena patiṭṭhānāyūhanānaṃ sādhāraṇato paṭikkhepacodanāti katvā oghamatarinti taṃ vikappetvā visesavacanaṃ. Oghataraṇañhi cattāro ariyamaggā. Tattha paṭhamadutiyamaggā avisesena diṭṭhoghataraṇaṃ, tatiyamaggo kāmoghataraṇaṃ, aggamaggo sesoghataraṇanti ayaṃ adhiṭṭhāno hāro.

    กิเลสวเสน ปติฎฺฐานสฺส อโยนิโสมนสิกาโร เหตุฯ อภิสงฺขารวเสน อายูหนสฺส กิเลสา เหตูฯ อปฺปติฎฺฐานานายูหนานํ ปน ยถากฺกมํ โยนิโสมนสิการปหานานิ เหตูฯ สํโยชนิเยสุ ธเมฺมสุ อสฺสาทานุปสฺสนา ตณฺหาวเสน ยถารหํ ตสฺส เหตูฯ เตนาห ภควา – ‘‘สํโยชนิเยสุ, ภิกฺขเว, ธเมฺมสุ อสฺสาทานุปสฺสิโน ตณฺหา ปวฑฺฒตี’’ติฯ ขนฺธาวิชฺชาผสฺสสญฺญาวิตกฺกาโยนิโสมนสิการปาปมิตฺตปรโตโฆสา ทิฎฺฐิวเสน ปติฎฺฐานสฺส เหตูฯ เตนาห – ปฎิสมฺภิทามเคฺค ‘‘ขนฺธาปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ, อวิชฺชาปิ ทิฎฺฐิฎฺฐาน’’นฺติอาทิฯ ตณฺหาภินนฺทนา อวเสสกิเลสาภิสงฺขารวเสน อายูหนสฺส เหตูฯ อิมินา นเยน ยถารหํ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน ปติฎฺฐานายูหนานํ เหตุวิภาโค นิทฺธาเรตโพฺพ, ตพฺพิปริยาเยน อปฺปติฎฺฐานานายูหนานํฯ กิเลสุปฺปาทเน หิ สมฺมเทว อาทีนวทสฺสนํ อปฺปติฎฺฐานสฺส เหตู, อภิสงฺขรเณ อาทีนวทสฺสนํ อนายูหนสฺส เหตู, วิปสฺสนาย อุสฺสุกฺกาปนํ โอฆตรณสฺส เหตูติ อยํ ปริกฺขาโร หาโร

    Kilesavasena patiṭṭhānassa ayonisomanasikāro hetu. Abhisaṅkhāravasena āyūhanassa kilesā hetū. Appatiṭṭhānānāyūhanānaṃ pana yathākkamaṃ yonisomanasikārapahānāni hetū. Saṃyojaniyesu dhammesu assādānupassanā taṇhāvasena yathārahaṃ tassa hetū. Tenāha bhagavā – ‘‘saṃyojaniyesu, bhikkhave, dhammesu assādānupassino taṇhā pavaḍḍhatī’’ti. Khandhāvijjāphassasaññāvitakkāyonisomanasikārapāpamittaparatoghosā diṭṭhivasena patiṭṭhānassa hetū. Tenāha – paṭisambhidāmagge ‘‘khandhāpi diṭṭhiṭṭhānaṃ, avijjāpi diṭṭhiṭṭhāna’’ntiādi. Taṇhābhinandanā avasesakilesābhisaṅkhāravasena āyūhanassa hetū. Iminā nayena yathārahaṃ taṇhādiṭṭhivasena patiṭṭhānāyūhanānaṃ hetuvibhāgo niddhāretabbo, tabbipariyāyena appatiṭṭhānānāyūhanānaṃ. Kilesuppādane hi sammadeva ādīnavadassanaṃ appatiṭṭhānassa hetū, abhisaṅkharaṇe ādīnavadassanaṃ anāyūhanassa hetū, vipassanāya ussukkāpanaṃ oghataraṇassa hetūti ayaṃ parikkhāro hāro.

    ยถาวุตฺตวิภาเคหิ ปติฎฺฐานายูหเนหิ จตุพฺพิธสฺสปิ โอฆสฺส ปริสุทฺธิฯ อปฺปติฎฺฐานานายูหเนหิ ปน โสตานํ สํวโร สพฺพโส ปิธานญฺจาติ จตุพฺพิธสฺสปิ โอฆสฺส วิเสสโต ปิธานํ อปฺปวตฺติกรณํฯ อริยมคฺคสฺส ภาวนาย หิ กิเลสวเสน ปติฎฺฐานํ อภิสงฺขารวเสน อายูหนํ อุปจฺฉินฺนํ, ตสฺส สเพฺพปิ โอฆา ติณฺณา สมฺมติณฺณา ปหีนา โหนฺตีติ อยํ สมาโรปโน หาโร

    Yathāvuttavibhāgehi patiṭṭhānāyūhanehi catubbidhassapi oghassa parisuddhi. Appatiṭṭhānānāyūhanehi pana sotānaṃ saṃvaro sabbaso pidhānañcāti catubbidhassapi oghassa visesato pidhānaṃ appavattikaraṇaṃ. Ariyamaggassa bhāvanāya hi kilesavasena patiṭṭhānaṃ abhisaṅkhāravasena āyūhanaṃ upacchinnaṃ, tassa sabbepi oghā tiṇṇā sammatiṇṇā pahīnā hontīti ayaṃ samāropano hāro.

    อปฺปติฎฺฐํ อนายูหนฺติ เอตฺถ ปติฎฺฐาคหเณน ตณฺหาวิชฺชา คหิตาฯ ตาสํ หิ วเสน สโตฺต ตตฺถ ตตฺถ ภเว ปติฎฺฐาติฯ อายูหนคฺคหเณน ตปฺปจฺจยา อภิสงฺขารธมฺมา คหิตาฯ ตตฺถ ตณฺหาย วิเสสโต รูปธมฺมา อธิฎฺฐานํ, อวิชฺชาย อรูปธมฺมาฯ เตสํ ยถากฺกมํ สมโถ จ วิปสฺสนา จ ปฎิปกฺขา, เต ‘‘อปฺปติฎฺฐํ อนายูหํ โอฆมตริ’’นฺติ ปเทหิ ปกาสิตา โหนฺติ, เตสุ สมถสฺส เจโตวิมุตฺติ ผลํ, วิปสฺสนาย ปญฺญาวิมุตฺติฯ ตถา หิ สา ‘‘ราควิราคา อวิชฺชาวิราคา’’ติ วิเสเสตฺวา วุจฺจติฯ ตตฺถ ตณฺหาวิชฺชา อภิสงฺขาโร จ สมุทยสจฺจํ, เตสํ อธิฎฺฐานภูตา รูปารูปธมฺมา ทุกฺขสจฺจํ, เตสํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, นิโรธปชานนา ปฎิปทา โอฆตรณปริยาเยน วุตฺตา มคฺคสจฺจํฯ ตณฺหาคหเณน เจตฺถ มายา-สาเฐยฺยมานาติมาน-มทปฺปมาท-ปาปิจฺฉตา-ปาปมิตฺตตา-อหิริกาโนตฺตปฺปาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพฯ อวิชฺชาคหเณน วิปรีตมนสิการ-โกธูปนาห-มกฺขปฬาส-อิสฺสามจฺฉริย-สารมฺภ- โทวจสฺสตา-ภวทิฎฺฐิอาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพฯ วุตฺตวิปริยาเยน อมายาอสาเฐยฺยาทิอวิปรีตมนสิการาทิวเสนฯ ตถา สมถปกฺขิยานํ สทฺธินฺทฺริยานํ วิปสฺสนาปกฺขิยานํ อนิจฺจสญฺญาทีนญฺจ วเสน โวทานปโกฺข เนตโพฺพติ อยํ นนฺทิยาวตฺตสฺส นยสฺส ภูมิ

    Appatiṭṭhaṃ anāyūhanti ettha patiṭṭhāgahaṇena taṇhāvijjā gahitā. Tāsaṃ hi vasena satto tattha tattha bhave patiṭṭhāti. Āyūhanaggahaṇena tappaccayā abhisaṅkhāradhammā gahitā. Tattha taṇhāya visesato rūpadhammā adhiṭṭhānaṃ, avijjāya arūpadhammā. Tesaṃ yathākkamaṃ samatho ca vipassanā ca paṭipakkhā, te ‘‘appatiṭṭhaṃ anāyūhaṃ oghamatari’’nti padehi pakāsitā honti, tesu samathassa cetovimutti phalaṃ, vipassanāya paññāvimutti. Tathā hi sā ‘‘rāgavirāgā avijjāvirāgā’’ti visesetvā vuccati. Tattha taṇhāvijjā abhisaṅkhāro ca samudayasaccaṃ, tesaṃ adhiṭṭhānabhūtā rūpārūpadhammā dukkhasaccaṃ, tesaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, nirodhapajānanā paṭipadā oghataraṇapariyāyena vuttā maggasaccaṃ. Taṇhāgahaṇena cettha māyā-sāṭheyyamānātimāna-madappamāda-pāpicchatā-pāpamittatā-ahirikānottappādivasena akusalapakkho netabbo. Avijjāgahaṇena viparītamanasikāra-kodhūpanāha-makkhapaḷāsa-issāmacchariya-sārambha- dovacassatā-bhavadiṭṭhiādivasena akusalapakkho netabbo. Vuttavipariyāyena amāyāasāṭheyyādiaviparītamanasikārādivasena. Tathā samathapakkhiyānaṃ saddhindriyānaṃ vipassanāpakkhiyānaṃ aniccasaññādīnañca vasena vodānapakkho netabboti ayaṃ nandiyāvattassa nayassa bhūmi.

    ตถา วุตฺตนเยน คหิเตสุ ตณฺหาวิชฺชาตปฺปกฺขิยธเมฺมสุ ตณฺหา โลโภ, อวิชฺชา โมโห, อวิชฺชาย สมฺปยุโตฺต โลหิเต สติ ปุโพฺพ วิย ตณฺหาย สติ สิชฺฌมาโน อาฆาโต โทโส อิติ ตีหิ อกุสลมูเลหิ คหิเตหิ, ตปฺปฎิปกฺขโต ‘‘อปฺปติฎฺฐ’’นฺติอาทิวจเนหิ จ ตีณิ อกุสลมูลานิ ตีณิ กุสลมูลานิ จ สิทฺธานิ เอว โหนฺติฯ อิธาปิ โลโภ สพฺพานิ สาสวกุสลมูลานิ อายูหนธมฺมา จ สมุทยสจฺจํ, ตนฺนิพฺพตฺตา เตสํ อธิฎฺฐานโคจรภูตา จ อุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขสจฺจนฺติอาทินา สจฺจโยชนา โยเชตพฺพาฯ ผลํ ปเนตฺถ วิโมกฺขตฺตยวเสน นิทฺธาเรตพฺพํ, ตีหิ อกุสลมูเลหิ ติวิธทุจฺจริต-สํกิเลสมลวิสมอกุสลสญฺญา-วิตกฺกาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพ, ตถา ตีหิ กุสลมูเลหิ ติวิธสุจริต-สมกุสลสญฺญา-วิตกฺก-สมาธิ-วิโมกฺขมุขาทิวเสน โวทานปโกฺข เนตโพฺพติ อยํ ติปุกฺขลสฺส นยสฺส ภูมิ

    Tathā vuttanayena gahitesu taṇhāvijjātappakkhiyadhammesu taṇhā lobho, avijjā moho, avijjāya sampayutto lohite sati pubbo viya taṇhāya sati sijjhamāno āghāto doso iti tīhi akusalamūlehi gahitehi, tappaṭipakkhato ‘‘appatiṭṭha’’ntiādivacanehi ca tīṇi akusalamūlāni tīṇi kusalamūlāni ca siddhāni eva honti. Idhāpi lobho sabbāni sāsavakusalamūlāni āyūhanadhammā ca samudayasaccaṃ, tannibbattā tesaṃ adhiṭṭhānagocarabhūtā ca upādānakkhandhā dukkhasaccantiādinā saccayojanā yojetabbā. Phalaṃ panettha vimokkhattayavasena niddhāretabbaṃ, tīhi akusalamūlehi tividhaduccarita-saṃkilesamalavisamaakusalasaññā-vitakkādivasena akusalapakkho netabbo, tathā tīhi kusalamūlehi tividhasucarita-samakusalasaññā-vitakka-samādhi-vimokkhamukhādivasena vodānapakkho netabboti ayaṃ tipukkhalassa nayassa bhūmi.

    ตถา วุตฺตนเยน คหิเตสุ ตณฺหาวิชฺชาตปฺปกฺขิยธเมฺมสุ วิเสสโต ตณฺหาทิฎฺฐีนํ วเสน อสุเภ ‘‘สุภ’’นฺติ, ทุเกฺข ‘‘สุข’’นฺติ จ วิปลฺลาสา, อวิชฺชาทิฎฺฐีนํ วเสน ‘‘อนิเจฺจ นิจฺจ’’นฺติ อนตฺตนิ ‘‘อตฺตา’’ติ วิปลฺลาสา เวทิตพฺพาฯ เตสํ ปฎิปกฺขโต ‘‘อปฺปติฎฺฐ’’นฺติอาทิวจเนหิ จ ลเทฺธหิ สติวีริยสมาธิปญฺญินฺทฺริเยหิ จตฺตาริ สติปฎฺฐานานิ สิทฺธาเนว โหนฺติฯ

    Tathā vuttanayena gahitesu taṇhāvijjātappakkhiyadhammesu visesato taṇhādiṭṭhīnaṃ vasena asubhe ‘‘subha’’nti, dukkhe ‘‘sukha’’nti ca vipallāsā, avijjādiṭṭhīnaṃ vasena ‘‘anicce nicca’’nti anattani ‘‘attā’’ti vipallāsā veditabbā. Tesaṃ paṭipakkhato ‘‘appatiṭṭha’’ntiādivacanehi ca laddhehi sativīriyasamādhipaññindriyehi cattāri satipaṭṭhānāni siddhāneva honti.

    ตตฺถ จตูหิ อินฺทฺริเยหิ จตฺตาโร ปุคฺคลา นิทฺทิสิตพฺพาฯ กถํ? ทุวิโธ หิ ตณฺหาจริโต มุทินฺทฺริโย ติกฺขินฺทฺริโยติ, ตถา ทิฎฺฐิจริโตฯ เตสุ ปฐโม อสุเภ ‘‘สุภ’’นฺติ วิปริเยสคฺคาหี สติพเลน ยถาภูตํ กายสภาวํ สลฺลเกฺขโนฺต ภาวนาพเลน ตํ วิปลฺลาสํ สมุคฺฆาเตตฺวา สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติฯ ทุติโย อสุเข ‘‘สุข’’นฺติ วิปริเยสคฺคาหี ‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตี’’ติอาทินา วุเตฺตน วีริยสํวรภูเตน วีริยพเลน ปฎิปกฺขํ วิโนเทโนฺต ภาวนาพเลน ตํ วิปลฺลาสํ วิทฺธํเสตฺวา สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติฯ ตติโย อนิเจฺจ ‘‘นิจฺจ’’นฺติ อยาถาวคฺคาหี สมถพเลน สมาหิตจิโตฺต สงฺขารานํ ตงฺขณิกภาวํ สลฺลเกฺขโนฺต ภาวนาพเลน ตํ วิปลฺลาสํ สมุคฺฆาเตตฺวา สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติฯ จตุโตฺถ สนฺตติ-สมูห-กิจฺจารมฺมณ-ฆนวญฺจิตตาย ผสฺสาทิธมฺมปุญฺชมเตฺต อนตฺตนิ ‘‘อตฺตา’’ติ มิจฺฉาภินิเวสี จตุโกฎิกสุญฺญตามนสิกาเรน ตํ มิจฺฉาภินิเวสํ วิทฺธํเสตฺวา สามญฺญผลํ สจฺฉิกโรติฯ สุภสญฺญาสุขสญฺญาทีหิ จตูหิ วา วิปลฺลาเสหิ สมุทยสจฺจํ, เตสมธิฎฺฐานารมฺมณภูตา ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขสจฺจนฺติอาทินา สจฺจโยชนา เวทิตพฺพาฯ ผลํ ปเนตฺถ จตฺตาริ สามญฺญผลานิ, จตูหิ เจตฺถ วิปลฺลาเสหิ จตุราสโวฆโยค-กายคนฺถ-อคติ-ตณฺหุปฺปาทุปาทาน-สตฺตวิญฺญาณฎฺฐิติ-อปริญฺญาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพ, ตถา จตูหิ สติปฎฺฐาเนหิ จตุพฺพิธฌาน-วิหาราธิฎฺฐาน-สุขภาคิยธมฺม-อปฺปมญฺญาสมฺมปฺปธานิทฺธิปาทาทิวเสน โวทานปโกฺข เนตโพฺพติ อยํ สีหวิกฺกีฬิตสฺส นยสฺส ภูมิ

    Tattha catūhi indriyehi cattāro puggalā niddisitabbā. Kathaṃ? Duvidho hi taṇhācarito mudindriyo tikkhindriyoti, tathā diṭṭhicarito. Tesu paṭhamo asubhe ‘‘subha’’nti vipariyesaggāhī satibalena yathābhūtaṃ kāyasabhāvaṃ sallakkhento bhāvanābalena taṃ vipallāsaṃ samugghātetvā sammattaniyāmaṃ okkamati. Dutiyo asukhe ‘‘sukha’’nti vipariyesaggāhī ‘‘uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetī’’tiādinā vuttena vīriyasaṃvarabhūtena vīriyabalena paṭipakkhaṃ vinodento bhāvanābalena taṃ vipallāsaṃ viddhaṃsetvā sammattaniyāmaṃ okkamati. Tatiyo anicce ‘‘nicca’’nti ayāthāvaggāhī samathabalena samāhitacitto saṅkhārānaṃ taṅkhaṇikabhāvaṃ sallakkhento bhāvanābalena taṃ vipallāsaṃ samugghātetvā sammattaniyāmaṃ okkamati. Catuttho santati-samūha-kiccārammaṇa-ghanavañcitatāya phassādidhammapuñjamatte anattani ‘‘attā’’ti micchābhinivesī catukoṭikasuññatāmanasikārena taṃ micchābhinivesaṃ viddhaṃsetvā sāmaññaphalaṃ sacchikaroti. Subhasaññāsukhasaññādīhi catūhi vā vipallāsehi samudayasaccaṃ, tesamadhiṭṭhānārammaṇabhūtā pañcupādānakkhandhā dukkhasaccantiādinā saccayojanā veditabbā. Phalaṃ panettha cattāri sāmaññaphalāni, catūhi cettha vipallāsehi caturāsavoghayoga-kāyagantha-agati-taṇhuppādupādāna-sattaviññāṇaṭṭhiti-apariññādivasena akusalapakkho netabbo, tathā catūhi satipaṭṭhānehi catubbidhajhāna-vihārādhiṭṭhāna-sukhabhāgiyadhamma-appamaññāsammappadhāniddhipādādivasena vodānapakkho netabboti ayaṃ sīhavikkīḷitassa nayassa bhūmi.

    อิเมสํ ปน ติณฺณํ อตฺถนยานํ สิทฺธิยา โวหารนยทฺวยํ สิทฺธเมว โหติฯ ตถา หิ อตฺถนยานํ ทิสาภูตธมฺมาโลจนํ ทิสาโลจนํ, เตสํ สมานยนํ องฺกุโสติ ปญฺจปิ นยา อิธ นิยุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ อิทญฺจ สุตฺตํ โสฬสวิเธ สุตฺตนฺตปฎฺฐาเน นิเพฺพธเสกฺขภาคิยํ พฺยติเรกมุเขน ปติฎฺฐานายูหนานิ คหิตานีติ สํกิเลสนิเพฺพธเสกฺขภาคิยํ จาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อฎฺฐวีสติวิเธ ปน สุตฺตนฺตปฎฺฐาเน โลกิยโลกุตฺตรํ สตฺตาธิฎฺฐานํ ญาณเญยฺยํ ทสฺสนภาวนํ สกวจนํ วิสฺสชฺชนียํ กุสลํ อนุญฺญาตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Imesaṃ pana tiṇṇaṃ atthanayānaṃ siddhiyā vohāranayadvayaṃ siddhameva hoti. Tathā hi atthanayānaṃ disābhūtadhammālocanaṃ disālocanaṃ, tesaṃ samānayanaṃ aṅkusoti pañcapi nayā idha niyuttāti veditabbā. Idañca suttaṃ soḷasavidhe suttantapaṭṭhāne nibbedhasekkhabhāgiyaṃ byatirekamukhena patiṭṭhānāyūhanāni gahitānīti saṃkilesanibbedhasekkhabhāgiyaṃ cāti daṭṭhabbaṃ. Aṭṭhavīsatividhe pana suttantapaṭṭhāne lokiyalokuttaraṃ sattādhiṭṭhānaṃ ñāṇañeyyaṃ dassanabhāvanaṃ sakavacanaṃ vissajjanīyaṃ kusalaṃ anuññātanti veditabbaṃ.

    โอฆตรณสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Oghataraṇasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā)
    ๑. โอฆตรณสุตฺตวณฺณนา • 1. Oghataraṇasuttavaṇṇanā
    ๒. นิโมกฺขสุตฺตวณฺณนา • 2. Nimokkhasuttavaṇṇanā
    ๓. อุปนียสุตฺตวณฺณนา • 3. Upanīyasuttavaṇṇanā
    ๔. อเจฺจนฺติสุตฺตวณฺณนา • 4. Accentisuttavaṇṇanā
    ๕. กติฉินฺทสุตฺตวณฺณนา • 5. Katichindasuttavaṇṇanā
    ๖. ชาครสุตฺตวณฺณนา • 6. Jāgarasuttavaṇṇanā
    ๗. อปฺปฎิวิทิตสุตฺตวณฺณนา • 7. Appaṭividitasuttavaṇṇanā
    ๘. สุสมฺมุฎฺฐสุตฺตวณฺณนา • 8. Susammuṭṭhasuttavaṇṇanā
    ๙. มานกามสุตฺตวณฺณนา • 9. Mānakāmasuttavaṇṇanā
    ๑๐. อรญฺญสุตฺตวณฺณนา • 10. Araññasuttavaṇṇanā
    ๑. นนฺทนสุตฺตวณฺณนา • 1. Nandanasuttavaṇṇanā
    ๒. นนฺทติสุตฺตวณฺณนา • 2. Nandatisuttavaṇṇanā
    ๓. นตฺถิปุตฺตสมสุตฺตวณฺณนา • 3. Natthiputtasamasuttavaṇṇanā
    ๔. ขตฺติยสุตฺตวณฺณนา • 4. Khattiyasuttavaṇṇanā
    ๕. สณมานสุตฺตวณฺณนา • 5. Saṇamānasuttavaṇṇanā
    ๖. นิทฺทาตนฺทีสุตฺตวณฺณนา • 6. Niddātandīsuttavaṇṇanā
    ๗. ทุกฺกรสุตฺตวณฺณนา • 7. Dukkarasuttavaṇṇanā
    ๘. หิรีสุตฺตวณฺณนา • 8. Hirīsuttavaṇṇanā
    ๙. กุฎิกาสุตฺตวณฺณนา • 9. Kuṭikāsuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact