Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā

    ๓. โอวาทวโคฺค

    3. Ovādavaggo

    ๑. โอวาทสิกฺขาปทวณฺณนา

    1. Ovādasikkhāpadavaṇṇanā

    ๑๔๑-๑๔๔. ภิกฺขุนิวคฺคสฺส ปฐมสิกฺขาปเท – ลาภิโน โหนฺตีติ เอตฺถ น เตสํ ภิกฺขุนิโย เทนฺติ, น ทาเปนฺติ, มหากุเลหิ ปพฺพชิตา ปน กุลธีตโร อตฺตโน สนฺติกํ อาคตานํ ญาติมนุสฺสานํ ‘‘กุโต อเยฺย โอวาทํ อุเทฺทสํ ปริปุจฺฉํ ลภถา’’ติ ปุจฺฉนฺตานํ ‘‘อสุโก จ อสุโก จ เถโร โอวทตี’’ติ อสีติมหาสาวเก อุทฺทิสิตฺวา กถานุสาเรน เตสํ สีลสุตาจารชาติโคตฺตาทิเภทํ วิชฺชมานคุณํ กถยนฺติฯ เอวรูปา หิ วิชฺชมานคุณา กเถตุํ วฎฺฎนฺติฯ ตโต ปสนฺนจิตฺตา มนุสฺสา เถรานํ จีวราทิเภทํ มหนฺตํ ลาภสกฺการํ อภิหริํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ลาภิโน โหนฺติ จีวร…เป.… ปริกฺขาราน’’นฺติฯ

    141-144. Bhikkhunivaggassa paṭhamasikkhāpade – lābhino hontīti ettha na tesaṃ bhikkhuniyo denti, na dāpenti, mahākulehi pabbajitā pana kuladhītaro attano santikaṃ āgatānaṃ ñātimanussānaṃ ‘‘kuto ayye ovādaṃ uddesaṃ paripucchaṃ labhathā’’ti pucchantānaṃ ‘‘asuko ca asuko ca thero ovadatī’’ti asītimahāsāvake uddisitvā kathānusārena tesaṃ sīlasutācārajātigottādibhedaṃ vijjamānaguṇaṃ kathayanti. Evarūpā hi vijjamānaguṇā kathetuṃ vaṭṭanti. Tato pasannacittā manussā therānaṃ cīvarādibhedaṃ mahantaṃ lābhasakkāraṃ abhihariṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘lābhino honti cīvara…pe… parikkhārāna’’nti.

    ภิกฺขุนิโย อุปสงฺกมิตฺวาติ เตสํ กิร สนฺติเก ตาสุ เอกา ภิกฺขุนีปิ น อาคจฺฉติ, ลาภตณฺหาย ปน อากฑฺฒิยมานหทยา ตาสํ อุปสฺสยํ อคมํสุฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ภิกฺขุนิโย อุปสงฺกมิตฺวา’’ติฯ ตาปิ ภิกฺขุนิโย จลจิตฺตตาย เตสํ วจนํ อกํสุเยว ฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข ตา ภิกฺขุนิโย…เป.… นิสีทิํสู’’ติฯ ติรจฺฉานกถนฺติ สคฺคมคฺคคมเนปิ ติรจฺฉานภูตํ ราชกถาทิมเนกวิธํ นิรตฺถกกถํฯ อิโทฺธติ สมิโทฺธ, สหิตโตฺถ คมฺภีโร พหุรโส ลกฺขณปฎิเวธสํยุโตฺตติ อธิปฺปาโยฯ

    Bhikkhuniyoupasaṅkamitvāti tesaṃ kira santike tāsu ekā bhikkhunīpi na āgacchati, lābhataṇhāya pana ākaḍḍhiyamānahadayā tāsaṃ upassayaṃ agamaṃsu. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘bhikkhuniyo upasaṅkamitvā’’ti. Tāpi bhikkhuniyo calacittatāya tesaṃ vacanaṃ akaṃsuyeva . Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho tā bhikkhuniyo…pe… nisīdiṃsū’’ti. Tiracchānakathanti saggamaggagamanepi tiracchānabhūtaṃ rājakathādimanekavidhaṃ niratthakakathaṃ. Iddhoti samiddho, sahitattho gambhīro bahuraso lakkhaṇapaṭivedhasaṃyuttoti adhippāyo.

    ๑๔๕-๑๔๗. อนุชานามิ ภิกฺขเวติ เอตฺถ ยสฺมา เต ภิกฺขู ‘‘มา ตุเมฺห ภิกฺขเว ภิกฺขุนิโย โอวทิตฺถา’’ติ วุจฺจมานา อทิฎฺฐสจฺจตฺตา ตถาคเต อาฆาตํ พนฺธิตฺวา อปายุปคา ภเวยฺยุํ, ตสฺมา เนสํ ตํ อปายุปคตํ ปริหรโนฺต ภควา อเญฺญเนว อุปาเยน เต ภิกฺขุโนวาทโต ปริพาหิเร กตฺตุกาโม อิมํ ภิกฺขุโนวาทกสมฺมุติํ อนุชานีติ เวทิตโพฺพฯ เอวํ อิธ ปริพาหิเร กตฺตุกามตาย อนุชานิตฺวา ปรโต กโรโนฺตว ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว อฎฺฐหเงฺคหิ สมนฺนาคต’’นฺติอาทิมาหฯ อิมานิ หิ อฎฺฐงฺคานิ ฉพฺพคฺคิยานํ สุปินเนฺตนปิ น ภูตปุพฺพานีติฯ

    145-147.Anujānāmi bhikkhaveti ettha yasmā te bhikkhū ‘‘mā tumhe bhikkhave bhikkhuniyo ovaditthā’’ti vuccamānā adiṭṭhasaccattā tathāgate āghātaṃ bandhitvā apāyupagā bhaveyyuṃ, tasmā nesaṃ taṃ apāyupagataṃ pariharanto bhagavā aññeneva upāyena te bhikkhunovādato paribāhire kattukāmo imaṃ bhikkhunovādakasammutiṃ anujānīti veditabbo. Evaṃ idha paribāhire kattukāmatāya anujānitvā parato karontova ‘‘anujānāmi bhikkhave aṭṭhahaṅgehi samannāgata’’ntiādimāha. Imāni hi aṭṭhaṅgāni chabbaggiyānaṃ supinantenapi na bhūtapubbānīti.

    ตตฺถ สีลมสฺส อตฺถีติ สีลวาฯ อิทานิ ยญฺจ ตํ สีลํ, ยถา จ ตํ ตสฺส อตฺถิ นาม โหติ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปาติโมโกฺขว สํวโร ปาติโมกฺขสํวโรฯ ปาติโมกฺขสํวเรน สํวุโต สมนฺนาคโตติ ปาติโมกฺขสํวรสํวุตาเอฯ

    Tattha sīlamassa atthīti sīlavā. Idāni yañca taṃ sīlaṃ, yathā ca taṃ tassa atthi nāma hoti, taṃ dassento ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto’’tiādimāha. Tattha pātimokkhova saṃvaro pātimokkhasaṃvaro. Pātimokkhasaṃvarena saṃvuto samannāgatoti pātimokkhasaṃvarasaṃvutāe.

    วิหรตีติ วตฺตติฯ วุตฺตเญฺหตํ วิภเงฺค –

    Viharatīti vattati. Vuttañhetaṃ vibhaṅge –

    ‘‘ปาติโมกฺขนฺติ สีลํ ปติฎฺฐา อาทิ จรณํ สํยโม สํวโร โมกฺขํ ปโมกฺขํ กุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตฺติยา; สํวโรติ กายิโก อวีติกฺกโม วาจสิโก อวีติกฺกโม กายิกวาจสิโก อวีติกฺกโมฯ สํวุโตติ อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต อุปคโต สมุปคโต อุปปโนฺน สมุปปโนฺน สมฺปโนฺน สมนฺนาคโต, เตน วุจฺจติ ‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต’ติฯ วิหรตีติ อิริยติ วตฺตติ ปาเลติ ยเปติ ยาเปติ จรติ วิหรติ, เตน วุจฺจติ ‘วิหรตี’’’ติ (วิภ. ๕๑๑-๕๑๒)ฯ

    ‘‘Pātimokkhanti sīlaṃ patiṭṭhā ādi caraṇaṃ saṃyamo saṃvaro mokkhaṃ pamokkhaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ samāpattiyā; saṃvaroti kāyiko avītikkamo vācasiko avītikkamo kāyikavācasiko avītikkamo. Saṃvutoti iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto upagato samupagato upapanno samupapanno sampanno samannāgato, tena vuccati ‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto’ti. Viharatīti iriyati vattati pāleti yapeti yāpeti carati viharati, tena vuccati ‘viharatī’’’ti (vibha. 511-512).

    อาจารโคจรสมฺปโนฺนติ มิจฺฉาชีวปฎิเสธเกน น เวฬุทานาทินา อาจาเรน, เวสิยาทิอโคจรํ ปหาย สทฺธาสมฺปนฺนกุลาทินา จ โคจเรน สมฺปโนฺนฯ อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวีติ อปฺปมตฺตเกสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวี, ตานิ วชฺชานิ ภยโต ทสฺสนสีโลติ วุตฺตํ โหติฯ สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสูติ อธิสีลสิกฺขาทิภาเวน ติธา ฐิเตสุ สิกฺขาปเทสุ ตํ ตํ สิกฺขาปทํ สมาทาย สมฺมา อาทาย สาธุกํ คเหตฺวา อวิชหโนฺต สิกฺขตีติ อโตฺถฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน โย อิจฺฉติ, เตน วิสุทฺธิมคฺคโต คเหตโพฺพฯ

    Ācāragocarasampannoti micchājīvapaṭisedhakena na veḷudānādinā ācārena, vesiyādiagocaraṃ pahāya saddhāsampannakulādinā ca gocarena sampanno. Aṇumattesu vajjesu bhayadassāvīti appamattakesu vajjesu bhayadassāvī, tāni vajjāni bhayato dassanasīloti vuttaṃ hoti. Samādāya sikkhati sikkhāpadesūti adhisīlasikkhādibhāvena tidhā ṭhitesu sikkhāpadesu taṃ taṃ sikkhāpadaṃ samādāya sammā ādāya sādhukaṃ gahetvā avijahanto sikkhatīti attho. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana yo icchati, tena visuddhimaggato gahetabbo.

    พหุ สุตมสฺสาติ พหุสฺสุโตฯ สุตํ ธาเรตีติ สุตธโร; ยทสฺส ตํ พหุ สุตํ นาม, ตํ น สุตมตฺตเมว; อถ โข นํ ธาเรตีติ อโตฺถฯ มญฺชูสายํ วิย รตนํ สุตํ สนฺนิจิตมสฺมินฺติ สุตสนฺนิจโยฯ เอเตน ยํ โส สุตํ ธาเรติ, ตสฺส มญฺชูสาย โคเปตฺวา สนฺนิจิตรตนเสฺสว จิรกาเลนาปิ อวินาสนํ ทเสฺสติฯ อิทานิ ตํ สุตํ สรูปโต ทเสฺสโนฺต ‘‘เย เต ธมฺมา’’ติอาทิมาห, ตํ เวรญฺชกเณฺฑ วุตฺตนยเมวฯ อิทํ ปเนตฺถ นิคมนํ – ตถารูปาสฺส ธมฺมา พหุสฺสุตา โหนฺติ, ตสฺมา พหุสฺสุโตฯ ธาตา, ตสฺมา สุตธโรฯ วจสา ปริจิตา มนสานุเปกฺขิตา, ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธา; ตสฺมา สุตสนฺนิจโยฯ ตตฺถ วจสา ปริจิตาติ วาจาย ปคุณา กตาฯ มนสานุเปกฺขิตาติ มนสา อนุเปกฺขิตา, อาวชฺชนฺตสฺส ทีปสหเสฺสน โอภาสิตา วิย โหนฺติฯ ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธาติ อตฺถโต จ การณโต จ ปญฺญาย สุฎฺฐุ ปฎิวิทฺธา สุปจฺจกฺขกตา โหนฺติฯ

    Bahu sutamassāti bahussuto. Sutaṃ dhāretīti sutadharo; yadassa taṃ bahu sutaṃ nāma, taṃ na sutamattameva; atha kho naṃ dhāretīti attho. Mañjūsāyaṃ viya ratanaṃ sutaṃ sannicitamasminti sutasannicayo. Etena yaṃ so sutaṃ dhāreti, tassa mañjūsāya gopetvā sannicitaratanasseva cirakālenāpi avināsanaṃ dasseti. Idāni taṃ sutaṃ sarūpato dassento ‘‘ye te dhammā’’tiādimāha, taṃ verañjakaṇḍe vuttanayameva. Idaṃ panettha nigamanaṃ – tathārūpāssa dhammā bahussutā honti, tasmā bahussuto. Dhātā, tasmā sutadharo. Vacasā paricitā manasānupekkhitā, diṭṭhiyā suppaṭividdhā; tasmā sutasannicayo. Tattha vacasā paricitāti vācāya paguṇā katā. Manasānupekkhitāti manasā anupekkhitā, āvajjantassa dīpasahassena obhāsitā viya honti. Diṭṭhiyā suppaṭividdhāti atthato ca kāraṇato ca paññāya suṭṭhu paṭividdhā supaccakkhakatā honti.

    อยํ ปน พหุสฺสุโต นาม ติวิโธ โหติ – นิสฺสยมุจฺจนโก, ปริสุปฎฺฐาปโก, ภิกฺขุโนวาทโกติฯ ตตฺถ นิสฺสยมุจฺจนเกน อุปสมฺปทาย ปญฺจวเสฺสน สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน เทฺว มาติกา ปคุณา วาจุคฺคตา กาตพฺพา ปกฺขทิวเสสุ ธมฺมสาวนตฺถาย สุตฺตนฺตโต จตฺตาโร ภาณวารา, สมฺปตฺตานํ ปริกถนตฺถาย อนฺธกวินฺทมหาราหุโลวาทอมฺพฎฺฐสทิโส เอโก กถามโคฺค, สงฺฆภตฺตมงฺคลามงฺคเลสุ อนุโมทนตฺถาย ติโสฺส อนุโมทนา, อุโปสถปวารณาทิชานนตฺถํ กมฺมากมฺมวินิจฺฉโย , สมณธมฺมกรณตฺถํ สมาธิวเสน วา วิปสฺสนาวเสน วา อรหตฺตปริโยสานเมกํ กมฺมฎฺฐานํ, เอตฺตกํ อุคฺคเหตพฺพํฯ เอตฺตาวตา หิ อยํ พหุสฺสุโต โหติ จาตุทฺทิโส, ยตฺถ กตฺถจิ อตฺตโน อิสฺสริเยน วสิตุํ ลภติฯ

    Ayaṃ pana bahussuto nāma tividho hoti – nissayamuccanako, parisupaṭṭhāpako, bhikkhunovādakoti. Tattha nissayamuccanakena upasampadāya pañcavassena sabbantimena paricchedena dve mātikā paguṇā vācuggatā kātabbā pakkhadivasesu dhammasāvanatthāya suttantato cattāro bhāṇavārā, sampattānaṃ parikathanatthāya andhakavindamahārāhulovādaambaṭṭhasadiso eko kathāmaggo, saṅghabhattamaṅgalāmaṅgalesu anumodanatthāya tisso anumodanā, uposathapavāraṇādijānanatthaṃ kammākammavinicchayo , samaṇadhammakaraṇatthaṃ samādhivasena vā vipassanāvasena vā arahattapariyosānamekaṃ kammaṭṭhānaṃ, ettakaṃ uggahetabbaṃ. Ettāvatā hi ayaṃ bahussuto hoti cātuddiso, yattha katthaci attano issariyena vasituṃ labhati.

    ปริสุปฎฺฐาปเกน อุปสมฺปทาย ทสวเสฺสน สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน ปริสํ อภิวินเย วิเนตุํ เทฺว วิภงฺคา ปคุณา วาจุคฺคตา กาตพฺพา, อสโกฺกเนฺตน ตีหิ ชเนหิ สทฺธิํ ปริวตฺตนกฺขมา กาตพฺพา, กมฺมากมฺมญฺจ ขนฺธกวตฺตญฺจ อุคฺคเหตพฺพํฯ ปริสาย ปน อภิธเมฺม วินยนตฺถํ สเจ มชฺฌิมภาณโก โหติ มูลปณฺณาสโก อุคฺคเหตโพฺพ, ทีฆภาณเกน มหาวโคฺค, สํยุตฺตภาณเกน เหฎฺฐิมา วา ตโย วคฺคา มหาวโคฺค วา, องฺคุตฺตรภาณเกน เหฎฺฐา วา อุปริ วา อุปฑฺฒนิกาโย อุคฺคเหตโพฺพ, อสโกฺกเนฺตน ติกนิปาตโต ปฎฺฐาย เหฎฺฐา อุคฺคเหตุมฺปิ วฎฺฎติฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘เอกํ อุคฺคณฺหเนฺตน จตุกฺกนิปาตํ วา ปญฺจกนิปาตํ วา คเหตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ ชาตกภาณเกน สาฎฺฐกถํ ชาตกํ อุคฺคเหตพฺพํ, ตโต โอรํ น วฎฺฎติฯ ธมฺมปทมฺปิ สห วตฺถุนา อุคฺคเหตุํ วฎฺฎตีติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ ตโต ตโต สมุจฺจยํ กตฺวา มูลปณฺณาสกมตฺตํ วฎฺฎติ, น วฎฺฎตีติ? ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ กุรุนฺทฎฺฐกถายํ ปฎิกฺขิตฺตํ, อิตราสุ วิจารณาเยว นตฺถิฯ อภิธเมฺม กิญฺจิ อุคฺคเหตพฺพนฺติ น วุตฺตํฯ ยสฺส ปน สาฎฺฐกถมฺปิ วินยปิฎกํ อภิธมฺมปิฎกญฺจ ปคุณํ, สุตฺตเนฺต จ วุตฺตปฺปกาโร คโนฺถ นตฺถิ, ปริสํ อุปฎฺฐาเปตุํ น ลภติฯ เยน ปน สุตฺตนฺตโต วินยโต จ วุตฺตปฺปมาโณ คโนฺถ อุคฺคหิโต, อยํ ปริสุปฎฺฐาปโก พหุสฺสุโต โหติ ทิสาปาโมโกฺข เยนกามงฺคโม, ปริสํ อุปฎฺฐาเปตุํ ลภติฯ

    Parisupaṭṭhāpakena upasampadāya dasavassena sabbantimena paricchedena parisaṃ abhivinaye vinetuṃ dve vibhaṅgā paguṇā vācuggatā kātabbā, asakkontena tīhi janehi saddhiṃ parivattanakkhamā kātabbā, kammākammañca khandhakavattañca uggahetabbaṃ. Parisāya pana abhidhamme vinayanatthaṃ sace majjhimabhāṇako hoti mūlapaṇṇāsako uggahetabbo, dīghabhāṇakena mahāvaggo, saṃyuttabhāṇakena heṭṭhimā vā tayo vaggā mahāvaggo vā, aṅguttarabhāṇakena heṭṭhā vā upari vā upaḍḍhanikāyo uggahetabbo, asakkontena tikanipātato paṭṭhāya heṭṭhā uggahetumpi vaṭṭati. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘ekaṃ uggaṇhantena catukkanipātaṃ vā pañcakanipātaṃ vā gahetuṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Jātakabhāṇakena sāṭṭhakathaṃ jātakaṃ uggahetabbaṃ, tato oraṃ na vaṭṭati. Dhammapadampi saha vatthunā uggahetuṃ vaṭṭatīti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. Tato tato samuccayaṃ katvā mūlapaṇṇāsakamattaṃ vaṭṭati, na vaṭṭatīti? ‘‘Na vaṭṭatī’’ti kurundaṭṭhakathāyaṃ paṭikkhittaṃ, itarāsu vicāraṇāyeva natthi. Abhidhamme kiñci uggahetabbanti na vuttaṃ. Yassa pana sāṭṭhakathampi vinayapiṭakaṃ abhidhammapiṭakañca paguṇaṃ, suttante ca vuttappakāro gantho natthi, parisaṃ upaṭṭhāpetuṃ na labhati. Yena pana suttantato vinayato ca vuttappamāṇo gantho uggahito, ayaṃ parisupaṭṭhāpako bahussuto hoti disāpāmokkho yenakāmaṅgamo, parisaṃ upaṭṭhāpetuṃ labhati.

    ภิกฺขุโนวาทเกน ปน สาฎฺฐกถานิ ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคเหตพฺพานิ, อสโกฺกเนฺตน จตูสุ นิกาเยสุ เอกสฺส อฎฺฐกถา ปคุณา กาตพฺพา, เอกนิกาเยน หิ เสสนิกาเยสุปิ ปญฺหํ กเถตุํ สกฺขิสฺสติฯ สตฺตสุ ปกรเณสุ จตุปฺปกรณสฺส อฎฺฐกถา ปคุณา กาตพฺพา, ตตฺถ ลทฺธนเยน หิ เสสปกรเณสุ ปญฺหํ กเถตุํ สกฺขิสฺสติฯ วินยปิฎกํ ปน นานตฺถํ นานาการณํ, ตสฺมา ตํ สทฺธิํ อฎฺฐกถาย ปคุณํ กาตพฺพเมวฯ เอตฺตาวตา หิ ภิกฺขุโนวาทโก พหุสฺสุโต นาม โหตีติฯ

    Bhikkhunovādakena pana sāṭṭhakathāni tīṇi piṭakāni uggahetabbāni, asakkontena catūsu nikāyesu ekassa aṭṭhakathā paguṇā kātabbā, ekanikāyena hi sesanikāyesupi pañhaṃ kathetuṃ sakkhissati. Sattasu pakaraṇesu catuppakaraṇassa aṭṭhakathā paguṇā kātabbā, tattha laddhanayena hi sesapakaraṇesu pañhaṃ kathetuṃ sakkhissati. Vinayapiṭakaṃ pana nānatthaṃ nānākāraṇaṃ, tasmā taṃ saddhiṃ aṭṭhakathāya paguṇaṃ kātabbameva. Ettāvatā hi bhikkhunovādako bahussuto nāma hotīti.

    อุภยานิ โข ปนสฺสาติอาทิ ปน ยสฺมา อญฺญสฺมิํ สกเล นวเงฺคปิ พาหุสฺสเจฺจ สติ สาฎฺฐกถํ วินยปิฎกํ วินา น วฎฺฎติเยว, ตสฺมา วิสุํ วุตฺตํฯ ตตฺถ วิตฺถาเรนาติ อุภโตวิภเงฺคน สทฺธิํฯ สฺวาคตานีติ สุฎฺฐุ อาคตานิฯ ยถา อาคตานิ ปน สฺวาคตานิ โหนฺติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สุวิภตฺตานี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สุวิภตฺตานีติ สุฎฺฐุ วิภตฺตานิ ปทปจฺจาภฎฺฐสงฺกรโทสวิรหิตานิฯ สุปฺปวตฺตีนีติ ปคุณานิ วาจุคฺคตานิฯ สุวินิจฺฉิตานิ สุตฺตโสติ ขนฺธกปริวารโต อาหริตพฺพสุตฺตวเสน สุฎฺฐุ วินิจฺฉิตานิฯ อนุพฺยญฺชนโสติ อกฺขรปทปาริปูริยา จ สุวินิจฺฉิตานิ อขณฺฑานิ อวิปรีตกฺขรานิฯ เอเตน อฎฺฐกถา ทีปิตา, อฎฺฐกถาโต หิ เอส วินิจฺฉโย โหตีติฯ

    Ubhayānikho panassātiādi pana yasmā aññasmiṃ sakale navaṅgepi bāhussacce sati sāṭṭhakathaṃ vinayapiṭakaṃ vinā na vaṭṭatiyeva, tasmā visuṃ vuttaṃ. Tattha vitthārenāti ubhatovibhaṅgena saddhiṃ. Svāgatānīti suṭṭhu āgatāni. Yathā āgatāni pana svāgatāni honti, taṃ dassetuṃ ‘‘suvibhattānī’’tiādi vuttaṃ. Tattha suvibhattānīti suṭṭhu vibhattāni padapaccābhaṭṭhasaṅkaradosavirahitāni. Suppavattīnīti paguṇāni vācuggatāni. Suvinicchitāni suttasoti khandhakaparivārato āharitabbasuttavasena suṭṭhu vinicchitāni. Anubyañjanasoti akkharapadapāripūriyā ca suvinicchitāni akhaṇḍāni aviparītakkharāni. Etena aṭṭhakathā dīpitā, aṭṭhakathāto hi esa vinicchayo hotīti.

    กลฺยาณวาโจติ สิถิลธนิตาทีนํ ยถาวิธานวจเนน ปริมณฺฑลปทพฺยญฺชนาย โปริยา วาจาย สมนฺนาคโต วิสฺสฎฺฐาย อเนลคฬาย อตฺถสฺส วิญฺญาปนิยาฯ กลฺยาณวากฺกรโณติ มธุรสฺสโร, มาตุคาโม หิ สรสมฺปตฺติรโต, ตสฺมา ปริมณฺฑลปทพฺยญฺชนมฺปิ วจนํ สรสมฺปตฺติรหิตํ หีเฬติฯ เยภุเยฺยน ภิกฺขุนีนํ ปิโย โหติ มนาโปติ สพฺพาสํ ปิโย นาม ทุลฺลโภ, พหุตรานํ ปน ปณฺฑิตานํ ภิกฺขุนีนํ สีลาจารสมฺปตฺติยา ปิโย โหติ มนวฑฺฒนโกฯ ปฎิพโล โหติ ภิกฺขุนิโย โอวทิตุนฺติ สุตฺตญฺจ การณญฺจ ทเสฺสโนฺต วฎฺฎภเยน ตเชฺชตฺวา ภิกฺขุนิโย โอวทิตุํ ตาทิสํ ธมฺมํ เทเสตุํ สมโตฺถ โหติฯ กาสายวตฺถวสนายาติ กาสายวตฺถนิวตฺถายฯ ครุธมฺมนฺติ คิหิกาเล ภิกฺขุนิยา กายสํสคฺคํ วา สิกฺขมานาสามเณรีสุ เมถุนธมฺมํ วา อนชฺฌาปนฺนปุโพฺพ โหติฯ มาตุคาโม หิ ปุเพฺพ กตมนุสฺสรโนฺต สํวเร ฐิตสฺสาปิ ธมฺมเทสนาย คารวํ น กโรติฯ อถ วา ตสฺมิเยว อสทฺธเมฺม จิตฺตํ อุปฺปาเทติฯ วีสติวโสฺส วาติ อุปสมฺปทาย วีสติวโสฺส ตโต อติเรกวโสฺส วาฯ เอวรูโป หิ วิสภาเคหิ วตฺถูหิ ปุนปฺปุนํ สมาคจฺฉโนฺตปิ ทหโร วิย สหสา สีลวินาสํ น ปาปุณาติ, อตฺตโน วยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อยุตฺตฎฺฐาเน ฉนฺทราคํ วิเนตุํ ปฎิพโล โหติ, เตน วุตฺตํ – ‘‘วีสติวโสฺส วา โหติ อติเรกวีสติวโสฺส วา’’ติฯ

    Kalyāṇavācoti sithiladhanitādīnaṃ yathāvidhānavacanena parimaṇḍalapadabyañjanāya poriyā vācāya samannāgato vissaṭṭhāya anelagaḷāya atthassa viññāpaniyā. Kalyāṇavākkaraṇoti madhurassaro, mātugāmo hi sarasampattirato, tasmā parimaṇḍalapadabyañjanampi vacanaṃ sarasampattirahitaṃ hīḷeti. Yebhuyyena bhikkhunīnaṃ piyo hoti manāpoti sabbāsaṃ piyo nāma dullabho, bahutarānaṃ pana paṇḍitānaṃ bhikkhunīnaṃ sīlācārasampattiyā piyo hoti manavaḍḍhanako. Paṭibalo hoti bhikkhuniyo ovaditunti suttañca kāraṇañca dassento vaṭṭabhayena tajjetvā bhikkhuniyo ovadituṃ tādisaṃ dhammaṃ desetuṃ samattho hoti. Kāsāyavatthavasanāyāti kāsāyavatthanivatthāya. Garudhammanti gihikāle bhikkhuniyā kāyasaṃsaggaṃ vā sikkhamānāsāmaṇerīsu methunadhammaṃ vā anajjhāpannapubbo hoti. Mātugāmo hi pubbe katamanussaranto saṃvare ṭhitassāpi dhammadesanāya gāravaṃ na karoti. Atha vā tasmiyeva asaddhamme cittaṃ uppādeti. Vīsativasso vāti upasampadāya vīsativasso tato atirekavasso vā. Evarūpo hi visabhāgehi vatthūhi punappunaṃ samāgacchantopi daharo viya sahasā sīlavināsaṃ na pāpuṇāti, attano vayaṃ paccavekkhitvā ayuttaṭṭhāne chandarāgaṃ vinetuṃ paṭibalo hoti, tena vuttaṃ – ‘‘vīsativasso vā hoti atirekavīsativasso vā’’ti.

    เอตฺถ จ ‘‘สีลวา’’ติอาทิ เอกมงฺคํ, ‘‘พหุสฺสุโต โหตี’’ติอาทิ ทุติยํ, ‘‘อุภยานิ โข ปนสฺสา’’ติอาทิ ตติยํ, ‘‘กลฺยาณวาโจ โหติ กลฺยาณวากฺกรโณ’’ติ จตุตฺถํ, ‘‘เยภุเยฺยน ภิกฺขุนีนํ ปิโย โหติ มนาโป’’ติ ปญฺจมํ, ‘‘ปฎิพโล โหติ ภิกฺขุนิโย โอวทิตุ’’นฺติ ฉฎฺฐํ, ‘‘น โข ปเนต’’นฺติอาทิ สตฺตมํ, ‘‘วีสติวโสฺส’’ติอาทิ อฎฺฐมนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Ettha ca ‘‘sīlavā’’tiādi ekamaṅgaṃ, ‘‘bahussuto hotī’’tiādi dutiyaṃ, ‘‘ubhayāni kho panassā’’tiādi tatiyaṃ, ‘‘kalyāṇavāco hoti kalyāṇavākkaraṇo’’ti catutthaṃ, ‘‘yebhuyyena bhikkhunīnaṃ piyo hoti manāpo’’ti pañcamaṃ, ‘‘paṭibalo hoti bhikkhuniyo ovaditu’’nti chaṭṭhaṃ, ‘‘na kho paneta’’ntiādi sattamaṃ, ‘‘vīsativasso’’tiādi aṭṭhamanti veditabbaṃ.

    ๑๔๘. ญตฺติจตุเตฺถนาติ ปุเพฺพ วตฺถุสฺมิํ วุเตฺตเนวฯ ครุธเมฺมหีติ ครุเกหิ ธเมฺมหิ, เต หิ คารวํ กตฺวา ภิกฺขุนีหิ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพตฺตา ครุธมฺมาติ วุจฺจนฺติฯ เอกโตอุปสมฺปนฺนายาติ เอตฺถ ภิกฺขุนีนํ สนฺติเก เอกโตอุปสมฺปนฺนาย, โย ครุธเมฺมน โอวทติ, ตสฺส ทุกฺกฎํฯ ภิกฺขูนํ สนฺติเก อุปสมฺปนฺนาย ปน ยถาวตฺถุกเมวฯ

    148.Ñatticatutthenāti pubbe vatthusmiṃ vutteneva. Garudhammehīti garukehi dhammehi, te hi gāravaṃ katvā bhikkhunīhi sampaṭicchitabbattā garudhammāti vuccanti. Ekatoupasampannāyāti ettha bhikkhunīnaṃ santike ekatoupasampannāya, yo garudhammena ovadati, tassa dukkaṭaṃ. Bhikkhūnaṃ santike upasampannāya pana yathāvatthukameva.

    ๑๔๙. ปริเวณํ สมฺมชฺชิตฺวาติ สเจ ปาโต อสมฺมฎฺฐํ สมฺมฎฺฐมฺปิ วา ปุน ติณปณฺณาทีหิ อุกฺลาปํ ปาทปฺปหาเรหิ จ วิกิณฺณวาลิกํ ชาตํ, สมฺมชฺชิตพฺพํฯ อสมฺมฎฺฐญฺหิ ตํ ทิสฺวา ‘‘อโยฺย อตฺตโน นิสฺสิตเก ทหรภิกฺขูปิ วตฺตปฎิปตฺติยํ น โยเชติ, ธมฺมํเยว กเถตี’’ติ ตา ภิกฺขุนิโย อโสตุกามา วิย ภเวยฺยุํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปริเวณํ สมฺมชฺชิตฺวา’’ติฯ อโนฺตคามโต ปน ภิกฺขุนิโย อาคจฺฉนฺติโย ปิปาสิตา จ กิลนฺตา จ โหนฺติ, ตา ปานียญฺจ หตฺถปาทมุขสีตลกรณญฺจ ปจฺจาสีสนฺติ, ตสฺมิญฺจ อสติ ปุริมนเยเนว อคารวํ ชเนตฺวา อโสตุกามาปิ โหนฺติ ฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปานียํ ปริโภชนียํ อุปฎฺฐเปตฺวา’’ติฯ

    149.Pariveṇaṃ sammajjitvāti sace pāto asammaṭṭhaṃ sammaṭṭhampi vā puna tiṇapaṇṇādīhi uklāpaṃ pādappahārehi ca vikiṇṇavālikaṃ jātaṃ, sammajjitabbaṃ. Asammaṭṭhañhi taṃ disvā ‘‘ayyo attano nissitake daharabhikkhūpi vattapaṭipattiyaṃ na yojeti, dhammaṃyeva kathetī’’ti tā bhikkhuniyo asotukāmā viya bhaveyyuṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘pariveṇaṃ sammajjitvā’’ti. Antogāmato pana bhikkhuniyo āgacchantiyo pipāsitā ca kilantā ca honti, tā pānīyañca hatthapādamukhasītalakaraṇañca paccāsīsanti, tasmiñca asati purimanayeneva agāravaṃ janetvā asotukāmāpi honti . Tena vuttaṃ – ‘‘pānīyaṃ paribhojanīyaṃ upaṭṭhapetvā’’ti.

    อาสนนฺติ นีจปีฐกผลกตฎฺฎิกกฎสารกาทิเภทํ อนฺตมโส สาขาภงฺคมฺปิ ‘‘อิทํ ตาสํ อาสนํ ภวิสฺสตี’’ติ เอวํ อาสนํ ปญฺญเปตฺวาฯ ธมฺมเทสนาปตฺติโมจนตฺถํ ปน ทุติโย อิจฺฉิตโพฺพฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ทุติยํ คเหตฺวา นิสีทิตพฺพ’’นฺติฯ นิสีทิตพฺพนฺติ น วิหารปจฺจเนฺต, อถ โข วิหารมเชฺฌ อุโปสถาคารสฺส วา โภชนสาลาย วา ทฺวาเร สเพฺพสํ โอสรณฎฺฐาเน นิสีทิตพฺพํฯ สมคฺคาตฺถาติ สพฺพา อาคตตฺถาติ อโตฺถฯ วตฺตนฺตีติ อาคจฺฉนฺติ; ปคุณา วาจุคฺคตาติ อโตฺถฯ นิยฺยาเทตโพฺพติ อเปฺปตโพฺพฯ โอสาเรตโพฺพติ ปาฬิ วตฺตพฺพาฯ วสฺสสตูปสมฺปนฺนายาติอาทิ วตฺตพฺพปาฬิทสฺสนํฯ

    Āsananti nīcapīṭhakaphalakataṭṭikakaṭasārakādibhedaṃ antamaso sākhābhaṅgampi ‘‘idaṃ tāsaṃ āsanaṃ bhavissatī’’ti evaṃ āsanaṃ paññapetvā. Dhammadesanāpattimocanatthaṃ pana dutiyo icchitabbo. Tena vuttaṃ – ‘‘dutiyaṃ gahetvā nisīditabba’’nti. Nisīditabbanti na vihārapaccante, atha kho vihāramajjhe uposathāgārassa vā bhojanasālāya vā dvāre sabbesaṃ osaraṇaṭṭhāne nisīditabbaṃ. Samaggātthāti sabbā āgatatthāti attho. Vattantīti āgacchanti; paguṇā vācuggatāti attho. Niyyādetabboti appetabbo. Osāretabboti pāḷi vattabbā. Vassasatūpasampannāyātiādi vattabbapāḷidassanaṃ.

    ตตฺถ สามีจิกมฺมนฺติ มคฺคสมฺปทานพีชนปานียาปุจฺฉนาทิกํ อนุจฺฉวิกวตฺตํฯ เอตฺถ จ ภิกฺขุนิยา ภิกฺขุสฺส อภิวาทนํ นาม อโนฺตคาเม วา พหิคาเม วา อโนฺตวิหาเร วา พหิวิหาเร วา อนฺตรฆเร วา รถิกาย วา อนฺตมโส ราชุสฺสารณายปิ วตฺตมานาย เทเว วสฺสมาเน สกทฺทมาย ภูมิยา ฉตฺตปตฺตหตฺถายปิ หตฺถิอสฺสาทีหิ อนุพทฺธายปิ กาตพฺพเมวฯ เอกาพทฺธาย ปาฬิยา ภิกฺขาจารํ ปวิสเนฺต ทิสฺวา เอกสฺมิํ ฐาเน ‘‘วนฺทามิ อยฺยา’’ติ วนฺทิตุํ วฎฺฎติฯ สเจ อนฺตรนฺตรา ทฺวาทสหเตฺถ มุญฺจิตฺวา คจฺฉนฺติ, วิสุํ วิสุํ วนฺทิตพฺพาฯ มหาสนฺนิปาเต นิสิเนฺน เอกสฺมิํเยว ฐาเน วนฺทิตุํ วฎฺฎติฯ เอส นโย อญฺชลิกเมฺมปิฯ ยตฺถ กตฺถจิ นิสินฺนาย ปน ปจฺจุฎฺฐานํ กาตพฺพํ, ตสฺส ตสฺส สามีจิกมฺมสฺส อนุรูเป ปเทเส จ กาเล จ ตํ ตํ กาตพฺพํฯ

    Tattha sāmīcikammanti maggasampadānabījanapānīyāpucchanādikaṃ anucchavikavattaṃ. Ettha ca bhikkhuniyā bhikkhussa abhivādanaṃ nāma antogāme vā bahigāme vā antovihāre vā bahivihāre vā antaraghare vā rathikāya vā antamaso rājussāraṇāyapi vattamānāya deve vassamāne sakaddamāya bhūmiyā chattapattahatthāyapi hatthiassādīhi anubaddhāyapi kātabbameva. Ekābaddhāya pāḷiyā bhikkhācāraṃ pavisante disvā ekasmiṃ ṭhāne ‘‘vandāmi ayyā’’ti vandituṃ vaṭṭati. Sace antarantarā dvādasahatthe muñcitvā gacchanti, visuṃ visuṃ vanditabbā. Mahāsannipāte nisinne ekasmiṃyeva ṭhāne vandituṃ vaṭṭati. Esa nayo añjalikammepi. Yattha katthaci nisinnāya pana paccuṭṭhānaṃ kātabbaṃ, tassa tassa sāmīcikammassa anurūpe padese ca kāle ca taṃ taṃ kātabbaṃ.

    สกฺกตฺวาติ ยถา กโต สุกโต โหติ, เอวํ กตฺวาฯ ครุํกตฺวาติ ตตฺถ คารวํ ชเนตฺวาฯ มาเนตฺวาติ มเนน ปิยํ กตฺวาฯ ปูเชตฺวาติ อิเมสํเยว ติณฺณํ กิจฺจานํ กรเณน ปูเชตฺวาฯ อนติกฺกมนีโยติ น อติกฺกมิตโพฺพฯ

    Sakkatvāti yathā kato sukato hoti, evaṃ katvā. Garuṃkatvāti tattha gāravaṃ janetvā. Mānetvāti manena piyaṃ katvā. Pūjetvāti imesaṃyeva tiṇṇaṃ kiccānaṃ karaṇena pūjetvā. Anatikkamanīyoti na atikkamitabbo.

    อภิกฺขุเก อาวาเสติ เอตฺถ สเจ ภิกฺขุนุปสฺสยโต อฑฺฒโยชนพฺภนฺตเร โอวาททายกา ภิกฺขู น วสนฺติ, อยํ อภิกฺขุโก อาวาโส นามฯ เอตฺถ วสฺสํ น วสิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘อภิกฺขุโก นาม อาวาโส น สกฺกา โหติ โอวาทาย วา สํวาสาย วา คนฺตุ’’นฺติ (ปาจิ. ๑๐๔๘)ฯ น จ สกฺกา ตโต ปรํ ปจฺฉาภตฺตํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา อาคนฺตุํฯ สเจ ตตฺถ วสฺสํ วสิตุํ อนิจฺฉมานา ภิกฺขุนิโย ญาตกา วา อุปฎฺฐากา วา เอวํวทนฺติ – ‘‘วสถ, อเยฺย, มยํ ภิกฺขู อาเนสฺสามา’’ติ วฎฺฎติฯ สเจ ปน วุตฺตปฺปมาเณ ปเทเส วสฺสํ อุปคนฺตุกามา ภิกฺขู อาคนฺตฺวา สาขามณฺฑเปปิ เอกรตฺตํ วุตฺถา โหนฺติ; น นิมนฺติตา หุตฺวา คนฺตุกามาฯ เอตฺตาวตาปิ สภิกฺขุโก อาวาโส โหติ, เอตฺถ วสฺสํ อุปคนฺตุํ วฎฺฎติฯ อุปคจฺฉนฺตีหิ จ ปกฺขสฺส เตรสิยํเยว ภิกฺขู ยาจิตพฺพา – ‘‘มยํ อยฺยา ตุมฺหากํ โอวาเทน วสิสฺสามา’’ติฯ ยโต ปน อุชุนา มเคฺคน อฑฺฒโยชเน ภิกฺขูนํ วสนฎฺฐานํ, เตน ปน มเคฺคน คจฺฉนฺตีนํ ชีวิตนฺตราโย วา พฺรหฺมจริยนฺตราโย วา โหติ, อเญฺญน มเคฺคน คจฺฉนฺตีนํ อติเรกฑฺฒโยชนํ โหติ, อยํ อภิกฺขุกาวาสฎฺฐาเนเยว ติฎฺฐติฯ สเจ ปน ตโต คาวุตมเตฺต อโญฺญ ภิกฺขุนุปสฺสโย เขมฎฺฐาเน โหติ, ตาหิ ภิกฺขุนีหิ ตา ภิกฺขุนิโย ยาจิตฺวา ปุน คนฺตฺวา ภิกฺขู ยาจิตพฺพา ‘‘อยฺยา อมฺหากํ อุชุมเคฺค อนฺตราโย อตฺถิ, อเญฺญน มเคฺคน อติเรกฑฺฒโยชนํ โหติฯ อนฺตรามเคฺค ปน อมฺหากํ อุปสฺสยโต คาวุตมเตฺต อโญฺญ ภิกฺขุนุปสฺสโย อตฺถิ, อยฺยานํ สนฺติกา ตตฺถ อาคตโอวาเทน วสิสฺสามา’’ติฯ เตหิ ภิกฺขูหิ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํฯ ตโต ตาหิ ภิกฺขุนีหิ ตํ ภิกฺขุนุปสฺสยํ อาคนฺตฺวา อุโปสโถ กาตโพฺพ, ตา วา ภิกฺขุนิโย ทิสฺวา อตฺตโน อุปสฺสยเมว คนฺตฺวา กาตุมฺปิ วฎฺฎติฯ

    Abhikkhuke āvāseti ettha sace bhikkhunupassayato aḍḍhayojanabbhantare ovādadāyakā bhikkhū na vasanti, ayaṃ abhikkhuko āvāso nāma. Ettha vassaṃ na vasitabbaṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘abhikkhuko nāma āvāso na sakkā hoti ovādāya vā saṃvāsāya vā gantu’’nti (pāci. 1048). Na ca sakkā tato paraṃ pacchābhattaṃ gantvā dhammaṃ sutvā āgantuṃ. Sace tattha vassaṃ vasituṃ anicchamānā bhikkhuniyo ñātakā vā upaṭṭhākā vā evaṃvadanti – ‘‘vasatha, ayye, mayaṃ bhikkhū ānessāmā’’ti vaṭṭati. Sace pana vuttappamāṇe padese vassaṃ upagantukāmā bhikkhū āgantvā sākhāmaṇḍapepi ekarattaṃ vutthā honti; na nimantitā hutvā gantukāmā. Ettāvatāpi sabhikkhuko āvāso hoti, ettha vassaṃ upagantuṃ vaṭṭati. Upagacchantīhi ca pakkhassa terasiyaṃyeva bhikkhū yācitabbā – ‘‘mayaṃ ayyā tumhākaṃ ovādena vasissāmā’’ti. Yato pana ujunā maggena aḍḍhayojane bhikkhūnaṃ vasanaṭṭhānaṃ, tena pana maggena gacchantīnaṃ jīvitantarāyo vā brahmacariyantarāyo vā hoti, aññena maggena gacchantīnaṃ atirekaḍḍhayojanaṃ hoti, ayaṃ abhikkhukāvāsaṭṭhāneyeva tiṭṭhati. Sace pana tato gāvutamatte añño bhikkhunupassayo khemaṭṭhāne hoti, tāhi bhikkhunīhi tā bhikkhuniyo yācitvā puna gantvā bhikkhū yācitabbā ‘‘ayyā amhākaṃ ujumagge antarāyo atthi, aññena maggena atirekaḍḍhayojanaṃ hoti. Antarāmagge pana amhākaṃ upassayato gāvutamatte añño bhikkhunupassayo atthi, ayyānaṃ santikā tattha āgataovādena vasissāmā’’ti. Tehi bhikkhūhi sampaṭicchitabbaṃ. Tato tāhi bhikkhunīhi taṃ bhikkhunupassayaṃ āgantvā uposatho kātabbo, tā vā bhikkhuniyo disvā attano upassayameva gantvā kātumpi vaṭṭati.

    สเจ ปน วสฺสํ อุปคนฺตุกามา ภิกฺขู จาตุทฺทเส วิหารํ อาคจฺฉนฺติ, ภิกฺขุนีหิ จ ‘‘อิธ อยฺยา วสฺสํ วสิสฺสถา’’ติ ปุจฺฉิตา ‘‘อามา’’ติ วตฺวา ปุน ตาหิ ‘‘เตนหิ อยฺยา มยมฺปิ ตุมฺหากํ โอวาทํ อนุชีวนฺติโย วสิสฺสามา’’ติ วุตฺตา ทุติยทิวเส คาเม ภิกฺขาจารสมฺปทํ อปสฺสนฺตา ‘‘น สกฺกา อิธ วสิตุ’’นฺติ ปกฺกมนฺติฯ อถ ตา ภิกฺขุนิโย อุโปสถทิวเส วิหารํ คนฺตฺวา ภิกฺขู น ปสฺสนฺติ, เอตฺถ กิํ กาตพฺพนฺติ? ยตฺถ ภิกฺขู วสนฺติ, ตตฺถ คนฺตฺวา ปจฺฉิมิกาย วสฺสํ อุปคนฺตพฺพํฯ ‘‘ปจฺฉิมิกาย วสฺสํ อุปคนฺตุํ อาคมิสฺสนฺตี’’ติ วา อาโภคํ กตฺวา อาคตานํ สนฺติเก โอวาเทน วสิตพฺพํฯ สเจ ปน ปจฺฉิมิกายปิ น เกจิ อาคจฺฉนฺติ, อนฺตรามเคฺค จ ราชภยํ วา โจรภยํ วา ทุพฺภิกฺขํ วา โหติ, อภิกฺขุกาวาเส วสนฺติยา อาปตฺติ, วสฺสเจฺฉทํ กตฺวา คจฺฉนฺติยาปิ อาปตฺติ, สา รกฺขิตพฺพาฯ อาปทาสุ หิ อภิกฺขุเก อาวาเส วสนฺติยา อนาปตฺติ วุตฺตาฯ สเจ อาคนฺตฺวา วสฺสํ อุปคตา ภิกฺขู ปุน เกนจิ การเณน ปกฺกมนฺติ, วสิตพฺพเมวฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘อนาปตฺติ วสฺสูปคตา ภิกฺขู ปกฺกนฺตา วา โหนฺติ วิพฺภนฺตา วา กาลงฺกตา วา ปกฺขสงฺกนฺตา วา อาปทาสุ อุมฺมตฺติกาย อาทิกมฺมิกายา’’ติฯ ปวาเรนฺติยา ปน ยตฺถ ภิกฺขู อตฺถิ, ตตฺถ คนฺตฺวา ปวาเรตพฺพํฯ

    Sace pana vassaṃ upagantukāmā bhikkhū cātuddase vihāraṃ āgacchanti, bhikkhunīhi ca ‘‘idha ayyā vassaṃ vasissathā’’ti pucchitā ‘‘āmā’’ti vatvā puna tāhi ‘‘tenahi ayyā mayampi tumhākaṃ ovādaṃ anujīvantiyo vasissāmā’’ti vuttā dutiyadivase gāme bhikkhācārasampadaṃ apassantā ‘‘na sakkā idha vasitu’’nti pakkamanti. Atha tā bhikkhuniyo uposathadivase vihāraṃ gantvā bhikkhū na passanti, ettha kiṃ kātabbanti? Yattha bhikkhū vasanti, tattha gantvā pacchimikāya vassaṃ upagantabbaṃ. ‘‘Pacchimikāya vassaṃ upagantuṃ āgamissantī’’ti vā ābhogaṃ katvā āgatānaṃ santike ovādena vasitabbaṃ. Sace pana pacchimikāyapi na keci āgacchanti, antarāmagge ca rājabhayaṃ vā corabhayaṃ vā dubbhikkhaṃ vā hoti, abhikkhukāvāse vasantiyā āpatti, vassacchedaṃ katvā gacchantiyāpi āpatti, sā rakkhitabbā. Āpadāsu hi abhikkhuke āvāse vasantiyā anāpatti vuttā. Sace āgantvā vassaṃ upagatā bhikkhū puna kenaci kāraṇena pakkamanti, vasitabbameva. Vuttañhetaṃ – ‘‘anāpatti vassūpagatā bhikkhū pakkantā vā honti vibbhantā vā kālaṅkatā vā pakkhasaṅkantā vā āpadāsu ummattikāya ādikammikāyā’’ti. Pavārentiyā pana yattha bhikkhū atthi, tattha gantvā pavāretabbaṃ.

    อนฺวทฺธมาสนฺติ อทฺธมาเส อทฺธมาเสฯ เทฺว ธมฺมา ปจฺจาสีสิตพฺพาติ เทฺว ธมฺมา อิจฺฉิตพฺพาฯ อุโปสถปุจฺฉกนฺติ อุโปสถปุจฺฉนํ, ตตฺถ ปนฺนรสิเก อุโปสเถ ปกฺขสฺส จาตุทฺทสิยํ จาตุทฺทสิเก เตรสิยํ คนฺตฺวา อุโปสโถ ปุจฺฉิตโพฺพฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘ปกฺขสฺส เตรสิยํเยว คนฺตฺวา ‘อยํ อุโปสโถ จาตุทฺทสิโก ปนฺนรสิโก’ติ ปุจฺฉิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ อุโปสถทิวเส โอวาทตฺถาย อุปสงฺกมิตพฺพํฯ ปาฎิปททิวสโต ปน ปฎฺฐาย ธมฺมสวนตฺถาย คนฺตพฺพํฯ อิติ ภควา อญฺญสฺส กมฺมสฺส โอกาสํ อทตฺวา นิรนฺตรํ ภิกฺขุนีนํ ภิกฺขูนํ สนฺติเก คมนเมว ปญฺญเปสิฯ กสฺมา? มนฺทปญฺญตฺตา มาตุคามสฺสฯ มนฺทปโญฺญ หิ มาตุคาโม, ตสฺมา นิจฺจํ ธมฺมสวนํ พหูปการํฯ เอวญฺจ สติ ‘‘ยํ มยํ ชานาม, ตเมว อยฺยา ชานนฺตี’’ติ มานํ อกตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ ปยิรูปาสมานา สาตฺถิกํ ปพฺพชฺชํ กริสฺสนฺติ, ตสฺมา ภควา เอวมกาสิฯ ภิกฺขุนิโยปิ ‘‘ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชิสฺสามา’’ติ สพฺพาเยว นิรนฺตรํ วิหารํ อุปสงฺกมิํสุฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Anvaddhamāsanti addhamāse addhamāse. Dve dhammā paccāsīsitabbāti dve dhammā icchitabbā. Uposathapucchakanti uposathapucchanaṃ, tattha pannarasike uposathe pakkhassa cātuddasiyaṃ cātuddasike terasiyaṃ gantvā uposatho pucchitabbo. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘pakkhassa terasiyaṃyeva gantvā ‘ayaṃ uposatho cātuddasiko pannarasiko’ti pucchitabba’’nti vuttaṃ. Uposathadivase ovādatthāya upasaṅkamitabbaṃ. Pāṭipadadivasato pana paṭṭhāya dhammasavanatthāya gantabbaṃ. Iti bhagavā aññassa kammassa okāsaṃ adatvā nirantaraṃ bhikkhunīnaṃ bhikkhūnaṃ santike gamanameva paññapesi. Kasmā? Mandapaññattā mātugāmassa. Mandapañño hi mātugāmo, tasmā niccaṃ dhammasavanaṃ bahūpakāraṃ. Evañca sati ‘‘yaṃ mayaṃ jānāma, tameva ayyā jānantī’’ti mānaṃ akatvā bhikkhusaṅghaṃ payirūpāsamānā sātthikaṃ pabbajjaṃ karissanti, tasmā bhagavā evamakāsi. Bhikkhuniyopi ‘‘yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjissāmā’’ti sabbāyeva nirantaraṃ vihāraṃ upasaṅkamiṃsu. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เตน โข ปน สมเยน สโพฺพ ภิกฺขุนิสโงฺฆ โอวาทํ คจฺฉติฯ มนุสฺสา อุชฺฌายนฺติ ขิยฺยนฺติ วิปาเจนฺติ ‘ชายาโย อิมา อิเมสํ, ชาริโย อิมา อิเมสํ, อิทานิเม อิมาหิ สทฺธิํ อภิรมิสฺสนฺตี’ติฯ ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ – ‘น, ภิกฺขเว, สเพฺพน ภิกฺขุนิสเงฺฆน โอวาโท คนฺตโพฺพ, คเจฺฉยฺย เจ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ ภิกฺขเว จตูหิ ปญฺจหิ ภิกฺขุนีหิ โอวาทํ คนฺตุ’นฺติฯ ปุนปิ ตเถว อุชฺฌายิํสุฯ ปุน ภควา ‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เทฺว ติโสฺส ภิกฺขุนิโย โอวาทํ คนฺตุ’’’นฺติ อาหฯ

    ‘‘Tena kho pana samayena sabbo bhikkhunisaṅgho ovādaṃ gacchati. Manussā ujjhāyanti khiyyanti vipācenti ‘jāyāyo imā imesaṃ, jāriyo imā imesaṃ, idānime imāhi saddhiṃ abhiramissantī’ti. Bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ – ‘na, bhikkhave, sabbena bhikkhunisaṅghena ovādo gantabbo, gaccheyya ce, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi bhikkhave catūhi pañcahi bhikkhunīhi ovādaṃ gantu’nti. Punapi tatheva ujjhāyiṃsu. Puna bhagavā ‘anujānāmi, bhikkhave, dve tisso bhikkhuniyo ovādaṃ gantu’’’nti āha.

    ตสฺมา ภิกฺขุนิสเงฺฆน เทฺว ติโสฺส ภิกฺขุนิโย ยาจิตฺวา เปเสตพฺพา – ‘‘เอถเยฺย, ภิกฺขุสงฺฆํ โอวาทูปสงฺกมนํ ยาจถ, ภิกฺขุนิสโงฺฆ อยฺยา…เป.… โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติ (จูฬว. ๔๑๓)ฯ ตาหิ ภิกฺขุนีหิ อารามํ คนฺตพฺพํฯ ตโต โอวาทปฎิคฺคาหกํ เอกํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา โส ภิกฺขุ เอกาย ภิกฺขุนิยา เอวมสฺส วจนีโย ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ, อยฺย, ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปาเท วนฺทติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจติ, ลภตุ กิร อยฺย ภิกฺขุนิสโงฺฆ โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ เตน ภิกฺขุนา ปาติโมกฺขุเทฺทสโก ภิกฺขุ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมสฺส วจนีโย ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ ภเนฺต ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปาเท วนฺทติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจติ, ลภตุ กิร ภเนฺต ภิกฺขุนิสโงฺฆ โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน วตฺตโพฺพ ‘‘อตฺถิ โกจิ ภิกฺขุ ภิกฺขุโนวาทโก สมฺมโต’’ติฯ สเจ โหติ โกจิ ภิกฺขุ ภิกฺขุโนวาทโก สมฺมโต, ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน วตฺตโพฺพ ‘‘อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ ภิกฺขุโนวาทโก สมฺมโต, ตํ ภิกฺขุนิสโงฺฆ อุปสงฺกมตู’’ติฯ

    Tasmā bhikkhunisaṅghena dve tisso bhikkhuniyo yācitvā pesetabbā – ‘‘ethayye, bhikkhusaṅghaṃ ovādūpasaṅkamanaṃ yācatha, bhikkhunisaṅgho ayyā…pe… ovādūpasaṅkamana’’nti (cūḷava. 413). Tāhi bhikkhunīhi ārāmaṃ gantabbaṃ. Tato ovādapaṭiggāhakaṃ ekaṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā vanditvā so bhikkhu ekāya bhikkhuniyā evamassa vacanīyo ‘‘bhikkhunisaṅgho, ayya, bhikkhusaṅghassa pāde vandati, ovādūpasaṅkamanañca yācati, labhatu kira ayya bhikkhunisaṅgho ovādūpasaṅkamana’’nti. Tena bhikkhunā pātimokkhuddesako bhikkhu upasaṅkamitvā evamassa vacanīyo ‘‘bhikkhunisaṅgho bhante bhikkhusaṅghassa pāde vandati, ovādūpasaṅkamanañca yācati, labhatu kira bhante bhikkhunisaṅgho ovādūpasaṅkamana’’nti. Pātimokkhuddesakena vattabbo ‘‘atthi koci bhikkhu bhikkhunovādako sammato’’ti. Sace hoti koci bhikkhu bhikkhunovādako sammato, pātimokkhuddesakena vattabbo ‘‘itthannāmo bhikkhu bhikkhunovādako sammato, taṃ bhikkhunisaṅgho upasaṅkamatū’’ti.

    สเจ น โหติ โกจิ ภิกฺขุ ภิกฺขุโนวาทโก สมฺมโต, ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน วตฺตโพฺพ – ‘‘โก อายสฺมา อุสฺสหติ ภิกฺขุนิโย โอวทิตุ’’นฺติฯ สเจ โกจิ ภิกฺขุ อุสฺสหติ ภิกฺขุนิโย โอวทิตุํ, โส จ โหติ อฎฺฐหเงฺคหิ สมนฺนาคโต, สมฺมนฺนิตฺวา วตฺตโพฺพ – ‘‘อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ ภิกฺขุโนวาทโก สมฺมโต, ตํ ภิกฺขุนิสโงฺฆ อุปสงฺกมตู’’ติฯ

    Sace na hoti koci bhikkhu bhikkhunovādako sammato, pātimokkhuddesakena vattabbo – ‘‘ko āyasmā ussahati bhikkhuniyo ovaditu’’nti. Sace koci bhikkhu ussahati bhikkhuniyo ovadituṃ, so ca hoti aṭṭhahaṅgehi samannāgato, sammannitvā vattabbo – ‘‘itthannāmo bhikkhu bhikkhunovādako sammato, taṃ bhikkhunisaṅgho upasaṅkamatū’’ti.

    สเจ ปน โกจิ น อุสฺสหติ ภิกฺขุนิโย โอวทิตุํ, ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน วตฺตโพฺพ – ‘‘นตฺถิ โกจิ ภิกฺขุ ภิกฺขุโนวาทโก สมฺมโต, ปาสาทิเกน ภิกฺขุนิสโงฺฆ สมฺปาเทตู’’ติฯ เอตฺตาวตา หิ สกลํ สิกฺขตฺตยสงฺคหํ สาสนมาโรจิตํ โหติฯ เตน ภิกฺขุนา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปาฎิปเท ภิกฺขุนีนํ อาโรเจตพฺพํฯ ภิกฺขุนิสเงฺฆนปิ ตา ภิกฺขุนิโย เปเสตพฺพา ‘‘คจฺฉถเยฺย, ปุจฺฉถ ‘กิํ อยฺย ลภติ ภิกฺขุนิสโงฺฆ โอวาทูปสงฺกมน’’’นฺติฯ ตาหิ ‘‘สาธุ อเยฺย’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อารามํ คนฺตฺวา ตํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วตฺตพฺพํ – ‘‘กิํ อยฺย ลภติ ภิกฺขุนิสโงฺฆ โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ เตน วตฺตพฺพํ – ‘‘นตฺถิ โกจิ ภิกฺขุ ภิกฺขุโนวาทโก สมฺมโต, ปาสาทิเกน ภิกฺขุนิสโงฺฆ สมฺปาเทตู’’ติฯ ตาหิ ‘‘สาธุ อยฺยา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํฯ เอกโต อาคตานํ วเสน เจตํ วุตฺตํ, ตาสุ ปน เอกาย ภิกฺขุนิยา วตฺตพฺพญฺจ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพญฺจ, อิตรา ตสฺสา สหายิกาฯ

    Sace pana koci na ussahati bhikkhuniyo ovadituṃ, pātimokkhuddesakena vattabbo – ‘‘natthi koci bhikkhu bhikkhunovādako sammato, pāsādikena bhikkhunisaṅgho sampādetū’’ti. Ettāvatā hi sakalaṃ sikkhattayasaṅgahaṃ sāsanamārocitaṃ hoti. Tena bhikkhunā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā pāṭipade bhikkhunīnaṃ ārocetabbaṃ. Bhikkhunisaṅghenapi tā bhikkhuniyo pesetabbā ‘‘gacchathayye, pucchatha ‘kiṃ ayya labhati bhikkhunisaṅgho ovādūpasaṅkamana’’’nti. Tāhi ‘‘sādhu ayye’’ti sampaṭicchitvā ārāmaṃ gantvā taṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā evaṃ vattabbaṃ – ‘‘kiṃ ayya labhati bhikkhunisaṅgho ovādūpasaṅkamana’’nti. Tena vattabbaṃ – ‘‘natthi koci bhikkhu bhikkhunovādako sammato, pāsādikena bhikkhunisaṅgho sampādetū’’ti. Tāhi ‘‘sādhu ayyā’’ti sampaṭicchitabbaṃ. Ekato āgatānaṃ vasena cetaṃ vuttaṃ, tāsu pana ekāya bhikkhuniyā vattabbañca sampaṭicchitabbañca, itarā tassā sahāyikā.

    สเจ ปน ภิกฺขุนิสโงฺฆ วา ภิกฺขุสโงฺฆ วา น ปูรติ, อุภยโตปิ วา คณมตฺตเมว ปุคฺคลมตฺตํ วา โหติ, เอกา ภิกฺขุนี วา พหูหิ ภิกฺขุนุปสฺสเยหิ โอวาทตฺถาย เปสิตา โหติ, ตตฺรายํ วจนกฺกโม – ‘‘ภิกฺขุนิโย อยฺย ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปาเท วนฺทนฺติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจนฺติ, ลภนฺตุ กิร อยฺย ภิกฺขุนิโย โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ ‘‘อหํ อยฺย ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปาเท วนฺทามิ; โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจามิ, ลภามหํ อยฺย โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ

    Sace pana bhikkhunisaṅgho vā bhikkhusaṅgho vā na pūrati, ubhayatopi vā gaṇamattameva puggalamattaṃ vā hoti, ekā bhikkhunī vā bahūhi bhikkhunupassayehi ovādatthāya pesitā hoti, tatrāyaṃ vacanakkamo – ‘‘bhikkhuniyo ayya bhikkhusaṅghassa pāde vandanti, ovādūpasaṅkamanañca yācanti, labhantu kira ayya bhikkhuniyo ovādūpasaṅkamana’’nti. ‘‘Ahaṃ ayya bhikkhusaṅghassa pāde vandāmi; ovādūpasaṅkamanañca yācāmi, labhāmahaṃ ayya ovādūpasaṅkamana’’nti.

    ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ อยฺย อยฺยานํ ปาเท วนฺทติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจติ, ลภตุ กิร อยฺย ภิกฺขุนีสโงฺฆ โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ ‘‘ภิกฺขุนิโย อยฺย อยฺยานํ ปาเท วนฺทนฺติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจนฺติ, ลภนฺตุ กิร อยฺย ภิกฺขุนิโย โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ ‘‘อหํ อยฺย อยฺยานํ ปาเท วนฺทามิ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจามิ, ลภามหํ อยฺย โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ

    ‘‘Bhikkhunisaṅgho ayya ayyānaṃ pāde vandati, ovādūpasaṅkamanañca yācati, labhatu kira ayya bhikkhunīsaṅgho ovādūpasaṅkamana’’nti. ‘‘Bhikkhuniyo ayya ayyānaṃ pāde vandanti, ovādūpasaṅkamanañca yācanti, labhantu kira ayya bhikkhuniyo ovādūpasaṅkamana’’nti. ‘‘Ahaṃ ayya ayyānaṃ pāde vandāmi, ovādūpasaṅkamanañca yācāmi, labhāmahaṃ ayya ovādūpasaṅkamana’’nti.

    ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ อยฺย อยฺยสฺส ปาเท วนฺทติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจติ, ลภตุ กิร อยฺย ภิกฺขุนิสโงฺฆ โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ ‘‘ภิกฺขุนิโย อยฺย อยฺยสฺส ปาเท วนฺทนฺติ ; โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจนฺติ, ลภนฺตุ กิร อยฺย ภิกฺขุนิโย โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ ‘‘อหํ อยฺย อยฺยสฺส ปาเท วนฺทามิ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจามิ, ลภามหํ อยฺย โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ

    ‘‘Bhikkhunisaṅgho ayya ayyassa pāde vandati, ovādūpasaṅkamanañca yācati, labhatu kira ayya bhikkhunisaṅgho ovādūpasaṅkamana’’nti. ‘‘Bhikkhuniyo ayya ayyassa pāde vandanti ; ovādūpasaṅkamanañca yācanti, labhantu kira ayya bhikkhuniyo ovādūpasaṅkamana’’nti. ‘‘Ahaṃ ayya ayyassa pāde vandāmi, ovādūpasaṅkamanañca yācāmi, labhāmahaṃ ayya ovādūpasaṅkamana’’nti.

    ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ จ อยฺย ภิกฺขุนิโย จ ภิกฺขุนี จ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อยฺยานํ อยฺยสฺส ปาเท วนฺทติ วนฺทนฺติ วนฺทติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจติ ยาจนฺติ ยาจติ, ลภตุ กิร ลภนฺตุ กิร ลภตุ กิร อยฺย ภิกฺขุนิสโงฺฆ จ ภิกฺขุนิโย จ ภิกฺขุนี จ โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ

    ‘‘Bhikkhunisaṅgho ca ayya bhikkhuniyo ca bhikkhunī ca bhikkhusaṅghassa ayyānaṃ ayyassa pāde vandati vandanti vandati, ovādūpasaṅkamanañca yācati yācanti yācati, labhatu kira labhantu kira labhatu kira ayya bhikkhunisaṅgho ca bhikkhuniyo ca bhikkhunī ca ovādūpasaṅkamana’’nti.

    เตนปิ ภิกฺขุนา อุโปสถกาเล เอวํ วตฺตพฺพํ – ‘‘ภิกฺขุนิโย ภเนฺต ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปาเท วนฺทนฺติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจนฺติ, ลภนฺตุ กิร ภเนฺต ภิกฺขุนิโย โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ ‘‘ภิกฺขุนี ภเนฺต ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปาเท วนฺทติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจติ, ลภตุ กิร ภเนฺต ภิกฺขุนี โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ

    Tenapi bhikkhunā uposathakāle evaṃ vattabbaṃ – ‘‘bhikkhuniyo bhante bhikkhusaṅghassa pāde vandanti, ovādūpasaṅkamanañca yācanti, labhantu kira bhante bhikkhuniyo ovādūpasaṅkamana’’nti. ‘‘Bhikkhunī bhante bhikkhusaṅghassa pāde vandati, ovādūpasaṅkamanañca yācati, labhatu kira bhante bhikkhunī ovādūpasaṅkamana’’nti.

    ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ ภเนฺต, ภิกฺขุนิโย ภเนฺต, ภิกฺขุนี ภเนฺต อายสฺมนฺตานํ ปาเท วนฺทติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจติ, ลภตุ กิร ภเนฺต ภิกฺขุนี โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ

    ‘‘Bhikkhunisaṅgho bhante, bhikkhuniyo bhante, bhikkhunī bhante āyasmantānaṃ pāde vandati, ovādūpasaṅkamanañca yācati, labhatu kira bhante bhikkhunī ovādūpasaṅkamana’’nti.

    ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ จ ภเนฺต, ภิกฺขุนิโย จ ภิกฺขุนี จ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อายสฺมนฺตานํ ปาเท วนฺทติ วนฺทนฺติ วนฺทติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจติ ยาจนฺติ ยาจติ, ลภตุ กิร ลภนฺตุ กิร ลภตุ กิร ภเนฺต ภิกฺขุนิสโงฺฆ จ ภิกฺขุนิโย จ ภิกฺขุนี จ โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติฯ

    ‘‘Bhikkhunisaṅgho ca bhante, bhikkhuniyo ca bhikkhunī ca bhikkhusaṅghassa āyasmantānaṃ pāde vandati vandanti vandati, ovādūpasaṅkamanañca yācati yācanti yācati, labhatu kira labhantu kira labhatu kira bhante bhikkhunisaṅgho ca bhikkhuniyo ca bhikkhunī ca ovādūpasaṅkamana’’nti.

    ปาติโมกฺขุเทฺทสเกนาปิ สเจ สมฺมโต ภิกฺขุ อตฺถิ, ปุริมนเยเนว ตํ ภิกฺขุนิโย, ตํ ภิกฺขุนี, ตํ ภิกฺขุนิสโงฺฆ จ ภิกฺขุนิโย จ ภิกฺขุนี จ อุปสงฺกมนฺตุ อุปสงฺกมตุ อุปสงฺกมตูติ วตฺตพฺพํฯ สเจ นตฺถิ, ปาสาทิเกน ภิกฺขุนิสโงฺฆ จ ภิกฺขุนิโย จ ภิกฺขุนี จ สมฺปาเทตุ สมฺปาเทนฺตุ สมฺปาเทตูติ วตฺตพฺพํฯ

    Pātimokkhuddesakenāpi sace sammato bhikkhu atthi, purimanayeneva taṃ bhikkhuniyo, taṃ bhikkhunī, taṃ bhikkhunisaṅgho ca bhikkhuniyo ca bhikkhunī ca upasaṅkamantu upasaṅkamatu upasaṅkamatūti vattabbaṃ. Sace natthi, pāsādikena bhikkhunisaṅgho ca bhikkhuniyo ca bhikkhunī ca sampādetu sampādentu sampādetūti vattabbaṃ.

    โอวาทปฎิคฺคาหเกน ปาฎิปเท ปจฺจาหริตฺวา ตเถว วตฺตพฺพํฯ โอวาทํ ปน พาลคิลานคมิเก ฐเปตฺวา อโญฺญ สเจปิ อารญฺญโก โหติ, อปฺปฎิคฺคเหตุํ น ลภติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –

    Ovādapaṭiggāhakena pāṭipade paccāharitvā tatheva vattabbaṃ. Ovādaṃ pana bālagilānagamike ṭhapetvā añño sacepi āraññako hoti, appaṭiggahetuṃ na labhati. Vuttañhetaṃ bhagavatā –

    ‘‘อนุชานามิ , ภิกฺขเว, ฐเปตฺวา พาลํ ฐเปตฺวา คิลานํ ฐเปตฺวา คมิกํ อวเสเสหิ โอวาทํ คเหตุ’’นฺติ (จูฬว. ๔๑๔)ฯ

    ‘‘Anujānāmi , bhikkhave, ṭhapetvā bālaṃ ṭhapetvā gilānaṃ ṭhapetvā gamikaṃ avasesehi ovādaṃ gahetu’’nti (cūḷava. 414).

    ตตฺถ โย จาตุทฺทสิกปนฺนรสิเกสุ วา อุโปสเถสุ ปาฎิปเท วา คนฺตุกาโม, โส คมิโก ทุติยปกฺขทิวเส คจฺฉโนฺตปิ อคฺคเหตุํ น ลภติ, ‘‘น, ภิกฺขเว, โอวาโท น คเหตโพฺพ, โย น คเณฺหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๔๑๔) วุตฺตํ อาปตฺติํ อาปชฺชติเยวฯ โอวาทํ คเหตฺวา จ อุโปสถเคฺค อนาโรเจตุํ วา ปาฎิปเท ภิกฺขุนีนํ อปจฺจาหริตุํ วา น วฎฺฎติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Tattha yo cātuddasikapannarasikesu vā uposathesu pāṭipade vā gantukāmo, so gamiko dutiyapakkhadivase gacchantopi aggahetuṃ na labhati, ‘‘na, bhikkhave, ovādo na gahetabbo, yo na gaṇheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 414) vuttaṃ āpattiṃ āpajjatiyeva. Ovādaṃ gahetvā ca uposathagge anārocetuṃ vā pāṭipade bhikkhunīnaṃ apaccāharituṃ vā na vaṭṭati. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘น, ภิกฺขเว, โอวาโท น อาโรเจตโพฺพฯ โย น อาโรเจยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๔๑๕)ฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, ovādo na ārocetabbo. Yo na āroceyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 415).

    อปรมฺปิ วุตฺตํ –

    Aparampi vuttaṃ –

    ‘‘น, ภิกฺขเว, โอวาโท น ปจฺจาหริตโพฺพฯ โย น ปจฺจาหเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๔๑๕)ฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, ovādo na paccāharitabbo. Yo na paccāhareyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 415).

    ตตฺถ อารญฺญเกน ปจฺจาหรณตฺถํ สเงฺกโต กาตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อารญฺญเกน ภิกฺขุนา โอวาทํ คเหตุํ, สเงฺกตญฺจ กาตุํ, อตฺร ปฎิหริสฺสามี’’ติฯ ตสฺมา อารญฺญโก ภิกฺขุ สเจ ภิกฺขุนีนํ วสนคาเม ภิกฺขํ ลภติ, ตเตฺถว จริตฺวา ภิกฺขุนิโย ทิสฺวา อาโรเจตฺวา คนฺตพฺพํฯ โน จสฺส ตตฺถ ภิกฺขา สุลภา โหติ, สามนฺตคาเม จริตฺวา ภิกฺขุนีนํ คามํ อาคมฺม ตเถว กาตพฺพํฯ สเจ ทูรํ คนฺตพฺพํ โหติ, สเงฺกโต กาตโพฺพ – ‘‘อหํ อมุกํ นาม ตุมฺหากํ คามทฺวาเร สภํ วา มณฺฑปํ วา รุกฺขมูลํ วา อุปสงฺกมิสฺสามิ, ตตฺถ อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติ ฯ ภิกฺขุนีหิ ตตฺถ คนฺตพฺพํ, อคนฺตุํ น ลพฺภติฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘น, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนิยา สเงฺกตํ น คนฺตพฺพํฯ ยา น คเจฺฉยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๔๑๕)ฯ

    Tattha āraññakena paccāharaṇatthaṃ saṅketo kātabbo. Vuttañhetaṃ – ‘‘anujānāmi, bhikkhave, āraññakena bhikkhunā ovādaṃ gahetuṃ, saṅketañca kātuṃ, atra paṭiharissāmī’’ti. Tasmā āraññako bhikkhu sace bhikkhunīnaṃ vasanagāme bhikkhaṃ labhati, tattheva caritvā bhikkhuniyo disvā ārocetvā gantabbaṃ. No cassa tattha bhikkhā sulabhā hoti, sāmantagāme caritvā bhikkhunīnaṃ gāmaṃ āgamma tatheva kātabbaṃ. Sace dūraṃ gantabbaṃ hoti, saṅketo kātabbo – ‘‘ahaṃ amukaṃ nāma tumhākaṃ gāmadvāre sabhaṃ vā maṇḍapaṃ vā rukkhamūlaṃ vā upasaṅkamissāmi, tattha āgaccheyyāthā’’ti . Bhikkhunīhi tattha gantabbaṃ, agantuṃ na labbhati. Vuttañhetaṃ – ‘‘na, bhikkhave, bhikkhuniyā saṅketaṃ na gantabbaṃ. Yā na gaccheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 415).

    อุภโตสเงฺฆ ตีหิ ฐาเนหิ ปวาเรตพฺพนฺติ เอตฺถ ภิกฺขุนีหิ จาตุทฺทเส อตฺตนา ปวาเรตฺวา อุโปสเถ ภิกฺขุสเงฺฆ ปวาเรตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Ubhatosaṅghe tīhi ṭhānehi pavāretabbanti ettha bhikkhunīhi cātuddase attanā pavāretvā uposathe bhikkhusaṅghe pavāretabbaṃ. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘อนุชานามิ , ภิกฺขเว, อชฺชตนาย ปวาเรตฺวา อปรชฺชุ ภิกฺขุสงฺฆํ ปวาเรตุ’’นฺติ (จูฬว. ๔๒๗)ฯ

    ‘‘Anujānāmi , bhikkhave, ajjatanāya pavāretvā aparajju bhikkhusaṅghaṃ pavāretu’’nti (cūḷava. 427).

    ภิกฺขุนิขนฺธเก วุตฺตนเยเนว เจตฺถ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Bhikkhunikhandhake vuttanayeneva cettha vinicchayo veditabbo. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เตน โข ปน สมเยน สโพฺพ ภิกฺขุนิสโงฺฆ ปวาเรโนฺต โกลาหลมกาสิฯ ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เอกํ ภิกฺขุนิํ พฺยตฺตํ ปฎิพลํ สมฺมนฺนิตุํ ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส อตฺถาย ภิกฺขุสงฺฆํ ปวาเรตุํฯ เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, สมฺมนฺนิตพฺพาฯ ปฐมํ ภิกฺขุนี ยาจิตพฺพา, ยาจิตฺวา พฺยตฺตาย ภิกฺขุนิยา ปฎิพลาย สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –

    ‘‘Tena kho pana samayena sabbo bhikkhunisaṅgho pavārento kolāhalamakāsi. Bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ. Anujānāmi, bhikkhave, ekaṃ bhikkhuniṃ byattaṃ paṭibalaṃ sammannituṃ bhikkhunisaṅghassa atthāya bhikkhusaṅghaṃ pavāretuṃ. Evañca pana, bhikkhave, sammannitabbā. Paṭhamaṃ bhikkhunī yācitabbā, yācitvā byattāya bhikkhuniyā paṭibalāya saṅgho ñāpetabbo –

    ‘‘สุณาตุ เม, อเยฺย สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุนิํ สมฺมเนฺนยฺย ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส อตฺถาย ภิกฺขุสงฺฆํ ปวาเรตุํฯ เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, ayye saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuniṃ sammanneyya bhikkhunisaṅghassa atthāya bhikkhusaṅghaṃ pavāretuṃ. Esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, อเยฺย สโงฺฆ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุนิํ สมฺมเนฺนยฺย ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส อตฺถาย ภิกฺขุสงฺฆํ ปวาเรตุํฯ ยสฺสา อยฺยาย ขมติ อิตฺถนฺนามาย ภิกฺขุนิยา สมฺมุติ ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส อตฺถาย ภิกฺขุสงฺฆํ ปวาเรตุํ, สา ตุณฺหสฺส; ยสฺสา นกฺขมติ, สา ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, ayye saṅgho, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuniṃ sammanneyya bhikkhunisaṅghassa atthāya bhikkhusaṅghaṃ pavāretuṃ. Yassā ayyāya khamati itthannāmāya bhikkhuniyā sammuti bhikkhunisaṅghassa atthāya bhikkhusaṅghaṃ pavāretuṃ, sā tuṇhassa; yassā nakkhamati, sā bhāseyya.

    ‘‘สมฺมตา สเงฺฆน อิตฺถนฺนามา ภิกฺขุนี ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส อตฺถาย ภิกฺขุสงฺฆํ ปวาเรตุํฯ ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ (จูฬว. ๔๒๗)ฯ

    ‘‘Sammatā saṅghena itthannāmā bhikkhunī bhikkhunisaṅghassa atthāya bhikkhusaṅghaṃ pavāretuṃ. Khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti (cūḷava. 427).

    ตาย สมฺมตาย ภิกฺขุนิยา ภิกฺขุนิสงฺฆํ อาทาย ภิกฺขุสงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวมสฺส วจนีโย – ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ อยฺย, ภิกฺขุสงฺฆํ ปวาเรติ – ทิเฎฺฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วาฯ วทตยฺย ภิกฺขุสโงฺฆ ภิกฺขุนิสงฺฆํ อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสโนฺต ปฎิกริสฺสติฯ ทุติยมฺปิ อยฺย, ตติยมฺปิ อยฺย, ภิกฺขุนิสโงฺฆ…เป.… ปฎิกริสฺสตี’’ติฯ

    Tāya sammatāya bhikkhuniyā bhikkhunisaṅghaṃ ādāya bhikkhusaṅghaṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā añjaliṃ paggahetvā evamassa vacanīyo – ‘‘bhikkhunisaṅgho ayya, bhikkhusaṅghaṃ pavāreti – diṭṭhena vā sutena vā parisaṅkāya vā. Vadatayya bhikkhusaṅgho bhikkhunisaṅghaṃ anukampaṃ upādāya, passanto paṭikarissati. Dutiyampi ayya, tatiyampi ayya, bhikkhunisaṅgho…pe… paṭikarissatī’’ti.

    สเจ ภิกฺขุนิสโงฺฆ น ปูรติ, ‘‘ภิกฺขุนิโย อยฺย ภิกฺขุสงฺฆํ ปวาเรนฺติ – ทิเฎฺฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทตยฺย ภิกฺขุสโงฺฆ ภิกฺขุนิโย อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺติโย ปฎิกริสฺสนฺตี’’ติ จ, ‘‘อหํ อยฺย ภิกฺขุสงฺฆํ ปวาเรมิ – ทิเฎฺฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทตุ มํ อยฺย ภิกฺขุสโงฺฆ อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺตี ปฎิกริสฺสามี’’ติ จ เอวํ ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํฯ

    Sace bhikkhunisaṅgho na pūrati, ‘‘bhikkhuniyo ayya bhikkhusaṅghaṃ pavārenti – diṭṭhena vā sutena vā parisaṅkāya vā, vadatayya bhikkhusaṅgho bhikkhuniyo anukampaṃ upādāya, passantiyo paṭikarissantī’’ti ca, ‘‘ahaṃ ayya bhikkhusaṅghaṃ pavāremi – diṭṭhena vā sutena vā parisaṅkāya vā, vadatu maṃ ayya bhikkhusaṅgho anukampaṃ upādāya, passantī paṭikarissāmī’’ti ca evaṃ tikkhattuṃ vattabbaṃ.

    สเจ ภิกฺขุสโงฺฆ น ปูรติ, ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ อยฺยา อเยฺย ปวาเรติ – ทิเฎฺฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทนฺตยฺยา ภิกฺขุนิสงฺฆํ อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสโนฺต ปฎิกริสฺสตี’’ติ จ, ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ อยฺย อยฺยํ ปวาเรติ – ทิเฎฺฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทตโยฺย ภิกฺขุนิสงฺฆํ อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสโนฺต ปฎิกริสฺสตี’’ติ จ เอวํ ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํฯ

    Sace bhikkhusaṅgho na pūrati, ‘‘bhikkhunisaṅgho ayyā ayye pavāreti – diṭṭhena vā sutena vā parisaṅkāya vā, vadantayyā bhikkhunisaṅghaṃ anukampaṃ upādāya, passanto paṭikarissatī’’ti ca, ‘‘bhikkhunisaṅgho ayya ayyaṃ pavāreti – diṭṭhena vā sutena vā parisaṅkāya vā, vadatayyo bhikkhunisaṅghaṃ anukampaṃ upādāya, passanto paṭikarissatī’’ti ca evaṃ tikkhattuṃ vattabbaṃ.

    อุภินฺนํ อปาริปูริยา ‘‘ภิกฺขุนิโย อยฺยา อเยฺย ปวาเรนฺติ – ทิเฎฺฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทนฺตยฺยา ภิกฺขุนิโย อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺติโย ปฎิกริสฺสนฺตี’’ติ จ, ‘‘ภิกฺขุนิโย อยฺย อยฺยํ ปวาเรนฺติ – ทิเฎฺฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทตโยฺย ภิกฺขุนิโย อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺติโย ปฎิกริสฺสนฺตี’’ติ จ, ‘‘อหํ อยฺยา อเยฺย ปวาเรมิ – ทิเฎฺฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทนฺตุ มํ อยฺยา อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺตี ปฎิกริสฺสามี’’ติ จ, ‘‘อหํ อยฺย อยฺยํ ปวาเรมิ – ทิเฎฺฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทตุ มํ อโยฺย อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺตี ปฎิกริสฺสามี’’ติ จ เอวํ ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํฯ

    Ubhinnaṃ apāripūriyā ‘‘bhikkhuniyo ayyā ayye pavārenti – diṭṭhena vā sutena vā parisaṅkāya vā, vadantayyā bhikkhuniyo anukampaṃ upādāya, passantiyo paṭikarissantī’’ti ca, ‘‘bhikkhuniyo ayya ayyaṃ pavārenti – diṭṭhena vā sutena vā parisaṅkāya vā, vadatayyo bhikkhuniyo anukampaṃ upādāya, passantiyo paṭikarissantī’’ti ca, ‘‘ahaṃ ayyā ayye pavāremi – diṭṭhena vā sutena vā parisaṅkāya vā, vadantu maṃ ayyā anukampaṃ upādāya, passantī paṭikarissāmī’’ti ca, ‘‘ahaṃ ayya ayyaṃ pavāremi – diṭṭhena vā sutena vā parisaṅkāya vā, vadatu maṃ ayyo anukampaṃ upādāya, passantī paṭikarissāmī’’ti ca evaṃ tikkhattuṃ vattabbaṃ.

    มานตฺตจรณญฺจ อุปสมฺปทาปริเยสนา จ ยถาฐาเนเยว อาวิ ภวิสฺสติฯ

    Mānattacaraṇañca upasampadāpariyesanā ca yathāṭhāneyeva āvi bhavissati.

    ภิกฺขุนิยา เกนจิ ปริยาเยนาติ ทสหิ วา อโกฺกสวตฺถูหิ อเญฺญน วา เกนจิ ปริยาเยน ภิกฺขุ เนว อโกฺกสิตโพฺพ, น ปริภาสิตโพฺพ, น ภเยน ตเชฺชตโพฺพฯ โอวโฎติ ปิหิโต วาริโต ปฎิกฺขิโตฺตฯ วจนเยว วจนปโถฯ อโนวโฎติ อปิหิโต อวาริโต อปฺปฎิกฺขิโตฺตฯ ตสฺมา ภิกฺขุนิยา อาธิปจฺจฎฺฐาเน เชฎฺฐกฎฺฐาเน ฐตฺวา ‘‘เอวํ อภิกฺกม, เอวํ ปฎิกฺกม, เอวํ นิวาเสหิ, เอวํ ปารุปาหี’’ติ เกนจิ ปริยาเยน เนว ภิกฺขุ โอวทิตโพฺพ, น อนุสาสิตโพฺพฯ โทสํ ปน ทิสฺวา ‘‘ปุเพฺพ มหาเถรา น เอวํ อภิกฺกมนฺติ, น ปฎิกฺกมนฺติ, น นิวาเสนฺติ, น ปารุปนฺติ, อีทิสํ กาสาวมฺปิ น ธาเรนฺติ, น เอวํ อกฺขีนิ อเญฺชนฺตี’’ติอาทินา นเยน วิชฺชมานโทสํ ทเสฺสตุํ วฎฺฎติฯ ภิกฺขูหิ ปน ‘‘อยํ วุฑฺฒสมณี เอวํ นิวาเสติ, เอวํ ปารุปติ, มา เอวํ นิวาเสหิ, มา เอวํ ปารุปาหิ, มา ติลกมฺมปณฺณกมฺมาทีนิ กโรหี’’ติ ยถาสุขํ ภิกฺขุนิํ โอวทิตุํ อนุสาสิตุํ วฎฺฎติฯ

    Nabhikkhuniyā kenaci pariyāyenāti dasahi vā akkosavatthūhi aññena vā kenaci pariyāyena bhikkhu neva akkositabbo, na paribhāsitabbo, na bhayena tajjetabbo. Ovaṭoti pihito vārito paṭikkhitto. Vacanayeva vacanapatho. Anovaṭoti apihito avārito appaṭikkhitto. Tasmā bhikkhuniyā ādhipaccaṭṭhāne jeṭṭhakaṭṭhāne ṭhatvā ‘‘evaṃ abhikkama, evaṃ paṭikkama, evaṃ nivāsehi, evaṃ pārupāhī’’ti kenaci pariyāyena neva bhikkhu ovaditabbo, na anusāsitabbo. Dosaṃ pana disvā ‘‘pubbe mahātherā na evaṃ abhikkamanti, na paṭikkamanti, na nivāsenti, na pārupanti, īdisaṃ kāsāvampi na dhārenti, na evaṃ akkhīni añjentī’’tiādinā nayena vijjamānadosaṃ dassetuṃ vaṭṭati. Bhikkhūhi pana ‘‘ayaṃ vuḍḍhasamaṇī evaṃ nivāseti, evaṃ pārupati, mā evaṃ nivāsehi, mā evaṃ pārupāhi, mā tilakammapaṇṇakammādīni karohī’’ti yathāsukhaṃ bhikkhuniṃ ovadituṃ anusāsituṃ vaṭṭati.

    สมคฺคมฺหยฺยาติ ภณนฺตนฺติ ‘‘สมคฺคา อมฺห อยฺย’’ อิติ ภณนฺตํ ภิกฺขุนิสงฺฆํฯ อญฺญํ ธมฺมํ ภณตีติ อญฺญํ สุตฺตนฺตํ วา อภิธมฺมํ วาฯ สมคฺคมฺหยฺยาติ วจเนน หิ โอวาทํ ปจฺจาสีสนฺติ, ตสฺมา ฐเปตฺวา โอวาทํ อญฺญํ ธมฺมํ ภณนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ โอวาทํ อนิยฺยาเทตฺวาติ เอโส ภคินิโย โอวาโทติ อวตฺวาฯ

    Samaggamhayyāti bhaṇantanti ‘‘samaggā amha ayya’’ iti bhaṇantaṃ bhikkhunisaṅghaṃ. Aññaṃ dhammaṃ bhaṇatīti aññaṃ suttantaṃ vā abhidhammaṃ vā. Samaggamhayyāti vacanena hi ovādaṃ paccāsīsanti, tasmā ṭhapetvā ovādaṃ aññaṃ dhammaṃ bhaṇantassa dukkaṭaṃ. Ovādaṃ aniyyādetvāti eso bhaginiyo ovādoti avatvā.

    ๑๕๐. อธมฺมกเมฺมติอาทีสุ ภิกฺขุโนวาทกสมฺมุติกมฺมํ กมฺมนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ อธมฺมกเมฺม ทฺวินฺนํ นวกานํ วเสน อฎฺฐารส ปาจิตฺติยานิฯ ธมฺมกเมฺม ทุติยสฺส นวกสฺส อวสานปเท อนาปตฺติ, เสเสสุ สตฺตรส ทุกฺกฎานิฯ

    150.Adhammakammetiādīsu bhikkhunovādakasammutikammaṃ kammanti veditabbaṃ. Tattha adhammakamme dvinnaṃ navakānaṃ vasena aṭṭhārasa pācittiyāni. Dhammakamme dutiyassa navakassa avasānapade anāpatti, sesesu sattarasa dukkaṭāni.

    ๑๕๒. อุเทฺทสํ เทโนฺตติ อฎฺฐนฺนํ ครุธมฺมานํ ปาฬิํ อุทฺทิสโนฺตฯ ปริปุจฺฉํ เทโนฺตติ ตสฺสาเยว ปคุณาย ครุธมฺมปาฬิยา อฎฺฐกถํ กเถโนฺตติ อโตฺถฯ โอสาเรหิ อยฺยาติ วุจฺจมาโน โอสาเรตีติ เอวํ วุจฺจมาโน อฎฺฐครุธมฺมปาฬิํ โอสาเรตีติ อโตฺถฯ เอวํ อุเทฺทสํ เทโนฺต, ปริปุจฺฉํ เทโนฺต, โย จ โอสาเรหีติ วุจฺจมาโน อฎฺฐ ครุธเมฺม ภณติ, ตสฺส ปาจิตฺติเยน อนาปตฺติฯ อญฺญํ ธมฺมํ ภณนฺตสฺส ทุกฺกเฎน อนาปตฺติฯ ปญฺหํ ปุจฺฉติ, ปญฺหํ ปุโฎฺฐ กเถตีติ ภิกฺขุนี ครุธมฺมนิสฺสิตํ วา ขนฺธาทินิสฺสิตํ วา ปญฺหํ ปุจฺฉติ, ตํ โย ภิกฺขุ กเถติ, ตสฺสาปิ อนาปตฺติฯ อญฺญสฺสตฺถาย ภณนฺตนฺติ จตุปริสติํ ธมฺมํ เทเสนฺตํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา ภิกฺขุนิโย สุณนฺติ, ตตฺราปิ ภิกฺขุสฺส อนาปตฺติฯ สิกฺขมานาย สามเณริยาติ เอตาสํ เทเสนฺตสฺสาปิ อนาปตฺติฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    152.Uddesaṃ dentoti aṭṭhannaṃ garudhammānaṃ pāḷiṃ uddisanto. Paripucchaṃ dentoti tassāyeva paguṇāya garudhammapāḷiyā aṭṭhakathaṃ kathentoti attho. Osārehi ayyāti vuccamāno osāretīti evaṃ vuccamāno aṭṭhagarudhammapāḷiṃ osāretīti attho. Evaṃ uddesaṃ dento, paripucchaṃ dento, yo ca osārehīti vuccamāno aṭṭha garudhamme bhaṇati, tassa pācittiyena anāpatti. Aññaṃ dhammaṃ bhaṇantassa dukkaṭena anāpatti. Pañhaṃ pucchati, pañhaṃ puṭṭho kathetīti bhikkhunī garudhammanissitaṃ vā khandhādinissitaṃ vā pañhaṃ pucchati, taṃ yo bhikkhu katheti, tassāpi anāpatti. Aññassatthāya bhaṇantanti catuparisatiṃ dhammaṃ desentaṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā bhikkhuniyo suṇanti, tatrāpi bhikkhussa anāpatti. Sikkhamānāya sāmaṇeriyāti etāsaṃ desentassāpi anāpatti. Sesaṃ uttānatthameva.

    ปทโสธมฺมสมุฎฺฐานํ – วาจโต จ วาจาจิตฺตโต จ สมุฎฺฐาติ, กิริยํ, โนสญฺญาวิโมกฺขํ, อจิตฺตกํ, ปณฺณตฺติวชฺชํ, วจีกมฺมํ, ติจิตฺตํ ติเวทนนฺติฯ

    Padasodhammasamuṭṭhānaṃ – vācato ca vācācittato ca samuṭṭhāti, kiriyaṃ, nosaññāvimokkhaṃ, acittakaṃ, paṇṇattivajjaṃ, vacīkammaṃ, ticittaṃ tivedananti.

    โอวาทสิกฺขาปทํ ปฐมํฯ

    Ovādasikkhāpadaṃ paṭhamaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga
    ๒. ภูตคามวโคฺค • 2. Bhūtagāmavaggo
    ๓. โอวาทวโคฺค • 3. Ovādavaggo

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๑. โอวาทสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Ovādasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๑. โอวาทสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Ovādasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๑. โอวาทสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Ovādasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๑. โอวาทสิกฺขาปท-อตฺถโยชนา • 1. Ovādasikkhāpada-atthayojanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact