Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
๓. โอวาทวโคฺค
3. Ovādavaggo
๑. โอวาทสิกฺขาปทวณฺณนา
1. Ovādasikkhāpadavaṇṇanā
๑๔๔. ภิกฺขุนิวคฺคสฺส ปฐมสิกฺขาปเท กถานุสาเรนาติ ‘‘โส เถโร กิํสีโล กิํสมาจาโร กตรกุลา ปพฺพชิโต’’ติอาทินา ปุจฺฉนฺตานํ ปุจฺฉากถานุสาเรนฯ กเถตุํ วฎฺฎนฺตีติ นิรามิเสเนว จิเตฺตน กเถตุํ วฎฺฎนฺติฯ อนิยฺยานิกตฺตา สคฺคโมกฺขมคฺคานํ ติรจฺฉานภูตา กถา ติรจฺฉานกถาติ อาห ‘‘สคฺคมคฺคคมเนปี’’ติอาทิฯ อปิ-สเทฺทน ปเคว โมกฺขมคฺคคมเนติ ทีเปติฯ ติรจฺฉานภูตนฺติ ติโรกรณภูตํ, พาธิกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ลทฺธาเสวนา หิ ติรจฺฉานกถา สคฺคโมกฺขานํ พาธิกาว โหติฯ สมิโทฺธติ ปริปุโณฺณฯ สหิตโตฺถติ ยุตฺตโตฺถฯ อตฺถคมฺภีรตาทิโยคโต คมฺภีโรฯ พหุรโสติ อตฺถรสาทิพหุรโสฯ ลกฺขณปฎิเวธสํยุโตฺตติ อนิจฺจาทิลกฺขณปฎิเวธรสอาวหนโต ลกฺขณปฎิเวธสํยุโตฺตฯ
144. Bhikkhunivaggassa paṭhamasikkhāpade kathānusārenāti ‘‘so thero kiṃsīlo kiṃsamācāro katarakulā pabbajito’’tiādinā pucchantānaṃ pucchākathānusārena. Kathetuṃ vaṭṭantīti nirāmiseneva cittena kathetuṃ vaṭṭanti. Aniyyānikattā saggamokkhamaggānaṃ tiracchānabhūtā kathā tiracchānakathāti āha ‘‘saggamaggagamanepī’’tiādi. Api-saddena pageva mokkhamaggagamaneti dīpeti. Tiracchānabhūtanti tirokaraṇabhūtaṃ, bādhikanti vuttaṃ hoti. Laddhāsevanā hi tiracchānakathā saggamokkhānaṃ bādhikāva hoti. Samiddhoti paripuṇṇo. Sahitatthoti yuttattho. Atthagambhīratādiyogato gambhīro. Bahurasoti attharasādibahuraso. Lakkhaṇapaṭivedhasaṃyuttoti aniccādilakkhaṇapaṭivedharasaāvahanato lakkhaṇapaṭivedhasaṃyutto.
๑๔๕-๑๔๗. ปรโตติ ปรตฺถ, อุตฺตรินฺติ อโตฺถฯ กโรโนฺตวาติ ปริพาหิเร กโรโนฺตเยวฯ ปาติโมโกฺขติ จาริตฺตวาริตฺตปฺปเภทํ สิกฺขาปทสีลํ ฯ ตญฺหิ โย นํ ปาติ รกฺขติ, ตํ โมเกฺขติ โมเจติ อาปายิกาทีหิ ทุเกฺขหิ, ตสฺมา ‘‘ปาติโมกฺข’’นฺติ วุจฺจติฯ สํวรณํ สํวโร, กายวจีทฺวารานํ ปิทหนํฯ เยน หิ เต สํวุตา ปิหิตา โหนฺติ, โส สํวโร, กายิกวาจสิกสฺส อวีติกฺกมเสฺสตํ นามํฯ ปาติโมกฺขสํวเรน สํวุโตติ ปาติโมกฺขสํวเรน ปิหิตกายวจีทฺวาโรฯ ตถาภูโต จ ยสฺมา เตน สมงฺคี นาม โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘สมนฺนาคโต’’ติ ฯ วตฺตตีติ อตฺตภาวํ ปวเตฺตติฯ วิหรตีติ อิมินา ปาติโมกฺขสํวรสีเล ฐิตสฺส ภิกฺขุโน อิริยาปถวิหาโร ทสฺสิโตฯ
145-147.Paratoti parattha, uttarinti attho. Karontovāti paribāhire karontoyeva. Pātimokkhoti cārittavārittappabhedaṃ sikkhāpadasīlaṃ . Tañhi yo naṃ pāti rakkhati, taṃ mokkheti moceti āpāyikādīhi dukkhehi, tasmā ‘‘pātimokkha’’nti vuccati. Saṃvaraṇaṃ saṃvaro, kāyavacīdvārānaṃ pidahanaṃ. Yena hi te saṃvutā pihitā honti, so saṃvaro, kāyikavācasikassa avītikkamassetaṃ nāmaṃ. Pātimokkhasaṃvarena saṃvutoti pātimokkhasaṃvarena pihitakāyavacīdvāro. Tathābhūto ca yasmā tena samaṅgī nāma hoti, tasmā vuttaṃ ‘‘samannāgato’’ti . Vattatīti attabhāvaṃ pavatteti. Viharatīti iminā pātimokkhasaṃvarasīle ṭhitassa bhikkhuno iriyāpathavihāro dassito.
สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิตฺถารโต ปาฬิยา วิภาเวตุํ ‘‘วุตฺตเญฺหต’’นฺติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ วิภเงฺคติ ฌานวิภเงฺคฯ สีลํ ปติฎฺฐาติอาทีนิ ปาติโมกฺขเสฺสว เววจนานิฯ ตตฺถ (วิภ. อฎฺฐ. ๕๑๑) สีลนฺติ กามเญฺจตํ สห กมฺมวาจาปริโยสาเนน อิชฺฌนกสฺส ปาติโมกฺขเสฺสว เววจนํ, เอวํ สเนฺตปิ ธมฺมโต เอตํ สีลํ นาม ปาณาติปาตาทีหิ วา วิรมนฺตสฺส วตฺตปฎิปตฺติํ วา ปูเรนฺตสฺส เจตนาทโย ธมฺมา เวทิตพฺพาฯ ยสฺมา ปน ปาติโมกฺขสีเลน ภิกฺขุ สาสเน ปติฎฺฐาติ นาม, ตสฺมา ตํ ‘‘ปติฎฺฐา’’ติ วุตฺตํฯ ปติฎฺฐหติ วา เอตฺถ ภิกฺขุ, กุสลธมฺมา เอว วา เอตฺถ ปติฎฺฐหนฺตีติ ปติฎฺฐาฯ อยมโตฺถ ‘‘สีเล ปติฎฺฐาย นโร สปโญฺญ’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๓, ๑๙๒) จ ‘‘ปติฎฺฐา, มหาราช, สีลํ สเพฺพสํ กุสลานํ ธมฺมาน’’นฺติ (มิ. ป. ๒.๑.๙) จ ‘‘สีเล ปติฎฺฐิตสฺส โข, มหาราช, สเพฺพ กุสลา ธมฺมา น ปริหายนฺตี’’ติ จ อาทิสุตฺตวเสน เวทิตโพฺพฯ
Saṅkhepato vuttamatthaṃ vitthārato pāḷiyā vibhāvetuṃ ‘‘vuttañheta’’ntiādi āraddhaṃ. Tattha vibhaṅgeti jhānavibhaṅge. Sīlaṃ patiṭṭhātiādīni pātimokkhasseva vevacanāni. Tattha (vibha. aṭṭha. 511) sīlanti kāmañcetaṃ saha kammavācāpariyosānena ijjhanakassa pātimokkhasseva vevacanaṃ, evaṃ santepi dhammato etaṃ sīlaṃ nāma pāṇātipātādīhi vā viramantassa vattapaṭipattiṃ vā pūrentassa cetanādayo dhammā veditabbā. Yasmā pana pātimokkhasīlena bhikkhu sāsane patiṭṭhāti nāma, tasmā taṃ ‘‘patiṭṭhā’’ti vuttaṃ. Patiṭṭhahati vā ettha bhikkhu, kusaladhammā eva vā ettha patiṭṭhahantīti patiṭṭhā. Ayamattho ‘‘sīle patiṭṭhāya naro sapañño’’ti (saṃ. ni. 1.23, 192) ca ‘‘patiṭṭhā, mahārāja, sīlaṃ sabbesaṃ kusalānaṃ dhammāna’’nti (mi. pa. 2.1.9) ca ‘‘sīle patiṭṭhitassa kho, mahārāja, sabbe kusalā dhammā na parihāyantī’’ti ca ādisuttavasena veditabbo.
ตเทตํ ปุพฺพุปฺปตฺติอเตฺถน อาทิฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Tadetaṃ pubbuppattiatthena ādi. Vuttampi cetaṃ –
‘‘ตสฺมาติห ตฺวํ, อุตฺติย, อาทิเมว วิโสเธหิ กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ โก จาทิ กุสลานํ ธมฺมานํ? สีลญฺจ สุวิสุทฺธํ ทิฎฺฐิ จ อุชุกา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๘๒)ฯ
‘‘Tasmātiha tvaṃ, uttiya, ādimeva visodhehi kusalesu dhammesu. Ko cādi kusalānaṃ dhammānaṃ? Sīlañca suvisuddhaṃ diṭṭhi ca ujukā’’ti (saṃ. ni. 5.382).
ยถา หิ นครวฑฺฒกี นครํ มาเปตุกาโม ปฐมํ นครฎฺฐานํ โสเธติ, ตโต อปรภาเค วีถิจตุกฺกสิงฺฆาฎกาทิปริเจฺฉเทน วิภชิตฺวา นครํ มาเปติ, เอวเมว โยคาวจโร อาทิมฺหิ สีลํ โสเธติ, ตโต อปรภาเค สมาธิวิปสฺสนามคฺคผลนิพฺพานานิ สจฺฉิกโรติฯ ยถา วา ปน รชโก ปฐมํ ตีหิ ขาเรหิ วตฺถํ โธวิตฺวา ปริสุเทฺธ วเตฺถ ยทิจฺฉกํ รงฺคชาตํ อุปเนติ, ยถา วา ปน เฉโก จิตฺตกาโร รูปํ ลิขิตุกาโม อาทิโต ภิตฺติปริกมฺมํ กโรติ, ตโต อปรภาเค รูปํ สมุฎฺฐาเปติ, เอวเมว โยคาวจโร อาทิโตว สีลํ วิโสเธตฺวา อปรภาเค สมถวิปสฺสนาทโย ธเมฺม สจฺฉิกโรติฯ ตสฺมา สีลํ ‘‘อาที’’ติ วุตฺตํฯ
Yathā hi nagaravaḍḍhakī nagaraṃ māpetukāmo paṭhamaṃ nagaraṭṭhānaṃ sodheti, tato aparabhāge vīthicatukkasiṅghāṭakādiparicchedena vibhajitvā nagaraṃ māpeti, evameva yogāvacaro ādimhi sīlaṃ sodheti, tato aparabhāge samādhivipassanāmaggaphalanibbānāni sacchikaroti. Yathā vā pana rajako paṭhamaṃ tīhi khārehi vatthaṃ dhovitvā parisuddhe vatthe yadicchakaṃ raṅgajātaṃ upaneti, yathā vā pana cheko cittakāro rūpaṃ likhitukāmo ādito bhittiparikammaṃ karoti, tato aparabhāge rūpaṃ samuṭṭhāpeti, evameva yogāvacaro āditova sīlaṃ visodhetvā aparabhāge samathavipassanādayo dhamme sacchikaroti. Tasmā sīlaṃ ‘‘ādī’’ti vuttaṃ.
ตเทตํ จรณสริกฺขตาย จรณํฯ ‘‘จรณา’’ติ ปาทา วุจฺจนฺติฯ ยถา หิ ฉินฺนจรณสฺส ปุริสสฺส ทิสํคมนาภิสงฺขาโร น ชายติ, ปริปุณฺณปาทเสฺสว ชายติ, เอวเมว ยสฺส สีลํ ภินฺนํ โหติ ขณฺฑํ อปริปุณฺณํ, ตสฺส นิพฺพานคมนาย ญาณคมนํ น สมฺปชฺชติฯ ยสฺส ปน ตํ อภินฺนํ โหติ อขณฺฑํ ปริปุณฺณํ, ตสฺส นิพฺพานคมนาย ญาณคมนํ สมฺปชฺชติฯ ตสฺมา สีลํ ‘‘จรณ’’นฺติ วุตฺตํฯ
Tadetaṃ caraṇasarikkhatāya caraṇaṃ. ‘‘Caraṇā’’ti pādā vuccanti. Yathā hi chinnacaraṇassa purisassa disaṃgamanābhisaṅkhāro na jāyati, paripuṇṇapādasseva jāyati, evameva yassa sīlaṃ bhinnaṃ hoti khaṇḍaṃ aparipuṇṇaṃ, tassa nibbānagamanāya ñāṇagamanaṃ na sampajjati. Yassa pana taṃ abhinnaṃ hoti akhaṇḍaṃ paripuṇṇaṃ, tassa nibbānagamanāya ñāṇagamanaṃ sampajjati. Tasmā sīlaṃ ‘‘caraṇa’’nti vuttaṃ.
ตเทตํ สํยมนวเสน สํยโม, สํวรณวเสน สํวโรติ อุภเยนปิ สีลสํยโม เจว สีลสํวโร จ กถิโตฯ วจนโตฺถ ปเนตฺถ สํยเมติ วีติกฺกมวิปฺผนฺทนํ, ปุคฺคลํ วา สํยเมติ วีติกฺกมวเสน ตสฺส วิปฺผนฺทิตุํ น เทตีติ สํยโม, วีติกฺกมสฺส ปเวสนทฺวารํ สํวรติ ปิทหตีติ สํวโรฯ โมกฺขนฺติ อุตฺตมํ มุขภูตํ วาฯ ยถา หิ สตฺตานํ จตุพฺพิโธ อาหาโร มุเขน ปวิสิตฺวา องฺคมงฺคานิ ผรติ, เอวํ โยคิโนปิ จตุภูมกกุสลํ สีลมุเขน ปวิสิตฺวา อตฺถสิทฺธิํ สมฺปาเทติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘โมกฺข’’นฺติฯ ปมุเข สาธูติ ปโมกฺขํ, ปุพฺพงฺคมํ เสฎฺฐํ ปธานนฺติ อโตฺถฯ กุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตฺติยาติ จตุภูมกกุสลานํ ปฎิลาภตฺถาย ปโมกฺขํ ปุพฺพงฺคมํ เสฎฺฐํ ปธานนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Tadetaṃ saṃyamanavasena saṃyamo, saṃvaraṇavasena saṃvaroti ubhayenapi sīlasaṃyamo ceva sīlasaṃvaro ca kathito. Vacanattho panettha saṃyameti vītikkamavipphandanaṃ, puggalaṃ vā saṃyameti vītikkamavasena tassa vipphandituṃ na detīti saṃyamo, vītikkamassa pavesanadvāraṃ saṃvarati pidahatīti saṃvaro. Mokkhanti uttamaṃ mukhabhūtaṃ vā. Yathā hi sattānaṃ catubbidho āhāro mukhena pavisitvā aṅgamaṅgāni pharati, evaṃ yoginopi catubhūmakakusalaṃ sīlamukhena pavisitvā atthasiddhiṃ sampādeti. Tena vuttaṃ ‘‘mokkha’’nti. Pamukhe sādhūti pamokkhaṃ, pubbaṅgamaṃ seṭṭhaṃ padhānanti attho. Kusalānaṃ dhammānaṃ samāpattiyāti catubhūmakakusalānaṃ paṭilābhatthāya pamokkhaṃ pubbaṅgamaṃ seṭṭhaṃ padhānanti veditabbaṃ.
กายิโก อวีติกฺกโมติ ติวิธํ กายสุจริตํฯ วาจสิโกติ จตุพฺพิธํ วจีสุจริตํฯ กายิกวาจสิโกติ ตทุภยํฯ อิมินา อาชีวฎฺฐมกสีลํ ปริยาทาย ทเสฺสติฯ สํวุโตติ ปิหิโต, สํวุตินฺทฺริโย ปิหิตินฺทฺริโยติ อโตฺถฯ ยถา หิ สํวุตทฺวารํ เคหํ ‘‘สํวุตเคหํ ปิหิตเคห’’นฺติ วุจฺจติ, เอวมิธ สํวุตินฺทฺริโย ‘‘สํวุโต’’ติ วุโตฺตฯ ปาติโมกฺขสํวเรนาติ ปาติโมกฺขสงฺขาเตน สํวเรนฯ อุเปโตติอาทีนิ สพฺพานิ อญฺญมญฺญเววจนานิฯ
Kāyiko avītikkamoti tividhaṃ kāyasucaritaṃ. Vācasikoti catubbidhaṃ vacīsucaritaṃ. Kāyikavācasikoti tadubhayaṃ. Iminā ājīvaṭṭhamakasīlaṃ pariyādāya dasseti. Saṃvutoti pihito, saṃvutindriyo pihitindriyoti attho. Yathā hi saṃvutadvāraṃ gehaṃ ‘‘saṃvutagehaṃ pihitageha’’nti vuccati, evamidha saṃvutindriyo ‘‘saṃvuto’’ti vutto. Pātimokkhasaṃvarenāti pātimokkhasaṅkhātena saṃvarena. Upetotiādīni sabbāni aññamaññavevacanāni.
อิริยตีติอาทีหิ สตฺตหิปิ ปเทหิ ปาติโมกฺขสํวรสีเล ฐิตสฺส ภิกฺขุโน อิริยาปถวิหาโร กถิโตฯ ตตฺถ อิริยตีติ จตุนฺนํ อิริยาปถานํ อญฺญตรสมงฺคิภาวโต อิริยติฯ เตหิ อิริยาปถจตุเกฺกหิ กายสกฎวตฺตเนน วตฺตติฯ เอกํ อิริยาปถทุกฺขํ อปเรน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา จิรฎฺฐิติภาเวน สรีรรกฺขณโต ปาเลติฯ เอกสฺมิํ อิริยาปเถ อสณฺฐหิตฺวา สพฺพอิริยาปเถ วตฺตนโต ยเปติฯ เตน เตน อิริยาปเถน ตถา ตถา กายสฺส ยาปนโต ยาเปติฯ จิรกาลวตฺตาปนโต จรติฯ อิริยาปเถน อิริยาปถํ วิจฺฉินฺทิตฺวา ชีวิตหรณโต วิหรติฯ
Iriyatītiādīhi sattahipi padehi pātimokkhasaṃvarasīle ṭhitassa bhikkhuno iriyāpathavihāro kathito. Tattha iriyatīti catunnaṃ iriyāpathānaṃ aññatarasamaṅgibhāvato iriyati. Tehi iriyāpathacatukkehi kāyasakaṭavattanena vattati. Ekaṃ iriyāpathadukkhaṃ aparena iriyāpathena vicchinditvā ciraṭṭhitibhāvena sarīrarakkhaṇato pāleti. Ekasmiṃ iriyāpathe asaṇṭhahitvā sabbairiyāpathe vattanato yapeti. Tena tena iriyāpathena tathā tathā kāyassa yāpanato yāpeti. Cirakālavattāpanato carati. Iriyāpathena iriyāpathaṃ vicchinditvā jīvitaharaṇato viharati.
มิจฺฉาชีวปฎิเสธเกนาติ –
Micchājīvapaṭisedhakenāti –
‘‘อิเธกโจฺจ เวฬุทาเนน วา ปตฺตทาเนน วา ปุปฺผ ผล สินานทนฺตกฎฺฐทาเนน วา จาฎุกมฺยตาย วา มุคฺคสูปฺยตาย วา ปาริภฎยตาย วา ชงฺฆเปสนิเกน วา อญฺญตรญฺญตเรน วา พุทฺธปฎิกุเฎฺฐน มิจฺฉาอาชีเวน ชีวิกํ กเปฺปติ, อยํ วุจฺจติ อนาจาโร’’ติ (วิภ. ๕๑๓) –
‘‘Idhekacco veḷudānena vā pattadānena vā puppha phala sinānadantakaṭṭhadānena vā cāṭukamyatāya vā muggasūpyatāya vā pāribhaṭayatāya vā jaṅghapesanikena vā aññataraññatarena vā buddhapaṭikuṭṭhena micchāājīvena jīvikaṃ kappeti, ayaṃ vuccati anācāro’’ti (vibha. 513) –
เอวํ วุตฺตอนาจารสงฺขาตมิจฺฉาชีวปฎิปเกฺขนฯ
Evaṃ vuttaanācārasaṅkhātamicchājīvapaṭipakkhena.
น เวฬุทานาทินา อาจาเรนาติ –
Na veḷudānādinā ācārenāti –
‘‘อิเธกโจฺจ น เวฬุทาเนน น ปตฺต น ปุปฺผ น ผล น สินาน น ทนฺตกฎฺฐ น จาฎุกมฺยตาย น มุคฺคสูปฺยตาย น ปาริภฎยตาย น ชงฺฆเปสนิเกน น อญฺญตรญฺญตเรน พุทฺธปฎิกุเฎฺฐน มิจฺฉาอาชีเวน ชีวิกํ กเปฺปติ, อยํ วุจฺจติ อาจาโร’’ติ (วิภ. ๕๑๓) –
‘‘Idhekacco na veḷudānena na patta na puppha na phala na sināna na dantakaṭṭha na cāṭukamyatāya na muggasūpyatāya na pāribhaṭayatāya na jaṅghapesanikena na aññataraññatarena buddhapaṭikuṭṭhena micchāājīvena jīvikaṃ kappeti, ayaṃ vuccati ācāro’’ti (vibha. 513) –
เอวํ วุเตฺตน น เวฬุทานาทินา อาจาเรนฯ
Evaṃ vuttena na veḷudānādinā ācārena.
เวสิยาทิอโคจรํ ปหายาติ –
Vesiyādiagocaraṃ pahāyāti –
‘‘อิเธกโจฺจ เวสิยโคจโร วา โหติ วิธว ถุลฺลกุมาริ ปณฺฑก ภิกฺขุนิ ปานาคารโคจโร วา, สํสโฎฺฐ วิหรติ ราชูหิ ราชมหามเตฺตหิ ติตฺถิเยหิ ติตฺถิยสาวเกหิ อนนุโลมิเกน สํสเคฺคน, ยานิ ปน ตานิ กุลานิ อสฺสทฺธานิ อปฺปสนฺนานิ อโนปานภูตานิ อโกฺกสกปริภาสกานิ อนตฺถกามานิ อหิตกามานิ อผาสุกกามานิ อโยคเกฺขมกามานิ ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีนํ อุปาสกานํ อุปาสิกานํ, ตถารูปานิ กุลานิ เสวติ ภชติ ปยิรุปาสติ, อยํ วุจฺจติ อโคจโร’’ติ (วิภ. ๕๑๔) –
‘‘Idhekacco vesiyagocaro vā hoti vidhava thullakumāri paṇḍaka bhikkhuni pānāgāragocaro vā, saṃsaṭṭho viharati rājūhi rājamahāmattehi titthiyehi titthiyasāvakehi ananulomikena saṃsaggena, yāni pana tāni kulāni assaddhāni appasannāni anopānabhūtāni akkosakaparibhāsakāni anatthakāmāni ahitakāmāni aphāsukakāmāni ayogakkhemakāmāni bhikkhūnaṃ bhikkhunīnaṃ upāsakānaṃ upāsikānaṃ, tathārūpāni kulāni sevati bhajati payirupāsati, ayaṃ vuccati agocaro’’ti (vibha. 514) –
เอวมาคตํ เวสิยาทิอโคจรํ ปหายฯ
Evamāgataṃ vesiyādiagocaraṃ pahāya.
สทฺธาสมฺปนฺนกุลาทินาติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อุปนิสฺสยโคจราทิํ สงฺคณฺหาติฯ ติวิโธ หิ โคจโร อุปนิสฺสยโคจโร อารกฺขโคจโร อุปนิพนฺธโคจโรติฯ กตโม อุปนิสฺสยโคจโร? ทสกถาวตฺถุคุณสมนฺนาคโต กลฺยาณมิโตฺต, ยํ นิสฺสาย อสุตํ สุณาติ, สุตํ ปริโยทเปติ, กงฺขํ วิตรติ, ทิฎฺฐิํ อุชุํ กโรติ, จิตฺตํ ปสาเทติฯ ยสฺส วา ปน อนุสิกฺขมาโน สทฺธาย วฑฺฒติ, สีเลน สุเตน จาเคน ปญฺญาย วฑฺฒติ, อยํ อุปนิสฺสยโคจโรฯ กตโม อารกฺขโคจโร? อิธ ภิกฺขุ อนฺตรฆรํ ปวิโฎฺฐ วีถิํ ปฎิปโนฺน โอกฺขิตฺตจกฺขุ ยุคมตฺตทสฺสาวี สํวุโต คจฺฉติ, น หตฺถิํ โอโลเกโนฺต, น อสฺสํ, น รถํ, น ปตฺติํ, น อิตฺถิํ, น ปุริสํ โอโลเกโนฺต, น อุทฺธํ โอโลเกโนฺต, น อโธ โอโลเกโนฺต, น ทิสาวิทิสํ วิเปกฺขมาโน คจฺฉติ, อยํ อารกฺขโคจโรฯ กตโม อุปนิพนฺธโคจโร? จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, ยตฺถ จิตฺตํ อุปนิพนฺธติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘โก จ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน โคจโร สโก เปตฺติโก วิสโย? ยทิทํ จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๗๒), อยํ อุปนิพนฺธโคจโรฯ อิติ อยํ ติวิโธ โคจโร อิธ อาทิ-สเทฺทน สงฺคหิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ
Saddhāsampannakulādināti ettha ādi-saddena upanissayagocarādiṃ saṅgaṇhāti. Tividho hi gocaro upanissayagocaro ārakkhagocaro upanibandhagocaroti. Katamo upanissayagocaro? Dasakathāvatthuguṇasamannāgato kalyāṇamitto, yaṃ nissāya asutaṃ suṇāti, sutaṃ pariyodapeti, kaṅkhaṃ vitarati, diṭṭhiṃ ujuṃ karoti, cittaṃ pasādeti. Yassa vā pana anusikkhamāno saddhāya vaḍḍhati, sīlena sutena cāgena paññāya vaḍḍhati, ayaṃ upanissayagocaro. Katamo ārakkhagocaro? Idha bhikkhu antaragharaṃ paviṭṭho vīthiṃ paṭipanno okkhittacakkhu yugamattadassāvī saṃvuto gacchati, na hatthiṃ olokento, na assaṃ, na rathaṃ, na pattiṃ, na itthiṃ, na purisaṃ olokento, na uddhaṃ olokento, na adho olokento, na disāvidisaṃ vipekkhamāno gacchati, ayaṃ ārakkhagocaro. Katamo upanibandhagocaro? Cattāro satipaṭṭhānā, yattha cittaṃ upanibandhati. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘ko ca, bhikkhave, bhikkhuno gocaro sako pettiko visayo? Yadidaṃ cattāro satipaṭṭhānā’’ti (saṃ. ni. 5.372), ayaṃ upanibandhagocaro. Iti ayaṃ tividho gocaro idha ādi-saddena saṅgahitoti daṭṭhabbo.
อปฺปมตฺตเกสุ วเชฺชสูติ อสญฺจิจฺจ อาปนฺนเสขิยอกุสลจิตฺตุปฺปาทาทิเภเทสุ วเชฺชสุฯ ภยโต ทสฺสนสีโลติ ปรมาณุมตฺตํ วชฺชํ อฎฺฐสฎฺฐิโยชนสตสหสฺสุเพฺพธสิเนรุปพฺพตสทิสํ กตฺวา ทสฺสนสภาโว, สพฺพลหุกํ วา ทุพฺภาสิตมตฺตํ ปาราชิกสทิสํ กตฺวา ทสฺสนสภาโวฯ สมฺมา อาทายาติ สมฺมเทว สกฺกจฺจํ สพฺพโส วา อาทิยิตฺวาฯ
Appamattakesu vajjesūti asañcicca āpannasekhiyaakusalacittuppādādibhedesu vajjesu. Bhayato dassanasīloti paramāṇumattaṃ vajjaṃ aṭṭhasaṭṭhiyojanasatasahassubbedhasinerupabbatasadisaṃ katvā dassanasabhāvo, sabbalahukaṃ vā dubbhāsitamattaṃ pārājikasadisaṃ katvā dassanasabhāvo. Sammā ādāyāti sammadeva sakkaccaṃ sabbaso vā ādiyitvā.
วฎฺฎทุกฺขนิสฺสรณตฺถิเกหิ โสตพฺพโต สุตํ, ปริยตฺติธโมฺมฯ ตํ ธาเรตีติ สุตธโร, สุตสฺส อาธารภูโตฯ ยสฺส หิ อิโต คหิตํ เอโตฺต ปลายติ, ฉิทฺทฆเฎ อุทกํ วิย น ติฎฺฐติ, ปริสมเชฺฌ เอกํ สุตฺตํ วา ชาตกํ วา กเถตุํ วา วาเจตุํ วา น สโกฺกติ, อยํ น สุตธโร นามฯ ยสฺส ปน อุคฺคหิตํ พุทฺธวจนํ อุคฺคหิตกาลสทิสเมว โหติ, ทสปิ วีสติปิ วสฺสานิ สชฺฌายํ อกโรนฺตสฺส น นสฺสติ, อยํ สุตธโร นามฯ เตเนวาห ‘‘ยทสฺส ต’’นฺติอาทิฯ เอกปทมฺปิ เอกกฺขรมฺปิ อวินฎฺฐํ หุตฺวา สนฺนิจิยตีติ สนฺนิจโย, สุตํ สนฺนิจโย เอตสฺมินฺติ สุตสนฺนิจโยติ อาห ‘‘สุตํ สนฺนิจิตํ อสฺมินฺติ สุตสนฺนิจโย’’ติฯ ยสฺส หิ สุตํ หทยมญฺชุสายํ สนฺนิจิตํ สิลาย เลขา วิย สุวณฺณฆเฎ ปกฺขิตฺตา สีหวสา วิย จ สาธุ ติฎฺฐติ, อยํ สุตสนฺนิจโย นามฯ เตนาห ‘‘เอเตน…เป.… อวินาสํ ทเสฺสตี’’ติฯ
Vaṭṭadukkhanissaraṇatthikehi sotabbato sutaṃ, pariyattidhammo. Taṃ dhāretīti sutadharo, sutassa ādhārabhūto. Yassa hi ito gahitaṃ etto palāyati, chiddaghaṭe udakaṃ viya na tiṭṭhati, parisamajjhe ekaṃ suttaṃ vā jātakaṃ vā kathetuṃ vā vācetuṃ vā na sakkoti, ayaṃ na sutadharo nāma. Yassa pana uggahitaṃ buddhavacanaṃ uggahitakālasadisameva hoti, dasapi vīsatipi vassāni sajjhāyaṃ akarontassa na nassati, ayaṃ sutadharo nāma. Tenevāha ‘‘yadassa ta’’ntiādi. Ekapadampi ekakkharampi avinaṭṭhaṃ hutvā sanniciyatīti sannicayo, sutaṃ sannicayo etasminti sutasannicayoti āha ‘‘sutaṃ sannicitaṃ asminti sutasannicayo’’ti. Yassa hi sutaṃ hadayamañjusāyaṃ sannicitaṃ silāya lekhā viya suvaṇṇaghaṭe pakkhittā sīhavasā viya ca sādhu tiṭṭhati, ayaṃ sutasannicayo nāma. Tenāha ‘‘etena…pe… avināsaṃ dassetī’’ti.
ธาตาติ ปคุณา วาจุคฺคตาฯ เอกสฺส หิ อุคฺคหิตพุทฺธวจนํ นิจฺจกาลิกํ น โหติ, ‘‘อสุกสุตฺตํ วา ชาตกํ วา กเถหี’’ติ วุเตฺต ‘‘สชฺฌายิตฺวา อเญฺญหิ สํสนฺทิตฺวา ปริปุจฺฉาวเสน อตฺถํ โอคาหิตฺวา ชานิสฺสามี’’ติ วทติฯ เอกสฺส ปคุณํ ปพนฺธวิเจฺฉทาภาวโต คงฺคาโสตสทิสํ ภวงฺคโสตสทิสญฺจ อกิตฺติมํ สุขปฺปวตฺติ โหติ, ‘‘อสุกสุตฺตํ วา ชาตกํ วา กเถหี’’ติ วุเตฺต อุทฺธริตฺวา ตเมว กเถติฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ธาตา’’ติฯ วาจาย ปคุณา กตาติ สุตฺตทสกวคฺคทสกปณฺณาสทสกวเสน วาจาย สชฺฌายิตา, ทส สุตฺตานิ คตานิ, ทส วคฺคานิ คตานีติอาทินา สลฺลเกฺขตฺวา วาจาย สชฺฌายิตาติ อโตฺถฯ สุเตฺตกเทสสฺส หิ สุตฺตมตฺตสฺส จ วจสา ปริจโย อิธ นาธิเปฺปโต, อถ โข วคฺคาทิวเสเนวฯ มนสา อนุเปกฺขิตาติ มนสา อนุ อนุ เปกฺขิตา, ภาคโส นิชฺฌายิตา จินฺติตาติ อโตฺถฯ อาวชฺชนฺตสฺสาติ วาจาย สชฺฌายิตุํ พุทฺธวจนํ มนสา จิเนฺตนฺตสฺสฯ สุฎฺฐุ ปฎิวิทฺธาติ นิชฺชฎํ นิคฺคุมฺพํ กตฺวา สุฎฺฐุ ยาถาวโต ปฎิวิทฺธาฯ
Dhātāti paguṇā vācuggatā. Ekassa hi uggahitabuddhavacanaṃ niccakālikaṃ na hoti, ‘‘asukasuttaṃ vā jātakaṃ vā kathehī’’ti vutte ‘‘sajjhāyitvā aññehi saṃsanditvā paripucchāvasena atthaṃ ogāhitvā jānissāmī’’ti vadati. Ekassa paguṇaṃ pabandhavicchedābhāvato gaṅgāsotasadisaṃ bhavaṅgasotasadisañca akittimaṃ sukhappavatti hoti, ‘‘asukasuttaṃ vā jātakaṃ vā kathehī’’ti vutte uddharitvā tameva katheti. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘dhātā’’ti. Vācāya paguṇā katāti suttadasakavaggadasakapaṇṇāsadasakavasena vācāya sajjhāyitā, dasa suttāni gatāni, dasa vaggāni gatānītiādinā sallakkhetvā vācāya sajjhāyitāti attho. Suttekadesassa hi suttamattassa ca vacasā paricayo idha nādhippeto, atha kho vaggādivaseneva. Manasā anupekkhitāti manasā anu anu pekkhitā, bhāgaso nijjhāyitā cintitāti attho. Āvajjantassāti vācāya sajjhāyituṃ buddhavacanaṃ manasā cintentassa. Suṭṭhu paṭividdhāti nijjaṭaṃ niggumbaṃ katvā suṭṭhu yāthāvato paṭividdhā.
เทฺว มาติกาติ ภิกฺขุมาติกา ภิกฺขุนีมาติกา จฯ วาจุคฺคตาติ ปุริมเสฺสว เววจนํฯ ติโสฺส อนุโมทนาติ สงฺฆภเตฺต ทานานิสํสปฎิสํยุตฺตอนุโมทนา, วิหาราทิมงฺคเล มงฺคลสุตฺตาทิอนุโมทนา, มตกภตฺตาทิอวมงฺคเล ติโรกุฎฺฎาทิอนุโมทนาติ อิมา ติโสฺส อนุโมทนา ฯ กมฺมากมฺมวินิจฺฉโยติ ปริวาราวสาเน กมฺมวเคฺค วุตฺตวินิจฺฉโยฯ ‘‘วิปสฺสนาวเสน อุคฺคณฺหเนฺตน จตุธาตุววตฺถานมุเขน อุคฺคเหตพฺพ’’นฺติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ จตูสุ ทิสาสุ อปฺปฎิหตตฺตา จตโสฺส ทิสา เอตสฺสาติ จตุทฺทิโส, จตุทฺทิโสเยว จาตุทฺทิโส, จตโสฺส วา ทิสา อรหติ, จตูสุ วา ทิสาสุ สาธูติ จาตุทฺทิโสฯ
Dve mātikāti bhikkhumātikā bhikkhunīmātikā ca. Vācuggatāti purimasseva vevacanaṃ. Tisso anumodanāti saṅghabhatte dānānisaṃsapaṭisaṃyuttaanumodanā, vihārādimaṅgale maṅgalasuttādianumodanā, matakabhattādiavamaṅgale tirokuṭṭādianumodanāti imā tisso anumodanā . Kammākammavinicchayoti parivārāvasāne kammavagge vuttavinicchayo. ‘‘Vipassanāvasena uggaṇhantena catudhātuvavatthānamukhena uggahetabba’’nti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Catūsu disāsu appaṭihatattā catasso disā etassāti catuddiso, catuddisoyeva cātuddiso, catasso vā disā arahati, catūsu vā disāsu sādhūti cātuddiso.
อภิวินเยติ สกเล วินยปิฎเกฯ วิเนตุนฺติ สิกฺขาเปตุํฯ ‘‘เทฺว วิภงฺคา ปคุณา วาจุคฺคตา กาตพฺพาติ อิทํ ปริปุจฺฉาวเสน อุคฺคหณมฺปิ สนฺธาย วุตฺต’’นฺติ วทนฺติฯ เอกสฺส ปมุฎฺฐํ, อิตรสฺส ปคุณํ โหตีติ อาห ‘‘ตีหิ ชเนหิ สทฺธิํ ปริวตฺตนกฺขมา กาตพฺพา’’ติฯ อภิธเมฺมติ นามรูปปริเจฺฉเทฯ เหฎฺฐิมา วา ตโย วคฺคาติ มหาวคฺคโต เหฎฺฐา สคาถกวโคฺค นิทานวโคฺค ขนฺธกวโคฺคติ อิเม ตโย วคฺคาฯ ‘‘ธมฺมปทมฺปิ สห วตฺถุนา อุคฺคเหตุํ วฎฺฎตี’’ติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตตฺตา ชาตกภาณเกน สาฎฺฐกถํ ชาตกํ อุคฺคเหตฺวาปิ ธมฺมปทมฺปิ สห วตฺถุนา อุคฺคเหตพฺพเมวฯ
Abhivinayeti sakale vinayapiṭake. Vinetunti sikkhāpetuṃ. ‘‘Dve vibhaṅgā paguṇā vācuggatā kātabbāti idaṃ paripucchāvasena uggahaṇampi sandhāya vutta’’nti vadanti. Ekassa pamuṭṭhaṃ, itarassa paguṇaṃ hotīti āha ‘‘tīhi janehi saddhiṃ parivattanakkhamā kātabbā’’ti. Abhidhammeti nāmarūpaparicchede. Heṭṭhimā vā tayo vaggāti mahāvaggato heṭṭhā sagāthakavaggo nidānavaggo khandhakavaggoti ime tayo vaggā. ‘‘Dhammapadampi saha vatthunā uggahetuṃ vaṭṭatī’’ti mahāpaccariyaṃ vuttattā jātakabhāṇakena sāṭṭhakathaṃ jātakaṃ uggahetvāpi dhammapadampi saha vatthunā uggahetabbameva.
กลฺยาณา สุนฺทรา ปริมณฺฑลปทพฺยญฺชนา วาจา อสฺสาติ กลฺยาณวาโจฯ เตนาห ‘‘สิถิลธนิตาทีนํ…เป.… วาจาย สมนฺนาคโต’’ติฯ ตตฺถ ปริมณฺฑลปทพฺยญฺชนายาติ ฐานกรณสมฺปตฺติยา สิกฺขาสมฺปตฺติยา จ กตฺถจิปิ อนูนตาย ปริมณฺฑลปทานิ พฺยญฺชนานิ อกฺขรานิ เอติสฺสาติ ปริมณฺฑลปทพฺยญฺชนา, ปทเมว วา อตฺถสฺส พฺยญฺชนโต ปทพฺยญฺชนํ, ตํ อกฺขรปาริปูริํ กตฺวา สิถิลธนิตาทิทสวิธํ พฺยญฺชนพุทฺธิํ อปริหาเปตฺวา วุตฺตํ ปริมณฺฑลํ นาม โหติฯ อกฺขรปาริปูริยา หิ ปทพฺยญฺชนสฺส ปริมณฺฑลตาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สิถิลธนิตาทีนํ ยถาวิธานวจเนนา’’ติ, ปริมณฺฑลํ ปทพฺยญฺชนํ เอติสฺสาติ ปริมณฺฑลปทพฺยญฺชนาฯ อถ วา ปชฺชติ ญายติ อโตฺถ เอเตนาติ ปทํ, นามาทิฯ ยถาธิเปฺปตมตฺถํ พฺยเญฺชตีติ พฺยญฺชนํ, วากฺยํฯ เตสํ ปริปุณฺณตาย ปริมณฺฑลปทพฺยญฺชนาฯ
Kalyāṇā sundarā parimaṇḍalapadabyañjanā vācā assāti kalyāṇavāco. Tenāha ‘‘sithiladhanitādīnaṃ…pe… vācāya samannāgato’’ti. Tattha parimaṇḍalapadabyañjanāyāti ṭhānakaraṇasampattiyā sikkhāsampattiyā ca katthacipi anūnatāya parimaṇḍalapadāni byañjanāni akkharāni etissāti parimaṇḍalapadabyañjanā, padameva vā atthassa byañjanato padabyañjanaṃ, taṃ akkharapāripūriṃ katvā sithiladhanitādidasavidhaṃ byañjanabuddhiṃ aparihāpetvā vuttaṃ parimaṇḍalaṃ nāma hoti. Akkharapāripūriyā hi padabyañjanassa parimaṇḍalatā. Tena vuttaṃ ‘‘sithiladhanitādīnaṃyathāvidhānavacanenā’’ti, parimaṇḍalaṃ padabyañjanaṃ etissāti parimaṇḍalapadabyañjanā. Atha vā pajjati ñāyati attho etenāti padaṃ, nāmādi. Yathādhippetamatthaṃ byañjetīti byañjanaṃ, vākyaṃ. Tesaṃ paripuṇṇatāya parimaṇḍalapadabyañjanā.
อปิจ โย ภิกฺขุ ปริสติ ธมฺมํ เทเสโนฺต สุตฺตํ วา ชาตกํ วา นิกฺขิปิตฺวา อญฺญํ อุปารมฺภกรํ สุตฺตํ อาหรติ, ตสฺส อุปมํ กเถติ, ตทตฺถํ โอตาเรติ, เอวํ อิทํ คเหตฺวา เอตฺถ ขิปโนฺต เอกปเสฺสเนว ปริหรโนฺต กาลํ ญตฺวา วุฎฺฐหติ, นิกฺขิตฺตสุตฺตํ ปน นิกฺขิตฺตมตฺตเมว โหติ, ตสฺส กถา อปริมณฺฑลา นาม โหติ อตฺถสฺส อปริปุณฺณภาวโตฯ โย ปน สุตฺตํ วา ชาตกํ วา นิกฺขิปิตฺวา พหิ เอกปทมฺปิ อคนฺตฺวา ยถานิกฺขิตฺตสฺส สุตฺตสฺส อตฺถสํวณฺณนาวเสเนว สุตฺตนฺตรมฺปิ อาเนโนฺต ปาฬิยา อนุสนฺธิญฺจ ปุพฺพาปรญฺจ อเปกฺขโนฺต อาจริเยหิ ทินฺนนเย ฐตฺวา ตุลิกาย ปริจฺฉินฺทโนฺต วิย ตํ ตํ อตฺถํ สุววตฺถิตํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต คมฺภีรมาติกาย อุทกํ เปเสโนฺต วิย คมฺภีรมตฺถํ คเมโนฺต วคฺคิหาริคติยา ปเท ปทํ โกเฎฺฎโนฺต สินฺธวาชานีโย วิย เอกํเยว ปทํ อเนเกหิ ปริยาเยหิ ปุนปฺปุนํ สํวณฺณโนฺต คจฺฉติ, ตสฺส กถา ปริมณฺฑลา นาม โหติ ธมฺมโต อตฺถโต อนุสนฺธิโต ปุพฺพาปรโต อาจริยุคฺคหโตติ สพฺพโส ปริปุณฺณภาวโตฯ เอวรูปมฺปิ กถํ สนฺธาย ‘‘ปริมณฺฑลปทพฺยญฺชนายา’’ติ วุตฺตํฯ
Apica yo bhikkhu parisati dhammaṃ desento suttaṃ vā jātakaṃ vā nikkhipitvā aññaṃ upārambhakaraṃ suttaṃ āharati, tassa upamaṃ katheti, tadatthaṃ otāreti, evaṃ idaṃ gahetvā ettha khipanto ekapasseneva pariharanto kālaṃ ñatvā vuṭṭhahati, nikkhittasuttaṃ pana nikkhittamattameva hoti, tassa kathā aparimaṇḍalā nāma hoti atthassa aparipuṇṇabhāvato. Yo pana suttaṃ vā jātakaṃ vā nikkhipitvā bahi ekapadampi agantvā yathānikkhittassa suttassa atthasaṃvaṇṇanāvaseneva suttantarampi ānento pāḷiyā anusandhiñca pubbāparañca apekkhanto ācariyehi dinnanaye ṭhatvā tulikāya paricchindanto viya taṃ taṃ atthaṃ suvavatthitaṃ katvā dassento gambhīramātikāya udakaṃ pesento viya gambhīramatthaṃ gamento vaggihārigatiyā pade padaṃ koṭṭento sindhavājānīyo viya ekaṃyeva padaṃ anekehi pariyāyehi punappunaṃ saṃvaṇṇanto gacchati, tassa kathā parimaṇḍalā nāma hoti dhammato atthato anusandhito pubbāparato ācariyuggahatoti sabbaso paripuṇṇabhāvato. Evarūpampi kathaṃ sandhāya ‘‘parimaṇḍalapadabyañjanāyā’’ti vuttaṃ.
คุณปริปุณฺณภาเวน ปุเร ภวาติ โปรี, ตสฺส ภิกฺขุโน เตเนตํ ภาสิตพฺพํ อตฺถสฺส คุณปริปุณฺณภาเวน ปุเร ปุณฺณภาเว ภวาติ อโตฺถฯ ปุเร วา ภวตฺตา โปริยา นาคริกิตฺถิยา สุขุมาลตฺตเนน สทิสาติ โปรี, ปุเร สํวฑฺฒนารี วิย สุกุมาราติ อโตฺถฯ ปุรสฺส เอสาติปิ โปรี, ปุรสฺส เอสาติ นครวาสีนํ กถาติ อโตฺถฯ นครวาสิโน หิ ยุตฺตกถา โหนฺติ ปิติมตฺตํ ‘‘ปิตา’’ติ, ภาติมตฺตํ ‘‘ภาตา’’ติ วทนฺติฯ เอวรูปี หิ กถา พหุโน ชนสฺส กนฺตา โหติ มนาปา, ตาย โปริยาฯ
Guṇaparipuṇṇabhāvena pure bhavāti porī, tassa bhikkhuno tenetaṃ bhāsitabbaṃ atthassa guṇaparipuṇṇabhāvena pure puṇṇabhāve bhavāti attho. Pure vā bhavattā poriyā nāgarikitthiyā sukhumālattanena sadisāti porī, pure saṃvaḍḍhanārī viya sukumārāti attho. Purassa esātipi porī, purassa esāti nagaravāsīnaṃ kathāti attho. Nagaravāsino hi yuttakathā honti pitimattaṃ ‘‘pitā’’ti, bhātimattaṃ ‘‘bhātā’’ti vadanti. Evarūpī hi kathā bahuno janassa kantā hoti manāpā, tāya poriyā.
วิสฺสฎฺฐายาติ ปิตฺตเสมฺหาทีหิ อปลิพุทฺธาย สนฺทิฎฺฐวิลมฺพิตาทิโทสรหิตายฯ อถ วา นาติสีฆํ นาติสณิกํ นิรนฺตรํ เอกรสญฺจ กตฺวา ปริสาย อชฺฌาสยานุรูปํ ธมฺมํ กเถนฺตสฺส วาจา วิสฺสฎฺฐา นามฯ โย หิ ภิกฺขุ ธมฺมํ กเถโนฺต สุตฺตํ วา ชาตกํ วา อารภิตฺวา อารทฺธกาลโต ปฎฺฐาย ตุริตตุริโต อรณิํ มเนฺถโนฺต วิย อุณฺหขาทนียํ ขาทโนฺต วิย ปาฬิยา อนุสนฺธิปุพฺพาปเรสุ คหิตํ คหิตเมว, อคฺคหิตํ อคฺคหิตเมว กตฺวา ปุราณปณฺณนฺตเรสุ จรมานํ โคธํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย ตตฺถ ตตฺถ ปหรโนฺต โอสาเปตฺวา อุฎฺฐาย คจฺฉติ ฯ ปุราณปณฺณนฺตเรสุ หิ ปริปาติยมานา โคธา กทาจิ ทิสฺสติ กทาจิ น ทิสฺสติ, เอวเมกจฺจสฺส อตฺถวณฺณนา กตฺถจิ ทิสฺสติ กตฺถจิ น ทิสฺสติฯ โยปิ ธมฺมํ กเถโนฺต กาเลน สีฆํ, กาเลน สณิกํ, กาเลน มนฺทํ, กาเลน มหาสทฺทํ, กาเลน ขุทฺทกสทฺทํ กโรติ, ยถา นิชฺฌามตณฺหิกเปตสฺส มุขโต นิจฺฉรณกอคฺคิ กาเลน ชลติ กาเลน นิพฺพายติ, เอวํ เปตธมฺมกถิโก นาม โหติ, ปริสาย อุฎฺฐาตุกามาย ปุน อารภติฯ โยปิ กเถโนฺต ตตฺถ ตตฺถ วิตฺถายติ, อปฺปฎิภานตาย อาปชฺชติ, เกนจิ โรเคน นิตฺถุนโนฺต วิย กนฺทโนฺต วิย กเถติ, อิเมสํ สเพฺพสมฺปิ กถา วิสฺสฎฺฐา นาม น โหติ สุเขน อปฺปวตฺตภาวโตฯ โย ปน สุตฺตํ อาหริตฺวา อาจริเยหิ ทินฺนนเย ฐิโต อาจริยุคฺคหํ อมุญฺจโนฺต ยถา จ อาจริยา ตํ ตํ สุตฺตํ สํวเณฺณสุํ, เตเนว นเยน สํวเณฺณโนฺต นาติสีฆํ นาติสณิกนฺติอาทินา วุตฺตนเยน กถาปพนฺธํ อวิจฺฉินฺนํ กตฺวา นทีโสโต วิย ปวเตฺตติ, อากาสคงฺคาโต ภสฺสมานอุทกํ วิย นิรนฺตรกถํ ปวเตฺตติ, ตสฺส กถา วิสฺสฎฺฐา นาม โหติฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘วิสฺสฎฺฐายา’’ติฯ
Vissaṭṭhāyāti pittasemhādīhi apalibuddhāya sandiṭṭhavilambitādidosarahitāya. Atha vā nātisīghaṃ nātisaṇikaṃ nirantaraṃ ekarasañca katvā parisāya ajjhāsayānurūpaṃ dhammaṃ kathentassa vācā vissaṭṭhā nāma. Yo hi bhikkhu dhammaṃ kathento suttaṃ vā jātakaṃ vā ārabhitvā āraddhakālato paṭṭhāya turitaturito araṇiṃ manthento viya uṇhakhādanīyaṃ khādanto viya pāḷiyā anusandhipubbāparesu gahitaṃ gahitameva, aggahitaṃ aggahitameva katvā purāṇapaṇṇantaresu caramānaṃ godhaṃ uṭṭhāpento viya tattha tattha paharanto osāpetvā uṭṭhāya gacchati . Purāṇapaṇṇantaresu hi paripātiyamānā godhā kadāci dissati kadāci na dissati, evamekaccassa atthavaṇṇanā katthaci dissati katthaci na dissati. Yopi dhammaṃ kathento kālena sīghaṃ, kālena saṇikaṃ, kālena mandaṃ, kālena mahāsaddaṃ, kālena khuddakasaddaṃ karoti, yathā nijjhāmataṇhikapetassa mukhato niccharaṇakaaggi kālena jalati kālena nibbāyati, evaṃ petadhammakathiko nāma hoti, parisāya uṭṭhātukāmāya puna ārabhati. Yopi kathento tattha tattha vitthāyati, appaṭibhānatāya āpajjati, kenaci rogena nitthunanto viya kandanto viya katheti, imesaṃ sabbesampi kathā vissaṭṭhā nāma na hoti sukhena appavattabhāvato. Yo pana suttaṃ āharitvā ācariyehi dinnanaye ṭhito ācariyuggahaṃ amuñcanto yathā ca ācariyā taṃ taṃ suttaṃ saṃvaṇṇesuṃ, teneva nayena saṃvaṇṇento nātisīghaṃ nātisaṇikantiādinā vuttanayena kathāpabandhaṃ avicchinnaṃ katvā nadīsoto viya pavatteti, ākāsagaṅgāto bhassamānaudakaṃ viya nirantarakathaṃ pavatteti, tassa kathā vissaṭṭhā nāma hoti. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘vissaṭṭhāyā’’ti.
อเนลคฬายาติ เอลคฬวิรหิตายฯ กสฺสจิ หิ กเถนฺตสฺส เอลํ คฬติ, ลาลา ปคฺฆรติ, เขฬผุสิตานิ วา นิกฺขมนฺติ, ตสฺส วาจา เอลคฬา นาม โหติ, ตพฺพิปรีตายาติ อโตฺถฯ อตฺถสฺส วิญฺญาปนิยาติ อาทิมชฺฌปริโยสานํ ปากฎํ กตฺวา ภาสิตตฺถสฺส วิญฺญาปนสมตฺถตาย อตฺถญาปเน สาธนายฯ
Anelagaḷāyāti elagaḷavirahitāya. Kassaci hi kathentassa elaṃ gaḷati, lālā paggharati, kheḷaphusitāni vā nikkhamanti, tassa vācā elagaḷā nāma hoti, tabbiparītāyāti attho. Atthassa viññāpaniyāti ādimajjhapariyosānaṃ pākaṭaṃ katvā bhāsitatthassa viññāpanasamatthatāya atthañāpane sādhanāya.
วาจาว กรณนฺติ วากฺกรณํ, อุทาหารโฆโสฯ กลฺยาณํ มธุรํ วากฺกรณํ อสฺสาติ กลฺยาณวากฺกรโณฯ เตเนวาห ‘‘มธุรสฺสโร’’ติฯ หีเฬตีติ อวชานาติฯ มาตุคาโมติ สมฺพโนฺธฯ มนํ อปายติ วเฑฺฒตีติ มนาโปฯ เตนาห ‘‘มนวฑฺฒนโก’’ติฯ วฎฺฎภเยน ตเชฺชตฺวาติ โยพฺพนมทาทิมตฺตา ภิกฺขุนิโย สํสารภเยน ตาเสตฺวาฯ คิหิกาเลติ อตฺตโน คิหิกาเลฯ ภิกฺขุนิยา เมถุเนน ภิกฺขุนีทูสโก โหตีติ ภิกฺขุนิยา กายสํสคฺคเมว วทติฯ สิกฺขมานาสามเณรีสุ ปน เมถุเนนปิ ภิกฺขุนีทูสโก น โหตีติ อาห ‘‘สิกฺขมานาสามเณรีสุ เมถุนธมฺม’’นฺติฯ ‘‘กาสายวตฺถวสนายา’’ติ วจนโต ทุสฺสีลาสุ ภิกฺขุนีสิกฺขมานาสามเณรีสุ ครุธมฺมํ อชฺฌาปนฺนปุโพฺพ ปฎิกฺขิโตฺตเยวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตสฺสา ภิกฺขุนิยา อภาเวปิ ยา ยา ตสฺสา วจนํ อโสฺสสุํ, ตา ตา ตเถว มญฺญนฺตีติ อาห ‘‘มาตุคาโม หี’’ติอาทิฯ
Vācāva karaṇanti vākkaraṇaṃ, udāhāraghoso. Kalyāṇaṃ madhuraṃ vākkaraṇaṃ assāti kalyāṇavākkaraṇo. Tenevāha ‘‘madhurassaro’’ti. Hīḷetīti avajānāti. Mātugāmoti sambandho. Manaṃ apāyati vaḍḍhetīti manāpo. Tenāha ‘‘manavaḍḍhanako’’ti. Vaṭṭabhayena tajjetvāti yobbanamadādimattā bhikkhuniyo saṃsārabhayena tāsetvā. Gihikāleti attano gihikāle. Bhikkhuniyā methunena bhikkhunīdūsako hotīti bhikkhuniyā kāyasaṃsaggameva vadati. Sikkhamānāsāmaṇerīsu pana methunenapi bhikkhunīdūsako na hotīti āha ‘‘sikkhamānāsāmaṇerīsu methunadhamma’’nti. ‘‘Kāsāyavatthavasanāyā’’ti vacanato dussīlāsu bhikkhunīsikkhamānāsāmaṇerīsu garudhammaṃ ajjhāpannapubbo paṭikkhittoyevāti daṭṭhabbaṃ. Tassā bhikkhuniyā abhāvepi yā yā tassā vacanaṃ assosuṃ, tā tā tatheva maññantīti āha ‘‘mātugāmo hī’’tiādi.
อิทานิ อฎฺฐ องฺคานิ สโมธาเนตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘เอตฺถ จา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ อิเมหิ ปน อฎฺฐหเงฺคหิ อสมนฺนาคตํ ญตฺติจตุเตฺถน กเมฺมน สมฺมเนฺนโนฺต ทุกฺกฎํ อาปชฺชติ, ภิกฺขุ ปน สมฺมโตเยว โหติฯ
Idāni aṭṭha aṅgāni samodhānetvā dassetuṃ ‘‘ettha cā’’tiādi āraddhaṃ. Imehi pana aṭṭhahaṅgehi asamannāgataṃ ñatticatutthena kammena sammannento dukkaṭaṃ āpajjati, bhikkhu pana sammatoyeva hoti.
๑๔๘. ครุเกหีติ ครุกาตเพฺพหิฯ เอกโตอุปสมฺปนฺนายาติ อุปโยคเตฺถ ภุมฺมวจนํฯ ‘‘โอวทตี’’ติ วา อิมสฺส ‘‘วทตี’’ติ อเตฺถ สติ สมฺปทานวจนมฺปิ ยุชฺชติฯ ภิกฺขูนํ สนฺติเก อุปสมฺปนฺนา นาม ปริวตฺตลิงฺคา วา ปญฺจสตสากิยานิโย วาฯ
148.Garukehīti garukātabbehi. Ekatoupasampannāyāti upayogatthe bhummavacanaṃ. ‘‘Ovadatī’’ti vā imassa ‘‘vadatī’’ti atthe sati sampadānavacanampi yujjati. Bhikkhūnaṃ santike upasampannā nāma parivattaliṅgā vā pañcasatasākiyāniyo vā.
๑๔๙. อาสนํ ปญฺญเปตฺวาติ เอตฺถ ‘‘สเจ ภูมิ มนาปา โหติ, อาสนํ อปญฺญาเปตุมฺปิ วฎฺฎตี’’ติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ มาตุคามคฺคหเณน ภิกฺขุนีปิ สงฺคหิตาติ อาห ‘‘ธมฺมเทสนาปตฺติโมจนตฺถ’’นฺติฯ สมฺมตสฺส ภิกฺขุโน สนฺติกํ ปาฎิปเท โอวาทตฺถาย สพฺพาหิ ภิกฺขุนีหิ อาคนฺตพฺพโต ‘‘สมคฺคาตฺถ ภคินิโย’’ติ อิมินา สพฺพาสํ อาคมนํ ปุจฺฉตีติ อาห ‘‘สพฺพา อาคตาตฺถา’’ติฯ คิลานาสุ อนาคตาสุปิ คิลานานํ อนาคมนสฺส อนุญฺญาตตฺตา อาคนฺตุํ สมตฺถาหิ จ สพฺพาหิ อาคตตฺตา ‘‘สมคฺคามฺหยฺยา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ อโนฺตคาเม วาติอาทีสุ ยตฺถ ปญฺจ องฺคานิ ภูมิยํ ปติฎฺฐาเปตฺวา วนฺทิตุํ น สกฺกา โหติ, ตตฺถ ฐิตาย เอว กายํ ปุรโต นาเมตฺวา ‘‘วนฺทามิ อยฺยา’’ติ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห คนฺตุมฺปิ วฎฺฎติฯ อนฺตรฆรนฺติ กตฺถจิ นครทฺวารสฺส พหิอินฺทขีลโต ปฎฺฐาย อโนฺตคาโม วุจฺจติ, กตฺถจิ ฆรุมฺมารโต ปฎฺฐาย อโนฺตเคหํฯ อิธ ปน ‘‘อโนฺตคาเม วา’’ติ วิสุํ วุตฺตตฺตา ‘‘อนฺตรฆเร วา’’ติ อโนฺตเคหํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยตฺถ กตฺถจีติ อโนฺตคามาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิฯ
149.Āsanaṃ paññapetvāti ettha ‘‘sace bhūmi manāpā hoti, āsanaṃ apaññāpetumpi vaṭṭatī’’ti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Mātugāmaggahaṇena bhikkhunīpi saṅgahitāti āha ‘‘dhammadesanāpattimocanattha’’nti. Sammatassa bhikkhuno santikaṃ pāṭipade ovādatthāya sabbāhi bhikkhunīhi āgantabbato ‘‘samaggāttha bhaginiyo’’ti iminā sabbāsaṃ āgamanaṃ pucchatīti āha ‘‘sabbā āgatātthā’’ti. Gilānāsu anāgatāsupi gilānānaṃ anāgamanassa anuññātattā āgantuṃ samatthāhi ca sabbāhi āgatattā ‘‘samaggāmhayyā’’ti vattuṃ vaṭṭati. Antogāme vātiādīsu yattha pañca aṅgāni bhūmiyaṃ patiṭṭhāpetvā vandituṃ na sakkā hoti, tattha ṭhitāya eva kāyaṃ purato nāmetvā ‘‘vandāmi ayyā’’ti añjaliṃ paggayha gantumpi vaṭṭati. Antaragharanti katthaci nagaradvārassa bahiindakhīlato paṭṭhāya antogāmo vuccati, katthaci gharummārato paṭṭhāya antogehaṃ. Idha pana ‘‘antogāme vā’’ti visuṃ vuttattā ‘‘antaraghare vā’’ti antogehaṃ sandhāya vuttanti daṭṭhabbaṃ. Yattha katthacīti antogāmādīsu yattha katthaci.
วฎฺฎตีติ ‘‘วสถ อเยฺย, มยํ ภิกฺขู อาเนสฺสามา’’ติ วุตฺตวจนํ สทฺทหนฺตีหิ วสิตุํ วฎฺฎติฯ น นิมนฺติตา หุตฺวา คนฺตุกามาติ มนุเสฺสหิ นิมนฺติตา หุตฺวา คนฺตุกามา น โหนฺตีติ อโตฺถ, ตเตฺถว วสฺสํ อุปคนฺตุกามา โหนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ ยโตติ ภิกฺขุนุปสฺสยโตฯ ยาจิตฺวาติ ‘‘ตุเมฺหหิ อานีตโอวาเทเนว มยมฺปิ วสิสฺสามา’’ติ ยาจิตฺวาฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ภิกฺขุนุปสฺสเยฯ อาคตานํ สนฺติเก โอวาเทน วสิตพฺพนฺติ ปจฺฉิมิกาย วสฺสํ วสิตพฺพํฯ อภิกฺขุกาวาเส วสนฺติยา อาปตฺตีติ โจทนามุเขน สามญฺญโต อาปตฺติปฺปสงฺคํ วทติ, น ปน ตสฺสา อาปตฺติฯ วสฺสเจฺฉทํ กตฺวา คจฺฉนฺติยาปิ อาปตฺตีติ วสฺสานุปคมมูลํ อาปตฺติํ วทติฯ อิตราย อาปตฺติยา อนาปตฺติการณสพฺภาวโต ‘‘สา รกฺขิตพฺพา’’ติ วุตฺตํ, สา วสฺสานุปคมมูลา อาปตฺติ รกฺขิตพฺพาติ อโตฺถ, อภิกฺขุเกปิ อาวาเส อีทิสาสุ อาปทาสุ วสฺสํ อุปคนฺตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห ‘‘อาปทาสุ หิ…เป.… อนาปตฺติ วุตฺตา’’ติฯ อิตราย ปน อาปตฺติยา อนาปตฺติ, การเณ อสติ ปจฺฉิมิกายปิ วสฺสํ น อุปคนฺตพฺพํฯ สเนฺตสุ หิ ภิกฺขูสุ วสฺสํ อนุปคจฺฉนฺติยา อาปตฺติฯ ตตฺถ คนฺตฺวา ปวาเรตพฺพนฺติ เอตฺถ อปวาเรนฺตีนํ อาปตฺติสมฺภวโตฯ สเจ ทูเรปิ ภิกฺขูนํ วสนฎฺฐานํ โหติ, สกฺกา จ โหติ นวมิยํ คนฺตฺวา ปวาเรตุํ, ตตฺถ คนฺตฺวา ปวาเรตพฺพํฯ สเจ ปน นวมิยํ นิกฺขมิตฺวา สมฺปาปุณิตุํ น สกฺกา โหติ, อคจฺฉนฺตีนํ อนาปตฺติฯ
Vaṭṭatīti ‘‘vasatha ayye, mayaṃ bhikkhū ānessāmā’’ti vuttavacanaṃ saddahantīhi vasituṃ vaṭṭati. Na nimantitā hutvā gantukāmāti manussehi nimantitā hutvā gantukāmā na hontīti attho, tattheva vassaṃ upagantukāmā hontīti adhippāyo. Yatoti bhikkhunupassayato. Yācitvāti ‘‘tumhehi ānītaovādeneva mayampi vasissāmā’’ti yācitvā. Tatthāti tasmiṃ bhikkhunupassaye. Āgatānaṃ santike ovādena vasitabbanti pacchimikāya vassaṃ vasitabbaṃ. Abhikkhukāvāse vasantiyā āpattīti codanāmukhena sāmaññato āpattippasaṅgaṃ vadati, na pana tassā āpatti. Vassacchedaṃ katvā gacchantiyāpi āpattīti vassānupagamamūlaṃ āpattiṃ vadati. Itarāya āpattiyā anāpattikāraṇasabbhāvato ‘‘sā rakkhitabbā’’ti vuttaṃ, sā vassānupagamamūlā āpatti rakkhitabbāti attho, abhikkhukepi āvāse īdisāsu āpadāsu vassaṃ upagantabbanti adhippāyo. Tenāha ‘‘āpadāsu hi…pe… anāpatti vuttā’’ti. Itarāya pana āpattiyā anāpatti, kāraṇe asati pacchimikāyapi vassaṃ na upagantabbaṃ. Santesu hi bhikkhūsu vassaṃ anupagacchantiyā āpatti. Tattha gantvā pavāretabbanti ettha apavārentīnaṃ āpattisambhavato. Sace dūrepi bhikkhūnaṃ vasanaṭṭhānaṃ hoti, sakkā ca hoti navamiyaṃ gantvā pavāretuṃ, tattha gantvā pavāretabbaṃ. Sace pana navamiyaṃ nikkhamitvā sampāpuṇituṃ na sakkā hoti, agacchantīnaṃ anāpatti.
อุโปสถสฺส ปุจฺฉนํ อุโปสถปุจฺฉา, สาเยว ก-ปฺปจฺจยํ รสฺสตฺตญฺจ กตฺวา อุโปสถปุจฺฉกนฺติ วุตฺตาติ อาห ‘‘อุโปสถปุจฺฉน’’นฺติฯ อุโปสโถ ปุจฺฉิตโพฺพติ ‘‘กทา, อยฺย, อุโปสโถ’’ติ ปุจฺฉิตโพฺพฯ ภิกฺขุนาปิ ‘‘เสฺว, ภคินิ, อุโปสโถ’’ติ วตฺตพฺพํฯ ภิกฺขู กทาจิ เกนจิ การเณน ปนฺนรสิกํ วา จาตุทฺทสีอุโปสถํ, จาตุทฺทสิกํ วา ปนฺนรสีอุโปสถํ กโรนฺติ, ยสฺมิญฺจ ทิวเส ภิกฺขูหิ อุโปสโถ กโต, ตสฺมิํเยว ภิกฺขุนีหิปิ อุโปสโถ กาตโพฺพติ อธิปฺปาเยน ‘‘ปกฺขสฺส เตรสิยํเยว คนฺตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอวํ ปุจฺฉิเตน ภิกฺขุนา สเจ จาตุทฺทสิยํ อุโปสถํ กโรนฺติ, ‘‘จาตุทฺทสิโก ภคินี’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ ปน ปนฺนรสิยํ กโรนฺติ, ‘‘ปนฺนรสิโก ภคินี’’ติ อาจิกฺขิตพฺพํฯ โอวาทตฺถายาติ โอวาทยาจนตฺถายฯ ปาฎิปททิวสโต ปน ปฎฺฐาย ธมฺมสวนตฺถาย คนฺตพฺพนฺติ ปาฎิปททิวเส โอวาทคฺคหณตฺถาย ทุติยทิวสโต ปฎฺฐาย อนฺตรนฺตรา ธมฺมสวนตฺถาย คนฺตพฺพํฯ โอวาทคฺคหณมฺปิ หิ ‘‘ธมฺมสวนเมวา’’ติ อเภเทน วุตฺตํฯ นิรนฺตรํ วิหารํ อุปสงฺกมิํสูติ เยภุเยฺยน อุปสงฺกมนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ วุตฺตเญฺหตนฺติอาทินา ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชิสฺสามาติ สพฺพาสํเยว ภิกฺขุนีนํ อุปสงฺกมนทีปนตฺถํ ปาฬิ นิทสฺสิตาฯ โอวาทํ คจฺฉตีติ โอวาทํ ยาจิตุํ คจฺฉติฯ เทฺว ติโสฺสติ ทฺวีหิ ตีหิฯ กรณเตฺถ เจตํ ปจฺจตฺตวจนํฯ
Uposathassa pucchanaṃ uposathapucchā, sāyeva ka-ppaccayaṃ rassattañca katvā uposathapucchakanti vuttāti āha ‘‘uposathapucchana’’nti. Uposatho pucchitabboti ‘‘kadā, ayya, uposatho’’ti pucchitabbo. Bhikkhunāpi ‘‘sve, bhagini, uposatho’’ti vattabbaṃ. Bhikkhū kadāci kenaci kāraṇena pannarasikaṃ vā cātuddasīuposathaṃ, cātuddasikaṃ vā pannarasīuposathaṃ karonti, yasmiñca divase bhikkhūhi uposatho kato, tasmiṃyeva bhikkhunīhipi uposatho kātabboti adhippāyena ‘‘pakkhassa terasiyaṃyeva gantvā’’tiādi vuttaṃ. Evaṃ pucchitena bhikkhunā sace cātuddasiyaṃ uposathaṃ karonti, ‘‘cātuddasiko bhaginī’’ti vattabbaṃ. Sace pana pannarasiyaṃ karonti, ‘‘pannarasiko bhaginī’’ti ācikkhitabbaṃ. Ovādatthāyāti ovādayācanatthāya. Pāṭipadadivasato pana paṭṭhāya dhammasavanatthāya gantabbanti pāṭipadadivase ovādaggahaṇatthāya dutiyadivasato paṭṭhāya antarantarā dhammasavanatthāya gantabbaṃ. Ovādaggahaṇampi hi ‘‘dhammasavanamevā’’ti abhedena vuttaṃ. Nirantaraṃ vihāraṃ upasaṅkamiṃsūti yebhuyyena upasaṅkamanaṃ sandhāya vuttaṃ. Vuttañhetantiādinā yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjissāmāti sabbāsaṃyeva bhikkhunīnaṃ upasaṅkamanadīpanatthaṃ pāḷi nidassitā. Ovādaṃ gacchatīti ovādaṃ yācituṃ gacchati. Dve tissoti dvīhi tīhi. Karaṇatthe cetaṃ paccattavacanaṃ.
ปาสาทิเกนาติ ปสาทชนเกน นิโทฺทเสน กายกมฺมาทินาฯ สมฺปาเทตูติ ติวิธํ สิกฺขํ สมฺปาเทตุฯ สเจ ปาติโมกฺขุเทฺทสกํเยว ทิสฺวา ตาหิ ภิกฺขุนีหิ โอวาโท ยาจิโต ภเวยฺย, เตน กิํ กาตพฺพนฺติ? อุโปสถเคฺค สนฺนิปติเต ภิกฺขุสเงฺฆ ปุพฺพกิจฺจวเสน ‘‘อตฺถิ กาจิ ภิกฺขุนิโย โอวาทํ ยาจมานา’’ติ ปุจฺฉิยมาเน ‘‘เอวํ วเทหี’’ติ โอวาทปฎิคฺคาหเกน วตฺตพฺพวจนํ อเญฺญน ภิกฺขุนา กถาเปตฺวา ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน วตฺตพฺพวจนํ อตฺตนา วตฺวา ปุน สยเมว คนฺตฺวา ภิกฺขุนีนํ อาโรเจตพฺพํ, อเญฺญน วา ภิกฺขุนา ตสฺมิํ ทิวเส ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสาเปตพฺพํฯ เอตํ วุตฺตนฺติ ‘‘ตาหี’’ติ เอตํ พหุวจนํ วุตฺตํฯ
Pāsādikenāti pasādajanakena niddosena kāyakammādinā. Sampādetūti tividhaṃ sikkhaṃ sampādetu. Sace pātimokkhuddesakaṃyeva disvā tāhi bhikkhunīhi ovādo yācito bhaveyya, tena kiṃ kātabbanti? Uposathagge sannipatite bhikkhusaṅghe pubbakiccavasena ‘‘atthi kāci bhikkhuniyo ovādaṃ yācamānā’’ti pucchiyamāne ‘‘evaṃ vadehī’’ti ovādapaṭiggāhakena vattabbavacanaṃ aññena bhikkhunā kathāpetvā pātimokkhuddesakena vattabbavacanaṃ attanā vatvā puna sayameva gantvā bhikkhunīnaṃ ārocetabbaṃ, aññena vā bhikkhunā tasmiṃ divase pātimokkhaṃ uddisāpetabbaṃ. Etaṃ vuttanti ‘‘tāhī’’ti etaṃ bahuvacanaṃ vuttaṃ.
เอกา ภิกฺขุนี วาติ อิทํ พหูหิ ภิกฺขุนุปสฺสเยหิ เอกาย เอว ภิกฺขุนิยา สาสนปฎิคฺคหณํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ปน ทุติยิกาย อภาวํ สนฺธายฯ พหูหิ ภิกฺขุนุปสฺสเยหีติ อนฺตรามเคฺค วา ตสฺมิํเยว วา คาเม พหูหิ ภิกฺขุนุปสฺสเยหิฯ ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ จ อยฺย ภิกฺขุนิโย จ ภิกฺขุนี จา’’ติ อิมินา นานาอุปสฺสเยหิ สาสนํ คเหตฺวา อาคตภิกฺขุนิยา วตฺตพฺพวจนํ ทเสฺสติฯ อิทญฺจ เอเกน ปกาเรน มุขมตฺตนิทสฺสนตฺถํ วุตฺตํ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ ปน ภิกฺขุนุปสฺสเย ภิกฺขุนีนํ ปมาณํ สลฺลเกฺขตฺวา ตทนุรูเปน นเยน วตฺตพฺพํฯ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อยฺยานํ อยฺยสฺสาติ อิทํ สงฺขิปิตฺวา วุตฺตํฯ
Ekā bhikkhunī vāti idaṃ bahūhi bhikkhunupassayehi ekāya eva bhikkhuniyā sāsanapaṭiggahaṇaṃ sandhāya vuttaṃ, na pana dutiyikāya abhāvaṃ sandhāya. Bahūhi bhikkhunupassayehīti antarāmagge vā tasmiṃyeva vā gāme bahūhi bhikkhunupassayehi. ‘‘Bhikkhunisaṅgho ca ayya bhikkhuniyo ca bhikkhunī cā’’ti iminā nānāupassayehi sāsanaṃ gahetvā āgatabhikkhuniyā vattabbavacanaṃ dasseti. Idañca ekena pakārena mukhamattanidassanatthaṃ vuttaṃ, tasmiṃ tasmiṃ pana bhikkhunupassaye bhikkhunīnaṃ pamāṇaṃ sallakkhetvā tadanurūpena nayena vattabbaṃ. Bhikkhusaṅghassa ayyānaṃ ayyassāti idaṃ saṅkhipitvā vuttaṃ.
ปาติโมกฺขุเทฺทสเกนปีติ อิทํ สงฺฆุโปสถวเสเนว ทสฺสิตํฯ ยตฺถ ปน ติณฺณํ ทฺวินฺนํ วา วสนฎฺฐาเน ปาติโมกฺขุเทฺทโส นตฺถิ, ตตฺถาปิ ญตฺติฐปนเกน อิตเรน วา ภิกฺขุนา อิมินาว นเยน วตฺตพฺพํฯ เอกปุคฺคเลนปิ อุโปสถทิวเส โอวาทยาจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปาฎิปเท อาคตานํ ภิกฺขุนีนํ ‘‘นตฺถิ โกจี’’ติอาทิ วตฺตพฺพเมวฯ สเจ สยเมว, ‘‘สมฺมโต อห’’นฺติ วตฺตพฺพํฯ อิมํ วิธิํ อชานโนฺต อิธ พาโลติ อธิเปฺปโตฯ
Pātimokkhuddesakenapīti idaṃ saṅghuposathavaseneva dassitaṃ. Yattha pana tiṇṇaṃ dvinnaṃ vā vasanaṭṭhāne pātimokkhuddeso natthi, tatthāpi ñattiṭhapanakena itarena vā bhikkhunā imināva nayena vattabbaṃ. Ekapuggalenapi uposathadivase ovādayācanaṃ sampaṭicchitvā pāṭipade āgatānaṃ bhikkhunīnaṃ ‘‘natthi kocī’’tiādi vattabbameva. Sace sayameva, ‘‘sammato aha’’nti vattabbaṃ. Imaṃ vidhiṃ ajānanto idha bāloti adhippeto.
๑๕๐. อธมฺมกเมฺม อธมฺมกมฺมสญฺญี วคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี โอวทติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสาติอาทีสุ วิชฺชมาเนสุปิ วคฺคาทิภาวนิมิเตฺตสุ ทุกฺกเฎสุ อธมฺมกมฺมมูลกํ ปาจิตฺติยเมว ปาฬิยํ สพฺพตฺถ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘อธมฺมกเมฺม ทฺวินฺนํ นวกานํ วเสน อฎฺฐารส ปาจิตฺติยานี’’ติฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ อสมฺมตตา, ภิกฺขุนิยา ปริปุณฺณูปสมฺปนฺนตา, โอวาทวเสน อฎฺฐครุธมฺมภณนนฺติ อิมานิ ปเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ
150.Adhammakamme adhammakammasaññī vaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī ovadati, āpatti pācittiyassātiādīsu vijjamānesupi vaggādibhāvanimittesu dukkaṭesu adhammakammamūlakaṃ pācittiyameva pāḷiyaṃ sabbattha vuttanti āha ‘‘adhammakamme dvinnaṃ navakānaṃ vasena aṭṭhārasa pācittiyānī’’ti. Sesamettha uttānameva. Asammatatā, bhikkhuniyā paripuṇṇūpasampannatā, ovādavasena aṭṭhagarudhammabhaṇananti imāni panettha tīṇi aṅgāni.
โอวาทสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ovādasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๓. โอวาทวโคฺค • 3. Ovādavaggo
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. โอวาทสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Ovādasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๑. โอวาทสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Ovādasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๑. โอวาทสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Ovādasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๑. โอวาทสิกฺขาปท-อตฺถโยชนา • 1. Ovādasikkhāpada-atthayojanā