Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā |
ปพฺพชฺชากถา
Pabbajjākathā
๓๑. ปุพฺพานุปุพฺพกานนฺติ ปเวณิวเสน โปราณานุโปราณานนฺติ อโตฺถฯ เตน โข ปน สมเยน เอกสฎฺฐิ โลเก อรหโนฺต โหนฺตีติ ปุริมา ฉ อิเม จ ปญฺจปญฺญาสาติ อโนฺตวสฺสมฺหิเยว เอกสฎฺฐิ มนุสฺสา อรหโนฺต โหนฺตีติ อโตฺถฯ
31.Pubbānupubbakānanti paveṇivasena porāṇānuporāṇānanti attho. Tena kho pana samayena ekasaṭṭhi loke arahanto hontīti purimā cha ime ca pañcapaññāsāti antovassamhiyeva ekasaṭṭhi manussā arahanto hontīti attho.
ตตฺร ยสอาทีนํ กุลปุตฺตานํ อยํ ปุพฺพโยโค – อตีเต กิร ปญฺจปญฺญาสชนา สหายกา วคฺคพเนฺธน ปุญฺญานิ กโรนฺตา อนาถสรีรานิ ปฎิชคฺคนฺตา วิจรนฺติ, เต เอกทิวสํ คพฺภินิํ อิตฺถิํ กาลํกตํ ทิสฺวา ‘‘ฌาเปสฺสามา’’ติ สุสานํ นีหริํสุฯ เตสุ ปญฺจ ชเน ‘‘ตุเมฺห ฌาเปถา’’ติ สุสาเน ฐเปตฺวา เสสา คามํ ปวิฎฺฐาฯ ยโส ทารโก ตํ สรีรํ วิชฺฌิตฺวา ปริวเตฺตตฺวา จ ฌาปยมาโน อสุภสญฺญํ ปฎิลภิฯ โส อิตเรสมฺปิ จตุนฺนํ ชนานํ ‘‘ปสฺสถ โภ อิมํ อสุจิํ ปฎิกูล’’นฺติ ทเสฺสสิฯ เตปิ ตตฺถ อสุภสญฺญํ ปฎิลภิํสุฯ เต ปญฺจปิ ชนา คามํ คนฺตฺวา เสสสหายกานํ กถยิํสุฯ ยโส ปน ทารโก เคหมฺปิ คนฺตฺวา มาตาปิตูนฺนญฺจ ภริยาย จ กเถสิฯ เต สเพฺพปิ อสุภํ ภาวยิํสุฯ อยเมเตสํ ปุพฺพโยโคฯ เตนายสฺมโต ยสสฺส นาฎกชเนสุ สุสานสญฺญาเยว อุปฺปชฺชิ, ตาเยว จ อุปนิสฺสยสมฺปตฺติยา สเพฺพสํ วิเสสาธิคโม นิพฺพตฺตีติฯ
Tatra yasaādīnaṃ kulaputtānaṃ ayaṃ pubbayogo – atīte kira pañcapaññāsajanā sahāyakā vaggabandhena puññāni karontā anāthasarīrāni paṭijaggantā vicaranti, te ekadivasaṃ gabbhiniṃ itthiṃ kālaṃkataṃ disvā ‘‘jhāpessāmā’’ti susānaṃ nīhariṃsu. Tesu pañca jane ‘‘tumhe jhāpethā’’ti susāne ṭhapetvā sesā gāmaṃ paviṭṭhā. Yaso dārako taṃ sarīraṃ vijjhitvā parivattetvā ca jhāpayamāno asubhasaññaṃ paṭilabhi. So itaresampi catunnaṃ janānaṃ ‘‘passatha bho imaṃ asuciṃ paṭikūla’’nti dassesi. Tepi tattha asubhasaññaṃ paṭilabhiṃsu. Te pañcapi janā gāmaṃ gantvā sesasahāyakānaṃ kathayiṃsu. Yaso pana dārako gehampi gantvā mātāpitūnnañca bhariyāya ca kathesi. Te sabbepi asubhaṃ bhāvayiṃsu. Ayametesaṃ pubbayogo. Tenāyasmato yasassa nāṭakajanesu susānasaññāyeva uppajji, tāyeva ca upanissayasampattiyā sabbesaṃ visesādhigamo nibbattīti.
อถ โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสีติ ภควา ยาว ปจฺฉิมกตฺติกปุณฺณมา, ตาว พาราณสิยํ วิหรโนฺต เอกทิวสํ เต ขีณาสเว สฎฺฐิ ภิกฺขู อามเนฺตสิฯ
Atha kho bhagavā bhikkhū āmantesīti bhagavā yāva pacchimakattikapuṇṇamā, tāva bārāṇasiyaṃ viharanto ekadivasaṃ te khīṇāsave saṭṭhi bhikkhū āmantesi.
๓๒. ทิพฺพา นาม ทิเพฺพสุ วิสเยสุ โลภปาสาฯ มานุสา นาม มานุสเกสุ วิสเยสุ โลภปาสาฯ มา เอเกน เทฺวติ เอเกน มเคฺคน เทฺว มา อคมิตฺถฯ อสฺสวนตาติ อสฺสวนตายฯ ปริหายนฺตีติ อนธิคตํ นาธิคจฺฉนฺตา วิเสสาธิคมโต ปริหายนฺติฯ
32.Dibbā nāma dibbesu visayesu lobhapāsā. Mānusā nāma mānusakesu visayesu lobhapāsā. Mā ekena dveti ekena maggena dve mā agamittha. Assavanatāti assavanatāya. Parihāyantīti anadhigataṃ nādhigacchantā visesādhigamato parihāyanti.
๓๓. อนฺตกาติ ลามก หีนสตฺตฯ อนฺตลิกฺขจโรติ ราคปาสํ สนฺธายาหฯ ตญฺหิ โส ‘‘อนฺตลิกฺขจโร’’ติ มนฺตฺวา อาหฯ
33.Antakāti lāmaka hīnasatta. Antalikkhacaroti rāgapāsaṃ sandhāyāha. Tañhi so ‘‘antalikkhacaro’’ti mantvā āha.
๓๔. นานาทิสา นานาชนปทาติ นานาทิสโต จ นานาชนปทโต จฯ อนุชานามิ ภิกฺขเว ตุเมฺหว ทานิ ตาสุ ตาสุ ทิสาสุ เตสุ เตสุ ชนปเทสุ ปพฺพาเชถาติอาทิมฺหิ ปพฺพชฺชาเปกฺขํ กุลปุตฺตํ ปพฺพาเชเนฺตน เย ปรโต ‘‘น ภิกฺขเว ปญฺจหิ อาพาเธหิ ผุโฎฺฐ ปพฺพาเชตโพฺพ’’ติอาทิํ กตฺวา ยาว ‘‘น อนฺธมูคพธิโร ปพฺพาเชตโพฺพ’’ติ เอวํ ปฎิกฺขิตฺตา ปุคฺคลา, เต วเชฺชตฺวา ปพฺพชฺชาโทสวิรหิโต ปุคฺคโล ปพฺพาเชตโพฺพฯ โสปิ จ มาตาปิตูหิ อนุญฺญาโตเยวฯ ตสฺส อนุชานนลกฺขณํ ‘‘น ภิกฺขเว อนนุญฺญาโต มาตาปิตูหิ ปุโตฺต ปพฺพาเชตโพฺพ, โย ปพฺพาเชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ เอตสฺมิํ สุเตฺต วณฺณยิสฺสามฯ
34.Nānādisā nānājanapadāti nānādisato ca nānājanapadato ca. Anujānāmi bhikkhave tumheva dāni tāsu tāsu disāsu tesu tesu janapadesupabbājethātiādimhi pabbajjāpekkhaṃ kulaputtaṃ pabbājentena ye parato ‘‘na bhikkhave pañcahi ābādhehi phuṭṭho pabbājetabbo’’tiādiṃ katvā yāva ‘‘na andhamūgabadhiro pabbājetabbo’’ti evaṃ paṭikkhittā puggalā, te vajjetvā pabbajjādosavirahito puggalo pabbājetabbo. Sopi ca mātāpitūhi anuññātoyeva. Tassa anujānanalakkhaṇaṃ ‘‘na bhikkhave ananuññāto mātāpitūhi putto pabbājetabbo, yo pabbājeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti etasmiṃ sutte vaṇṇayissāma.
เอวํ ปพฺพชฺชาโทสวิรหิตํ มาตาปิตูหิ อนุญฺญาตํ ปพฺพาเชเนฺตนาปิ จ สเจ อจฺฉินฺนเกโส โหติ, เอกสีมาย จ อเญฺญปิ ภิกฺขู อตฺถิ, เกสเจฺฉทนตฺถาย ภณฺฑุกมฺมํ อาปุจฺฉิตพฺพํฯ ตสฺส อาปุจฺฉนาการํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สงฺฆํ อปโลเกตุํ ภณฺฑุกมฺมายา’’ติ เอตฺถ วณฺณยิสฺสามฯ สเจ โอกาโส โหติ, สยํ ปพฺพาเชตโพฺพฯ สเจ อุเทฺทสปริปุจฺฉาทีหิ พฺยาวโฎ โหติ, โอกาสํ น ลภติ, เอโก ทหรภิกฺขุ วตฺตโพฺพ ‘‘เอตํ ปพฺพาเชหี’’ติฯ อวุโตฺตปิ เจ ทหรภิกฺขุ อุปชฺฌายํ อุทฺทิสฺส ปพฺพาเชติ, วฎฺฎติฯ สเจ ทหรภิกฺขุ นตฺถิ, สามเณโรปิ วตฺตโพฺพ ‘‘เอตํ ขณฺฑสีมํ เนตฺวา ปพฺพาเชตฺวา กาสายานิ อจฺฉาเทตฺวา เอหี’’ติฯ สรณานิ ปน สยํ ทาตพฺพานิฯ เอวํ ภิกฺขุนาว ปพฺพชิโต โหติฯ ปุริสญฺหิ ภิกฺขุโต อโญฺญ ปพฺพาเชตุํ น ลภติ, มาตุคามํ ภิกฺขุนิโต อโญฺญฯ สามเณโร ปน สามเณรี วา อาณตฺติยา กาสายานิ ทาตุํ ลภติฯ เกโสโรปนํ เยน เกนจิ กตํ สุกตํฯ
Evaṃ pabbajjādosavirahitaṃ mātāpitūhi anuññātaṃ pabbājentenāpi ca sace acchinnakeso hoti, ekasīmāya ca aññepi bhikkhū atthi, kesacchedanatthāya bhaṇḍukammaṃ āpucchitabbaṃ. Tassa āpucchanākāraṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, saṅghaṃ apaloketuṃ bhaṇḍukammāyā’’ti ettha vaṇṇayissāma. Sace okāso hoti, sayaṃ pabbājetabbo. Sace uddesaparipucchādīhi byāvaṭo hoti, okāsaṃ na labhati, eko daharabhikkhu vattabbo ‘‘etaṃ pabbājehī’’ti. Avuttopi ce daharabhikkhu upajjhāyaṃ uddissa pabbājeti, vaṭṭati. Sace daharabhikkhu natthi, sāmaṇeropi vattabbo ‘‘etaṃ khaṇḍasīmaṃ netvā pabbājetvā kāsāyāni acchādetvā ehī’’ti. Saraṇāni pana sayaṃ dātabbāni. Evaṃ bhikkhunāva pabbajito hoti. Purisañhi bhikkhuto añño pabbājetuṃ na labhati, mātugāmaṃ bhikkhunito añño. Sāmaṇero pana sāmaṇerī vā āṇattiyā kāsāyāni dātuṃ labhati. Kesoropanaṃ yena kenaci kataṃ sukataṃ.
สเจ ปน ภพฺพรูโป โหติ สเหตุโก ญาโต ยสสฺสี กุลปุโตฺต, โอกาสํ กตฺวาปิ สยเมว ปพฺพาเชตโพฺพฯ ‘‘มตฺติกามุฎฺฐิํ คเหตฺวา นฺหายิตฺวา เกเส เตเมตฺวา อาคจฺฉาหี’’ติ จ ปน น วิสฺสเชฺชตโพฺพฯ ปพฺพชิตุกามานญฺหิ ปฐมํ พลวอุสฺสาโห โหติ, ปจฺฉา ปน กาสายานิ จ เกสหรณสตฺถกญฺจ ทิสฺวา อุตฺรสนฺติ, เอโตฺตเยว ปลายนฺติ, ตสฺมา สยเมว นหานติตฺถํ เนตฺวา สเจ นาติทหโร โหติ, ‘‘นหาหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ เกสา ปนสฺส สยเมว มตฺติกํ คเหตฺวา โธวิตพฺพาฯ ทหรกุมารโก ปน สยํ อุทกํ โอตริตฺวา โคมยมตฺติกาหิ ฆํสิตฺวา นหาเปตโพฺพฯ สเจปิสฺส กจฺฉุ วา ปิฬกา วา โหนฺติ, ยถา มาตา ปุตฺตํ น ชิคุจฺฉติ , เอวเมว อชิคุจฺฉเนฺตน สาธุกํ หตฺถปาทสีสานิ ฆํสิตฺวา นหาเปตโพฺพฯ กสฺมา? เอตฺตเกน หิ อุปกาเรน กุลปุตฺตา อาจริยุปชฺฌาเยสุ จ สาสเน จ พลวสิเนหา ติพฺพคารวา อนิวตฺติธมฺมา โหนฺติ, อุปฺปนฺนํ อนภิรติํ วิโนเทตฺวา เถรภาวํ ปาปุณนฺติ, กตญฺญู กตเวทิโน โหนฺติฯ
Sace pana bhabbarūpo hoti sahetuko ñāto yasassī kulaputto, okāsaṃ katvāpi sayameva pabbājetabbo. ‘‘Mattikāmuṭṭhiṃ gahetvā nhāyitvā kese temetvā āgacchāhī’’ti ca pana na vissajjetabbo. Pabbajitukāmānañhi paṭhamaṃ balavaussāho hoti, pacchā pana kāsāyāni ca kesaharaṇasatthakañca disvā utrasanti, ettoyeva palāyanti, tasmā sayameva nahānatitthaṃ netvā sace nātidaharo hoti, ‘‘nahāhī’’ti vattabbo. Kesā panassa sayameva mattikaṃ gahetvā dhovitabbā. Daharakumārako pana sayaṃ udakaṃ otaritvā gomayamattikāhi ghaṃsitvā nahāpetabbo. Sacepissa kacchu vā piḷakā vā honti, yathā mātā puttaṃ na jigucchati , evameva ajigucchantena sādhukaṃ hatthapādasīsāni ghaṃsitvā nahāpetabbo. Kasmā? Ettakena hi upakārena kulaputtā ācariyupajjhāyesu ca sāsane ca balavasinehā tibbagāravā anivattidhammā honti, uppannaṃ anabhiratiṃ vinodetvā therabhāvaṃ pāpuṇanti, kataññū katavedino honti.
เอวํ นหาปนกาเล ปน เกสมสฺสุํ โอโรปนกาเล วา ‘‘ตฺวํ ญาโต ยสสฺสี, อิทานิ มยํ ตํ นิสฺสาย ปจฺจเยหิ น กิลมิสฺสามา’’ติ น วตฺตโพฺพ, อญฺญาปิ อนิยฺยานิกกถา น กเถตพฺพาฯ อถ ขฺวสฺส ‘‘อาวุโส, สุฎฺฐุ อุปธาเรหิ สติํ อุปฎฺฐาเปหี’’ติ วตฺวา ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิตพฺพํ, อาจิกฺขเนฺตน จ วณฺณสณฺฐานคนฺธาสโยกาสวเสน อสุจิเชคุจฺฉปฎิกูลภาวํ นิชฺชีวนิสฺสตฺตภาวํ วา ปากฎํ กโรเนฺตน อาจิกฺขิตพฺพํฯ สเจ หิ โส ปุเพฺพ มทฺทิตสงฺขาโร โหติ ภาวิตภาวโน, กณฺฎกเวธาเปโกฺข วิย ปริปกฺกคโณฺฑ, สูริยุคฺคมนาเปกฺขํ วิย จ ปริณตปทุมํ, อถสฺส อารทฺธมเตฺต กมฺมฎฺฐานมนสิกาเร อินฺทาสนิ วิย ปพฺพเต กิเลสปพฺพเต จุณฺณยมานํเยว ญาณํ ปวตฺตติ, ขุรเคฺคเยว อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ เย หิ เกจิ ขุรเคฺค อรหตฺตํ ปตฺตา, สเพฺพ เต เอวรูปํ สวนํ ลภิตฺวา กลฺยาณมิเตฺตน อาจริเยน ทินฺนนยํ นิสฺสาย โน อนิสฺสายฯ ตสฺมาสฺส อาทิโตว เอวรูปี กถา กเถตพฺพาติฯ
Evaṃ nahāpanakāle pana kesamassuṃ oropanakāle vā ‘‘tvaṃ ñāto yasassī, idāni mayaṃ taṃ nissāya paccayehi na kilamissāmā’’ti na vattabbo, aññāpi aniyyānikakathā na kathetabbā. Atha khvassa ‘‘āvuso, suṭṭhu upadhārehi satiṃ upaṭṭhāpehī’’ti vatvā tacapañcakakammaṭṭhānaṃ ācikkhitabbaṃ, ācikkhantena ca vaṇṇasaṇṭhānagandhāsayokāsavasena asucijegucchapaṭikūlabhāvaṃ nijjīvanissattabhāvaṃ vā pākaṭaṃ karontena ācikkhitabbaṃ. Sace hi so pubbe madditasaṅkhāro hoti bhāvitabhāvano, kaṇṭakavedhāpekkho viya paripakkagaṇḍo, sūriyuggamanāpekkhaṃ viya ca pariṇatapadumaṃ, athassa āraddhamatte kammaṭṭhānamanasikāre indāsani viya pabbate kilesapabbate cuṇṇayamānaṃyeva ñāṇaṃ pavattati, khuraggeyeva arahattaṃ pāpuṇāti. Ye hi keci khuragge arahattaṃ pattā, sabbe te evarūpaṃ savanaṃ labhitvā kalyāṇamittena ācariyena dinnanayaṃ nissāya no anissāya. Tasmāssa āditova evarūpī kathā kathetabbāti.
เกเสสุ ปน โอโรปิเตสุ หลิทฺทิจุเณฺณน วา คนฺธจุเณฺณน วา สีสญฺจ สรีรญฺจ อุพฺพเฎฺฎตฺวา คิหิคนฺธํ อปเนตฺวา กาสายานิ ติกฺขตฺตุํ วา ทฺวิกฺขตฺตุํ วา สกิํ วา ปฎิคฺคาเหตโพฺพฯ อถาปิสฺส หเตฺถ อทตฺวา อาจริโย วา อุปชฺฌาโย วา สยเมว อจฺฉาเทติ, วฎฺฎติฯ สเจปิ อญฺญํ ทหรํ วา สามเณรํ วา อุปาสกํ วา อาณาเปติ ‘‘อาวุโส, เอตานิ กาสายานิ คเหตฺวา เอตํ อจฺฉาเทหี’’ติ ตํเยว วา อาณาเปติ ‘‘เอตานิ คเหตฺวา อจฺฉาเทหี’’ติ สพฺพํ วฎฺฎติฯ สพฺพํ เตน ภิกฺขุนาว ทินฺนํ โหติฯ
Kesesu pana oropitesu haliddicuṇṇena vā gandhacuṇṇena vā sīsañca sarīrañca ubbaṭṭetvā gihigandhaṃ apanetvā kāsāyāni tikkhattuṃ vā dvikkhattuṃ vā sakiṃ vā paṭiggāhetabbo. Athāpissa hatthe adatvā ācariyo vā upajjhāyo vā sayameva acchādeti, vaṭṭati. Sacepi aññaṃ daharaṃ vā sāmaṇeraṃ vā upāsakaṃ vā āṇāpeti ‘‘āvuso, etāni kāsāyāni gahetvā etaṃ acchādehī’’ti taṃyeva vā āṇāpeti ‘‘etāni gahetvā acchādehī’’ti sabbaṃ vaṭṭati. Sabbaṃ tena bhikkhunāva dinnaṃ hoti.
ยํ ปน นิวาสนํ วา ปารุปนํ วา อนาณตฺติยา นิวาเสติ วา ปารุปติ วา, ตํ อปเนตฺวา ปุน ทาตพฺพํฯ ภิกฺขุนา หิ สหเตฺถน วา อาณตฺติยา วา ทินฺนเมว กาสาวํ วฎฺฎติ, อทินฺนํ น วฎฺฎติ, สเจปิ ตเสฺสว สนฺตกํ โหติ, โก ปน วาโท อุปชฺฌายมูลเก! อยํ ‘‘ปฐมํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาทาเปตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ การาเปตฺวา’’ติ เอตฺถ วินิจฺฉโยฯ
Yaṃ pana nivāsanaṃ vā pārupanaṃ vā anāṇattiyā nivāseti vā pārupati vā, taṃ apanetvā puna dātabbaṃ. Bhikkhunā hi sahatthena vā āṇattiyā vā dinnameva kāsāvaṃ vaṭṭati, adinnaṃ na vaṭṭati, sacepi tasseva santakaṃ hoti, ko pana vādo upajjhāyamūlake! Ayaṃ ‘‘paṭhamaṃ kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādāpetvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ kārāpetvā’’ti ettha vinicchayo.
ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทาเปตฺวาติ เย ตตฺถ สนฺนิปติตา ภิกฺขู, เตสํ ปาเท วนฺทาเปตฺวา; อถ สรณคฺคหณตฺถํ อุกฺกุฎิกํ นิสีทาเปตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคณฺหาเปตฺวา เอวํ วเทหีติ วตฺตโพฺพฯ ‘‘ยมหํ วทามิ, ตํ วเทหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ อถสฺส อุปชฺฌาเยน วา อาจริเยน วา ‘‘พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามี’’ติอาทินา นเยน สรณานิ ทาตพฺพานิ ยถาวุตฺตปฎิปาฎิยาว น อุปฺปฎิปาฎิยาฯ สเจ หิ เอกปทมฺปิ เอกกฺขรมฺปิ อุปฺปฎิปาฎิยา เทติ, พุทฺธํ สรณํเยว วา ติกฺขตฺตุํ ทตฺวา ปุน อิตเรสุ เอเกกํ ติกฺขตฺตุํ เทติ, อทินฺนานิ โหนฺติ สรณานิฯ
Bhikkhūnaṃpāde vandāpetvāti ye tattha sannipatitā bhikkhū, tesaṃ pāde vandāpetvā; atha saraṇaggahaṇatthaṃ ukkuṭikaṃ nisīdāpetvā añjaliṃ paggaṇhāpetvā evaṃ vadehīti vattabbo. ‘‘Yamahaṃ vadāmi, taṃ vadehī’’ti vattabbo. Athassa upajjhāyena vā ācariyena vā ‘‘buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’tiādinā nayena saraṇāni dātabbāni yathāvuttapaṭipāṭiyāva na uppaṭipāṭiyā. Sace hi ekapadampi ekakkharampi uppaṭipāṭiyā deti, buddhaṃ saraṇaṃyeva vā tikkhattuṃ datvā puna itaresu ekekaṃ tikkhattuṃ deti, adinnāni honti saraṇāni.
อิมญฺจ ปน สรณคมนูปสมฺปทํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อนุญฺญาตอุปสมฺปทา เอกโต สุทฺธิยา วฎฺฎติฯ สามเณรปพฺพชฺชา ปน อุภโตสุทฺธิยาว วฎฺฎติ, โน เอกโต สุทฺธิยาฯ ตสฺมา อุปสมฺปทาย สเจ อาจริโย ญตฺติโทสเญฺจว กมฺมวาจาโทสญฺจ วเชฺชตฺวา กมฺมํ กโรติ, สุกตํ โหติฯ ปพฺพชฺชาย ปน อิมานิ ตีณิ สรณานิ พุการธการาทีนํ พฺยญฺชนานํ ฐานกรณสมฺปทํ อหาเปเนฺตเนว อาจริเยนปิ อเนฺตวาสิเกนปิ วตฺตพฺพานิฯ สเจ อาจริโย วตฺตุํ สโกฺกติ, อเนฺตวาสิโก น สโกฺกติ; อเนฺตวาสิโก วา สโกฺกติ, อาจริโย น สโกฺกติ; อุโภปิ วา น สโกฺกนฺติ, น วฎฺฎติฯ สเจ ปน อุโภปิ สโกฺกนฺติ, วฎฺฎติฯ
Imañca pana saraṇagamanūpasampadaṃ paṭikkhipitvā anuññātaupasampadā ekato suddhiyā vaṭṭati. Sāmaṇerapabbajjā pana ubhatosuddhiyāva vaṭṭati, no ekato suddhiyā. Tasmā upasampadāya sace ācariyo ñattidosañceva kammavācādosañca vajjetvā kammaṃ karoti, sukataṃ hoti. Pabbajjāya pana imāni tīṇi saraṇāni bukāradhakārādīnaṃ byañjanānaṃ ṭhānakaraṇasampadaṃ ahāpenteneva ācariyenapi antevāsikenapi vattabbāni. Sace ācariyo vattuṃ sakkoti, antevāsiko na sakkoti; antevāsiko vā sakkoti, ācariyo na sakkoti; ubhopi vā na sakkonti, na vaṭṭati. Sace pana ubhopi sakkonti, vaṭṭati.
อิมานิ จ ปน ททมาเนน ‘‘พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามี’’ติ เอวํ เอกสมฺพนฺธานิ อนุนาสิกนฺตานิ วา กตฺวา ทาตพฺพานิ, ‘‘พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามี’’ติ เอวํ วิจฺฉินฺทิตฺวา มการนฺตานิ วา กตฺวา ทาตพฺพานิฯ อนฺธกฎฺฐกถายํ นามํ สาเวตฺวา ‘‘อหํ ภเนฺต พุทฺธรกฺขิโต ยาวชีวํ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามี’’ติ วุตฺตํ, ตํ เอกอฎฺฐกถายมฺปิ นตฺถิ, ปาฬิยมฺปิ น วุตฺตํ, เตสํ รุจิมตฺตเมว, ตสฺมา น คเหตพฺพํฯ น หิ ตถา อวทนฺตสฺส สรณํ กุปฺปตีติฯ
Imāni ca pana dadamānena ‘‘buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’ti evaṃ ekasambandhāni anunāsikantāni vā katvā dātabbāni, ‘‘buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’ti evaṃ vicchinditvā makārantāni vā katvā dātabbāni. Andhakaṭṭhakathāyaṃ nāmaṃ sāvetvā ‘‘ahaṃ bhante buddharakkhito yāvajīvaṃ buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’ti vuttaṃ, taṃ ekaaṭṭhakathāyampi natthi, pāḷiyampi na vuttaṃ, tesaṃ rucimattameva, tasmā na gahetabbaṃ. Na hi tathā avadantassa saraṇaṃ kuppatīti.
อนุชานามิ ภิกฺขเว อิเมหิ ตีหิ สรณคมเนหิ ปพฺพชฺชํ อุปสมฺปทนฺติ อิเมหิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามีติอาทีหิ เอวํ ติกฺขตฺตุํ อุภโตสุทฺธิยา วุเตฺตหิ ตีหิ สรณคมเนหิ ปพฺพชฺชเญฺจว อุปสมฺปทญฺจ อนุชานามีติ อโตฺถฯ ตตฺถ ยสฺมา อุปสมฺปทา ปรโต ปฎิกฺขิตฺตา, ตสฺมา สา เอตรหิ สรณมเตฺตเนว น รุหติฯ ปพฺพชฺชา ปน ยสฺมา ปรโต ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อิเมหิ ตีหิ สรณคมเนหิ สามเณรปพฺพชฺช’’นฺติ อนุญฺญาตา เอว, ตสฺมา สา เอตรหิปิ สรณมเตฺตเนว รุหติฯ เอตฺตาวตา หิ สามเณรภูมิยํ ปติฎฺฐิโต โหติฯ
Anujānāmi bhikkhaveimehi tīhi saraṇagamanehi pabbajjaṃ upasampadanti imehi buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmītiādīhi evaṃ tikkhattuṃ ubhatosuddhiyā vuttehi tīhi saraṇagamanehi pabbajjañceva upasampadañca anujānāmīti attho. Tattha yasmā upasampadā parato paṭikkhittā, tasmā sā etarahi saraṇamatteneva na ruhati. Pabbajjā pana yasmā parato ‘‘anujānāmi, bhikkhave, imehi tīhi saraṇagamanehi sāmaṇerapabbajja’’nti anuññātā eva, tasmā sā etarahipi saraṇamatteneva ruhati. Ettāvatā hi sāmaṇerabhūmiyaṃ patiṭṭhito hoti.
สเจ ปเนส มติมา โหติ ปณฺฑิตชาติโก, อถสฺส ตสฺมิํเยว ฐาเน สิกฺขาปทานิ อุทฺทิสิตพฺพานิฯ กถํ? ยถา ภควตา อุทฺทิฎฺฐานิฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Sace panesa matimā hoti paṇḍitajātiko, athassa tasmiṃyeva ṭhāne sikkhāpadāni uddisitabbāni. Kathaṃ? Yathā bhagavatā uddiṭṭhāni. Vuttañhetaṃ –
‘‘อนุชานามิ , ภิกฺขเว, สามเณรานํ ทส สิกฺขาปทานิ, เตสุ จ สามเณเรหิ สิกฺขิตุํฯ ปาณาติปาตา เวรมณี, อทินฺนาทานา เวรมณี, อพฺรหฺมจริยา เวรมณี, มุสาวาทา เวรมณี, สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานา เวรมณี, วิกาลโภชนา เวรมณี, นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา เวรมณี, มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฎฺฐานา เวรมณี, อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี, ชาตรูปรชตปฎิคฺคหณา เวรมณี’’ติ (มหาว. ๑๐๖)ฯ
‘‘Anujānāmi , bhikkhave, sāmaṇerānaṃ dasa sikkhāpadāni, tesu ca sāmaṇerehi sikkhituṃ. Pāṇātipātā veramaṇī, adinnādānā veramaṇī, abrahmacariyā veramaṇī, musāvādā veramaṇī, surāmerayamajjapamādaṭṭhānā veramaṇī, vikālabhojanā veramaṇī, naccagītavāditavisūkadassanā veramaṇī, mālāgandhavilepanadhāraṇamaṇḍanavibhūsanaṭṭhānā veramaṇī, uccāsayanamahāsayanā veramaṇī, jātarūparajatapaṭiggahaṇā veramaṇī’’ti (mahāva. 106).
อนฺธกฎฺฐกถายํ ปน ‘‘อหํ, ภเนฺต, อิตฺถนฺนาโม ยาวชีวํ ปาณาติปาตา เวรมณิสิกฺขาปทํ
Andhakaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘ahaṃ, bhante, itthannāmo yāvajīvaṃ pāṇātipātā veramaṇisikkhāpadaṃ
สมาทิยามี’’ติ เอวํ สรณทานํ วิย สิกฺขาปททานมฺปิ วุตฺตํ, ตํ เนว ปาฬิยํ น อฎฺฐกถาสุ อตฺถิ, ตสฺมา ยถาปาฬิยาว อุทฺทิสิตพฺพานิฯ ปพฺพชฺชา หิ สรณคมเนเหว สิทฺธา, สิกฺขาปทานิ ปน เกวลํ สิกฺขาปริปูรณตฺถํ ชานิตพฺพานิฯ ตสฺมา ตานิ ปาฬิยํ อาคตนเยน อุคฺคเหตุํ อสโกฺกนฺตสฺส ยาย กายจิ ภาสาย อตฺถวเสนปิ อาจิกฺขิตุํ วฎฺฎติฯ ยาว ปน อตฺตนา สิกฺขิตพฺพสิกฺขาปทานิ น ชานาติ, สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารณฎฺฐานนิสชฺชาทีสุ ปานโภชนาทิวิธิมฺหิ จ น กุสโล โหติ, ตาว โภชนสาลํ วา สลากภาชนฎฺฐานํ วา อญฺญํ วา ตถารูปฎฺฐานํ น เปเสตโพฺพ, สนฺติกาวจโรเยว กาตโพฺพ, พาลทารโก วิย ปฎิชคฺคิตโพฺพ, สพฺพมสฺส กปฺปิยากปฺปิยํ อาจิกฺขิตพฺพํ, นิวาสนปารุปนาทีสุ อาภิสมาจาริเกสุ วิเนตโพฺพฯ เตนาปิ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทสหเงฺคหิ สมนฺนาคตํ สามเณรํ นาเสตุ’’นฺติ (มหาว. ๑๐๘) เอวํ ปรโต วุตฺตานิ ทส นาสนงฺคานิ อารกา ปริวเชฺชตฺวา อาภิสมาจาริกํ ปริปูเรเนฺตน ทสวิเธ สีเล สาธุกํ สิกฺขิตพฺพนฺติฯ
Samādiyāmī’’ti evaṃ saraṇadānaṃ viya sikkhāpadadānampi vuttaṃ, taṃ neva pāḷiyaṃ na aṭṭhakathāsu atthi, tasmā yathāpāḷiyāva uddisitabbāni. Pabbajjā hi saraṇagamaneheva siddhā, sikkhāpadāni pana kevalaṃ sikkhāparipūraṇatthaṃ jānitabbāni. Tasmā tāni pāḷiyaṃ āgatanayena uggahetuṃ asakkontassa yāya kāyaci bhāsāya atthavasenapi ācikkhituṃ vaṭṭati. Yāva pana attanā sikkhitabbasikkhāpadāni na jānāti, saṅghāṭipattacīvaradhāraṇaṭṭhānanisajjādīsu pānabhojanādividhimhi ca na kusalo hoti, tāva bhojanasālaṃ vā salākabhājanaṭṭhānaṃ vā aññaṃ vā tathārūpaṭṭhānaṃ na pesetabbo, santikāvacaroyeva kātabbo, bāladārako viya paṭijaggitabbo, sabbamassa kappiyākappiyaṃ ācikkhitabbaṃ, nivāsanapārupanādīsu ābhisamācārikesu vinetabbo. Tenāpi ‘‘anujānāmi, bhikkhave, dasahaṅgehi samannāgataṃ sāmaṇeraṃ nāsetu’’nti (mahāva. 108) evaṃ parato vuttāni dasa nāsanaṅgāni ārakā parivajjetvā ābhisamācārikaṃ paripūrentena dasavidhe sīle sādhukaṃ sikkhitabbanti.
ปพฺพชฺชากถา นิฎฺฐิตาฯ
Pabbajjākathā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi
๗. ปพฺพชฺชากถา • 7. Pabbajjākathā
๘. มารกถา • 8. Mārakathā
๙. ปพฺพชฺชูปสมฺปทากถา • 9. Pabbajjūpasampadākathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā
ปญฺญาสคิหิสหายปพฺพชฺชากถาวณฺณนา • Paññāsagihisahāyapabbajjākathāvaṇṇanā
มารกถาวณฺณนา • Mārakathāvaṇṇanā
ปพฺพชฺชูปสมฺปทากถาวณฺณนา • Pabbajjūpasampadākathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ปพฺพชฺชากถาวณฺณนา • Pabbajjākathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ปพฺพชฺชากถาวณฺณนา • Pabbajjākathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๗. ปพฺพชฺชากถา • 7. Pabbajjākathā