Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā |
ขนฺธกกถา
Khandhakakathā
มหาวโคฺค
Mahāvaggo
มหาขนฺธกกถา
Mahākhandhakakathā
ปพฺพชฺชากถาวณฺณนา
Pabbajjākathāvaṇṇanā
๒๔๔๔. อิเจฺจวํ นาติสเงฺขปวิตฺถารวเสน วิภงฺคทฺวเย, ตทฎฺฐกถาย จ อาคตํ วินิจฺฉยํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ขนฺธกาคตํ วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมารภโนฺต อาห ‘‘สีลกฺขนฺธาที’’ติอาทิฯ ตตฺถ สีลกฺขนฺธาทิยุเตฺตนาติ สีลสมาธิปญฺญาวิมุตฺติวิมุตฺติญาณทสฺสนสงฺขาเตหิ ปญฺจหิ ขเนฺธหิ คุณราสีหิ ยุเตฺตน สมนฺนาคเตนฯ สุภกฺขเนฺธนาติ สุวณฺณาลิงฺคสทิสวฎฺฎกฺขนฺธตาย สุโภ สุนฺทโร ขโนฺธ เอตสฺสาติ สุภกฺขโนฺธ, ภควา, เตนฯ อิมินา พาตฺติํสลกฺขณานเมกเทสภูตสฺส สมวฎฺฎกฺขนฺธตาลกฺขณสฺส ปริทีปเกน วจเนน ลกฺขณาหารนเยน พาตฺติํสลกฺขณาทิกา สพฺพาปิ รูปกายสิรี สนฺทสฺสิตาติ เวทิตพฺพาฯ
2444. Iccevaṃ nātisaṅkhepavitthāravasena vibhaṅgadvaye, tadaṭṭhakathāya ca āgataṃ vinicchayaṃ dassetvā idāni khandhakāgataṃ vinicchayaṃ dassetumārabhanto āha ‘‘sīlakkhandhādī’’tiādi. Tattha sīlakkhandhādiyuttenāti sīlasamādhipaññāvimuttivimuttiñāṇadassanasaṅkhātehi pañcahi khandhehi guṇarāsīhi yuttena samannāgatena. Subhakkhandhenāti suvaṇṇāliṅgasadisavaṭṭakkhandhatāya subho sundaro khandho etassāti subhakkhandho, bhagavā, tena. Iminā bāttiṃsalakkhaṇānamekadesabhūtassa samavaṭṭakkhandhatālakkhaṇassa paridīpakena vacanena lakkhaṇāhāranayena bāttiṃsalakkhaṇādikā sabbāpi rūpakāyasirī sandassitāti veditabbā.
ขนฺธเกติ ขนฺธานํ สมูโห ขนฺธโก, ขนฺธานํ วา กายนโต ทีปนโต ขนฺธโกฯ ‘‘ขนฺธา’’ติ เจตฺถ ปพฺพชฺชูปสมฺปทาทิวินยกมฺมสงฺขาตา, จาริตฺตวาริตฺตสิกฺขาปทสงฺขาตา จ ปญฺญตฺติโย อธิเปฺปตาฯ ปพฺพชฺชาทีนิ หิ ภควตา ปญฺญตฺตตฺตา ‘‘ปญฺญตฺติโย’’ติ วุจฺจนฺติฯ ปญฺญตฺติยญฺจ ขนฺธ-สโทฺท ทิสฺสติ ‘‘ทารุกฺขโนฺธ (สํ. นิ. ๔.๒๔๑) อคฺคิกฺขโนฺธ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๖) อุทกกฺขโนฺธ’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๖.๓๗) วิยฯ อปิจ ภาคราสตฺถตา เจตฺถ ยุชฺชติเยว ตาสํ ปญฺญตฺตีนํ ภาคโส, ราสิโต จ วิภตฺตตฺตาฯ ตสฺมิํ ขนฺธเกฯ ปิ-สโทฺท วุตฺตาเปกฺขาย ปญฺจสติกสตฺตสติกกฺขนฺธเก เทฺว วเชฺชตฺวา ปพฺพชฺชกฺขนฺธกาทิเก ภิกฺขุนิขนฺธกปริโยสาเน วีสติวิเธ ขนฺธเก วุตฺตวินิจฺฉยสฺส อิธ วกฺขมานตฺตาฯ ตเทว สนฺธายาห ‘‘ขนฺธเกปิ ปวกฺขามิ, สมาเสน วินิจฺฉย’’นฺติฯ
Khandhaketi khandhānaṃ samūho khandhako, khandhānaṃ vā kāyanato dīpanato khandhako. ‘‘Khandhā’’ti cettha pabbajjūpasampadādivinayakammasaṅkhātā, cārittavārittasikkhāpadasaṅkhātā ca paññattiyo adhippetā. Pabbajjādīni hi bhagavatā paññattattā ‘‘paññattiyo’’ti vuccanti. Paññattiyañca khandha-saddo dissati ‘‘dārukkhandho (saṃ. ni. 4.241) aggikkhandho (paṭi. ma. 1.116) udakakkhandho’’tiādīsu (a. ni. 6.37) viya. Apica bhāgarāsatthatā cettha yujjatiyeva tāsaṃ paññattīnaṃ bhāgaso, rāsito ca vibhattattā. Tasmiṃ khandhake. Pi-saddo vuttāpekkhāya pañcasatikasattasatikakkhandhake dve vajjetvā pabbajjakkhandhakādike bhikkhunikhandhakapariyosāne vīsatividhe khandhake vuttavinicchayassa idha vakkhamānattā. Tadeva sandhāyāha ‘‘khandhakepi pavakkhāmi, samāsena vinicchaya’’nti.
๒๔๔๕. ‘‘มาตรา ปิตรา’’ติ อิมินา ชนกาเยว อธิเปฺปตาฯ ‘‘ภณฺฑุกมฺมํ, สมณกรณํ, ปพฺพาชนนฺติ จ ปริยาย-สทฺทา’’ติ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สงฺฆํ อปโลเกตุํ ภณฺฑุกมฺมายา’’ติ (มหาว. ๙๘) อิมิสฺสา ปาฬิยา อฎฺฐกถาย (มหาว. อฎฺฐ. ๙๘) วุตฺตํฯ อาปุจฺฉิตฺวาติ เอตฺถ ‘‘สงฺฆ’’นฺติ เสโสฯ
2445.‘‘Mātarā pitarā’’ti iminā janakāyeva adhippetā. ‘‘Bhaṇḍukammaṃ, samaṇakaraṇaṃ, pabbājananti ca pariyāya-saddā’’ti ‘‘anujānāmi, bhikkhave, saṅghaṃ apaloketuṃ bhaṇḍukammāyā’’ti (mahāva. 98) imissā pāḷiyā aṭṭhakathāya (mahāva. aṭṭha. 98) vuttaṃ. Āpucchitvāti ettha ‘‘saṅgha’’nti seso.
๒๔๔๖. วาวโฎติ ปสุโต, ยุตฺตปยุโตฺตติ อโตฺถฯ ‘‘ปพฺพาเชตฺวา อานย อิติ จา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ เอตฺถ จ ติธา ปพฺพาชนํ เวทิตพฺพํ เกสเจฺฉทนํ, กาสายอจฺฉาทนํ, สรณทานนฺติ, อิมานิ ตีณิ กโรโนฺต ‘‘ปพฺพาเชตี’’ติ วุจฺจติฯ เตสุ เอกํ, เทฺว วาปิ กโรโนฺต ตถา โวหรียติเยวฯ ตสฺมา ‘‘ปพฺพาเชตฺวานยา’’ติ อิมินา เกเส ฉินฺทิตฺวา กาสายานิ อจฺฉาเทตฺวา อาเนหีติ อยมโตฺถ ทีปิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ
2446.Vāvaṭoti pasuto, yuttapayuttoti attho. ‘‘Pabbājetvā ānaya iti cā’’ti padacchedo. Ettha ca tidhā pabbājanaṃ veditabbaṃ kesacchedanaṃ, kāsāyaacchādanaṃ, saraṇadānanti, imāni tīṇi karonto ‘‘pabbājetī’’ti vuccati. Tesu ekaṃ, dve vāpi karonto tathā voharīyatiyeva. Tasmā ‘‘pabbājetvānayā’’ti iminā kese chinditvā kāsāyāni acchādetvā ānehīti ayamattho dīpitoti daṭṭhabbo.
๒๔๔๗. อวุโตฺตติ อุปชฺฌาเยน อนุโยฺยชิโตฯ โส ทหโร สเจ ตํ สยเมว เกสเจฺฉทนกาสายจฺฉาทเนหิ ปพฺพาเชติ, วฎฺฎตีติ โยชนาฯ
2447.Avuttoti upajjhāyena anuyyojito. So daharo sace taṃ sayameva kesacchedanakāsāyacchādanehi pabbājeti, vaṭṭatīti yojanā.
๒๔๔๘. ตตฺถาติ อตฺตโน สมีเปฯ ขณฺฑสีมํ เนตฺวาติ ภณฺฑุกมฺมาโรจนปริหารตฺถํ วุตฺตํฯ เตน สภิกฺขุเก วิหาเร อญฺญมฺปิ ภิกฺขุํ ‘‘เอตสฺส เกเส ฉินฺทา’’ติ วตฺตุํ น วฎฺฎติฯ ปพฺพาเชตฺวาติ เกสเจฺฉทนํ สนฺธาย วทติฯ
2448.Tatthāti attano samīpe. Khaṇḍasīmaṃ netvāti bhaṇḍukammārocanaparihāratthaṃ vuttaṃ. Tena sabhikkhuke vihāre aññampi bhikkhuṃ ‘‘etassa kese chindā’’ti vattuṃ na vaṭṭati. Pabbājetvāti kesacchedanaṃ sandhāya vadati.
๒๔๕๐. ‘‘ปุริสํ ภิกฺขุโต อโญฺญ, ปพฺพาเชติ น วฎฺฎตี’’ติ อิทํ สรณทานํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เตเนวาห ‘‘สามเณโร’’ติอาทิฯ
2450.‘‘Purisaṃbhikkhuto añño, pabbājeti na vaṭṭatī’’ti idaṃ saraṇadānaṃ sandhāya vuttaṃ. Tenevāha ‘‘sāmaṇero’’tiādi.
๒๔๕๑. อุภินฺนมฺปิ เถรเถรีนํ ‘‘อิเมหิ จีวเรหิ อิมํ อจฺฉาเทหี’’ติ อาณตฺติยา สามเณโรปิ วา โหตุ, ตถา สามเณรี วา โหตุ, เต อุโภ สามเณรสามเณรี กาสายานิ ทาตุํ ลภนฺตีติ โยชนาฯ
2451.Ubhinnampi theratherīnaṃ ‘‘imehi cīvarehi imaṃ acchādehī’’ti āṇattiyā sāmaṇeropi vā hotu, tathā sāmaṇerī vā hotu, te ubho sāmaṇerasāmaṇerī kāsāyāni dātuṃ labhantīti yojanā.
๒๔๕๒-๔. ปพฺพาเชเนฺตน ภิกฺขุนาติ เอตฺถ ‘‘ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ ทตฺวา’’ติ วตฺตพฺพํ เอวญฺหิ กตฺวา เกสาปนยนสฺส อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตาฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ ‘‘อาวุโส, สุฎฺฐุ อุปธาเรหิ, สติํ อุปฎฺฐาเปหีติ วตฺวา ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิตพฺพํฯ อาจิกฺขเนฺตน จ วณฺณสณฺฐานคนฺธาสโยกาสวเสน อสุจิเชคุจฺฉปฎิกฺกูลภาวํ, นิชฺชีวนิสฺสตฺตภาวํ วา ปากฎํ กโรเนฺตน อาจิกฺขิตพฺพ’’นฺติอาทิฯ กิมตฺถเมวํ กรียตีติ เจ? สเจ อุปนิสฺสยสมฺปโนฺน โหติ, ตสฺส ขุรเคฺคเยว อรหตฺตปาปุณนตฺถํฯ วุตฺตเญฺจตํ อฎฺฐกถายํ –
2452-4.Pabbājentena bhikkhunāti ettha ‘‘tacapañcakakammaṭṭhānaṃ datvā’’ti vattabbaṃ evañhi katvā kesāpanayanassa aṭṭhakathāyaṃ vuttattā. Vuttañhi tattha ‘‘āvuso, suṭṭhu upadhārehi, satiṃ upaṭṭhāpehīti vatvā tacapañcakakammaṭṭhānaṃ ācikkhitabbaṃ. Ācikkhantena ca vaṇṇasaṇṭhānagandhāsayokāsavasena asucijegucchapaṭikkūlabhāvaṃ, nijjīvanissattabhāvaṃ vā pākaṭaṃ karontena ācikkhitabba’’ntiādi. Kimatthamevaṃ karīyatīti ce? Sace upanissayasampanno hoti, tassa khuraggeyeva arahattapāpuṇanatthaṃ. Vuttañcetaṃ aṭṭhakathāyaṃ –
‘‘เย หิ เกจิ ขุรเคฺค อรหตฺตํ ปตฺตา, สเพฺพ เต เอวรูปํ สวนํ ลภิตฺวา กลฺยาณมิเตฺตน อาจริเยน ทินฺนนยํ นิสฺสาย, โน อนิสฺสาย, ตสฺมาสฺส อาทิโตว เอวรูปี กถา กเถตพฺพา’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔)ฯ
‘‘Ye hi keci khuragge arahattaṃ pattā, sabbe te evarūpaṃ savanaṃ labhitvā kalyāṇamittena ācariyena dinnanayaṃ nissāya, no anissāya, tasmāssa āditova evarūpī kathā kathetabbā’’ti (mahāva. aṭṭha. 34).
เอเตเนว พฺยติเรกโต อิโต อญฺญา อนิยฺยานิกกถา น กเถตพฺพาติ ทีปิตํ โหติฯ โคมยาทินาติ โคมยจุณฺณาทินาฯ อาทิ-สเทฺทน มตฺติกาทีนํ คหณํฯ ปีฬกา วาติ ถุลฺลปีฬกา วาฯ กจฺฉุ วาติ สุขุมกจฺฉุ วาฯ นิยํปุตฺตนฺติ อตฺตโน ปุตฺตํฯ ‘‘ภิกฺขุนา’’ติ อิมสฺส ปทสฺส ทูรตฺตา ‘‘ยตินา’’ติ อาหฯ
Eteneva byatirekato ito aññā aniyyānikakathā na kathetabbāti dīpitaṃ hoti. Gomayādināti gomayacuṇṇādinā. Ādi-saddena mattikādīnaṃ gahaṇaṃ. Pīḷakā vāti thullapīḷakā vā. Kacchu vāti sukhumakacchu vā. Niyaṃputtanti attano puttaṃ. ‘‘Bhikkhunā’’ti imassa padassa dūrattā ‘‘yatinā’’ti āha.
๒๔๕๕-๖. กสฺมา ปน เอวํ นหาเปตโพฺพติ อาห ‘‘เอตฺตเกนาปี’’ติอาทิฯ โสติ ปพฺพชฺชาเปโกฺขฯ อุปชฺฌายกาทิสูติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อาจริยสมานุปชฺฌายกาทีนํ คหณํฯ ปาปุณนฺติ หีติ เอตฺถ หิ-สโทฺท ยสฺมา-ปทเตฺถ วตฺตติฯ ยสฺมา เอตฺตเกนาปิ อุปชฺฌายาทีสุ สคารโว โหติ, ยสฺมา จ เอวรูปํ อุปการํ ลภิตฺวา กุลปุตฺตา อุปฺปนฺนํ อนภิรติํ ปฎิวิโนเทตฺวา สิกฺขาโย ปริปูเรตฺวา นิพฺพานํ ปาปุณิสฺสนฺติ, ตสฺมา เอวรูโป อุปกาโร กาตโพฺพติ อโตฺถฯ
2455-6. Kasmā pana evaṃ nahāpetabboti āha ‘‘ettakenāpī’’tiādi. Soti pabbajjāpekkho. Upajjhāyakādisūti ettha ādi-saddena ācariyasamānupajjhāyakādīnaṃ gahaṇaṃ. Pāpuṇanti hīti ettha hi-saddo yasmā-padatthe vattati. Yasmā ettakenāpi upajjhāyādīsu sagāravo hoti, yasmā ca evarūpaṃ upakāraṃ labhitvā kulaputtā uppannaṃ anabhiratiṃ paṭivinodetvā sikkhāyo paripūretvā nibbānaṃ pāpuṇissanti, tasmā evarūpo upakāro kātabboti attho.
๒๔๕๘. เอกโตติ สพฺพานิ จีวรานิ เอกโต กตฺวาฯ
2458.Ekatoti sabbāni cīvarāni ekato katvā.
๒๔๕๙. อถาติ อธิการนฺตรารเมฺภ นิปาโตฯ ตสฺส หเตฺถ อทตฺวาปิ อุปชฺฌาโย วา อาจริโย วาปิ สยเมว ตํ ปพฺพชฺชาเปกฺขํ อจฺฉาเทติ, วฎฺฎตีติ โยชนาฯ
2459.Athāti adhikārantarārambhe nipāto. Tassa hatthe adatvāpi upajjhāyo vā ācariyo vāpi sayameva taṃ pabbajjāpekkhaṃ acchādeti, vaṭṭatīti yojanā.
๒๔๖๐. อทินฺนจีวรสฺส อคฺคเหตพฺพตฺตา อาห ‘‘อปเนตฺวา ตโต สพฺพํ, ปุน ทาตพฺพเมว ต’’นฺติฯ ตโตติ ตสฺส สรีรโตฯ ตนฺติ จีวรํฯ
2460. Adinnacīvarassa aggahetabbattā āha ‘‘apanetvā tato sabbaṃ, puna dātabbameva ta’’nti. Tatoti tassa sarīrato. Tanti cīvaraṃ.
๒๔๖๑-๒. เอตเทว อาห ‘‘ภิกฺขุนา’’ติอาทินาฯ อทินฺนํ น วฎฺฎตีติ เอตฺถ ปพฺพชฺชา น รุหตีติ วทนฺติฯ ตเสฺสว สนฺตกํ วาปิ จีวรํ อทินฺนํ น วฎฺฎติ อตฺตสนฺตเก อาจริยุปชฺฌายานํ อตฺตโน สนฺตเก จีวเร กา กถา วตฺตพฺพเมว นตฺถีติ อโตฺถฯ ภิกฺขูติ เย ตตฺถ สนฺนิปติตาฯ การาเปตฺวาน อุกฺกุฎินฺติ เอตฺถ สพฺพธาตฺวตฺถานุคโต กโรติ-สโทฺท คหิโตติ อุกฺกุฎิกํ นิสีทาเปตฺวาติ อโตฺถ คเหตโพฺพ, ‘‘อุกฺกุฎิก’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔) อฎฺฐกถาปาโฐ คาถาพนฺธสุขตฺถํ อิธ ก-การโลเปน นิทฺทิโฎฺฐฯ
2461-2. Etadeva āha ‘‘bhikkhunā’’tiādinā. Adinnaṃ na vaṭṭatīti ettha pabbajjā na ruhatīti vadanti. Tasseva santakaṃ vāpi cīvaraṃ adinnaṃ na vaṭṭati attasantake ācariyupajjhāyānaṃ attano santake cīvare kā kathā vattabbameva natthīti attho. Bhikkhūti ye tattha sannipatitā. Kārāpetvāna ukkuṭinti ettha sabbadhātvatthānugato karoti-saddo gahitoti ukkuṭikaṃ nisīdāpetvāti attho gahetabbo, ‘‘ukkuṭika’’nti (mahāva. aṭṭha. 34) aṭṭhakathāpāṭho gāthābandhasukhatthaṃ idha ka-kāralopena niddiṭṭho.
๒๔๖๔. เอกปทํ วาปีติ พุทฺธมิจฺจาทิกํ เอกมฺปิ วา ปทํฯ เอกกฺขรมฺปิ วาติ พุการาทิอกฺขเรสุ เอกมฺปิ วา อกฺขรํฯ ปฎิปาฎินฺติ ‘‘พุทฺธ’’มิจฺจาทิกํ ปทปนฺติํฯ
2464.Ekapadaṃvāpīti buddhamiccādikaṃ ekampi vā padaṃ. Ekakkharampi vāti bukārādiakkharesu ekampi vā akkharaṃ. Paṭipāṭinti ‘‘buddha’’miccādikaṃ padapantiṃ.
๒๔๖๕. อกตฺตพฺพปฺปการนฺตรํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ติกฺขตฺตุํ ยทิ วา’’ติอาทิฯ ตถา เสเสสูติ ยทิ วา ‘‘ธมฺมํ สรณ’’นฺติ ติกฺขตฺตุํ เทติ, ‘‘สงฺฆํ สรณ’’นฺติ ยทิ วา ติกฺขตฺตุํ เทติ, เอวมฺปิ ตีณิ สรณานิ อทินฺนาเนว โหนฺติฯ
2465. Akattabbappakārantaraṃ dassetumāha ‘‘tikkhattuṃ yadi vā’’tiādi. Tathā sesesūti yadi vā ‘‘dhammaṃ saraṇa’’nti tikkhattuṃ deti, ‘‘saṅghaṃ saraṇa’’nti yadi vā tikkhattuṃ deti, evampi tīṇi saraṇāni adinnāneva honti.
๒๔๖๖. อนุนาสิกนฺตานิ กตฺวา ทาตพฺพานีติ สมฺพโนฺธฯ อนุนาสิกนฺตํ กตฺวา ทานกาเล อนฺตราวิเจฺฉทํ อกตฺวา ทาตพฺพานีติ ทเสฺสตุํ ‘‘เอกาพทฺธานิ วา ปนา’’ติ วุตฺตํฯ วิจฺฉินฺทิตฺวา ปทปฎิปาฎิโต ม-การนฺตํ กตฺวา ทานสมเย วิเจฺฉทํ กตฺวาฯ มนฺตานีติ ‘‘พุทฺธํ สรณํ อิจฺจาทินา ม-การนฺตานิฯ ‘‘พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามี’’ติอาทินา นเยน นิคฺคหิตนฺตเมว กตฺวา น ทาตพฺพนฺติ ‘‘อถา’’ติ อาหฯ
2466. Anunāsikantāni katvā dātabbānīti sambandho. Anunāsikantaṃ katvā dānakāle antarāvicchedaṃ akatvā dātabbānīti dassetuṃ ‘‘ekābaddhāni vā panā’’ti vuttaṃ. Vicchinditvā padapaṭipāṭito ma-kārantaṃ katvā dānasamaye vicchedaṃ katvā. Mantānīti ‘‘buddhaṃ saraṇaṃ iccādinā ma-kārantāni. ‘‘Buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’tiādinā nayena niggahitantameva katvā na dātabbanti ‘‘athā’’ti āha.
๒๔๖๗. สุทฺธิ นาม อาจริยสฺส ญตฺติยา, กมฺมวาจาย จ อุจฺจารณวิสุทฺธิฯ ปพฺพชฺชาติ สามเณรสามเณริปพฺพชฺชาฯ อุภโตสุทฺธิยา วินาติ อุภโตสุทฺธิํ วินา อาจริยเนฺตวาสีนํ อุภินฺนํ ตีสุ สรณตฺตยทานคฺคหเณสุ อุจฺจารณสุทฺธิํ วินา, เอกสฺสาปิ อกฺขรสฺส วิปตฺติสพฺภาเว น โหตีติ อโตฺถฯ
2467.Suddhi nāma ācariyassa ñattiyā, kammavācāya ca uccāraṇavisuddhi. Pabbajjāti sāmaṇerasāmaṇeripabbajjā. Ubhatosuddhiyā vināti ubhatosuddhiṃ vinā ācariyantevāsīnaṃ ubhinnaṃ tīsu saraṇattayadānaggahaṇesu uccāraṇasuddhiṃ vinā, ekassāpi akkharassa vipattisabbhāve na hotīti attho.
๒๔๖๘-๙. ‘‘ปพฺพชฺชาคุณมิจฺฉตา’’ติ อิทํ ‘‘อาจริเยน, อเนฺตวาสิเกนา’’ติ ปททฺวยสฺส วิเสสนํ ทฎฺฐพฺพํ, อเนฺตวาสิกสฺส ปพฺพชฺชาคุณํ อิจฺฉเนฺตน อาจริเยน, อตฺตโน ปพฺพชฺชาคุณํ อิจฺฉเนฺตน อเนฺตวาสิเกน จ พุ-ทฺธ-การาทโย วณฺณา พุ-การ ธ-การาทโย วณฺณา อกฺขรา ฐานกรณสมฺปทํ กณฺฐตาลุมุทฺธทนฺตโอฎฺฐนาสิกาเภทํ ฐานสมฺปทญฺจ อกฺขรุปฺปตฺติสาธกตมชิวฺหามชฺฌาทิกรณสมฺปทญฺจ อหาเปเนฺตน อปริหาเปเนฺตน วตฺตพฺพาติ โยชนาฯ กสฺมา อิทเมว ทฬฺหํ กตฺวา วุตฺตนฺติ อาห ‘‘เอกวณฺณวินาเสนา’’ติอาทิฯ หิ-สโทฺท ยสฺมา-ปทเตฺถ, ยสฺมา เอกสฺสาปิ วณฺณสฺส วินาเสน อนุจฺจารเณน วา ทุรุจฺจารเณน วา ปพฺพชฺชา น รุหติ, ตสฺมา เอวํ วุตฺตนฺติ อธิปฺปาโยฯ
2468-9.‘‘Pabbajjāguṇamicchatā’’ti idaṃ ‘‘ācariyena, antevāsikenā’’ti padadvayassa visesanaṃ daṭṭhabbaṃ, antevāsikassa pabbajjāguṇaṃ icchantena ācariyena, attano pabbajjāguṇaṃ icchantena antevāsikena ca bu-ddha-kārādayo vaṇṇā bu-kāra dha-kārādayo vaṇṇā akkharā ṭhānakaraṇasampadaṃ kaṇṭhatālumuddhadantaoṭṭhanāsikābhedaṃ ṭhānasampadañca akkharuppattisādhakatamajivhāmajjhādikaraṇasampadañca ahāpentena aparihāpentena vattabbāti yojanā. Kasmā idameva daḷhaṃ katvā vuttanti āha ‘‘ekavaṇṇavināsenā’’tiādi. Hi-saddo yasmā-padatthe, yasmā ekassāpi vaṇṇassa vināsena anuccāraṇena vā duruccāraṇena vā pabbajjā na ruhati, tasmā evaṃ vuttanti adhippāyo.
๒๔๗๐. ยทิ สิทฺธาติ สาสงฺกวจเนน อุภโตอุจฺจารณสุทฺธิยา ทุกฺกรตฺตํ ทีเปตฺวา ‘‘อปฺปมเตฺตหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ อุภินฺนํ อาจริยเนฺตวาสิกานํ อนุสิฎฺฐิ ทินฺนา โหติฯ สรณคมนโตวาติ อวธารเณน สามเณรปพฺพชฺชา อุปสมฺปทา วิย ญตฺติจตุเตฺถน กเมฺมน น โหติ, อิทานิปิ สรณคมเนเนว สิชฺฌตีติ ทีเปติฯ หิ-สโทฺท ปสิทฺธิยํฯ ยถาห –
2470.Yadi siddhāti sāsaṅkavacanena ubhatouccāraṇasuddhiyā dukkarattaṃ dīpetvā ‘‘appamattehi bhavitabba’’nti ubhinnaṃ ācariyantevāsikānaṃ anusiṭṭhi dinnā hoti. Saraṇagamanatovāti avadhāraṇena sāmaṇerapabbajjā upasampadā viya ñatticatutthena kammena na hoti, idānipi saraṇagamaneneva sijjhatīti dīpeti. Hi-saddo pasiddhiyaṃ. Yathāha –
‘‘ยสฺมา สรณคมเนน อุปสมฺปทา ปรโต ปฎิกฺขิตฺตา, ตสฺมา สา เอตรหิ สรณคมนมเตฺตเนว น รุหติฯ สามเณรสฺส ปพฺพชฺชา ปน ยสฺมา ปรโตปิ ‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อิเมหิ ตีหิ สรณคมเนหิ สามเณรปพฺพชฺช’นฺติ (มหาว. ๑๐๕) อนุญฺญาตา เอว, ตสฺมา สา เอตรหิปิ สรณคมนมเตฺตเนว รุหตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔)ฯ
‘‘Yasmā saraṇagamanena upasampadā parato paṭikkhittā, tasmā sā etarahi saraṇagamanamatteneva na ruhati. Sāmaṇerassa pabbajjā pana yasmā paratopi ‘anujānāmi, bhikkhave, imehi tīhi saraṇagamanehi sāmaṇerapabbajja’nti (mahāva. 105) anuññātā eva, tasmā sā etarahipi saraṇagamanamatteneva ruhatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 34).
สรณคมนโต เอว ปพฺพชฺชา ยทิปิ กิญฺจาปิ สิทฺธา นิปฺผนฺนา, ตถาปิ อสฺส สามเณรสฺส ‘‘อิทญฺจิทญฺจ มยา ปูเรตพฺพํ สีล’’นฺติ ญตฺวา ปริปูรณตฺถาย ภิกฺขุนา ทส สีลานิ ทาตพฺพานีติ โยชนาฯ ยถาห ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สามเณรานํ ทส สิกฺขาปทานิ, เตสุ จ สามเณเรหิ สิกฺขิตุํฯ ปาณาติปาตา เวรมณี’’ติอาทิ (มหาว. ๑๐๖)ฯ
Saraṇagamanato eva pabbajjā yadipi kiñcāpi siddhā nipphannā, tathāpi assa sāmaṇerassa ‘‘idañcidañca mayā pūretabbaṃ sīla’’nti ñatvā paripūraṇatthāya bhikkhunā dasa sīlāni dātabbānīti yojanā. Yathāha ‘‘anujānāmi, bhikkhave, sāmaṇerānaṃ dasa sikkhāpadāni, tesu ca sāmaṇerehi sikkhituṃ. Pāṇātipātā veramaṇī’’tiādi (mahāva. 106).
ปพฺพชฺชากถาวณฺณนาฯ
Pabbajjākathāvaṇṇanā.
๒๔๗๑. อุปชฺฌายนฺติ วชฺชาวเชฺช อุปนิชฺฌายตีติ อุปชฺฌาโย, ตํ, ภควตา วุเตฺตหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคโต ปริปุณฺณทสวโสฺส ปุคฺคโลฯ นิวาเสตฺวา จ ปารุปิตฺวา จ สิรสิ อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา อตฺตโน อภิมุเข อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา ‘‘อุปชฺฌาโย เม, ภเนฺต, โหหี’’ติ ติกฺขตฺตุํ วตฺวา อายาจนาย กตาย ‘‘สาหุ, ลหุ, โอปายิกํ, ปฎิรูปํ, ปาสาทิเกน สมฺปาเทหี’’ติ อิเมสุ ปญฺจสุ ปเทสุ อญฺญตรํ กาเยน วา วาจาย วา อุภเยน วา วิญฺญาเปตฺวา ตสฺมิํ สมฺปฎิจฺฉิเต ปิตุฎฺฐาเน ฐตฺวา อตฺรชมิว ตํ คเหตฺวา วชฺชาวชฺชํ อุปปริกฺขิตฺวา โทเสน นิคฺคณฺหิตฺวา สทฺธิวิหาริเก สิกฺขาเปโนฺต อุปชฺฌาโย นามฯ
2471.Upajjhāyanti vajjāvajje upanijjhāyatīti upajjhāyo, taṃ, bhagavatā vuttehi aṅgehi samannāgato paripuṇṇadasavasso puggalo. Nivāsetvā ca pārupitvā ca sirasi añjaliṃ paggahetvā attano abhimukhe ukkuṭikaṃ nisīditvā ‘‘upajjhāyo me, bhante, hohī’’ti tikkhattuṃ vatvā āyācanāya katāya ‘‘sāhu, lahu, opāyikaṃ, paṭirūpaṃ, pāsādikena sampādehī’’ti imesu pañcasu padesu aññataraṃ kāyena vā vācāya vā ubhayena vā viññāpetvā tasmiṃ sampaṭicchite pituṭṭhāne ṭhatvā atrajamiva taṃ gahetvā vajjāvajjaṃ upaparikkhitvā dosena niggaṇhitvā saddhivihārike sikkhāpento upajjhāyo nāma.
วิชฺชาสิปฺปํ, อาจารสมาจารํ วา สิกฺขิตุกาเมหิ อาทเรน จริตโพฺพ อุปฎฺฐาตโพฺพติ อาจริโย, ตํ, อุปชฺฌาเย วุตฺตลกฺขณสมนฺนาคโตเยว ปุคฺคโลฯ วุตฺตนเยเนว นิสีทิตฺวา ‘‘อาจริโย เม, ภเนฺต, โหหิ, อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามี’’ติ ติกฺขตฺตุํ วตฺวา อายาจนาย กตาย ‘‘สาหู’’ติอาทีสุ ปญฺจสุ อญฺญตรํ วตฺวา ตสฺมิํ สมฺปฎิจฺฉิเต ปิตุฎฺฐาเน ฐตฺวา ปุตฺตฎฺฐานิยํ อเนฺตวาสิํ สิกฺขาเปโนฺต อาจริโย นามฯ
Vijjāsippaṃ, ācārasamācāraṃ vā sikkhitukāmehi ādarena caritabbo upaṭṭhātabboti ācariyo, taṃ, upajjhāye vuttalakkhaṇasamannāgatoyeva puggalo. Vuttanayeneva nisīditvā ‘‘ācariyo me, bhante, hohi, āyasmato nissāya vacchāmī’’ti tikkhattuṃ vatvā āyācanāya katāya ‘‘sāhū’’tiādīsu pañcasu aññataraṃ vatvā tasmiṃ sampaṭicchite pituṭṭhāne ṭhatvā puttaṭṭhāniyaṃ antevāsiṃ sikkhāpento ācariyo nāma.
เอตฺถ จ สาหูติ สาธุฯ ลหูติ อครุ, มม ตุยฺหํ อุปชฺฌายภาเว ภาริยํ นตฺถีติ อโตฺถฯ โอปายิกนฺติ อุปายปฎิสํยุตฺตํ, ตํ อุปชฺฌายคฺคหณํ อิมินา อุปาเยน ตฺวํ เม อิโต ปฎฺฐาย ภาโร ชาโตสีติ วุตฺตํ โหติฯ ปฎิรูปนฺติ อนุรูปํ เต อุปชฺฌายคฺคหณนฺติ อโตฺถฯ ปาสาทิเกนาติ ปสาทาวเหน กายวจีปโยเคนฯ สมฺปาเทหีติ ติวิธํ สิกฺขํ นิปฺผาเทหีติ อโตฺถฯ กาเยน วาติ หตฺถมุทฺทาทิํ ทเสฺสโนฺต กาเยน วาฯ นามวิเสสํ วินา ปูเรตพฺพวตฺตานํ สมตาย อุโภปิ เอกโต วุตฺตาฯ
Ettha ca sāhūti sādhu. Lahūti agaru, mama tuyhaṃ upajjhāyabhāve bhāriyaṃ natthīti attho. Opāyikanti upāyapaṭisaṃyuttaṃ, taṃ upajjhāyaggahaṇaṃ iminā upāyena tvaṃ me ito paṭṭhāya bhāro jātosīti vuttaṃ hoti. Paṭirūpanti anurūpaṃ te upajjhāyaggahaṇanti attho. Pāsādikenāti pasādāvahena kāyavacīpayogena. Sampādehīti tividhaṃ sikkhaṃ nipphādehīti attho. Kāyena vāti hatthamuddādiṃ dassento kāyena vā. Nāmavisesaṃ vinā pūretabbavattānaṃ samatāya ubhopi ekato vuttā.
เอตานิ วตฺตานิ อุปชฺฌายสฺส สทฺธิวิหาริเกน, อาจริยสฺส อเนฺตวาสิเกนาปิ เอวเมว กาตพฺพาเนวาติฯ วสตาติ วสเนฺตนฯ ปิยสีเลนาติ ปิยํ สีลเมตสฺสาติ ปิยสีโล, เตน, สีลํ ปริปูริตุกาเมนาติ วุตฺตํ โหติฯ
Etāni vattāni upajjhāyassa saddhivihārikena, ācariyassa antevāsikenāpi evameva kātabbānevāti. Vasatāti vasantena. Piyasīlenāti piyaṃ sīlametassāti piyasīlo, tena, sīlaṃ paripūritukāmenāti vuttaṃ hoti.
๒๔๗๒-๓. อาสนํ ปญฺญเปตพฺพนฺติ เอตฺถ ‘‘กาลเสฺสว วุฎฺฐาย อุปาหนา โอมุญฺจิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา’’ติ (มหาว. ๖๖) วุตฺตา ปุพฺพกิริยา วตฺตพฺพาฯ อาสนํ ปญฺญเปตพฺพนฺติ ทนฺตกฎฺฐขาทนฎฺฐานํ สมฺมชฺชิตฺวา นิสีทนตฺถาย อาสนํ ปญฺญเปตพฺพํฯ อิมินา จ ยาคุปานฎฺฐานาทีสุปิ อาสนานิ ปญฺญเปตพฺพาเนวาติ ทสฺสิตํ โหติฯ
2472-3.Āsanaṃ paññapetabbanti ettha ‘‘kālasseva vuṭṭhāya upāhanā omuñcitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā’’ti (mahāva. 66) vuttā pubbakiriyā vattabbā. Āsanaṃ paññapetabbanti dantakaṭṭhakhādanaṭṭhānaṃ sammajjitvā nisīdanatthāya āsanaṃ paññapetabbaṃ. Iminā ca yāgupānaṭṭhānādīsupi āsanāni paññapetabbānevāti dassitaṃ hoti.
ทนฺตกฎฺฐํ ทาตพฺพนฺติ มหนฺตํ, มชฺฌิมํ, ขุทฺทกนฺติ ตีณิ ทนฺตกฎฺฐานิ อุปเนตฺวา ตโต ยํ ตีณิ ทิวสานิ คณฺหาติ, จตุตฺถทิวสโต ปฎฺฐาย ตาทิสเมว ทาตพฺพํฯ สเจ อนิยมํ กตฺวา ยํ วา ตํ วา คณฺหาติ, อถ ยาทิสํ ลภติ, ตาทิสํ ทาตพฺพํฯ
Dantakaṭṭhaṃ dātabbanti mahantaṃ, majjhimaṃ, khuddakanti tīṇi dantakaṭṭhāni upanetvā tato yaṃ tīṇi divasāni gaṇhāti, catutthadivasato paṭṭhāya tādisameva dātabbaṃ. Sace aniyamaṃ katvā yaṃ vā taṃ vā gaṇhāti, atha yādisaṃ labhati, tādisaṃ dātabbaṃ.
มุโขทกํ ทาตพฺพนฺติ มุขโธวโนทกํ มุโขทกนฺติ มเชฺฌปทโลปีสมาโส, ตํ เทเนฺตน สีตญฺจ อุณฺหญฺจ อุทกํ อุปเนตฺวา ตโต ยํ ตีณิ ทิวสานิ วฬเญฺชติ, จตุตฺถทิวสโต ปฎฺฐาย ตาทิสเมว มุขโธวโนทกํ ทาตพฺพํฯ สเจ อนิยมํ กตฺวา ยํ วา ตํ วา คณฺหาติ, อถ ยาทิสํ ลภติ, ตาทิสํ ทาตพฺพํฯ สเจ ทุวิธมฺปิ วฬเญฺชติ, ทุวิธมฺปิ อุปเนตพฺพํฯ ‘‘มุโขทกํ มุขโธวนฎฺฐาเน ฐเปตฺวา อวเสสฎฺฐานานิ สมฺมชฺชิตพฺพานิฯ สมฺมชฺชเนฺตน จ วจฺจกุฎิโต ปฎฺฐาย สมฺมชฺชิตพฺพํฯ เถเร วจฺจกุฎิํ คเต ปริเวณํ สมฺมชฺชิตพฺพํ, เอวํ ปริเวณํ อสุญฺญํ โหตี’’ติ อฎฺฐกถายํ (มหาว. อฎฺฐ. ๖๔ อตฺถโต สมานํ) วุตฺตนเยเนว สมฺมชฺชิตพฺพํฯ
Mukhodakaṃ dātabbanti mukhadhovanodakaṃ mukhodakanti majjhepadalopīsamāso, taṃ dentena sītañca uṇhañca udakaṃ upanetvā tato yaṃ tīṇi divasāni vaḷañjeti, catutthadivasato paṭṭhāya tādisameva mukhadhovanodakaṃ dātabbaṃ. Sace aniyamaṃ katvā yaṃ vā taṃ vā gaṇhāti, atha yādisaṃ labhati, tādisaṃ dātabbaṃ. Sace duvidhampi vaḷañjeti, duvidhampi upanetabbaṃ. ‘‘Mukhodakaṃ mukhadhovanaṭṭhāne ṭhapetvā avasesaṭṭhānāni sammajjitabbāni. Sammajjantena ca vaccakuṭito paṭṭhāya sammajjitabbaṃ. There vaccakuṭiṃ gate pariveṇaṃ sammajjitabbaṃ, evaṃ pariveṇaṃ asuññaṃ hotī’’ti aṭṭhakathāyaṃ (mahāva. aṭṭha. 64 atthato samānaṃ) vuttanayeneva sammajjitabbaṃ.
ตโต อุตฺตริํ กตฺตพฺพํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ตสฺส กาเลนา’’ติอาทิฯ ตสฺสาติ อุปชฺฌายสฺส วา อาจริยสฺส วาฯ กาเลนาติ ยาคุปานกาเลฯ อิธาปิ ‘‘อาสนํ ปญฺญเปตพฺพ’’นฺติ เสโสฯ ยถาห ‘‘เถเร วจฺจกุฎิโต อนิกฺขเนฺตเยว อาสนํ ปญฺญเปตพฺพํฯ สรีรกิจฺจํ กตฺวา อาคนฺตฺวา ตสฺมิํ นิสินฺนสฺส ‘สเจ ยาคุ โหตี’ติอาทินา นเยน วุตฺตํ วตฺตํ กาตพฺพ’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๖๔)ฯ
Tato uttariṃ kattabbaṃ dassetumāha ‘‘tassa kālenā’’tiādi. Tassāti upajjhāyassa vā ācariyassa vā. Kālenāti yāgupānakāle. Idhāpi ‘‘āsanaṃ paññapetabba’’nti seso. Yathāha ‘‘there vaccakuṭito anikkhanteyeva āsanaṃ paññapetabbaṃ. Sarīrakiccaṃ katvā āgantvā tasmiṃ nisinnassa ‘sace yāgu hotī’tiādinā nayena vuttaṃ vattaṃ kātabba’’nti (mahāva. aṭṭha. 64).
ยาคุ ตสฺสุปเนตพฺพาติ เอตฺถ ‘‘ภาชนํ โธวิตฺวา’’ติ เสโสฯ ยถาห – ‘‘ภาชนํ โธวิตฺวา ยาคุ อุปนาเมตพฺพา’’ติ (มหาว. ๖๖)ฯ สงฺฆโต วาติ สลากาทิวเสน สงฺฆโต ลพฺภมานา วาฯ กุลโตปิ วาติ อุปาสกาทิกุลโต วาฯ
Yāgu tassupanetabbāti ettha ‘‘bhājanaṃ dhovitvā’’ti seso. Yathāha – ‘‘bhājanaṃ dhovitvā yāgu upanāmetabbā’’ti (mahāva. 66). Saṅghato vāti salākādivasena saṅghato labbhamānā vā. Kulatopi vāti upāsakādikulato vā.
‘‘ปเตฺต วตฺตญฺจ กาตพฺพ’’นฺติ อิทํ ‘‘ยาคุํ ปีตสฺส อุทกํ ทตฺวา ภาชนํ ปฎิคฺคเหตฺวา นีจํ กตฺวา สาธุกํ อปฺปฎิฆํสเนฺตน โธวิตฺวา ปฎิสาเมตพฺพํ, อุปชฺฌายมฺหิ วุฎฺฐิเต อาสนํ อุทฺธริตพฺพํ ฯ สเจ โส เทโส อุกฺลาโป โหติ, โส เทโส สมฺมชฺชิตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๖๖) อาคตวตฺตํ สนฺธายาหฯ ทิวา ภุตฺตปเตฺตปิ กาตพฺพํ เอเตเนว ทสฺสิตํ โหติฯ
‘‘Patte vattañca kātabba’’nti idaṃ ‘‘yāguṃ pītassa udakaṃ datvā bhājanaṃ paṭiggahetvā nīcaṃ katvā sādhukaṃ appaṭighaṃsantena dhovitvā paṭisāmetabbaṃ, upajjhāyamhi vuṭṭhite āsanaṃ uddharitabbaṃ . Sace so deso uklāpo hoti, so deso sammajjitabbo’’ti (mahāva. 66) āgatavattaṃ sandhāyāha. Divā bhuttapattepi kātabbaṃ eteneva dassitaṃ hoti.
วตฺตํ ‘‘คามปฺปเวสเน’’ติ อิทํ ‘‘สเจ อุปชฺฌาโย คามํ ปวิสิตุกาโม โหติ, นิวาสนํ ทาตพฺพํ, ปฎินิวาสนํ ปฎิคฺคเหตพฺพ’’นฺติอาทินยปฺปวตฺตํ (มหาว. ๖๖) วตฺตํ สนฺธายาหฯ ‘‘กาตพฺพ’’นฺติ อิทํ สพฺพปเทหิ โยเชตพฺพํฯ
Vattaṃ ‘‘gāmappavesane’’ti idaṃ ‘‘sace upajjhāyo gāmaṃ pavisitukāmo hoti, nivāsanaṃ dātabbaṃ, paṭinivāsanaṃ paṭiggahetabba’’ntiādinayappavattaṃ (mahāva. 66) vattaṃ sandhāyāha. ‘‘Kātabba’’nti idaṃ sabbapadehi yojetabbaṃ.
๒๔๗๔. จีวเร ยานิ วตฺตานีติ คามํ ปวิสิตุกามสฺส จีวรทาเน, ปฎินิวตฺตสฺส จีวรคฺคหณสงฺฆรณปฎิสามเนสุ มเหสินา ยานิ วตฺตานิ วุตฺตานิ, ตานิ จ กาตพฺพานิฯ เสนาสเน ตถาติ ‘‘ยสฺมิํ วิหาเร อุปชฺฌาโย วิหรตี’’ติอาทินา (มหาว. ๖๖) วุตฺตนเยน ‘‘เสนาสเน กตฺตพฺพ’’นฺติ ทสฺสิตํ เสนาสนวตฺตญฺจฯ
2474.Cīvare yāni vattānīti gāmaṃ pavisitukāmassa cīvaradāne, paṭinivattassa cīvaraggahaṇasaṅgharaṇapaṭisāmanesu mahesinā yāni vattāni vuttāni, tāni ca kātabbāni. Senāsane tathāti ‘‘yasmiṃ vihāre upajjhāyo viharatī’’tiādinā (mahāva. 66) vuttanayena ‘‘senāsane kattabba’’nti dassitaṃ senāsanavattañca.
ปาทปีฐกถลิกาทีสุ ตถาติ โยชนาฯ อุปชฺฌาเย คามโต ปฎินิวเตฺต จ ชนฺตาฆเร จ ‘‘ปาโททกํ ปาทปีฐํ ปาทกถลิกํ อุปนิกฺขิปิตพฺพ’’นฺติ (มหาว. ๖๖) เอวมาคตํ วตฺตญฺจ กาตพฺพํฯ อาทิ-สเทฺทน ‘‘อุปชฺฌาโย ปานีเยน ปุจฺฉิตโพฺพ’’ติอาทิวตฺตํ (มหาว. ๖๖) สงฺคณฺหาติฯ
Pādapīṭhakathalikādīsu tathāti yojanā. Upajjhāye gāmato paṭinivatte ca jantāghare ca ‘‘pādodakaṃ pādapīṭhaṃ pādakathalikaṃ upanikkhipitabba’’nti (mahāva. 66) evamāgataṃ vattañca kātabbaṃ. Ādi-saddena ‘‘upajjhāyo pānīyena pucchitabbo’’tiādivattaṃ (mahāva. 66) saṅgaṇhāti.
๒๔๗๕. เอวํ สพฺพตฺถ วเตฺตสุ ปาฎิเยกฺกํ ทสฺสิยมาเนสุ ปปโญฺจติ ขนฺธกํ โอโลเกตฺวา สุขคฺคหณตฺถาย คณนํ ทเสฺสตุกาโม อาห ‘‘เอวมาทีนี’’ติอาทิฯ โรคโต วุฎฺฐานาคมนนฺตานีติ อาจริยุปชฺฌายานํ โรคโต วุฎฺฐานาคมนปริโยสานานิฯ สตฺตติํสสตํ สิยุนฺติ สตฺตติํสาธิกสตวตฺตานีติ อโตฺถฯ
2475. Evaṃ sabbattha vattesu pāṭiyekkaṃ dassiyamānesu papañcoti khandhakaṃ oloketvā sukhaggahaṇatthāya gaṇanaṃ dassetukāmo āha ‘‘evamādīnī’’tiādi. Rogato vuṭṭhānāgamanantānīti ācariyupajjhāyānaṃ rogato vuṭṭhānāgamanapariyosānāni. Sattatiṃsasataṃ siyunti sattatiṃsādhikasatavattānīti attho.
ตานิ ปน วตฺตานิ ขนฺธกปาฬิยา (มหาว. ๖๖) อาคตกฺกเมน เอวํ ยถาวุตฺตคณนาย สมาเนตพฺพานิ – ทนฺตกฎฺฐทานํ, มุโขทกทานํ, อาสนปญฺญาปนํ, สเจ ยาคุ โหติ, ภาชนํ โธวิตฺวา ยาคุยา อุปนามนํ, ยาคุํ ปีตสฺส อุทกํ ทตฺวา ภาชนํ ปฎิคฺคเหตฺวา นีจํ กตฺวา สาธุกํ อปฺปฎิฆํสเนฺตน โธวิตฺวา ปฎิสามนํ, อุปชฺฌายมฺหิ วุฎฺฐิเต อาสนสฺส อุทฺธรณํ, สเจ โส เทโส อุกฺลาโป โหติ, ตสฺส สมฺมชฺชนํ, สเจ อุปชฺฌาโย คามํ ปวิสิตุกาโม โหติ, ตสฺส นิวาสนทานํ, ปฎินิวาสนปฎิคฺคหณํ, กายพนฺธนทานํ, สคุณํ กตฺวา สงฺฆาฎิทานํ, โธวิตฺวา โสทกปตฺตสฺส ทานํ, สเจ อุปชฺฌาโย ปจฺฉาสมณํ อากงฺขติ, ติมณฺฑลํ ปฎิจฺฉาเทเนฺตน ปริมณฺฑลํ นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา สคุณํ กตฺวา สงฺฆาฎิโย ปารุปิตฺวา คณฺฐิกํ ปริมุญฺจิตฺวา โธวิตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา อุปชฺฌายสฺส ปจฺฉาสมเณน คมนํ, นาติทูรนจฺจาสเนฺน คมนํ, ปตฺตปริยาปนฺนสฺส ปฎิคฺคหณํ, น อุปชฺฌายสฺส ภณมานสฺส อนฺตรนฺตรา กถาโอปาตนํ, อุปชฺฌายสฺส อาปตฺติสามนฺตา ภณมานสฺส จ นิวารณํ, นิวตฺตเนฺตน ปฐมตรํ อาคนฺตฺวา อาสนปญฺญาปนํ, ปาโททกปาทปีฐปาทกถลิกานํ อุปนิกฺขิปนํ, ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตจีวรปฎิคฺคหณํ, ปฎินิวาสนทานํ, นิวาสนปฎิคฺคหณํ, สเจ จีวรํ สินฺนํ โหติ, มุหุตฺตํ อุเณฺห โอตาปนํ, เนว อุเณฺห จีวรสฺส นิทหนํ, มเชฺฌ ยถา ภโงฺค น โหติ, เอวํ จตุรงฺคุลํ กณฺณํ อุสฺสาเรตฺวา จีวรสฺส สงฺฆรณํ, โอโภเค กายพนฺธนสฺส กรณํ, สเจ ปิณฺฑปาโต โหติ, อุปชฺฌาโย จ ภุญฺชิตุกาโม โหติ, อุทกํ ทตฺวา ปิณฺฑปาตสฺส อุปนามนํ, อุปชฺฌายสฺส ปานีเยน ปุจฺฉนํ, ภุตฺตาวิสฺส อุทกํ ทตฺวา ปตฺตํ ปฎิคฺคเหตฺวา นีจํ กตฺวา สาธุกํ อปฺปฎิฆํสเนฺตน โธวิตฺวา โวทกํ กตฺวา มุหุตฺตํ อุเณฺห โอตาปนํ, น จ อุเณฺห ปตฺตสฺส นิทหนํ, ปตฺตจีวรํ นิกฺขิปิตพฺพํ –
Tāni pana vattāni khandhakapāḷiyā (mahāva. 66) āgatakkamena evaṃ yathāvuttagaṇanāya samānetabbāni – dantakaṭṭhadānaṃ, mukhodakadānaṃ, āsanapaññāpanaṃ, sace yāgu hoti, bhājanaṃ dhovitvā yāguyā upanāmanaṃ, yāguṃ pītassa udakaṃ datvā bhājanaṃ paṭiggahetvā nīcaṃ katvā sādhukaṃ appaṭighaṃsantena dhovitvā paṭisāmanaṃ, upajjhāyamhi vuṭṭhite āsanassa uddharaṇaṃ, sace so deso uklāpo hoti, tassa sammajjanaṃ, sace upajjhāyo gāmaṃ pavisitukāmo hoti, tassa nivāsanadānaṃ, paṭinivāsanapaṭiggahaṇaṃ, kāyabandhanadānaṃ, saguṇaṃ katvā saṅghāṭidānaṃ, dhovitvā sodakapattassa dānaṃ, sace upajjhāyo pacchāsamaṇaṃ ākaṅkhati, timaṇḍalaṃ paṭicchādentena parimaṇḍalaṃ nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā saguṇaṃ katvā saṅghāṭiyo pārupitvā gaṇṭhikaṃ parimuñcitvā dhovitvā pattaṃ gahetvā upajjhāyassa pacchāsamaṇena gamanaṃ, nātidūranaccāsanne gamanaṃ, pattapariyāpannassa paṭiggahaṇaṃ, na upajjhāyassa bhaṇamānassa antarantarā kathāopātanaṃ, upajjhāyassa āpattisāmantā bhaṇamānassa ca nivāraṇaṃ, nivattantena paṭhamataraṃ āgantvā āsanapaññāpanaṃ, pādodakapādapīṭhapādakathalikānaṃ upanikkhipanaṃ, paccuggantvā pattacīvarapaṭiggahaṇaṃ, paṭinivāsanadānaṃ, nivāsanapaṭiggahaṇaṃ, sace cīvaraṃ sinnaṃ hoti, muhuttaṃ uṇhe otāpanaṃ, neva uṇhe cīvarassa nidahanaṃ, majjhe yathā bhaṅgo na hoti, evaṃ caturaṅgulaṃ kaṇṇaṃ ussāretvā cīvarassa saṅgharaṇaṃ, obhoge kāyabandhanassa karaṇaṃ, sace piṇḍapāto hoti, upajjhāyo ca bhuñjitukāmo hoti, udakaṃ datvā piṇḍapātassa upanāmanaṃ, upajjhāyassa pānīyena pucchanaṃ, bhuttāvissa udakaṃ datvā pattaṃ paṭiggahetvā nīcaṃ katvā sādhukaṃ appaṭighaṃsantena dhovitvā vodakaṃ katvā muhuttaṃ uṇhe otāpanaṃ, na ca uṇhe pattassa nidahanaṃ, pattacīvaraṃ nikkhipitabbaṃ –
ปตฺตํ นิกฺขิปเนฺตน เอเกน หเตฺถน ปตฺตํ คเหตฺวา เอเกน หเตฺถน เหฎฺฐามญฺจํ วา เหฎฺฐาปีฐํ วา ปรามสิตฺวา ปตฺตสฺส นิกฺขิปนํ, น จ อนนฺตรหิตาย ภูมิยา ปตฺตสฺส นิกฺขิปนํ, จีวรํ นิกฺขิปเนฺตน เอเกน หเตฺถน จีวรํ คเหตฺวา เอเกน หเตฺถน จีวรวํสํ วา จีวรรชฺชุํ วา ปมชฺชิตฺวา ปารโต อนฺตํ โอรโต โภคํ กตฺวา จีวรสฺส นิกฺขิปนํ, อุปชฺฌายมฺหิ วุฎฺฐิเต อาสนสฺส อุทฺธรณํ, ปาโททกปาทปีฐปาทกถลิกานํ ปฎิสามนํ, สเจ โส เทโส อุกฺลาโป โหติ, ตสฺส สมฺมชฺชนํ, สเจ อุปชฺฌาโย นฺหายิตุกาโม โหติ, นฺหานสฺส ปฎิยาทนํ, สเจ สีเตน อโตฺถ โหติ, สีตสฺส สเจ อุเณฺหน อโตฺถ โหติ, อุณฺหสฺส ปฎิยาทนํ, สเจ อุปชฺฌาโย ชนฺตาฆรํ ปวิสิตุกาโม โหติ, จุณฺณสฺส สนฺนยนํ, มตฺติกาเตมนํ, ชนฺตาฆรปีฐํ อาทาย อุปชฺฌายสฺส ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต คนฺตฺวา ชนฺตาฆรปีฐํ ทตฺวา จีวรํ ปฎิคฺคเหตฺวา เอกมนฺตํ นิกฺขิปนํ, จุณฺณทานํ, มตฺติกาทานํ, สเจ อุสฺสหติ, ชนฺตาฆรํ ปวิสิตพฺพํ –
Pattaṃ nikkhipantena ekena hatthena pattaṃ gahetvā ekena hatthena heṭṭhāmañcaṃ vā heṭṭhāpīṭhaṃ vā parāmasitvā pattassa nikkhipanaṃ, na ca anantarahitāya bhūmiyā pattassa nikkhipanaṃ, cīvaraṃ nikkhipantena ekena hatthena cīvaraṃ gahetvā ekena hatthena cīvaravaṃsaṃ vā cīvararajjuṃ vā pamajjitvā pārato antaṃ orato bhogaṃ katvā cīvarassa nikkhipanaṃ, upajjhāyamhi vuṭṭhite āsanassa uddharaṇaṃ, pādodakapādapīṭhapādakathalikānaṃ paṭisāmanaṃ, sace so deso uklāpo hoti, tassa sammajjanaṃ, sace upajjhāyo nhāyitukāmo hoti, nhānassa paṭiyādanaṃ, sace sītena attho hoti, sītassa sace uṇhena attho hoti, uṇhassa paṭiyādanaṃ, sace upajjhāyo jantāgharaṃ pavisitukāmo hoti, cuṇṇassa sannayanaṃ, mattikātemanaṃ, jantāgharapīṭhaṃ ādāya upajjhāyassa piṭṭhito piṭṭhito gantvā jantāgharapīṭhaṃ datvā cīvaraṃ paṭiggahetvā ekamantaṃ nikkhipanaṃ, cuṇṇadānaṃ, mattikādānaṃ, sace ussahati, jantāgharaṃ pavisitabbaṃ –
ชนฺตาฆรํ ปวิสเนฺตน มตฺติกาย มุขํ มเกฺขตฺวา ปุรโต จ ปจฺฉโต จ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ชนฺตาฆรปฺปเวโส, น เถรานํ ภิกฺขูนํ อนุปขชฺช นิสีทนํ, น นวานํ ภิกฺขูนํ อาสเนน ปฎิพาหนํ, ชนฺตาฆเร อุปชฺฌายสฺส ปริกมฺมสฺส กรณํ, ชนฺตาฆรา นิกฺขมเนฺตน ชนฺตาฆรปีฐํ อาทาย ปุรโต จ ปจฺฉโต จ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ชนฺตาฆรา นิกฺขมนํ, อุทเกปิ อุปชฺฌายสฺส ปริกมฺมกรณํ, นฺหาเตน ปฐมตรํ อุตฺตริตฺวา อตฺตโน คตฺตํ โวทกํ กตฺวา นิวาเสตฺวา อุปชฺฌายสฺส คตฺตโต อุทกสฺส ปมชฺชนํ, นิวาสนทานํ, สงฺฆาฎิทานํ, ชนฺตาฆรปีฐํ อาทาย ปฐมตรํ อาคนฺตฺวา อาสนสฺส ปญฺญาปนํ, ปาโททกปาทปีฐปาทกถลิกานํ อุปนิกฺขิปนํ, อุปชฺฌายสฺส ปานีเยน ปุจฺฉนํ, สเจ อุทฺทิสาเปตุกาโม โหติ, อุทฺทิสาปนํ, สเจ ปริปุจฺฉิตุกาโม โหติ, ปริปุจฺฉนํ, ยสฺมิํ วิหาเร อุปชฺฌาโย วิหรติ, สเจ โส วิหาโร อุกฺลาโป โหติ, สเจ อุสฺสหติ, ตสฺส โสธนํ, วิหารํ โสเธเนฺตน ปฐมํ ปตฺตจีวรสฺส นีหริตฺวา เอกมนฺตํ นิกฺขิปนํ, นิสีทนปจฺจตฺถรณสฺส นีหริตฺวา เอกมนฺตํ นิกฺขิปนํ, ภิสิพิโพฺพหนสฺส นีหริตฺวา เอกมนฺตํ นิกฺขิปนํ, มญฺจสฺส นีจํ กตฺวา สาธุกํ อปฺปฎิฆํสเนฺตน อสงฺฆเฎฺฎเนฺตน กวาฎปีฐํ นีหริตฺวา เอกมนฺตํ นิกฺขิปนํ, ปีฐสฺส นีจํ กตฺวา สาธุกํ อปฺปฎิฆํสเนฺตน อสงฺฆเฎฺฎเนฺตน กวาฎปีฐํ นีหริตฺวา เอกมนฺตํ นิกฺขิปนํ, มญฺจปฎิปาทกานํ นีหริตฺวา เอกมนฺตํ นิกฺขิปนํ, เขฬมลฺลกสฺส นีหริตฺวา เอกมนฺตํ นิกฺขิปนํ, อปเสฺสนผลกสฺส นีหริตฺวา เอกมนฺตํ นิกฺขิปนํ, ภูมตฺถรณสฺส ยถาปญฺญตฺตสฺส สลฺลเกฺขตฺวา นีหริตฺวา เอกมนฺตํ นิกฺขิปนํ , สเจ วิหาเร สนฺตานกํ โหติ, อุโลฺลกา ปฐมํ โอหารณํ, อาโลกสนฺธิกณฺณภาคานํ ปมชฺชนํ, สเจ เครุกปริกมฺมกตา ภิตฺติ กณฺณกิตา โหติ, โจฬกํ เตเมตฺวา ปีเฬตฺวา ปมชฺชนํ, สเจ กาฬวณฺณกตา ภูมิ กณฺณกิตา โหติ, โจฬกํ เตเมตฺวา ปีเฬตฺวา ปมชฺชนํ, สเจ อกตา โหติ ภูมิ, อุทเกน ปริโปฺผสิตฺวา ปมชฺชนํ ‘‘มา วิหาโร รเชน อุหญฺญี’’ติ, สงฺการํ วิจินิตฺวา เอกมนฺตํ ฉฑฺฑนํ, ภูมตฺถรณสฺส โอตาเปตฺวา โสเธตฺวา ปโปฺผเฎตฺวา อติหริตฺวา ยถาปญฺญตฺตํ ปญฺญาปนํ, มญฺจปฎิปาทกานํ โอตาเปตฺวา ปมชฺชิตฺวา อติหริตฺวา ยถาฎฺฐาเน ฐปนํ, มญฺจสฺส โอตาเปตฺวา โสเธตฺวา ปโปฺผเฎตฺวา นีจํ กตฺวา สาธุกํ อปฺปฎิฆํสเนฺตน อสงฺฆเฎฺฎเนฺตน กวาฎปีฐํ อติหริตฺวา ยถาปญฺญตฺตํ ปญฺญาปนํ, ปีฐสฺส โอตาเปตฺวา โสเธตฺวา ปโปฺผเฎตฺวา นีจํ กตฺวา สาธุกํ อปฺปฎิฆํสเนฺตน อสงฺฆเฎฺฎเนฺตน กวาฎปีฐํ อติหริตฺวา ยถาปญฺญตฺตํ ปญฺญาปนํ, ภิสิพิโพฺพหนสฺส โอตาเปตฺวา โสเธตฺวา ปโปฺผเฎตฺวา อติหริตฺวา ยถาปญฺญตฺตํ ปญฺญาปนํ, นิสีทนปจฺจตฺถรณสฺส โอตาเปตฺวา โสเธตฺวา ปโปฺผเฎตฺวา อติหริตฺวา ยถาปญฺญตฺตํ ปญฺญาปนํ, เขฬมลฺลกสฺส โอตาเปตฺวา ปมชฺชิตฺวา อติหริตฺวา ยถาฎฺฐาเน ฐปนํ, อปเสฺสนผลกสฺส โอตาเปตฺวา ปมชฺชิตฺวา อติหริตฺวา ยถาฎฺฐาเน ฐปนํ, ปตฺตจีวรํ นิกฺขิปิตพฺพํ –
Jantāgharaṃ pavisantena mattikāya mukhaṃ makkhetvā purato ca pacchato ca paṭicchādetvā jantāgharappaveso, na therānaṃ bhikkhūnaṃ anupakhajja nisīdanaṃ, na navānaṃ bhikkhūnaṃ āsanena paṭibāhanaṃ, jantāghare upajjhāyassa parikammassa karaṇaṃ, jantāgharā nikkhamantena jantāgharapīṭhaṃ ādāya purato ca pacchato ca paṭicchādetvā jantāgharā nikkhamanaṃ, udakepi upajjhāyassa parikammakaraṇaṃ, nhātena paṭhamataraṃ uttaritvā attano gattaṃ vodakaṃ katvā nivāsetvā upajjhāyassa gattato udakassa pamajjanaṃ, nivāsanadānaṃ, saṅghāṭidānaṃ, jantāgharapīṭhaṃ ādāya paṭhamataraṃ āgantvā āsanassa paññāpanaṃ, pādodakapādapīṭhapādakathalikānaṃ upanikkhipanaṃ, upajjhāyassa pānīyena pucchanaṃ, sace uddisāpetukāmo hoti, uddisāpanaṃ, sace paripucchitukāmo hoti, paripucchanaṃ, yasmiṃ vihāre upajjhāyo viharati, sace so vihāro uklāpo hoti, sace ussahati, tassa sodhanaṃ, vihāraṃ sodhentena paṭhamaṃ pattacīvarassa nīharitvā ekamantaṃ nikkhipanaṃ, nisīdanapaccattharaṇassa nīharitvā ekamantaṃ nikkhipanaṃ, bhisibibbohanassa nīharitvā ekamantaṃ nikkhipanaṃ, mañcassa nīcaṃ katvā sādhukaṃ appaṭighaṃsantena asaṅghaṭṭentena kavāṭapīṭhaṃ nīharitvā ekamantaṃ nikkhipanaṃ, pīṭhassa nīcaṃ katvā sādhukaṃ appaṭighaṃsantena asaṅghaṭṭentena kavāṭapīṭhaṃ nīharitvā ekamantaṃ nikkhipanaṃ, mañcapaṭipādakānaṃ nīharitvā ekamantaṃ nikkhipanaṃ, kheḷamallakassa nīharitvā ekamantaṃ nikkhipanaṃ, apassenaphalakassa nīharitvā ekamantaṃ nikkhipanaṃ, bhūmattharaṇassa yathāpaññattassa sallakkhetvā nīharitvā ekamantaṃ nikkhipanaṃ , sace vihāre santānakaṃ hoti, ullokā paṭhamaṃ ohāraṇaṃ, ālokasandhikaṇṇabhāgānaṃ pamajjanaṃ, sace gerukaparikammakatā bhitti kaṇṇakitā hoti, coḷakaṃ temetvā pīḷetvā pamajjanaṃ, sace kāḷavaṇṇakatā bhūmi kaṇṇakitā hoti, coḷakaṃ temetvā pīḷetvā pamajjanaṃ, sace akatā hoti bhūmi, udakena paripphositvā pamajjanaṃ ‘‘mā vihāro rajena uhaññī’’ti, saṅkāraṃ vicinitvā ekamantaṃ chaḍḍanaṃ, bhūmattharaṇassa otāpetvā sodhetvā papphoṭetvā atiharitvā yathāpaññattaṃ paññāpanaṃ, mañcapaṭipādakānaṃ otāpetvā pamajjitvā atiharitvā yathāṭṭhāne ṭhapanaṃ, mañcassa otāpetvā sodhetvā papphoṭetvā nīcaṃ katvā sādhukaṃ appaṭighaṃsantena asaṅghaṭṭentena kavāṭapīṭhaṃ atiharitvā yathāpaññattaṃ paññāpanaṃ, pīṭhassa otāpetvā sodhetvā papphoṭetvā nīcaṃ katvā sādhukaṃ appaṭighaṃsantena asaṅghaṭṭentena kavāṭapīṭhaṃ atiharitvā yathāpaññattaṃ paññāpanaṃ, bhisibibbohanassa otāpetvā sodhetvā papphoṭetvā atiharitvā yathāpaññattaṃ paññāpanaṃ, nisīdanapaccattharaṇassa otāpetvā sodhetvā papphoṭetvā atiharitvā yathāpaññattaṃ paññāpanaṃ, kheḷamallakassa otāpetvā pamajjitvā atiharitvā yathāṭṭhāne ṭhapanaṃ, apassenaphalakassa otāpetvā pamajjitvā atiharitvā yathāṭṭhāne ṭhapanaṃ, pattacīvaraṃ nikkhipitabbaṃ –
ปตฺตํ นิกฺขิปเนฺตน เอเกน หเตฺถน ปตฺตํ คเหตฺวา เอเกน หเตฺถน เหฎฺฐามญฺจํ วา เหฎฺฐาปีฐํ วา ปรามสิตฺวา ปตฺตสฺส นิกฺขิปนํ, น จ อนนฺตรหิตาย ภูมิยา ปตฺตสฺส นิกฺขิปนํ, จีวรํ นิกฺขิปเนฺตน เอเกน หเตฺถน จีวรํ คเหตฺวา เอเกน หเตฺถน จีวรวํสํ วา จีวรรชฺชุํ วา ปมชฺชิตฺวา ปารโต อนฺตํ โอรโต โภคํ กตฺวา จีวรสฺส นิกฺขิปนํ, สเจ ปุรตฺถิมาย สรชา วาตา วายนฺติ, ปุรตฺถิมานํ วาตปานานํ ถกนํ, ตถา ปจฺฉิมานํ, ตถา อุตฺตรานํ, ตถา ทกฺขิณานํ วาตปานานํ ถกนํ, สเจ สีตกาโล โหติ, ทิวา วาตปานานํ วิวรณํ, รตฺติํ ถกนํ, สเจ อุณฺหกาโล โหติ, ทิวา วาตปานานํ ถกนํ, รตฺติํ วิวรณํ, สเจ ปริเวณํ อุกฺลาปํ โหติ, ปริเวณสฺส สมฺมชฺชนํ, สเจ โกฎฺฐโก อุกฺลาโป โหติ, โกฎฺฐกสฺส สมฺมชฺชนํ, สเจ อุปฎฺฐานสาลา อุกฺลาปา โหติ, ตสฺสา สมฺมชฺชนํ, สเจ อคฺคิสาลา อุกฺลาปา โหติ, ตสฺสา สมฺมชฺชนํ, สเจ วจฺจกุฎิ อุกฺลาปา โหติ, ตสฺสา สมฺมชฺชนํ, สเจ ปานียํ น โหติ, ปานียสฺส อุปฎฺฐาปนํ, สเจ ปริโภชนียํ น โหติ, ปริโภชนียสฺส อุปฎฺฐาปนํ, สเจ อาจมนกุมฺภิยา อุทกํ น โหติ, อาจมนกุมฺภิยา อุทกสฺส อาสิญฺจนํ, สเจ อุปชฺฌายสฺส อนภิรติ อุปฺปนฺนา โหติ, สทฺธิวิหาริเกน วูปกาสนํ วูปกาสาปนํ วา, ธมฺมกถาย วา ตสฺส กรณํ, สเจ อุปชฺฌายสฺส กุกฺกุจฺจํ อุปฺปนฺนํ โหติ, สทฺธิวิหาริเกน วิโนทนํ วิโนทาปนํ วา, ธมฺมกถาย วา ตสฺส กรณํ, สเจ อุปชฺฌายสฺส ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, สทฺธิวิหาริเกน วิเวจนํ วิเวจาปนํ วา, ธมฺมกถาย วา ตสฺส กรณํ, สเจ อุปชฺฌาโย ครุธมฺมํ อชฺฌาปโนฺน โหติ ปริวาสารโห, สทฺธิวิหาริเกน อุสฺสุกฺกกรณํ ‘‘กินฺติ นุ โข สโงฺฆ อุปชฺฌายสฺส ปริวาสํ ทเทยฺยา’’ติ, สเจ อุปชฺฌาโย มูลายปฎิกสฺสนารโห โหติ, สทฺธิวิหาริเกน อุสฺสุกฺกกรณํ ‘‘กินฺติ นุ โข สโงฺฆ อุปชฺฌายํ มูลาย ปฎิกเสฺสยฺยา’’ติ, สเจ อุปชฺฌาโย มานตฺตารโห โหติ, สทฺธิวิหาริเกน อุสฺสุกฺกกรณํ ‘‘กินฺติ นุ โข สโงฺฆ อุปชฺฌายสฺส มานตฺตํ ทเทยฺยา’’ติ, สเจ อุปชฺฌาโย อพฺภานารโห โหติ, สทฺธิวิหาริเกน อุสฺสุกฺกกรณํ ‘‘กินฺติ นุ โข สโงฺฆ อุปชฺฌายํ อเพฺภยฺยา’’ติ, สเจ สโงฺฆ อุปชฺฌายสฺส กมฺมํ กตฺตุกาโม โหติ ตชฺชนียํ วา นิยสฺสํ วา ปพฺพาชนียํ วา ปฎิสารณียํ วา อุเกฺขปนียํ วา, สทฺธิวิหาริเกน อุสฺสุกฺกกรณํ ‘‘กินฺติ นุ โข สโงฺฆ อุปชฺฌายสฺส กมฺมํ น กเรยฺย, ลหุกาย วา ปริณาเมยฺยา’’ติ, กตํ วา ปนสฺส โหติ สเงฺฆน กมฺมํ ตชฺชนียํ วา นิยสฺสํ วา ปพฺพาชนียํ วา ปฎิสารณียํ วา อุเกฺขปนียํ วา, สทฺธิวิหาริเกน อุสฺสุกฺกกรณํ ‘‘กินฺติ นุ โข อุปชฺฌาโย สมฺมา วเตฺตยฺย, โลมํ ปาเตยฺย, เนตฺถารํ วเตฺตยฺย, สโงฺฆ ตํ กมฺมํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภยฺยา’’ติ, สเจ อุปชฺฌายสฺส จีวรํ โธวิตพฺพํ โหติ , สทฺธิวิหาริเกน โธวนํ อุสฺสุกฺกกรณํ วา ‘‘กินฺติ นุ โข อุปชฺฌายสฺส จีวรํ โธวิเยถา’’ติ, สเจ อุปชฺฌายสฺส จีวรํ กาตพฺพํ โหติ, สทฺธิวิหาริเกน กรณํ อุสฺสุกฺกกรณํ วา ‘‘กินฺติ นุ โข อุปชฺฌายสฺส จีวรํ กริเยถา’’ติ, สเจ อุปชฺฌายสฺส รชนํ ปจิตพฺพํ โหติ, สทฺธิวิหาริเกน ปจนํ อุสฺสุกฺกกรณํ วา ‘‘กินฺติ นุ โข อุปชฺฌายสฺส รชนํ ปจิเยถา’’ติ, สเจ อุปชฺฌายสฺส จีวรํ รเชตพฺพํ โหติ, สทฺธิวิหาริเกน รชนํ อุสฺสุกฺกกรณํ วา ‘‘กินฺติ นุ โข อุปชฺฌายสฺส จีวรํ รชิเยถา’’ติ, จีวรํ รชเนฺตน สาธุกํ สมฺปริวตฺตกํ สมฺปริวตฺตกํ รชนํ, น จ อจฺฉิเนฺน เถเว ปกฺกมนํ, อุปชฺฌายํ อนาปุจฺฉา น เอกจฺจสฺส ปตฺตทานํ, น เอกจฺจสฺส ปตฺตปฎิคฺคหณํ, น เอกจฺจสฺส จีวรทานํ, น เอกจฺจสฺส จีวรปฎิคฺคหณํ, น เอกจฺจสฺส ปริกฺขารทานํ, น เอกจฺจสฺส ปริกฺขารปฎิคฺคหณํ, น เอกจฺจสฺส เกสเจฺฉทนํ, น เอกเจฺจน เกสานํ เฉทาปนํ, น เอกจฺจสฺส ปริกมฺมกรณํ, น เอกเจฺจน ปริกมฺมสฺส การาปนํ, น เอกจฺจสฺส เวยฺยาวจฺจกรณํ, น เอกเจฺจน เวยฺยาวจฺจสฺส การาปนํ, น เอกจฺจสฺส ปจฺฉาสมเณน คมนํ, น เอกจฺจสฺส ปจฺฉาสมณสฺส อาทานํ, น เอกจฺจสฺส ปิณฺฑปาตสฺส นีหรณํ, น เอกเจฺจน ปิณฺฑปาตนีหราปนํ, น อุปชฺฌายํ อนาปุจฺฉา คามปฺปเวสนํ, น สุสานคมนํ, น ทิสาปกฺกมนํ, สเจ อุปชฺฌาโย คิลาโน โหติ, ยาวชีวํ อุปฎฺฐานํ, วุฎฺฐานมสฺส อาคมนนฺติ เตสุ กานิจิ วตฺตานิ สวิภตฺติกานิ, กานิจิ อวิภตฺติกานิ, เตสุ อวิภตฺติกานํ วิภาเค วุจฺจมาเน ยถาวุตฺตคณนาย อติเรกตรานิ โหนฺติ, ตํ ปน วิภาคํ อนามสิตฺวา ปิณฺฑวเสน คเหตฺวา ยถา อยํ คณนา ทสฺสิตาติ เวทิตพฺพาฯ
Pattaṃ nikkhipantena ekena hatthena pattaṃ gahetvā ekena hatthena heṭṭhāmañcaṃ vā heṭṭhāpīṭhaṃ vā parāmasitvā pattassa nikkhipanaṃ, na ca anantarahitāya bhūmiyā pattassa nikkhipanaṃ, cīvaraṃ nikkhipantena ekena hatthena cīvaraṃ gahetvā ekena hatthena cīvaravaṃsaṃ vā cīvararajjuṃ vā pamajjitvā pārato antaṃ orato bhogaṃ katvā cīvarassa nikkhipanaṃ, sace puratthimāya sarajā vātā vāyanti, puratthimānaṃ vātapānānaṃ thakanaṃ, tathā pacchimānaṃ, tathā uttarānaṃ, tathā dakkhiṇānaṃ vātapānānaṃ thakanaṃ, sace sītakālo hoti, divā vātapānānaṃ vivaraṇaṃ, rattiṃ thakanaṃ, sace uṇhakālo hoti, divā vātapānānaṃ thakanaṃ, rattiṃ vivaraṇaṃ, sace pariveṇaṃ uklāpaṃ hoti, pariveṇassa sammajjanaṃ, sace koṭṭhako uklāpo hoti, koṭṭhakassa sammajjanaṃ, sace upaṭṭhānasālā uklāpā hoti, tassā sammajjanaṃ, sace aggisālā uklāpā hoti, tassā sammajjanaṃ, sace vaccakuṭi uklāpā hoti, tassā sammajjanaṃ, sace pānīyaṃ na hoti, pānīyassa upaṭṭhāpanaṃ, sace paribhojanīyaṃ na hoti, paribhojanīyassa upaṭṭhāpanaṃ, sace ācamanakumbhiyā udakaṃ na hoti, ācamanakumbhiyā udakassa āsiñcanaṃ, sace upajjhāyassa anabhirati uppannā hoti, saddhivihārikena vūpakāsanaṃ vūpakāsāpanaṃ vā, dhammakathāya vā tassa karaṇaṃ, sace upajjhāyassa kukkuccaṃ uppannaṃ hoti, saddhivihārikena vinodanaṃ vinodāpanaṃ vā, dhammakathāya vā tassa karaṇaṃ, sace upajjhāyassa diṭṭhigataṃ uppannaṃ hoti, saddhivihārikena vivecanaṃ vivecāpanaṃ vā, dhammakathāya vā tassa karaṇaṃ, sace upajjhāyo garudhammaṃ ajjhāpanno hoti parivāsāraho, saddhivihārikena ussukkakaraṇaṃ ‘‘kinti nu kho saṅgho upajjhāyassa parivāsaṃ dadeyyā’’ti, sace upajjhāyo mūlāyapaṭikassanāraho hoti, saddhivihārikena ussukkakaraṇaṃ ‘‘kinti nu kho saṅgho upajjhāyaṃ mūlāya paṭikasseyyā’’ti, sace upajjhāyo mānattāraho hoti, saddhivihārikena ussukkakaraṇaṃ ‘‘kinti nu kho saṅgho upajjhāyassa mānattaṃ dadeyyā’’ti, sace upajjhāyo abbhānāraho hoti, saddhivihārikena ussukkakaraṇaṃ ‘‘kinti nu kho saṅgho upajjhāyaṃ abbheyyā’’ti, sace saṅgho upajjhāyassa kammaṃ kattukāmo hoti tajjanīyaṃ vā niyassaṃ vā pabbājanīyaṃ vā paṭisāraṇīyaṃ vā ukkhepanīyaṃ vā, saddhivihārikena ussukkakaraṇaṃ ‘‘kinti nu kho saṅgho upajjhāyassa kammaṃ na kareyya, lahukāya vā pariṇāmeyyā’’ti, kataṃ vā panassa hoti saṅghena kammaṃ tajjanīyaṃ vā niyassaṃ vā pabbājanīyaṃ vā paṭisāraṇīyaṃ vā ukkhepanīyaṃ vā, saddhivihārikena ussukkakaraṇaṃ ‘‘kinti nu kho upajjhāyo sammā vatteyya, lomaṃ pāteyya, netthāraṃ vatteyya, saṅgho taṃ kammaṃ paṭippassambheyyā’’ti, sace upajjhāyassa cīvaraṃ dhovitabbaṃ hoti , saddhivihārikena dhovanaṃ ussukkakaraṇaṃ vā ‘‘kinti nu kho upajjhāyassa cīvaraṃ dhoviyethā’’ti, sace upajjhāyassa cīvaraṃ kātabbaṃ hoti, saddhivihārikena karaṇaṃ ussukkakaraṇaṃ vā ‘‘kinti nu kho upajjhāyassa cīvaraṃ kariyethā’’ti, sace upajjhāyassa rajanaṃ pacitabbaṃ hoti, saddhivihārikena pacanaṃ ussukkakaraṇaṃ vā ‘‘kinti nu kho upajjhāyassa rajanaṃ paciyethā’’ti, sace upajjhāyassa cīvaraṃ rajetabbaṃ hoti, saddhivihārikena rajanaṃ ussukkakaraṇaṃ vā ‘‘kinti nu kho upajjhāyassa cīvaraṃ rajiyethā’’ti, cīvaraṃ rajantena sādhukaṃ samparivattakaṃ samparivattakaṃ rajanaṃ, na ca acchinne theve pakkamanaṃ, upajjhāyaṃ anāpucchā na ekaccassa pattadānaṃ, na ekaccassa pattapaṭiggahaṇaṃ, na ekaccassa cīvaradānaṃ, na ekaccassa cīvarapaṭiggahaṇaṃ, na ekaccassa parikkhāradānaṃ, na ekaccassa parikkhārapaṭiggahaṇaṃ, na ekaccassa kesacchedanaṃ, na ekaccena kesānaṃ chedāpanaṃ, na ekaccassa parikammakaraṇaṃ, na ekaccena parikammassa kārāpanaṃ, na ekaccassa veyyāvaccakaraṇaṃ, na ekaccena veyyāvaccassa kārāpanaṃ, na ekaccassa pacchāsamaṇena gamanaṃ, na ekaccassa pacchāsamaṇassa ādānaṃ, na ekaccassa piṇḍapātassa nīharaṇaṃ, na ekaccena piṇḍapātanīharāpanaṃ, na upajjhāyaṃ anāpucchā gāmappavesanaṃ, na susānagamanaṃ, na disāpakkamanaṃ, sace upajjhāyo gilāno hoti, yāvajīvaṃ upaṭṭhānaṃ, vuṭṭhānamassa āgamananti tesu kānici vattāni savibhattikāni, kānici avibhattikāni, tesu avibhattikānaṃ vibhāge vuccamāne yathāvuttagaṇanāya atirekatarāni honti, taṃ pana vibhāgaṃ anāmasitvā piṇḍavasena gahetvā yathā ayaṃ gaṇanā dassitāti veditabbā.
๒๔๗๖. อกโรนฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘วตฺต’’นฺติ เสโสฯ อนาทรวเสเนว วตฺตํ อกโรนฺตสฺส ภิกฺขุโน เตน วตฺตเภเทน วตฺตากรเณน สพฺพตฺถ สตฺตติํสาธิกสตปฺปเภทฎฺฐาเน ตตฺตกํเยว ทุกฺกฎํ ปกาสิตนฺติ โยชนาฯ
2476.Akarontassāti ettha ‘‘vatta’’nti seso. Anādaravaseneva vattaṃ akarontassa bhikkhuno tena vattabhedena vattākaraṇena sabbattha sattatiṃsādhikasatappabhedaṭṭhāne tattakaṃyeva dukkaṭaṃ pakāsitanti yojanā.
อุปชฺฌายาจริยวตฺตกถาวณฺณนาฯ
Upajjhāyācariyavattakathāvaṇṇanā.
๒๔๗๗. เอวํ อุปชฺฌายาจริยวตฺตานิ สเงฺขเปน ทเสฺสตฺวา อุปชฺฌายาจริเยหิ สทฺธิวิหาริกเนฺตวาสีนํ กาตพฺพวตฺตานิ ทเสฺสตุมาห ‘‘อุปชฺฌายสฺส วตฺตานี’’ติอาทิฯ อุปชฺฌายสฺส วตฺตานีติ อุปชฺฌาเยน สทฺธิวิหาริกสฺส ยุตฺตปตฺตกาเล กตฺตพฺพตฺตา อุปชฺฌายายตฺตวตฺตานีติ อโตฺถฯ ตถา สทฺธิวิหาริเกติ ยถา สทฺธิวิหาริเกน อุปชฺฌายสฺส กาตพฺพานิ, ตถา อุปชฺฌาเยน สทฺธิวิหาริเก กาตพฺพานิฯ
2477. Evaṃ upajjhāyācariyavattāni saṅkhepena dassetvā upajjhāyācariyehi saddhivihārikantevāsīnaṃ kātabbavattāni dassetumāha ‘‘upajjhāyassa vattānī’’tiādi. Upajjhāyassa vattānīti upajjhāyena saddhivihārikassa yuttapattakāle kattabbattā upajjhāyāyattavattānīti attho. Tathā saddhivihāriketi yathā saddhivihārikena upajjhāyassa kātabbāni, tathā upajjhāyena saddhivihārike kātabbāni.
อุปชฺฌายาจริยวเตฺตสุ คามปฺปเวเส ปจฺฉาสมเณน หุตฺวา นาติทูรนจฺจาสนฺนคมนํ, น อนฺตรนฺตรา กถาโอปาตนํ, อาปตฺติสามนฺตา ภณมานสฺส นิวารณํ, ปตฺตปริยาปนฺนปฎิคฺคหณนฺติ จตฺตาริ วตฺตานิ, น เอกจฺจสฺส ปตฺตทานาทิอนาปุจฺฉาทิสาปกฺกมนาวสานานิ วีสติ ปฎิเกฺขปา เจติ เอตานิ จตุวีสติ วตฺตานิ ฐเปตฺวา อวเสสานิ เตรสาธิกสตวตฺตานิ สนฺธายาห ‘‘สตํ เตรส โหเนฺตวา’’ติ, เตรสาธิกสตวตฺตานิ โหนฺตีติ อโตฺถฯ อาจริเยน อเนฺตวาสิเกปิ จ กาตพฺพวตฺตานิ ตถา ตตฺตกาเนวาติ อโตฺถฯ
Upajjhāyācariyavattesu gāmappavese pacchāsamaṇena hutvā nātidūranaccāsannagamanaṃ, na antarantarā kathāopātanaṃ, āpattisāmantā bhaṇamānassa nivāraṇaṃ, pattapariyāpannapaṭiggahaṇanti cattāri vattāni, na ekaccassa pattadānādianāpucchādisāpakkamanāvasānāni vīsati paṭikkhepā ceti etāni catuvīsati vattāni ṭhapetvā avasesāni terasādhikasatavattāni sandhāyāha ‘‘sataṃ terasa hontevā’’ti, terasādhikasatavattāni hontīti attho. Ācariyena antevāsikepi ca kātabbavattāni tathā tattakānevāti attho.
สทฺธิวิหาริกเนฺตวาสิกวตฺตกถาวณฺณนาฯ
Saddhivihārikantevāsikavattakathāvaṇṇanā.
๒๔๗๘. อุปชฺฌายาจริเยหิ สทฺธิวิหาริกเนฺตวาสิกานํ นิสฺสยปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปการํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปกฺกเนฺต วาปี’’ติอาทิฯ ปกฺกเนฺต วาปิ วิพฺภเนฺต วาปิ ปกฺขสงฺกเนฺต วาปิ มเต วาปิ อาณตฺติยา วาปิ เอวํ ปญฺจธา อุปชฺฌายา สทฺธิวิหาริเกน คหิโต นิสฺสโย ปฎิปฺปสฺสมฺภตีติ โยชนาฯ ปกฺกเนฺตติ ตทหุ อปจฺจาคนฺตุกามตาย ทิสํ คเตฯ วิพฺภเนฺตติ คิหิภาวํ ปเตฺตฯ ปกฺขสงฺกนฺตเกติ ติตฺถิยายตนํ คเตฯ มเตติ กาลกเตฯ อาณตฺติยาติ นิสฺสยปณามเนนฯ
2478. Upajjhāyācariyehi saddhivihārikantevāsikānaṃ nissayapaṭippassaddhippakāraṃ dassetumāha ‘‘pakkante vāpī’’tiādi. Pakkante vāpi vibbhante vāpi pakkhasaṅkante vāpi mate vāpi āṇattiyā vāpi evaṃ pañcadhā upajjhāyā saddhivihārikena gahito nissayo paṭippassambhatīti yojanā. Pakkanteti tadahu apaccāgantukāmatāya disaṃ gate. Vibbhanteti gihibhāvaṃ patte. Pakkhasaṅkantaketi titthiyāyatanaṃ gate. Mateti kālakate. Āṇattiyāti nissayapaṇāmanena.
๒๔๗๙-๘๐. อาจริยมฺหาปิ อเนฺตวาสิเกน คหิตนิสฺสยสฺส เภทนํ ฉธา ฉปฺปกาเรน โหตีติ โยชนาฯ กถนฺติ อาห ‘‘ปกฺกเนฺต จา’’ติอาทิฯ ตํ อุปชฺฌายโต นิสฺสยเภเท วุตฺตนยเมวฯ วิเสสํ ปน สยเมว วกฺขติ ‘‘อาณตฺติย’’นฺติอาทินาฯ อาณตฺติยนฺติ เอตฺถ วิเสสตฺถโชตโก ปน-สโทฺท ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐฯ อุภินฺนมฺปิ ธุรนิเกฺขปเนปิ จาติ อาจริยสฺส นิสฺสยปณามเน ปน อุภินฺนํ อาจริยเนฺตวาสิกานํเยว อญฺญมญฺญนิราลยภาเว สติ นิสฺสยเภโท โหติ, น เอกสฺสาติ อโตฺถฯ ตเมวตฺถํ พฺยติเรกโต ทฬฺหีกโรติ ‘‘เอเกกสฺสา’’ติอาทินาฯ เอเกกสฺส วา อุภินฺนํ วา อาลเย สติ น ภิชฺชตีติ โยชนาฯ ยถาห –
2479-80. Ācariyamhāpi antevāsikena gahitanissayassa bhedanaṃ chadhā chappakārena hotīti yojanā. Kathanti āha ‘‘pakkante cā’’tiādi. Taṃ upajjhāyato nissayabhede vuttanayameva. Visesaṃ pana sayameva vakkhati ‘‘āṇattiya’’ntiādinā. Āṇattiyanti ettha visesatthajotako pana-saddo luttaniddiṭṭho. Ubhinnampi dhuranikkhepanepi cāti ācariyassa nissayapaṇāmane pana ubhinnaṃ ācariyantevāsikānaṃyeva aññamaññanirālayabhāve sati nissayabhedo hoti, na ekassāti attho. Tamevatthaṃ byatirekato daḷhīkaroti ‘‘ekekassā’’tiādinā. Ekekassa vā ubhinnaṃ vā ālaye sati na bhijjatīti yojanā. Yathāha –
‘‘อาณตฺติยํ ปน สเจปิ อาจริโย มุญฺจิตุกาโมว หุตฺวา นิสฺสยปณามนาย ปณาเมติ, อเนฺตวาสิโก จ ‘กิญฺจาปิ มํ อาจริโย ปณาเมติ, อถ โข หทเยน มุทุโก’ติ สาลโยว โหติ, นิสฺสโย น ปฎิปฺปสฺสมฺภติเยวฯ สเจปิ อาจริโย สาลโย, อเนฺตวาสิโก นิราลโย ‘น ทานิ อิมํ นิสฺสาย วสิสฺสามี’ติ ธุรํ นิกฺขิปติ, เอวมฺปิ น ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ อุภินฺนํ สาลยภาเว ปน น ปฎิปฺปสฺสมฺภติเยวฯ อุภินฺนํ ธุรนิเกฺขเปน ปฎิปฺปสฺสมฺภตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๘๓)ฯ
‘‘Āṇattiyaṃ pana sacepi ācariyo muñcitukāmova hutvā nissayapaṇāmanāya paṇāmeti, antevāsiko ca ‘kiñcāpi maṃ ācariyo paṇāmeti, atha kho hadayena muduko’ti sālayova hoti, nissayo na paṭippassambhatiyeva. Sacepi ācariyo sālayo, antevāsiko nirālayo ‘na dāni imaṃ nissāya vasissāmī’ti dhuraṃ nikkhipati, evampi na paṭippassambhati. Ubhinnaṃ sālayabhāve pana na paṭippassambhatiyeva. Ubhinnaṃ dhuranikkhepena paṭippassambhatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 83).
อยํ ปน วิเสโส อาจริยาณตฺติยา นิสฺสยเภเทเยว ทสฺสิโต, น อุปชฺฌายาณตฺติยาฯ สารตฺถทีปนิยํ ปน ‘‘สเจปิ อาจริโย มุญฺจิตุกาโมว หุตฺวา นิสฺสยปณามนาย ปณาเมตีติอาทิ สพฺพํ อุปชฺฌายสฺส อาณตฺติยมฺปิ เวทิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ
Ayaṃ pana viseso ācariyāṇattiyā nissayabhedeyeva dassito, na upajjhāyāṇattiyā. Sāratthadīpaniyaṃ pana ‘‘sacepi ācariyo muñcitukāmova hutvā nissayapaṇāmanāya paṇāmetītiādi sabbaṃ upajjhāyassa āṇattiyampi veditabba’’nti vuttaṃ.
๒๔๘๑. เอวํ ปญฺจ สาธารณงฺคานิ ทเสฺสตฺวา อสาธารณงฺคํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อุปชฺฌายสโมธาน-คตสฺสาปิ จ ภิชฺชตี’’ติฯ ตตฺถ สโมธานคมนํ สรูปโต, ปเภทโต จ ทเสฺสตุมาห ‘‘ทสฺสนํ สวนญฺจาติ, สโมธานํ ทฺวิธา มต’’นฺติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน สมนฺตปาสาทิกายํ (มหาว. อฎฺฐ. ๘๓) คเหตโพฺพฯ คนฺถวิตฺถารภีรูนํ อนุคฺคหาย ปน อิธ น วิตฺถาริโตฯ
2481. Evaṃ pañca sādhāraṇaṅgāni dassetvā asādhāraṇaṅgaṃ dassetumāha ‘‘upajjhāyasamodhāna-gatassāpi ca bhijjatī’’ti. Tattha samodhānagamanaṃ sarūpato, pabhedato ca dassetumāha ‘‘dassanaṃ savanañcāti, samodhānaṃ dvidhā mata’’nti. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana samantapāsādikāyaṃ (mahāva. aṭṭha. 83) gahetabbo. Ganthavitthārabhīrūnaṃ anuggahāya pana idha na vitthārito.
๒๔๘๒-๓. สภาเค ทายเก อสเนฺต อทฺธิกสฺส จ คิลานสฺส จ ‘‘คิลาเนน มํ อุปฎฺฐหา’’ติ ยาจิตสฺส คิลานุปฎฺฐากสฺส จ นิสฺสยํ วินา วสิตุํ โทโส นตฺถีติ โยชนา ฯ ‘‘คิลานุปฎฺฐากสฺสา’’ติ วตฺตเพฺพ คาถาพนฺธวเสน รสฺสตฺตํฯ อิมินา สภาเค นิสฺสยทายเก สเนฺต เอกทิวสมฺปิ ปริหาโร น ลพฺภตีติ ทีเปติฯ อตฺตโน วเน ผาสุวิหารตํ ชานตาติ อตฺตโน สมถวิปสฺสนาปฎิลาภสฺส วเน ผาสุวิหารํ ชานเนฺตนปิฯ ‘‘สภาเค ทายเก อสเนฺต’’ติ ปทเจฺฉโทฯ สพฺพเมตํ วิธานํ อโนฺตวสฺสโต อญฺญสฺมิํ กาเล เวทิตพฺพํฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน สมนฺตปาสาทิกาย คเหตโพฺพฯ
2482-3. Sabhāge dāyake asante addhikassa ca gilānassa ca ‘‘gilānena maṃ upaṭṭhahā’’ti yācitassa gilānupaṭṭhākassa ca nissayaṃ vinā vasituṃ doso natthīti yojanā . ‘‘Gilānupaṭṭhākassā’’ti vattabbe gāthābandhavasena rassattaṃ. Iminā sabhāge nissayadāyake sante ekadivasampi parihāro na labbhatīti dīpeti. Attano vane phāsuvihārataṃ jānatāti attano samathavipassanāpaṭilābhassa vane phāsuvihāraṃ jānantenapi. ‘‘Sabhāge dāyake asante’’ti padacchedo. Sabbametaṃ vidhānaṃ antovassato aññasmiṃ kāle veditabbaṃ. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana samantapāsādikāya gahetabbo.
นิสฺสยปฎิปฺปสฺสมฺภนกถาวณฺณนาฯ
Nissayapaṭippassambhanakathāvaṇṇanā.
๒๔๘๔. กุฎฺฐมสฺส อตฺถีติ กุฎฺฐี, ตํฯ ‘‘คณฺฑิ’’นฺติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ รตฺตเสตาทิเภเทน เยน เกนจิ กุเฎฺฐน เววณฺณิยํ ปตฺตสรีรนฺติ อโตฺถฯ ยถาห –
2484. Kuṭṭhamassa atthīti kuṭṭhī, taṃ. ‘‘Gaṇḍi’’ntiādīsupi eseva nayo. Rattasetādibhedena yena kenaci kuṭṭhena vevaṇṇiyaṃ pattasarīranti attho. Yathāha –
‘‘รตฺตกุฎฺฐํ วา โหตุ กาฬกุฎฺฐํ วา, ยํ กิญฺจิ กิฎิภททฺทุกจฺฉุอาทิปฺปเภทมฺปิ สพฺพํ กุฎฺฐเมวาติ วุตฺตํฯ ตเญฺจ นขปิฎฺฐิปฺปมาณมฺปิ วฑฺฒนกปเกฺข ฐิตํ โหติ, น ปพฺพาเชตโพฺพฯ สเจ ปน นิวาสนปารุปเนหิ ปกติปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน นขปิฎฺฐิปฺปมาณํ อวฑฺฒนกปเกฺข ฐิตํ โหติ, วฎฺฎติฯ มุเข, ปน หตฺถปาทปิเฎฺฐสุ วา สเจปิ อวฑฺฒนกปเกฺข ฐิตํ นขปิฎฺฐิโต ขุทฺทกปมาณมฺปิ น วฎฺฎติเยวาติ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํฯ ตํ ติกิจฺฉาเปตฺวา ปพฺพาเชเนฺตนาปิ ปกติวเณฺณ ชาเตเยว ปพฺพาเชตโพฺพ’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๘๘)ฯ
‘‘Rattakuṭṭhaṃ vā hotu kāḷakuṭṭhaṃ vā, yaṃ kiñci kiṭibhadaddukacchuādippabhedampi sabbaṃ kuṭṭhamevāti vuttaṃ. Tañce nakhapiṭṭhippamāṇampi vaḍḍhanakapakkhe ṭhitaṃ hoti, na pabbājetabbo. Sace pana nivāsanapārupanehi pakatipaṭicchannaṭṭhāne nakhapiṭṭhippamāṇaṃ avaḍḍhanakapakkhe ṭhitaṃ hoti, vaṭṭati. Mukhe, pana hatthapādapiṭṭhesu vā sacepi avaḍḍhanakapakkhe ṭhitaṃ nakhapiṭṭhito khuddakapamāṇampi na vaṭṭatiyevāti kurundiyaṃ vuttaṃ. Taṃ tikicchāpetvā pabbājentenāpi pakativaṇṇe jāteyeva pabbājetabbo’’ti (mahāva. aṭṭha. 88).
นขปิฎฺฐิปฺปมาณนฺติ เอตฺถ ‘‘กนิฎฺฐงฺคุลินขปิฎฺฐิ อธิเปฺปตา’’ติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ
Nakhapiṭṭhippamāṇanti ettha ‘‘kaniṭṭhaṅgulinakhapiṭṭhi adhippetā’’ti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ.
คณฺฑินฺติ เมทคณฺฑาทิคณฺฑเภทวนฺตํฯ ยถาห ‘‘เมทคโณฺฑ วา โหตุ อโญฺญ วา, โย โกจิ โกลฎฺฐิมตฺตโกปิ เจ วฑฺฒนกปเกฺข ฐิโต คโณฺฑ โหติ, น ปพฺพาเชตโพฺพ’’ติอาทิ (มหาว. อฎฺฐ. ๘๘)ฯ โกลฎฺฐีติ พทรฎฺฐิฯ กิลาสินฺติ กิลาสวนฺตํฯ ยถาห – ‘‘กิลาโสติ นภิชฺชนกํ นปคฺฆรณกํ ปทุมปุณฺฑรีกปตฺตวณฺณํ กุฎฺฐํ, เยน คุนฺนํ วิย สพลํ สรีรํ โหตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๘๘)ฯ จ-สโทฺท สเพฺพหิ อุปโยควเนฺตหิ ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพฯ โสสินฺติ ขยโรควนฺตํฯ ยถาห – ‘‘โสโสติ โสสพฺยาธิฯ ตสฺมิํ สติ น ปพฺพาเชตโพฺพ’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๘๘)ฯ อปมาริกนฺติ อปมารวนฺตํฯ ยถาห – ‘‘อปมาโรติ ปิตฺตุมฺมาโร วา ยกฺขุมฺมาโร วาฯ ตตฺถ ปุพฺพเวริเกน อมนุเสฺสน คหิโต ทุตฺติกิโจฺฉ โหติ, อปฺปมตฺตเกปิ ปน อปมาเร สติ น ปพฺพาเชตโพฺพ’’ติฯ
Gaṇḍinti medagaṇḍādigaṇḍabhedavantaṃ. Yathāha ‘‘medagaṇḍo vā hotu añño vā, yo koci kolaṭṭhimattakopi ce vaḍḍhanakapakkhe ṭhito gaṇḍo hoti, na pabbājetabbo’’tiādi (mahāva. aṭṭha. 88). Kolaṭṭhīti badaraṭṭhi. Kilāsinti kilāsavantaṃ. Yathāha – ‘‘kilāsoti nabhijjanakaṃ napaggharaṇakaṃ padumapuṇḍarīkapattavaṇṇaṃ kuṭṭhaṃ, yena gunnaṃ viya sabalaṃ sarīraṃ hotī’’ti (mahāva. aṭṭha. 88). Ca-saddo sabbehi upayogavantehi paccekaṃ yojetabbo. Sosinti khayarogavantaṃ. Yathāha – ‘‘sosoti sosabyādhi. Tasmiṃ sati na pabbājetabbo’’ti (mahāva. aṭṭha. 88). Apamārikanti apamāravantaṃ. Yathāha – ‘‘apamāroti pittummāro vā yakkhummāro vā. Tattha pubbaverikena amanussena gahito duttikiccho hoti, appamattakepi pana apamāre sati na pabbājetabbo’’ti.
ราชภฎนฺติ รโญฺญ ภตฺตเวตนภฎํ วา ฐานนฺตรํ ปตฺตํ วา อปฺปตฺตํ วา ราชปุริสํฯ ยถาห – ‘‘อมโจฺจ วา โหตุ มหามโตฺต วา เสวโก วา กิญฺจิ ฐานนฺตรํ ปโตฺต วา อปฺปโตฺต วา, โย โกจิ รโญฺญ ภตฺตเวตนภโฎฯ สโพฺพ ‘ราชภโฎ’ติ สงฺขฺยํ คจฺฉตี’’ติฯ โจรนฺติ มนุเสฺสหิ อปฺปมาทนํ คามฆาตปนฺถฆาตาทิกเมฺมน ปากฎํ โจรญฺจฯ ลิขิตกนฺติ ยํ กญฺจิ โจริกํ วา อญฺญํ วา ครุํ ราชาปราธํ กตฺวา ปลาตํ, ราชา จ นํ ปเณฺณ วา โปตฺถเก วา ‘‘อิตฺถนฺนาโม ยตฺถ ทิสฺสติ, ตตฺถ คเหตฺวา มาเรตโพฺพ’’ติ วา ‘‘หตฺถปาทาทีนิสฺส ฉินฺทิตพฺพานี’’ติ วา ‘‘เอตฺตกํ นาม ทณฺฑํ หราเปตโพฺพ’’ติ วา ลิขาเปติ, เอวรูปํ ลิขิตกํฯ
Rājabhaṭanti rañño bhattavetanabhaṭaṃ vā ṭhānantaraṃ pattaṃ vā appattaṃ vā rājapurisaṃ. Yathāha – ‘‘amacco vā hotu mahāmatto vā sevako vā kiñci ṭhānantaraṃ patto vā appatto vā, yo koci rañño bhattavetanabhaṭo. Sabbo ‘rājabhaṭo’ti saṅkhyaṃ gacchatī’’ti. Coranti manussehi appamādanaṃ gāmaghātapanthaghātādikammena pākaṭaṃ corañca. Likhitakanti yaṃ kañci corikaṃ vā aññaṃ vā garuṃ rājāparādhaṃ katvā palātaṃ, rājā ca naṃ paṇṇe vā potthake vā ‘‘itthannāmo yattha dissati, tattha gahetvā māretabbo’’ti vā ‘‘hatthapādādīnissa chinditabbānī’’ti vā ‘‘ettakaṃ nāma daṇḍaṃ harāpetabbo’’ti vā likhāpeti, evarūpaṃ likhitakaṃ.
‘‘การเภทก’’นฺติ คาถาพนฺธวเสน รโสฺส กโตฯ การเภทกนฺติ ทาตพฺพกรสฺส วา กตโจรกมฺมสฺส วา การณา การาฆเร ปกฺขิโตฺต วา นิคฬพนฺธนาทีหิ พโทฺธ วา, ตโต โส มุจฺจิตฺวา ปลายติ, เอวรูปํ การาเภทกญฺจฯ ยถาห – ‘‘การา วุจฺจติ พนฺธนาคารํ, อิธ ปน อนฺทุพนฺธนํ วา โหตุ สงฺขลิกพนฺธนํ วา รชฺชุพนฺธนํ วา คามพนฺธนํ วา นิคมพนฺธนํ วา นครพนฺธนํ วา ปุริสคุตฺติ วา ชนปทพนฺธนํ วา ทีปพนฺธนํ วา, โย เอเตสุ ยํ กิญฺจิ พนฺธนํ ฉินฺทิตฺวา ภินฺทิตฺวา มุญฺจิตฺวา วิวริตฺวา วา ปสฺสมานานํ วา อปสฺสมานานํ วา ปลายติ, โส ‘การาเภทโก’ติ สงฺขฺยํ คจฺฉตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๙๒)ฯ
‘‘Kārabhedaka’’nti gāthābandhavasena rasso kato. Kārabhedakanti dātabbakarassa vā katacorakammassa vā kāraṇā kārāghare pakkhitto vā nigaḷabandhanādīhi baddho vā, tato so muccitvā palāyati, evarūpaṃ kārābhedakañca. Yathāha – ‘‘kārā vuccati bandhanāgāraṃ, idha pana andubandhanaṃ vā hotu saṅkhalikabandhanaṃ vā rajjubandhanaṃ vā gāmabandhanaṃ vā nigamabandhanaṃ vā nagarabandhanaṃ vā purisagutti vā janapadabandhanaṃ vā dīpabandhanaṃ vā, yo etesu yaṃ kiñci bandhanaṃ chinditvā bhinditvā muñcitvā vivaritvā vā passamānānaṃ vā apassamānānaṃ vā palāyati, so ‘kārābhedako’ti saṅkhyaṃ gacchatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 92).
๒๔๘๕. กสาหตนฺติ อิณํ คเหตฺวา ทาตุํ อสมตฺถตฺตา ‘‘อยเมว เต ทโณฺฑ โหตู’’ติ กสาทินา ทินฺนปฺปหารํ อวูปสนฺตวณํฯ ยถาห –
2485.Kasāhatanti iṇaṃ gahetvā dātuṃ asamatthattā ‘‘ayameva te daṇḍo hotū’’ti kasādinā dinnappahāraṃ avūpasantavaṇaṃ. Yathāha –
‘‘โย วจนเปสนาทีนิ อกโรโนฺต หญฺญติ, น โส กตทณฺฑกโมฺมฯ โย ปน เกณิยา วา อญฺญถา วา กิญฺจิ คเหตฺวา ขาทิตฺวา ปุน ทาตุํ อสโกฺกโนฺต ‘อยเมว เต ทโณฺฑ โหตู’ติ กสาหิ หญฺญติ, อยํ กสาหโต กตทณฺฑกโมฺมฯ โย จ กสาหิ วา หโต โหตุ อทฺธทณฺฑกาทีนํ วา อญฺญตเรน, ยาว อลฺลวโณ โหติ, ตาว น ปพฺพาเชตโพฺพ’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๙๔)ฯ
‘‘Yo vacanapesanādīni akaronto haññati, na so katadaṇḍakammo. Yo pana keṇiyā vā aññathā vā kiñci gahetvā khāditvā puna dātuṃ asakkonto ‘ayameva te daṇḍo hotū’ti kasāhi haññati, ayaṃ kasāhato katadaṇḍakammo. Yo ca kasāhi vā hato hotu addhadaṇḍakādīnaṃ vā aññatarena, yāva allavaṇo hoti, tāva na pabbājetabbo’’ti (mahāva. aṭṭha. 94).
ลกฺขณาหตนฺติ เอกํสํ กตฺวา ปารุเตน อุตฺตราสเงฺคน อปฺปฎิจฺฉาทนียฎฺฐาเน ตเตฺตน โลเหน อาหตํ อสจฺฉวิภูตลกฺขเณน สมนฺนาคตํฯ ยถาห –
Lakkhaṇāhatanti ekaṃsaṃ katvā pārutena uttarāsaṅgena appaṭicchādanīyaṭṭhāne tattena lohena āhataṃ asacchavibhūtalakkhaṇena samannāgataṃ. Yathāha –
‘‘ยสฺส ปน นลาเฎ วา อุราทีสุ วา ตเตฺตน โลเหน ลกฺขณํ อาหตํ โหติ, โส สเจ ภุชิโสฺส, ยาว อลฺลวโณ โหติ, ตาว น ปพฺพาเชตโพฺพฯ สเจปิสฺส วณา รุฬฺหา โหนฺติ ฉวิยา สมปริเจฺฉทา, ลกฺขณํ ปน ปญฺญายติ, ติมณฺฑลํ นิวตฺถสฺส อุตฺตราสเงฺค กเต ปฎิจฺฉโนฺนกาเส เจ โหติ, ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎติฯ อปฺปฎิจฺฉโนฺนกาเส เจ, น วฎฺฎตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๙๕)ฯ
‘‘Yassa pana nalāṭe vā urādīsu vā tattena lohena lakkhaṇaṃ āhataṃ hoti, so sace bhujisso, yāva allavaṇo hoti, tāva na pabbājetabbo. Sacepissa vaṇā ruḷhā honti chaviyā samaparicchedā, lakkhaṇaṃ pana paññāyati, timaṇḍalaṃ nivatthassa uttarāsaṅge kate paṭicchannokāse ce hoti, pabbājetuṃ vaṭṭati. Appaṭicchannokāse ce, na vaṭṭatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 95).
อิณายิกญฺจาติ มาตาปิตุปิตามหาทีหิ วา อตฺตนา วา คหิตอิณํฯ ยถาห –
Iṇāyikañcāti mātāpitupitāmahādīhi vā attanā vā gahitaiṇaṃ. Yathāha –
‘‘อิณายิโก นาม ยสฺส ปิติปิตามเหหิ วา อิณํ คหิตํ โหติ, สยํ วา อิณํ คหิตํ โหติ, ยํ วา อาฐเปตฺวา มาตาปิตูหิ กิญฺจิ คหิตํ โหติ, โส ตํ อิณํ ปเรสํ ธาเรตีติ อิณายิโกฯ ยํ ปน อเญฺญ ญาตกา อาฐเปตฺวา กิญฺจิ คณฺหนฺติ, โส น อิณายิโกฯ น หิ เต ตํ อาฐเปตุํ อิสฺสราฯ ตสฺมา ตํ ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๙๖)ฯ
‘‘Iṇāyiko nāma yassa pitipitāmahehi vā iṇaṃ gahitaṃ hoti, sayaṃ vā iṇaṃ gahitaṃ hoti, yaṃ vā āṭhapetvā mātāpitūhi kiñci gahitaṃ hoti, so taṃ iṇaṃ paresaṃ dhāretīti iṇāyiko. Yaṃ pana aññe ñātakā āṭhapetvā kiñci gaṇhanti, so na iṇāyiko. Na hi te taṃ āṭhapetuṃ issarā. Tasmā taṃ pabbājetuṃ vaṭṭatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 96).
ทาสนฺติ อโนฺตชาโต, ธนกฺกีโต, กรมรานีโต, สยํ วา ทาสพฺยํ อุปคโตติ จตุนฺนํ ทาสานํ อญฺญตรํฯ ทาสวินิจฺฉโย ปเนตฺถ สมนฺตปาสาทิกาย (มหาว. อฎฺฐ. ๙๗) วิตฺถารโต คเหตโพฺพฯ ปพฺพาเชนฺตสฺส ทุกฺกฎนฺติ ‘‘กุฎฺฐิ’’นฺติอาทีหิ อุปโยควนฺตปเทหิ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ
Dāsanti antojāto, dhanakkīto, karamarānīto, sayaṃ vā dāsabyaṃ upagatoti catunnaṃ dāsānaṃ aññataraṃ. Dāsavinicchayo panettha samantapāsādikāya (mahāva. aṭṭha. 97) vitthārato gahetabbo. Pabbājentassa dukkaṭanti ‘‘kuṭṭhi’’ntiādīhi upayogavantapadehi paccekaṃ yojetabbaṃ.
๒๔๘๖. หตฺถจฺฉินฺนนฺติ หตฺถตเล วา มณิพเนฺธ วา กปฺปเร วา ยตฺถ กตฺถจิ ฉินฺนหตฺถํฯ อฎฺฐจฺฉินฺนนฺติ ยถา นขํ น ปญฺญายติ, เอวํ จตูสุ องฺคุฎฺฐเกสุ อญฺญตรํ วา สเพฺพ วา ยสฺส ฉินฺนา โหนฺติ, เอวรูปํฯ ปาทจฺฉินฺนนฺติ ยสฺส อคฺคปาเทสุ วา โคปฺผเกสุ วา ชงฺฆาย วา ยตฺถ กตฺถจิ เอโก วา เทฺว วา ปาทา ฉินฺนา โหนฺติฯ หตฺถปาทฉินฺนสฺสาปิ ปาฬิยํ (มหาว. ๑๑๙) อาคตตฺตา โสปิ อิธ วตฺตโพฺพ, ยถาวุตฺตนเยเนว ตสฺส ทุกฺกฎวตฺถุตา ปญฺญายตีติ น วุโตฺตติ ทฎฺฐพฺพํฯ
2486.Hatthacchinnanti hatthatale vā maṇibandhe vā kappare vā yattha katthaci chinnahatthaṃ. Aṭṭhacchinnanti yathā nakhaṃ na paññāyati, evaṃ catūsu aṅguṭṭhakesu aññataraṃ vā sabbe vā yassa chinnā honti, evarūpaṃ. Pādacchinnanti yassa aggapādesu vā gopphakesu vā jaṅghāya vā yattha katthaci eko vā dve vā pādā chinnā honti. Hatthapādachinnassāpi pāḷiyaṃ (mahāva. 119) āgatattā sopi idha vattabbo, yathāvuttanayeneva tassa dukkaṭavatthutā paññāyatīti na vuttoti daṭṭhabbaṃ.
กณฺณนาสงฺคุลิจฺฉินฺนนฺติ เอตฺถ ‘‘กณฺณจฺฉินฺนํ นาสจฺฉินฺนํ กณฺณนาสจฺฉินฺนํ องฺคุลิจฺฉินฺน’’นฺติ โยชนาฯ กณฺณจฺฉินฺนนฺติ ยสฺส กณฺณมูเล วา กณฺณสกฺขลิกาย วา เอโก วา เทฺว วา กณฺณา ฉินฺนา โหนฺติฯ ยสฺส ปน กณฺณาวเฎฺฎ ฉินฺนา โหนฺติ, สกฺกา จ โหนฺติ สงฺฆาเฎตุํ, โส กณฺณํ สงฺฆาเฎตฺวา ปพฺพาเชตโพฺพฯ นาสจฺฉินฺนนฺติ ยสฺส อชปทเก วา อเคฺค วา เอกปุเฎ วา ยตฺถ กตฺถจิ นาสา ฉินฺนา โหติฯ ยสฺส ปน นาสิกา สกฺกา โหติ สเนฺธตุํ, โส ตํ ผาสุกํ กตฺวา ปพฺพาเชตโพฺพฯ กณฺณนาสจฺฉินฺนนฺติ ตทุภยจฺฉินฺนํฯ องฺคุลิจฺฉินฺนนฺติ ยสฺส นขเสสํ อทเสฺสตฺวา เอกา วา พหู วา องฺคุลิโย ฉินฺนา โหนฺติฯ ยสฺส ปน สุตฺตตนฺตุมตฺตมฺปิ นขเสสํ ปญฺญายติ, ตํ ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎติฯ กณฺฑรจฺฉินฺนเมว จาติ ยสฺส กณฺฑรนามกา มหานฺหารู ปุรโต วา ปจฺฉโต วา ฉินฺนา โหนฺติ, เยสุ เอกสฺสาปิ ฉินฺนตฺตา อคฺคปาเทน วา จงฺกมติ, มูเลน วา จงฺกมติ, น วา ปาทํ ปติฎฺฐาเปตุํ สโกฺกติฯ
Kaṇṇanāsaṅgulicchinnanti ettha ‘‘kaṇṇacchinnaṃ nāsacchinnaṃ kaṇṇanāsacchinnaṃ aṅgulicchinna’’nti yojanā. Kaṇṇacchinnanti yassa kaṇṇamūle vā kaṇṇasakkhalikāya vā eko vā dve vā kaṇṇā chinnā honti. Yassa pana kaṇṇāvaṭṭe chinnā honti, sakkā ca honti saṅghāṭetuṃ, so kaṇṇaṃ saṅghāṭetvā pabbājetabbo. Nāsacchinnanti yassa ajapadake vā agge vā ekapuṭe vā yattha katthaci nāsā chinnā hoti. Yassa pana nāsikā sakkā hoti sandhetuṃ, so taṃ phāsukaṃ katvā pabbājetabbo. Kaṇṇanāsacchinnanti tadubhayacchinnaṃ. Aṅgulicchinnanti yassa nakhasesaṃ adassetvā ekā vā bahū vā aṅguliyo chinnā honti. Yassa pana suttatantumattampi nakhasesaṃ paññāyati, taṃ pabbājetuṃ vaṭṭati. Kaṇḍaracchinnameva cāti yassa kaṇḍaranāmakā mahānhārū purato vā pacchato vā chinnā honti, yesu ekassāpi chinnattā aggapādena vā caṅkamati, mūlena vā caṅkamati, na vā pādaṃ patiṭṭhāpetuṃ sakkoti.
๒๔๘๗. กาณนฺติ ปสนฺนโนฺธ วา โหตุ ปุปฺผาทีหิ วา อุปหตปสาโท, โย ทฺวีหิ วา เอเกน วา อกฺขินา น ปสฺสติ, ตํ กาณํฯ กุณินฺติ หตฺถกุณี วา ปาทกุณี วา องฺคุลิกุณี วา, ยสฺส เอเตสุ หตฺถาทีสุ ยํ กิญฺจิ วงฺกํ ปญฺญายติ, โส กุณีฯ ขุชฺชญฺจาติ โย อุรสฺส วา ปิฎฺฐิยา วา ปสฺสสฺส วา นิกฺขนฺตตฺตา ขุชฺชสรีโร, ตํ ขุชฺชํฯ ยสฺส ปน กิญฺจิ กิญฺจิ องฺคปจฺจงฺคํ อีสกํ วงฺกํ, ตํ ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎติฯ มหาปุริโส เอว หิ พฺรหฺมุชุคโตฺต, อวเสโส สโตฺต อขุโชฺช นาม นตฺถิฯ
2487.Kāṇanti pasannandho vā hotu pupphādīhi vā upahatapasādo, yo dvīhi vā ekena vā akkhinā na passati, taṃ kāṇaṃ. Kuṇinti hatthakuṇī vā pādakuṇī vā aṅgulikuṇī vā, yassa etesu hatthādīsu yaṃ kiñci vaṅkaṃ paññāyati, so kuṇī. Khujjañcāti yo urassa vā piṭṭhiyā vā passassa vā nikkhantattā khujjasarīro, taṃ khujjaṃ. Yassa pana kiñci kiñci aṅgapaccaṅgaṃ īsakaṃ vaṅkaṃ, taṃ pabbājetuṃ vaṭṭati. Mahāpuriso eva hi brahmujugatto, avaseso satto akhujjo nāma natthi.
วามนนฺติ โย ชงฺฆวามโน วา กฎิวามโน วา อุภยวามโน วา, ตํฯ ตตฺถ ชงฺฆวามนสฺส กฎิโต ปฎฺฐาย เหฎฺฐิมกาโย รโสฺส โหติ, อุปริมกาโย ปริปุโณฺณฯ กฎิวามนสฺส กฎิโต ปฎฺฐาย อุปริมกาโย รโสฺส โหติ, เหฎฺฐิมกาโย ปริปุโณฺณ โหติฯ อุภยวามนสฺส อุโภปิ กายา รสฺสา โหนฺติฯ เยสํ กายรสฺสตฺตา ภูตานํ วิย ปริวฎุโม มหากุจฺฉิฆฎสทิโส อตฺตภาโว โหติฯ ตํ ติวิธมฺปิ ปพฺพาเชตุํ น วฎฺฎติฯ
Vāmananti yo jaṅghavāmano vā kaṭivāmano vā ubhayavāmano vā, taṃ. Tattha jaṅghavāmanassa kaṭito paṭṭhāya heṭṭhimakāyo rasso hoti, uparimakāyo paripuṇṇo. Kaṭivāmanassa kaṭito paṭṭhāya uparimakāyo rasso hoti, heṭṭhimakāyo paripuṇṇo hoti. Ubhayavāmanassa ubhopi kāyā rassā honti. Yesaṃ kāyarassattā bhūtānaṃ viya parivaṭumo mahākucchighaṭasadiso attabhāvo hoti. Taṃ tividhampi pabbājetuṃ na vaṭṭati.
ผณหตฺถกนฺติ ยสฺส วคฺคุลิปกฺขกา วิย องฺคุลิโย สมฺพทฺธา โหนฺติ, ตํฯ เอตํ ปพฺพาเชตุกาเมน องฺคุลนฺตริกาโย ผาเลตฺวา สพฺพํ อนฺตรจมฺมํ อปเนตฺวา ผาสุกํ กตฺวา ปพฺพาเชตโพฺพฯ ยสฺสาปิ ฉ องฺคุลิโย โหนฺติ, ตํ ปพฺพาเชตุกาเมน อธิกํ องฺคุลิํ ฉินฺทิตฺวา ผาสุกํ กตฺวา ปพฺพาเชตโพฺพฯ
Phaṇahatthakanti yassa vaggulipakkhakā viya aṅguliyo sambaddhā honti, taṃ. Etaṃ pabbājetukāmena aṅgulantarikāyo phāletvā sabbaṃ antaracammaṃ apanetvā phāsukaṃ katvā pabbājetabbo. Yassāpi cha aṅguliyo honti, taṃ pabbājetukāmena adhikaṃ aṅguliṃ chinditvā phāsukaṃ katvā pabbājetabbo.
ขญฺชนฺติ โย นตชาณุโก วา ภินฺนชโงฺฆ วา มเชฺฌ สํกุฎิตปาทตฺตา กุณฺฑปาทโก วา ปิฎฺฐิปาทมเชฺฌน จงฺกมโนฺต อเคฺค สํกุฎิตปาทตฺตา กุณฺฑปาทโก วา ปิฎฺฐิปาทเคฺคน จงฺกมโนฺต อคฺคปาเทเนว จงฺกมนขโญฺช วา ปณฺหิกาย จงฺกมนขโญฺช วา ปาทสฺส พาหิรเนฺตน จงฺกมนขโญฺช วา ปาทสฺส อพฺภนฺตรเนฺตน จงฺกมนขโญฺช วา โคปฺผกานํ อุปริ ภคฺคตฺตา สกเลน ปิฎฺฐิปาเทน จงฺกมนขโญฺช วา, ตํ ปพฺพาเชตุํ น วฎฺฎติฯ เอตฺถ นตชาณุโกติ อโนฺตปวิฎฺฐอานตปาโทฯ ปกฺขหตนฺติ ยสฺส เอโก หโตฺถ วา ปาโท วา อฑฺฒสรีรํ วา สุขํ น วหติฯ
Khañjanti yo natajāṇuko vā bhinnajaṅgho vā majjhe saṃkuṭitapādattā kuṇḍapādako vā piṭṭhipādamajjhena caṅkamanto agge saṃkuṭitapādattā kuṇḍapādako vā piṭṭhipādaggena caṅkamanto aggapādeneva caṅkamanakhañjo vā paṇhikāya caṅkamanakhañjo vā pādassa bāhirantena caṅkamanakhañjo vā pādassa abbhantarantena caṅkamanakhañjo vā gopphakānaṃ upari bhaggattā sakalena piṭṭhipādena caṅkamanakhañjo vā, taṃ pabbājetuṃ na vaṭṭati. Ettha natajāṇukoti antopaviṭṭhaānatapādo. Pakkhahatanti yassa eko hattho vā pādo vā aḍḍhasarīraṃ vā sukhaṃ na vahati.
สีปทินฺติ ภารปาทํฯ ยสฺส ปาโท ถูโล โหติ สญฺชาตปีฬโก ขโร, โส น ปพฺพาเชตโพฺพฯ ยสฺส ปน น ตาว ขรภาวํ คณฺหาติ, สกฺกา โหติ อุปนาหํ พนฺธิตฺวา อุทกอาวาเฎ ปเวเสตฺวา อุทกวาลิกาย ปูเรตฺวา ยถา สิรา ปญฺญายนฺติ, ชงฺฆา จ เตลนาฬิกา วิย โหนฺติ, เอวํ มิลาเปตุํ สกฺกา, ตสฺส ปาทํ อีทิสํ กตฺวา ตํ ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปุน วฑฺฒติ, อุปสมฺปาเทเนฺตนาปิ ตถา กตฺวาว อุปสมฺปาเทตโพฺพฯ ปาปโรคินนฺติ โย อริสภคนฺทรปิตฺตเสมฺหกาสโสสาทีสุ เยน เกนจิ โรเคน นิจฺจาตุโร อเตกิจฺฉโรโค เชคุโจฺฉ อมนาโป, ตํฯ
Sīpadinti bhārapādaṃ. Yassa pādo thūlo hoti sañjātapīḷako kharo, so na pabbājetabbo. Yassa pana na tāva kharabhāvaṃ gaṇhāti, sakkā hoti upanāhaṃ bandhitvā udakaāvāṭe pavesetvā udakavālikāya pūretvā yathā sirā paññāyanti, jaṅghā ca telanāḷikā viya honti, evaṃ milāpetuṃ sakkā, tassa pādaṃ īdisaṃ katvā taṃ pabbājetuṃ vaṭṭati. Sace puna vaḍḍhati, upasampādentenāpi tathā katvāva upasampādetabbo. Pāparoginanti yo arisabhagandarapittasemhakāsasosādīsu yena kenaci rogena niccāturo atekiccharogo jeguccho amanāpo, taṃ.
๒๔๘๘. ชราย ทุพฺพลนฺติ โย ชิณฺณภาเวน ทุพฺพโล อตฺตโน จีวรรชนาทิกมฺมมฺปิ กาตุํ อสมโตฺถ, ตํฯ โย ปน มหลฺลโกปิ พลวา โหติ อตฺตานํ ปฎิชคฺคิตุํ สโกฺกติ, โส ปพฺพาเชตโพฺพฯ อนฺธนฺติ ชจฺจนฺธํฯ ปธิรเญฺจวาติ โย สเพฺพน สพฺพํ น สุณาติ, ตํฯ โย ปน มหาสทฺทํ สุณาติ, ตํ ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎติฯ มมฺมนนฺติ ยสฺส วจีเภโท วตฺตติ, สรณคมนํ ปริปุณฺณํ ภาสิตุํ น สโกฺกติ, ตาทิสํ มมฺมนมฺปิ ปพฺพาเชตุํ น วฎฺฎติฯ โย ปน สรณคมนมตฺตํ ปริปุณฺณํ ภาสิตุํ สโกฺกติ, ตํ ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎติฯ อถ วา มมฺมนนฺติ ขลิตวจนํ, โย เอกเมว อกฺขรํ จตุปญฺจกฺขตฺตุํ วทติ, ตเสฺสตมธิวจนํฯ ปีฐสปฺปินฺติ ฉินฺนิริยาปถํฯ มูคนฺติ ยสฺส วจีเภโท นปฺปวตฺตติฯ
2488.Jarāya dubbalanti yo jiṇṇabhāvena dubbalo attano cīvararajanādikammampi kātuṃ asamattho, taṃ. Yo pana mahallakopi balavā hoti attānaṃ paṭijaggituṃ sakkoti, so pabbājetabbo. Andhanti jaccandhaṃ. Padhirañcevāti yo sabbena sabbaṃ na suṇāti, taṃ. Yo pana mahāsaddaṃ suṇāti, taṃ pabbājetuṃ vaṭṭati. Mammananti yassa vacībhedo vattati, saraṇagamanaṃ paripuṇṇaṃ bhāsituṃ na sakkoti, tādisaṃ mammanampi pabbājetuṃ na vaṭṭati. Yo pana saraṇagamanamattaṃ paripuṇṇaṃ bhāsituṃ sakkoti, taṃ pabbājetuṃ vaṭṭati. Atha vā mammananti khalitavacanaṃ, yo ekameva akkharaṃ catupañcakkhattuṃ vadati, tassetamadhivacanaṃ. Pīṭhasappinti chinniriyāpathaṃ. Mūganti yassa vacībhedo nappavattati.
๒๔๘๙. อตฺตโน วิรูปภาเวน ปริสํ ทูเสเนฺตน ปริสทูสเก (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๙) ทเสฺสตุมาห ‘‘อติทีโฆ’’ติอาทิฯ อติทีโฆติ อเญฺญสํ สีสปฺปมาณนาภิปฺปเทโสฯ อติรโสฺสติ วุตฺตปฺปกาโร อุภยวามโน วิย อติรโสฺสฯ อติกาโฬ วาติ ฌาปิตเขเตฺต ขาณุโก วิย อติกาฬวโณฺณฯ มฎฺฐตมฺพโลหนิทสฺสโน อโจฺจทาโตปิ วาติ สมฺพโนฺธ, ทธิตกฺกาทีหิ มชฺชิตมฎฺฐตมฺพโลหวโณฺณ อตีว โอทาตสรีโรติ อโตฺถฯ
2489. Attano virūpabhāvena parisaṃ dūsentena parisadūsake (mahāva. aṭṭha. 119) dassetumāha ‘‘atidīgho’’tiādi. Atidīghoti aññesaṃ sīsappamāṇanābhippadeso. Atirassoti vuttappakāro ubhayavāmano viya atirasso. Atikāḷo vāti jhāpitakhette khāṇuko viya atikāḷavaṇṇo. Maṭṭhatambalohanidassano accodātopi vāti sambandho, dadhitakkādīhi majjitamaṭṭhatambalohavaṇṇo atīva odātasarīroti attho.
๒๔๙๐. อติถูโล วาติ ภาริยมํโส มโหทโร มหาภูตสทิโสฯ อติกิโสติ มนฺทมํสโลหิโต อฎฺฐิสิราจมฺมสรีโร วิยฯ อติมหาสีโส วาติ โยชนาฯ อติมหาสีโส วาติ ปจฺฉิํ สีเส กตฺวา ฐิโต วิยฯ ‘‘อติขุทฺทกสีเสน อสหิเตนา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ อสหิเตนาติ สรีรสฺส อนนุรูเปนฯ ‘‘อติขุทฺทกสีเสนา’’ติ เอตสฺส วิเสสนํฯ อสหิเตน อติขุทฺทกสีเสน สมนฺนาคโตติ โยชนาฯ ยถาห – ‘‘อติขุทฺทกสีโส วา สรีรสฺส อนนุรูเปน อติขุทฺทเกน สีเสน สมนฺนาคโต’’ติฯ
2490.Atithūlovāti bhāriyamaṃso mahodaro mahābhūtasadiso. Atikisoti mandamaṃsalohito aṭṭhisirācammasarīro viya. Atimahāsīso vāti yojanā. Atimahāsīso vāti pacchiṃ sīse katvā ṭhito viya. ‘‘Atikhuddakasīsena asahitenā’’ti padacchedo. Asahitenāti sarīrassa ananurūpena. ‘‘Atikhuddakasīsenā’’ti etassa visesanaṃ. Asahitena atikhuddakasīsena samannāgatoti yojanā. Yathāha – ‘‘atikhuddakasīso vā sarīrassa ananurūpena atikhuddakena sīsena samannāgato’’ti.
๒๔๙๑. กุฎกุฎกสีโสติ ตาลผลปิณฺฑิสทิเสน สีเสน สมนฺนาคโตฯ สิขรสีสโกติ อุทฺธํ อนุปุพฺพตนุเกน สีเสน สมนฺนาคโต, มตฺถกโต สํกุฎิโก มูลโต วิตฺถโต หุตฺวา ฐิตปพฺพตสิขรสทิสสีโสติ อโตฺถฯ เวฬุนาฬิสมาเนนาติ มหาเวฬุปพฺพสทิเสนฯ สีเสนาติ ทีฆสีเสนฯ ยถาห – ‘‘นาฬิสีโส วา มหาเวฬุปพฺพสทิเสน สีเสน สมนฺนาคโต’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๙)ฯ
2491.Kuṭakuṭakasīsoti tālaphalapiṇḍisadisena sīsena samannāgato. Sikharasīsakoti uddhaṃ anupubbatanukena sīsena samannāgato, matthakato saṃkuṭiko mūlato vitthato hutvā ṭhitapabbatasikharasadisasīsoti attho. Veḷunāḷisamānenāti mahāveḷupabbasadisena. Sīsenāti dīghasīsena. Yathāha – ‘‘nāḷisīso vā mahāveḷupabbasadisena sīsena samannāgato’’ti (mahāva. aṭṭha. 119).
๒๔๙๒. กปฺปสีโสปีติ มเชฺฌ ทิสฺสมานอาวาเฎน หตฺถิกุมฺภสทิเสน ทฺวิธาภูตสีเสน สมนฺนาคโตฯ ปพฺภารสีโส วาติ จตูสุ ปเสฺสสุ เยน เกนจิ ปเสฺสน โอณเตน สีเสน สมนฺนาคโตฯ วณสีสโกติ วเณหิ สมนฺนาคตสีโสฯ กณฺณิกเกโส วาติ ปาณเกหิ ขายิตเกทาเร สสฺสสทิเสหิ ตหิํ ตหิํ อุฎฺฐิเตหิ เกเสหิ สมนฺนาคโตฯ ถูลเกโสปิ วาติ ตาลหีรสทิเสหิ เกเสหิ สมนฺนาคโตฯ
2492.Kappasīsopīti majjhe dissamānaāvāṭena hatthikumbhasadisena dvidhābhūtasīsena samannāgato. Pabbhārasīso vāti catūsu passesu yena kenaci passena oṇatena sīsena samannāgato. Vaṇasīsakoti vaṇehi samannāgatasīso. Kaṇṇikakeso vāti pāṇakehi khāyitakedāre sassasadisehi tahiṃ tahiṃ uṭṭhitehi kesehi samannāgato. Thūlakesopi vāti tālahīrasadisehi kesehi samannāgato.
๒๔๙๓. ปูติสีโสติ ทุคฺคนฺธสีโสฯ นิโลฺลมสีโส วาติ โลมรหิตสีโสฯ ชาติปณฺฑรเกสโกติ ชาติผลิเตหิ ปณฺฑรเกโส วาฯ ชาติยา ตมฺพเกโส วาติ อาทิเตฺตหิ วิย ตมฺพวเณฺณหิ เกเสหิ สมนฺนาคโตฯ อาวฎฺฎสีสโกติ คุนฺนํ สรีเร อาวฎฺฎสทิเสหิ อุทฺธเคฺคหิ เกสาวเฎฺฎหิ สมนฺนาคโตฯ
2493.Pūtisīsoti duggandhasīso. Nillomasīso vāti lomarahitasīso. Jātipaṇḍarakesakoti jātiphalitehi paṇḍarakeso vā. Jātiyā tambakeso vāti ādittehi viya tambavaṇṇehi kesehi samannāgato. Āvaṭṭasīsakoti gunnaṃ sarīre āvaṭṭasadisehi uddhaggehi kesāvaṭṭehi samannāgato.
๒๔๙๔. สีสโลเมกพเทฺธหิ ภมุเกหิ ยุโตปีติ สีสโลเมหิ สทฺธิํ เอกาพทฺธโลเมหิ ภมุเกหิ สมนฺนาคโตฯ สมฺพทฺธภมุโก วาติ เอกาพทฺธอุภยภมุโก, มเชฺฌ สญฺชาตโลเมหิ ภมุเกหิ สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ นิโลฺลมภมุโกปิ วาติ ภมุโลมรหิโตฯ นิโลฺลมภมุโกปิ วาติ ปิ-สเทฺทน อวุตฺตสมุจฺจยเตฺถน มกฺกฎภมุโก สงฺคหิโตฯ
2494.Sīsalomekabaddhehi bhamukehi yutopīti sīsalomehi saddhiṃ ekābaddhalomehi bhamukehi samannāgato. Sambaddhabhamuko vāti ekābaddhaubhayabhamuko, majjhe sañjātalomehi bhamukehi samannāgatoti attho. Nillomabhamukopi vāti bhamulomarahito. Nillomabhamukopi vāti pi-saddena avuttasamuccayatthena makkaṭabhamuko saṅgahito.
๒๔๙๕. มหนฺตขุทฺทเนโตฺต วาติ เอตฺถ เนตฺต-สโทฺท มหนฺตขุทฺท-สเทฺทหิ ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพ, มหนฺตเนโตฺต วา ขุทฺทกเนโตฺต วาติ อโตฺถฯ มหนฺตเนโตฺต วาติ อติมหเนฺตหิ เนเตฺตหิ สมนฺนาคโตฯ ขุทฺทกเนโตฺต วาติ มหิํสจเมฺม วาสิโกเณน ปหริตฺวา กตฉิทฺทสทิเสหิ อติขุทฺทกกฺขีหิ สมนฺนาคโตฯ วิสมโลจโนติ เอเกน มหเนฺตน, เอเกน ขุทฺทเกน อกฺขินา สมนฺนาคโตฯ เกกโร วาปีติ ติริยํ ปสฺสโนฺตฯ เอตฺถ อปิ-สเทฺทน นิกฺขนฺตกฺขิํ สมฺปิเณฺฑติ, ยสฺส กกฺกฎกเสฺสว อกฺขิตารกา นิกฺขนฺตา โหนฺติฯ คมฺภีรเนโตฺตติ ยสฺส คมฺภีเร อุทปาเน อุทกตารกา วิย อกฺขิตารกา ปญฺญายนฺติฯ เอตฺถ จ อุทกตารกา นาม อุทกปุพฺพุฬํฯ อกฺขิตารกาติ อกฺขิเคณฺฑกาฯ วิสมจกฺกโลติ เอเกน อุทฺธํ, เอเกน อโธติ เอวํ วิสมชาเตหิ อกฺขิจเกฺกหิ สมนฺนาคโตฯ
2495.Mahantakhuddanettovāti ettha netta-saddo mahantakhudda-saddehi paccekaṃ yojetabbo, mahantanetto vā khuddakanetto vāti attho. Mahantanetto vāti atimahantehi nettehi samannāgato. Khuddakanetto vāti mahiṃsacamme vāsikoṇena paharitvā katachiddasadisehi atikhuddakakkhīhi samannāgato. Visamalocanoti ekena mahantena, ekena khuddakena akkhinā samannāgato. Kekaro vāpīti tiriyaṃ passanto. Ettha api-saddena nikkhantakkhiṃ sampiṇḍeti, yassa kakkaṭakasseva akkhitārakā nikkhantā honti. Gambhīranettoti yassa gambhīre udapāne udakatārakā viya akkhitārakā paññāyanti. Ettha ca udakatārakā nāma udakapubbuḷaṃ. Akkhitārakāti akkhigeṇḍakā. Visamacakkaloti ekena uddhaṃ, ekena adhoti evaṃ visamajātehi akkhicakkehi samannāgato.
๒๔๙๖. ชตุกโณฺณ วาติ อติขุทฺทิกาหิ กณฺณสกฺขลีหิ สมนฺนาคโตฯ มูสิกกโณฺณ วาติ มูสิกานํ กณฺณสทิเสหิ กเณฺณหิ สมนฺนาคโตฯ หตฺถิกโณฺณปิ วาติ อนนุรูปาหิ มหนฺตาหิ หตฺถิกณฺณสทิสาหิ กณฺณสกฺขลีหิ สมนฺนาคโตฯ ฉิทฺทมตฺตกกโณฺณ วาติ ยสฺส วินา กณฺณสกฺขลีหิ กณฺณจฺฉิทฺทเมว โหติฯ อวิทฺธกณฺณโกติ กณฺณพนฺธตฺถาย อวิเทฺธน กเณฺณน สมนฺนาคโตฯ
2496.Jatukaṇṇovāti atikhuddikāhi kaṇṇasakkhalīhi samannāgato. Mūsikakaṇṇo vāti mūsikānaṃ kaṇṇasadisehi kaṇṇehi samannāgato. Hatthikaṇṇopi vāti ananurūpāhi mahantāhi hatthikaṇṇasadisāhi kaṇṇasakkhalīhi samannāgato. Chiddamattakakaṇṇo vāti yassa vinā kaṇṇasakkhalīhi kaṇṇacchiddameva hoti. Aviddhakaṇṇakoti kaṇṇabandhatthāya aviddhena kaṇṇena samannāgato.
๒๔๙๗. ฎงฺกิตกโณฺณ วาติ โคภตฺตนาฬิกาย อคฺคสทิเสหิ กเณฺณหิ สมนฺนาคโต, โคหนุโกฎิสณฺฐาเนหิ กเณฺณหิ สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ ปูติกโณฺณปิ วาติ สทา ปคฺฆริตปุเพฺพน กเณฺณน สมนฺนาคโตฯ ปูติกโณฺณปีติ อปิ-สเทฺทน กณฺณภคนฺทริโก คหิโตฯ กณฺณภคนฺทริโกติ นิจฺจปูตินา กเณฺณน สมนฺนาคโตฯ อวิทฺธกโณฺณ ปริสทูสโก วุโตฺต, กถํ โยนกชาตีนํ ปพฺพชฺชาติ อาห ‘‘โยนกาทิปฺปเภโทปิ, นายํ ปริสทูสโก’’ติ, กณฺณาเวธนํ โยนกานํ สภาโว, อยํ โยนกาทิปฺปเภโท ปริสทูสโก น โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
2497.Ṭaṅkitakaṇṇo vāti gobhattanāḷikāya aggasadisehi kaṇṇehi samannāgato, gohanukoṭisaṇṭhānehi kaṇṇehi samannāgatoti attho. Pūtikaṇṇopi vāti sadā paggharitapubbena kaṇṇena samannāgato. Pūtikaṇṇopīti api-saddena kaṇṇabhagandariko gahito. Kaṇṇabhagandarikoti niccapūtinā kaṇṇena samannāgato. Aviddhakaṇṇo parisadūsako vutto, kathaṃ yonakajātīnaṃ pabbajjāti āha ‘‘yonakādippabhedopi, nāyaṃ parisadūsako’’ti, kaṇṇāvedhanaṃ yonakānaṃ sabhāvo, ayaṃ yonakādippabhedo parisadūsako na hotīti vuttaṃ hoti.
๒๔๙๘. อติปิงฺคลเนโตฺตติ อติสเยน ปิงฺคเลหิ เนเตฺตหิ สมนฺนาคโตฯ มธุปิงฺคลํ ปน ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎติฯ นิปฺปขุมกฺขิ วาติ อกฺขิทลโรเมหิ วิรหิตอกฺขิโกฯ ปขุม-สโทฺท หิ โลเก อกฺขิทลโรเมสุ นิรุโฬฺหฯ อสฺสุปคฺฆรเนโตฺต วาติ ปคฺฆรณสฺสูหิ เนเตฺตหิ สมนฺนาคโตฯ ปกฺกปุปฺผิตโลจโนติ ปกฺกโลจโน ปุปฺผิตโลจโนติ โยชนาฯ ปริปกฺกเนโตฺต สญฺชาตปุปฺผเนโตฺตติ อโตฺถฯ
2498.Atipiṅgalanettoti atisayena piṅgalehi nettehi samannāgato. Madhupiṅgalaṃ pana pabbājetuṃ vaṭṭati. Nippakhumakkhi vāti akkhidalaromehi virahitaakkhiko. Pakhuma-saddo hi loke akkhidalaromesu niruḷho. Assupaggharanetto vāti paggharaṇassūhi nettehi samannāgato. Pakkapupphitalocanoti pakkalocano pupphitalocanoti yojanā. Paripakkanetto sañjātapupphanettoti attho.
๒๔๙๙. มหานาโสติ สรีรสฺส อนนุรูปาย มหติยา นาสาย สมนฺนาคโตฯ อติขุทฺทกนาสิโกติ ตถา อติขุทฺทิกาย นาสาย สมนฺนาคโตฯ จิปิฎนาโส วาติ จิปิฎาย อโนฺต ปวิฎฺฐาย วิย อลฺลินาสาย สมนฺนาคโตฯ จิปิฎนาโส วาติ อวุตฺตวิกปฺปเตฺถน วา-สเทฺทน ทีฆนาสิโก สงฺคยฺหติฯ โส จ สุกตุณฺฑสทิสาย ชิวฺหาย เลหิตุํ สกฺกุเณยฺยาย นาสิกาย สมนฺนาคโตฯ กุฎิลนาสิโกติ มุขมเชฺฌ อปฺปติฎฺฐหิตฺวา เอกปเสฺส ฐิตนาสิโกฯ
2499.Mahānāsoti sarīrassa ananurūpāya mahatiyā nāsāya samannāgato. Atikhuddakanāsikoti tathā atikhuddikāya nāsāya samannāgato. Cipiṭanāso vāti cipiṭāya anto paviṭṭhāya viya allināsāya samannāgato. Cipiṭanāso vāti avuttavikappatthena vā-saddena dīghanāsiko saṅgayhati. So ca sukatuṇḍasadisāya jivhāya lehituṃ sakkuṇeyyāya nāsikāya samannāgato. Kuṭilanāsikoti mukhamajjhe appatiṭṭhahitvā ekapasse ṭhitanāsiko.
๒๕๐๐. นิจฺจวิสฺสวนาโส วาติ นิจฺจปคฺฆริตสิงฺฆาณิกนาโส วาฯ มหามุโขติ ยสฺส ปฎงฺคมณฺฑุกเสฺสว มุขนิมิตฺตํเยว มหนฺตํ โหติ, มุขํ ปน ลาพุสทิสํ อติขุทฺทกํฯ ปฎงฺคมณฺฑุโก นาม มหามุขมณฺฑุโกฯ วงฺกภินฺนมุโข วาปีติ เอตฺถ ‘‘วงฺกมุโข วา ภินฺนมุโข วาปี’’ติ โยชนาฯ วงฺกมุโขติ ภมุกสฺส, นลาตสฺส วา เอกปเสฺส นินฺนตาย วงฺกมุโขฯ ภินฺนมุโข วาติ มกฺกฎเสฺสว ภินฺนมุโขฯ มหาโอโฎฺฐปิ วาติ อุกฺขลิมุขวฎฺฎิสทิเสหิ โอเฎฺฐหิ สมนฺนาคโตฯ
2500.Niccavissavanāso vāti niccapaggharitasiṅghāṇikanāso vā. Mahāmukhoti yassa paṭaṅgamaṇḍukasseva mukhanimittaṃyeva mahantaṃ hoti, mukhaṃ pana lābusadisaṃ atikhuddakaṃ. Paṭaṅgamaṇḍuko nāma mahāmukhamaṇḍuko. Vaṅkabhinnamukho vāpīti ettha ‘‘vaṅkamukho vā bhinnamukho vāpī’’ti yojanā. Vaṅkamukhoti bhamukassa, nalātassa vā ekapasse ninnatāya vaṅkamukho. Bhinnamukho vāti makkaṭasseva bhinnamukho. Mahāoṭṭhopi vāti ukkhalimukhavaṭṭisadisehi oṭṭhehi samannāgato.
๒๕๐๑. ตนุกโอโฎฺฐ วาติ เภริจมฺมสทิเสหิ ทเนฺต ปิทหิตุํ อสมเตฺถหิ โอเฎฺฐหิ สมนฺนาคโตฯ เภริจมฺมสทิเสหีติ เภริมุขจมฺมสทิเสหิฯ ตนุกโอโฎฺฐ วาติ เอตฺถ วา-สเทฺทน มหาธโรโฎฺฐ วา ตนุกอุตฺตโรโฎฺฐ วา ตนุกอธโรโฎฺฐ วาติ ตโย วิกปฺปา สงฺคหิตาฯ วิปุลุตฺตรโอฎฺฐโกติ มหาอุตฺตโรโฎฺฐฯ โอฎฺฐฉิโนฺนติ ยสฺส เอโก วา เทฺว วา โอฎฺฐา ฉินฺนา โหนฺติฯ อุปฺปกฺกมุโขติ ปกฺกมุโขฯ เอฬมุโขปิ วาติ นิจฺจปคฺฆรณมุโขฯ
2501.Tanukaoṭṭho vāti bhericammasadisehi dante pidahituṃ asamatthehi oṭṭhehi samannāgato. Bhericammasadisehīti bherimukhacammasadisehi. Tanukaoṭṭho vāti ettha vā-saddena mahādharoṭṭho vā tanukauttaroṭṭho vā tanukaadharoṭṭho vāti tayo vikappā saṅgahitā. Vipuluttaraoṭṭhakoti mahāuttaroṭṭho. Oṭṭhachinnoti yassa eko vā dve vā oṭṭhā chinnā honti. Uppakkamukhoti pakkamukho. Eḷamukhopi vāti niccapaggharaṇamukho.
๒๕๐๒-๓. สงฺขตุโณฺฑปีติ พหิ เสเตหิ อโนฺต อติรเตฺตหิ โอเฎฺฐหิ สมนฺนาคโตฯ ทุคฺคนฺธมุโขติ ทุคฺคนฺธกุณปมุโขฯ มหาทโนฺตปีติ อฎฺฐกทนฺตสทิเสหิ สมนฺนาคโต ฯ อจฺจนฺตนฺติ อติสเยนฯ ‘‘เหฎฺฐา อุปริโต วาปิ, พหิ นิกฺขนฺตทนฺตโก’’ติ อิทํ ‘‘อสุรทนฺตโก’’ติ เอตสฺส อตฺถปทํฯ อสุโรติ ทานโวฯ ‘‘สิปฺปิทโนฺต วา โอฎฺฐทโนฺต วา’’ติ คณฺฐิปเท ลิขิโตฯ ยสฺส ปน สกฺกา โหนฺติ โอเฎฺฐหิ ปิทหิตุํ, กเถนฺตเสฺสว ปญฺญายติ, โน อกเถนฺตสฺส, ตํ ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎติฯ อทโนฺตติ ทนฺตรหิโตฯ ปูติทโนฺตติ ปูติภูเตหิ ทเนฺตหิ สมนฺนาคโตฯ
2502-3.Saṅkhatuṇḍopīti bahi setehi anto atirattehi oṭṭhehi samannāgato. Duggandhamukhoti duggandhakuṇapamukho. Mahādantopīti aṭṭhakadantasadisehi samannāgato . Accantanti atisayena. ‘‘Heṭṭhā uparito vāpi, bahi nikkhantadantako’’ti idaṃ ‘‘asuradantako’’ti etassa atthapadaṃ. Asuroti dānavo. ‘‘Sippidanto vā oṭṭhadanto vā’’ti gaṇṭhipade likhito. Yassa pana sakkā honti oṭṭhehi pidahituṃ, kathentasseva paññāyati, no akathentassa, taṃ pabbājetuṃ vaṭṭati. Adantoti dantarahito. Pūtidantoti pūtibhūtehi dantehi samannāgato.
๒๕๐๔. ‘‘อติขุทฺทกทนฺตโก’’ติ อิมสฺส ‘‘ยสฺสา’’ติอาทิ อปวาโทฯ ยสฺส ทนฺตนฺตเร กาฬกทนฺตสนฺนิโภ กลนฺทกทนฺตสทิโส ทโนฺต สุขุโมว ฐิโต เจ, ตํ ตุ ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎตีติ โยชนาฯ ปพฺพาเชตุมฺปีติ เอตฺถ ปิ-สโทฺท ตุ-สทฺทโตฺถฯ
2504. ‘‘Atikhuddakadantako’’ti imassa ‘‘yassā’’tiādi apavādo. Yassa dantantare kāḷakadantasannibho kalandakadantasadiso danto sukhumova ṭhito ce, taṃ tu pabbājetuṃ vaṭṭatīti yojanā. Pabbājetumpīti ettha pi-saddo tu-saddattho.
๒๕๐๕. โย โปโสติ สมฺพโนฺธฯ มหาหนุโกติ โคหนุสทิเสน หนุนา สมนฺนาคโตฯ ‘‘รเสฺสน หนุนา ยุโต’’ติ อิทํ ‘‘จิปิฎหนุโก วา’’ติ อิมสฺส อตฺถปทํฯ ยถาห – ‘‘จิปิฎหนุโก วา อโนฺตปวิเฎฺฐน วิย อติรเสฺสน หนุเกน สมนฺนาคโต’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๙)ฯ จิปิฎหนุโก วาปีติ เอตฺถ ปิ-สเทฺทน ‘‘ภินฺนหนุโก วา วงฺกหนุโก วา’’ติ วิกปฺปทฺวยํ สงฺคณฺหาติฯ
2505. Yo posoti sambandho. Mahāhanukoti gohanusadisena hanunā samannāgato. ‘‘Rassena hanunā yuto’’ti idaṃ ‘‘cipiṭahanuko vā’’ti imassa atthapadaṃ. Yathāha – ‘‘cipiṭahanuko vā antopaviṭṭhena viya atirassena hanukena samannāgato’’ti (mahāva. aṭṭha. 119). Cipiṭahanuko vāpīti ettha pi-saddena ‘‘bhinnahanuko vā vaṅkahanuko vā’’ti vikappadvayaṃ saṅgaṇhāti.
๒๕๐๖. นิมฺมสฺสุทาฐิโก วาปีติ ภิกฺขุนิสทิสมุโขฯ อติทีฆคโลปิ วาติ พกคลสทิเสน คเลน สมนฺนาคโตฯ อติรสฺสคโลปิ วาติ อโนฺตปวิเฎฺฐน วิย คเลน สมนฺนาคโตฯ ภินฺนคโล วา คณฺฑคโลปิ วาติ โยชนา, ภินฺนคลฎฺฐิโก วา คเณฺฑน สมนฺนาคตคโลปิ วาติ อโตฺถฯ
2506.Nimmassudāṭhiko vāpīti bhikkhunisadisamukho. Atidīghagalopi vāti bakagalasadisena galena samannāgato. Atirassagalopi vāti antopaviṭṭhena viya galena samannāgato. Bhinnagalo vā gaṇḍagalopi vāti yojanā, bhinnagalaṭṭhiko vā gaṇḍena samannāgatagalopi vāti attho.
๒๕๐๗. ภฎฺฐํสกูโฎ วาติ มาตุคามสฺส วิย ภเฎฺฐน อํสกูเฎน สมนฺนาคโตฯ ภินฺนปิฎฺฐิ วา ภินฺนอุโรปิ วาติ โยชนา, สุทีฆหโตฺถ วา สุรสฺสหโตฺถ วาติ โยชนา, อติทีฆหโตฺถ วา อติรสฺสหโตฺถ วาติ อโตฺถฯ วา-สเทฺทน อหตฺถเอกหตฺถานํ คหณํฯ กจฺฉุสมายุโต วา กณฺฑุสมายุโต วาติ โยชนาฯ วา-สเทฺทน ‘‘ททฺทุคโตฺต วา โคธาคโตฺต วา’’ติ อิเม เทฺว สงฺคณฺหาติฯ ตตฺถ โคธาคโตฺต วาติ ยสฺส โคธาย วิย คตฺตโต จุณฺณานิ ปตนฺติฯ
2507.Bhaṭṭhaṃsakūṭovāti mātugāmassa viya bhaṭṭhena aṃsakūṭena samannāgato. Bhinnapiṭṭhi vā bhinnauropi vāti yojanā, sudīghahattho vā surassahattho vāti yojanā, atidīghahattho vā atirassahattho vāti attho. Vā-saddena ahatthaekahatthānaṃ gahaṇaṃ. Kacchusamāyuto vā kaṇḍusamāyuto vāti yojanā. Vā-saddena ‘‘daddugatto vā godhāgatto vā’’ti ime dve saṅgaṇhāti. Tattha godhāgatto vāti yassa godhāya viya gattato cuṇṇāni patanti.
๒๕๐๘. มหานิสทมํโสติ อิมสฺส อตฺถปทํ ‘‘อุทฺธนคฺคุปมายุโต’’ติฯ ยถาห – ‘‘มหาอานิสโท วา อุทฺธนกูฎสทิเสหิ อานิสทมํเสหิ อจฺจุคฺคเตหิ สมนฺนาคโต’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๙)ฯ มหานิสทมํโส วาติ เอตฺถ วา-สเทฺทน ภฎฺฐกฎิโก สงฺคหิโตฯ วาตณฺฑิโกติ อณฺฑโกเสสุ วุทฺธิโรเคน สมนฺนาคโตฯ มหาอูรูติ สรีรสฺส อนนุรูเปหิ มหเนฺตหิ สตฺตีหิ สมนฺนาคโตฯ สงฺฆฎฺฎนกชาณุโกติ อญฺญมญฺญํ สงฺฆเฎฺฎหิ ชาณูหิ สมนฺนาคโตฯ
2508.Mahānisadamaṃsoti imassa atthapadaṃ ‘‘uddhanaggupamāyuto’’ti. Yathāha – ‘‘mahāānisado vā uddhanakūṭasadisehi ānisadamaṃsehi accuggatehi samannāgato’’ti (mahāva. aṭṭha. 119). Mahānisadamaṃso vāti ettha vā-saddena bhaṭṭhakaṭiko saṅgahito. Vātaṇḍikoti aṇḍakosesu vuddhirogena samannāgato. Mahāūrūti sarīrassa ananurūpehi mahantehi sattīhi samannāgato. Saṅghaṭṭanakajāṇukoti aññamaññaṃ saṅghaṭṭehi jāṇūhi samannāgato.
๒๕๐๙. ภินฺนชาณูติ ยสฺส เอโก วา เทฺว วา ชาณู ภินฺนา โหนฺติฯ มหาชาณูติ มหเนฺตน ชาณุนา สมนฺนาคโตฯ ทีฆชโงฺฆติ ยฎฺฐิสทิสชโงฺฆฯ วิกโฎ วาติ ติริยํ คมนปาเทหิ สมนฺนาคโต, ยสฺส จงฺกมโต ชาณุกา พหิ นิคฺคจฺฉนฺติฯ ปโณฺห วาติ ปจฺฉโต ปริวตฺตปาเทหิ สมนฺนาคโต, ยสฺส จงฺกมโต ชาณุกา อโนฺต ปวิสนฺติฯ ‘‘ปโนฺต’’ติ จ ‘‘สโณฺห’’ติ จ เอตเสฺสว เววจนานิฯ อุพฺพทฺธปิณฺฑิโกติ เหฎฺฐา โอรุฬฺหาหิ วา อุปริ อารุฬฺหาหิ วา มหตีหิ ชงฺฆปิณฺฑิกาหิ สมนฺนาคโตฯ
2509.Bhinnajāṇūti yassa eko vā dve vā jāṇū bhinnā honti. Mahājāṇūti mahantena jāṇunā samannāgato. Dīghajaṅghoti yaṭṭhisadisajaṅgho. Vikaṭo vāti tiriyaṃ gamanapādehi samannāgato, yassa caṅkamato jāṇukā bahi niggacchanti. Paṇho vāti pacchato parivattapādehi samannāgato, yassa caṅkamato jāṇukā anto pavisanti. ‘‘Panto’’ti ca ‘‘saṇho’’ti ca etasseva vevacanāni. Ubbaddhapiṇḍikoti heṭṭhā oruḷhāhi vā upari āruḷhāhi vā mahatīhi jaṅghapiṇḍikāhi samannāgato.
๒๕๑๐. ยฎฺฐิชโงฺฆติ ยฎฺฐิสทิสาย ชงฺฆาย สมนฺนาคโตฯ มหาชโงฺฆติ สรีรสฺส อนนุรูปาย มหติยา ชงฺฆาย สมนฺนาคโตฯ มหาปาโทปิ วาติ สรีรสฺส อนนุรูเปหิ มหเนฺตหิ ปาเทหิ สมนฺนาคโตฯ อปิ-สเทฺทน ถูลชงฺฆปิณฺฑิโก สงฺคหิโต, ภตฺตปุฎสทิสาย ถูลาย ชงฺฆปิณฺฑิยา สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ ปิฎฺฐิกปาโท วาติ ปาทเวมชฺฌโต อุฎฺฐิตชโงฺฆฯ มหาปณฺหิปิ วาติ อนนุรูเปหิ อติมหเนฺตหิ ปณฺหีหิ สมนฺนาคโตฯ
2510.Yaṭṭhijaṅghoti yaṭṭhisadisāya jaṅghāya samannāgato. Mahājaṅghoti sarīrassa ananurūpāya mahatiyā jaṅghāya samannāgato. Mahāpādopi vāti sarīrassa ananurūpehi mahantehi pādehi samannāgato. Api-saddena thūlajaṅghapiṇḍiko saṅgahito, bhattapuṭasadisāya thūlāya jaṅghapiṇḍiyā samannāgatoti attho. Piṭṭhikapādo vāti pādavemajjhato uṭṭhitajaṅgho. Mahāpaṇhipi vāti ananurūpehi atimahantehi paṇhīhi samannāgato.
๒๕๑๑. วงฺกปาโทติ อโนฺต วา พหิ วา ปริวตฺตปาทวเสน ทุวิโธ วงฺกปาโทฯ คณฺฐิกงฺคุลิโกติ สิงฺคิเวรผณสทิสาหิ องฺคุลีหิ สมนฺนาคโตฯ ‘‘อนฺธนโข วาปี’’ติ เอตสฺส อตฺถปทํ ‘‘กาฬปูตินโขปิ จา’’ติฯ ยถาห – ‘‘อนฺธนโข วา กาฬวเณฺณหิ ปูตินเขหิ สมนฺนาคโต’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๙)ฯ
2511.Vaṅkapādoti anto vā bahi vā parivattapādavasena duvidho vaṅkapādo. Gaṇṭhikaṅgulikoti siṅgiveraphaṇasadisāhi aṅgulīhi samannāgato. ‘‘Andhanakho vāpī’’ti etassa atthapadaṃ ‘‘kāḷapūtinakhopi cā’’ti. Yathāha – ‘‘andhanakho vā kāḷavaṇṇehi pūtinakhehi samannāgato’’ti (mahāva. aṭṭha. 119).
๒๕๑๒. อิเจฺจวนฺติ ยถาวุตฺตวจนียนิทสฺสนโตฺถยํ นิปาตสมุทาโยฯ องฺคเวกลฺลตาย พหุวิธตฺตา อนวเสสํ เวกลฺลปฺปการํ สงฺคณฺหิตุมาห ‘‘อิเจฺจวมาทิก’’นฺติฯ
2512.Iccevanti yathāvuttavacanīyanidassanatthoyaṃ nipātasamudāyo. Aṅgavekallatāya bahuvidhattā anavasesaṃ vekallappakāraṃ saṅgaṇhitumāha ‘‘iccevamādika’’nti.
ปริสทูสกกถาวณฺณนาฯ
Parisadūsakakathāvaṇṇanā.
๒๕๑๔. ปตฺตจีวรนฺติ เอตฺถ ‘‘สามเณรสฺสา’’ติ อธิการโต ลพฺภติฯ อโนฺต นิกฺขิปโตติ โอวรกาทีนํ อโนฺต นิกฺขิปนฺตสฺสฯ สพฺพปโยเคสูติ ปตฺตจีวรสฺส อามสนาทิสพฺพปโยเคสุฯ
2514.Pattacīvaranti ettha ‘‘sāmaṇerassā’’ti adhikārato labbhati. Anto nikkhipatoti ovarakādīnaṃ anto nikkhipantassa. Sabbapayogesūti pattacīvarassa āmasanādisabbapayogesu.
๒๕๑๕-๖. ทณฺฑกมฺมํ กตฺวาติ ทณฺฑกมฺมํ โยเชตฺวาฯ ทเณฺฑนฺติ วิเนนฺติ เอเตนาติ ทโณฺฑ, โสเยว กตฺตพฺพตฺตา กมฺมนฺติ ทณฺฑกมฺมํ, อาวรณาทิฯ อนาจารสฺส ทุพฺพจสามเณรสฺส เกวลํ หิตกาเมน ภิกฺขุนา ทณฺฑกมฺมํ กตฺวา ทณฺฑกมฺมํ โยเชตฺวา ยาคุํ วา ภตฺตํ วา วา-สเทฺทน ปตฺตํ วา จีวรํ วา ทเสฺสตฺวา ‘‘ทณฺฑกเมฺม อาหเฎ ตฺวํ อิทํ ลจฺฉสิ’’ อิติ ภาสิตุํ วฎฺฎตีติ โยชนาฯ กิราติ ปทปูรณเตฺถ นิปาโตฯ
2515-6.Daṇḍakammaṃ katvāti daṇḍakammaṃ yojetvā. Daṇḍenti vinenti etenāti daṇḍo, soyeva kattabbattā kammanti daṇḍakammaṃ, āvaraṇādi. Anācārassa dubbacasāmaṇerassa kevalaṃ hitakāmena bhikkhunā daṇḍakammaṃ katvā daṇḍakammaṃ yojetvā yāguṃ vā bhattaṃ vā vā-saddena pattaṃ vā cīvaraṃ vā dassetvā ‘‘daṇḍakamme āhaṭe tvaṃ idaṃ lacchasi’’ iti bhāsituṃ vaṭṭatīti yojanā. Kirāti padapūraṇatthe nipāto.
๒๕๑๗. ธมฺมสงฺคาหกเตฺถเรหิ ฐปิตทณฺฑกมฺมํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อปราธานุรูเปนา’’ติอาทิฯ ตํ อปราธานุรูปทณฺฑกมฺมํ นาม วาลิกาสลิลาทีนํ อาหราปนเมวาติ โยเชตพฺพํฯ อาทิ-สเทฺทน ทารุอาทีนํ อาหราปนํ คณฺหาติฯ ตญฺจ โข ‘‘โอรมิสฺสตี’’ติ อนุกมฺปาย, น ‘‘นสฺสิสฺสติ วิพฺภมิสฺสตี’’ติอาทินยปฺปวเตฺตน ปาปชฺฌาสเยนฯ
2517. Dhammasaṅgāhakattherehi ṭhapitadaṇḍakammaṃ dassetumāha ‘‘aparādhānurūpenā’’tiādi. Taṃ aparādhānurūpadaṇḍakammaṃ nāma vālikāsalilādīnaṃ āharāpanamevāti yojetabbaṃ. Ādi-saddena dāruādīnaṃ āharāpanaṃ gaṇhāti. Tañca kho ‘‘oramissatī’’ti anukampāya, na ‘‘nassissati vibbhamissatī’’tiādinayappavattena pāpajjhāsayena.
๒๕๑๘-๙. อกตฺตพฺพํ ทณฺฑกมฺมํ ทเสฺสตุมาห ‘‘สีเส วา’’ติอาทิฯ สีเส วาติ เอตฺถ ‘‘สามเณรสฺสา’’ติ อธิการโต ลพฺภติฯ ปาสาณาทีนีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อิฎฺฐกาทีนํ คหณํฯ สามเณรํ อุเณฺห ปาสาเณ นิปชฺชาเปตุํ วา อุณฺหาย ภูมิยา นิปชฺชาเปตุํ วา อุทกํ ปเวเสตุํ วา ภิกฺขุโน น วฎฺฎตีติ โยชนาฯ
2518-9. Akattabbaṃ daṇḍakammaṃ dassetumāha ‘‘sīse vā’’tiādi. Sīse vāti ettha ‘‘sāmaṇerassā’’ti adhikārato labbhati. Pāsāṇādīnīti ettha ādi-saddena iṭṭhakādīnaṃ gahaṇaṃ. Sāmaṇeraṃ uṇhe pāsāṇe nipajjāpetuṃ vā uṇhāya bhūmiyā nipajjāpetuṃ vā udakaṃ pavesetuṃ vā bhikkhuno na vaṭṭatīti yojanā.
ภควตา อนุญฺญาตทณฺฑกมฺมํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อิธา’’ติอาทิฯ อิธาติ อิมสฺมิํ ทณฺฑกมฺมาธิกาเรฯ อาวรณมตฺตนฺติ ‘‘มา อิธ ปาวิสี’’ติ นิวารณมตฺตํฯ ปกาสิตนฺติ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ยตฺถ วา วสติ, ยตฺถ วา ปฎิกฺกมติ, ตตฺถ อาวรณํ กาตุ’’นฺติ (มหาว. ๑๐๗) ภาสิตํฯ
Bhagavatā anuññātadaṇḍakammaṃ dassetumāha ‘‘idhā’’tiādi. Idhāti imasmiṃ daṇḍakammādhikāre. Āvaraṇamattanti ‘‘mā idha pāvisī’’ti nivāraṇamattaṃ. Pakāsitanti ‘‘anujānāmi, bhikkhave, yattha vā vasati, yattha vā paṭikkamati, tattha āvaraṇaṃ kātu’’nti (mahāva. 107) bhāsitaṃ.
‘‘ยตฺถ วา วสติ, ยตฺถ วา ปฎิกฺกมตีติ ยตฺถ วสติ วา ปวิสติ วา, อุภเยนาปิ อตฺตโน ปริเวณญฺจ วสฺสเคฺคน ปตฺตเสนาสนญฺจ วุตฺต’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๐๗) อฎฺฐกถาย วุตฺตตฺตา ยาว โยชิตํ ทณฺฑกมฺมํ กโรนฺติ, ตาว อตฺตโน ปุคฺคลิกปริเวณํ วา วสฺสเคฺคน ปตฺตเสนาสนํ วา ปวิสิตุํ อทตฺวา นิวารณํ อาวรณํ นามฯ อฎฺฐกถายํ ‘‘อตฺตโน’’ติ วจนํ เย อาวรณํ กโรนฺติ, เต อาจริยุปชฺฌาเย สนฺธาย วุตฺตนฺติ วิญฺญายติฯ เกจิ ปเนตฺถ ‘‘อตฺตโน’’ติ อิทํ ยสฺส อาวรณํ กโรนฺติ, ตํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ คเหตฺวา ตตฺถ วินิจฺฉยํ วทนฺติฯ เกจิ อุภยถาปิ อตฺถํ คเหตฺวา อุภยตฺถาปิ อาวรณํ กาตพฺพนฺติ วทนฺติฯ วีมํสิตฺวา ยเมตฺถ ยุตฺตตรํ, ตํ คเหตพฺพํฯ
‘‘Yattha vā vasati, yattha vā paṭikkamatīti yattha vasati vā pavisati vā, ubhayenāpi attano pariveṇañca vassaggena pattasenāsanañca vutta’’nti (mahāva. aṭṭha. 107) aṭṭhakathāya vuttattā yāva yojitaṃ daṇḍakammaṃ karonti, tāva attano puggalikapariveṇaṃ vā vassaggena pattasenāsanaṃ vā pavisituṃ adatvā nivāraṇaṃ āvaraṇaṃ nāma. Aṭṭhakathāyaṃ ‘‘attano’’ti vacanaṃ ye āvaraṇaṃ karonti, te ācariyupajjhāye sandhāya vuttanti viññāyati. Keci panettha ‘‘attano’’ti idaṃ yassa āvaraṇaṃ karonti, taṃ sandhāya vuttanti gahetvā tattha vinicchayaṃ vadanti. Keci ubhayathāpi atthaṃ gahetvā ubhayatthāpi āvaraṇaṃ kātabbanti vadanti. Vīmaṃsitvā yamettha yuttataraṃ, taṃ gahetabbaṃ.
นิวารณกถาวณฺณนาฯ
Nivāraṇakathāvaṇṇanā.
๒๕๒๐. ปโกฺข จ โอปกฺกมิโก จ อาสิโตฺต จาติ วิคฺคโหฯ เอตฺถ จ ‘‘อนุโปสเถ อุโปสถํ กโรตี’’ติอาทีสุ ยถา อุโปสถทิเน กตฺตพฺพกมฺมํ ‘‘อุโปสโถ’’ติ วุจฺจติ, ตถา มาสสฺส ปเกฺข ปณฺฑกภาวมาปชฺชโนฺต ‘‘ปโกฺข’’ติ วุโตฺตฯ อถ วา ปกฺขปณฺฑโก ปโกฺข อุตฺตรปทโลเปน ยถา ‘‘ภีมเสโน ภีโม’’ติฯ อิทญฺจ ปาปานุภาเวน กณฺหปเกฺขเยว ปณฺฑกภาวมาปชฺชนฺตสฺส อธิวจนํฯ ยถาห ‘‘อกุสลวิปากานุภาเวน กาฬปเกฺข กาฬปเกฺข ปณฺฑโก โหติ, ชุณฺหปเกฺข ปนสฺส ปริฬาโห วูปสมฺมติ, อยํ ปกฺขปณฺฑโก’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๐๙)ฯ
2520. Pakkho ca opakkamiko ca āsitto cāti viggaho. Ettha ca ‘‘anuposathe uposathaṃ karotī’’tiādīsu yathā uposathadine kattabbakammaṃ ‘‘uposatho’’ti vuccati, tathā māsassa pakkhe paṇḍakabhāvamāpajjanto ‘‘pakkho’’ti vutto. Atha vā pakkhapaṇḍako pakkho uttarapadalopena yathā ‘‘bhīmaseno bhīmo’’ti. Idañca pāpānubhāvena kaṇhapakkheyeva paṇḍakabhāvamāpajjantassa adhivacanaṃ. Yathāha ‘‘akusalavipākānubhāvena kāḷapakkhe kāḷapakkhe paṇḍako hoti, juṇhapakkhe panassa pariḷāho vūpasammati, ayaṃ pakkhapaṇḍako’’ti (mahāva. aṭṭha. 109).
ยสฺส อุปกฺกเมน พีชานิ อปนีตานิ, อยํ โอปกฺกมิกปณฺฑโกฯ ยสฺส ปเรสํ องฺคชาตํ มุเขน คเหตฺวา อสุจินา อาสิตฺตสฺส ปริฬาโห วูปสมฺมติ, อยํ อาสิตฺตปณฺฑโกฯ อุสูยโกติ ยสฺส ปเรสํ อชฺฌาจารํ ปสฺสโต อุสูยาย อุปฺปนฺนาย ปริฬาโห วูปสมฺมติ, อยํ อุสูยปณฺฑโกฯ โย ปฎิสนฺธิยํเยว อภาวโก อุปฺปโนฺน, อยํ นปุํสกปณฺฑโกฯ
Yassa upakkamena bījāni apanītāni, ayaṃ opakkamikapaṇḍako. Yassa paresaṃ aṅgajātaṃ mukhena gahetvā asucinā āsittassa pariḷāho vūpasammati, ayaṃ āsittapaṇḍako. Usūyakoti yassa paresaṃ ajjhācāraṃ passato usūyāya uppannāya pariḷāho vūpasammati, ayaṃ usūyapaṇḍako. Yo paṭisandhiyaṃyeva abhāvako uppanno, ayaṃ napuṃsakapaṇḍako.
๒๕๒๑. เตสูติ เตสุ ปญฺจสุ ปณฺฑเกสุฯ ‘‘ปกฺขปณฺฑกสฺส ยสฺมิํปเกฺข ปณฺฑโก โหติ, ตสฺมิํเยวสฺส ปเกฺข ปพฺพชฺชา วาริตา’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๐๙) กุรุนฺทิยํ วุตฺตตฺตา ‘‘ติณฺณํ นิวาริตา’’ติ อิทํ ตสฺส ปณฺฑกสฺส ปณฺฑกปกฺขํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ
2521.Tesūti tesu pañcasu paṇḍakesu. ‘‘Pakkhapaṇḍakassa yasmiṃpakkhe paṇḍako hoti, tasmiṃyevassa pakkhe pabbajjā vāritā’’ti (mahāva. aṭṭha. 109) kurundiyaṃ vuttattā ‘‘tiṇṇaṃ nivāritā’’ti idaṃ tassa paṇḍakassa paṇḍakapakkhaṃ sandhāya vuttanti gahetabbaṃ.
๒๕๒๒. ‘‘นาเสตโพฺพ’’ติ อิทํ ลิงฺคนาสนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ยถาห ‘‘โสปิ ลิงฺคนาสเนเนว นาเสตโพฺพ’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๐๙)ฯ เอส นโย อุปริปิ อีทิเสสุ ฐาเนสุฯ
2522.‘‘Nāsetabbo’’ti idaṃ liṅganāsanaṃ sandhāya vuttaṃ. Yathāha ‘‘sopi liṅganāsaneneva nāsetabbo’’ti (mahāva. aṭṭha. 109). Esa nayo uparipi īdisesu ṭhānesu.
ปณฺฑกกถาวณฺณนาฯ
Paṇḍakakathāvaṇṇanā.
๒๕๒๓. เถเนตีติ เถโน, ลิงฺคสฺส ปพฺพชิตเวสสฺส เถโน ลิงฺคเถโนฯ สํวาสสฺส ภิกฺขุวสฺสคณนาทิกสฺส เถโน สํวาสเถโนฯ ตทุภยสฺส จาติ ตสฺส ลิงฺคสฺส, สํวาสสฺส จ อุภยสฺส เถโนติ สมฺพโนฺธฯ เอส ติวิโธปิ เถยฺยสํวาสโก นาม ปวุจฺจตีติ โยชนาฯ
2523. Thenetīti theno, liṅgassa pabbajitavesassa theno liṅgatheno. Saṃvāsassa bhikkhuvassagaṇanādikassa theno saṃvāsatheno. Tadubhayassa cāti tassa liṅgassa, saṃvāsassa ca ubhayassa thenoti sambandho. Esa tividhopi theyyasaṃvāsako nāma pavuccatīti yojanā.
๒๕๒๔-๖. ตตฺถ เตสุ ตีสุ เถยฺยสํวาสเกสุ โย สยเมว ปพฺพชิตฺวา ภิกฺขุวสฺสานิ น คณฺหติ, ยถาวุฑฺฒํ วนฺทนมฺปิ เนว คณฺหติ, อปิ-สเทฺทน อาสเนน เนว ปฎิพาหติ อุโปสถปวารณาทีสุ เนว สนฺทิสฺสตีติ สงฺคณฺหนโต ตทุภยมฺปิ น กโรติ, อยํ ลิงฺคมตฺตสฺส ปพฺพชิตเวสมตฺตสฺส เถนโต โจริกาย คหณโต ลิงฺคเตฺถโน สิยาติ โยชนาฯ
2524-6.Tattha tesu tīsu theyyasaṃvāsakesu yo sayameva pabbajitvā bhikkhuvassāni na gaṇhati, yathāvuḍḍhaṃ vandanampi neva gaṇhati, api-saddena āsanena neva paṭibāhati uposathapavāraṇādīsu neva sandissatīti saṅgaṇhanato tadubhayampi na karoti, ayaṃ liṅgamattassa pabbajitavesamattassa thenato corikāya gahaṇato liṅgattheno siyāti yojanā.
โย จ ปพฺพชิโต หุตฺวา ภิกฺขุวสฺสานิ คณฺหติ, โส ยถาวุฑฺฒวนฺทนาทิกํ สํวาสํ สาทิยโนฺตว สํวาสเตฺถนโก มโตติ โยชนาฯ ยถาห – ‘‘ภิกฺขุวสฺสคณนาทิโก หิ สโพฺพปิ กิริยเภโท อิมสฺมิํ อเตฺถ ‘สํวาโส’ติ เวทิตโพฺพ’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๐)ฯ
Yo ca pabbajito hutvā bhikkhuvassāni gaṇhati, so yathāvuḍḍhavandanādikaṃ saṃvāsaṃ sādiyantova saṃvāsatthenako matoti yojanā. Yathāha – ‘‘bhikkhuvassagaṇanādiko hi sabbopi kiriyabhedo imasmiṃ atthe ‘saṃvāso’ti veditabbo’’ti (mahāva. aṭṭha. 110).
วุตฺตนโยเยวาติ อุภินฺนํ ปเจฺจกํ วุตฺตลกฺขณเมว เอตสฺส ลกฺขณนฺติ กตฺวา วุตฺตํฯ อยํ ติวิโธปิ เถยฺยสํวาสโก อนุปสมฺปโนฺน น อุปสมฺปาเทตโพฺพ, อุปสมฺปโนฺน นาเสตโพฺพ, ปุน ปพฺพชฺชํ ยาจโนฺตปิ น ปพฺพาเชตโพฺพฯ พฺยติเรกมุเขน เถยฺยสํวาสลกฺขณํ นิยเมตุํ อฎฺฐกถาย (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๐) วุตฺตคาถาทฺวยํ อุทาหรโนฺต อาห ‘‘ยถาห จา’’ติฯ ยถา อฎฺฐกถาจริโย ราชทุพฺภิกฺขาทิคาถาทฺวยมาห, ตถายมโตฺถ พฺยติเรกโต เวทิตโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ
Vuttanayoyevāti ubhinnaṃ paccekaṃ vuttalakkhaṇameva etassa lakkhaṇanti katvā vuttaṃ. Ayaṃ tividhopi theyyasaṃvāsako anupasampanno na upasampādetabbo, upasampanno nāsetabbo, puna pabbajjaṃ yācantopi na pabbājetabbo. Byatirekamukhena theyyasaṃvāsalakkhaṇaṃ niyametuṃ aṭṭhakathāya (mahāva. aṭṭha. 110) vuttagāthādvayaṃ udāharanto āha ‘‘yathāha cā’’ti. Yathā aṭṭhakathācariyo rājadubbhikkhādigāthādvayamāha, tathāyamattho byatirekato veditabboti adhippāyo.
๒๕๒๗-๘. ราชทุพฺภิกฺขกนฺตาร-โรคเวริภเยหิ วาติ เอตฺถ ภย-สโทฺท ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพ ‘‘ราชภเยน ทุพฺภิกฺขภเยนา’’ติอาทินาฯ จีวราหรณตฺถํ วาติ อตฺตนา ปริจฺจตฺตจีวรํ ปุน วิหารํ อาหรณตฺถายฯ อิธ อิมสฺมิํ สาสเนฯ สํวาสํ นาธิวาเสติ, ยาว โส สุทฺธมานโสติ ราชภยาทีหิ คหิตลิงฺคตาย โส สุทฺธมานโส ยาว สํวาสํ นาธิวาเสตีติ อโตฺถฯ
2527-8.Rājadubbhikkhakantāra-rogaveribhayehi vāti ettha bhaya-saddo paccekaṃ yojetabbo ‘‘rājabhayena dubbhikkhabhayenā’’tiādinā. Cīvarāharaṇatthaṃ vāti attanā pariccattacīvaraṃ puna vihāraṃ āharaṇatthāya. Idha imasmiṃ sāsane. Saṃvāsaṃ nādhivāseti, yāva so suddhamānasoti rājabhayādīhi gahitaliṅgatāya so suddhamānaso yāva saṃvāsaṃ nādhivāsetīti attho.
โย หิ ราชภยาทีหิ วินา เกวลํ ภิกฺขู วเญฺจตฺวา เตหิ สทฺธิํ วสิตุกามตาย ลิงฺคํ คณฺหาติ, โส อสุทฺธจิตฺตตาย ลิงฺคคฺคหเณเนว เถยฺยสํวาสโก นาม โหติฯ อยํ ปน ตาทิเสน อสุทฺธจิเตฺตน ภิกฺขู วเญฺจตุกามตาย อภาวโต ยาว สํวาสํ นาธิวาเสติ, ตาว เถยฺยสํวาสโก นาม น โหติฯ เตเนว ‘‘ราชภยาทีหิ คหิตลิงฺคานํ ‘คิหี มํ สมโณติ ชานนฺตู’ติ วญฺจนาจิเตฺต สติปิ ภิกฺขูนํ วเญฺจตุกามตาย อภาวา โทโส น ชาโต’’ติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ
Yo hi rājabhayādīhi vinā kevalaṃ bhikkhū vañcetvā tehi saddhiṃ vasitukāmatāya liṅgaṃ gaṇhāti, so asuddhacittatāya liṅgaggahaṇeneva theyyasaṃvāsako nāma hoti. Ayaṃ pana tādisena asuddhacittena bhikkhū vañcetukāmatāya abhāvato yāva saṃvāsaṃ nādhivāseti, tāva theyyasaṃvāsako nāma na hoti. Teneva ‘‘rājabhayādīhi gahitaliṅgānaṃ ‘gihī maṃ samaṇoti jānantū’ti vañcanācitte satipi bhikkhūnaṃ vañcetukāmatāya abhāvā doso na jāto’’ti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ.
เกจิ ปน ‘‘วูปสนฺตภยตา อิธ สุทฺธจิตฺตตา’’ติ วทนฺติ, เอวญฺจ สติ โส วูปสนฺตภโย ยาว สํวาสํ นาธิวาเสติ, ตาว เถยฺยสํวาสโก นาม น โหตีติ อยมโตฺถ วิญฺญายติฯ อิมสฺมิญฺจ อเตฺถ วิญฺญายมาเน อวูปสนฺตภยสฺส สํวาสสาทิยเนปิ เถยฺยสํวาสกตา น โหตีติ อาปเชฺชยฺย, น จ อฎฺฐกถายํ อวูปสนฺตภยสฺส สํวาสสาทิยเน อเถยฺยสํวาสกตา ทสฺสิตาฯ ‘‘สพฺพปาสณฺฑิยภตฺตานิ ภุญฺชโนฺต’’ติ จ อิมินา อวูปสนฺตภเยนาปิ สํวาสํ อสาทิยเนฺตเนว วสิตพฺพนฺติ ทีเปติฯ เตเนว ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํ ‘‘ยสฺมา วิหารํ อาคนฺตฺวา สงฺฆิกํ คณฺหนฺตสฺส สํวาสํ ปริหริตุํ ทุกฺกรํ, ตสฺมา ‘สพฺพปาสณฺฑิยภตฺตานิ ภุญฺชโนฺต’ติ อิทํ วุตฺต’’นฺติฯ ตสฺมา ราชภยาทีหิ คหิตลิงฺคตา เจตฺถ สุทฺธจิตฺตตาติ คเหตพฺพํฯ
Keci pana ‘‘vūpasantabhayatā idha suddhacittatā’’ti vadanti, evañca sati so vūpasantabhayo yāva saṃvāsaṃ nādhivāseti, tāva theyyasaṃvāsako nāma na hotīti ayamattho viññāyati. Imasmiñca atthe viññāyamāne avūpasantabhayassa saṃvāsasādiyanepi theyyasaṃvāsakatā na hotīti āpajjeyya, na ca aṭṭhakathāyaṃ avūpasantabhayassa saṃvāsasādiyane atheyyasaṃvāsakatā dassitā. ‘‘Sabbapāsaṇḍiyabhattāni bhuñjanto’’ti ca iminā avūpasantabhayenāpi saṃvāsaṃ asādiyanteneva vasitabbanti dīpeti. Teneva tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ ‘‘yasmā vihāraṃ āgantvā saṅghikaṃ gaṇhantassa saṃvāsaṃ pariharituṃ dukkaraṃ, tasmā ‘sabbapāsaṇḍiyabhattāni bhuñjanto’ti idaṃ vutta’’nti. Tasmā rājabhayādīhi gahitaliṅgatā cettha suddhacittatāti gahetabbaṃ.
ตาว เอส เถยฺยสํวาสโก นาม น วุจฺจตีติ โยชนาฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน ‘‘ตตฺรายํ วิตฺถารนโย’’ติ อฎฺฐกถายํ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๐) อาคตนเยน เวทิตโพฺพฯ
Tāva esa theyyasaṃvāsako nāma na vuccatīti yojanā. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana ‘‘tatrāyaṃ vitthāranayo’’ti aṭṭhakathāyaṃ (mahāva. aṭṭha. 110) āgatanayena veditabbo.
เถยฺยสํวาสกกถาวณฺณนาฯ
Theyyasaṃvāsakakathāvaṇṇanā.
๒๕๒๙-๓๐. โย อุปสมฺปโนฺน ภิกฺขุ ‘‘อหํ ติตฺถิโย ภวิสฺส’’นฺติ สลิเงฺคเนว อตฺตโน ภิกฺขุเวเสเนว ติตฺถิยานํ อุปสฺสยํ ยาติ เจติ สมฺพโนฺธฯ ติตฺถิเยสุ ปกฺกนฺตโก ปวิโฎฺฐ ติตฺถิยปกฺกนฺตโกฯ เตสํ ลิเงฺค นิสฺสิเตติ เตสํ ติตฺถิยานํ เวเส คหิเตฯ
2529-30. Yo upasampanno bhikkhu ‘‘ahaṃ titthiyo bhavissa’’nti saliṅgeneva attano bhikkhuveseneva titthiyānaṃ upassayaṃ yāti ceti sambandho. Titthiyesu pakkantako paviṭṭho titthiyapakkantako. Tesaṃ liṅge nissiteti tesaṃ titthiyānaṃ vese gahite.
๒๕๓๑. ‘‘อหํ ติตฺถิโย ภวิสฺส’’นฺติ กุสจีราทิกํ โย สยเมว นิวาเสติ, โสปิ ปกฺกนฺตโก ติตฺถิยปกฺกนฺตโก สิยาติ โยชนาฯ
2531. ‘‘Ahaṃ titthiyo bhavissa’’nti kusacīrādikaṃ yo sayameva nivāseti, sopi pakkantako titthiyapakkantako siyāti yojanā.
๒๕๓๒-๔. นโคฺค เตสํ อาชีวกาทีนํ อุปสฺสยํ คนฺตฺวาติ โยชนาฯ เกเส ลุญฺจาเปตีติ อตฺตโน เกเส ลุญฺจาเปติฯ เตสํ วตานิ อาทิยติ วาติ โยชนาฯ วตานิ อาทิยตีติ อุกฺกุฎิกปฺปธานาทีนิ วา วตานิ อาทิยติฯ เตสํ ติตฺถิยานํ โมรปิญฺฉาทิกํ ลิงฺคํ สญฺญาณํ สเจ คณฺหาติ วา เตสํ ปพฺพชฺชํ, ลทฺธิเมว วา สารโต วา เอติ อุปคจฺฉติ วาติ โยชนาฯ ‘‘อยํ ปพฺพชฺชา เสฎฺฐาติ เสฎฺฐภาวํ วา อุปคจฺฉตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๐ ติตฺถิยปกฺกนฺตกกถา) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ เอส ติตฺถิยปกฺกนฺตโก โหติ เอว, น ปน วิมุจฺจติ ติตฺถิยปกฺกนฺตภาวโตฯ นคฺคสฺส คจฺฉโตติ ‘‘อาชีวโก ภวิสฺส’’นฺติ กาสายาทีนิ อนาทาย นคฺคสฺส อาชีวกานํ อุปสํคจฺฉโตฯ
2532-4. Naggo tesaṃ ājīvakādīnaṃ upassayaṃ gantvāti yojanā. Kese luñcāpetīti attano kese luñcāpeti. Tesaṃ vatāni ādiyati vāti yojanā. Vatāni ādiyatīti ukkuṭikappadhānādīni vā vatāni ādiyati. Tesaṃ titthiyānaṃ morapiñchādikaṃ liṅgaṃ saññāṇaṃ sace gaṇhāti vā tesaṃ pabbajjaṃ, laddhimeva vā sārato vā eti upagacchati vāti yojanā. ‘‘Ayaṃ pabbajjā seṭṭhāti seṭṭhabhāvaṃ vā upagacchatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 110 titthiyapakkantakakathā) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Esa titthiyapakkantako hoti eva, na pana vimuccati titthiyapakkantabhāvato. Naggassa gacchatoti ‘‘ājīvako bhavissa’’nti kāsāyādīni anādāya naggassa ājīvakānaṃ upasaṃgacchato.
๒๕๓๕. เถยฺยสํวาสโก อนุปสมฺปนฺนวเสน วุโตฺต, โน อุปสมฺปนฺนวเสนฯ อิมินา ‘‘อุปสมฺปโนฺน ภิกฺขุ กูฎวสฺสํ คณฺหโนฺตปิ อสฺสมโณ น โหติฯ ลิเงฺค สอุสฺสาโห ปาราชิกํ อาปชฺชิตฺวา ภิกฺขุวสฺสาทีนิ คเณโนฺตปิ เถยฺยสํวาสโก น โหตี’’ติ อฎฺฐกถาคตวินิจฺฉยํ ทีเปติฯ ตถา วุโตฺตติ โยชนาฯ ‘‘อุปสมฺปนฺนภิกฺขุนา’’ติ อิมินา อนุปสมฺปนฺนํ นิวเตฺตติฯ เตน จ ‘‘สามเณโร สลิเงฺคน ติตฺถายตนํ คโตปิ ปุน ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ลภตี’’ติ กุรุนฺทฎฺฐกถาคตวินิจฺฉยํ ทเสฺสติฯ
2535.Theyyasaṃvāsakoanupasampannavasena vutto, no upasampannavasena. Iminā ‘‘upasampanno bhikkhu kūṭavassaṃ gaṇhantopi assamaṇo na hoti. Liṅge saussāho pārājikaṃ āpajjitvā bhikkhuvassādīni gaṇentopi theyyasaṃvāsako na hotī’’ti aṭṭhakathāgatavinicchayaṃ dīpeti. Tathā vuttoti yojanā. ‘‘Upasampannabhikkhunā’’ti iminā anupasampannaṃ nivatteti. Tena ca ‘‘sāmaṇero saliṅgena titthāyatanaṃ gatopi puna pabbajjañca upasampadañca labhatī’’ti kurundaṭṭhakathāgatavinicchayaṃ dasseti.
ติตฺถิยปกฺกนฺตกสฺส กิํ กาตพฺพนฺติ? น ปพฺพาเชตโพฺพ, ปพฺพาชิโตปิ น อุปสมฺปาเทตโพฺพ, อุปสมฺปาทิโต จ กาสายานิ อปเนตฺวา เสตกานิ ทตฺวา คิหิภาวํ อุปเนตโพฺพฯ อยมโตฺถ จ ‘‘ติตฺถิยปกฺกนฺตโก ภิกฺขเว อนุปสมฺปโนฺน น อุปสมฺปาเทตโพฺพ, อุปสมฺปโนฺน นาเสตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๑๑๐) ปาฬิโต จ ‘‘โส น เกวลํ น อุปสมฺปาเทตโพฺพ, อถ โข น ปพฺพาเชตโพฺพปี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๐ ติตฺถิยปกฺกนฺตกกถา) อฎฺฐกถาวจนโต จ เวทิตโพฺพฯ
Titthiyapakkantakassa kiṃ kātabbanti? Na pabbājetabbo, pabbājitopi na upasampādetabbo, upasampādito ca kāsāyāni apanetvā setakāni datvā gihibhāvaṃ upanetabbo. Ayamattho ca ‘‘titthiyapakkantako bhikkhave anupasampanno na upasampādetabbo, upasampanno nāsetabbo’’ti (mahāva. 110) pāḷito ca ‘‘so na kevalaṃ na upasampādetabbo, atha kho na pabbājetabbopī’’ti (mahāva. aṭṭha. 110 titthiyapakkantakakathā) aṭṭhakathāvacanato ca veditabbo.
ติตฺถิยปกฺกนฺตกกถาวณฺณนาฯ
Titthiyapakkantakakathāvaṇṇanā.
๒๕๓๖. อิธาติ อิมสฺมิํ ปพฺพชฺชูปสมฺปทาธิกาเรฯ มนุสฺสชาติกโต อญฺญสฺส ติรจฺฉานคเตเยว อโนฺตคธตฺตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ยโกฺข สโกฺกปิ วา’’ติฯ ติรจฺฉานคโต วุโตฺตติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐฯ ‘‘ติรจฺฉานคโต, ภิกฺขเว, อนุปสมฺปโนฺน น อุปสมฺปาเทตโพฺพ, อุปสมฺปโนฺน นาเสตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๑๑๑) วจนโต ปพฺพชฺชาปิ อุปลกฺขณโต นิวาริตาเยวาติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘ปพฺพาเชตุํ น วฎฺฎตี’’ติฯ เตน ติรจฺฉานคโต จ ภควโต อธิปฺปายญฺญูหิ อฎฺฐกถาจริเยหิ น ปพฺพาเชตโพฺพติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๑) วุตฺตํฯ
2536.Idhāti imasmiṃ pabbajjūpasampadādhikāre. Manussajātikato aññassa tiracchānagateyeva antogadhattaṃ dassetumāha ‘‘yakkho sakkopi vā’’ti. Tiracchānagato vuttoti ettha iti-saddo luttaniddiṭṭho. ‘‘Tiracchānagato, bhikkhave, anupasampanno na upasampādetabbo, upasampanno nāsetabbo’’ti (mahāva. 111) vacanato pabbajjāpi upalakkhaṇato nivāritāyevāti katvā vuttaṃ ‘‘pabbājetuṃ na vaṭṭatī’’ti. Tena tiracchānagato ca bhagavato adhippāyaññūhi aṭṭhakathācariyehi na pabbājetabboti (mahāva. aṭṭha. 111) vuttaṃ.
ติรจฺฉานกถาวณฺณนาฯ
Tiracchānakathāvaṇṇanā.
๒๕๓๗. ปญฺจานนฺตริเก โปเสติ มาตุฆาตโก, ปิตุฆาตโก, อรหนฺตฆาตโก, โลหิตุปฺปาทโก, สงฺฆเภทโกติ อานนฺตริยกเมฺมหิ สมนฺนาคเต ปญฺจ ปุคฺคเลฯ
2537.Pañcānantarike poseti mātughātako, pitughātako, arahantaghātako, lohituppādako, saṅghabhedakoti ānantariyakammehi samannāgate pañca puggale.
ตตฺถ มาตุฆาตโก (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๒) นาม เยน มนุสฺสิตฺถิภูตา ชนิกา มาตา สยมฺปิ มนุสฺสชาติเกเนว สตา สญฺจิจฺจ ชีวิตา โวโรปิตา, อยํ อานนฺตริเยน มาตุฆาตกกเมฺมน มาตุฆาตโก, เอตสฺส ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ ปฎิกฺขิตฺตาฯ เยน ปน มนุสฺสิตฺถิภูตาปิ อชนิกา โปสาวนิกมาตา วา จูฬมาตา วา มหามาตา วา ชนิกาปิ วา นมนุสฺสิตฺถิภูตา มาตาฆาติตา, ตสฺส ปพฺพชฺชา น วาริตา, น จ อานนฺตริโย โหติฯ เยน สยํ ติรจฺฉานภูเตน มนุสฺสิตฺถิภูตา มาตา ฆาติตา, โสปิ อานนฺตริโย น โหติ, ติรจฺฉานคตตฺตา ปนสฺส ปพฺพชฺชา ปฎิกฺขิตฺตาวฯ ปิตุฆาตเกปิ เอเสว นโยฯ สเจปิ หิ เวสิยา ปุโตฺต โหติ, ‘‘อยํ เม ปิตา’’ติ น ชานาติ, ยสฺส สมฺภเวน นิพฺพโตฺต, โส เจ อเนน ฆาติโต, ‘‘ปิตุฆาตโก’’เตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ, อานนฺตริยญฺจ ผุสติฯ
Tattha mātughātako (mahāva. aṭṭha. 112) nāma yena manussitthibhūtā janikā mātā sayampi manussajātikeneva satā sañcicca jīvitā voropitā, ayaṃ ānantariyena mātughātakakammena mātughātako, etassa pabbajjā ca upasampadā ca paṭikkhittā. Yena pana manussitthibhūtāpi ajanikā posāvanikamātā vā cūḷamātā vā mahāmātā vā janikāpi vā namanussitthibhūtā mātāghātitā, tassa pabbajjā na vāritā, na ca ānantariyo hoti. Yena sayaṃ tiracchānabhūtena manussitthibhūtā mātā ghātitā, sopi ānantariyo na hoti, tiracchānagatattā panassa pabbajjā paṭikkhittāva. Pitughātakepi eseva nayo. Sacepi hi vesiyā putto hoti, ‘‘ayaṃ me pitā’’ti na jānāti, yassa sambhavena nibbatto, so ce anena ghātito, ‘‘pitughātako’’tveva saṅkhyaṃ gacchati, ānantariyañca phusati.
อรหนฺตฆาตโกปิ มนุสฺสอรหนฺตวเสเนว เวทิตโพฺพฯ มนุสฺสชาติยญฺหิ อนฺตมโส อปพฺพชิตมฺปิ ขีณาสวํ ทารกํ วา ทาริกํ วา สญฺจิจฺจ ชีวิตา โวโรเปโนฺต อรหนฺตฆาตโกว โหติ, อานนฺตริยญฺจ ผุสติ, ปพฺพชฺชา จสฺส วาริตาฯ อมนุสฺสชาติกํ ปน อรหนฺตํ, มนุสฺสชาติกํ วา อวเสสํ อริยปุคฺคลํ ฆาเตตฺวา อานนฺตริโย น โหติ, ปพฺพชฺชาปิสฺส น วาริตา, กมฺมํ ปน พลวํ โหติฯ ติรจฺฉาโน มนุสฺสอรหนฺตมฺปิ ฆาเตตฺวา อานนฺตริโย น โหติ, กมฺมํ ปน ภาริยํฯ
Arahantaghātakopi manussaarahantavaseneva veditabbo. Manussajātiyañhi antamaso apabbajitampi khīṇāsavaṃ dārakaṃ vā dārikaṃ vā sañcicca jīvitā voropento arahantaghātakova hoti, ānantariyañca phusati, pabbajjā cassa vāritā. Amanussajātikaṃ pana arahantaṃ, manussajātikaṃ vā avasesaṃ ariyapuggalaṃ ghātetvā ānantariyo na hoti, pabbajjāpissa na vāritā, kammaṃ pana balavaṃ hoti. Tiracchāno manussaarahantampi ghātetvā ānantariyo na hoti, kammaṃ pana bhāriyaṃ.
โย เทวทโตฺต วิย ทุฎฺฐจิเตฺตน วธกจิเตฺตน ตถาคตสฺส ชีวมานกสรีเร ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนกมตฺตมฺปิ โลหิตํ อุปฺปาเทติ, อยํ โลหิตุปฺปาทโก นาม, เอตสฺส ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ วาริตาฯ โย ปน โรควูปสมนตฺถํ ชีวโก วิย สเตฺถน ผาเลตฺวา ปูติมํสญฺจ โลหิตญฺจ นีหริตฺวา ผาสุํ กโรติ, พหุํ โส ปุญฺญํ ปสวติฯ
Yo devadatto viya duṭṭhacittena vadhakacittena tathāgatassa jīvamānakasarīre khuddakamakkhikāya pivanakamattampi lohitaṃ uppādeti, ayaṃ lohituppādako nāma, etassa pabbajjā ca upasampadā ca vāritā. Yo pana rogavūpasamanatthaṃ jīvako viya satthena phāletvā pūtimaṃsañca lohitañca nīharitvā phāsuṃ karoti, bahuṃ so puññaṃ pasavati.
โย เทวทโตฺต วิย สาสนํ อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ กตฺวา จตุนฺนํ กมฺมานํ อญฺญตรวเสน สงฺฆํ ภินฺทติ, อยํ สงฺฆเภทโก นาม, เอตสฺส ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ วาริตาฯ ‘‘มาตุฆาตโก, ภิกฺขเว, อนุปสมฺปโนฺน น อุปสมฺปาเทตโพฺพ, อุปสมฺปโนฺน นาเสตโพฺพ’’ติอาทิกาย (มหาว. ๑๑๒) ปาฬิยา อุปสมฺปทาปฎิเกฺขโป ปพฺพชฺชาปฎิเกฺขปสฺส อุปลกฺขณนฺติ อาห ‘‘ปพฺพาเชนฺตสฺส ทุกฺกฎ’’นฺติฯ
Yo devadatto viya sāsanaṃ uddhammaṃ ubbinayaṃ katvā catunnaṃ kammānaṃ aññataravasena saṅghaṃ bhindati, ayaṃ saṅghabhedako nāma, etassa pabbajjā ca upasampadā ca vāritā. ‘‘Mātughātako, bhikkhave, anupasampanno na upasampādetabbo, upasampanno nāsetabbo’’tiādikāya (mahāva. 112) pāḷiyā upasampadāpaṭikkhepo pabbajjāpaṭikkhepassa upalakkhaṇanti āha ‘‘pabbājentassa dukkaṭa’’nti.
อุภโตพฺยญฺชนเญฺจว ภิกฺขุนิทูสกญฺจ ตถา ปพฺพาเชนฺตสฺส ทุกฺกฎนฺติ สมฺพโนฺธฯ อุภโตพฺยญฺชนนฺติ ก-การโลเปน นิเทฺทโสฯ อิตฺถินิมิตฺตุปฺปาทนกมฺมโต จ ปุริสนิมิตฺตุปฺปาทนกมฺมโต จ อุภโต พฺยญฺชนมสฺส อตฺถีติ อุภโตพฺยญฺชนโกฯ โส ทุวิโธ โหติ อิตฺถิอุภโตพฺยญฺชนโก, ปุริสอุภโตพฺยญฺชนโกติฯ
Ubhatobyañjanañceva bhikkhunidūsakañca tathā pabbājentassa dukkaṭanti sambandho. Ubhatobyañjananti ka-kāralopena niddeso. Itthinimittuppādanakammato ca purisanimittuppādanakammato ca ubhato byañjanamassa atthīti ubhatobyañjanako. So duvidho hoti itthiubhatobyañjanako, purisaubhatobyañjanakoti.
ตตฺถ อิตฺถิอุภโตพฺยญฺชนกสฺส (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๖) อิตฺถินิมิตฺตํ ปากฎํ โหติ, ปุริสนิมิตฺตํ ปฎิจฺฉนฺนํฯ ปุริสอุภโตพฺยญฺชนกสฺส ปุริสนิมิตฺตํ ปากฎํ โหติ, อิตฺถินิมิตฺตํ ปฎิจฺฉนฺนํฯ อิตฺถิอุภโตพฺยญฺชนกสฺส อิตฺถีสุ ปุริสตฺตํ กโรนฺตสฺส อิตฺถินิมิตฺตํ ปฎิจฺฉนฺนํ โหติ, ปุริสนิมิตฺตํ ปากฎํ โหติฯ ปุริสอุภโตพฺยญฺชนกสฺส ปุริสานํ อิตฺถิภาวํ อุปคจฺฉนฺตสฺส ปุริสนิมิตฺตํ ปฎิจฺฉนฺนํ โหติ, อิตฺถินิมิตฺตํ ปากฎํ โหติฯ อิตฺถิอุภโตพฺยญฺชนโก สยญฺจ คพฺภํ คณฺหาติ, ปรญฺจ คพฺภํ คณฺหาเปติฯ ปุริสอุภโตพฺยญฺชนโก สยํ น คณฺหาติ, ปรํ คณฺหาเปตีติ อิทเมเตสํ นานากรณํฯ อิมสฺส ปน ทุวิธสฺสาปิ อุภโตพฺยญฺชนกสฺสเนว ปพฺพชฺชา อตฺถิ, น อุปสมฺปทาติ อิทมิธ สนฺนิฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ
Tattha itthiubhatobyañjanakassa (mahāva. aṭṭha. 116) itthinimittaṃ pākaṭaṃ hoti, purisanimittaṃ paṭicchannaṃ. Purisaubhatobyañjanakassa purisanimittaṃ pākaṭaṃ hoti, itthinimittaṃ paṭicchannaṃ. Itthiubhatobyañjanakassa itthīsu purisattaṃ karontassa itthinimittaṃ paṭicchannaṃ hoti, purisanimittaṃ pākaṭaṃ hoti. Purisaubhatobyañjanakassa purisānaṃ itthibhāvaṃ upagacchantassa purisanimittaṃ paṭicchannaṃ hoti, itthinimittaṃ pākaṭaṃ hoti. Itthiubhatobyañjanako sayañca gabbhaṃ gaṇhāti, parañca gabbhaṃ gaṇhāpeti. Purisaubhatobyañjanako sayaṃ na gaṇhāti, paraṃ gaṇhāpetīti idametesaṃ nānākaraṇaṃ. Imassa pana duvidhassāpi ubhatobyañjanakassaneva pabbajjā atthi, na upasampadāti idamidha sanniṭṭhānaṃ veditabbaṃ.
โย ปกตตฺตํ ภิกฺขุนิํ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๕) ติณฺณํ มคฺคานํ อญฺญตรสฺมิํ ทูเสติ, อยํ ภิกฺขุนิทูสโก นาม, เอตสฺส ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ วาริตาฯ โย ปน กายสํสเคฺคน สีลวินาสํ ปาเปติ, ตสฺส ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ น วาริตาฯ พลกฺกาเรน ปน โอทาตวตฺถวสนํ กตฺวา อนิจฺฉมานํเยว ทูเสโนฺตปิ ภิกฺขุนิทูสโกเยวฯ พลกฺกาเรน ปน โอทาตวตฺถวสนํ กตฺวา อิจฺฉมานํ ทูเสโนฺต ภิกฺขุนิทูสโก น โหติฯ กสฺมา? ยสฺมา คิหิภาเว สมฺปฎิจฺฉิตมเตฺตเยว สา อภิกฺขุนี โหติฯ สกิํ สีลวิปนฺนํ ปน ปจฺฉา ทูเสโนฺต เนว ภิกฺขุนิทูสโก โหติ, ปพฺพชฺชมฺปิ อุปสมฺปทมฺปิ ลภติฯ
Yo pakatattaṃ bhikkhuniṃ (mahāva. aṭṭha. 115) tiṇṇaṃ maggānaṃ aññatarasmiṃ dūseti, ayaṃ bhikkhunidūsako nāma, etassa pabbajjā ca upasampadā ca vāritā. Yo pana kāyasaṃsaggena sīlavināsaṃ pāpeti, tassa pabbajjā ca upasampadā ca na vāritā. Balakkārena pana odātavatthavasanaṃ katvā anicchamānaṃyeva dūsentopi bhikkhunidūsakoyeva. Balakkārena pana odātavatthavasanaṃ katvā icchamānaṃ dūsento bhikkhunidūsako na hoti. Kasmā? Yasmā gihibhāve sampaṭicchitamatteyeva sā abhikkhunī hoti. Sakiṃ sīlavipannaṃ pana pacchā dūsento neva bhikkhunidūsako hoti, pabbajjampi upasampadampi labhati.
๒๕๓๘. ปาฬิอฎฺฐกถาวิมุตฺตํ อาจริยปรมฺปราภตวินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอกโต’’ติอาทิฯ ‘‘เอกโต’’ติ อิมินา ภิกฺขุสงฺฆสฺสาปิ คหณํ ภเวยฺยาติ ตํ ปริวเชฺชตุํ ‘‘ภิกฺขุนีนํ ตุ สนฺติเก’’ติ วุตฺตํฯ เอเตน ตํทูสกสฺส ภพฺพตํ ทีเปติฯ โส เนว ภิกฺขุนิทูสโก สิยา, ‘‘อุปสมฺปทํ ลภเตว จ ปพฺพชฺชํ, สา จ เนว ปราชิตา’’ติ อิทํ ทุติยคาถาย อิธาเนตฺวา โยเชตพฺพํฯ เกวลํ ภิกฺขุนิสเงฺฆ อุปสมฺปนฺนา นาม น โหตีติ อธิปฺปาเยเนว วุตฺตํฯ ‘‘สา จ เนว ปราชิตา’’ติ อิมินา ตสฺสา จ ปุน ปพฺพชฺชูปสมฺปทาย ภพฺพตํ ทีเปติฯ อยมโตฺถ อฎฺฐกถาคณฺฐิปเทปิ วุโตฺตเยว ‘‘ภิกฺขุนีนํ วเสน เอกโตอุปสมฺปนฺนํ ทูเสตฺวา ภิกฺขุนิทูสโก น โหติ, ปพฺพชฺชาทีนิ ลภติ, สา จ ปาราชิกา น โหตีติ วินิจฺฉโย’’ติฯ
2538. Pāḷiaṭṭhakathāvimuttaṃ ācariyaparamparābhatavinicchayaṃ dassetumāha ‘‘ekato’’tiādi. ‘‘Ekato’’ti iminā bhikkhusaṅghassāpi gahaṇaṃ bhaveyyāti taṃ parivajjetuṃ ‘‘bhikkhunīnaṃ tu santike’’ti vuttaṃ. Etena taṃdūsakassa bhabbataṃ dīpeti. So neva bhikkhunidūsako siyā, ‘‘upasampadaṃ labhateva ca pabbajjaṃ, sā ca neva parājitā’’ti idaṃ dutiyagāthāya idhānetvā yojetabbaṃ. Kevalaṃ bhikkhunisaṅghe upasampannā nāma na hotīti adhippāyeneva vuttaṃ. ‘‘Sā ca neva parājitā’’ti iminā tassā ca puna pabbajjūpasampadāya bhabbataṃ dīpeti. Ayamattho aṭṭhakathāgaṇṭhipadepi vuttoyeva ‘‘bhikkhunīnaṃ vasena ekatoupasampannaṃ dūsetvā bhikkhunidūsako na hoti, pabbajjādīni labhati, sā ca pārājikā na hotīti vinicchayo’’ti.
๒๕๓๙. ‘‘สิกฺขมานาสามเณรีสุ จ วิปฺปฎิปชฺชโนฺต เนว ภิกฺขุนิทูสโก โหติ, ปพฺพชฺชมฺปิ อุปสมฺปทมฺปิ ลภตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๕) อฎฺฐกถาคตวินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘สเจ อนุปสมฺปนฺนทูสโก’’ติฯ ‘‘อุปสมฺปทํ ลภเตว จ ปพฺพชฺช’’นฺติ อิทํ ยถาฐาเนปิ โยเชตพฺพํฯ สา จ เนว ปราชิตาติ อิทํ ปน อฎฺฐกถาย อนาคตตฺตา จ อนุปสมฺปนฺนาย อุปสมฺปนฺนวิกปฺปาภาวา จ น โยเชตพฺพํฯ อสติ หิ อุปสมฺปนฺนวิกเปฺป ปราชิตวิกปฺปาสงฺคโห ปฎิเสโธ นิรตฺถโกติ สา ปพฺพชฺชูปสมฺปทานํ ภพฺพาเยวาติ ทฎฺฐพฺพาฯ อิเม ปน ปณฺฑกาทโย เอกาทส ปุคฺคลา ‘‘ปณฺฑโก, ภิกฺขเว, อนุปสมฺปโนฺน น อุปสมฺปาเทตโพฺพ, อุปสมฺปโนฺน นาเสตโพฺพ’’ติอาทิวจนโต (มหาว. ๑๐๙) อภพฺพาเยว, เนสํ ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ น รุหติ, ตสฺมา น ปพฺพาเชตพฺพาฯ ชานิตฺวา ปพฺพาเชโนฺต, อุปสมฺปาเทโนฺต จ ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ อชานิตฺวาปิ ปพฺพาชิตา, อุปสมฺปาทิตา จ ชานิตฺวา ลิงฺคนาสนาย นาเสตพฺพาฯ
2539. ‘‘Sikkhamānāsāmaṇerīsu ca vippaṭipajjanto neva bhikkhunidūsako hoti, pabbajjampi upasampadampi labhatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 115) aṭṭhakathāgatavinicchayaṃ dassetumāha ‘‘sace anupasampannadūsako’’ti. ‘‘Upasampadaṃ labhateva ca pabbajja’’nti idaṃ yathāṭhānepi yojetabbaṃ. Sā ca neva parājitāti idaṃ pana aṭṭhakathāya anāgatattā ca anupasampannāya upasampannavikappābhāvā ca na yojetabbaṃ. Asati hi upasampannavikappe parājitavikappāsaṅgaho paṭisedho niratthakoti sā pabbajjūpasampadānaṃ bhabbāyevāti daṭṭhabbā. Ime pana paṇḍakādayo ekādasa puggalā ‘‘paṇḍako, bhikkhave, anupasampanno na upasampādetabbo, upasampanno nāsetabbo’’tiādivacanato (mahāva. 109) abhabbāyeva, nesaṃ pabbajjā ca upasampadā ca na ruhati, tasmā na pabbājetabbā. Jānitvā pabbājento, upasampādento ca dukkaṭaṃ āpajjati. Ajānitvāpi pabbājitā, upasampāditā ca jānitvā liṅganāsanāya nāsetabbā.
เอกาทสอภพฺพปุคฺคลกถาวณฺณนาฯ
Ekādasaabhabbapuggalakathāvaṇṇanā.
๒๕๔๐. นูปสมฺปาทนีโยวาติ น อุปสมฺปาเทตโพฺพวฯ อนุปชฺฌายโกติ อสนฺนิหิตอุปชฺฌาโย วา อคฺคหิตอุปชฺฌายคฺคหโณ วาฯ กโรโตติ อนุปชฺฌายกํ อุปสมฺปาทยโตฯ ทุกฺกฎํ โหตีติ อาจริยสฺส จ คณสฺส จ ทุกฺกฎาปตฺติ โหติฯ น กุปฺปติ สเจ กตนฺติ สเจ อนุปชฺฌายกสฺส อุปสมฺปทากมฺมํ กตํ ภเวยฺย, ตํ น กุปฺปติ สมเคฺคน สเงฺฆน อกุเปฺปน ฐานารเหน กตตฺตาฯ
2540.Nūpasampādanīyovāti na upasampādetabbova. Anupajjhāyakoti asannihitaupajjhāyo vā aggahitaupajjhāyaggahaṇo vā. Karototi anupajjhāyakaṃ upasampādayato. Dukkaṭaṃ hotīti ācariyassa ca gaṇassa ca dukkaṭāpatti hoti. Na kuppati sace katanti sace anupajjhāyakassa upasampadākammaṃ kataṃ bhaveyya, taṃ na kuppati samaggena saṅghena akuppena ṭhānārahena katattā.
๒๕๔๑. เอเกติ อภยคิริวาสิโนฯ ‘‘น คเหตพฺพเมวา’’ติ อฎฺฐกถาย ทฬฺหํ วุตฺตตฺตา วุตฺตํฯ ตํ วจนํฯ เอตฺถ จ อุปชฺฌาเย อสนฺนิหิเตปิ อุปชฺฌายคฺคหเณ อกเตปิ กมฺมวาจายํ ปน อุปชฺฌายกิตฺตนํ กตํเยวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อญฺญถา ‘‘ปุคฺคลํ น ปรามสตี’’ติ วุตฺตาย กมฺมวิปตฺติยา สมฺภวโต กมฺมํ กุเปฺปยฺยฯ เตเนว ‘‘อุปชฺฌายํ อกิเตฺตตฺวา’’ติ อวตฺวา ‘‘อุปชฺฌํ อคฺคาหาเปตฺวา’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๗) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ ยถา จ อปริปุณฺณปตฺตจีวรสฺส อุปสมฺปทากาเล กมฺมวาจายํ ‘‘ปริปุณฺณสฺส ปตฺตจีวร’’นฺติ อสนฺตํ วตฺถุํ กิเตฺตตฺวา กมฺมวาจาย กตายปิ อุปสมฺปทา รุหติ, เอวํ ‘‘อยํ พุทฺธรกฺขิโต อายสฺมโต ธมฺมรกฺขิตสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ อสนฺตํ ปุคฺคลํ กิเตฺตตฺวา เกวลํ สนฺตปทนีหาเรน กมฺมวาจาย กตาย อุปสมฺปทา รุหติเยวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตเนวาห ‘‘น กุปฺปติ สเจ กต’’นฺติฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, อนุปชฺฌายโก อุปสมฺปาเทตโพฺพ, โย อุปสมฺปาเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๑๗) เอตฺตกเมว วตฺวา ‘‘โส จ ปุคฺคโล อนุปสมฺปโนฺน’’ติ อวุตฺตตฺตา, กมฺมวิปตฺติลกฺขณสฺส จ อสมฺภวโต ‘‘น คเหตพฺพเมว ต’’นฺติ วุตฺตํฯ
2541.Eketi abhayagirivāsino. ‘‘Na gahetabbamevā’’ti aṭṭhakathāya daḷhaṃ vuttattā vuttaṃ. Taṃ vacanaṃ. Ettha ca upajjhāye asannihitepi upajjhāyaggahaṇe akatepi kammavācāyaṃ pana upajjhāyakittanaṃ kataṃyevāti daṭṭhabbaṃ. Aññathā ‘‘puggalaṃ na parāmasatī’’ti vuttāya kammavipattiyā sambhavato kammaṃ kuppeyya. Teneva ‘‘upajjhāyaṃ akittetvā’’ti avatvā ‘‘upajjhaṃ aggāhāpetvā’’ti (mahāva. aṭṭha. 117) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Yathā ca aparipuṇṇapattacīvarassa upasampadākāle kammavācāyaṃ ‘‘paripuṇṇassa pattacīvara’’nti asantaṃ vatthuṃ kittetvā kammavācāya katāyapi upasampadā ruhati, evaṃ ‘‘ayaṃ buddharakkhito āyasmato dhammarakkhitassa upasampadāpekkho’’ti asantaṃ puggalaṃ kittetvā kevalaṃ santapadanīhārena kammavācāya katāya upasampadā ruhatiyevāti daṭṭhabbaṃ. Tenevāha ‘‘na kuppati sace kata’’nti. ‘‘Na, bhikkhave, anupajjhāyako upasampādetabbo, yo upasampādeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 117) ettakameva vatvā ‘‘so ca puggalo anupasampanno’’ti avuttattā, kammavipattilakkhaṇassa ca asambhavato ‘‘na gahetabbameva ta’’nti vuttaṃ.
เสเสสุ สพฺพตฺถปีติ สงฺฆคณปณฺฑกเถยฺยสํวาสกติตฺถิยปกฺกนฺตกติรจฺฉานคตมาตุปิตุอรหนฺตฆาตกภิกฺขุนิทูสกสงฺฆเภทกโลหิตุปฺปาทกอุภโตพฺยญฺชนกสงฺขาเตหิ อุปชฺฌาเยหิ อุปสมฺปาทิเตสุ สเพฺพสุ เตรสสุ วิกเปฺปสุฯ วุตฺตญฺหิ ภควตา ‘‘น, ภิกฺขเว, สเงฺฆน อุปชฺฌาเยน อุปสมฺปาเทตโพฺพ, โย อุปสมฺปาเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติอาทิฯ น เกวลํ เอเตสุเยว เตรสสุ, อถ ‘‘อปตฺตกอจีวรกอจีวรปตฺตกยาจิตกปตฺตยาจิตกจีวรยาจิตกปตฺตจีวรกา’’ติ เอเตสุ ฉสุ วิกเปฺปสุ อยํ นโย โยเชตโพฺพติฯ เสส-คฺคหเณน เอเตสมฺปิ สงฺคโหฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘น, ภิกฺขเว, อปตฺตโก อุปสมฺปาเทตโพฺพ, โย อุปสมฺปาเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติอาทิ (มหาว. ๑๑๘)ฯ อยํ นโยติ ‘‘น กุปฺปติ สเจ กต’’นฺติ วุตฺตนโยฯ
Sesesu sabbatthapīti saṅghagaṇapaṇḍakatheyyasaṃvāsakatitthiyapakkantakatiracchānagatamātupituarahantaghātakabhikkhunidūsakasaṅghabhedakalohituppādakaubhatobyañjanakasaṅkhātehi upajjhāyehi upasampāditesu sabbesu terasasu vikappesu. Vuttañhi bhagavatā ‘‘na, bhikkhave, saṅghena upajjhāyena upasampādetabbo, yo upasampādeyya, āpatti dukkaṭassā’’tiādi. Na kevalaṃ etesuyeva terasasu, atha ‘‘apattakaacīvarakaacīvarapattakayācitakapattayācitakacīvarayācitakapattacīvarakā’’ti etesu chasu vikappesu ayaṃ nayo yojetabboti. Sesa-ggahaṇena etesampi saṅgaho. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘na, bhikkhave, apattako upasampādetabbo, yo upasampādeyya, āpatti dukkaṭassā’’tiādi (mahāva. 118). Ayaṃ nayoti ‘‘na kuppati sace kata’’nti vuttanayo.
๒๕๔๒. ปญฺจวีสตีติ จตุวีสติ ปาราชิกา, อูนวีสติวโสฺส จาติ ปญฺจวีสติฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘น, ภิกฺขเว, ชานํ อูนวีสติวโสฺส ปุคฺคโล อุปสมฺปาเทตโพฺพฯ โย อุปสมฺปาเทยฺย, ยถาธโมฺม กาเรตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๙๙)ฯ โอสาโรติ อุปสมฺปทาสงฺขาโต โอสาโรฯ เตเนว จเมฺปยฺยกฺขนฺธเก ‘‘ตเญฺจ สโงฺฆ โอสาเรติ, เอกโจฺจ โสสาริโต’’ติอาทิปาฐสฺส (มหาว. ๓๙๖) อฎฺฐกถายํ ‘‘โอสาเรตีติ อุปสมฺปทากมฺมวเสน ปเวเสตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๙๖) วุตฺตํฯ ‘‘นาสนารโห’’ติ อิมินา ‘‘ปณฺฑโก, ภิกฺขเว, อนุปสมฺปโนฺน น อุปสมฺปาเทตโพฺพ’’ติอาทิวจนโต (มหาว. ๑๐๙) อุปสมฺปาทิตสฺสาปิ เสตกานิ ทตฺวา คิหิภาวํ ปาเปตพฺพตํ ทีเปติฯ
2542.Pañcavīsatīti catuvīsati pārājikā, ūnavīsativasso cāti pañcavīsati. Vuttañhi ‘‘na, bhikkhave, jānaṃ ūnavīsativasso puggalo upasampādetabbo. Yo upasampādeyya, yathādhammo kāretabbo’’ti (mahāva. 99). Osāroti upasampadāsaṅkhāto osāro. Teneva campeyyakkhandhake ‘‘tañce saṅgho osāreti, ekacco sosārito’’tiādipāṭhassa (mahāva. 396) aṭṭhakathāyaṃ ‘‘osāretīti upasampadākammavasena pavesetī’’ti (mahāva. aṭṭha. 396) vuttaṃ. ‘‘Nāsanāraho’’ti iminā ‘‘paṇḍako, bhikkhave, anupasampanno na upasampādetabbo’’tiādivacanato (mahāva. 109) upasampāditassāpi setakāni datvā gihibhāvaṃ pāpetabbataṃ dīpeti.
๒๕๔๓. หตฺถจฺฉินฺนาทิ พาตฺติํสาติ จเมฺปยฺยกฺขนฺธเก –
2543.Hatthacchinnādibāttiṃsāti campeyyakkhandhake –
‘‘หตฺถจฺฉิโนฺน, ภิกฺขเว, อปฺปโตฺต โอสารณํ, ตเญฺจ สโงฺฆ โอสาเรติ, โสสาริโตฯ ปาทจฺฉิโนฺน…เป.… หตฺถปาทจฺฉิโนฺน… กณฺณจฺฉิโนฺน… นาสจฺฉิโนฺน… กณฺณนาสจฺฉิโนฺน… องฺคุลิจฺฉิโนฺน… อฬจฺฉิโนฺน… กณฺฑรจฺฉิโนฺน… ผณหตฺถโก… ขุโชฺช… วามโน… คลคณฺฑี… ลกฺขณาหโต… กสาหโต… ลิขิตโก… สีปทิโก… ปาปโรคี… ปริสทูสโก… กาโณ… กุณี… ขโญฺช… ปกฺขหโต… ฉินฺนิริยาปโถ… ชราทุพฺพโล… อโนฺธ… มูโค… ปธิโร… อนฺธมูโค… อนฺธปธิโร… มูคปธิโร… อนฺธมูคปธิโร, ภิกฺขเว, อปฺปโตฺต โอสารณํ, ตเญฺจ สโงฺฆ โอสาเรติ, โสสาริโต’’ติ (มหาว. ๓๙๖) พาตฺติํสฯ
‘‘Hatthacchinno, bhikkhave, appatto osāraṇaṃ, tañce saṅgho osāreti, sosārito. Pādacchinno…pe… hatthapādacchinno… kaṇṇacchinno… nāsacchinno… kaṇṇanāsacchinno… aṅgulicchinno… aḷacchinno… kaṇḍaracchinno… phaṇahatthako… khujjo… vāmano… galagaṇḍī… lakkhaṇāhato… kasāhato… likhitako… sīpadiko… pāparogī… parisadūsako… kāṇo… kuṇī… khañjo… pakkhahato… chinniriyāpatho… jarādubbalo… andho… mūgo… padhiro… andhamūgo… andhapadhiro… mūgapadhiro… andhamūgapadhiro, bhikkhave, appatto osāraṇaṃ, tañce saṅgho osāreti, sosārito’’ti (mahāva. 396) bāttiṃsa.
กุฎฺฐิอาทิ จ เตรสาติ มหาขนฺธเก อาคตา –
Kuṭṭhiādi ca terasāti mahākhandhake āgatā –
‘‘กุฎฺฐิํ คณฺฑิํ กิลาสิญฺจ, โสสิญฺจ อปมาริกํ;
‘‘Kuṭṭhiṃ gaṇḍiṃ kilāsiñca, sosiñca apamārikaṃ;
ตถา ราชภฎํ โจรํ, ลิขิตํ การเภทกํฯ
Tathā rājabhaṭaṃ coraṃ, likhitaṃ kārabhedakaṃ.
‘‘กสาหตํ นรเญฺจว, ปุริสํ ลกฺขณาหตํ;
‘‘Kasāhataṃ narañceva, purisaṃ lakkhaṇāhataṃ;
อิณายิกญฺจ ทาสญฺจ, ปพฺพาเชนฺตสฺส ทุกฺกฎ’’นฺติฯ –
Iṇāyikañca dāsañca, pabbājentassa dukkaṭa’’nti. –
ยถาวุตฺตา เตรสฯ
Yathāvuttā terasa.
เอวเมเต ปญฺจจตฺตาลีส วุตฺตาฯ เตสุ กสาหตลกฺขณาหตลิขิตกานํ ติณฺณํ อุภยตฺถ อาคตตฺตา อคฺคหิตคฺคหเณน ทฺวาจตฺตาลีเสว ทฎฺฐพฺพาฯ
Evamete pañcacattālīsa vuttā. Tesu kasāhatalakkhaṇāhatalikhitakānaṃ tiṇṇaṃ ubhayattha āgatattā aggahitaggahaṇena dvācattālīseva daṭṭhabbā.
‘‘หตฺถจฺฉินฺนาทิพาตฺติํส , กุฎฺฐิอาทิ จ เตรสา’’ติ เย ปุคฺคลา วุตฺตา, เตสํฯ โอสาโร อปฺปโตฺตติ อุปสมฺปทาอนนุรูปาติ อโตฺถฯ กโต เจติ อกตฺตพฺพภาวมสลฺลกฺขเนฺตหิ ภิกฺขูหิ ยทิ อุปสมฺปทาสงฺขาโต โอสาโร กโต ภเวยฺยฯ รูหตีติ สิชฺฌติ, เต ปุคฺคลา อุปสมฺปนฺนาเยวาติ อธิปฺปาโยฯ อาจริยาทโย ปน อาปตฺติํ อาปชฺชนฺติฯ ยถาห จเมฺปยฺยกฺขนฺธกฎฺฐกถายํ – ‘‘หตฺถจฺฉินฺนาทโย ปน ทฺวตฺติํส สุโอสาริตา, อุปสมฺปาทิตา อุปสมฺปนฺนาว โหนฺติ, น เต ลพฺภา กิญฺจิ วตฺตุํฯ อาจริยุปชฺฌายา, ปน การกสโงฺฆ จ สาติสารา, น โกจิ อาปตฺติโต มุจฺจตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๙๖)ฯ
‘‘Hatthacchinnādibāttiṃsa , kuṭṭhiādi ca terasā’’ti ye puggalā vuttā, tesaṃ. Osāro appattoti upasampadāananurūpāti attho. Kato ceti akattabbabhāvamasallakkhantehi bhikkhūhi yadi upasampadāsaṅkhāto osāro kato bhaveyya. Rūhatīti sijjhati, te puggalā upasampannāyevāti adhippāyo. Ācariyādayo pana āpattiṃ āpajjanti. Yathāha campeyyakkhandhakaṭṭhakathāyaṃ – ‘‘hatthacchinnādayo pana dvattiṃsa suosāritā, upasampāditā upasampannāva honti, na te labbhā kiñci vattuṃ. Ācariyupajjhāyā, pana kārakasaṅgho ca sātisārā, na koci āpattito muccatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 396).
๒๕๔๔-๕. ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เทฺว ตโย เอกานุสฺสาวเน กาตุํ, ตญฺจ โข เอเกน อุปชฺฌาเยนา’’ติ (มหาว. ๑๒๓) วจนโต สเจ ตโย อาจริยา เอกสีมายํ นิสินฺนา เอกสฺส อุปชฺฌายสฺส นามํ คเหตฺวา ติณฺณํ อุปสมฺปทาเปกฺขานํ วิสุํ วิสุํเยว กมฺมวาจํ เอกกฺขเณ วตฺวา ตโย อุปสมฺปาเทนฺติ, วฎฺฎตีติ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอกูปชฺฌายโก โหตี’’ติอาทิฯ
2544-5. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, dve tayo ekānussāvane kātuṃ, tañca kho ekena upajjhāyenā’’ti (mahāva. 123) vacanato sace tayo ācariyā ekasīmāyaṃ nisinnā ekassa upajjhāyassa nāmaṃ gahetvā tiṇṇaṃ upasampadāpekkhānaṃ visuṃ visuṃyeva kammavācaṃ ekakkhaṇe vatvā tayo upasampādenti, vaṭṭatīti dassetumāha ‘‘ekūpajjhāyako hotī’’tiādi.
‘‘ตโย’’ติ อิทํ อฎฺฐุปฺปตฺติยํ ‘‘สมฺพหุลานํ เถราน’’นฺติ (มหาว. ๑๒๓) อาคตตฺตา วุตฺตํฯ เอกโตติ เอกกฺขเณฯ อนุสาวนนฺติ กมฺมวาจํฯ โอสาเรตฺวาติ วตฺวาฯ กมฺมนฺติ อุปสมฺปทากมฺมํฯ น จ กุปฺปตีติ น วิปชฺชติฯ กปฺปตีติ อวิปชฺชนโต เอวํ กาตุํ วฎฺฎติฯ
‘‘Tayo’’ti idaṃ aṭṭhuppattiyaṃ ‘‘sambahulānaṃ therāna’’nti (mahāva. 123) āgatattā vuttaṃ. Ekatoti ekakkhaṇe. Anusāvananti kammavācaṃ. Osāretvāti vatvā. Kammanti upasampadākammaṃ. Na ca kuppatīti na vipajjati. Kappatīti avipajjanato evaṃ kātuṃ vaṭṭati.
๒๕๔๖-๗. ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เทฺว ตโย เอกานุสฺสาวเน กาตุ’’นฺติ (มหาว. ๑๒๓) วจนโต สเจ เอโก อาจริโย ‘‘พุทฺธรกฺขิโต จ ธมฺมรกฺขิโต จ สงฺฆรกฺขิโต จ อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ อุปสมฺปทาเปกฺขานํ ปเจฺจกํ นามํ คเหตฺวา กมฺมวาจํ วตฺวา เทฺว ตโยปิ อุปสมฺปาเทติ, วฎฺฎตีติ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอกูปชฺฌายโก โหตี’’ติอาทิฯ
2546-7. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, dve tayo ekānussāvane kātu’’nti (mahāva. 123) vacanato sace eko ācariyo ‘‘buddharakkhito ca dhammarakkhito ca saṅgharakkhito ca āyasmato sāriputtassa upasampadāpekkho’’ti upasampadāpekkhānaṃ paccekaṃ nāmaṃ gahetvā kammavācaṃ vatvā dve tayopi upasampādeti, vaṭṭatīti dassetumāha ‘‘ekūpajjhāyako hotī’’tiādi.
อุปสมฺปทํ อเปกฺขนฺตีติ ‘‘อุปสมฺปทาเปกฺขา’’ติ อุปสมฺปชฺชนกา วุจฺจนฺติฯ เตสํ นามนฺติ เตสํ อุปสมฺปชฺชนฺตานเญฺจว อุปชฺฌายานญฺจ นามํฯ อนุปุเพฺพน สาเวตฺวาติ โยชนา, ‘‘พุทฺธรกฺขิโต’’ติอาทินา ยถาวุตฺตนเยน กมฺมวาจายํ สกฎฺฐาเน วตฺวา สาเวตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ เตนาติ เอเกน อาจริเยนฯ เอกโตติ เทฺว ตโย ชเน เอกโต กตฺวาฯ อนุสาเวตฺวาติ กมฺมวาจํ วตฺวาฯ กตํ อุปสมฺปทากมฺมํฯ
Upasampadaṃ apekkhantīti ‘‘upasampadāpekkhā’’ti upasampajjanakā vuccanti. Tesaṃ nāmanti tesaṃ upasampajjantānañceva upajjhāyānañca nāmaṃ. Anupubbena sāvetvāti yojanā, ‘‘buddharakkhito’’tiādinā yathāvuttanayena kammavācāyaṃ sakaṭṭhāne vatvā sāvetvāti vuttaṃ hoti. Tenāti ekena ācariyena. Ekatoti dve tayo jane ekato katvā. Anusāvetvāti kammavācaṃ vatvā. Kataṃ upasampadākammaṃ.
๒๕๔๘. อญฺญมญฺญานุสาเวตฺวาติ อญฺญมญฺญสฺส นามํ อนุสาเวตฺวา, คเหตฺวาติ อโตฺถ, อญฺญมญฺญสฺส นามํ คเหตฺวา กมฺมวาจํ วตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ
2548.Aññamaññānusāvetvāti aññamaññassa nāmaṃ anusāvetvā, gahetvāti attho, aññamaññassa nāmaṃ gahetvā kammavācaṃ vatvāti vuttaṃ hoti.
๒๕๔๙. ตํ วิธิํ ทเสฺสตุมาห ‘‘สุมโน’’ติอาทิฯ สุมโนติ อาจริโยฯ ติสฺสเถรสฺส อุปชฺฌายสฺสฯ สิสฺสกํ สทฺธิวิหาริกํฯ อนุสาเวตีติ กมฺมวาจํ สาเวติฯ ติโสฺสติ ปฐมํ อุปชฺฌายภูตสฺส คหณํฯ สุมนเถรสฺสาติ ปฐมํ อาจริยเตฺถรมาหฯ อิเม เทฺว เอกสีมายํ นิสีทิตฺวา เอกกฺขเณ อญฺญมญฺญสฺส สทฺธิวิหาริกานํ กมฺมวาจํ วทนฺตา อตฺตโน อตฺตโน สทฺธิวิหาริกํ ปฎิจฺจ อุปชฺฌายาปิ โหนฺติ, อเนฺตวาสิเก ปฎิจฺจ อาจริยาปิ โหนฺติ, อญฺญมญฺญสฺส คณปูรกา จ โหนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห –
2549. Taṃ vidhiṃ dassetumāha ‘‘sumano’’tiādi. Sumanoti ācariyo. Tissatherassa upajjhāyassa. Sissakaṃ saddhivihārikaṃ. Anusāvetīti kammavācaṃ sāveti. Tissoti paṭhamaṃ upajjhāyabhūtassa gahaṇaṃ. Sumanatherassāti paṭhamaṃ ācariyattheramāha. Ime dve ekasīmāyaṃ nisīditvā ekakkhaṇe aññamaññassa saddhivihārikānaṃ kammavācaṃ vadantā attano attano saddhivihārikaṃ paṭicca upajjhāyāpi honti, antevāsike paṭicca ācariyāpi honti, aññamaññassa gaṇapūrakā ca hontīti vuttaṃ hoti. Yathāha –
‘‘สเจ ปน นานาจริยา นานาอุปชฺฌายา โหนฺติ, ติสฺสเตฺถโร สุมนเตฺถรสฺส สทฺธิวิหาริกํ, สุมนเตฺถโร ติสฺสเตฺถรสฺส สทฺธิวิหาริกํ อนุสฺสาเวติ , อญฺญมญฺญญฺจ คณปูรกา โหนฺติ, วฎฺฎตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๒๓)ฯ
‘‘Sace pana nānācariyā nānāupajjhāyā honti, tissatthero sumanattherassa saddhivihārikaṃ, sumanatthero tissattherassa saddhivihārikaṃ anussāveti , aññamaññañca gaṇapūrakā honti, vaṭṭatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 123).
๒๕๕๐. อิธาติ อิมสฺมิํ อุปสมฺปทาธิกาเรฯ ปฎิกฺขิตฺตาติ ‘‘น เตฺวว นานุปชฺฌาเยนา’’ติ (มหาว. ๑๒๓) ปฎิสิทฺธาฯ โลกิเยหิ อาทิจฺจปุโตฺต มนูติ โย ปฐมกปฺปิโก มนุสฺสานํ อาทิราชา วุจฺจติ, ตสฺส วํเส ชาตตฺตา อาทิโจฺจ พนฺธุ เอตสฺสาติ อาทิจฺจพนฺธุ, ภควา, เตนฯ
2550.Idhāti imasmiṃ upasampadādhikāre. Paṭikkhittāti ‘‘na tveva nānupajjhāyenā’’ti (mahāva. 123) paṭisiddhā. Lokiyehi ādiccaputto manūti yo paṭhamakappiko manussānaṃ ādirājā vuccati, tassa vaṃse jātattā ādicco bandhu etassāti ādiccabandhu, bhagavā, tena.
มหาขนฺธกกถาวณฺณนาฯ
Mahākhandhakakathāvaṇṇanā.