Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๓. มหาวโคฺค

    3. Mahāvaggo

    ๑. ปพฺพชฺชาสุตฺตวณฺณนา

    1. Pabbajjāsuttavaṇṇanā

    ๔๐๘. ปพฺพชฺชํ กิตฺตยิสฺสามีติ ปพฺพชฺชาสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? ภควติ กิร สาวตฺถิยํ วิหรเนฺต อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ – ‘‘สาริปุตฺตาทีนํ มหาสาวกานํ ปพฺพชฺชา กิตฺติตา, ตํ ภิกฺขู จ อุปาสกา จ ชานนฺติฯ ภควโต ปน อกิตฺติตา, ยํนูนาหํ กิเตฺตยฺย’’นฺติฯ โส เชตวนวิหาเร อาสเน นิสีทิตฺวา จิตฺตพีชนิํ คเหตฺวา ภิกฺขูนํ ภควโต ปพฺพชฺชํ กิเตฺตโนฺต อิมํ สุตฺตมภาสิฯ

    408.Pabbajjaṃkittayissāmīti pabbajjāsuttaṃ. Kā uppatti? Bhagavati kira sāvatthiyaṃ viharante āyasmato ānandassa parivitakko udapādi – ‘‘sāriputtādīnaṃ mahāsāvakānaṃ pabbajjā kittitā, taṃ bhikkhū ca upāsakā ca jānanti. Bhagavato pana akittitā, yaṃnūnāhaṃ kitteyya’’nti. So jetavanavihāre āsane nisīditvā cittabījaniṃ gahetvā bhikkhūnaṃ bhagavato pabbajjaṃ kittento imaṃ suttamabhāsi.

    ตตฺถ ยสฺมา ปพฺพชฺชํ กิเตฺตเนฺตน ยถา ปพฺพชิ, ตํ กิเตฺตตพฺพํฯ ยถา จ ปพฺพชิ, ตํ กิเตฺตเนฺตน ยถา วีมํสมาโน ปพฺพชฺชํ โรเจสิ, ตํ กิเตฺตตพฺพํฯ ตสฺมา ‘‘ปพฺพชฺชํ กิตฺตยิสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘ยถา ปพฺพชี’’ติอาทิมาหฯ จกฺขุมาติ ปญฺจหิ จกฺขูหิ จกฺขุมา จกฺขุสมฺปโนฺนติ อโตฺถฯ เสสมาทิคาถาย อุตฺตานเมวฯ

    Tattha yasmā pabbajjaṃ kittentena yathā pabbaji, taṃ kittetabbaṃ. Yathā ca pabbaji, taṃ kittentena yathā vīmaṃsamāno pabbajjaṃ rocesi, taṃ kittetabbaṃ. Tasmā ‘‘pabbajjaṃ kittayissāmī’’ti vatvā ‘‘yathā pabbajī’’tiādimāha. Cakkhumāti pañcahi cakkhūhi cakkhumā cakkhusampannoti attho. Sesamādigāthāya uttānameva.

    ๔๐๙. อิทานิ ‘‘ยถา วีมํสมาโน’’ติ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต อาห ‘‘สมฺพาโธย’’นฺติฯ ตตฺถ สมฺพาโธติ ปุตฺตทาราทิสมฺปีฬเนน กิเลสสมฺปีฬเนน จ กุสลกิริยาย โอกาสรหิโตฯ รชสฺสายตนนฺติ กโมฺพชาทโย วิย อสฺสาทีนํ, ราคาทิรชสฺส อุปฺปตฺติเทโสฯ อโพฺภกาโสติ วุตฺตสมฺพาธปฎิปกฺขภาเวน อากาโส วิย วิวฎาฯ อิติ ทิสฺวาน ปพฺพชีติ อิติ ฆราวาสปพฺพชฺชาสุ พฺยาธิชรามรเณหิ สุฎฺฐุตรํ โจทิยมานหทโย อาทีนวมานิสํสญฺจ วีมํสิตฺวา, มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา , อโนมานทีตีเร ขเคฺคน เกเส ฉินฺทิตฺวา, ตาวเทว จ ทฺวงฺคุลมตฺตสณฺฐิตสมณสารุปฺปเกสมสฺสุ หุตฺวา ฆฎิกาเรน พฺรหฺมุนา อุปนีเต อฎฺฐ ปริกฺขาเร คเหตฺวา ‘‘เอวํ นิวาเสตพฺพํ ปารุปิตพฺพ’’นฺติ เกนจิ อนนุสิโฎฺฐ อเนกชาติสหสฺสปวตฺติเตน อตฺตโน ปพฺพชฺชาจิเณฺณเนว สิกฺขาปิยมาโน ปพฺพชิฯ เอกํ กาสาวํ นิวาเสตฺวา เอกํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา เอกํ จีวรํ ขเนฺธ กริตฺวา มตฺติกาปตฺตํ อํเส อาลเคฺคตฺวา ปพฺพชิตเวสํ อธิฎฺฐาสีติ วุตฺตํ โหติฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ

    409. Idāni ‘‘yathā vīmaṃsamāno’’ti tamatthaṃ pakāsento āha ‘‘sambādhoya’’nti. Tattha sambādhoti puttadārādisampīḷanena kilesasampīḷanena ca kusalakiriyāya okāsarahito. Rajassāyatananti kambojādayo viya assādīnaṃ, rāgādirajassa uppattideso. Abbhokāsoti vuttasambādhapaṭipakkhabhāvena ākāso viya vivaṭā. Iti disvāna pabbajīti iti gharāvāsapabbajjāsu byādhijarāmaraṇehi suṭṭhutaraṃ codiyamānahadayo ādīnavamānisaṃsañca vīmaṃsitvā, mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā , anomānadītīre khaggena kese chinditvā, tāvadeva ca dvaṅgulamattasaṇṭhitasamaṇasāruppakesamassu hutvā ghaṭikārena brahmunā upanīte aṭṭha parikkhāre gahetvā ‘‘evaṃ nivāsetabbaṃ pārupitabba’’nti kenaci ananusiṭṭho anekajātisahassapavattitena attano pabbajjāciṇṇeneva sikkhāpiyamāno pabbaji. Ekaṃ kāsāvaṃ nivāsetvā ekaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā ekaṃ cīvaraṃ khandhe karitvā mattikāpattaṃ aṃse ālaggetvā pabbajitavesaṃ adhiṭṭhāsīti vuttaṃ hoti. Sesamettha uttānameva.

    ๔๑๐. เอวํ ภควโต ปพฺพชฺชํ กิเตฺตตฺวา ตโต ปรํ ปพฺพชิตปฎิปตฺติํ อโนมานทีตีรํ หิตฺวา ปธานาย คมนญฺจ ปกาเสตุํ ‘‘ปพฺพชิตฺวาน กาเยนา’’ติอาทิํ สพฺพมภาสิฯ ตตฺถ กาเยน ปาปกมฺมํ วิวชฺชยีติ ติวิธํ กายทุจฺจริตํ วเชฺชสิฯ วจีทุจฺจริตนฺติ จตุพฺพิธํ วจีทุจฺจริตํฯ อาชีวํ ปริโสธยีติ มิจฺฉาชีวํ หิตฺวา สมฺมาชีวเมว ปวตฺตยิฯ

    410. Evaṃ bhagavato pabbajjaṃ kittetvā tato paraṃ pabbajitapaṭipattiṃ anomānadītīraṃ hitvā padhānāya gamanañca pakāsetuṃ ‘‘pabbajitvāna kāyenā’’tiādiṃ sabbamabhāsi. Tattha kāyena pāpakammaṃ vivajjayīti tividhaṃ kāyaduccaritaṃ vajjesi. Vacīduccaritanti catubbidhaṃ vacīduccaritaṃ. Ājīvaṃ parisodhayīti micchājīvaṃ hitvā sammājīvameva pavattayi.

    ๔๑๑. เอวํ อาชีวฎฺฐมกสีลํ โสเธตฺวา อโนมานทีตีรโต ติํสโยชนปฺปมาณํ สตฺตาเหน อคมา ราชคหํ พุโทฺธฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ ยทา ราชคหํ อคมาสิ, ตทา พุโทฺธ น โหติ, ตถาปิ พุทฺธสฺส ปุพฺพจริยาติ กตฺวา เอวํ วตฺตุํ ลพฺภติ – ‘‘อิธ ราชา ชาโต, อิธ รชฺชํ อคฺคเหสี’’ติอาทิ โลกิยโวหารวจนํ วิยฯ มคธานนฺติ มคธานํ ชนปทสฺส นครนฺติ วุตฺตํ โหติฯ คิริพฺพชนฺติ อิทมฺปิ ตสฺส นามํฯ ตญฺหิ ปณฺฑวคิชฺฌกูฎเวภารอิสิคิลิเวปุลฺลนามกานํ ปญฺจนฺนํ คิรีนํ มเชฺฌ วโช วิย ฐิตํ, ตสฺมา ‘‘คิริพฺพช’’นฺติ วุจฺจติฯ ปิณฺฑาย อภิหาเรสีติ ภิกฺขตฺถาย ตสฺมิํ นคเร จริฯ โส กิร นครทฺวาเร ฐตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘สจาหํ รโญฺญ พิมฺพิสารสฺส อตฺตโน อาคมนํ นิเวเทยฺยํ, ‘สุโทฺธทนสฺส ปุโตฺต สิทฺธโตฺถ นาม กุมาโร อาคโต’ติ พหุมฺปิ เม ปจฺจยํ อภิหเรยฺยฯ น โข ปน เม ตํ ปติรูปํ ปพฺพชิตสฺส อาโรเจตฺวา ปจฺจยคหณํ, หนฺทาหํ ปิณฺฑาย จรามี’’ติ เทวทตฺติยํ ปํสุกูลจีวรํ ปารุปิตฺวา มตฺติกาปตฺตํ คเหตฺวา ปาจีนทฺวาเรน นครํ ปวิสิตฺวา อนุฆรํ ปิณฺฑาย อจริฯ เตนาห อายสฺมา อานโนฺท – ‘‘ปิณฺฑาย อภิหาเรสี’’ติฯ อากิณฺณวรลกฺขโณติ สรีเร อากิริตฺวา วิย ฐปิตวรลกฺขโณ วิปุลวรลกฺขโณ วาฯ วิปุลมฺปิ หิ ‘‘อากิณฺณ’’นฺติ วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘อากิณฺณลุโทฺท ปุริโส, ธาติเจลํว มกฺขิโต’’ติ (ชา. ๑.๖.๑๑๘; ๑.๙.๑๐๖)ฯ วิปุลลุโทฺทติ อโตฺถฯ

    411. Evaṃ ājīvaṭṭhamakasīlaṃ sodhetvā anomānadītīrato tiṃsayojanappamāṇaṃ sattāhena agamā rājagahaṃ buddho. Tattha kiñcāpi yadā rājagahaṃ agamāsi, tadā buddho na hoti, tathāpi buddhassa pubbacariyāti katvā evaṃ vattuṃ labbhati – ‘‘idha rājā jāto, idha rajjaṃ aggahesī’’tiādi lokiyavohāravacanaṃ viya. Magadhānanti magadhānaṃ janapadassa nagaranti vuttaṃ hoti. Giribbajanti idampi tassa nāmaṃ. Tañhi paṇḍavagijjhakūṭavebhāraisigilivepullanāmakānaṃ pañcannaṃ girīnaṃ majjhe vajo viya ṭhitaṃ, tasmā ‘‘giribbaja’’nti vuccati. Piṇḍāya abhihāresīti bhikkhatthāya tasmiṃ nagare cari. So kira nagaradvāre ṭhatvā cintesi – ‘‘sacāhaṃ rañño bimbisārassa attano āgamanaṃ nivedeyyaṃ, ‘suddhodanassa putto siddhattho nāma kumāro āgato’ti bahumpi me paccayaṃ abhihareyya. Na kho pana me taṃ patirūpaṃ pabbajitassa ārocetvā paccayagahaṇaṃ, handāhaṃ piṇḍāya carāmī’’ti devadattiyaṃ paṃsukūlacīvaraṃ pārupitvā mattikāpattaṃ gahetvā pācīnadvārena nagaraṃ pavisitvā anugharaṃ piṇḍāya acari. Tenāha āyasmā ānando – ‘‘piṇḍāya abhihāresī’’ti. Ākiṇṇavaralakkhaṇoti sarīre ākiritvā viya ṭhapitavaralakkhaṇo vipulavaralakkhaṇo vā. Vipulampi hi ‘‘ākiṇṇa’’nti vuccati. Yathāha – ‘‘ākiṇṇaluddo puriso, dhāticelaṃva makkhito’’ti (jā. 1.6.118; 1.9.106). Vipulaluddoti attho.

    ๔๑๒. ตมทฺทสาติ ตโต กิร ปุริมานิ สตฺต ทิวสานิ นคเร นกฺขตฺตํ โฆสิตํ อโหสิฯ ตํ ทิวสํ ปน ‘‘นกฺขตฺตํ วีติวตฺตํ, กมฺมนฺตา ปโยเชตพฺพา’’ติ เภริ จริฯ อถ มหาชโน ราชงฺคเณ สนฺนิปติฯ ราชาปิ ‘‘กมฺมนฺตํ สํวิทหิสฺสามี’’ติ สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา พลกายํ ปสฺสโนฺต ตํ ปิณฺฑาย อภิหาเรนฺตํ มหาสตฺตํ อทฺทสฯ เตนาห อายสฺมา อานโนฺท – ‘‘ตมทฺทสา พิมฺพิสาโร, ปาสาทสฺมิํ ปติฎฺฐิโต’’ติฯ อิมมตฺถํ อภาสถาติ อิมํ อตฺถํ อมจฺจานํ อภาสิฯ

    412.Tamaddasāti tato kira purimāni satta divasāni nagare nakkhattaṃ ghositaṃ ahosi. Taṃ divasaṃ pana ‘‘nakkhattaṃ vītivattaṃ, kammantā payojetabbā’’ti bheri cari. Atha mahājano rājaṅgaṇe sannipati. Rājāpi ‘‘kammantaṃ saṃvidahissāmī’’ti sīhapañjaraṃ vivaritvā balakāyaṃ passanto taṃ piṇḍāya abhihārentaṃ mahāsattaṃ addasa. Tenāha āyasmā ānando – ‘‘tamaddasā bimbisāro, pāsādasmiṃ patiṭṭhito’’ti. Imamatthaṃ abhāsathāti imaṃ atthaṃ amaccānaṃ abhāsi.

    ๔๑๓. อิทานิ ตํ เตสํ อมจฺจานํ ภาสิตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘อิมํ โภโนฺต’’ติฯ ตตฺถ อิมนฺติ โส ราชา โพธิสตฺตํ ทเสฺสติ, โภโนฺตติ อมเจฺจ อาลปติฯ นิสาเมถาติ ปสฺสถฯ อภิรูโปติ ทสฺสนียงฺคปจฺจโงฺคฯ พฺรหฺมาติ อาโรหปริณาหสมฺปโนฺนฯ สุจีติ ปริสุทฺธฉวิวโณฺณฯ จรเณนาติ คมเนนฯ

    413. Idāni taṃ tesaṃ amaccānaṃ bhāsitamatthaṃ dassento āha – ‘‘imaṃ bhonto’’ti. Tattha imanti so rājā bodhisattaṃ dasseti, bhontoti amacce ālapati. Nisāmethāti passatha. Abhirūpoti dassanīyaṅgapaccaṅgo. Brahmāti ārohapariṇāhasampanno. Sucīti parisuddhachavivaṇṇo. Caraṇenāti gamanena.

    ๔๑๔-๕. นีจกุลามิวาติ นีจกุลา อิว ปพฺพชิโต น โหตีติ อโตฺถฯ มกาโร ปทสนฺธิกโรฯ กุหิํ ภิกฺขุ คมิสฺสตีติ อยํ ภิกฺขุ กุหิํ คมิสฺสติ, อชฺช กตฺถ วสิสฺสตีติ ชานิตุํ ราชทูตา สีฆํ คจฺฉนฺตุฯ ทสฺสนกามา หิ มยํ อสฺสาติ อิมินา อธิปฺปาเยน อาหฯ คุตฺตทฺวาโร โอกฺขิตฺตจกฺขุตาย, สุสํวุโต สติยาฯ คุตฺตทฺวาโร วา สติยา, สุสํวุโต ปาสาทิเกน สงฺฆาฎิจีวรธารเณนฯ

    414-5.Nīcakulāmivāti nīcakulā iva pabbajito na hotīti attho. Makāro padasandhikaro. Kuhiṃ bhikkhu gamissatīti ayaṃ bhikkhu kuhiṃ gamissati, ajja kattha vasissatīti jānituṃ rājadūtā sīghaṃ gacchantu. Dassanakāmā hi mayaṃ assāti iminā adhippāyena āha. Guttadvāro okkhittacakkhutāya, susaṃvuto satiyā. Guttadvāro vā satiyā, susaṃvuto pāsādikena saṅghāṭicīvaradhāraṇena.

    ๔๑๖. ขิปฺปํ ปตฺตํ อปูเรสีติ สมฺปชานตฺตา ปติสฺสตตฺตา จ อธิกํ อคณฺหโนฺต ‘‘อลํ เอตฺตาวตา’’ติ อชฺฌาสยปูรเณน ขิปฺปํ ปตฺตํ อปูเรสิฯ มุนีติ โมนตฺถาย ปฎิปนฺนตฺตา อปฺปตฺตมุนิภาโวปิ มุนิอิเจฺจว วุโตฺต, โลกโวหาเรน วาฯ โลกิยา หิ อโมนสมฺปตฺตมฺปิ ปพฺพชิตํ ‘‘มุนี’’ติ ภณนฺติฯ ปณฺฑวํ อภิหาเรสีติ ตํ ปพฺพตํ อภิรุหิฯ โส กิร มนุเสฺส ปุจฺฉิ ‘‘อิมสฺมิํ นคเร ปพฺพชิตา กตฺถ วสนฺตี’’ติฯ อถสฺส เต ‘‘ปณฺฑวสฺส อุปริ ปุรตฺถาภิมุขปพฺภาเร’’ติ อาโรเจสุํฯ ตสฺมา ตเมว ปณฺฑวํ อภิหาเรสิ ‘‘เอตฺถ วาโส ภวิสฺสตี’’ติ เอวํ จิเนฺตตฺวาฯ

    416.Khippaṃ pattaṃ apūresīti sampajānattā patissatattā ca adhikaṃ agaṇhanto ‘‘alaṃ ettāvatā’’ti ajjhāsayapūraṇena khippaṃ pattaṃ apūresi. Munīti monatthāya paṭipannattā appattamunibhāvopi muniicceva vutto, lokavohārena vā. Lokiyā hi amonasampattampi pabbajitaṃ ‘‘munī’’ti bhaṇanti. Paṇḍavaṃ abhihāresīti taṃ pabbataṃ abhiruhi. So kira manusse pucchi ‘‘imasmiṃ nagare pabbajitā kattha vasantī’’ti. Athassa te ‘‘paṇḍavassa upari puratthābhimukhapabbhāre’’ti ārocesuṃ. Tasmā tameva paṇḍavaṃ abhihāresi ‘‘ettha vāso bhavissatī’’ti evaṃ cintetvā.

    ๔๑๙-๒๓. พฺยคฺฆุสโภว สีโหว คิริคพฺภเรติ คิริคุหายํ พฺยโคฺฆ วิย อุสโภ วิย สีโห วิย จ นิสิโนฺนติ อโตฺถฯ เอเต หิ ตโย เสฎฺฐา วิคตภยเภรวา คิริคพฺภเร นิสีทนฺติ, ตสฺมา เอวํ อุปมํ อกาสิฯ ภทฺทยาเนนาติ หตฺถิอสฺสรถสิวิกาทินา อุตฺตมยาเนนฯ สยานภูมิํ ยายิตฺวาติ ยาวติกา ภูมิ หตฺถิอสฺสาทินา ยาเนน สกฺกา คนฺตุํ, ตํ คนฺตฺวาฯ อาสชฺชาติ ปตฺวา, สมีปมสฺส คนฺตฺวาติ อโตฺถฯ อุปาวิสีติ นิสีทิฯ ยุวาติ โยพฺพนสมฺปโนฺนฯ ทหโรติ ชาติยา ตรุโณฯ ปฐมุปฺปตฺติโก สุสูติ ตทุภยวิเสสนเมวฯ ยุวา สุสูติ อติโยพฺพโนฯ ปฐมุปฺปตฺติโกติ ปฐเมเนว โยพฺพนเวเสน อุฎฺฐิโตฯ ทหโร จาสีติ สติ จ ทหรเตฺต สุสุ พาลโก วิย ขายสีติฯ

    419-23.Byagghusabhova sīhova girigabbhareti giriguhāyaṃ byaggho viya usabho viya sīho viya ca nisinnoti attho. Ete hi tayo seṭṭhā vigatabhayabheravā girigabbhare nisīdanti, tasmā evaṃ upamaṃ akāsi. Bhaddayānenāti hatthiassarathasivikādinā uttamayānena. Sayānabhūmiṃ yāyitvāti yāvatikā bhūmi hatthiassādinā yānena sakkā gantuṃ, taṃ gantvā. Āsajjāti patvā, samīpamassa gantvāti attho. Upāvisīti nisīdi. Yuvāti yobbanasampanno. Daharoti jātiyā taruṇo. Paṭhamuppattiko susūti tadubhayavisesanameva. Yuvā susūti atiyobbano. Paṭhamuppattikoti paṭhameneva yobbanavesena uṭṭhito. Daharo cāsīti sati ca daharatte susu bālako viya khāyasīti.

    ๔๒๔-๕. อนีกคฺคนฺติ พลกายํ เสนามุขํฯ ททามิ โภเค ภุญฺชสฺสูติ เอตฺถ ‘‘อหํ เต องฺคมคเธสุ ยาวิจฺฉสิ, ตาว ททามิ โภเคฯ ตํ ตฺวํ โสภยโนฺต อนีกคฺคํ นาคสงฺฆปุรกฺขโต ภุญฺชสฺสู’’ติ เอวํ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ อุชุํ ชนปโท ราชาติ ‘‘ททามิ โภเค ภุญฺชสฺสุ, ชาติํ อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต’’ติ เอวํ กิร วุโตฺต มหาปุริโส จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ อหํ รเชฺชน อตฺถิโก อสฺสํ, จาตุมหาราชิกาทโยปิ มํ อตฺตโน อตฺตโน รเชฺชน นิมเนฺตยฺยุํ, เคเห ฐิโต เอว วา จกฺกวตฺติรชฺชํ กาเรยฺยํฯ อยํ ปน ราชา อชานโนฺต เอวมาห – ‘หนฺทาหํ, ตํ ชานาเปมี’’’ติ พาหํ อุจฺจาเรตฺวา อตฺตโน อาคตทิสาภาคํ นิทฺทิสโนฺต ‘‘อุชุํ ชนปโท ราชา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ หิมวนฺตสฺส ปสฺสโตติ ภณโนฺต สสฺสสมฺปตฺติเวกลฺลาภาวํ ทเสฺสติฯ หิมวนฺตญฺหิ นิสฺสาย ปาสาณวิวรสมฺภวา มหาสาลาปิ ปญฺจหิ วุทฺธีหิ วฑฺฒนฺติ, กิมงฺคํ ปน เขเตฺต วุตฺตานิ สสฺสานิฯ ธนวีริเยน สมฺปโนฺนติ ภณโนฺต สตฺตหิ รตเนหิ อเวกลฺลตฺตํ, ปรราชูหิ อตกฺกนียํ วีรปุริสาธิฎฺฐิตภาวญฺจสฺส ทเสฺสติฯ โกสเลสุ นิเกติโนติ ภณโนฺต นวกราชภาวํ ปฎิกฺขิปติฯ นวกราชา หิ นิเกตีติ น วุจฺจติฯ ยสฺส ปน อาทิกาลโต ปภุติ อนฺวยวเสน โส เอว ชนปโท นิวาโส, โส นิเกตีติ วุจฺจติฯ ตถารูโป จ ราชา สุโทฺธทโน, ยํ สนฺธายาห ‘‘โกสเลสุ นิเกติโน’’ติฯ เตน อนฺวยาคตมฺปิ โภคสมฺปตฺติํ ทีเปติฯ

    424-5.Anīkagganti balakāyaṃ senāmukhaṃ. Dadāmi bhoge bhuñjassūti ettha ‘‘ahaṃ te aṅgamagadhesu yāvicchasi, tāva dadāmi bhoge. Taṃ tvaṃ sobhayanto anīkaggaṃ nāgasaṅghapurakkhato bhuñjassū’’ti evaṃ sambandho veditabbo. Ujuṃ janapado rājāti ‘‘dadāmi bhoge bhuñjassu, jātiṃ akkhāhi pucchito’’ti evaṃ kira vutto mahāpuriso cintesi – ‘‘sace ahaṃ rajjena atthiko assaṃ, cātumahārājikādayopi maṃ attano attano rajjena nimanteyyuṃ, gehe ṭhito eva vā cakkavattirajjaṃ kāreyyaṃ. Ayaṃ pana rājā ajānanto evamāha – ‘handāhaṃ, taṃ jānāpemī’’’ti bāhaṃ uccāretvā attano āgatadisābhāgaṃ niddisanto ‘‘ujuṃ janapado rājā’’tiādimāha. Tattha himavantassapassatoti bhaṇanto sassasampattivekallābhāvaṃ dasseti. Himavantañhi nissāya pāsāṇavivarasambhavā mahāsālāpi pañcahi vuddhīhi vaḍḍhanti, kimaṅgaṃ pana khette vuttāni sassāni. Dhanavīriyena sampannoti bhaṇanto sattahi ratanehi avekallattaṃ, pararājūhi atakkanīyaṃ vīrapurisādhiṭṭhitabhāvañcassa dasseti. Kosalesu niketinoti bhaṇanto navakarājabhāvaṃ paṭikkhipati. Navakarājā hi niketīti na vuccati. Yassa pana ādikālato pabhuti anvayavasena so eva janapado nivāso, so niketīti vuccati. Tathārūpo ca rājā suddhodano, yaṃ sandhāyāha ‘‘kosalesu niketino’’ti. Tena anvayāgatampi bhogasampattiṃ dīpeti.

    ๔๒๖. เอตฺตาวตา อตฺตโน โภคสมฺปตฺติํ ทีเปตฺวา ‘‘อาทิจฺจา นาม โคเตฺตน, สากิยา นาม ชาติยา’’ติ อิมินา ชาติสมฺปตฺติญฺจ อาจิกฺขิตฺวา ยํ วุตฺตํ รญฺญา ‘‘ททามิ โภเค ภุญฺชสฺสู’’ติ, ตํ ปฎิกฺขิปโนฺต อาห – ‘‘ตมฺหา กุลา ปพฺพชิโตมฺหิ, น กาเม อภิปตฺถย’’นฺติฯ ยทิ หิ อหํ กาเม อภิปตฺถเยยฺยํ, น อีทิสํ ธนวีริยสมฺปนฺนํ ทฺวาสีติสหสฺสวีรปุริสสมากุลํ กุลํ ฉเฑฺฑตฺวา ปพฺพเชยฺยนฺติ อยํ กิเรตฺถ อธิปฺปาโยฯ

    426. Ettāvatā attano bhogasampattiṃ dīpetvā ‘‘ādiccā nāma gottena, sākiyā nāma jātiyā’’ti iminā jātisampattiñca ācikkhitvā yaṃ vuttaṃ raññā ‘‘dadāmi bhoge bhuñjassū’’ti, taṃ paṭikkhipanto āha – ‘‘tamhā kulā pabbajitomhi, na kāme abhipatthaya’’nti. Yadi hi ahaṃ kāme abhipatthayeyyaṃ, na īdisaṃ dhanavīriyasampannaṃ dvāsītisahassavīrapurisasamākulaṃ kulaṃ chaḍḍetvā pabbajeyyanti ayaṃ kirettha adhippāyo.

    ๔๒๗. เอวํ รโญฺญ วจนํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ตโต ปรํ อตฺตโน ปพฺพชฺชาเหตุํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘กาเมสฺวาทีนวํ ทิสฺวา, เนกฺขมฺมํ ทฎฺฐุ เขมโต’’ติฯ เอตํ ‘‘ปพฺพชิโตมฺหี’’ติ อิมินา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ตตฺถ ทฎฺฐูติ ทิสฺวา ฯ เสสเมตฺถ อิโต ปุริมคาถาสุ จ ยํ ยํ น วิจาริตํ, ตํ ตํ สพฺพํ อุตฺตานตฺถตฺตา เอว น วิจาริตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอวํ อตฺตโน ปพฺพชฺชาเหตุํ วตฺวา ปธานตฺถาย คนฺตุกาโม ราชานํ อามเนฺตโนฺต อาห – ‘‘ปธานาย คมิสฺสามิ, เอตฺถ เม รญฺชตี มโน’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ยสฺมาหํ, มหาราช, เนกฺขมฺมํ ทฎฺฐุ เขมโต ปพฺพชิโต, ตสฺมา ตํ ปรมตฺถเนกฺขมฺมํ นิพฺพานามตํ สพฺพธมฺมานํ อคฺคเฎฺฐน ปธานํ ปเตฺถโนฺต ปธานตฺถาย คมิสฺสามิ, เอตฺถ เม ปธาเน รญฺชติ มโน, น กาเมสูติฯ เอวํ วุเตฺต กิร ราชา โพธิสตฺตํ อาห – ‘‘ปุเพฺพว เมตํ, ภเนฺต, สุตํ ‘สุโทฺธทนรโญฺญ กิร ปุโตฺต สิทฺธตฺถกุมาโร จตฺตาริ ปุพฺพนิมิตฺตานิ ทิสฺวา ปพฺพชิตฺวา พุโทฺธ ภวิสฺสตี’ติ, โสหํ, ภเนฺต, ตุมฺหากํ อธิมุตฺติํ ทิสฺวา เอวํปสโนฺน ‘อทฺธา พุทฺธตฺตํ ปาปุณิสฺสถา’ติฯ สาธุ, ภเนฺต, พุทฺธตฺตํ ปตฺวา ปฐมํ มม วิชิตํ โอกฺกเมยฺยาถา’’ติฯ

    427. Evaṃ rañño vacanaṃ paṭikkhipitvā tato paraṃ attano pabbajjāhetuṃ dassento āha – ‘‘kāmesvādīnavaṃ disvā, nekkhammaṃ daṭṭhu khemato’’ti. Etaṃ ‘‘pabbajitomhī’’ti iminā sambandhitabbaṃ. Tattha daṭṭhūti disvā . Sesamettha ito purimagāthāsu ca yaṃ yaṃ na vicāritaṃ, taṃ taṃ sabbaṃ uttānatthattā eva na vicāritanti veditabbaṃ. Evaṃ attano pabbajjāhetuṃ vatvā padhānatthāya gantukāmo rājānaṃ āmantento āha – ‘‘padhānāya gamissāmi, ettha me rañjatī mano’’ti. Tassattho – yasmāhaṃ, mahārāja, nekkhammaṃ daṭṭhu khemato pabbajito, tasmā taṃ paramatthanekkhammaṃ nibbānāmataṃ sabbadhammānaṃ aggaṭṭhena padhānaṃ patthento padhānatthāya gamissāmi, ettha me padhāne rañjati mano, na kāmesūti. Evaṃ vutte kira rājā bodhisattaṃ āha – ‘‘pubbeva metaṃ, bhante, sutaṃ ‘suddhodanarañño kira putto siddhatthakumāro cattāri pubbanimittāni disvā pabbajitvā buddho bhavissatī’ti, sohaṃ, bhante, tumhākaṃ adhimuttiṃ disvā evaṃpasanno ‘addhā buddhattaṃ pāpuṇissathā’ti. Sādhu, bhante, buddhattaṃ patvā paṭhamaṃ mama vijitaṃ okkameyyāthā’’ti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ปพฺพชฺชาสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya pabbajjāsuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑. ปพฺพชฺชาสุตฺตํ • 1. Pabbajjāsuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact