Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๘. ปจลายมานสุตฺตวณฺณนา
8. Pacalāyamānasuttavaṇṇanā
๖๑. อฎฺฐเม อาโลกสญฺญํ มนสิ กเรยฺยาสีติ ทิวา วา รตฺติํ วา สูริยปโชฺชตจนฺทมณิอาทีนํ อาโลกํ ‘‘อาโลโก’’ติ มนสิ กเรยฺยาสิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สูริยจนฺทาโลกาทิํ ทิวา รตฺติญฺจ อุปลทฺธํ ยถาลทฺธวเสเนว มนสิ กเรยฺยาสิ, จิเตฺต ฐเปยฺยาสิฯ ยถา เต สุภาวิตาโลกกสิณสฺส วิย กสิณาโลโก ยทิจฺฉกํ ยาวทิจฺฉกญฺจ โส อาโลโก รตฺติยํ อุปติฎฺฐติ, เยน ตตฺถ ทิวาสญฺญํ ฐเปยฺยาสิ, ทิวา วิย วิคตถินมิโทฺธว ภเวยฺยาสีติฯ เตนาห ‘‘ยถา ทิวา ตถา รตฺติ’’นฺติฯ อิติ วิวเฎน เจตสาติ เอวํ อปิหิเตน จิเตฺตน ถินมิทฺธปิธาเนน อปิหิตตฺตาฯ อปริโยนเทฺธนาติ สมนฺตโต อโนนเทฺธน อสญฺฉาทิเตนฯ สโหภาสนฺติ สญาโณภาสํฯ ถินมิทฺธวิโนทนอาโลโกปิ วา โหตุ กสิณาโลโกปิ วา ปริกมฺมาโลโกปิ วา, อุปกฺกิเลสาโลโก วิย สโพฺพยํ อาโลโก ญาณสมุฎฺฐาโนวาติฯ เยสํ อกรเณ ปุคฺคโล มหาชานิโย โหติ, ตานิ อวสฺสํ กาตพฺพานิฯ ยานิ อกาตุมฺปิ วฎฺฎนฺติ, สติ สมวาเย กาตพฺพโต ตานิ กรณียานีติ อาห ‘‘อิตรานิ กรณียานี’’ติฯ อถ วา กตฺตพฺพานิ กมฺมานิ กรณํ อรหนฺตีติ กรณียานิฯ อิตรานิ กิจฺจานีติปิ วทนฺติฯ
61. Aṭṭhame ālokasaññaṃ manasi kareyyāsīti divā vā rattiṃ vā sūriyapajjotacandamaṇiādīnaṃ ālokaṃ ‘‘āloko’’ti manasi kareyyāsi. Idaṃ vuttaṃ hoti – sūriyacandālokādiṃ divā rattiñca upaladdhaṃ yathāladdhavaseneva manasi kareyyāsi, citte ṭhapeyyāsi. Yathā te subhāvitālokakasiṇassa viya kasiṇāloko yadicchakaṃ yāvadicchakañca so āloko rattiyaṃ upatiṭṭhati, yena tattha divāsaññaṃ ṭhapeyyāsi, divā viya vigatathinamiddhova bhaveyyāsīti. Tenāha ‘‘yathā divā tathā ratti’’nti. Iti vivaṭena cetasāti evaṃ apihitena cittena thinamiddhapidhānena apihitattā. Apariyonaddhenāti samantato anonaddhena asañchāditena. Sahobhāsanti sañāṇobhāsaṃ. Thinamiddhavinodanaālokopi vā hotu kasiṇālokopi vā parikammālokopi vā, upakkilesāloko viya sabboyaṃ āloko ñāṇasamuṭṭhānovāti. Yesaṃ akaraṇe puggalo mahājāniyo hoti, tāni avassaṃ kātabbāni. Yāni akātumpi vaṭṭanti, sati samavāye kātabbato tāni karaṇīyānīti āha ‘‘itarāni karaṇīyānī’’ti. Atha vā kattabbāni kammāni karaṇaṃ arahantīti karaṇīyāni. Itarāni kiccānītipi vadanti.
อาทินยปฺปวตฺตา วิคฺคาหิกกถาติ ‘‘น ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานาสิ, อหํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานามิ, กิํ ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานิสฺสสิ, มิจฺฉาปฎิปโนฺน ตฺวมสิ, อหมสฺมิ สมฺมาปฎิปโนฺน, สหิตํ เม, อสหิตํ เต, ปุเรวจนียํ ปจฺฉา อวจ, ปจฺฉาวจนียํ ปุเร อวจ, อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตํ, อาโรปิโต เต วาโท, นิคฺคหิโต ตฺวมสิฯ จร วาทปฺปโมกฺขาย, นิเพฺพเฐหิ วา สเจ ปโหสี’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๘; ม. นิ. ๓.๔๑) เอวํปวตฺตา กถาฯ ตตฺถ สหิตํ เมติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๘) มยฺหํ วจนํ สหิตํ สิลิฎฺฐํ, อตฺถยุตฺตํ การณยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ สหิตนฺติ วา ปุพฺพาปราวิรุทฺธํฯ อสหิตํ เตติ ตุยฺหํ วจนํ อสหิตํ อสิลิฎฺฐํฯ อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตนฺติ ยํ ตุยฺหํ ทีฆรตฺตาจิณฺณวเสน สุปฺปคุณํ, ตํ มยฺหํ เอกวจเนเนว วิปราวตฺตํ ปริวตฺติตฺวา ฐิตํ, น กิญฺจิ ชานาสีติ อโตฺถฯ อาโรปิโต เต วาโทติ มยา ตว วาเท โทโส อาโรปิโตฯ จร วาทปฺปโมกฺขายาติ โทสโมจนตฺถํ จร วิจร, ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา สิกฺขาติ อโตฺถฯ นิเพฺพเฐหิ วา สเจ ปโหสีติ อถ สยํ ปโหสิ, อิทานิ เอว นิเพฺพเฐหีติ อโตฺถฯ
Ādinayappavattā viggāhikakathāti ‘‘na tvaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānāsi, ahaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānāmi, kiṃ tvaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānissasi, micchāpaṭipanno tvamasi, ahamasmi sammāpaṭipanno, sahitaṃ me, asahitaṃ te, purevacanīyaṃ pacchā avaca, pacchāvacanīyaṃ pure avaca, adhiciṇṇaṃ te viparāvattaṃ, āropito te vādo, niggahito tvamasi. Cara vādappamokkhāya, nibbeṭhehi vā sace pahosī’’ti (dī. ni. 1.18; ma. ni. 3.41) evaṃpavattā kathā. Tattha sahitaṃ meti (dī. ni. aṭṭha. 1.18) mayhaṃ vacanaṃ sahitaṃ siliṭṭhaṃ, atthayuttaṃ kāraṇayuttanti attho. Sahitanti vā pubbāparāviruddhaṃ. Asahitaṃ teti tuyhaṃ vacanaṃ asahitaṃ asiliṭṭhaṃ. Adhiciṇṇaṃ te viparāvattanti yaṃ tuyhaṃ dīgharattāciṇṇavasena suppaguṇaṃ, taṃ mayhaṃ ekavacaneneva viparāvattaṃ parivattitvā ṭhitaṃ, na kiñci jānāsīti attho. Āropito te vādoti mayā tava vāde doso āropito. Cara vādappamokkhāyāti dosamocanatthaṃ cara vicara, tattha tattha gantvā sikkhāti attho. Nibbeṭhehi vā sace pahosīti atha sayaṃ pahosi, idāni eva nibbeṭhehīti attho.
ตณฺหา สพฺพโส ขียนฺติ เอตฺถาติ ตณฺหาสงฺขโย, ตสฺมิํฯ ตณฺหาสงฺขเยติ จ อิทํ วิสเย ภุมฺมนฺติ อาห ‘‘ตํ อารมฺมณํ กตฺวา’’ติฯ วิมุตฺตจิตฺตตายาติ สพฺพสํกิเลเสหิ วิปฺปยุตฺตจิตฺตตายฯ อปรภาเค ปฎิปทา นาม อริยสจฺจาภิสมโยฯ สา สาสนจาริโคจรา ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺพโตติ อาห ‘‘ปุพฺพภาคปฺปฎิปทํ สํขิเตฺตน เทเสถาติ ปุจฺฉตี’’ติฯ อกุปฺปธมฺมตาย ขยวยสงฺขาตํ อนฺตํ อตีตาติ อจฺจนฺตา, โส เอว อปริหายนสภาวตฺตา อจฺจนฺตา นิฎฺฐา อสฺสาติ อจฺจนฺตนิฎฺฐาฯ เตนาห ‘‘เอกนฺตนิโฎฺฐ สตตนิโฎฺฐติ อโตฺถ’’ติฯ น หิ ปฎิวิทฺธสฺส โลกุตฺตรธมฺมสฺส ทสฺสนฺนํ กุปฺปนฺนํ นาม อตฺถิฯ อจฺจนฺตเมว จตูหิ โยเคหิ เขโม เอตสฺส อตฺถีติ อจฺจนฺตโยคเกฺขมีฯ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส วุสิตตฺตา ตสฺส จ อปริหายนสภาวตฺตา อจฺจนฺตํ พฺรหฺมจารีติ อจฺจนฺตพฺรหฺมจารีฯ เตนาห ‘‘นิจฺจพฺรหฺมจารีติ อโตฺถ’’ติฯ ปริโยสานนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยปริยปริโยสานํ วฎฺฎทุกฺขปริโยสานญฺจฯ
Taṇhā sabbaso khīyanti etthāti taṇhāsaṅkhayo, tasmiṃ. Taṇhāsaṅkhayeti ca idaṃ visaye bhummanti āha ‘‘taṃ ārammaṇaṃ katvā’’ti. Vimuttacittatāyāti sabbasaṃkilesehi vippayuttacittatāya. Aparabhāge paṭipadā nāma ariyasaccābhisamayo. Sā sāsanacārigocarā paccattaṃ veditabbatoti āha ‘‘pubbabhāgappaṭipadaṃ saṃkhittena desethāti pucchatī’’ti. Akuppadhammatāya khayavayasaṅkhātaṃ antaṃ atītāti accantā, so eva aparihāyanasabhāvattā accantā niṭṭhā assāti accantaniṭṭhā. Tenāha ‘‘ekantaniṭṭho satataniṭṭhoti attho’’ti. Na hi paṭividdhassa lokuttaradhammassa dassannaṃ kuppannaṃ nāma atthi. Accantameva catūhi yogehi khemo etassa atthīti accantayogakkhemī. Maggabrahmacariyassa vusitattā tassa ca aparihāyanasabhāvattā accantaṃ brahmacārīti accantabrahmacārī. Tenāha ‘‘niccabrahmacārīti attho’’ti. Pariyosānanti maggabrahmacariyapariyapariyosānaṃ vaṭṭadukkhapariyosānañca.
ปญฺจกฺขนฺธาติ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธาฯ สกฺกายสพฺพญฺหิ สนฺธาย อิธ ‘‘สเพฺพ ธมฺมา’’ติ วุตฺตํ วิปสฺสนาวิสยสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ ตสฺมา อายตนธาตุโยปิ ตคฺคติกา เอว ทฎฺฐพฺพาฯ เตนาห ภควา ‘‘นาลํ อภินิเวสายา’’ติฯ น ยุตฺตา อภินิเวสาย ‘‘เอตํ มม, เอโส เม อตฺตา’’ติ อโชฺฌสานายฯ ‘‘อลเมว นิพฺพินฺทิตุํ อลํ วิรชฺชิตุ’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๗๒; สํ. นิ. ๒.๑๒๔, ๑๒๘, ๑๓๔, ๑๔๓) วิย อลํ-สโทฺท ยุตฺตโตฺถปิ โหตีติ อาห ‘‘น ยุตฺตา’’ติฯ สมฺปชฺชนฺตีติ ภวนฺติฯ ยทิปิ ‘‘ตติยา จตุตฺถี’’ติ อิทํ วิสุทฺธิทฺวยํ อภิญฺญาปญฺญา, ตสฺส ปน สปจฺจยนามรูปทสฺสนภาวโต สติ จ ปจฺจยปริคฺคเห สปจฺจยตฺตา อนิจฺจนฺติ, นามรูปสฺส อนิจฺจตาย ทุกฺขํ, ทุกฺขญฺจ อนตฺตาติ อตฺถโต ลกฺขณตฺตยํ สุปากฎเมว โหตีติ อาห ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ ญาตปริญฺญาย อภิชานาตี’’ติฯ ตเถว ตีรณปริญฺญายาติ อิมินา อนิจฺจาทิภาเวน นาลํ อภินิเวสายาติ นามรูปสฺส อุปสํหรติ, น อภิญฺญาปญฺญานํ สมฺภารธมฺมานํฯ ปุริมาย หิ อตฺถโต อาปนฺนํ ลกฺขณตฺตยํ คณฺหาติ สลกฺขณสลฺลกฺขณปรตฺตา ตสฺสาฯ ทุติยาย สรูปโต ตสฺสา ลกฺขณตฺตยาโรปนวเสน สมฺมสนภาวโตฯ เอกจิตฺตกฺขณิกตาย อภินิปาตมตฺตตาย จ อปฺปมตฺตกมฺปิฯ รูปปริคฺคหสฺส โอฬาริกภาวโต อรูปปริคฺคหํ ทเสฺสติฯ ทเสฺสโนฺต จ เวทนาย อาสนฺนภาวโต, วิเสสโต สุขสาราคิตาย, ภวสฺสาทคธิตมานสตาย จ เถรสฺส เวทนาวเสน นิพฺพเตฺตตฺวา ทเสฺสติฯ
Pañcakkhandhāti pañcupādānakkhandhā. Sakkāyasabbañhi sandhāya idha ‘‘sabbe dhammā’’ti vuttaṃ vipassanāvisayassa adhippetattā. Tasmā āyatanadhātuyopi taggatikā eva daṭṭhabbā. Tenāha bhagavā ‘‘nālaṃ abhinivesāyā’’ti. Na yuttā abhinivesāya ‘‘etaṃ mama, eso me attā’’ti ajjhosānāya. ‘‘Alameva nibbindituṃ alaṃ virajjitu’’ntiādīsu (dī. ni. 2.272; saṃ. ni. 2.124, 128, 134, 143) viya alaṃ-saddo yuttatthopi hotīti āha ‘‘na yuttā’’ti. Sampajjantīti bhavanti. Yadipi ‘‘tatiyā catutthī’’ti idaṃ visuddhidvayaṃ abhiññāpaññā, tassa pana sapaccayanāmarūpadassanabhāvato sati ca paccayapariggahe sapaccayattā aniccanti, nāmarūpassa aniccatāya dukkhaṃ, dukkhañca anattāti atthato lakkhaṇattayaṃ supākaṭameva hotīti āha ‘‘aniccaṃ dukkhaṃ anattāti ñātapariññāya abhijānātī’’ti. Tatheva tīraṇapariññāyāti iminā aniccādibhāvena nālaṃ abhinivesāyāti nāmarūpassa upasaṃharati, na abhiññāpaññānaṃ sambhāradhammānaṃ. Purimāya hi atthato āpannaṃ lakkhaṇattayaṃ gaṇhāti salakkhaṇasallakkhaṇaparattā tassā. Dutiyāya sarūpato tassā lakkhaṇattayāropanavasena sammasanabhāvato. Ekacittakkhaṇikatāya abhinipātamattatāya ca appamattakampi. Rūpapariggahassa oḷārikabhāvato arūpapariggahaṃ dasseti. Dassento ca vedanāya āsannabhāvato, visesato sukhasārāgitāya, bhavassādagadhitamānasatāya ca therassa vedanāvasena nibbattetvā dasseti.
ขยวิราโคติ ขยสงฺขาโต วิราโค สงฺขารานํ ปลุชฺชนาฯ ยํ อาคมฺม สพฺพโส สงฺขาเรหิ วิรชฺชนา โหติ, ตํ นิพฺพานํ อจฺจนฺตวิราโคฯ นิโรธานุปสฺสิมฺหิปีติ นิโรธานุปสฺสิปเทปิฯ เอเสว นโยติ อติทิสิตฺวา ตํ เอกเทเสน วิวรโนฺต ‘‘นิโรโธปิ หิ…เป.… ทุวิโธเยวา’’ติ อาหฯ ขนฺธานํ ปริจฺจชนํ ตปฺปฎิพทฺธกิเลสปฺปหานวเสนาติ เยนากาเรน วิปสฺสนา กิเลเส ปชหติ, เตนากาเรน ตํนิมิตฺตกฺขเนฺธ จ ปชหตีติ วตฺตพฺพตํ อรหตีติ อาห ‘‘สา หิ…เป.… โวสฺสชฺชตี’’ติฯ อารมฺมณโตติ กิจฺจสาธนวเสน อารมฺมณกรณโตฯ เอวญฺหิ มคฺคโต อเญฺญสํ นิพฺพานารมฺมณานํ ปกฺขนฺทนโวสฺสคฺคาภาโว สิโทฺธว โหติฯ ปริจฺจชเนน ปกฺขนฺทเนน จาติ ทฺวีหิปิ วา การเณหิฯ โสติ มโคฺคฯ สเพฺพสํ ขนฺธานํ โวสฺสชฺชนํ ตปฺปฎิพทฺธสํกิเลสปฺปหาเนน ทฎฺฐพฺพํฯ ยสฺมา วา วิปสฺสนาจิตฺตํ ปกฺขนฺทตีติ มคฺคสมฺปยุตฺตจิตฺตํ สนฺธายาหฯ มโคฺค จ สมุเจฺฉทวเสน กิเลเส ขเนฺธ จ ปริจฺจชติ, ตสฺมา ยถากฺกมํ วิปสฺสนามคฺคานญฺจ วเสน ปกฺขนฺทนปริจฺจาคโวสฺสคฺคาปิ เวทิตพฺพาฯ ตทุภยสมงฺคีติ วิปสฺสนาสมงฺคี มคฺคสมงฺคี จฯ ‘‘อนิจฺจานุปสฺสนาย นิจฺจสญฺญํ ปชหตี’’ติอาทิวจนโต (ปฎิ. ม. ๑.๕๒) หิ ยถา วิปสฺสนาย กิเลสานํ ปริจฺจาคปฺปฎินิสฺสโคฺค ลพฺภติ, เอวํ อายติํ เตหิ กิเลเสหิ อุปฺปาเทตพฺพกฺขนฺธานมฺปิ ปริจฺจาคปฎินิสฺสโคฺค วตฺตโพฺพฯ ปกฺขนฺทนปฎินิสฺสโคฺค ปน มเคฺค ลพฺภมานาย เอกนฺตการณภูตาย วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนาย วเสน เวทิตโพฺพฯ มเคฺค ปน ตทุภยมฺปิ ญายาคตเมว นิปฺปริยายโตว ลพฺภมานตฺตาฯ เตนาห ‘‘ตทุภยสมงฺคีปุคฺคโล’’ติอาทิฯ ปุจฺฉนฺตสฺส อชฺฌาสยวเสน ‘‘น กิญฺจิ โลเก อุปาทิยตี’’ติ เอตฺถ กามุปาทานวเสน อุปาทิยนํ ปฎิกฺขิปตีติ อาห ‘‘ตณฺหาวเสน น อุปาทิยตี’’ติฯ ตณฺหาวเสน วา อสติ อุปาทิยเน ทิฎฺฐิวเสน อุปาทิยนํ อนวกาสเมวาติ ‘‘ตณฺหาวเสน’’อิเจฺจว วุตฺตํฯ น ปรามสตีติ นาทิยติฯ ทิฎฺฐิปรามาสวเสน วา ‘‘นิจฺจ’’นฺติอาทินา น ปรามสติฯ สํขิเตฺตเนว กเถสีติ ตสฺส อชฺฌาสยวเสน ปปญฺจํ อกตฺวา กเถสิฯ
Khayavirāgoti khayasaṅkhāto virāgo saṅkhārānaṃ palujjanā. Yaṃ āgamma sabbaso saṅkhārehi virajjanā hoti, taṃ nibbānaṃ accantavirāgo. Nirodhānupassimhipīti nirodhānupassipadepi. Eseva nayoti atidisitvā taṃ ekadesena vivaranto ‘‘nirodhopi hi…pe… duvidhoyevā’’ti āha. Khandhānaṃ pariccajanaṃ tappaṭibaddhakilesappahānavasenāti yenākārena vipassanā kilese pajahati, tenākārena taṃnimittakkhandhe ca pajahatīti vattabbataṃ arahatīti āha ‘‘sā hi…pe… vossajjatī’’ti. Ārammaṇatoti kiccasādhanavasena ārammaṇakaraṇato. Evañhi maggato aññesaṃ nibbānārammaṇānaṃ pakkhandanavossaggābhāvo siddhova hoti. Pariccajanena pakkhandanena cāti dvīhipi vā kāraṇehi. Soti maggo. Sabbesaṃ khandhānaṃ vossajjanaṃ tappaṭibaddhasaṃkilesappahānena daṭṭhabbaṃ. Yasmā vā vipassanācittaṃ pakkhandatīti maggasampayuttacittaṃ sandhāyāha. Maggo ca samucchedavasena kilese khandhe ca pariccajati, tasmā yathākkamaṃ vipassanāmaggānañca vasena pakkhandanapariccāgavossaggāpi veditabbā. Tadubhayasamaṅgīti vipassanāsamaṅgī maggasamaṅgī ca. ‘‘Aniccānupassanāya niccasaññaṃ pajahatī’’tiādivacanato (paṭi. ma. 1.52) hi yathā vipassanāya kilesānaṃ pariccāgappaṭinissaggo labbhati, evaṃ āyatiṃ tehi kilesehi uppādetabbakkhandhānampi pariccāgapaṭinissaggo vattabbo. Pakkhandanapaṭinissaggo pana magge labbhamānāya ekantakāraṇabhūtāya vuṭṭhānagāminivipassanāya vasena veditabbo. Magge pana tadubhayampi ñāyāgatameva nippariyāyatova labbhamānattā. Tenāha ‘‘tadubhayasamaṅgīpuggalo’’tiādi. Pucchantassa ajjhāsayavasena ‘‘na kiñci loke upādiyatī’’ti ettha kāmupādānavasena upādiyanaṃ paṭikkhipatīti āha ‘‘taṇhāvasena na upādiyatī’’ti. Taṇhāvasena vā asati upādiyane diṭṭhivasena upādiyanaṃ anavakāsamevāti ‘‘taṇhāvasena’’icceva vuttaṃ. Na parāmasatīti nādiyati. Diṭṭhiparāmāsavasena vā ‘‘nicca’’ntiādinā na parāmasati. Saṃkhitteneva kathesīti tassa ajjhāsayavasena papañcaṃ akatvā kathesi.
ปจลายมานสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pacalāyamānasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๘. ปจลายมานสุตฺตํ • 8. Pacalāyamānasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๘. ปจลายมานสุตฺตวณฺณนา • 8. Pacalāyamānasuttavaṇṇanā