Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๑๐. ปจฺจยสุตฺตวณฺณนา
10. Paccayasuttavaṇṇanā
๒๐. ทสเม ปฎิจฺจสมุปฺปาทญฺจ โว ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ ปฎิจฺจสมุปฺปเนฺน จ ธเมฺมติ สตฺถา อิมสฺมิํ สุเตฺต ปจฺจเย จ ปจฺจยนิพฺพเตฺต จ สภาวธเมฺม เทเสสฺสามีติ อุภยํ อารภิฯ อุปฺปาทา วา ตถาคตานนฺติ ตถาคตานํ อุปฺปาเทปิ, พุเทฺธสุ อุปฺปเนฺนสุ อนุปฺปเนฺนสุปิ ชาติปจฺจยา ชรามรณํ, ชาติเยว ชรามรณสฺส ปจฺจโยฯ ฐิตาว สา ธาตูติ ฐิโตว โส ปจฺจยสภาโว, น กทาจิ ชาติ ชรามรณสฺส ปจฺจโย น โหติฯ ธมฺมฎฺฐิตตา ธมฺมนิยามตาติ อิเมหิปิ ทฺวีหิ ปจฺจยเมว กเถติฯ ปจฺจเยน หิ ปจฺจยุปฺปนฺนา ธมฺมา ติฎฺฐนฺติ, ตสฺมา ปจฺจโยว ‘‘ธมฺมฎฺฐิตตา’’ติ วุจฺจติฯ ปจฺจโย ธเมฺม นิยเมติ, ตสฺมา ‘‘ธมฺมนิยามตา’’ติ วุจฺจติฯ อิทปฺปจฺจยตาติ อิเมสํ ชรามรณาทีนํ ปจฺจยา อิทปฺปจฺจยา, อิทปฺปจฺจยาว อิทปฺปจฺจยตาฯ ตนฺติ ตํ ปจฺจยํฯ อภิสมฺพุชฺฌตีติ ญาเณน อภิสมฺพุชฺฌติฯ อภิสเมตีติ ญาเณน อภิสมาคจฺฉติฯ อาจิกฺขตีติ กเถติฯ เทเสตีติ ทเสฺสติฯ ปญฺญาเปตีติ ชานาเปติฯ ปฎฺฐเปตีติ ญาณมุเข ฐเปติฯ วิวรตีติ วิวริตฺวา ทเสฺสติฯ วิภชตีติ วิภาคโต ทเสฺสติฯ อุตฺตานีกโรตีติ ปากฎํ กโรติฯ ปสฺสถาติ จาหาติ ปสฺสถ อิติ จ วทติฯ กินฺติ? ชาติปจฺจยา, ภิกฺขเว, ชรามรณนฺติอาทิฯ
20. Dasame paṭiccasamuppādañca vo bhikkhave, desessāmi paṭiccasamuppanne ca dhammeti satthā imasmiṃ sutte paccaye ca paccayanibbatte ca sabhāvadhamme desessāmīti ubhayaṃ ārabhi. Uppādā vā tathāgatānanti tathāgatānaṃ uppādepi, buddhesu uppannesu anuppannesupi jātipaccayā jarāmaraṇaṃ, jātiyeva jarāmaraṇassa paccayo. Ṭhitāva sā dhātūti ṭhitova so paccayasabhāvo, na kadāci jāti jarāmaraṇassa paccayo na hoti. Dhammaṭṭhitatā dhammaniyāmatāti imehipi dvīhi paccayameva katheti. Paccayena hi paccayuppannā dhammā tiṭṭhanti, tasmā paccayova ‘‘dhammaṭṭhitatā’’ti vuccati. Paccayo dhamme niyameti, tasmā ‘‘dhammaniyāmatā’’ti vuccati. Idappaccayatāti imesaṃ jarāmaraṇādīnaṃ paccayā idappaccayā, idappaccayāva idappaccayatā. Tanti taṃ paccayaṃ. Abhisambujjhatīti ñāṇena abhisambujjhati. Abhisametīti ñāṇena abhisamāgacchati. Ācikkhatīti katheti. Desetīti dasseti. Paññāpetīti jānāpeti. Paṭṭhapetīti ñāṇamukhe ṭhapeti. Vivaratīti vivaritvā dasseti. Vibhajatīti vibhāgato dasseti. Uttānīkarotīti pākaṭaṃ karoti. Passathāti cāhāti passatha iti ca vadati. Kinti? Jātipaccayā, bhikkhave, jarāmaraṇantiādi.
อิติ โข, ภิกฺขเวติ เอวํ โข, ภิกฺขเวฯ ยา ตตฺราติ ยา เตสุ ‘‘ชาติปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติอาทีสุฯ ตถตาติอาทีนิ ปจฺจยาการเสฺสว เววจนานิฯ โส เตหิ เตหิ ปจฺจเยหิ อนูนาธิเกเหว ตสฺส ตสฺส ธมฺมสฺส สมฺภวโต ตถตาติ, สามคฺคิํ อุปคเตสุ ปจฺจเยสุ มุหุตฺตมฺปิ ตโต นิพฺพตฺตานํ ธมฺมานํ อสมฺภวาภาวโต อวิตถตาติ, อญฺญธมฺมปจฺจเยหิ อญฺญธมฺมานุปฺปตฺติโต อนญฺญถตาติ, ชรามรณาทีนํ ปจฺจยโต วา ปจฺจยสมูหโต วา อิทปฺปจฺจยตาติ วุโตฺตฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ – อิเมสํ ปจฺจยา อิทปฺปจฺจยา, อิทปฺปจฺจยา เอว อิทปฺปจฺจยตา, อิทปฺปจฺจยานํ วา สมูโห อิทปฺปจฺจยตาฯ ลกฺขณํ ปเนตฺถ สทฺทสตฺถโต เวทิตพฺพํฯ
Itikho, bhikkhaveti evaṃ kho, bhikkhave. Yā tatrāti yā tesu ‘‘jātipaccayā jarāmaraṇa’’ntiādīsu. Tathatātiādīni paccayākārasseva vevacanāni. So tehi tehi paccayehi anūnādhikeheva tassa tassa dhammassa sambhavato tathatāti, sāmaggiṃ upagatesu paccayesu muhuttampi tato nibbattānaṃ dhammānaṃ asambhavābhāvato avitathatāti, aññadhammapaccayehi aññadhammānuppattito anaññathatāti, jarāmaraṇādīnaṃ paccayato vā paccayasamūhato vā idappaccayatāti vutto. Tatrāyaṃ vacanattho – imesaṃ paccayā idappaccayā, idappaccayā eva idappaccayatā, idappaccayānaṃ vā samūho idappaccayatā. Lakkhaṇaṃ panettha saddasatthato veditabbaṃ.
อนิจฺจนฺติ หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจํฯ เอตฺถ จ อนิจฺจนฺติ น ชรามรณํ อนิจฺจํ, อนิจฺจสภาวานํ ปน ขนฺธานํ ชรามรณตฺตา อนิจฺจํ นาม ชาตํฯ สงฺขตาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ จ สงฺขตนฺติ ปจฺจเยหิ สมาคนฺตฺวา กตํฯ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนนฺติ ปจฺจเย นิสฺสาย อุปฺปนฺนํฯ ขยธมฺมนฺติ ขยสภาวํฯ วยธมฺมนฺติ วิคจฺฉนกสภาวํฯ วิราคธมฺมนฺติ วิรชฺชนกสภาวํฯ นิโรธธมฺมนฺติ นิรุชฺฌนกสภาวํฯ ชาติยาปิ วุตฺตนเยเนว อนิจฺจตา เวทิตพฺพาฯ ชนกปจฺจยานํ วา กิจฺจานุภาวกฺขเณ ทิฎฺฐตฺตา เอเกน ปริยาเยเนตฺถ อนิจฺจาติอาทีนิ ยุชฺชนฺติเยวฯ ภวาทโย อนิจฺจาทิสภาวาเยวฯ
Aniccanti hutvā abhāvaṭṭhena aniccaṃ. Ettha ca aniccanti na jarāmaraṇaṃ aniccaṃ, aniccasabhāvānaṃ pana khandhānaṃ jarāmaraṇattā aniccaṃ nāma jātaṃ. Saṅkhatādīsupi eseva nayo. Ettha ca saṅkhatanti paccayehi samāgantvā kataṃ. Paṭiccasamuppannanti paccaye nissāya uppannaṃ. Khayadhammanti khayasabhāvaṃ. Vayadhammanti vigacchanakasabhāvaṃ. Virāgadhammanti virajjanakasabhāvaṃ. Nirodhadhammanti nirujjhanakasabhāvaṃ. Jātiyāpi vuttanayeneva aniccatā veditabbā. Janakapaccayānaṃ vā kiccānubhāvakkhaṇe diṭṭhattā ekena pariyāyenettha aniccātiādīni yujjantiyeva. Bhavādayo aniccādisabhāvāyeva.
สมฺมปฺปญฺญายาติ สวิปสฺสนาย มคฺคปญฺญายฯ ปุพฺพนฺตนฺติ ปุริมํ อตีตนฺติ อโตฺถฯ อโหสิํ นุ โขติอาทีสุ ‘‘อโหสิํ นุ โข นนุ โข’’ติ สสฺสตาการญฺจ อธิจฺจสมุปฺปตฺติอาการญฺจ นิสฺสาย อตีเต อตฺตโน วิชฺชมานตญฺจ อวิชฺชมานตญฺจ กงฺขติฯ กิํ การณนฺติ น วตฺตพฺพํ, อุมฺมตฺตโก วิย พาลปุถุชฺชโน ยถา วา ตถา วา ปวตฺตติฯ กิํ นุ โข อโหสินฺติ ชาติลิงฺคุปปตฺติโย นิสฺสาย ‘‘ขตฺติโย นุ โข อโหสิํ, พฺราหฺมณเวสฺสสุทฺทคหฎฺฐปพฺพชิตเทวมนุสฺสานํ อญฺญตโร’’ติ กงฺขติฯ กถํ นุ โขติ สณฺฐานาการํ นิสฺสาย ‘‘ทีโฆ นุ โข อโหสิํ รสฺสโอทาตกณฺหปมาณิกอปฺปมาณิกาทีนํ อญฺญตโร’’ติ กงฺขติฯ เกจิ ปน ‘‘อิสฺสรนิมฺมานาทีนิ นิสฺสาย ‘เกน นุ โข การเณน อโหสิ’นฺติ เหตุโต กงฺขตี’’ติ วทนฺติฯ กิํ หุตฺวา กิํ อโหสินฺติ ชาติอาทีนิ นิสฺสาย ‘‘ขตฺติโย หุตฺวา นุ โข พฺราหฺมโณ อโหสิํ…เป.… เทโว หุตฺวา มนุโสฺส’’ติ อตฺตโน ปรมฺปรํ กงฺขติฯ สพฺพเตฺถว ปน อทฺธานนฺติ กาลาธิวจนเมตํฯ อปรนฺตนฺติ อนาคตํ อนฺตํฯ ภวิสฺสามิ นุ โข นนุ โขติ สสฺสตาการญฺจ อุเจฺฉทาการญฺจ นิสฺสาย อนาคเต อตฺตโน วิชฺชมานตญฺจ อวิชฺชมานตญฺจ กงฺขติฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยเมวฯ
Sammappaññāyāti savipassanāya maggapaññāya. Pubbantanti purimaṃ atītanti attho. Ahosiṃ nu khotiādīsu ‘‘ahosiṃ nu kho nanu kho’’ti sassatākārañca adhiccasamuppattiākārañca nissāya atīte attano vijjamānatañca avijjamānatañca kaṅkhati. Kiṃ kāraṇanti na vattabbaṃ, ummattako viya bālaputhujjano yathā vā tathā vā pavattati. Kiṃ nu kho ahosinti jātiliṅgupapattiyo nissāya ‘‘khattiyo nu kho ahosiṃ, brāhmaṇavessasuddagahaṭṭhapabbajitadevamanussānaṃ aññataro’’ti kaṅkhati. Kathaṃ nu khoti saṇṭhānākāraṃ nissāya ‘‘dīgho nu kho ahosiṃ rassaodātakaṇhapamāṇikaappamāṇikādīnaṃ aññataro’’ti kaṅkhati. Keci pana ‘‘issaranimmānādīni nissāya ‘kena nu kho kāraṇena ahosi’nti hetuto kaṅkhatī’’ti vadanti. Kiṃ hutvā kiṃ ahosinti jātiādīni nissāya ‘‘khattiyo hutvā nu kho brāhmaṇo ahosiṃ…pe… devo hutvā manusso’’ti attano paramparaṃ kaṅkhati. Sabbattheva pana addhānanti kālādhivacanametaṃ. Aparantanti anāgataṃ antaṃ. Bhavissāmi nu kho nanu khoti sassatākārañca ucchedākārañca nissāya anāgate attano vijjamānatañca avijjamānatañca kaṅkhati. Sesamettha vuttanayameva.
เอตรหิ วา ปจฺจุปฺปนฺนํ อทฺธานนฺติ อิทานิ วา ปฎิสนฺธิมาทิํ กตฺวา จุติปริยนฺตํ สพฺพมฺปิ วตฺตมานกาลํ คเหตฺวาฯ อชฺฌตฺตํ กถํกถี ภวิสฺสตีติ อตฺตโน ขเนฺธสุ วิจิกิจฺฉี ภวิสฺสติฯ อหํ นุ โขสฺมีติ อตฺตโน อตฺถิภาวํ กงฺขติฯ ยุตฺตํ ปเนตนฺติ? ยุตฺตํ อยุตฺตนฺติ กา เอตฺถ จินฺตาฯ อปิเจตฺถ อิทํ วตฺถุมฺปิ อุทาหรนฺติ – จูฬมาตาย กิร ปุโตฺต มุโณฺฑ, มหามาตาย ปุโตฺต อมุโณฺฑ, ตํ ปุตฺตํ มุเณฺฑสุํ, โส อุฎฺฐาย ‘‘อหํ นุ โข จูฬมาตาย ปุโตฺต’’ติ จิเนฺตสิฯ เอวํ อหํ นุ โขสฺมีติ กงฺขา โหติฯ โน นุ โขสฺมีติ อตฺตโน นตฺถิภาวํ กงฺขติฯ ตตฺราปิ อิทํ วตฺถุ – เอโก กิร มเจฺฉ คณฺหโนฺต อุทเก จิรฎฺฐาเนน สีติภูตํ อตฺตโน อูรุํ มโจฺฉติ จิเนฺตตฺวา ปหริฯ อปโร สุสานปเสฺส เขตฺตํ รกฺขโนฺต ภีโต สงฺกุฎิโต สยิ, โส ปฎิพุชฺฌิตฺวา อตฺตโน ชณฺณุกานิ เทฺว ยกฺขาติ จิเนฺตตฺวา ปหริฯ เอวํ โน นุ โขสฺมีติ กงฺขติฯ
Etarahivā paccuppannaṃ addhānanti idāni vā paṭisandhimādiṃ katvā cutipariyantaṃ sabbampi vattamānakālaṃ gahetvā. Ajjhattaṃ kathaṃkathī bhavissatīti attano khandhesu vicikicchī bhavissati. Ahaṃ nu khosmīti attano atthibhāvaṃ kaṅkhati. Yuttaṃ panetanti? Yuttaṃ ayuttanti kā ettha cintā. Apicettha idaṃ vatthumpi udāharanti – cūḷamātāya kira putto muṇḍo, mahāmātāya putto amuṇḍo, taṃ puttaṃ muṇḍesuṃ, so uṭṭhāya ‘‘ahaṃ nu kho cūḷamātāya putto’’ti cintesi. Evaṃ ahaṃ nu khosmīti kaṅkhā hoti. No nu khosmīti attano natthibhāvaṃ kaṅkhati. Tatrāpi idaṃ vatthu – eko kira macche gaṇhanto udake ciraṭṭhānena sītibhūtaṃ attano ūruṃ macchoti cintetvā pahari. Aparo susānapasse khettaṃ rakkhanto bhīto saṅkuṭito sayi, so paṭibujjhitvā attano jaṇṇukāni dve yakkhāti cintetvā pahari. Evaṃ no nu khosmīti kaṅkhati.
กิํ นุ โขสฺมีติ ขตฺติโยว สมาโน อตฺตโน ขตฺติยภาวํ กงฺขติฯ เอเสว นโย เสเสสุปิฯ เทโว ปน สมาโน เทวภาวํ อชานโนฺต นาม นตฺถิ, โสปิ ปน ‘‘อหํ รูปี นุ โข อรูปี นุ โข’’ติอาทินา นเยน กงฺขติฯ ขตฺติยาทโย กสฺมา น ชานนฺตีติ เจ? อปจฺจกฺขา เตสํ ตตฺถ ตตฺถ กุเล อุปฺปตฺติฯ คหฎฺฐาปิ จ โปตฺถลิกาทโย ปพฺพชิตสญฺญิโน, ปพฺพชิตาปิ ‘‘กุปฺปํ นุ โข เม กมฺม’’นฺติอาทินา นเยน คหฎฺฐสญฺญิโนฯ มนุสฺสาปิ จ ราชาโน วิย อตฺตนิ เทวสญฺญิโน โหนฺติฯ กถํ นุ โขสฺมีติ วุตฺตนยเมวฯ เกวลเญฺหตฺถ อพฺภนฺตเร ชีโว นาม อตฺถีติ คเหตฺวา ตสฺส สณฺฐานาการํ นิสฺสาย ‘‘ทีโฆ นุ โขสฺมิ รสฺสจตุรสฺสฉฬํสอฎฺฐํสโสฬสํสาทีนํ อญฺญตรปฺปกาโร’’ติ กงฺขโนฺต กถํ นุ โขสฺมีติ? กงฺขตีติ เวทิตโพฺพฯ สรีรสณฺฐานํ ปน ปจฺจุปฺปนฺนํ อชานโนฺต นาม นตฺถิฯ กุโต อาคโต โส กุหิํ คามี ภวิสฺสตีติ อตฺตภาวสฺส อาคติคติฎฺฐานํ กงฺขโนฺต เอวํ กงฺขติฯ อริยสาวกสฺสาติ อิธ โสตาปโนฺน อธิเปฺปโต, อิตเรปิ ปน ตโย อวาริตาเยวาติฯ ทสมํฯ
Kiṃ nu khosmīti khattiyova samāno attano khattiyabhāvaṃ kaṅkhati. Eseva nayo sesesupi. Devo pana samāno devabhāvaṃ ajānanto nāma natthi, sopi pana ‘‘ahaṃ rūpī nu kho arūpī nu kho’’tiādinā nayena kaṅkhati. Khattiyādayo kasmā na jānantīti ce? Apaccakkhā tesaṃ tattha tattha kule uppatti. Gahaṭṭhāpi ca potthalikādayo pabbajitasaññino, pabbajitāpi ‘‘kuppaṃ nu kho me kamma’’ntiādinā nayena gahaṭṭhasaññino. Manussāpi ca rājāno viya attani devasaññino honti. Kathaṃ nu khosmīti vuttanayameva. Kevalañhettha abbhantare jīvo nāma atthīti gahetvā tassa saṇṭhānākāraṃ nissāya ‘‘dīgho nu khosmi rassacaturassachaḷaṃsaaṭṭhaṃsasoḷasaṃsādīnaṃ aññatarappakāro’’ti kaṅkhanto kathaṃ nu khosmīti? Kaṅkhatīti veditabbo. Sarīrasaṇṭhānaṃ pana paccuppannaṃ ajānanto nāma natthi. Kuto āgato so kuhiṃ gāmī bhavissatīti attabhāvassa āgatigatiṭṭhānaṃ kaṅkhanto evaṃ kaṅkhati. Ariyasāvakassāti idha sotāpanno adhippeto, itarepi pana tayo avāritāyevāti. Dasamaṃ.
อาหารวโคฺค ทุติโยฯ
Āhāravaggo dutiyo.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑๐. ปจฺจยสุตฺตํ • 10. Paccayasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑๐. ปจฺจยสุตฺตวณฺณนา • 10. Paccayasuttavaṇṇanā