Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā)

    ๑๐. ปจฺจยสุตฺตวณฺณนา

    10. Paccayasuttavaṇṇanā

    ๒๐. สพฺพมฺปิ สงฺขตํ อปฺปฎิจฺจ อุปฺปนฺนํ นาม นตฺถีติ ปจฺจยธโมฺมปิ อตฺตโน ปจฺจยธมฺมํ อุปาทาย ปจฺจยุปฺปโนฺน, ตถา ปจฺจยุปฺปนฺนธโมฺมปิ อตฺตโน ปจฺจยุปฺปนฺนํ อุปาทาย ปจฺจยธโมฺมติ ยถารหํ ธมฺมานํ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนตาฯ เยสํ วิเนยฺยานํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทเทสนาเยว สุโพธโต อุปฎฺฐาติ, เตสํ วเสน สุฎฺฐุ วิภาคํ กตฺวา ปฎิจฺจสมุปฺปาโท เทสิโตฯ เยสํ ปน วิเนยฺยานํ ตทุภยสฺมิํ วิภชฺช สุเต เอว ธมฺมาภิสมโย โหติ, เต สนฺธาย ภควา ตทุภยํ วิภชฺช ทเสฺสโนฺต ‘‘ปฎิจฺจสมุปฺปาทญฺจ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ ปฎิจฺจสมุปฺปเนฺน จ ธเมฺม’’ติ อิมํ เทสนํ อารภีติ อิมมตฺถํ วิภาเวโนฺต ‘‘สตฺถา อิมสฺมิํ สุเตฺต’’ติอาทิมาหฯ ปจฺจยสฺส ภาโว ปจฺจยตฺตํ, ปจฺจยนิพฺพตฺตตาฯ อสภาวธเมฺม น ลพฺภตีติ ‘‘สภาวธเมฺม’’ติ วุตฺตํฯ นนุ จ ชาติ ชรา มรณญฺจ สภาวธโมฺม น โหติ, เยสํ ปน ขนฺธานํ ชาติ ชรา มรณญฺจ, เต เอว สภาวธมฺมา, อถ กสฺมา เทสนาย เต คหิตาติ? นายํ โทโส, ชาติ ชรา มรณญฺหิ ปจฺจยนิพฺพตฺตานํ สภาวธมฺมานํ วิการมตฺตํ, นเญฺญสํ, ตสฺมา เต คหิตาติฯ อุปฺปาทา วา ตถาคตานนฺติ น วิเนยฺยปุคฺคลานํ มคฺคผลุปฺปตฺติ วิย ชาติปจฺจยา ชรามรณุปฺปตฺติ ตถาคตุปฺปาทายตฺตา, อถ โข สา ตถาคตานํ อุปฺปาเทปิ อนุปฺปาเทปิ โหติเยวฯ ตสฺมา สา กามํ อสงฺขตา วิย ธาตุ น นิจฺจา, ตถาปิ ‘‘สพฺพกาลิกา’’ติ เอเตน ชาติปจฺจยโต ชรามรณุปฺปตฺตีติ ทเสฺสติฯ เตนาห ‘‘ชาติเยว ชรามรณสฺส ปจฺจโย’’ติฯ ชาติปจฺจยาติ จ ชาติสงฺขาตปจฺจยาฯ เหตุมฺหิ นิสฺสกฺกวจนํฯ ฐิตาว สา ธาตุ, ยายํ อิทปฺปจฺจยตา ชาติยา ชรามรณสฺส ปจฺจยตา ตสฺส พฺยภิจาราภาวโตฯ อิทานิ น กทาจิ ชาติ ชรามรณสฺส ปจฺจโย น โหติ โหติเยวาติ ชรามรณสฺส ปจฺจยภาเว นิยเมติฯ อุภเยนปิ ยถาวุตฺตสฺส ปจฺจยภาโว ยตฺถ โหติ, ตตฺถ อวสฺสํภาวิตํ ทเสฺสติฯ เตนาห ภควา ‘‘ฐิตาว สา ธาตู’’ติฯ ทฺวีหิ ปเทหิฯ ติฎฺฐนฺตีติ ยสฺส วเสน ธมฺมานํ ฐิติ, สา อิทปฺปจฺจยตา ธมฺมฎฺฐิตตาฯ ธเมฺมติ ปจฺจยุปฺปเนฺน ธเมฺมฯ นิยเมติ วิเสเสติฯ เหตุคตวิเสสสมาโยโค หิ เหตุผลสฺส เอวํ ธมฺมตานิยาโม เอวาติฯ

    20. Sabbampi saṅkhataṃ appaṭicca uppannaṃ nāma natthīti paccayadhammopi attano paccayadhammaṃ upādāya paccayuppanno, tathā paccayuppannadhammopi attano paccayuppannaṃ upādāya paccayadhammoti yathārahaṃ dhammānaṃ paccayapaccayuppannatā. Yesaṃ vineyyānaṃ paṭiccasamuppādadesanāyeva subodhato upaṭṭhāti, tesaṃ vasena suṭṭhu vibhāgaṃ katvā paṭiccasamuppādo desito. Yesaṃ pana vineyyānaṃ tadubhayasmiṃ vibhajja sute eva dhammābhisamayo hoti, te sandhāya bhagavā tadubhayaṃ vibhajja dassento ‘‘paṭiccasamuppādañca vo, bhikkhave, desessāmi paṭiccasamuppanne ca dhamme’’ti imaṃ desanaṃ ārabhīti imamatthaṃ vibhāvento ‘‘satthā imasmiṃ sutte’’tiādimāha. Paccayassa bhāvo paccayattaṃ, paccayanibbattatā. Asabhāvadhamme na labbhatīti ‘‘sabhāvadhamme’’ti vuttaṃ. Nanu ca jāti jarā maraṇañca sabhāvadhammo na hoti, yesaṃ pana khandhānaṃ jāti jarā maraṇañca, te eva sabhāvadhammā, atha kasmā desanāya te gahitāti? Nāyaṃ doso, jāti jarā maraṇañhi paccayanibbattānaṃ sabhāvadhammānaṃ vikāramattaṃ, naññesaṃ, tasmā te gahitāti. Uppādā vā tathāgatānanti na vineyyapuggalānaṃ maggaphaluppatti viya jātipaccayā jarāmaraṇuppatti tathāgatuppādāyattā, atha kho sā tathāgatānaṃ uppādepi anuppādepi hotiyeva. Tasmā sā kāmaṃ asaṅkhatā viya dhātu na niccā, tathāpi ‘‘sabbakālikā’’ti etena jātipaccayato jarāmaraṇuppattīti dasseti. Tenāha ‘‘jātiyeva jarāmaraṇassa paccayo’’ti. Jātipaccayāti ca jātisaṅkhātapaccayā. Hetumhi nissakkavacanaṃ. Ṭhitāva sā dhātu, yāyaṃ idappaccayatā jātiyā jarāmaraṇassa paccayatā tassa byabhicārābhāvato. Idāni na kadāci jāti jarāmaraṇassa paccayo na hoti hotiyevāti jarāmaraṇassa paccayabhāve niyameti. Ubhayenapi yathāvuttassa paccayabhāvo yattha hoti, tattha avassaṃbhāvitaṃ dasseti. Tenāha bhagavā ‘‘ṭhitāva sā dhātū’’ti. Dvīhi padehi. Tiṭṭhantīti yassa vasena dhammānaṃ ṭhiti, sā idappaccayatā dhammaṭṭhitatā. Dhammeti paccayuppanne dhamme. Niyameti viseseti. Hetugatavisesasamāyogo hi hetuphalassa evaṃ dhammatāniyāmo evāti.

    อปโร นโย – ฐิตาว สา ธาตูติ ยายํ ชรามรณสฺส อิทปฺปจฺจยตา ‘‘ชาติปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติ, เอสา ธาตุ เอส สภาโวฯ ตถาคตานํ อุปฺปาทโต ปุเพฺพ อุทฺธญฺจ อปฺปฎิวิชฺฌิยมาโน, มเชฺฌ จ ปฎิวิชฺฌิยมาโน น ตถาคเตหิ อุปฺปาทิโต, อถ โข สมฺภวนฺตสฺส ชรามรณสฺส สพฺพกาลํ ชาติปจฺจยโต สมฺภโวติ ฐิตาว สา ธาตุ, เกวลํ ปน สยมฺภุญาเณน อภิสมฺพุชฺฌนโต ‘‘อยํ ธโมฺม ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ’’ติ ปเวทนโต จ ตถาคโต ‘‘ธมฺมสามี’’ติ วุจฺจติ, น อปุพฺพสฺส อุปฺปาทนโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ฐิตาว สา ธาตู’’ติฯ สา เอว ‘‘ชาติปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติ เอตฺถ วิปลฺลาสาภาวโต เอวํ อวพุชฺฌมานสฺส เอตสฺส สภาวสฺส, เหตุโน วา ตเถว ภาวโต ฐิตตาติ ธมฺมฎฺฐิตตา, ชาติ วา ชรามรณสฺส อุปฺปาทฎฺฐิติ ปวตฺตอายูหน-สํโยค-ปลิโพธ-สมุทย-เหตุปจฺจยฎฺฐิตีติ ตทุปฺปาทาทิภาเวนสฺสา ฐิตตา ‘‘ธมฺมฎฺฐิตตา’’ติ ผลํ ปติ สามตฺถิยโต เหตุเมว วทติฯ ธารียติ ปจฺจเยหีติ วา ธโมฺม, ติฎฺฐติ ตตฺถ ตทายตฺตวุตฺติตาย ผลนฺติ ฐิติ, ธมฺมสฺส ฐิติ ธมฺมฎฺฐิติฯ ธโมฺมติ วา การณํ ปจฺจยภาเวน ผลสฺส ธารณโต, ตสฺส ฐิติ สภาโว, ธมฺมโต จ อโญฺญ สภาโว นตฺถีติ ธมฺมฎฺฐิติ, ปจฺจโยฯ เตนาห ‘‘ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา ธมฺมฎฺฐิติญาณ’’นฺติ (ปฎิ. ม. มาติกา ๔)ฯ ธมฺมฎฺฐิติ เอว ธมฺมฎฺฐิตตาฯ สา เอว ธาตุ ‘‘ชาติปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติ อิมสฺส สภาวสฺส, เหตุโน วา อญฺญถตฺตาภาวโต, ‘‘น ชาติปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติ วิญฺญายมานสฺส จ ตพฺภาวาภาวโต นิยามตา ววตฺถิตภาโวติ ธมฺมนิยามตาฯ ผลสฺส วา ชรามรณสฺส ชาติยา สติ สมฺภโว ธเมฺม เหตุมฺหิ ฐิตตาติ ธมฺมฎฺฐิตตา, อสติ อสมฺภโว ธมฺมนิยามตาติ เอวํ ผเลน เหตุํ วิภาเวติ, ตํ ‘‘ฐิตาว สา ธาตู’’ติอาทินา วุตฺตํฯ อิเมสํ ชรามรณาทีนํ ปจฺจยตาสงฺขาตํ อิทปฺปจฺจยตํ อภิสมฺพุชฺฌติ ปจฺจกฺขกรเณน อภิมุขํ พุชฺฌติ ยาถาวโต ปฎิวิชฺฌติ, ตโต เอว อภิสเมติ อภิมุขํ สมาคจฺฉติ, อาทิโต กเถโนฺต อาจิกฺขติ, อุทฺทิสตีติ อโตฺถฯ ตเมว อุเทฺทสํ ปริโยสาเปโนฺต เทเสติฯ ยถาอุทฺทิฎฺฐมตฺตํ นิทฺทิสนวเสน ปกาเรหิ ญาเปโนฺต ปญฺญาเปติฯ ปกาเรหิ เอว ปติฎฺฐเปโนฺต ปฎฺฐเปติฯ ยถานิทฺทิฎฺฐํ ปฎินิเทฺทสวเสน วิวรติ วิภชติฯ วิวฎญฺหิ วิภตฺตญฺจ อตฺถํ เหตูทาหรณทสฺสเนหิ ปากฎํ กโรโนฺต อุตฺตานีกโรติฯ อุตฺตานีกโรโนฺต ตถา ปจฺจกฺขภูตํ กตฺวา นิคมนวเสน ปสฺสถาติ จาห

    Aparo nayo – ṭhitāva sā dhātūti yāyaṃ jarāmaraṇassa idappaccayatā ‘‘jātipaccayā jarāmaraṇa’’nti, esā dhātu esa sabhāvo. Tathāgatānaṃ uppādato pubbe uddhañca appaṭivijjhiyamāno, majjhe ca paṭivijjhiyamāno na tathāgatehi uppādito, atha kho sambhavantassa jarāmaraṇassa sabbakālaṃ jātipaccayato sambhavoti ṭhitāva sā dhātu, kevalaṃ pana sayambhuñāṇena abhisambujjhanato ‘‘ayaṃ dhammo tathāgatena abhisambuddho’’ti pavedanato ca tathāgato ‘‘dhammasāmī’’ti vuccati, na apubbassa uppādanato. Tena vuttaṃ ‘‘ṭhitāva sā dhātū’’ti. Sā eva ‘‘jātipaccayā jarāmaraṇa’’nti ettha vipallāsābhāvato evaṃ avabujjhamānassa etassa sabhāvassa, hetuno vā tatheva bhāvato ṭhitatāti dhammaṭṭhitatā, jāti vā jarāmaraṇassa uppādaṭṭhiti pavattaāyūhana-saṃyoga-palibodha-samudaya-hetupaccayaṭṭhitīti taduppādādibhāvenassā ṭhitatā ‘‘dhammaṭṭhitatā’’ti phalaṃ pati sāmatthiyato hetumeva vadati. Dhārīyati paccayehīti vā dhammo, tiṭṭhati tattha tadāyattavuttitāya phalanti ṭhiti, dhammassa ṭhiti dhammaṭṭhiti. Dhammoti vā kāraṇaṃ paccayabhāvena phalassa dhāraṇato, tassa ṭhiti sabhāvo, dhammato ca añño sabhāvo natthīti dhammaṭṭhiti, paccayo. Tenāha ‘‘paccayapariggahe paññā dhammaṭṭhitiñāṇa’’nti (paṭi. ma. mātikā 4). Dhammaṭṭhiti eva dhammaṭṭhitatā. Sā eva dhātu ‘‘jātipaccayā jarāmaraṇa’’nti imassa sabhāvassa, hetuno vā aññathattābhāvato, ‘‘na jātipaccayā jarāmaraṇa’’nti viññāyamānassa ca tabbhāvābhāvato niyāmatā vavatthitabhāvoti dhammaniyāmatā. Phalassa vā jarāmaraṇassa jātiyā sati sambhavo dhamme hetumhi ṭhitatāti dhammaṭṭhitatā, asati asambhavo dhammaniyāmatāti evaṃ phalena hetuṃ vibhāveti, taṃ ‘‘ṭhitāva sā dhātū’’tiādinā vuttaṃ. Imesaṃ jarāmaraṇādīnaṃ paccayatāsaṅkhātaṃ idappaccayataṃ abhisambujjhati paccakkhakaraṇena abhimukhaṃ bujjhati yāthāvato paṭivijjhati, tato eva abhisameti abhimukhaṃ samāgacchati, ādito kathento ācikkhati, uddisatīti attho. Tameva uddesaṃ pariyosāpento deseti. Yathāuddiṭṭhamattaṃ niddisanavasena pakārehi ñāpento paññāpeti. Pakārehi eva patiṭṭhapento paṭṭhapeti. Yathāniddiṭṭhaṃ paṭiniddesavasena vivarati vibhajati. Vivaṭañhi vibhattañca atthaṃ hetūdāharaṇadassanehi pākaṭaṃ karonto uttānīkaroti. Uttānīkaronto tathā paccakkhabhūtaṃ katvā nigamanavasena passathāti cāha.

    ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺติอาทีสูติ ชาติอาทีนํ ชรามรณปจฺจยภาเวสุฯ เตหิ เตหิ ปจฺจเยหีติ ยาวตเกหิ ปจฺจเยหิ ยํ ผลํ อุปฺปชฺชมานารหํ, อวิกเลหิ เตเหว ตสฺส อุปฺปตฺติ, น อูนาธิเกหีติฯ เตนาห ‘‘อนูนาธิเกเหวา’’ติฯ ยถา ตํ จกฺขุรูปาโลกมนสิกาเรหิ จกฺขุวิญฺญาณสฺส สมฺภโวติฯ เตน ตํตํผลนิปฺผาทเน ตสฺสา ปจฺจยสามคฺคิยา ตปฺปการตา ตถตาติ วุตฺตาติ ทเสฺสติฯ สามคฺคินฺติ สโมธานํ, สมวายนฺติ อโตฺถฯ อสมฺภวาภาวโตติ อนุปฺปชฺชนสฺส อภาวโตฯ ตถาวิธปจฺจยสามคฺคิยญฺหิ สติปิ ผลสฺส อนุปฺปชฺชเน ตสฺสาวิตถตา สิยาฯ อญฺญธมฺมปจฺจเยหีติ อญฺญสฺส ผลธมฺมสฺส ปจฺจเยหิฯ อญฺญธมฺมานุปฺปตฺติโตติ ตโต อญฺญสฺส ผลธมฺมสฺส อนุปฺปชฺชนโตฯ น หิ กทาจิ จกฺขุรูปาโลกมนสิกาเรหิ โสตวิญฺญาณสฺส สมฺภโว อตฺถิฯ ยทิ สิยา, ตสฺสา สามคฺคิยา อญฺญถตา นาม สิยา, น เจตํ อตฺถีติ ‘‘อนญฺญถตา’’ติ วุตฺตํฯ ปจฺจยโตติ ปจฺจยภาวโตฯ ปจฺจยสมูหโตติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ อิทปฺปจฺจยา เอว อิทปฺปจฺจยตาติ ตา-สเทฺทน ปทํ วฑฺฒิตํ ยถา ‘‘เทโวเยว เทวตา’’ติ, อิทปฺปจฺจยานํ สมูโห อิทปฺปจฺจยตาติ สมูหโตฺถ ตาสโทฺท ยถา ‘‘ชนานํ สมูโห ชนตา’’ติ อิมมตฺถํ สนฺธายาห ‘‘ลกฺขณํ ปเนตฺถ สทฺทสตฺถโต เวทิตพฺพ’’นฺติฯ

    Jātipaccayā jarāmaraṇantiādīsūti jātiādīnaṃ jarāmaraṇapaccayabhāvesu. Tehi tehi paccayehīti yāvatakehi paccayehi yaṃ phalaṃ uppajjamānārahaṃ, avikalehi teheva tassa uppatti, na ūnādhikehīti. Tenāha ‘‘anūnādhikehevā’’ti. Yathā taṃ cakkhurūpālokamanasikārehi cakkhuviññāṇassa sambhavoti. Tena taṃtaṃphalanipphādane tassā paccayasāmaggiyā tappakāratā tathatāti vuttāti dasseti. Sāmagginti samodhānaṃ, samavāyanti attho. Asambhavābhāvatoti anuppajjanassa abhāvato. Tathāvidhapaccayasāmaggiyañhi satipi phalassa anuppajjane tassāvitathatā siyā. Aññadhammapaccayehīti aññassa phaladhammassa paccayehi. Aññadhammānuppattitoti tato aññassa phaladhammassa anuppajjanato. Na hi kadāci cakkhurūpālokamanasikārehi sotaviññāṇassa sambhavo atthi. Yadi siyā, tassā sāmaggiyā aññathatā nāma siyā, na cetaṃ atthīti ‘‘anaññathatā’’ti vuttaṃ. Paccayatoti paccayabhāvato. Paccayasamūhatoti etthāpi eseva nayo. Idappaccayā eva idappaccayatāti -saddena padaṃ vaḍḍhitaṃ yathā ‘‘devoyeva devatā’’ti, idappaccayānaṃ samūho idappaccayatāti samūhattho saddo yathā ‘‘janānaṃ samūho janatā’’ti imamatthaṃ sandhāyāha ‘‘lakkhaṇaṃ panettha saddasatthato veditabba’’nti.

    น นิจฺจํ สสฺสตนฺติ อนิจฺจํฯ ชรามรณํ น อนิจฺจํ สงฺขารานํ วิการภาวโต อนิปฺผนฺนตฺตา, ตถาปิ ‘‘อนิจฺจ’’นฺติ ปริยาเยน วุตฺตํฯ เอส นโย สงฺขตาทีสุปิฯ สมาคนฺตฺวา กตํ สหิเตเหว ปจฺจเยหิ นิพฺพเตฺตตพฺพโต ยถาสภาวํ สเมจฺจ สมฺภุยฺย ปจฺจเยหิ กตนฺติ สงฺขตํ ฯ ปจฺจยารหํ ปจฺจยํ ปฎิจฺจ น วินา เตน สหิตสเมตเมว อุปฺปนฺนนฺติ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนํฯ เตนาห ‘‘ปจฺจเย นิสฺสาย อุปฺปนฺน’’นฺติฯ ขยสภาวนฺติ ภิชฺชนสภาวํฯ วิคจฺฉนกสภาวนฺติ สกภาวโต อปคจฺฉนกสภาวํฯ วิรชฺชนกสภาวนฺติ ปลุชฺชนกสภาวํฯ นิรุชฺฌนกสภาวนฺติ ขณภงฺควเสน ปภงฺคุสภาวํฯ วุตฺตนเยนาติ ชราย วุตฺตนเยนฯ ชนกปฺปจฺจยานํ กมฺมาทีนํฯ กิจฺจานุภาวกฺขเณติ เอตฺถ กิจฺจานุภาโว นาม ยถา ปวตฺตมาเน ปจฺจเย ตสฺส ผลํ อุปฺปชฺชติ, ตถา ปวตฺติ, เอวํ สนฺตสฺส ปวตฺตนกฺขเณฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยสฺมิํ ขเณ ปจฺจโย อตฺตโน ผลุปฺปาทนํ ปติ พฺยาวโฎ นาม โหติ, อิมสฺมิํ ขเณ เย ธมฺมา รูปาทโย อุปลพฺภนฺติ ตโต ปุเพฺพ, ปจฺฉา จ อนุปลพฺภมานา, เตสํ ตโต อุปฺปตฺติ นิทฺธารียติ, เอวํ ชาติยาปิ สา นิทฺธาเรตพฺพา ตํขณูปลทฺธโตติฯ ยทิ เอวํ นิปฺปริยายโตว ชาติยา กุโตจิ อุปฺปตฺติ สิทฺธิ, อถ กสฺมา ‘‘เอเกน ปริยาเยนา’’ติ วุตฺตนฺติ? ชายมานธมฺมานํ วิการภาเวน อุปลทฺธพฺพตฺตาฯ ยทิ นิปฺผนฺนธมฺมา วิย ชาติ อุปลเพฺภยฺย, นิปฺปริยายโตว ตสฺสา กุโตจิ อุปฺปตฺติ สิยา, น เจวํ อุปลพฺภติ, อถ โข อนิปฺผนฺนตฺตา วิการภาเวน อุปลพฺภติฯ ตสฺมา ‘‘เอเกน ปริยาเยเนตฺถ อนิจฺจาติอาทีนิ ยุชฺชนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ น ปน ชรามรเณ, ชนกปฺปจฺจยานํ กิจฺจานุภาวกฺขเณ ตสฺส อลพฺภนโตฯ เตเนว ‘‘เอตฺถ จ อนิจฺจนฺติ…เป.… อนิจฺจํ นาม ชาต’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Na niccaṃ sassatanti aniccaṃ. Jarāmaraṇaṃ na aniccaṃ saṅkhārānaṃ vikārabhāvato anipphannattā, tathāpi ‘‘anicca’’nti pariyāyena vuttaṃ. Esa nayo saṅkhatādīsupi. Samāgantvā kataṃ sahiteheva paccayehi nibbattetabbato yathāsabhāvaṃ samecca sambhuyya paccayehi katanti saṅkhataṃ. Paccayārahaṃ paccayaṃ paṭicca na vinā tena sahitasametameva uppannanti paṭiccasamuppannaṃ. Tenāha ‘‘paccaye nissāya uppanna’’nti. Khayasabhāvanti bhijjanasabhāvaṃ. Vigacchanakasabhāvanti sakabhāvato apagacchanakasabhāvaṃ. Virajjanakasabhāvanti palujjanakasabhāvaṃ. Nirujjhanakasabhāvanti khaṇabhaṅgavasena pabhaṅgusabhāvaṃ. Vuttanayenāti jarāya vuttanayena. Janakappaccayānaṃ kammādīnaṃ. Kiccānubhāvakkhaṇeti ettha kiccānubhāvo nāma yathā pavattamāne paccaye tassa phalaṃ uppajjati, tathā pavatti, evaṃ santassa pavattanakkhaṇe. Idaṃ vuttaṃ hoti – yasmiṃ khaṇe paccayo attano phaluppādanaṃ pati byāvaṭo nāma hoti, imasmiṃ khaṇe ye dhammā rūpādayo upalabbhanti tato pubbe, pacchā ca anupalabbhamānā, tesaṃ tato uppatti niddhārīyati, evaṃ jātiyāpi sā niddhāretabbā taṃkhaṇūpaladdhatoti. Yadi evaṃ nippariyāyatova jātiyā kutoci uppatti siddhi, atha kasmā ‘‘ekena pariyāyenā’’ti vuttanti? Jāyamānadhammānaṃ vikārabhāvena upaladdhabbattā. Yadi nipphannadhammā viya jāti upalabbheyya, nippariyāyatova tassā kutoci uppatti siyā, na cevaṃ upalabbhati, atha kho anipphannattā vikārabhāvena upalabbhati. Tasmā ‘‘ekena pariyāyenettha aniccātiādīni yujjantī’’ti vuttaṃ. Na pana jarāmaraṇe, janakappaccayānaṃ kiccānubhāvakkhaṇe tassa alabbhanato. Teneva ‘‘ettha ca aniccanti…pe… aniccaṃ nāma jāta’’nti vuttaṃ.

    สวิปสฺสนายาติ เอตฺถ สห-สโทฺท อปฺปธานภาวทีปโน ‘‘สมกฺขิกํ, สมกส’’นฺติอาทีสุ วิยฯ อปฺปธานภูตา หิ วิปสฺสนา, ยถาภูตทสฺสนมคฺคปญฺญา ปชานาติฯ ‘‘ปุริมํ อนฺต’’นฺติ วุจฺจมาเน ปจฺจุปฺปนฺนภาวสฺสปิ คหณํ สิยาติ ‘‘ปุริมํ อนฺตํ อตีต’’นฺติ วุตฺตํฯ วิชฺชมานตญฺจ อวิชฺชมานตญฺจาติ สสฺสตาสงฺกํ นิสฺสาย ‘‘อโหสิํ นุ โข อหมตีตมทฺธาน’’นฺติ อตีเต อตฺตโน วิชฺชมานตํ, อธิจฺจสมุปฺปตฺติอาสงฺกํ นิสฺสาย ‘‘ยโต ปภุติ อหํ, ตโต ปุเพฺพ น นุ โข อโหสิ’’นฺติ อตีเต อตฺตโน อวิชฺชมานตญฺจ กงฺขติฯ กสฺมา? วิจิกิจฺฉาย อาการทฺวยาวลมฺพนโตฯ ตสฺสา ปน อตีตวตฺถุตาย คหิตตฺตา สสฺสตาธิจฺจสมุปฺปตฺติอาการนิสฺสิตตา ทสฺสิตา เอวฯ อาสปฺปนปริสปฺปนปวตฺติกํ กตฺถจิปิ อปฺปฎิวตฺติเหตุภูตํ วิจิกิจฺฉํ กสฺมา อุปฺปาเทตีติ น วิจาเรตพฺพเมตนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘กิํการณนฺติ น วตฺตพฺพ’’นฺติ ฯ การณํ วา วิจิกิจฺฉาย อโยนิโสมนสิกาโร, ตสฺส อนฺธพาลปุถุชฺชนภาโว, อริยานํ อทสฺสาวิตา จาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ชาติลิงฺคุปปตฺติโยติ ขตฺติยพฺราหฺมณาทิชาติํ, คหฎฺฐปพฺพชิตาทิลิงฺคํ, เทวมนุสฺสาทิอุปปตฺติญฺจฯ นิสฺสายาติ อุปาทายฯ ตสฺมิํ กาเล ยํ สนฺตานํ มชฺฌิมํ ปมาณํ, เตน ยุโตฺต ปมาณิโก, ตทภาวโต อธิกภาวโต วา ‘‘อปฺปมาณิโก’’ติ เวทิตโพฺพฯ เกจีติ สารสมาสาจริยาฯ เต หิ ‘‘กถํ นุ โข’’ติ อิสฺสเรน วา พฺรหฺมุนา วา ปุพฺพกเตน วา อเหตุโต วา นิพฺพโตฺตติ จิเนฺตตีติ วทนฺติฯ อเหตุโต นิพฺพตฺติกงฺขาปิ หิ เหตุปรามสนเมวาติฯ ปรมฺปรนฺติ ปุพฺพาปรปฺปวตฺติํฯ อทฺธานนฺติ กาลาธิวจนํ, ตญฺจ ภุมฺมเตฺถ อุปโยควจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ วิชฺชมานตญฺจ อวิชฺชมานตญฺจาติ สสฺสตาสงฺกํ นิสฺสาย ‘‘ภวิสฺสามิ นุ โข อหํ อนาคตมทฺธาน’’นฺติ อนาคเต อตฺตโน วิชฺชมานตํ, อุเจฺฉทาสงฺกํ นิสฺสาย ‘‘ยสฺมิญฺจ อตฺตภาเว อุเจฺฉทนกงฺขา, ตโต ปรํ นุ โข ภวิสฺสามี’’ติ อนาคเต อตฺตโน อวิชฺชมานตญฺจ กงฺขตีติ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน โยเชตพฺพํฯ

    Savipassanāyāti ettha saha-saddo appadhānabhāvadīpano ‘‘samakkhikaṃ, samakasa’’ntiādīsu viya. Appadhānabhūtā hi vipassanā, yathābhūtadassanamaggapaññā pajānāti. ‘‘Purimaṃ anta’’nti vuccamāne paccuppannabhāvassapi gahaṇaṃ siyāti ‘‘purimaṃ antaṃ atīta’’nti vuttaṃ. Vijjamānatañca avijjamānatañcāti sassatāsaṅkaṃ nissāya ‘‘ahosiṃ nu kho ahamatītamaddhāna’’nti atīte attano vijjamānataṃ, adhiccasamuppattiāsaṅkaṃ nissāya ‘‘yato pabhuti ahaṃ, tato pubbe na nu kho ahosi’’nti atīte attano avijjamānatañca kaṅkhati. Kasmā? Vicikicchāya ākāradvayāvalambanato. Tassā pana atītavatthutāya gahitattā sassatādhiccasamuppattiākāranissitatā dassitā eva. Āsappanaparisappanapavattikaṃ katthacipi appaṭivattihetubhūtaṃ vicikicchaṃ kasmā uppādetīti na vicāretabbametanti dassento āha ‘‘kiṃkāraṇanti na vattabba’’nti . Kāraṇaṃ vā vicikicchāya ayonisomanasikāro, tassa andhabālaputhujjanabhāvo, ariyānaṃ adassāvitā cāti daṭṭhabbaṃ. Jātiliṅgupapattiyoti khattiyabrāhmaṇādijātiṃ, gahaṭṭhapabbajitādiliṅgaṃ, devamanussādiupapattiñca. Nissāyāti upādāya. Tasmiṃ kāle yaṃ santānaṃ majjhimaṃ pamāṇaṃ, tena yutto pamāṇiko, tadabhāvato adhikabhāvato vā ‘‘appamāṇiko’’ti veditabbo. Kecīti sārasamāsācariyā. Te hi ‘‘kathaṃ nu kho’’ti issarena vā brahmunā vā pubbakatena vā ahetuto vā nibbattoti cintetīti vadanti. Ahetuto nibbattikaṅkhāpi hi hetuparāmasanamevāti. Paramparanti pubbāparappavattiṃ. Addhānanti kālādhivacanaṃ, tañca bhummatthe upayogavacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Vijjamānatañca avijjamānatañcāti sassatāsaṅkaṃ nissāya ‘‘bhavissāmi nu kho ahaṃ anāgatamaddhāna’’nti anāgate attano vijjamānataṃ, ucchedāsaṅkaṃ nissāya ‘‘yasmiñca attabhāve ucchedanakaṅkhā, tato paraṃ nu kho bhavissāmī’’ti anāgate attano avijjamānatañca kaṅkhatīti heṭṭhā vuttanayena yojetabbaṃ.

    ปจฺจุปฺปนฺนํ อทฺธานนฺติ อทฺธาปจฺจุปฺปนฺนสฺส อิธาธิเปฺปตตฺตา ‘‘ปฎิสนฺธิมาทิํ กตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘อิทํ กถํ, อิทํ กถ’’นฺติ ปวตฺตนโต กถํกถา, วิจิกิจฺฉา, สา อสฺส อตฺถีติ กถํกถีฯ เตนาห ‘‘วิจิกิจฺฉี’’ติฯ กา เอตฺถ จินฺตา? อุมฺมตฺตโก วิย พาลปุถุชฺชโนติ ปฎิกเจฺจว วุตฺตนฺติ อธิปฺปาโยฯ ตํ มหามาตาย ปุตฺตํฯ มุเณฺฑสุนฺติ มุเณฺฑน อนิจฺฉนฺตํ ชาครณกาเล น สกฺกาติ สุตฺตํ มุเณฺฑสุํ กุลธมฺมวเสน ยถา เอกเจฺจ กุลตาปสาฯ ราชภเยนาติ จ วทนฺติฯ สีติภูตนฺติ อิทํ มธุรกภาวปฺปตฺติยา การณวจนํฯ ‘‘เสตภูต’’นฺติปิ ปาโฐ, อุทเก จิรฎฺฐาเนน เสตภาวํ ปตฺตนฺติ อโตฺถฯ

    Paccuppannaṃ addhānanti addhāpaccuppannassa idhādhippetattā ‘‘paṭisandhimādiṃ katvā’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Idaṃ kathaṃ, idaṃ katha’’nti pavattanato kathaṃkathā, vicikicchā, sā assa atthīti kathaṃkathī. Tenāha ‘‘vicikicchī’’ti. Kā ettha cintā? Ummattako viya bālaputhujjanoti paṭikacceva vuttanti adhippāyo. Taṃ mahāmātāya puttaṃ. Muṇḍesunti muṇḍena anicchantaṃ jāgaraṇakāle na sakkāti suttaṃ muṇḍesuṃ kuladhammavasena yathā ekacce kulatāpasā. Rājabhayenāti ca vadanti. Sītibhūtanti idaṃ madhurakabhāvappattiyā kāraṇavacanaṃ. ‘‘Setabhūta’’ntipi pāṭho, udake ciraṭṭhānena setabhāvaṃ pattanti attho.

    อตฺตโน ขตฺติยภาวํ กงฺขติ กโณฺณ วิย สูตปุตฺตสญฺญี, สูตปุตฺตสญฺญีติ สูริยเทวปุตฺตสฺส ปุตฺตสญฺญีฯ ชาติยา วิภาวิยมานาย ‘‘อห’’นฺติ ตสฺส อตฺตโน ปรามสนํ สนฺธายาห ‘‘เอวมฺปิ สิยา กงฺขา’’ติฯ มนุสฺสาปิ จ ราชาโน วิยาติ มนุสฺสาปิ จ เกจิ เอกเจฺจ ราชาโน วิยาติ อธิปฺปาโยฯ วุตฺตนยเมว ‘‘สณฺฐานาการํ นิสฺสายา’’ติอาทินาฯ เอตฺถาติ ‘‘กถํ นุ โขสฺมี’’ติ ปเทฯ อพฺภนฺตเร ชีโวติ ปรปริกปฺปิตํ อนฺตรตฺตานํ วทติฯ โสฬสํสาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน สรีรปริมาณองฺคุฎฺฐ-ยวปรมาณุปริมาณตาทิเก สงฺคณฺหาติฯ สตฺตปญฺญตฺติ ชีววิสยาติ ทิฎฺฐิคติกานํ มติมตฺตํ, ปรมตฺถโต ปน สา อตฺตภาววิสยาวาติ อาห ‘‘อตฺตภาวสฺส อาคติคติฎฺฐาน’’นฺติฯ ยตายํ อาคโต, ยตฺถ จ คมิสฺสติ, ตํ ฐานนฺติ อโตฺถฯ โสตาปโนฺน อธิเปฺปโต วิจิกิจฺฉาปหานสฺส ทิฎฺฐตฺตาฯ อิตเรปิ ตโยติ สกทาคามีอาทโย อวาริตา เอวฯ ‘‘อยญฺจ…เป.… สุทิฎฺฐา’’ติ นิปฺปเทสโต สจฺจสํปฎิเวธสฺส โชติตตฺตาฯ

    Attano khattiyabhāvaṃ kaṅkhati kaṇṇo viya sūtaputtasaññī, sūtaputtasaññīti sūriyadevaputtassa puttasaññī. Jātiyā vibhāviyamānāya ‘‘aha’’nti tassa attano parāmasanaṃ sandhāyāha ‘‘evampi siyā kaṅkhā’’ti. Manussāpi ca rājāno viyāti manussāpi ca keci ekacce rājāno viyāti adhippāyo. Vuttanayameva ‘‘saṇṭhānākāraṃ nissāyā’’tiādinā. Etthāti ‘‘kathaṃ nu khosmī’’ti pade. Abbhantare jīvoti paraparikappitaṃ antarattānaṃ vadati. Soḷasaṃsādīnanti ādi-saddena sarīraparimāṇaaṅguṭṭha-yavaparamāṇuparimāṇatādike saṅgaṇhāti. Sattapaññatti jīvavisayāti diṭṭhigatikānaṃ matimattaṃ, paramatthato pana sā attabhāvavisayāvāti āha ‘‘attabhāvassa āgatigatiṭṭhāna’’nti. Yatāyaṃ āgato, yattha ca gamissati, taṃ ṭhānanti attho. Sotāpanno adhippeto vicikicchāpahānassa diṭṭhattā. Itarepi tayoti sakadāgāmīādayo avāritā eva. ‘‘Ayañca…pe… sudiṭṭhā’’ti nippadesato saccasaṃpaṭivedhassa jotitattā.

    ปจฺจยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paccayasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.

    อาหารวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Āhāravaggavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑๐. ปจฺจยสุตฺตํ • 10. Paccayasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. ปจฺจยสุตฺตวณฺณนา • 10. Paccayasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact