Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อปทาน-อฎฺฐกถา • Apadāna-aṭṭhakathā

    ๒.ปเจฺจกพุทฺธอปทานวณฺณนา

    2.Paccekabuddhaapadānavaṇṇanā

    ตโต อนนฺตรํ อปทานํ สงฺคายโนฺต ‘‘ปเจฺจกพุทฺธาปทานํ, อาวุโส อานนฺท, ภควตา กตฺถ ปญฺญตฺต’’นฺติ ปุโฎฺฐ ‘‘อถ ปเจฺจกพุทฺธาปทานํ สุณาถา’’ติ อาหฯ เตสํ อปทานโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ

    Tato anantaraṃ apadānaṃ saṅgāyanto ‘‘paccekabuddhāpadānaṃ, āvuso ānanda, bhagavatā kattha paññatta’’nti puṭṭho ‘‘atha paccekabuddhāpadānaṃ suṇāthā’’ti āha. Tesaṃ apadānattho heṭṭhā vuttoyeva.

    ๘๓. ‘‘สุณาถา’’ติ วุตฺตปทํ อุปฺปตฺตินิพฺพตฺติวเสน ปกาเสโนฺต ‘‘ตถาคตํ เชตวเน วสนฺต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เชตกุมารสฺส นามวเสน ตถาสญฺญิเต วิหาเร จตูหิ อิริยาปถวิหาเรหิ ทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเรหิ วา วสนฺตํ วิหรนฺตํ ยถา ปุริมกา วิปสฺสิอาทโย พุทฺธา สมตฺติํสปารมิโย ปูเรตฺวา อาคตา, ตถา อมฺหากมฺปิ ภควา อาคโตติ ตถาคโตฯ ตํ ตถาคตํ เชตวเน วสนฺตนฺติ สมฺพโนฺธฯ เวเทหมุนีติ เวเทหรเฎฺฐ ชาตา เวเทหี, เวเทหิยา ปุโตฺต เวเทหิปุโตฺตฯ โมนํ วุจฺจติ ญาณํ, เตน อิโต คโต ปวโตฺตติ มุนิฯ เวเทหิปุโตฺต จ โส มุนิ เจติ ‘‘เวเทหิปุตฺตมุนี’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘วณฺณาคโม’’ติอาทินา นิรุตฺตินเยน อิ-การสฺส อตฺตํ ปุตฺต-สทฺทสฺส จ โลปํ กตฺวา ‘‘เวเทหมุนี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ สติมนฺตานํ ธิติมนฺตานํ คติมนฺตานํ พหุสฺสุตานํ อุปฎฺฐากานํ ยทิทํ อานโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙-๒๒๓) เอตทเคฺค ฐปิโต อายสฺมา อานโนฺท นตโงฺค นมนกายโงฺค อญฺชลิโก หุตฺวา ‘‘ภเนฺต, ปเจฺจกพุทฺธา นาม กีทิสา โหนฺตี’’ติ อปุจฺฉีติ สมฺพโนฺธฯ เต ปเจฺจกพุทฺธา เกหิ เหตุภิ เกหิ การเณหิ ภวนฺติ อุปฺปชฺชนฺติฯ วีราติ ภควนฺตํ อาลปติฯ

    83. ‘‘Suṇāthā’’ti vuttapadaṃ uppattinibbattivasena pakāsento ‘‘tathāgataṃ jetavane vasanta’’ntiādimāha. Tattha jetakumārassa nāmavasena tathāsaññite vihāre catūhi iriyāpathavihārehi dibbabrahmaariyavihārehi vā vasantaṃ viharantaṃ yathā purimakā vipassiādayo buddhā samattiṃsapāramiyo pūretvā āgatā, tathā amhākampi bhagavā āgatoti tathāgato. Taṃ tathāgataṃ jetavane vasantanti sambandho. Vedehamunīti vedeharaṭṭhe jātā vedehī, vedehiyā putto vedehiputto. Monaṃ vuccati ñāṇaṃ, tena ito gato pavattoti muni. Vedehiputto ca so muni ceti ‘‘vedehiputtamunī’’ti vattabbe ‘‘vaṇṇāgamo’’tiādinā niruttinayena i-kārassa attaṃ putta-saddassa ca lopaṃ katvā ‘‘vedehamunī’’ti vuttaṃ. ‘‘Etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ satimantānaṃ dhitimantānaṃ gatimantānaṃ bahussutānaṃ upaṭṭhākānaṃ yadidaṃ ānando’’ti (a. ni. 1.219-223) etadagge ṭhapito āyasmā ānando nataṅgo namanakāyaṅgo añjaliko hutvā ‘‘bhante, paccekabuddhā nāma kīdisā hontī’’ti apucchīti sambandho. Te paccekabuddhā kehi hetubhi kehi kāraṇehi bhavanti uppajjanti. Vīrāti bhagavantaṃ ālapati.

    ๘๔-๘๕. ตโต ปรํ วิสฺสชฺชิตาการํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตทาห สพฺพญฺญุวโร มเหสี’’ติอาทิมาหฯ สพฺพํ อตีตาทิเภทํ หตฺถามลกํ วิย ชานาตีติ สพฺพญฺญู, สพฺพญฺญู จ โส วโร อุตฺตโม เจติ สพฺพญฺญุวโรฯ มหนฺตํ สีลกฺขนฺธํ, สมาธิกฺขนฺธํ, ปญฺญากฺขนฺธํ, วิมุตฺติกฺขนฺธํ, มหนฺตํ วิมุตฺติญาณทสฺสนกฺขนฺธํ เอสติ คเวสตีติ มเหสิฯ อานนฺทภทฺทํ มธุเรน สเรน ตทา ตสฺมิํ ปุจฺฉิตกาเล อาห กเถสีติ สมฺพโนฺธฯ โภ อานนฺท, เย ปเจฺจกพุทฺธา ปุพฺพพุเทฺธสุ ปุเพฺพสุ อตีตพุเทฺธสุ กตาธิการา กตปุญฺญสมฺภารา ชินสาสเนสุ อลทฺธโมกฺขา อปฺปตฺตนิพฺพานาฯ เต สเพฺพ ปเจฺจกพุทฺธา ธีรา อิธ อิมสฺมิํ โลเก สํเวคมุเขน เอกปุคฺคลํ ปธานํ กตฺวา ปเจฺจกพุทฺธา ชาตาติ อโตฺถฯ สุติกฺขปญฺญา สุฎฺฐุ ติกฺขปญฺญาฯ วินาปิ พุเทฺธหิ พุทฺธานํ โอวาทานุสาสนีหิ รหิตา อปิฯ ปริตฺตเกนปิ อปฺปมตฺตเกนปิ อารมฺมเณน ปเจฺจกโพธิํ ปฎิเอกฺกํ โพธิํ สมฺมาสมฺพุทฺธานนฺตรํ โพธิํ อนุปาปุณนฺติ ปฎิวิชฺฌนฺติฯ

    84-85. Tato paraṃ vissajjitākāraṃ dassento ‘‘tadāha sabbaññuvaro mahesī’’tiādimāha. Sabbaṃ atītādibhedaṃ hatthāmalakaṃ viya jānātīti sabbaññū, sabbaññū ca so varo uttamo ceti sabbaññuvaro. Mahantaṃ sīlakkhandhaṃ, samādhikkhandhaṃ, paññākkhandhaṃ, vimuttikkhandhaṃ, mahantaṃ vimuttiñāṇadassanakkhandhaṃ esati gavesatīti mahesi. Ānandabhaddaṃ madhurena sarena tadā tasmiṃ pucchitakāle āha kathesīti sambandho. Bho ānanda, ye paccekabuddhā pubbabuddhesu pubbesu atītabuddhesu katādhikārā katapuññasambhārā jinasāsanesu aladdhamokkhā appattanibbānā. Te sabbe paccekabuddhā dhīrā idha imasmiṃ loke saṃvegamukhena ekapuggalaṃ padhānaṃ katvā paccekabuddhā jātāti attho. Sutikkhapaññā suṭṭhu tikkhapaññā. Vināpi buddhehi buddhānaṃ ovādānusāsanīhi rahitā api. Parittakenapi appamattakenapi ārammaṇenapaccekabodhiṃ paṭiekkaṃ bodhiṃ sammāsambuddhānantaraṃ bodhiṃ anupāpuṇanti paṭivijjhanti.

    ๘๖. สพฺพมฺหิ โลกมฺหิ สกลสฺมิํ โลกตฺตเย มมํ ฐเปตฺวา มํ วิหาย ปเจกพุเทฺธหิ สโมว สทิโส เอว นตฺถิ, เตสํ มหามุนีนํ ปเจฺจกพุทฺธานํ อิมํ วณฺณํ อิมํ คุณํ ปเทสมตฺตํ สเงฺขปมตฺตํ อหํ ตุมฺหากํ สาธุ สาธุกํ วกฺขามิ กเถสฺสามีติ อโตฺถฯ

    86.Sabbamhilokamhi sakalasmiṃ lokattaye mamaṃ ṭhapetvā maṃ vihāya pacekabuddhehi samova sadiso eva natthi, tesaṃ mahāmunīnaṃ paccekabuddhānaṃ imaṃ vaṇṇaṃ imaṃ guṇaṃ padesamattaṃ saṅkhepamattaṃ ahaṃ tumhākaṃ sādhu sādhukaṃ vakkhāmi kathessāmīti attho.

    ๘๗. อนาจริยกา หุตฺวา สยเมว พุทฺธานํ อตฺตนาว ปฎิวิทฺธานํ อิสีนํ อนฺตเร มหาอิสีนํ มธูวขุทฺทํ ขุทฺทกมธุปฎลํ อิว สาธูนิ มธุรานิ วากฺยานิ อุทานวจนานิ อนุตฺตรํ อุตฺตรวิรหิตํ เภสชํ โอสธํ นิพฺพานํ ปตฺถยนฺตา อิจฺฉนฺตา สเพฺพ ตุเมฺห สุปสนฺนจิตฺตา สุปฺปสนฺนมนา สุณาถ มนสิ กโรถาติ อโตฺถฯ

    87. Anācariyakā hutvā sayameva buddhānaṃ attanāva paṭividdhānaṃ isīnaṃ antare mahāisīnaṃ madhūvakhuddaṃ khuddakamadhupaṭalaṃ iva sādhūni madhurāni vākyāni udānavacanāni anuttaraṃ uttaravirahitaṃ bhesajaṃ osadhaṃ nibbānaṃ patthayantā icchantā sabbe tumhe supasannacittā suppasannamanā suṇātha manasi karothāti attho.

    ๘๘-๘๙. ปเจฺจกพุทฺธานํ สมาคตานนฺติ ราสิภูตานํ อุปฺปนฺนานํ ปเจฺจกพุทฺธานํฯ อริโฎฺฐ, อุปริโฎฺฐ, ตครสิขิ, ยสสฺสี, สุทสฺสโน, ปิยทสฺสี, คนฺธาโร, ปิโณฺฑโล, อุปาสโภ, นิโถ, ตโถ, สุตวา, ภาวิตโตฺต, สุโมฺภ, สุโภ, เมถุโล, อฎฺฐโม, สุเมโธ, อนีโฆ, สุทาโฐ, หิงฺคุ, หิโงฺค, เทฺวชาลิโน, อฎฺฐโก, โกสโล, สุพาหุ, อุปเนมิโส, เนมิโส, สนฺตจิโตฺต, สโจฺจ, ตโถ, วิรโช, ปณฺฑิโต, กาโล, อุปกาโล, วิชิโต, ชิโต, อโงฺค, ปโงฺค, คุตฺติชฺชิโต, ปสฺสี, ชหี, อุปธิํ, ทุกฺขมูลํ, อปราชิโต, สรภโงฺค, โลมหํโส , อุจฺจงฺคมาโย, อสิโต, อนาสโว, มโนมโย, มานจฺฉิโท, พนฺธุมา, ตทาธิมุโตฺต, วิมโล, เกตุมา, โกตุมฺพรโงฺค, มาตโงฺค, อริโย, อจฺจุโต, อจฺจุตคามิ, พฺยามโก, สุมงฺคโล, ทิพฺพิโล จาติอาทีนํ ปเจฺจกพุทฺธสตานํ ยานิ อปทานานิ ปรมฺปรํ ปเจฺจกํ พฺยากรณานิ โย จ อาทีนโว ยญฺจ วิราควตฺถุํ อนลฺลียนการณํ ยถา จ เยน การเณน โพธิํ อนุปาปุณิํสุ จตุมคฺคญาณํ ปจฺจกฺขํ กริํสุฯ สราควตฺถุสูติ สุฎฺฐุ อลฺลียิตพฺพวตฺถูสุ วตฺถุกามกิเลสกาเมสุ วิราคสญฺญี วิรตฺตสญฺญวโนฺต รตฺตมฺหิ โลกมฺหิ อลฺลียนสภาวโลเก วิรตจิตฺตา อนลฺลียนมนา หิตฺวา ปปเญฺจติ ราโค ปปญฺจํ โทโส ปปญฺจํ สพฺพกิเลสา ปปญฺจาติ ปปญฺจสงฺขาเต กิเลเส หิตฺวา ชิย ผนฺทิตานีติ ผนฺทิตานิ ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิคตานิ ชินิตฺวา ตเถว เตน การเณน เอวํ โพธิํ อนุปาปุณิํสุ ปเจฺจกโพธิญาณํ ปจฺจกฺขํ กริํสูติ อโตฺถฯ

    88-89.Paccekabuddhānaṃ samāgatānanti rāsibhūtānaṃ uppannānaṃ paccekabuddhānaṃ. Ariṭṭho, upariṭṭho, tagarasikhi, yasassī, sudassano, piyadassī, gandhāro, piṇḍolo, upāsabho, nitho, tatho, sutavā, bhāvitatto, sumbho, subho, methulo, aṭṭhamo, sumedho, anīgho, sudāṭho, hiṅgu, hiṅgo, dvejālino, aṭṭhako, kosalo, subāhu, upanemiso, nemiso, santacitto, sacco, tatho, virajo, paṇḍito, kālo, upakālo, vijito, jito, aṅgo, paṅgo, guttijjito, passī, jahī, upadhiṃ, dukkhamūlaṃ, aparājito, sarabhaṅgo, lomahaṃso , uccaṅgamāyo, asito, anāsavo, manomayo, mānacchido, bandhumā, tadādhimutto, vimalo, ketumā, kotumbaraṅgo, mātaṅgo, ariyo, accuto, accutagāmi, byāmako, sumaṅgalo, dibbilo cātiādīnaṃ paccekabuddhasatānaṃ yāni apadānāni paramparaṃ paccekaṃ byākaraṇāni yo ca ādīnavo yañca virāgavatthuṃ anallīyanakāraṇaṃ yathā ca yena kāraṇena bodhiṃ anupāpuṇiṃsu catumaggañāṇaṃ paccakkhaṃ kariṃsu. Sarāgavatthusūti suṭṭhu allīyitabbavatthūsu vatthukāmakilesakāmesu virāgasaññī virattasaññavanto rattamhi lokamhi allīyanasabhāvaloke viratacittā anallīyanamanā hitvā papañceti rāgo papañcaṃ doso papañcaṃ sabbakilesā papañcāti papañcasaṅkhāte kilese hitvā jiya phanditānīti phanditāni dvāsaṭṭhi diṭṭhigatāni jinitvā tatheva tena kāraṇena evaṃ bodhiṃ anupāpuṇiṃsu paccekabodhiñāṇaṃ paccakkhaṃ kariṃsūti attho.

    ๙๐-๙๑. สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑนฺติ ตชฺชนผาลนวธพนฺธนํ นิธาย ฐเปตฺวา เตสํ สพฺพสตฺตานํ อนฺตเร อญฺญตรํ กญฺจิ เอกมฺปิ สตฺตํ อวิเหฐยํ อวิเหฐยโนฺต อทุกฺขาเปโนฺต เมเตฺตน จิเตฺตน ‘‘สเพฺพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตู’’ติ เมตฺตาสหคเตน เจตสา หิตานุกมฺปี หิเตน อนุกมฺปนสภาโวฯ อถ วา สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑนฺติ สเพฺพสูติ สเพฺพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ อเสสํ นิเสฺสสํ ปริยาทิยนวจนเมตํฯ ภูเตสูติ ภูตา วุจฺจนฺติ ตสา จ ถาวรา จฯ เยสํ ตสิณา ตณฺหา อปฺปหีนา, เยสญฺจ ภยเภรวา อปฺปหีนา, เต ตสาฯ กิํ การณา วุจฺจนฺติ ตสา? ตสนฺติ อุตฺตสนฺติ ปริตสนฺติ ภายนฺติ สนฺตาสํ อาปชฺชนฺติ, ตํ การณา วุจฺจนฺติ ตสาฯ เยสํ ตสิณา ตณฺหา ปหีนา, เยสญฺจ ภยเภรวา ปหีนา, เต ถาวราฯ กิํ การณา วุจฺจนฺติ ถาวรา? ถิรนฺติ น ตสนฺติ น อุตฺตสนฺติ น ปริตสนฺติ น ภายนฺติ น สนฺตาสํ อาปชฺชนฺติ, ตํ การณา วุจฺจนฺติ ถาวราฯ

    90-91.Sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍanti tajjanaphālanavadhabandhanaṃ nidhāya ṭhapetvā tesaṃ sabbasattānaṃ antare aññataraṃ kañci ekampi sattaṃ aviheṭhayaṃ aviheṭhayanto adukkhāpento mettena cittena ‘‘sabbe sattā sukhitā hontū’’ti mettāsahagatena cetasā hitānukampī hitena anukampanasabhāvo. Atha vā sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍanti sabbesūti sabbena sabbaṃ sabbathā sabbaṃ asesaṃ nissesaṃ pariyādiyanavacanametaṃ. Bhūtesūti bhūtā vuccanti tasā ca thāvarā ca. Yesaṃ tasiṇā taṇhā appahīnā, yesañca bhayabheravā appahīnā, te tasā. Kiṃ kāraṇā vuccanti tasā? Tasanti uttasanti paritasanti bhāyanti santāsaṃ āpajjanti, taṃ kāraṇā vuccanti tasā. Yesaṃ tasiṇā taṇhā pahīnā, yesañca bhayabheravā pahīnā, te thāvarā. Kiṃ kāraṇā vuccanti thāvarā? Thiranti na tasanti na uttasanti na paritasanti na bhāyanti na santāsaṃ āpajjanti, taṃ kāraṇā vuccanti thāvarā.

    ตโย ทณฺฑา – กายทโณฺฑ, วจีทโณฺฑ, มโนทโณฺฑติฯ ติวิธํ กายทุจฺจริตํ กายทโณฺฑ, จตุพฺพิธํ วจีทุจฺจริตํ วจีทโณฺฑ, ติวิธํ มโนทุจฺจริตํ มโนทโณฺฑฯ สเพฺพสุ สกเลสุ ภูเตสุ สเตฺตสุ ตํ ติวิธํ ทณฺฑํ นิธาย นิทหิตฺวา โอโรปยิตฺวา สโมโรปยิตฺวา นิกฺขิปิตฺวา ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา หิํสนตฺถํ อคเหตฺวาติ สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํฯ อวิเหฐยํ อญฺญตรมฺปิ เตสนฺติ เอกเมกมฺปิ สตฺตํ ปาณินา วา เลฑฺฑุนา วา ทเณฺฑน วา สเตฺถน วา อนฺทุยา วา รชฺชุยา วา อวิเหฐยโนฺต, สเพฺพปิ สเตฺต ปาณินา วา เลฑฺฑุนา วา ทเณฺฑน วา สเตฺถน วา อนฺทุยา วา รชฺชุยา วา อวิเหฐยํ อวิเหฐยโนฺต อญฺญตรมฺปิ เตสํฯ น ปุตฺตมิเจฺฉยฺย กุโต สหายนฺติ นาติ ปฎิเกฺขโปฯ ปุตฺตนฺติ จตฺตาโร ปุตฺตา อตฺรโช ปุโตฺต, เขตฺตโช, ทินฺนโก, อเนฺตวาสิโก ปุโตฺตฯ สหายนฺติ สหาโย วุจฺจติ เยน สห อาคมนํ ผาสุ, คมนํ ผาสุ, ฐานํ ผาสุ, นิสชฺชา ผาสุ, อาลปนํ ผาสุ, สลฺลปนํ ผาสุ, สมุลฺลปนํ ผาสุฯ น ปุตฺตมิเจฺฉยฺย กุโต สหายนฺติ ปุตฺตมฺปิ น อิเจฺฉยฺย น สาทิเยยฺย น ปเตฺถยฺย น ปิหเยยฺย นาภิชเปฺปยฺย, กุโต มิตฺตํ วา สนฺทิฎฺฐํ วา สมฺภตฺตํ วา สหายํ วา อิเจฺฉยฺย สาทิเยยฺย ปเตฺถยฺย ปิหเยยฺย อภิชเปฺปยฺยาติ น ปุตฺตมิเจฺฉยฺย กุโต สหายํฯ เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปติ โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ ปพฺพชฺชาสงฺขาเตน เอโก, อทุติยเฎฺฐน เอโก, ตณฺหาย ปหานเฎฺฐน เอโก, เอกนฺตวีตราโคติ เอโก, เอกนฺตวีตโทโสติ เอโก, เอกนฺตวีตโมโหติ เอโก, เอกนฺตนิกฺกิเลโสติ เอโก, เอกายนมคฺคํ คโตติ เอโก, เอโก อนุตฺตรํ ปเจฺจกสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติ เอโกฯ

    Tayo daṇḍā – kāyadaṇḍo, vacīdaṇḍo, manodaṇḍoti. Tividhaṃ kāyaduccaritaṃ kāyadaṇḍo, catubbidhaṃ vacīduccaritaṃ vacīdaṇḍo, tividhaṃ manoduccaritaṃ manodaṇḍo. Sabbesu sakalesu bhūtesu sattesu taṃ tividhaṃ daṇḍaṃ nidhāya nidahitvā oropayitvā samoropayitvā nikkhipitvā paṭippassambhetvā hiṃsanatthaṃ agahetvāti sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍaṃ. Aviheṭhayaṃ aññatarampi tesanti ekamekampi sattaṃ pāṇinā vā leḍḍunā vā daṇḍena vā satthena vā anduyā vā rajjuyā vā aviheṭhayanto, sabbepi satte pāṇinā vā leḍḍunā vā daṇḍena vā satthena vā anduyā vā rajjuyā vā aviheṭhayaṃ aviheṭhayanto aññatarampi tesaṃ. Na puttamiccheyya kuto sahāyanti ti paṭikkhepo. Puttanti cattāro puttā atrajo putto, khettajo, dinnako, antevāsiko putto. Sahāyanti sahāyo vuccati yena saha āgamanaṃ phāsu, gamanaṃ phāsu, ṭhānaṃ phāsu, nisajjā phāsu, ālapanaṃ phāsu, sallapanaṃ phāsu, samullapanaṃ phāsu. Na puttamiccheyya kuto sahāyanti puttampi na iccheyya na sādiyeyya na pattheyya na pihayeyya nābhijappeyya, kuto mittaṃ vā sandiṭṭhaṃ vā sambhattaṃ vā sahāyaṃ vā iccheyya sādiyeyya pattheyya pihayeyya abhijappeyyāti na puttamiccheyya kuto sahāyaṃ. Eko care khaggavisāṇakappoti so paccekasambuddho pabbajjāsaṅkhātena eko, adutiyaṭṭhena eko, taṇhāya pahānaṭṭhena eko, ekantavītarāgoti eko, ekantavītadosoti eko, ekantavītamohoti eko, ekantanikkilesoti eko, ekāyanamaggaṃ gatoti eko, eko anuttaraṃ paccekasambodhiṃ abhisambuddhoti eko.

    กถํ โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ ปพฺพชฺชาสงฺขาเตน เอโก? โส หิ ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ สพฺพํ ฆราวาสปลิโพธํ ฉินฺทิตฺวา, ปุตฺตทารปลิโพธํ ฉินฺทิตฺวา, ญาติปลิโพธํ, มิตฺตามจฺจปลิโพธํ, สนฺนิธิปลิโพธํ ฉินฺทิตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา นิกฺขมฺม อนคาริยํ ปพฺพชิตฺวา อกิญฺจนภาวํ อุปคนฺตฺวา เอโกว จรติ วิหรติ อิริยติ วตฺตติ ปาเลติ ยเปติ ยาเปตีติ เอวํ โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ ปพฺพชฺชาสงฺขาเตน เอโกฯ

    Kathaṃ so paccekasambuddho pabbajjāsaṅkhātena eko? So hi paccekasambuddho sabbaṃ gharāvāsapalibodhaṃ chinditvā, puttadārapalibodhaṃ chinditvā, ñātipalibodhaṃ, mittāmaccapalibodhaṃ, sannidhipalibodhaṃ chinditvā kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā nikkhamma anagāriyaṃ pabbajitvā akiñcanabhāvaṃ upagantvā ekova carati viharati iriyati vattati pāleti yapeti yāpetīti evaṃ so paccekasambuddho pabbajjāsaṅkhātena eko.

    กถํ โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ อทุติยเฎฺฐน เอโก? โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน เอโก อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ ปฎิเสวติ อปฺปสทฺทานิ อปฺปนิโคฺฆสานิ วิชนวาตานิ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกานิ ปฎิสลฺลานสารุปฺปานิฯ โส เอโก ติฎฺฐติ, เอโก คจฺฉติ, เอโก นิสีทติ, เอโก เสยฺยํ กเปฺปติ, เอโก คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติ, เอโก ปฎิกฺกมติ, เอโก รโห นิสีทติ, เอโก จงฺกมติ, เอโก จรติ วิหรติ อิริยติ วตฺตติ ปาเลติ ยเปติ ยาเปตีติ เอวํ โส อทุติยเฎฺฐน เอโกฯ

    Kathaṃ so paccekasambuddho adutiyaṭṭhena eko? So evaṃ pabbajito samāno eko araññavanapatthāni pantāni senāsanāni paṭisevati appasaddāni appanigghosāni vijanavātāni manussarāhasseyyakāni paṭisallānasāruppāni. So eko tiṭṭhati, eko gacchati, eko nisīdati, eko seyyaṃ kappeti, eko gāmaṃ piṇḍāya pavisati, eko paṭikkamati, eko raho nisīdati, eko caṅkamati, eko carati viharati iriyati vattati pāleti yapeti yāpetīti evaṃ so adutiyaṭṭhena eko.

    กถํ โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ ตณฺหาย ปหานเฎฺฐน เอโก? โส เอโก อทุติโย อปฺปมโตฺต อาตาปี ปหิตโตฺต วิหรโนฺต มหาปธานํ ปทหโนฺต มารํ สเสนกํ นมุจิํ กณฺหํ ปมตฺตพนฺธุํ วิธเมตฺวา จ ตณฺหาชาลินิํ วิสริตํ วิสตฺติกํ ปชหิ วิโนเทสิ พฺยนฺติํ อกาสิ อนภาวํ คเมสิฯ

    Kathaṃ so paccekasambuddho taṇhāya pahānaṭṭhena eko? So eko adutiyo appamatto ātāpī pahitatto viharanto mahāpadhānaṃ padahanto māraṃ sasenakaṃ namuciṃ kaṇhaṃ pamattabandhuṃ vidhametvā ca taṇhājāliniṃ visaritaṃ visattikaṃ pajahi vinodesi byantiṃ akāsi anabhāvaṃ gamesi.

    ‘‘ตณฺหาทุติโย ปุริโส, ทีฆมทฺธาน สํสรํ;

    ‘‘Taṇhādutiyo puriso, dīghamaddhāna saṃsaraṃ;

    อิตฺถภาวญฺญถาภาวํ, สํสารํ นาติวตฺตติฯ

    Itthabhāvaññathābhāvaṃ, saṃsāraṃ nātivattati.

    ‘‘เอตมาทีนวํ ญตฺวา, ตณฺหํ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ;

    ‘‘Etamādīnavaṃ ñatvā, taṇhaṃ dukkhassa sambhavaṃ;

    วีตตโณฺห อนาทาโน, สโต ภิกฺขุ ปริพฺพเช’’ติฯ (อิติวุ. ๑๕, ๑๐๕; มหานิ. ๑๙๑) –

    Vītataṇho anādāno, sato bhikkhu paribbaje’’ti. (itivu. 15, 105; mahāni. 191) –

    เอวํ โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ ตณฺหาย ปหานเฎฺฐน เอโกฯ

    Evaṃ so paccekasambuddho taṇhāya pahānaṭṭhena eko.

    กถํ โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ เอกนฺตวีตราโคติ เอโก? ราคสฺส ปหีนตฺตา เอกนฺตวีตราโคติ เอโก, โทสสฺส ปหีนตฺตา เอกนฺตวีตโทโสติ เอโก, โมหสฺส ปหีนตฺตา เอกนฺตวีตโมโหติ เอโก, กิเลสานํ ปหีนตฺตา เอกนฺตนิกฺกิเลโสติ เอโก, เอวํ โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ เอกนฺตวีตราโคติ เอโกฯ

    Kathaṃ so paccekasambuddho ekantavītarāgoti eko? Rāgassa pahīnattā ekantavītarāgoti eko, dosassa pahīnattā ekantavītadosoti eko, mohassa pahīnattā ekantavītamohoti eko, kilesānaṃ pahīnattā ekantanikkilesoti eko, evaṃ so paccekasambuddho ekantavītarāgoti eko.

    กถํ โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ เอกายนมคฺคํ คโตติ เอโก? เอกายนมโคฺค วุจฺจติ จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา, ปญฺจินฺทฺริยานิ, ปญฺจ พลานิ, สตฺต โพชฺฌงฺคา, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺคฯ

    Kathaṃ so paccekasambuddho ekāyanamaggaṃ gatoti eko? Ekāyanamaggo vuccati cattāro satipaṭṭhānā, cattāro sammappadhānā, cattāro iddhipādā, pañcindriyāni, pañca balāni, satta bojjhaṅgā, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo.

    ‘‘เอกายนํ ชาติขยนฺตทสฺสี, มคฺคํ ปชานาติ หิตานุกมฺปี;

    ‘‘Ekāyanaṃ jātikhayantadassī, maggaṃ pajānāti hitānukampī;

    เอเตน มเคฺคน ตริํสุ ปุเพฺพ, ตริสฺสนฺติ เย จ ตรนฺติ โอฆ’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๕.๓๘๔; มหานิ. ๑๙๑) –

    Etena maggena tariṃsu pubbe, tarissanti ye ca taranti ogha’’nti. (saṃ. ni. 5.384; mahāni. 191) –

    เอวํ โส เอกายนมคฺคํ คโตติ เอโกฯ

    Evaṃ so ekāyanamaggaṃ gatoti eko.

    กถํ โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ เอโก อนุตฺตรํ ปเจฺจกสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติ เอโก? โพธิ วุจฺจติ จตูสุ มเคฺคสุ ญาณํ (มหานิ. ๑๙๑; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๑)ฯ ปญฺญา ปญฺญินฺทฺริยํ ปญฺญาพลํ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌโงฺค วีมํสา วิปสฺสนา สมฺมาทิฎฺฐิฯ โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ เตน ปเจฺจกโพธิญาเณน ‘‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘สเพฺพ สงฺขารา ทุกฺขา’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตา’’ติ พุชฺฌิฯ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณ’’นฺติ พุชฺฌิ, ‘‘วิญฺญาณปจฺจยา นามรูป’’นฺติ พุชฺฌิ, ‘‘นามรูปปจฺจยา สฬายตน’’นฺติ พุชฺฌิ, ‘‘สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘ผสฺสปจฺจยา เวทนา’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘เวทนาปจฺจยา ตณฺหา’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘ตณฺหาปจฺจยา อุปาทาน’’นฺติ พุชฺฌิ, ‘‘อุปาทานปจฺจยา ภโว’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘ภวปจฺจยา ชาตี’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘ชาติปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติ พุชฺฌิฯ ‘‘อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธ’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ’’ติ พุชฺฌิ…เป.… ‘‘ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘ชาตินิโรธา ชรามรณนิโรโธ’’ติ พุชฺฌิฯ ‘‘อิทํ ทุกฺข’’นฺติ พุชฺฌิ, ‘‘อยํ ทุกฺขสมุทโย’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินิปฎิปทา’’ติ พุชฺฌิฯ ‘‘อิเม อาสวา’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘อยํ อาสวสมุทโย’’ติ พุชฺฌิ…เป.… ‘‘ปฎิปทา’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘อิเม ธมฺมา อภิเญฺญยฺยา’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘อิเม ธมฺมา ปหาตพฺพา’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘อิเม ธมฺมา สจฺฉิกาตพฺพา’’ติ พุชฺฌิ, ‘‘อิเม ธมฺมา ภาเวตพฺพา’’ติ พุชฺฌิฯ ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ อสฺสาทญฺจ อาทีนวญฺจ นิสฺสรณญฺจ พุชฺฌิ, ปญฺจนฺนํ อุปาทานกฺขนฺธานํ สมุทยญฺจ…เป.… นิสฺสรณญฺจ พุชฺฌิ, จตุนฺนํ มหาภูตานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ อสฺสาทญฺจ อาทีนวญฺจ นิสฺสรณญฺจ พุชฺฌิ, ‘‘ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ, สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺม’’นฺติ พุชฺฌิฯ

    Kathaṃ so paccekasambuddho eko anuttaraṃ paccekasambodhiṃ abhisambuddhoti eko? Bodhi vuccati catūsu maggesu ñāṇaṃ (mahāni. 191; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 121). Paññā paññindriyaṃ paññābalaṃ dhammavicayasambojjhaṅgo vīmaṃsā vipassanā sammādiṭṭhi. So paccekasambuddho tena paccekabodhiñāṇena ‘‘sabbe saṅkhārā aniccā’’ti bujjhi, ‘‘sabbe saṅkhārā dukkhā’’ti bujjhi, ‘‘sabbe dhammā anattā’’ti bujjhi. ‘‘Avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti bujjhi, ‘‘saṅkhārapaccayā viññāṇa’’nti bujjhi, ‘‘viññāṇapaccayā nāmarūpa’’nti bujjhi, ‘‘nāmarūpapaccayā saḷāyatana’’nti bujjhi, ‘‘saḷāyatanapaccayā phasso’’ti bujjhi, ‘‘phassapaccayā vedanā’’ti bujjhi, ‘‘vedanāpaccayā taṇhā’’ti bujjhi, ‘‘taṇhāpaccayā upādāna’’nti bujjhi, ‘‘upādānapaccayā bhavo’’ti bujjhi, ‘‘bhavapaccayā jātī’’ti bujjhi, ‘‘jātipaccayā jarāmaraṇa’’nti bujjhi. ‘‘Avijjānirodhā saṅkhāranirodho’’ti bujjhi, ‘‘saṅkhāranirodhā viññāṇanirodho’’ti bujjhi…pe… ‘‘bhavanirodhā jātinirodho’’ti bujjhi, ‘‘jātinirodhā jarāmaraṇanirodho’’ti bujjhi. ‘‘Idaṃ dukkha’’nti bujjhi, ‘‘ayaṃ dukkhasamudayo’’ti bujjhi, ‘‘ayaṃ dukkhanirodho’’ti bujjhi, ‘‘ayaṃ dukkhanirodhagāminipaṭipadā’’ti bujjhi. ‘‘Ime āsavā’’ti bujjhi, ‘‘ayaṃ āsavasamudayo’’ti bujjhi…pe… ‘‘paṭipadā’’ti bujjhi, ‘‘ime dhammā abhiññeyyā’’ti bujjhi, ‘‘ime dhammā pahātabbā’’ti bujjhi, ‘‘ime dhammā sacchikātabbā’’ti bujjhi, ‘‘ime dhammā bhāvetabbā’’ti bujjhi. Channaṃ phassāyatanānaṃ samudayañca atthaṅgamañca assādañca ādīnavañca nissaraṇañca bujjhi, pañcannaṃ upādānakkhandhānaṃ samudayañca…pe… nissaraṇañca bujjhi, catunnaṃ mahābhūtānaṃ samudayañca atthaṅgamañca assādañca ādīnavañca nissaraṇañca bujjhi, ‘‘yaṃ kiñci samudayadhammaṃ, sabbaṃ taṃ nirodhadhamma’’nti bujjhi.

    อถ วา ยํ พุชฺฌิตพฺพํ อนุพุชฺฌิตพฺพํ ปฎิพุชฺฌิตพฺพํ สมฺพุชฺฌิตพฺพํ อธิคนฺตพฺพํ ผสฺสิตพฺพํ สจฺฉิกาตพฺพํ, สพฺพํ ตํ เตน ปเจฺจกโพธิญาเณน พุชฺฌิ อนุพุชฺฌิ ปฎิพุชฺฌิ สมฺพุชฺฌิ อธิคญฺฉิ ผเสฺสสิ สจฺฉากาสีติ, เอวํ โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ เอโก อนุตฺตรํ ปเจฺจกสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติ เอโกฯ

    Atha vā yaṃ bujjhitabbaṃ anubujjhitabbaṃ paṭibujjhitabbaṃ sambujjhitabbaṃ adhigantabbaṃ phassitabbaṃ sacchikātabbaṃ, sabbaṃ taṃ tena paccekabodhiñāṇena bujjhi anubujjhi paṭibujjhi sambujjhi adhigañchi phassesi sacchākāsīti, evaṃ so paccekasambuddho eko anuttaraṃ paccekasambodhiṃ abhisambuddhoti eko.

    จเรติ อฎฺฐ จริยาโย (จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๑) – อิริยาปถจริยา, อายตนจริยา, สติจริยา, สมาธิจริยา, ญาณจริยา, มคฺคจริยา, ปตฺติจริยา, โลกตฺถจริยาฯ อิริยาปถจริยาติ จตูสุ อิริยาปเถสุ, อายตนจริยาติ ฉสุ อชฺฌตฺติกพาหิเรสุ อายตเนสุ, สติจริยาติ จตูสุ สติปฎฺฐาเนสุ, สมาธิจริยาติ จตูสุ ฌาเนสุ, ญาณจริยาติ จตูสุ อริยสเจฺจสุ, มคฺคจริยาติ จตูสุ อริยมเคฺคสุ, ปตฺติจริยาติ จตูสุ สามญฺญผเลสุ, โลกตฺถจริยาติ ตถาคเตสุ อรหเนฺตสุ สมฺมาสมฺพุเทฺธสุ, ปเทสโต ปเจฺจกสมฺพุเทฺธสุ, ปเทสโต สาวเกสุฯ

    Careti aṭṭha cariyāyo (cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 121) – iriyāpathacariyā, āyatanacariyā, saticariyā, samādhicariyā, ñāṇacariyā, maggacariyā, patticariyā, lokatthacariyā. Iriyāpathacariyāti catūsu iriyāpathesu, āyatanacariyāti chasu ajjhattikabāhiresu āyatanesu, saticariyāti catūsu satipaṭṭhānesu, samādhicariyāti catūsu jhānesu, ñāṇacariyāti catūsu ariyasaccesu, maggacariyāti catūsu ariyamaggesu, patticariyāti catūsu sāmaññaphalesu, lokatthacariyāti tathāgatesu arahantesu sammāsambuddhesu, padesato paccekasambuddhesu, padesato sāvakesu.

    อิริยาปถจริยา จ ปณิธิสมฺปนฺนานํ, อายตนจริยา จ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานํ, สติจริยา จ อปฺปมาทวิหารีนํ, สมาธิจริยา จ อธิจิตฺตมนุยุตฺตานํ, ญาณจริยา จ พุทฺธิสมฺปนฺนานํ, มคฺคจริยา จ สมฺมาปฎิปนฺนานํ, ปตฺติจริยา จ อธิคตผลานํ, โลกตฺถจริยา จ ตถาคตานํ อรหนฺตานํ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ, ปเทสโต ปเจฺจกสมฺพุทฺธานํ, ปเทสโต สาวกานํฯ อิมา อฎฺฐ จริยาโยฯ

    Iriyāpathacariyā ca paṇidhisampannānaṃ, āyatanacariyā ca indriyesu guttadvārānaṃ, saticariyā ca appamādavihārīnaṃ, samādhicariyā ca adhicittamanuyuttānaṃ, ñāṇacariyā ca buddhisampannānaṃ, maggacariyā ca sammāpaṭipannānaṃ, patticariyā ca adhigataphalānaṃ, lokatthacariyā ca tathāgatānaṃ arahantānaṃ sammāsambuddhānaṃ, padesato paccekasambuddhānaṃ, padesato sāvakānaṃ. Imā aṭṭha cariyāyo.

    อปราปิ อฎฺฐ จริยาโย – อธิมุจฺจโนฺต สทฺธาย จรติ, ปคฺคณฺหโนฺต วีริเยน จรติ, อุปฎฺฐเปโนฺต สติยา จรติ, อวิเกฺขปํ กโรโนฺต สมาธินา จรติ, ปชานโนฺต ปญฺญาย จรติ, วิชานโนฺต วิญฺญาณจริยาย จรติ, เอวํ ปฎิปนฺนสฺส กุสลา ธมฺมา อายตนนฺติ อายตนจริยาย จรติฯ เอวํ ปฎิปโนฺน วิเสสมธิคจฺฉตีติ วิเสสจริยาย จรติฯ อิมา อฎฺฐ จริยาโยฯ

    Aparāpi aṭṭha cariyāyo – adhimuccanto saddhāya carati, paggaṇhanto vīriyena carati, upaṭṭhapento satiyā carati, avikkhepaṃ karonto samādhinā carati, pajānanto paññāya carati, vijānanto viññāṇacariyāya carati, evaṃ paṭipannassa kusalā dhammā āyatananti āyatanacariyāya carati. Evaṃ paṭipanno visesamadhigacchatīti visesacariyāya carati. Imā aṭṭha cariyāyo.

    อปราปิ อฎฺฐ จริยาโย – ทสฺสนจริยา จ สมฺมาทิฎฺฐิยา, อภินิโรปนจริยา จ สมฺมาสงฺกปฺปสฺส, ปริคฺคหจริยา จ สมฺมาวาจาย, สมุฎฺฐานจริยา จ สมฺมากมฺมนฺตสฺส, โวทานจริยา จ สมฺมาอาชีวสฺส, ปคฺคหจริยา จ สมฺมาวายามสฺส, อุปฎฺฐานจริยา จ สมฺมาสติยา, อวิเกฺขปจริยา จ สมฺมาสมาธิสฺสฯ อิมา อฎฺฐ จริยาโยฯ

    Aparāpi aṭṭha cariyāyo – dassanacariyā ca sammādiṭṭhiyā, abhiniropanacariyā ca sammāsaṅkappassa, pariggahacariyā ca sammāvācāya, samuṭṭhānacariyā ca sammākammantassa, vodānacariyā ca sammāājīvassa, paggahacariyā ca sammāvāyāmassa, upaṭṭhānacariyā ca sammāsatiyā, avikkhepacariyā ca sammāsamādhissa. Imā aṭṭha cariyāyo.

    ขคฺควิสาณกโปฺปติ ยถา ขคฺคสฺส นาม วิสาณํ เอกเมว โหติ, อทุติยํ, เอวเมว โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ ตกฺกโปฺป ตสฺสทิโส ตปฺปฎิภาโคฯ ยถา อติโลณํ วุจฺจติ โลณกโปฺป, อติติตฺตกํ วุจฺจติ ติตฺตกโปฺป, อติมธุรํ วุจฺจติ มธุรกโปฺป, อติอุณฺหํ วุจฺจติ อคฺคิกโปฺป, อติสีตํ วุจฺจติ หิมกโปฺป, มหาอุทกกฺขโนฺธ วุจฺจติ สมุทฺทกโปฺป, มหาภิญฺญาพลปฺปโตฺต สาวโก วุจฺจติ สตฺถุกโปฺปติฯ เอวเมว โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ ขคฺควิสาณกโปฺป, ขคฺควิสาณสทิโส ขคฺควิสาณปฎิภาโค เอโก อทุติโย มุตฺตพนฺธโน สมฺมา โลเก จรติ วิหรติ อิริยติ วตฺตติ ปาเลติ ยเปติ ยาเปตีติ เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ เตนาหุ ปเจฺจกสมฺพุทฺธา –

    Khaggavisāṇakappoti yathā khaggassa nāma visāṇaṃ ekameva hoti, adutiyaṃ, evameva so paccekasambuddho takkappo tassadiso tappaṭibhāgo. Yathā atiloṇaṃ vuccati loṇakappo, atitittakaṃ vuccati tittakappo, atimadhuraṃ vuccati madhurakappo, atiuṇhaṃ vuccati aggikappo, atisītaṃ vuccati himakappo, mahāudakakkhandho vuccati samuddakappo, mahābhiññābalappatto sāvako vuccati satthukappoti. Evameva so paccekasambuddho khaggavisāṇakappo, khaggavisāṇasadiso khaggavisāṇapaṭibhāgo eko adutiyo muttabandhano sammā loke carati viharati iriyati vattati pāleti yapeti yāpetīti eko care khaggavisāṇakappo. Tenāhu paccekasambuddhā –

    ‘‘สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ, อวิเหฐยํ อญฺญตรมฺปิ เตสํ;

    ‘‘Sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍaṃ, aviheṭhayaṃ aññatarampi tesaṃ;

    น ปุตฺตมิเจฺฉยฺย กุโต สหายํ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Na puttamiccheyya kuto sahāyaṃ, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘สํสคฺคชาตสฺส ภวนฺติ เสฺนหา, เสฺนหนฺวยํ ทุกฺขมิทํ ปโหติ;

    ‘‘Saṃsaggajātassa bhavanti snehā, snehanvayaṃ dukkhamidaṃ pahoti;

    อาทีนวํ เสฺนหชํ เปกฺขมาโน; เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Ādīnavaṃ snehajaṃ pekkhamāno; Eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘มิเตฺต สุหเชฺช อนุกมฺปมาโน, หาเปติ อตฺถํ ปฎิพทฺธจิโตฺต;

    ‘‘Mitte suhajje anukampamāno, hāpeti atthaṃ paṭibaddhacitto;

    เอตํ ภยํ สนฺถเว เปกฺขมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Etaṃ bhayaṃ santhave pekkhamāno, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘วํโส วิสาโลว ยถา วิสโตฺต, ปุเตฺตสุ ทาเรสุ จ ยา อเปกฺขา;

    ‘‘Vaṃso visālova yathā visatto, puttesu dāresu ca yā apekkhā;

    วํเส กฬีโรว อสชฺชมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Vaṃse kaḷīrova asajjamāno, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘มิโค อรญฺญมฺหิ ยถา อพโทฺธ, เยนิจฺฉกํ คจฺฉติ โคจราย;

    ‘‘Migo araññamhi yathā abaddho, yenicchakaṃ gacchati gocarāya;

    วิญฺญู นโร เสริตํ เปกฺขมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Viññū naro seritaṃ pekkhamāno, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘อามนฺตนา โหติ สหายมเชฺฌ, วาเส จ ฐาเน คมเน จาริกาย;

    ‘‘Āmantanā hoti sahāyamajjhe, vāse ca ṭhāne gamane cārikāya;

    อนภิชฺฌิตํ เสริตํ เปกฺขมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Anabhijjhitaṃ seritaṃ pekkhamāno, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘ขิฑฺฑา รตี โหติ สหายมเชฺฌ, ปุเตฺตสุ เปมํ วิปุลญฺจ โหติ;

    ‘‘Khiḍḍā ratī hoti sahāyamajjhe, puttesu pemaṃ vipulañca hoti;

    ปิยวิปฺปโยคํ วิชิคุจฺฉมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Piyavippayogaṃ vijigucchamāno, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘จาตุทฺทิโส อปฺปฎิโฆ จ โหติ, สนฺตุสฺสมาโน อิตรีตเรน;

    ‘‘Cātuddiso appaṭigho ca hoti, santussamāno itarītarena;

    ปริสฺสยานํ สหิตา อฉมฺภี, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Parissayānaṃ sahitā achambhī, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘ทุสฺสงฺคหา ปพฺพชิตาปิ เอเก, อโถ คหฎฺฐา ฆรมาวสนฺตา;

    ‘‘Dussaṅgahā pabbajitāpi eke, atho gahaṭṭhā gharamāvasantā;

    อโปฺปสฺสุโกฺก ปรปุเตฺตสุ หุตฺวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Appossukko paraputtesu hutvā, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘โอโรปยิตฺวา คิหิพฺยญฺชนานิ, สญฺฉินฺนปโตฺต ยถา โกวิฬาโร;

    ‘‘Oropayitvā gihibyañjanāni, sañchinnapatto yathā koviḷāro;

    เฉตฺวาน วีโร คิหิพนฺธนานิ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Chetvāna vīro gihibandhanāni, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ, สทฺธิํ จรํ สาธุวิหาริธีรํ;

    ‘‘Sace labhetha nipakaṃ sahāyaṃ, saddhiṃ caraṃ sādhuvihāridhīraṃ;

    อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ, จเรยฺย เตนตฺตมโน สตีมาฯ

    Abhibhuyya sabbāni parissayāni, careyya tenattamano satīmā.

    ‘‘โน เจ ลเภถ นิปกํ สหายํ, สทฺธิํ จรํ สาธุวิหาริธีรํ;

    ‘‘No ce labhetha nipakaṃ sahāyaṃ, saddhiṃ caraṃ sādhuvihāridhīraṃ;

    ราชาว รฎฺฐํ วิชิตํ ปหาย, เอโก จเร มาตงฺครเญฺญว นาโคฯ

    Rājāva raṭṭhaṃ vijitaṃ pahāya, eko care mātaṅgaraññeva nāgo.

    ‘‘อทฺธา ปสํสาม สหายสมฺปทํ, เสฎฺฐา สมา เสวิตพฺพา สหายา;

    ‘‘Addhā pasaṃsāma sahāyasampadaṃ, seṭṭhā samā sevitabbā sahāyā;

    เอเต อลทฺธา อนวชฺชโภชี, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Ete aladdhā anavajjabhojī, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘ทิสฺวา สุวณฺณสฺส ปภสฺสรานิ, กมฺมารปุเตฺตน สุนิฎฺฐิตานิ;

    ‘‘Disvā suvaṇṇassa pabhassarāni, kammāraputtena suniṭṭhitāni;

    สงฺฆฎฺฎมานานิ ทุเว ภุชสฺมิํ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Saṅghaṭṭamānāni duve bhujasmiṃ, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘เอวํ ทุตีเยน สหา มมสฺส, วาจาภิลาโป อภิสชฺชนา วา;

    ‘‘Evaṃ dutīyena sahā mamassa, vācābhilāpo abhisajjanā vā;

    เอตํ ภยํ อายติํ เปกฺขมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Etaṃ bhayaṃ āyatiṃ pekkhamāno, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘กามา หิ จิตฺรา มธุรา มโนรมา, วิรูปรูเปน มเถนฺติ จิตฺตํ;

    ‘‘Kāmā hi citrā madhurā manoramā, virūparūpena mathenti cittaṃ;

    อาทีนวํ กามคุเณสุ ทิสฺวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Ādīnavaṃ kāmaguṇesu disvā, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘อีตี จ คโณฺฑ จ อุปทฺทโว จ, โรโค จ สลฺลญฺจ ภยญฺจ เมตํ;

    ‘‘Ītī ca gaṇḍo ca upaddavo ca, rogo ca sallañca bhayañca metaṃ;

    เอตํ ภยํ กามคุเณสุ ทิสฺวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Etaṃ bhayaṃ kāmaguṇesu disvā, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘สีตญฺจ อุณฺหญฺจ ขุทํ ปิปาสํ, วาตาตเป ฑํสสรีสเป จ;

    ‘‘Sītañca uṇhañca khudaṃ pipāsaṃ, vātātape ḍaṃsasarīsape ca;

    สพฺพานิเปตานิ อภิพฺภวิตฺวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Sabbānipetāni abhibbhavitvā, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘นาโคว ยูถานิ วิวชฺชยิตฺวา, สญฺชาตขโนฺธ ปทุมี อุฬาโร;

    ‘‘Nāgova yūthāni vivajjayitvā, sañjātakhandho padumī uḷāro;

    ยถาภิรนฺตํ วิหรํ อรเญฺญ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Yathābhirantaṃ viharaṃ araññe, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘อฎฺฐานตํ สงฺคณิการตสฺส, ยํ ผสฺสเย สามยิกํ วิมุตฺติํ;

    ‘‘Aṭṭhānataṃ saṅgaṇikāratassa, yaṃ phassaye sāmayikaṃ vimuttiṃ;

    อาทิจฺจพนฺธุสฺส วโจ นิสมฺม, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Ādiccabandhussa vaco nisamma, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘ทิฎฺฐีวิสูกานิ อุปาติวโตฺต, ปโตฺต นิยามํ ปฎิลทฺธมโคฺค;

    ‘‘Diṭṭhīvisūkāni upātivatto, patto niyāmaṃ paṭiladdhamaggo;

    อุปฺปนฺนญาโณมฺหิ อนญฺญเนโยฺย, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Uppannañāṇomhi anaññaneyyo, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘นิโลฺลลุโป นิกฺกุโห นิปฺปิปาโส, นิมฺมกฺข นิทฺธนฺตกสาวโมโห;

    ‘‘Nillolupo nikkuho nippipāso, nimmakkha niddhantakasāvamoho;

    นิราสโย สพฺพโลเก ภวิตฺวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Nirāsayo sabbaloke bhavitvā, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘ปาปํ สหายํ ปริวชฺชเยถ, อนตฺถทสฺสิํ วิสเม นิวิฎฺฐํ;

    ‘‘Pāpaṃ sahāyaṃ parivajjayetha, anatthadassiṃ visame niviṭṭhaṃ;

    สยํ น เสเว ปสุตํ ปมตฺตํ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Sayaṃ na seve pasutaṃ pamattaṃ, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘พหุสฺสุตํ ธมฺมธรํ ภเชถ, มิตฺตํ อุฬารํ ปฎิภานวนฺตํ;

    ‘‘Bahussutaṃ dhammadharaṃ bhajetha, mittaṃ uḷāraṃ paṭibhānavantaṃ;

    อญฺญาย อตฺถานิ วิเนยฺย กงฺขํ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Aññāya atthāni vineyya kaṅkhaṃ, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘ขิฑฺฑํ รติํ กามสุขญฺจ โลเก, อนลงฺกริตฺวา อนเปกฺขมาโน;

    ‘‘Khiḍḍaṃ ratiṃ kāmasukhañca loke, analaṅkaritvā anapekkhamāno;

    วิภูสฎฺฐานา วิรโต สจฺจวาที, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Vibhūsaṭṭhānā virato saccavādī, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘ปุตฺตญฺจ ทารํ ปิตรญฺจ มาตรํ, ธนานิ ธญฺญานิ จ พนฺธวานิ;

    ‘‘Puttañca dāraṃ pitarañca mātaraṃ, dhanāni dhaññāni ca bandhavāni;

    หิตฺวาน กามานิ ยโถธิกานิ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Hitvāna kāmāni yathodhikāni, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘สโงฺค เอโส ปริตฺตเมตฺถ โสขฺยํ, อปฺปสฺสาโท ทุกฺขเมเวตฺถ ภิโยฺย;

    ‘‘Saṅgo eso parittamettha sokhyaṃ, appassādo dukkhamevettha bhiyyo;

    คโฬ เอโส อิติ ญตฺวา มติมา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Gaḷo eso iti ñatvā matimā, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘สนฺทาลยิตฺวาน สํโยชนานิ, ชาลํว เภตฺวา สลิลมฺพุจารี,

    ‘‘Sandālayitvāna saṃyojanāni, jālaṃva bhetvā salilambucārī,

    อคฺคีว ทฑฺฒํ อนิวตฺตมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Aggīva daḍḍhaṃ anivattamāno, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘โอกฺขิตฺตจกฺขู น จ ปาทโลโล, คุตฺตินฺทฺริโย รกฺขิตมานสาโน;

    ‘‘Okkhittacakkhū na ca pādalolo, guttindriyo rakkhitamānasāno;

    อนวสฺสุโต อปริฑยฺหมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Anavassuto apariḍayhamāno, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘โอหารยิตฺวา คิหิพฺยญฺชนานิ, สญฺฉนฺนปโตฺต ยถา ปาริฉโตฺต;

    ‘‘Ohārayitvā gihibyañjanāni, sañchannapatto yathā pārichatto;

    กาสายวโตฺถ อภินิกฺขมิตฺวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Kāsāyavattho abhinikkhamitvā, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘รเสสุ เคธํ อกรํ อโลโล, อนญฺญโปสี สปทานจารี;

    ‘‘Rasesu gedhaṃ akaraṃ alolo, anaññaposī sapadānacārī;

    กุเล กุเล อปฺปฎิพทฺธจิโตฺต, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Kule kule appaṭibaddhacitto, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘ปหาย ปญฺจาวรณานิ เจตโส, อุปกฺกิเลเส พฺยปนุชฺช สเพฺพ;

    ‘‘Pahāya pañcāvaraṇāni cetaso, upakkilese byapanujja sabbe;

    อนิสฺสิโต เฉชฺช สิเนหโทสํ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Anissito chejja sinehadosaṃ, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘วิปิฎฺฐิกตฺวาน สุขญฺจ ทุกฺขํ, ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสํ;

    ‘‘Vipiṭṭhikatvāna sukhañca dukkhaṃ, pubbeva somanassadomanassaṃ;

    ลทฺธานุเปกฺขํ สมถํ วิสุทฺธํ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Laddhānupekkhaṃ samathaṃ visuddhaṃ, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘อารทฺธวีริโย ปรมตฺถปตฺติยา, อลีนจิโตฺต อกุสีตวุตฺติ;

    ‘‘Āraddhavīriyo paramatthapattiyā, alīnacitto akusītavutti;

    ทฬฺหนิกฺกโม ถามพลูปปโนฺน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Daḷhanikkamo thāmabalūpapanno, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘ปฎิสลฺลานํ ฌานมริญฺจมาโน, ธเมฺมสุ นิจฺจํ อนุธมฺมจารี;

    ‘‘Paṭisallānaṃ jhānamariñcamāno, dhammesu niccaṃ anudhammacārī;

    อาทีนวํ สมฺมสิตา ภเวสุ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Ādīnavaṃ sammasitā bhavesu, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘ตณฺหกฺขยํ ปตฺถยมปฺปมโตฺต, อเนฬมูโค สุตวา สตีมา;

    ‘‘Taṇhakkhayaṃ patthayamappamatto, aneḷamūgo sutavā satīmā;

    สงฺขาตธโมฺม นิยโต ปธานวา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Saṅkhātadhammo niyato padhānavā, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘สีโหว สเทฺทสุ อสนฺตสโนฺต, วาโตว ชาลมฺหิ อสชฺชมาโน;

    ‘‘Sīhova saddesu asantasanto, vātova jālamhi asajjamāno;

    ปทุมํว โตเยน อลิมฺปมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Padumaṃva toyena alimpamāno, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘สีโห ยถา ทาฐพลี ปสยฺห, ราชา มิคานํ อภิภุยฺย จารี;

    ‘‘Sīho yathā dāṭhabalī pasayha, rājā migānaṃ abhibhuyya cārī;

    เสเวถ ปนฺตานิ เสนาสนานิ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Sevetha pantāni senāsanāni, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘เมตฺตํ อุเปกฺขํ กรุณํ วิมุตฺติํ, อาเสวมาโน มุทิตญฺจ กาเล;

    ‘‘Mettaṃ upekkhaṃ karuṇaṃ vimuttiṃ, āsevamāno muditañca kāle;

    สเพฺพน โลเกน อวิรุชฺฌมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Sabbena lokena avirujjhamāno, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘ราคญฺจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ, สนฺทาลยิตฺวาน สํโยชนานิ;

    ‘‘Rāgañca dosañca pahāya mohaṃ, sandālayitvāna saṃyojanāni;

    อสนฺตสํ ชีวิตสงฺขยมฺหิ, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ

    Asantasaṃ jīvitasaṅkhayamhi, eko care khaggavisāṇakappo.

    ‘‘ภชนฺติ เสวนฺติ จ การณตฺถา, นิกฺการณา ทุลฺลภา อชฺช มิตฺตา;

    ‘‘Bhajanti sevanti ca kāraṇatthā, nikkāraṇā dullabhā ajja mittā;

    อตฺตตฺถปญฺญา อสุจีมนุสฺสา, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ

    Attatthapaññā asucīmanussā, eko care khaggavisāṇakappo’’ti.

    ตตฺถ สเพฺพสุ ภูเตสูติ ขคฺควิสาณปเจฺจกพุทฺธาปทานสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? สพฺพสุตฺตานํ จตุพฺพิธา อุปฺปตฺติ – อตฺตชฺฌาสยโต, ปรชฺฌาสยโต, อฎฺฐุปฺปตฺติโต, ปุจฺฉาวสิโตติฯ ตตฺถ ขคฺควิสาณสุตฺตสฺส อวิเสเสน ปุจฺฉาวสิโต อุปฺปตฺติฯ วิเสเสน ปน ยสฺมา เอตฺถ กาจิ คาถา เตน เตน ปเจฺจกพุเทฺธน ปุเฎฺฐน วุตฺตา, กาจิ อปุเฎฺฐน อตฺตนา อธิคตมคฺคนยานุรูปํ อุทานํเยว อุทาเนเนฺตน, ตสฺมา กายจิ คาถาย ปุจฺฉาวสิโต, กายจิ อตฺตชฺฌาสยโต อุปฺปตฺติฯ ตตฺถ ยา อยํ อวิเสเสน ปุจฺฉาวสิโต อุปฺปตฺติ, สา อาทิโต ปภุติ เอวํ เวทิตพฺพา –

    Tattha sabbesu bhūtesūti khaggavisāṇapaccekabuddhāpadānasuttaṃ. Kā uppatti? Sabbasuttānaṃ catubbidhā uppatti – attajjhāsayato, parajjhāsayato, aṭṭhuppattito, pucchāvasitoti. Tattha khaggavisāṇasuttassa avisesena pucchāvasito uppatti. Visesena pana yasmā ettha kāci gāthā tena tena paccekabuddhena puṭṭhena vuttā, kāci apuṭṭhena attanā adhigatamagganayānurūpaṃ udānaṃyeva udānentena, tasmā kāyaci gāthāya pucchāvasito, kāyaci attajjhāsayato uppatti. Tattha yā ayaṃ avisesena pucchāvasito uppatti, sā ādito pabhuti evaṃ veditabbā –

    เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติฯ อถ โข อายสฺมโต อานนฺทสฺส รโหคตสฺส ปฎิสลฺลีนสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ – ‘‘พุทฺธานํ ปตฺถนา จ อภินีหาโร จ ทิสฺสติ, ตถา สาวกานํ, ปเจฺจกพุทฺธานํ น ทิสฺสติ, ยํนูนาหํ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุเจฺฉยฺย’’นฺติ? โส ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ยถากฺกเมน เอตมตฺถํ ปุจฺฉิฯ อถสฺส ภควา ปุพฺพโยคาวจรสุตฺตํ อภาสิ –

    Ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati. Atha kho āyasmato ānandassa rahogatassa paṭisallīnassa evaṃ cetaso parivitakko udapādi – ‘‘buddhānaṃ patthanā ca abhinīhāro ca dissati, tathā sāvakānaṃ, paccekabuddhānaṃ na dissati, yaṃnūnāhaṃ bhagavantaṃ upasaṅkamitvā puccheyya’’nti? So paṭisallānā vuṭṭhito bhagavantaṃ upasaṅkamitvā yathākkamena etamatthaṃ pucchi. Athassa bhagavā pubbayogāvacarasuttaṃ abhāsi –

    ‘‘ปญฺจิเม, อานนฺท, อานิสํสา ปุพฺพโยคาวจเร ทิเฎฺฐว ธเมฺม ปฎิกเจฺจว อญฺญํ อาราเธติฯ โน เจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม ปฎิกเจฺจว อญฺญํ อาราเธติ, อถ มรณกาเล อญฺญํ อาราเธติฯ อถ เทวปุโตฺต สมาโน อญฺญํ อาราเธติฯ อถ พุทฺธานํ สมฺมุขีภาเว ขิปฺปาภิโญฺญ โหติฯ อถ ปจฺฉิเม กาเล ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ โหตี’’ติฯ

    ‘‘Pañcime, ānanda, ānisaṃsā pubbayogāvacare diṭṭheva dhamme paṭikacceva aññaṃ ārādheti. No ce diṭṭheva dhamme paṭikacceva aññaṃ ārādheti, atha maraṇakāle aññaṃ ārādheti. Atha devaputto samāno aññaṃ ārādheti. Atha buddhānaṃ sammukhībhāve khippābhiñño hoti. Atha pacchime kāle paccekasambuddho hotī’’ti.

    เอวํ วตฺวา ปุน อาห –

    Evaṃ vatvā puna āha –

    ‘‘ปเจฺจกสมฺพุทฺธา นาม, อานนฺท, อภินีหารสมฺปนฺนา ปุพฺพโยคาวจรา โหนฺติ, ตสฺมา ปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวกานํ สเพฺพสํ ปตฺถนา จ อภินีหาโร จ อิจฺฉิตโพฺพ’’ติฯ

    ‘‘Paccekasambuddhā nāma, ānanda, abhinīhārasampannā pubbayogāvacarā honti, tasmā paccekabuddhabuddhasāvakānaṃ sabbesaṃ patthanā ca abhinīhāro ca icchitabbo’’ti.

    โส อาห – ‘‘พุทฺธานํ, ภเนฺต, ปตฺถนา กีว จิรํ วฎฺฎตี’’ติฯ พุทฺธานํ, อานนฺท, เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ, มชฺฌิมปริเจฺฉเทน อฎฺฐ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ, อุปริมปริเจฺฉเทน โสฬส อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจฯ เอเต จ เภทา ปญฺญาธิกสทฺธาธิกวีริยาธิกานํ วเสน ญาตพฺพาฯ ปญฺญาธิกานญฺหิ สทฺธา มนฺทา โหติ, ปญฺญา ติกฺขาฯ สทฺธาธิกานํ ปญฺญา มชฺฌิมา โหติ, สทฺธา ติกฺขาฯ วีริยาธิกานํ สทฺธา ปญฺญา มนฺทา โหติ, วีริยํ ติกฺขนฺติฯ อปฺปตฺวา ปน จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ทิวเส ทิวเส เวสฺสนฺตรทานสทิสํ ทานํ เทโนฺตปิ ตทนุรูเป สีลาทิปารมิธเมฺม อาจินโนฺตปิ อนฺตรา พุโทฺธ ภวิสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ กสฺมา? ญาณํ คพฺภํ น คณฺหาติ, เวปุลฺลํ นาปชฺชติ, ปริปากํ น คจฺฉตีติฯ ยถา นาม ติมาสจตุมาสปญฺจมาสจฺจเยน นิปฺผชฺชนกํ สสฺสํ ตํ ตํ กาลํ อปฺปตฺวา ทิวเส ทิวเส สตกฺขตฺตุํ สหสฺสกฺขตฺตุํ เกฬายโนฺตปิ อุทเกน สิญฺจโนฺตปิ อนฺตรา ปเกฺขน วา มาเสน วา นิปฺผาเทสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ กสฺมา? สสฺสํ คพฺภํ น คณฺหาติ, เวปุลฺลํ นาปชฺชติ, ปริปากํ น คจฺฉตีติฯ เอวเมวํ อปฺปตฺวา จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ อนฺตรา พุโทฺธ ภวิสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ ตสฺมา ยถาวุตฺตเมว กาลํ ปารมิปูรณํ กาตพฺพํ ญาณปริปากตฺถายฯ เอตฺตเกนาปิ จ กาเลน พุทฺธตฺตํ ปตฺถยโต อภินีหารกรเณ อฎฺฐ สมฺปตฺติโย อิจฺฉิตพฺพาฯ อยญฺหิ –

    So āha – ‘‘buddhānaṃ, bhante, patthanā kīva ciraṃ vaṭṭatī’’ti. Buddhānaṃ, ānanda, heṭṭhimaparicchedena cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca, majjhimaparicchedena aṭṭha asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca, uparimaparicchedena soḷasa asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca. Ete ca bhedā paññādhikasaddhādhikavīriyādhikānaṃ vasena ñātabbā. Paññādhikānañhi saddhā mandā hoti, paññā tikkhā. Saddhādhikānaṃ paññā majjhimā hoti, saddhā tikkhā. Vīriyādhikānaṃ saddhā paññā mandā hoti, vīriyaṃ tikkhanti. Appatvā pana cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca divase divase vessantaradānasadisaṃ dānaṃ dentopi tadanurūpe sīlādipāramidhamme ācinantopi antarā buddho bhavissatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Kasmā? Ñāṇaṃ gabbhaṃ na gaṇhāti, vepullaṃ nāpajjati, paripākaṃ na gacchatīti. Yathā nāma timāsacatumāsapañcamāsaccayena nipphajjanakaṃ sassaṃ taṃ taṃ kālaṃ appatvā divase divase satakkhattuṃ sahassakkhattuṃ keḷāyantopi udakena siñcantopi antarā pakkhena vā māsena vā nipphādessatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Kasmā? Sassaṃ gabbhaṃ na gaṇhāti, vepullaṃ nāpajjati, paripākaṃ na gacchatīti. Evamevaṃ appatvā cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca antarā buddho bhavissatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Tasmā yathāvuttameva kālaṃ pāramipūraṇaṃ kātabbaṃ ñāṇaparipākatthāya. Ettakenāpi ca kālena buddhattaṃ patthayato abhinīhārakaraṇe aṭṭha sampattiyo icchitabbā. Ayañhi –

    ‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, เหตุ สตฺถารทสฺสนํ;

    ‘‘Manussattaṃ liṅgasampatti, hetu satthāradassanaṃ;

    ปพฺพชฺชา คุณสมฺปตฺติ, อธิกาโร จ ฉนฺทตา;

    Pabbajjā guṇasampatti, adhikāro ca chandatā;

    อฎฺฐธมฺมสโมธานา, อภินีหาโร สมิชฺฌติ’’ฯ (พุ. วํ. ๒.๕๙);

    Aṭṭhadhammasamodhānā, abhinīhāro samijjhati’’. (bu. vaṃ. 2.59);

    อภินีหาโรติ มูลปณิธานเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตตฺถ มนุสฺสตฺตนฺติ มนุสฺสชาติฯ อญฺญตฺร หิ มนุสฺสชาติยา อวเสสชาตีสุ เทวชาติยมฺปิ ฐิตสฺส ปณิธิ น อิชฺฌติ, ตตฺถ ฐิเตน ปน พุทฺธตฺตํ ปตฺถยเนฺตน ทานาทีนิ ปุญฺญกมฺมานิ กตฺวา มนุสฺสตฺตํเยว ปเตฺถตพฺพํ, ตตฺถ ฐตฺวา ปณิธิ กาตโพฺพฯ เอวญฺหิ สมิชฺฌติฯ ลิงฺคสมฺปตฺตีติ ปุริสภาโวฯ มาตุคามนปุํสกอุภโตพฺยญฺชนกานญฺหิ มนุสฺสชาติยํ ฐิตานมฺปิ ปณิธิ น อิชฺฌติฯ ตตฺถ ฐิเตน ปน พุทฺธตฺตํ ปเตฺถเนฺตน ทานาทีนิ ปุญฺญกมฺมานิ กตฺวา ปุริสภาโวเยว ปเตฺถตโพฺพ, ตตฺถ ฐตฺวา ปณิธิ กาตโพฺพฯ เอวญฺหิ สมิชฺฌติฯ เหตูติ อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสยสมฺปตฺติฯ โย หิ ตสฺมิํ อตฺตภาเว วายมโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณิตุํ สมโตฺถ, ตสฺส ปณิธิ สมิชฺฌติ, โน อิตรสฺส ยถา สุเมธปณฺฑิตสฺสฯ โส หิ ทีปงฺกรปาทมูเล ปพฺพชิตฺวา เตนตฺตภาเวน อรหตฺตํ ปาปุณิตุํ สมโตฺถ อโหสิฯ สตฺถารทสฺสนนฺติ พุทฺธานํ สมฺมุขาทสฺสนํฯ เอวญฺหิ อิชฺฌติ, โน อญฺญถา ยถา สุเมธปณฺฑิตสฺสฯ โส หิ ทีปงฺกรํ สมฺมุขา ทิสฺวา ปณิธิํ อกาสิฯ ปพฺพชฺชาติ อนคาริยภาโวฯ โส จ โข สาสเน วา กมฺมวาทิกิริยวาทิตาปสปริพฺพาชกนิกาเย วา วฎฺฎติ ยถา สุเมธปณฺฑิตสฺสฯ โส หิ สุเมโธ นาม ตาปโส หุตฺวา ปณิธิํ อกาสิฯ คุณสมฺปตฺตีติ ฌานาทิคุณปฎิลาโภ ฯ ปพฺพชิตสฺสปิ หิ คุณสมฺปนฺนเสฺสว อิชฺฌติ, โน อิตรสฺส ยถา สุเมธปณฺฑิตสฺสฯ โส หิ ปญฺจาภิโญฺญ จ อฎฺฐสมาปตฺติลาภี จ หุตฺวา ปณิเธสิฯ อธิกาโรติ อธิกกาโร, ปริจฺจาโคติ อโตฺถฯ ชีวิตาทิปริจฺจาคญฺหิ กตฺวา ปณิทหโตเยว อิชฺฌติ, โน อิตรสฺส ยถา สุเมธปณฺฑิตสฺสฯ โส หิ –

    Abhinīhāroti mūlapaṇidhānassetaṃ adhivacanaṃ. Tattha manussattanti manussajāti. Aññatra hi manussajātiyā avasesajātīsu devajātiyampi ṭhitassa paṇidhi na ijjhati, tattha ṭhitena pana buddhattaṃ patthayantena dānādīni puññakammāni katvā manussattaṃyeva patthetabbaṃ, tattha ṭhatvā paṇidhi kātabbo. Evañhi samijjhati. Liṅgasampattīti purisabhāvo. Mātugāmanapuṃsakaubhatobyañjanakānañhi manussajātiyaṃ ṭhitānampi paṇidhi na ijjhati. Tattha ṭhitena pana buddhattaṃ patthentena dānādīni puññakammāni katvā purisabhāvoyeva patthetabbo, tattha ṭhatvā paṇidhi kātabbo. Evañhi samijjhati. Hetūti arahattassa upanissayasampatti. Yo hi tasmiṃ attabhāve vāyamanto arahattaṃ pāpuṇituṃ samattho, tassa paṇidhi samijjhati, no itarassa yathā sumedhapaṇḍitassa. So hi dīpaṅkarapādamūle pabbajitvā tenattabhāvena arahattaṃ pāpuṇituṃ samattho ahosi. Satthāradassananti buddhānaṃ sammukhādassanaṃ. Evañhi ijjhati, no aññathā yathā sumedhapaṇḍitassa. So hi dīpaṅkaraṃ sammukhā disvā paṇidhiṃ akāsi. Pabbajjāti anagāriyabhāvo. So ca kho sāsane vā kammavādikiriyavāditāpasaparibbājakanikāye vā vaṭṭati yathā sumedhapaṇḍitassa. So hi sumedho nāma tāpaso hutvā paṇidhiṃ akāsi. Guṇasampattīti jhānādiguṇapaṭilābho . Pabbajitassapi hi guṇasampannasseva ijjhati, no itarassa yathā sumedhapaṇḍitassa. So hi pañcābhiñño ca aṭṭhasamāpattilābhī ca hutvā paṇidhesi. Adhikāroti adhikakāro, pariccāgoti attho. Jīvitādipariccāgañhi katvā paṇidahatoyeva ijjhati, no itarassa yathā sumedhapaṇḍitassa. So hi –

    ‘‘อกฺกมิตฺวาน มํ พุโทฺธ, สห สิเสฺสหิ คจฺฉตุ;

    ‘‘Akkamitvāna maṃ buddho, saha sissehi gacchatu;

    มา นํ กลเล อกฺกมิตฺถ, หิตาย เม ภวิสฺสตี’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๓);

    Mā naṃ kalale akkamittha, hitāya me bhavissatī’’ti. (bu. vaṃ. 2.53);

    เอวํ อตฺตปริจฺจาคํ กตฺวา ปณิเธสิฯ ฉนฺทตาติ กตฺตุกมฺยตาฯ สา ยสฺส พลวตี โหติ, ตสฺส อิชฺฌติ ปณิธิฯ สา จ สเจ โกจิ วเทยฺย ‘‘โก จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ นิรเย ปจฺจิตฺวา พุทฺธตฺตํ อิจฺฉตี’’ติฯ ตํ สุตฺวา โย ‘‘อห’’นฺติ วตฺตุํ อุสฺสหติ, ตสฺส พลวตีติ เวทิตพฺพาฯ ตถา ยทิ โกจิ วเทยฺย ‘‘โก สกลจกฺกวาฬํ วีตจฺจิกานํ องฺคารานํ ปูรํ อกฺกมิตฺวา พุทฺธตฺตํ อิจฺฉติ, โก สกลจกฺกวาฬํ สตฺติสูเลหิ อากิณฺณํ อกฺกมโนฺต อติกฺกมิตฺวา พุทฺธตฺตํ อิจฺฉติ, โก สกลจกฺกวาฬํ สมติตฺติกํ อุทกปุณฺณํ อุตฺตริตฺวา พุทฺธตฺตํ อิจฺฉติ, โก สกลจกฺกวาฬํ นิรนฺตรํ เวฬุคุมฺพสญฺฉนฺนํ มทฺทโนฺต อติกฺกมิตฺวา พุทฺธตฺตํ อิจฺฉตี’’ติ, ตํ สุตฺวา โย ‘‘อห’’นฺติ วตฺตุํ อุสฺสหติ, ตสฺส พลวตีติ เวทิตพฺพาฯ เอวรูเปน จ กตฺตุกมฺยตาฉเนฺทน สมนฺนาคโต สุเมธปณฺฑิโต ปณิเธสีติฯ

    Evaṃ attapariccāgaṃ katvā paṇidhesi. Chandatāti kattukamyatā. Sā yassa balavatī hoti, tassa ijjhati paṇidhi. Sā ca sace koci vadeyya ‘‘ko cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca niraye paccitvā buddhattaṃ icchatī’’ti. Taṃ sutvā yo ‘‘aha’’nti vattuṃ ussahati, tassa balavatīti veditabbā. Tathā yadi koci vadeyya ‘‘ko sakalacakkavāḷaṃ vītaccikānaṃ aṅgārānaṃ pūraṃ akkamitvā buddhattaṃ icchati, ko sakalacakkavāḷaṃ sattisūlehi ākiṇṇaṃ akkamanto atikkamitvā buddhattaṃ icchati, ko sakalacakkavāḷaṃ samatittikaṃ udakapuṇṇaṃ uttaritvā buddhattaṃ icchati, ko sakalacakkavāḷaṃ nirantaraṃ veḷugumbasañchannaṃ maddanto atikkamitvā buddhattaṃ icchatī’’ti, taṃ sutvā yo ‘‘aha’’nti vattuṃ ussahati, tassa balavatīti veditabbā. Evarūpena ca kattukamyatāchandena samannāgato sumedhapaṇḍito paṇidhesīti.

    เอวํ สมิทฺธาภินีหาโร จ โพธิสโตฺต อิมานิ อฎฺฐารส อภพฺพฎฺฐานานิ น อุเปติฯ โส หิ ตโต ปภุติ น ชจฺจโนฺธ โหติ น ชจฺจปธิโร, น อุมฺมตฺตโก, น เอฬมุโค, น ปีฐสปฺปิ , น มิลเกฺขสุ อุปฺปชฺชติ, น ทาสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺตติ, น นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิโก โหติ, นาสฺส ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, น ปญฺจานนฺตริยกมฺมานิ กโรติ, น กุฎฺฐี โหติ, น ติรจฺฉานโยนิยํ วฎฺฎกโต ปจฺฉิมตฺตภาโว หตฺถิโต อธิกตฺตภาโว โหติ, น ขุปฺปิปาสิกนิชฺฌามตณฺหิกเปเตสุ อุปฺปชฺชติ, น กาลกญฺจิกาสุเรสุ, น อวีจินิรเย, น โลกนฺตริเกสุ อุปฺปชฺชติฯ กามาวจเรสุ ปน น มาโร โหติ, รูปาวจเรสุ น อสญฺญีภเว, น สุทฺธาวาเสสุ อุปฺปชฺชติ, น อรูปภเวสุ, น อญฺญํ จกฺกวาฬํ สงฺกมติฯ

    Evaṃ samiddhābhinīhāro ca bodhisatto imāni aṭṭhārasa abhabbaṭṭhānāni na upeti. So hi tato pabhuti na jaccandho hoti na jaccapadhiro, na ummattako, na eḷamugo, na pīṭhasappi , na milakkhesu uppajjati, na dāsiyā kucchimhi nibbattati, na niyatamicchādiṭṭhiko hoti, nāssa liṅgaṃ parivattati, na pañcānantariyakammāni karoti, na kuṭṭhī hoti, na tiracchānayoniyaṃ vaṭṭakato pacchimattabhāvo hatthito adhikattabhāvo hoti, na khuppipāsikanijjhāmataṇhikapetesu uppajjati, na kālakañcikāsuresu, na avīciniraye, na lokantarikesu uppajjati. Kāmāvacaresu pana na māro hoti, rūpāvacaresu na asaññībhave, na suddhāvāsesu uppajjati, na arūpabhavesu, na aññaṃ cakkavāḷaṃ saṅkamati.

    ยา จิมา อุสฺสาโห จ อุมฺมโงฺค จ อวตฺถานญฺจ หิตจริยา จาติ จตโสฺส พุทฺธภูมิโย, ตาหิ สมนฺนาคโต โหติฯ ตตฺถ –

    Yā cimā ussāho ca ummaṅgo ca avatthānañca hitacariyā cāti catasso buddhabhūmiyo, tāhi samannāgato hoti. Tattha –

    ‘‘อุสฺสาโห วีริยํ วุตฺตํ, อุมฺมโงฺค ปญฺญา ปวุจฺจติ;

    ‘‘Ussāho vīriyaṃ vuttaṃ, ummaṅgo paññā pavuccati;

    อวตฺถานํ อธิฎฺฐานํ, หิตจริยา เมตฺตาภาวนา’’ติฯ –

    Avatthānaṃ adhiṭṭhānaṃ, hitacariyā mettābhāvanā’’ti. –

    เวทิตพฺพาฯ เย จ อิเม เนกฺขมฺมชฺฌาสโย, ปวิเวกชฺฌาสโย, อโลภชฺฌาสโย, อโทสชฺฌาสโย, อโมหชฺฌาสโย, นิสฺสรณชฺฌาสโยติ ฉ อชฺฌาสยา โพธิปริปากาย สํวตฺตนฺติ, เยหิ สมนฺนาคตตฺตา เนกฺขมฺมชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา กาเมสุ โทสทสฺสาวิโน, ปวิเวกชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา สงฺคณิกาย โทสทสฺสาวิโน, อโลภชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา โลเภ โทสทสฺสาวิโน, อโทสชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา โทเส โทสทสฺสาวิโน, อโมหชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา โมเห โทสทสฺสาวิโน, นิสฺสรณชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา สพฺพภเวสุ โทสทสฺสาวิโนติ วุจฺจนฺติ, เตหิ จ สมนฺนาคโต โหติฯ

    Veditabbā. Ye ca ime nekkhammajjhāsayo, pavivekajjhāsayo, alobhajjhāsayo, adosajjhāsayo, amohajjhāsayo, nissaraṇajjhāsayoti cha ajjhāsayā bodhiparipākāya saṃvattanti, yehi samannāgatattā nekkhammajjhāsayā ca bodhisattā kāmesu dosadassāvino, pavivekajjhāsayā ca bodhisattā saṅgaṇikāya dosadassāvino, alobhajjhāsayā ca bodhisattā lobhe dosadassāvino, adosajjhāsayā ca bodhisattā dose dosadassāvino, amohajjhāsayā ca bodhisattā mohe dosadassāvino, nissaraṇajjhāsayā ca bodhisattā sabbabhavesu dosadassāvinoti vuccanti, tehi ca samannāgato hoti.

    ปเจฺจกพุทฺธานํ ปน กีว จิรํ ปตฺถนา วฎฺฎตีติ? ปเจฺจกพุทฺธานํ เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ, ตโต โอรํ น สกฺกา, ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนเวตฺถ การณํ เวทิตพฺพํฯ เอตฺตเกนาปิ จ กาเลน ปเจฺจกพุทฺธตฺตํ ปตฺถยโต อภินีหารกรเณ ปญฺจ สมฺปตฺติโย อิจฺฉิตพฺพาฯ เตสญฺหิ –

    Paccekabuddhānaṃ pana kīva ciraṃ patthanā vaṭṭatīti? Paccekabuddhānaṃ dve asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca, tato oraṃ na sakkā, pubbe vuttanayenevettha kāraṇaṃ veditabbaṃ. Ettakenāpi ca kālena paccekabuddhattaṃ patthayato abhinīhārakaraṇe pañca sampattiyo icchitabbā. Tesañhi –

    ‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, วิคตาสวทสฺสนํ;

    ‘‘Manussattaṃ liṅgasampatti, vigatāsavadassanaṃ;

    อธิกาโร จ ฉนฺทตา, เอเต อภินีหารการณา’’ฯ

    Adhikāro ca chandatā, ete abhinīhārakāraṇā’’.

    ตตฺถ วิคตาสวทสฺสนนฺติ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวกานํ ยสฺส กสฺสจิ ทสฺสนนฺติ อโตฺถฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ

    Tattha vigatāsavadassananti buddhapaccekabuddhabuddhasāvakānaṃ yassa kassaci dassananti attho. Sesaṃ vuttanayameva.

    อถ ‘‘สาวกานํ ปตฺถนา กิตฺตกํ วฎฺฎตี’’ติ? ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานํ เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ กปฺปสตสหสฺสญฺจ, อสีติมหาสาวกานํ กปฺปสตสหสฺสเมวฯ ตถา พุทฺธสฺส มาตาปิตูนํ อุปฎฺฐากสฺส ปุตฺตสฺส จาติ, ตโต โอรํ น สกฺกา, ตตฺถ การณํ วุตฺตนยเมวฯ อิเมสํ ปน สเพฺพสมฺปิ อธิกาโร จ ฉนฺทตาติ ทฺวงฺคสมนฺนาคโตเยว อภินีหาโร โหติฯ

    Atha ‘‘sāvakānaṃ patthanā kittakaṃ vaṭṭatī’’ti? Dvinnaṃ aggasāvakānaṃ ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ kappasatasahassañca, asītimahāsāvakānaṃ kappasatasahassameva. Tathā buddhassa mātāpitūnaṃ upaṭṭhākassa puttassa cāti, tato oraṃ na sakkā, tattha kāraṇaṃ vuttanayameva. Imesaṃ pana sabbesampi adhikāro ca chandatāti dvaṅgasamannāgatoyeva abhinīhāro hoti.

    เอวํ อิมาย ปตฺถนาย อิมินา จ อภินีหาเรน ยถาวุตฺตปฺปเภทํ กาลํ ปารมิโย ปูเรตฺวา พุทฺธา โลเก อุปฺปชฺชนฺตา ขตฺติยกุเล วา พฺราหฺมณกุเล วา อุปฺปชฺชนฺติ, ปเจฺจกพุทฺธา ขตฺติยพฺราหฺมณคหปติกุลานํ อญฺญตรสฺมิํ, อคฺคสาวกา ปน พุทฺธา วิย ขตฺติยพฺราหฺมณกุเลเสฺววฯ สพฺพพุทฺธา สํวฎฺฎมาเน กเปฺป น อุปฺปชฺชนฺติ, วิวฎฺฎมาเน กเปฺป อุปฺปชฺชนฺติ, ตถา ปเจฺจกพุทฺธาฯ เต ปน พุทฺธานํ อุปฺปชฺชนกาเล น อุปฺปชฺชนฺติฯ พุทฺธา สยญฺจ พุชฺฌนฺติ, ปเร จ โพเธนฺติฯ ปเจฺจกพุทฺธา สยเมว พุชฺฌนฺติ, น ปเร โพเธนฺติฯ อตฺถรสเมว ปฎิวิชฺฌนฺติ, น ธมฺมรสํฯ น หิ เต โลกุตฺตรธมฺมํ ปญฺญตฺติํ อาโรเปตฺวา เทเสตุํ สโกฺกนฺติ, มูเคน ทิฎฺฐสุปิโน วิย วนจรเกน นคเร สายิตพฺยญฺชนรโส วิย จ เนสํ ธมฺมาภิสมโย โหติฯ สพฺพํ อิทฺธิสมาปตฺติปฎิสมฺภิทาปเภทํ ปาปุณนฺติฯ คุณวิสิฎฺฐตาย พุทฺธานํ เหฎฺฐา สาวกานํ อุปริ โหนฺติ, น อเญฺญ ปพฺพาเชตฺวา อาภิสมาจาริกํ สิกฺขาเปนฺติ, ‘‘จิตฺตสเลฺลโข กาตโพฺพ, โวสานํ นาปชฺชิตพฺพ’’นฺติ อิมินา อุเทฺทเสน อุโปสถํ กโรนฺติ, อชฺช อุโปสโถติ วจนมเตฺตน วา, อุโปสถํ กโรนฺตา จ คนฺธมาทเน มญฺชูสกรุกฺขมูเล รตนมาเฬ สนฺนิปติตฺวา กโรนฺตีติฯ เอวํ ภควา อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปเจฺจกพุทฺธานํ สพฺพาการปริปูรํ ปตฺถนญฺจ อภินีหารญฺจ กเถตฺวา อิทานิ อิมาย ปตฺถนาย อิมินา จ อภินีหาเรน สมุทาคเต เต เต ปเจฺจกพุเทฺธ กเถตุํ ‘‘สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑ’’นฺติอาทินา นเยน อิมํ ขคฺควิสาณสุตฺตํ อภาสิฯ อยํ ตาว อวิเสเสน ปุจฺฉาวสิโต ขคฺควิสาณสุตฺตสฺส อุปฺปตฺติฯ

    Evaṃ imāya patthanāya iminā ca abhinīhārena yathāvuttappabhedaṃ kālaṃ pāramiyo pūretvā buddhā loke uppajjantā khattiyakule vā brāhmaṇakule vā uppajjanti, paccekabuddhā khattiyabrāhmaṇagahapatikulānaṃ aññatarasmiṃ, aggasāvakā pana buddhā viya khattiyabrāhmaṇakulesveva. Sabbabuddhā saṃvaṭṭamāne kappe na uppajjanti, vivaṭṭamāne kappe uppajjanti, tathā paccekabuddhā. Te pana buddhānaṃ uppajjanakāle na uppajjanti. Buddhā sayañca bujjhanti, pare ca bodhenti. Paccekabuddhā sayameva bujjhanti, na pare bodhenti. Attharasameva paṭivijjhanti, na dhammarasaṃ. Na hi te lokuttaradhammaṃ paññattiṃ āropetvā desetuṃ sakkonti, mūgena diṭṭhasupino viya vanacarakena nagare sāyitabyañjanaraso viya ca nesaṃ dhammābhisamayo hoti. Sabbaṃ iddhisamāpattipaṭisambhidāpabhedaṃ pāpuṇanti. Guṇavisiṭṭhatāya buddhānaṃ heṭṭhā sāvakānaṃ upari honti, na aññe pabbājetvā ābhisamācārikaṃ sikkhāpenti, ‘‘cittasallekho kātabbo, vosānaṃ nāpajjitabba’’nti iminā uddesena uposathaṃ karonti, ajja uposathoti vacanamattena vā, uposathaṃ karontā ca gandhamādane mañjūsakarukkhamūle ratanamāḷe sannipatitvā karontīti. Evaṃ bhagavā āyasmato ānandassa paccekabuddhānaṃ sabbākāraparipūraṃ patthanañca abhinīhārañca kathetvā idāni imāya patthanāya iminā ca abhinīhārena samudāgate te te paccekabuddhe kathetuṃ ‘‘sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍa’’ntiādinā nayena imaṃ khaggavisāṇasuttaṃ abhāsi. Ayaṃ tāva avisesena pucchāvasito khaggavisāṇasuttassa uppatti.

    อิทานิ วิเสเสน วตฺตพฺพาฯ ตตฺถ อิมิสฺสา ตาว คาถาย เอวํ อุปฺปตฺติ เวทิตพฺพา – อยํ กิร ปเจฺจกพุโทฺธ ปเจฺจกโพธิสตฺตภูมิํ โอคาหโนฺต เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปารมิโย ปูเรตฺวา กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน ปพฺพชิตฺวา อารญฺญิโก หุตฺวา คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรโนฺต สมณธมฺมํ อกาสิฯ เอตํ กิร วตฺตํ อปริปูเรตฺวา ปเจฺจกโพธิํ ปาปุณโนฺต นาม นตฺถิ ฯ กิํ ปเนตํ คตปจฺจาคตวตฺตํ นาม? หรณปจฺจาหรณนฺติฯ ตํ ยถา วิภูตํ โหติ, ตถา กเถสฺสามฯ

    Idāni visesena vattabbā. Tattha imissā tāva gāthāya evaṃ uppatti veditabbā – ayaṃ kira paccekabuddho paccekabodhisattabhūmiṃ ogāhanto dve asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca pāramiyo pūretvā kassapassa bhagavato sāsane pabbajitvā āraññiko hutvā gatapaccāgatavattaṃ pūrento samaṇadhammaṃ akāsi. Etaṃ kira vattaṃ aparipūretvā paccekabodhiṃ pāpuṇanto nāma natthi . Kiṃ panetaṃ gatapaccāgatavattaṃ nāma? Haraṇapaccāharaṇanti. Taṃ yathā vibhūtaṃ hoti, tathā kathessāma.

    อิธ เอกโจฺจ ภิกฺขุ หรติ น ปจฺจาหรติ, เอกโจฺจ ปจฺจาหรติ น หรติ, เอกโจฺจ เนว หรติ น ปจฺจาหรติ, เอกโจฺจ หรติ จ ปจฺจาหรติ จฯ ตตฺถ โย ภิกฺขุ ปเคว วุฎฺฐาย เจติยงฺคณโพธิยงฺคณวตฺตํ กตฺวา โพธิรุเกฺข อุทกํ อาสิญฺจิตฺวา ปานียฆฎํ ปูเรตฺวา ปานียมาเฬ ฐเปตฺวา อาจริยวตฺตํ อุปชฺฌายวตฺตํ กตฺวา เทฺวอสีติ ขนฺธกวตฺตานิ จ จุทฺทส มหาวตฺตานิ สมาทาย วตฺตติฯ โส สรีรปริกมฺมํ กตฺวา เสนาสนํ ปวิสิตฺวา ยาว ภิกฺขาจารเวลา, ตาว วิวิตฺตาสเน วีตินาเมตฺวา เวลํ ญตฺวา นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา อุตฺตราสงฺคํ กตฺวา สงฺฆาฎิํ ขเนฺธ กริตฺวา ปตฺตํ อํเส อาลเคฺคตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรโนฺต เจติยงฺคณํ คนฺตฺวา เจติยญฺจ โพธิญฺจ วนฺทิตฺวา คามสมีเป จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตํ อาทาย คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติฯ เอวํ ปวิโฎฺฐ จ ลาภี ภิกฺขุ ปุญฺญวา อุปาสเกหิ สกฺกโต ครุกโต อุปฎฺฐากกุเล วา ปฎิกฺกมนสาลายํ วา ปฎิกฺกมิตฺวา อุปาสเกหิ ตํ ตํ ปญฺหํ ปุจฺฉิยมาโน เตสํ ปญฺหวิสฺสชฺชเนน ธมฺมเทสนาวิเกฺขเปน จ ตํ มนสิการํ ฉเฑฺฑตฺวา นิกฺขมติฯ วิหารํ อาคโตปิ ภิกฺขูหิ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ กเถติ, ธมฺมํ ภณติ, ตํ ตํ พฺยาปารญฺจ อาปชฺชติฯ ปจฺฉาภตฺตมฺปิ ปุริมยามมฺปิ มชฺฌิมยามมฺปิ เอวํ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ปปเญฺจตฺวา กายทุฎฺฐุลฺลาภิภูโต ปจฺฉิมยาเมปิ สยติ, เนว กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรติฯ อยํ วุจฺจติ ‘‘หรติ น ปจฺจาหรตี’’ติฯ

    Idha ekacco bhikkhu harati na paccāharati, ekacco paccāharati na harati, ekacco neva harati na paccāharati, ekacco harati ca paccāharati ca. Tattha yo bhikkhu pageva vuṭṭhāya cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇavattaṃ katvā bodhirukkhe udakaṃ āsiñcitvā pānīyaghaṭaṃ pūretvā pānīyamāḷe ṭhapetvā ācariyavattaṃ upajjhāyavattaṃ katvā dveasīti khandhakavattāni ca cuddasa mahāvattāni samādāya vattati. So sarīraparikammaṃ katvā senāsanaṃ pavisitvā yāva bhikkhācāravelā, tāva vivittāsane vītināmetvā velaṃ ñatvā nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā uttarāsaṅgaṃ katvā saṅghāṭiṃ khandhe karitvā pattaṃ aṃse ālaggetvā kammaṭṭhānaṃ manasi karonto cetiyaṅgaṇaṃ gantvā cetiyañca bodhiñca vanditvā gāmasamīpe cīvaraṃ pārupitvā pattaṃ ādāya gāmaṃ piṇḍāya pavisati. Evaṃ paviṭṭho ca lābhī bhikkhu puññavā upāsakehi sakkato garukato upaṭṭhākakule vā paṭikkamanasālāyaṃ vā paṭikkamitvā upāsakehi taṃ taṃ pañhaṃ pucchiyamāno tesaṃ pañhavissajjanena dhammadesanāvikkhepena ca taṃ manasikāraṃ chaḍḍetvā nikkhamati. Vihāraṃ āgatopi bhikkhūhi pañhaṃ puṭṭho katheti, dhammaṃ bhaṇati, taṃ taṃ byāpārañca āpajjati. Pacchābhattampi purimayāmampi majjhimayāmampi evaṃ bhikkhūhi saddhiṃ papañcetvā kāyaduṭṭhullābhibhūto pacchimayāmepi sayati, neva kammaṭṭhānaṃ manasi karoti. Ayaṃ vuccati ‘‘harati na paccāharatī’’ti.

    โย ปน พฺยาธิพหุโล โหติ, ภุตฺตาหาโร ปจฺจูสสมเย น สมฺมา ปริณมติฯ ปเคว วุฎฺฐาย ยถาวุตฺตํ วตฺตํ กาตุํ น สโกฺกติ กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิ กาตุํ, อญฺญทตฺถุ ยาคุํ วา ขชฺชกํ วา เภสชฺชํ วา ภตฺตํ วา ปตฺถยมาโน กาลเสฺสว ปตฺตจีวรมาทาย คามํ ปวิสติฯ ตตฺถ ยาคุํ วา ขชฺชกํ วา เภสชฺชํ วา ภตฺตํ วา ลทฺธา ปตฺตํ นีหริตฺวา ภตฺตกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสิโนฺน กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กริตฺวา วิเสสํ ปตฺวา วา อปตฺวา วา วิหารํ อาคนฺตฺวา เตเนว มนสิกาเรน วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ ‘‘ปจฺจาหรติ น หรตี’’ติฯ เอทิสา หิ ภิกฺขู ยาคุํ ปิวิตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา พุทฺธสาสเน อรหตฺตํ ปตฺตา คณนปถํ วีติวตฺตา, สีหฬทีเปเยว เตสุ เตสุ คาเมสุ อาสนสาลายํ ตํ อาสนํ นตฺถิ, ยตฺถ ภิกฺขู นิสินฺนา ยาคุํ ปิวิตฺวา อรหตฺตํ อปฺปตฺตาฯ

    Yo pana byādhibahulo hoti, bhuttāhāro paccūsasamaye na sammā pariṇamati. Pageva vuṭṭhāya yathāvuttaṃ vattaṃ kātuṃ na sakkoti kammaṭṭhānaṃ vā manasi kātuṃ, aññadatthu yāguṃ vā khajjakaṃ vā bhesajjaṃ vā bhattaṃ vā patthayamāno kālasseva pattacīvaramādāya gāmaṃ pavisati. Tattha yāguṃ vā khajjakaṃ vā bhesajjaṃ vā bhattaṃ vā laddhā pattaṃ nīharitvā bhattakiccaṃ niṭṭhāpetvā paññattāsane nisinno kammaṭṭhānaṃ manasi karitvā visesaṃ patvā vā apatvā vā vihāraṃ āgantvā teneva manasikārena viharati. Ayaṃ vuccati ‘‘paccāharati na haratī’’ti. Edisā hi bhikkhū yāguṃ pivitvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā buddhasāsane arahattaṃ pattā gaṇanapathaṃ vītivattā, sīhaḷadīpeyeva tesu tesu gāmesu āsanasālāyaṃ taṃ āsanaṃ natthi, yattha bhikkhū nisinnā yāguṃ pivitvā arahattaṃ appattā.

    โย ปน ปมาทวิหารี โหติ นิกฺขิตฺตธุโร, สพฺพวตฺตานิ ภินฺทิตฺวา ปญฺจวิธเจโตขิลวินิพนฺธนพทฺธจิโตฺต วิหรโนฺต กมฺมฎฺฐานมนสิการมนนุยุโตฺต คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา คิหีหิ สทฺธิํ กถาปปเญฺจน ปปญฺจิโต ตุจฺฉโกว นิกฺขมติฯ อยํ วุจฺจติ ‘‘เนว หรติ น ปจฺจาหรตี’’ติฯ

    Yo pana pamādavihārī hoti nikkhittadhuro, sabbavattāni bhinditvā pañcavidhacetokhilavinibandhanabaddhacitto viharanto kammaṭṭhānamanasikāramananuyutto gāmaṃ piṇḍāya pavisitvā gihīhi saddhiṃ kathāpapañcena papañcito tucchakova nikkhamati. Ayaṃ vuccati ‘‘neva harati na paccāharatī’’ti.

    โย ปน ปเคว วุฎฺฐาย ปุริมนเยเนว สพฺพวตฺตานิ ปริปูเรตฺวา ยาว ภิกฺขาจารเวลา, ตาว ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรติฯ กมฺมฎฺฐานํ นาม ทุวิธํ – สพฺพตฺถกญฺจ ปาริหาริยญฺจฯ ตตฺถ สพฺพตฺถกํ นาม เมตฺตา จ มรณานุสฺสติ จฯ ตญฺหิ สพฺพตฺถ อตฺถยิตพฺพํ อิจฺฉิตพฺพนฺติ ‘‘สพฺพตฺถก’’นฺติ วุจฺจติฯ เมตฺตา นาม อาวาสาทีสุ สพฺพตฺถ อิจฺฉิตพฺพาฯ อาวาเสสุ หิ เมตฺตาวิหารี ภิกฺขุ สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย โหติ มนาโป, เตน ผาสุ อสงฺฆโฎฺฐ วิหรติฯ เทวตาสุ เมตฺตาวิหารี เทวตาหิ รกฺขิตโคปิโต สุขํ วิหรติฯ ราชราชมหามตฺตาทีสุ เมตฺตาวิหารี เตหิ มมายิโต สุขํ วิหรติฯ คามนิคมาทีสุ เมตฺตาวิหารี สพฺพตฺถ ภิกฺขาจริยาทีสุ มนุเสฺสหิ สกฺกโต ครุกโต สุขํ วิหรติฯ มรณานุสฺสติภาวนาย ชีวิตนิกนฺติํ ปหาย อปฺปมโตฺต วิหรติฯ

    Yo pana pageva vuṭṭhāya purimanayeneva sabbavattāni paripūretvā yāva bhikkhācāravelā, tāva pallaṅkaṃ ābhujitvā kammaṭṭhānaṃ manasi karoti. Kammaṭṭhānaṃ nāma duvidhaṃ – sabbatthakañca pārihāriyañca. Tattha sabbatthakaṃ nāma mettā ca maraṇānussati ca. Tañhi sabbattha atthayitabbaṃ icchitabbanti ‘‘sabbatthaka’’nti vuccati. Mettā nāma āvāsādīsu sabbattha icchitabbā. Āvāsesu hi mettāvihārī bhikkhu sabrahmacārīnaṃ piyo hoti manāpo, tena phāsu asaṅghaṭṭho viharati. Devatāsu mettāvihārī devatāhi rakkhitagopito sukhaṃ viharati. Rājarājamahāmattādīsu mettāvihārī tehi mamāyito sukhaṃ viharati. Gāmanigamādīsu mettāvihārī sabbattha bhikkhācariyādīsu manussehi sakkato garukato sukhaṃ viharati. Maraṇānussatibhāvanāya jīvitanikantiṃ pahāya appamatto viharati.

    ยํ ปน สทา ปริหริตพฺพํ จริยานุกูเลน คหิตํฯ ตํ ทสาสุภกสิณานุสฺสตีสุ อญฺญตรํ, จตุธาตุววตฺถานเมว วา, ตํ สทา ปริหริตพฺพโต รกฺขิตพฺพโต ภาเวตพฺพโต จ ‘‘ปาริหาริย’’นฺติ วุจฺจติ, มูลกมฺมฎฺฐานนฺติปิ ตเทวฯ อตฺถกามา หิ กุลปุตฺตา สาสเน ปพฺพชิตฺวา ทสปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ จตฺตาลีสมฺปิ ปญฺญาสมฺปิ สตมฺปิ เอกโต วสนฺตา กติกวตฺตํ กตฺวา วิหรนฺติ – ‘‘อาวุโส, ตุเมฺห น อิณฎฺฎา น ภยฎฺฎา น ชีวิกาปกตา ปพฺพชิตา, ทุกฺขา มุจฺจิตุกามา ปเนตฺถ ปพฺพชิตาฯ ตสฺมา คมเน อุปฺปนฺนกิเลเส คมเนเยว นิคฺคณฺหถ, ฐาเน, นิสชฺชาย, สยเน อุปฺปนฺนกิเลเส สยเนเยว นิคฺคณฺหถา’’ติฯ

    Yaṃ pana sadā pariharitabbaṃ cariyānukūlena gahitaṃ. Taṃ dasāsubhakasiṇānussatīsu aññataraṃ, catudhātuvavatthānameva vā, taṃ sadā pariharitabbato rakkhitabbato bhāvetabbato ca ‘‘pārihāriya’’nti vuccati, mūlakammaṭṭhānantipi tadeva. Atthakāmā hi kulaputtā sāsane pabbajitvā dasapi vīsampi tiṃsampi cattālīsampi paññāsampi satampi ekato vasantā katikavattaṃ katvā viharanti – ‘‘āvuso, tumhe na iṇaṭṭā na bhayaṭṭā na jīvikāpakatā pabbajitā, dukkhā muccitukāmā panettha pabbajitā. Tasmā gamane uppannakilese gamaneyeva niggaṇhatha, ṭhāne, nisajjāya, sayane uppannakilese sayaneyeva niggaṇhathā’’ti.

    เต เอวํ กติกวตฺตํ กตฺวา ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺตา อฑฺฒอุสภอุสภอฑฺฒคาวุตคาวุตนฺตเรสุ ปาสาณา โหนฺติ, ตาย สญฺญาย กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรนฺตาว คจฺฉนฺติฯ สเจ กสฺสจิ คมเน กิเลโส อุปฺปชฺชติ, โส ตเตฺถว นํ นิคฺคณฺหาติฯ ตถา อสโกฺกโนฺต ติฎฺฐติ, อถสฺส ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺตปิ ติฎฺฐติฯ โส ‘‘อยํ ภิกฺขุ ตุยฺหํ อุปฺปนฺนํ วิตกฺกํ ชานาติ, อนนุจฺฉวิกํ เต เอต’’นฺติ อตฺตานํ ปฎิโจเทตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ตเตฺถว อริยภูมิํ โอกฺกมติฯ ตถา อสโกฺกโนฺต นิสีทติฯ อถสฺส ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺตปิ นิสีทตีติฯ โสเยว นโย อริยภูมิํ โอกฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺตปิ ตํ กิเลสํ วิกฺขเมฺภตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺตว คจฺฉติ , น กมฺมฎฺฐานวิปฺปยุเตฺตน จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรติฯ อุทฺธรติ เจ, ปฎินิวตฺติตฺวา ปุริมปเทเสเยว ติฎฺฐติฯ อาลินฺทกวาสี มหาผุสฺสเทวเตฺถโร วิยฯ

    Te evaṃ katikavattaṃ katvā bhikkhācāraṃ gacchantā aḍḍhausabhausabhaaḍḍhagāvutagāvutantaresu pāsāṇā honti, tāya saññāya kammaṭṭhānaṃ manasikarontāva gacchanti. Sace kassaci gamane kileso uppajjati, so tattheva naṃ niggaṇhāti. Tathā asakkonto tiṭṭhati, athassa pacchato āgacchantopi tiṭṭhati. So ‘‘ayaṃ bhikkhu tuyhaṃ uppannaṃ vitakkaṃ jānāti, ananucchavikaṃ te eta’’nti attānaṃ paṭicodetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā tattheva ariyabhūmiṃ okkamati. Tathā asakkonto nisīdati. Athassa pacchato āgacchantopi nisīdatīti. Soyeva nayo ariyabhūmiṃ okkamituṃ asakkontopi taṃ kilesaṃ vikkhambhetvā kammaṭṭhānaṃ manasikarontova gacchati , na kammaṭṭhānavippayuttena cittena pādaṃ uddharati. Uddharati ce, paṭinivattitvā purimapadeseyeva tiṭṭhati. Ālindakavāsī mahāphussadevatthero viya.

    โส กิร เอกูนวีสติวสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรโนฺต เอวํ วิหาสิฯ มนุสฺสาปิ สุทํ อนฺตรามเคฺค กสนฺตา จ วปนฺตา จ มทฺทนฺตา จ กมฺมานิ กโรนฺตา จ เถรํ ตถา คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ เถโร ปุนปฺปุนํ นิวตฺติตฺวา คจฺฉติ, กิํ นุ โข มคฺคมูโฬฺห, อุทาหุ กิญฺจิ ปมุโฎฺฐ’’ติ สมุลฺลปนฺติฯ โส ตํ อนาทิยิตฺวา กมฺมฎฺฐานยุเตฺตน จิเตฺตเนว สมณธมฺมํ กโรโนฺต วีสติวสฺสพฺภนฺตเร อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อรหตฺตปตฺตทิวเสเยวสฺส จงฺกมนโกฎิยํ อธิวตฺถา เทวตา องฺคุลีหิ ทีปํ อุชฺชาเลตฺวา อฎฺฐาสิ, จตฺตาโรปิ มหาราชาโน สโกฺก จ เทวานมิโนฺท พฺรหฺมา จ สหมฺปติ อุปฎฺฐานํ อาคมิํสุฯ ตญฺจ โอภาสํ ทิสฺวา วนวาสี มหาติสฺสเตฺถโร ตํ ทุติยทิวเส ปุจฺฉิ – ‘‘รตฺติภาเค อายสฺมโต สนฺติเก โอภาโส อโหสิ, กิํ โส’’ติ? เถโร วิเกฺขปํ กโรโนฺต ‘‘โอภาโส นาม ทีโปภาโสปิ โหติ มณิโอภาโสปี’’ติ เอวมาทิมาหฯ โส ‘‘ปฎิจฺฉาเทถ ตุเมฺห’’ติ นิพโทฺธ ‘‘อามา’’ติ ปฎิชานิตฺวา อาโรเจสิฯ

    So kira ekūnavīsativassāni gatapaccāgatavattaṃ pūrento evaṃ vihāsi. Manussāpi sudaṃ antarāmagge kasantā ca vapantā ca maddantā ca kammāni karontā ca theraṃ tathā gacchantaṃ disvā ‘‘ayaṃ thero punappunaṃ nivattitvā gacchati, kiṃ nu kho maggamūḷho, udāhu kiñci pamuṭṭho’’ti samullapanti. So taṃ anādiyitvā kammaṭṭhānayuttena citteneva samaṇadhammaṃ karonto vīsativassabbhantare arahattaṃ pāpuṇi. Arahattapattadivaseyevassa caṅkamanakoṭiyaṃ adhivatthā devatā aṅgulīhi dīpaṃ ujjāletvā aṭṭhāsi, cattāropi mahārājāno sakko ca devānamindo brahmā ca sahampati upaṭṭhānaṃ āgamiṃsu. Tañca obhāsaṃ disvā vanavāsī mahātissatthero taṃ dutiyadivase pucchi – ‘‘rattibhāge āyasmato santike obhāso ahosi, kiṃ so’’ti? Thero vikkhepaṃ karonto ‘‘obhāso nāma dīpobhāsopi hoti maṇiobhāsopī’’ti evamādimāha. So ‘‘paṭicchādetha tumhe’’ti nibaddho ‘‘āmā’’ti paṭijānitvā ārocesi.

    กาฬวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร วิย จฯ โสปิ กิร คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรโนฺต ‘‘ปฐมํ ตาว ภควโต มหาปธานํ ปูเชสฺสามี’’ติ สตฺต วสฺสานิ ฐานจงฺกมเมว อธิฎฺฐาสิ, ปุน โสฬส วสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เอวํ กมฺมฎฺฐานมนุยุตฺตจิเตฺตเนว ปาทํ อุทฺธรโนฺต วิปฺปยุเตฺตน จิเตฺตน อุทฺธเฎ ปฎินิวตฺตโนฺต คามสมีปํ คนฺตฺวา ‘‘คาวี นุ โข ปพฺพชิโต นุ โข’’ติ อาสงฺกนียปฺปเทเส ฐตฺวา สงฺฆาฎิํ ปารุปิตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา คามทฺวารํ ปตฺวา กจฺฉกนฺตรโต อุทกํ คเหตฺวา คณฺฑูสํ กตฺวา คามํ ปวิสติ ‘‘ภิกฺขํ วา ทาตุํ วนฺทิตุํ วา อุปคเต มนุเสฺส ‘ทีฆายุกา โหถา’ติ วจนมเตฺตนาปิ มา เม กมฺมฎฺฐานวิเกฺขโป อโหสี’’ติฯ สเจ ปน นํ ‘‘อชฺช, ภเนฺต, กิํ สตฺตมี, อุทาหุ อฎฺฐมี’’ติ ทิวสํ ปุจฺฉนฺติ, อุทกํ คิลิตฺวา อาโรเจติฯ สเจ ทิวสปุจฺฉกา น โหนฺติ, นิกฺขมนเวลายํ คามทฺวาเร นิฎฺฐุภิตฺวาว ยาติฯ

    Kāḷavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero viya ca. Sopi kira gatapaccāgatavattaṃ pūrento ‘‘paṭhamaṃ tāva bhagavato mahāpadhānaṃ pūjessāmī’’ti satta vassāni ṭhānacaṅkamameva adhiṭṭhāsi, puna soḷasa vassāni gatapaccāgatavattaṃ pūretvā arahattaṃ pāpuṇi. Evaṃ kammaṭṭhānamanuyuttacitteneva pādaṃ uddharanto vippayuttena cittena uddhaṭe paṭinivattanto gāmasamīpaṃ gantvā ‘‘gāvī nu kho pabbajito nu kho’’ti āsaṅkanīyappadese ṭhatvā saṅghāṭiṃ pārupitvā pattaṃ gahetvā gāmadvāraṃ patvā kacchakantarato udakaṃ gahetvā gaṇḍūsaṃ katvā gāmaṃ pavisati ‘‘bhikkhaṃ vā dātuṃ vandituṃ vā upagate manusse ‘dīghāyukā hothā’ti vacanamattenāpi mā me kammaṭṭhānavikkhepo ahosī’’ti. Sace pana naṃ ‘‘ajja, bhante, kiṃ sattamī, udāhu aṭṭhamī’’ti divasaṃ pucchanti, udakaṃ gilitvā āroceti. Sace divasapucchakā na honti, nikkhamanavelāyaṃ gāmadvāre niṭṭhubhitvāva yāti.

    สีหฬทีเป กลมฺพติตฺถวิหาเร วสฺสูปคตา ปญฺญาส ภิกฺขู วิย จฯ เต กิร วสฺสูปนายิกอุโปสถทิวเส กติกวตฺตํ อกํสุ – ‘‘อรหตฺตํ อปฺปตฺวา น อญฺญมญฺญํ อาลปิสฺสามา’’ติฯ คามญฺจ ปิณฺฑาย ปวิสนฺตา คามทฺวาเร อุทกคณฺฑูสํ กตฺวา ปวิสิํสุ, ทิวเส ปุจฺฉิเต อุทกํ คิลิตฺวา อาโรเจสุํ, อปุจฺฉิเต คามทฺวาเร นิฎฺฐุภิตฺวา วิหารํ อาคมํสุฯ ตตฺถ มนุสฺสา นิฎฺฐุภนฎฺฐานํ ทิสฺวา ชานิํสุ – ‘‘อชฺช เอโก อาคโต, อชฺช เทฺว’’ติ ฯ เอวญฺจ จิเนฺตสุํ – ‘‘กิํ นุ โข เอเต อเมฺหเหว สทฺธิํ น สลฺลปนฺติ , อุทาหุ อญฺญมญฺญมฺปิ, ยทิ อญฺญมญฺญมฺปิ น สลฺลปนฺติ, อทฺธา วิวาทชาตา ภวิสฺสนฺติ, หนฺท เนสํ อญฺญมญฺญํ ขมาเปสฺสามา’’ติฯ สเพฺพ วิหารํ อคมํสุฯ ตตฺถ ปญฺญาสาย ภิกฺขูสุ วสฺสํ อุปคเตสุ เทฺว ภิกฺขู เอโกกาเส นาทฺทสํสุฯ ตโต เตสุ โย จกฺขุมา ปุริโส, โส เอวมาห – ‘‘น, โภ, กลหการกานํ วสโนกาโส อีทิโส โหติ, สุสมฺมฎฺฐํ เจติยงฺคณํ โพธิยงฺคณํ, สุนิกฺขิตฺตา สมฺมชฺชนิโย, สูปฎฺฐปิตํ ปานียปริโภชนีย’’นฺติ, เต ตโต นิวตฺตาฯ เตปิ ภิกฺขู อโนฺตวเสฺสเยว วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา มหาปวารณาย วิสุทฺธิปวารณํ ปวาเรสุํฯ

    Sīhaḷadīpe kalambatitthavihāre vassūpagatā paññāsa bhikkhū viya ca. Te kira vassūpanāyikauposathadivase katikavattaṃ akaṃsu – ‘‘arahattaṃ appatvā na aññamaññaṃ ālapissāmā’’ti. Gāmañca piṇḍāya pavisantā gāmadvāre udakagaṇḍūsaṃ katvā pavisiṃsu, divase pucchite udakaṃ gilitvā ārocesuṃ, apucchite gāmadvāre niṭṭhubhitvā vihāraṃ āgamaṃsu. Tattha manussā niṭṭhubhanaṭṭhānaṃ disvā jāniṃsu – ‘‘ajja eko āgato, ajja dve’’ti . Evañca cintesuṃ – ‘‘kiṃ nu kho ete amheheva saddhiṃ na sallapanti , udāhu aññamaññampi, yadi aññamaññampi na sallapanti, addhā vivādajātā bhavissanti, handa nesaṃ aññamaññaṃ khamāpessāmā’’ti. Sabbe vihāraṃ agamaṃsu. Tattha paññāsāya bhikkhūsu vassaṃ upagatesu dve bhikkhū ekokāse nāddasaṃsu. Tato tesu yo cakkhumā puriso, so evamāha – ‘‘na, bho, kalahakārakānaṃ vasanokāso īdiso hoti, susammaṭṭhaṃ cetiyaṅgaṇaṃ bodhiyaṅgaṇaṃ, sunikkhittā sammajjaniyo, sūpaṭṭhapitaṃ pānīyaparibhojanīya’’nti, te tato nivattā. Tepi bhikkhū antovasseyeva vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ patvā mahāpavāraṇāya visuddhipavāraṇaṃ pavāresuṃ.

    เอวํ กาฬวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร วิย กลมฺพติตฺถวิหาเร วสฺสูปคตา ภิกฺขู วิย จ กมฺมฎฺฐานยุเตฺตเนว จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรโนฺต คามสมีปํ คนฺตฺวา อุทกคณฺฑูสํ กตฺวา วีถิโย สลฺลเกฺขตฺวา ยตฺถ สุราโสณฺฑธุตฺตาทโย กลหการกา จณฺฑหตฺถิอสฺสาทโย วา นตฺถิ, ตํ วีถิํ ปฎิปชฺชติฯ ตตฺถ จ ปิณฺฑาย จรโนฺต น ตุริตตุริโต ชเวน คจฺฉติ, ชวนปิณฺฑปาติกธุตงฺคํ นาม นตฺถิ, วิสมภูมิภาคปฺปตฺตํ ปน อุทกภริตสกฎมิว นิจฺจโล หุตฺวา คจฺฉติฯ อนุฆรํ ปวิโฎฺฐ จ ทาตุกามํ วา อทาตุกามํ วา สลฺลเกฺขตุํ ตทนุรูปํ กาลํ อาคเมโนฺต ภิกฺขํ คเหตฺวา ปติรูเป โอกาเส นิสีทิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺต อาหาเร ปฎิกฺกูลสญฺญํ อุปฎฺฐเปตฺวา อกฺขพฺภญฺชนวณาเลปนปุตฺตมํสูปมาวเสน ปจฺจเวกฺขโนฺต อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อาหารํ อาหาเรติ เนว ทวาย น มทาย…เป.… ภุตฺตาวี จ อุทกกิจฺจํ กตฺวา มุหุตฺตํ ภตฺตกิลมถํ วิโนเทตฺวา ยถา ปุเรภตฺตํ, เอวํ ปจฺฉาภตฺตํ, ปุริมยามํ ปจฺฉิมยามญฺจ กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรติฯ อยํ วุจฺจติ ‘‘หรติ จ ปจฺจาหรติ จา’’ติฯ เอวเมตํ หรณปจฺจาหรณํ คตปจฺจาคตวตฺตนฺติ วุจฺจติฯ

    Evaṃ kāḷavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero viya kalambatitthavihāre vassūpagatā bhikkhū viya ca kammaṭṭhānayutteneva cittena pādaṃ uddharanto gāmasamīpaṃ gantvā udakagaṇḍūsaṃ katvā vīthiyo sallakkhetvā yattha surāsoṇḍadhuttādayo kalahakārakā caṇḍahatthiassādayo vā natthi, taṃ vīthiṃ paṭipajjati. Tattha ca piṇḍāya caranto na turitaturito javena gacchati, javanapiṇḍapātikadhutaṅgaṃ nāma natthi, visamabhūmibhāgappattaṃ pana udakabharitasakaṭamiva niccalo hutvā gacchati. Anugharaṃ paviṭṭho ca dātukāmaṃ vā adātukāmaṃ vā sallakkhetuṃ tadanurūpaṃ kālaṃ āgamento bhikkhaṃ gahetvā patirūpe okāse nisīditvā kammaṭṭhānaṃ manasikaronto āhāre paṭikkūlasaññaṃ upaṭṭhapetvā akkhabbhañjanavaṇālepanaputtamaṃsūpamāvasena paccavekkhanto aṭṭhaṅgasamannāgataṃ āhāraṃ āhāreti neva davāya na madāya…pe… bhuttāvī ca udakakiccaṃ katvā muhuttaṃ bhattakilamathaṃ vinodetvā yathā purebhattaṃ, evaṃ pacchābhattaṃ, purimayāmaṃ pacchimayāmañca kammaṭṭhānaṃ manasi karoti. Ayaṃ vuccati ‘‘harati ca paccāharati cā’’ti. Evametaṃ haraṇapaccāharaṇaṃ gatapaccāgatavattanti vuccati.

    เอตํ ปูเรโนฺต ยทิ อุปนิสฺสยสมฺปโนฺน โหติ, ปฐมวเย เอว อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ โน เจ ปฐมวเย ปาปุณาติ, อถ มชฺฌิมวเย ปาปุณาติฯ โน เจ มชฺฌิมวเย ปาปุณาติ, อถ มรณสมเย ปาปุณาติฯ โน เจ มรณสมเย ปาปุณาติ, อถ เทวปุโตฺต หุตฺวา ปาปุณาติฯ โน เจ เทวปุโตฺต หุตฺวา ปาปุณาติ, อถ ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ปรินิพฺพาติฯ โน เจ ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ปรินิพฺพาติ, อถ พุทฺธานํ สมฺมุขีภาเว ขิปฺปาภิโญฺญ โหติ เสยฺยถาปิ เถโร พาหิโย, มหาปโญฺญ วา โหติ เสยฺยถาปิ เถโร สาริปุโตฺตติฯ

    Etaṃ pūrento yadi upanissayasampanno hoti, paṭhamavaye eva arahattaṃ pāpuṇāti. No ce paṭhamavaye pāpuṇāti, atha majjhimavaye pāpuṇāti. No ce majjhimavaye pāpuṇāti, atha maraṇasamaye pāpuṇāti. No ce maraṇasamaye pāpuṇāti, atha devaputto hutvā pāpuṇāti. No ce devaputto hutvā pāpuṇāti, atha paccekasambuddho hutvā parinibbāti. No ce paccekasambuddho hutvā parinibbāti, atha buddhānaṃ sammukhībhāve khippābhiñño hoti seyyathāpi thero bāhiyo, mahāpañño vā hoti seyyathāpi thero sāriputtoti.

    อยํ ปน ปเจฺจกโพธิสโตฺต กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน ปพฺพชิตฺวา อารญฺญิโก หุตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ เอตํ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา กาลํ กตฺวา กามาวจรเทวโลเก อุปฺปชฺชิฯ ตโต จวิตฺวา พาราณสิรโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ กุสลา อิตฺถิโย ตทเหว คพฺภสณฺฐานํ ชานนฺติฯ สา จ ตาสํ อญฺญตรา , ตสฺมา เอสาปิ ตํ คพฺภปติฎฺฐานํ รโญฺญ นิเวเทสิฯ ธมฺมตา เอสา, ยํ ปุญฺญวเนฺต สเตฺต คเพฺภ อุปฺปเนฺน มาตุคาโม คพฺภปริหารํ ลภติฯ ตสฺมา ราชา ตสฺสา คพฺภปริหารํ อทาสิฯ สา ตโต ปภุติ นาจฺจุณฺหํ กิญฺจิ อโชฺฌหริตุํ ลภติ, นาติสีตํ นาจฺจมฺพิลํ นาติโลณํ นาติกฎุกํ นาติติตฺตกํฯ อจฺจุเณฺห หิ มาตรา อโชฺฌหเฎ คพฺภสฺส โลหกุมฺภิวาโส วิย โหติ, อติสีเต โลกนฺตริกวาโส วิย, อจฺจมฺพิลโลณกฎุกติตฺตเกสุ ภุเตฺตสุ สเตฺถน ผาเลตฺวา อมฺพิลาทีหิ สิตฺตานิ วิย ทารกสฺส องฺคานิ ติพฺพเวทนานิ โหนฺติฯ อติจงฺกมนฎฺฐานนิสชฺชสยนโตปิ นํ นิวาเรนฺติ ‘‘กุจฺฉิคตสฺส สญฺจลนทุกฺขํ มา อโหสี’’ติฯ มุทุกตฺถรณตฺถตาย ภูมิยา จงฺกมนาทีนิ มตฺตาย กาตุํ ลภติ, วณฺณคนฺธาทิสมฺปนฺนํ สาทุํ สปฺปายํ อนฺนปานํ ภุญฺชิตุํ ลภติฯ ปริคฺคเหตฺวาว นํ จงฺกมาเปนฺติ นิสีทาเปนฺติ วุฎฺฐาเปนฺติฯ

    Ayaṃ pana paccekabodhisatto kassapassa bhagavato sāsane pabbajitvā āraññiko hutvā vīsati vassasahassāni etaṃ gatapaccāgatavattaṃ pūretvā kālaṃ katvā kāmāvacaradevaloke uppajji. Tato cavitvā bārāṇasirañño aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ aggahesi. Kusalā itthiyo tadaheva gabbhasaṇṭhānaṃ jānanti. Sā ca tāsaṃ aññatarā , tasmā esāpi taṃ gabbhapatiṭṭhānaṃ rañño nivedesi. Dhammatā esā, yaṃ puññavante satte gabbhe uppanne mātugāmo gabbhaparihāraṃ labhati. Tasmā rājā tassā gabbhaparihāraṃ adāsi. Sā tato pabhuti nāccuṇhaṃ kiñci ajjhoharituṃ labhati, nātisītaṃ nāccambilaṃ nātiloṇaṃ nātikaṭukaṃ nātitittakaṃ. Accuṇhe hi mātarā ajjhohaṭe gabbhassa lohakumbhivāso viya hoti, atisīte lokantarikavāso viya, accambilaloṇakaṭukatittakesu bhuttesu satthena phāletvā ambilādīhi sittāni viya dārakassa aṅgāni tibbavedanāni honti. Aticaṅkamanaṭṭhānanisajjasayanatopi naṃ nivārenti ‘‘kucchigatassa sañcalanadukkhaṃ mā ahosī’’ti. Mudukattharaṇatthatāya bhūmiyā caṅkamanādīni mattāya kātuṃ labhati, vaṇṇagandhādisampannaṃ sāduṃ sappāyaṃ annapānaṃ bhuñjituṃ labhati. Pariggahetvāva naṃ caṅkamāpenti nisīdāpenti vuṭṭhāpenti.

    สา เอวํ ปริหริยมานา คพฺภปริปากกาเล สูติฆรํ ปวิสิตฺวา ปจฺจูสสมเย ปุตฺตํ วิชายิ ปกฺกเตลมทฺทิตมโนสิลาปิณฺฑิสทิสํ ธญฺญปุญฺญลกฺขณูเปตํฯ ตโต นํ ปญฺจมทิวเส อลงฺกตปฎิยตฺตํ รโญฺญ ทเสฺสสุํ, ราชา ตุโฎฺฐ ฉสฎฺฐิยา ธาตีหิ อุปฎฺฐาเปสิฯ โส สพฺพสมฺปตฺตีหิ วฑฺฒมาโน นจิรเสฺสว วิญฺญุตํ ปาปุณิฯ โสฬสวสฺสุเทฺทสิกํ นํ ราชา รเชฺชน อภิสิญฺจิ, วิวิธนาฎกาหิ จ อุปฎฺฐาเปสิฯ อภิสิโตฺต ราชปุโตฺต รชฺชํ กาเรสิ นาเมน พฺรหฺมทโตฺต, สกลชมฺพุทีเป วีสติยา นครสหเสฺสสุฯ ชมฺพุทีเป กิร ปุเพฺพ จตุราสีติ นครสตสหสฺสานิ อเหสุํ, ตานิ ปริหายนฺตานิ สฎฺฐิ อเหสุํ, ตโต ปริหายนฺตานิ จตฺตาลีสํ, สพฺพปริหายนกาเล ปน วีสติสหสฺสานิ โหนฺติฯ อยญฺจ พฺรหฺมทโตฺต สพฺพปริหายนกาเล อุปฺปชฺชิ, เตนสฺส วีสติ นครสหสฺสานิ อเหสุํ วีสติ ปาสาทสหสฺสานิ, วีสติ หตฺถิสหสฺสานิ, วีสติ อสฺสสหสฺสานิ, วีสติ รถสหสฺสานิ, วีสติ ปตฺติสหสฺสานิ, วีสติ อิตฺถิสหสฺสานิ โอโรธา จ นาฎกิตฺถิโย จ, วีสติ อมจฺจสหสฺสานิฯ

    Sā evaṃ parihariyamānā gabbhaparipākakāle sūtigharaṃ pavisitvā paccūsasamaye puttaṃ vijāyi pakkatelamadditamanosilāpiṇḍisadisaṃ dhaññapuññalakkhaṇūpetaṃ. Tato naṃ pañcamadivase alaṅkatapaṭiyattaṃ rañño dassesuṃ, rājā tuṭṭho chasaṭṭhiyā dhātīhi upaṭṭhāpesi. So sabbasampattīhi vaḍḍhamāno nacirasseva viññutaṃ pāpuṇi. Soḷasavassuddesikaṃ naṃ rājā rajjena abhisiñci, vividhanāṭakāhi ca upaṭṭhāpesi. Abhisitto rājaputto rajjaṃ kāresi nāmena brahmadatto, sakalajambudīpe vīsatiyā nagarasahassesu. Jambudīpe kira pubbe caturāsīti nagarasatasahassāni ahesuṃ, tāni parihāyantāni saṭṭhi ahesuṃ, tato parihāyantāni cattālīsaṃ, sabbaparihāyanakāle pana vīsatisahassāni honti. Ayañca brahmadatto sabbaparihāyanakāle uppajji, tenassa vīsati nagarasahassāni ahesuṃ vīsati pāsādasahassāni, vīsati hatthisahassāni, vīsati assasahassāni, vīsati rathasahassāni, vīsati pattisahassāni, vīsati itthisahassāni orodhā ca nāṭakitthiyo ca, vīsati amaccasahassāni.

    โส มหารชฺชํ การยมาโนเยว กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ปญฺจ อภิญฺญาโย, อฎฺฐ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตสิฯ ยสฺมา ปน อภิสิตฺตรญฺญา นาม อวสฺสํ อฎฺฎกรเณ นิสีทิตพฺพํ, ตสฺมา เอกทิวสํ ปเคว ปาตราสํ ภุญฺชิตฺวา วินิจฺฉยฎฺฐาเน นิสีทิฯ ตตฺถ อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทํ อกํสุ, โส ‘‘อยํ สโทฺท สมาปตฺติยา อุปกฺกิเลโส’’ติ ปาสาทตลํ อภิรุหิตฺวา ‘‘สมาปตฺติํ อเปฺปมี’’ติ นิสิโนฺน นาสกฺขิ อเปฺปตุํ รชฺชวิเกฺขเปน สมาปตฺติ ปริหีนาฯ ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘กิํ รชฺชํ วรํ, อุทาหุ สมณธโมฺม’’ติ? ตโต ‘‘รชฺชสุขํ ปริตฺตํ อเนกาทีนวํ, สมณธมฺมสุขํ ปน วิปุลํ อเนกานิสํสํ อุตฺตมปุริเสหิ เสวิตญฺจา’’ติ ญตฺวา อญฺญตรํ อมจฺจํ อาณาเปสิ ‘‘อิมํ รชฺชํ ธเมฺมน สเมน อนุสาส, มา โข อธมฺมการํ กาเรสี’’ติ สพฺพํ ตสฺส นิยฺยาเตตฺวา ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา สมาปตฺติสุเขน วีตินาเมสิ, น โกจิ อุปสงฺกมิตุํ ลภติ อญฺญตฺร มุขโธวนทนฺตกฎฺฐทายกภตฺตนีหารกาทีหิฯ

    So mahārajjaṃ kārayamānoyeva kasiṇaparikammaṃ katvā pañca abhiññāyo, aṭṭha samāpattiyo ca nibbattesi. Yasmā pana abhisittaraññā nāma avassaṃ aṭṭakaraṇe nisīditabbaṃ, tasmā ekadivasaṃ pageva pātarāsaṃ bhuñjitvā vinicchayaṭṭhāne nisīdi. Tattha uccāsaddamahāsaddaṃ akaṃsu, so ‘‘ayaṃ saddo samāpattiyā upakkileso’’ti pāsādatalaṃ abhiruhitvā ‘‘samāpattiṃ appemī’’ti nisinno nāsakkhi appetuṃ rajjavikkhepena samāpatti parihīnā. Tato cintesi – ‘‘kiṃ rajjaṃ varaṃ, udāhu samaṇadhammo’’ti? Tato ‘‘rajjasukhaṃ parittaṃ anekādīnavaṃ, samaṇadhammasukhaṃ pana vipulaṃ anekānisaṃsaṃ uttamapurisehi sevitañcā’’ti ñatvā aññataraṃ amaccaṃ āṇāpesi ‘‘imaṃ rajjaṃ dhammena samena anusāsa, mā kho adhammakāraṃ kāresī’’ti sabbaṃ tassa niyyātetvā pāsādaṃ abhiruhitvā samāpattisukhena vītināmesi, na koci upasaṅkamituṃ labhati aññatra mukhadhovanadantakaṭṭhadāyakabhattanīhārakādīhi.

    ตโต อทฺธมาสมเตฺต วีติกฺกเนฺต มเหสี ปุจฺฉิ – ‘‘ราชา อุยฺยานคมนพลทสฺสนนาฎกาทีสุ กตฺถจิ น ทิสฺสติ, กุหิํ คโต’’ติ? ตสฺสา ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ สา อมจฺจสฺส ปาเหสิ – ‘‘รเชฺช ปฎิจฺฉิเต อหมฺปิ ปฎิจฺฉิตา โหมิ, เอตุ มยา สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปตู’’ติฯ โส อุโภ กเณฺณ ถเกตฺวา ‘‘อสวนียเมต’’นฺติ ปฎิกฺขิปิฯ สา ปุนปิ ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ เปเสตฺวา อนิจฺฉมานํ สนฺตชฺชาเปสิ ‘‘ยทิ น กโรสิ, ฐานาปิ ตํ จาเวมิฯ ชีวิตาปิ ตํ โวโรเปมี’’ติฯ โส ภีโต ‘‘มาตุคาโม นาม ทฬฺหนิจฺฉโย, กทาจิ เอวมฺปิ การาเปยฺยา’’ติฯ เอกทิวสํ รโห คนฺตฺวา ตาย สทฺธิํ สิริสยเน สํวาสํ กเปฺปสิฯ สา ปุญฺญวตี สุขสมฺผสฺสา, โส ตสฺสา สมฺผสฺสราเคน รโตฺต ตตฺถ อภิกฺขณํ สงฺกิตสงฺกิโตว อคมาสิฯ อนุกฺกเมน อตฺตโน ฆรสามิโก วิย นิพฺพิสโงฺก ปวิสิตุมารโทฺธฯ

    Tato addhamāsamatte vītikkante mahesī pucchi – ‘‘rājā uyyānagamanabaladassananāṭakādīsu katthaci na dissati, kuhiṃ gato’’ti? Tassā tamatthaṃ ārocesuṃ. Sā amaccassa pāhesi – ‘‘rajje paṭicchite ahampi paṭicchitā homi, etu mayā saddhiṃ saṃvāsaṃ kappetū’’ti. So ubho kaṇṇe thaketvā ‘‘asavanīyameta’’nti paṭikkhipi. Sā punapi dvattikkhattuṃ pesetvā anicchamānaṃ santajjāpesi ‘‘yadi na karosi, ṭhānāpi taṃ cāvemi. Jīvitāpi taṃ voropemī’’ti. So bhīto ‘‘mātugāmo nāma daḷhanicchayo, kadāci evampi kārāpeyyā’’ti. Ekadivasaṃ raho gantvā tāya saddhiṃ sirisayane saṃvāsaṃ kappesi. Sā puññavatī sukhasamphassā, so tassā samphassarāgena ratto tattha abhikkhaṇaṃ saṅkitasaṅkitova agamāsi. Anukkamena attano gharasāmiko viya nibbisaṅko pavisitumāraddho.

    ตโต ราชมนุสฺสา ตํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา น สทฺทหติฯ ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ อาโรเจสุํ, ตโต ราชา นิลีโน สยเมว ทิสฺวา สเพฺพ อมเจฺจ สนฺนิปาตาเปตฺวา อาโรเจสิฯ เต ‘‘อยํ ราชาปราธิโก หตฺถเจฺฉทํ อรหติ, ปาทเจฺฉทํ อรหตี’’ติ ยาว สูเล อุตฺตาสนํ, ตาว สพฺพกมฺมการณานิ นิทฺทิสิํสุฯ ราชา ‘‘เอตสฺส วธพนฺธนตาฬเน มยฺหํ วิหิํสา อุปฺปเชฺชยฺย, ชีวิตา โวโรปเน ปาณาติปาโต ภเวยฺย, ธนหรเณ อทินฺนาทานํ ภเวยฺย, อลํ เอวรูเปหิ กเตหิ, อิมํ มม รชฺชา นิกฺกฑฺฒถา’’ติ อาหฯ อมจฺจา ตํ นิพฺพิสยํ อกํสุฯ โส อตฺตโน ธนสารญฺจ ปุตฺตทารญฺจ คเหตฺวา ปรวิสยํ อคมาสิฯ ตตฺถ ราชา สุตฺวา ‘‘กิํ อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, อิจฺฉามิ ตํ อุปฎฺฐาตุ’’นฺติฯ โส ตํ สมฺปฎิจฺฉิฯ อมโจฺจ กติปาหจฺจเยน ลทฺธวิสฺสาโส ตํ ราชานํ เอตทโวจ – ‘‘มหาราช , อมกฺขิกํ มธุํ ปสฺสามิ, ตํ ขาทโนฺต นตฺถี’’ติฯ ราชา ‘‘กิํ เอตํ อุปฺปเณฺฑตุกาโม ภณตี’’ติ น สุณาติฯ โส อนฺตรํ ลภิตฺวา ปุนปิ สุฎฺฐุตรํ วเณฺณตฺวา อโวจฯ ราชา ‘‘กิํ เอต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘พาราณสิรชฺชํ, เทวา’’ติฯ ราชา ‘‘กิํ มํ เนตฺวา มาเรตุกาโมสี’’ติ อาหฯ โส ‘‘มา, เทว, เอวํ อวจ, ยทิ น สทฺทหสิ, มนุเสฺส เปเสหี’’ติฯ โส มนุเสฺส เปเสสิฯ เต คนฺตฺวา โคปุรํ ขณิตฺวา รโญฺญ สยนฆเร อุฎฺฐหิํสุฯ

    Tato rājamanussā taṃ pavattiṃ rañño ārocesuṃ. Rājā na saddahati. Dutiyampi tatiyampi ārocesuṃ, tato rājā nilīno sayameva disvā sabbe amacce sannipātāpetvā ārocesi. Te ‘‘ayaṃ rājāparādhiko hatthacchedaṃ arahati, pādacchedaṃ arahatī’’ti yāva sūle uttāsanaṃ, tāva sabbakammakāraṇāni niddisiṃsu. Rājā ‘‘etassa vadhabandhanatāḷane mayhaṃ vihiṃsā uppajjeyya, jīvitā voropane pāṇātipāto bhaveyya, dhanaharaṇe adinnādānaṃ bhaveyya, alaṃ evarūpehi katehi, imaṃ mama rajjā nikkaḍḍhathā’’ti āha. Amaccā taṃ nibbisayaṃ akaṃsu. So attano dhanasārañca puttadārañca gahetvā paravisayaṃ agamāsi. Tattha rājā sutvā ‘‘kiṃ āgatosī’’ti pucchi. ‘‘Deva, icchāmi taṃ upaṭṭhātu’’nti. So taṃ sampaṭicchi. Amacco katipāhaccayena laddhavissāso taṃ rājānaṃ etadavoca – ‘‘mahārāja , amakkhikaṃ madhuṃ passāmi, taṃ khādanto natthī’’ti. Rājā ‘‘kiṃ etaṃ uppaṇḍetukāmo bhaṇatī’’ti na suṇāti. So antaraṃ labhitvā punapi suṭṭhutaraṃ vaṇṇetvā avoca. Rājā ‘‘kiṃ eta’’nti pucchi. ‘‘Bārāṇasirajjaṃ, devā’’ti. Rājā ‘‘kiṃ maṃ netvā māretukāmosī’’ti āha. So ‘‘mā, deva, evaṃ avaca, yadi na saddahasi, manusse pesehī’’ti. So manusse pesesi. Te gantvā gopuraṃ khaṇitvā rañño sayanaghare uṭṭhahiṃsu.

    ราชา ทิสฺวา ‘‘กิสฺส อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘โจรา มยํ, มหาราชา’’ติฯ ราชา เตสํ ธนํ ทาเปตฺวา ‘‘มา ปุน เอวํ อกตฺถา’’ติ โอวทิตฺวา วิสฺสเชฺชสิฯ เต อาคนฺตฺวา ตสฺส รโญฺญ อาโรเจสุํฯ โส ปุนปิ ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ ตเถว วีมํสิตฺวา ‘‘สีลวา ราชา’’ติ จตุรงฺคินิํ เสนํ สนฺนยฺหิตฺวา สีมนฺตเร เอกํ นครํ อุปคมฺม ตตฺถ อมจฺจสฺส ปาเหสิ ‘‘นครํ วา เม เทหิ, ยุทฺธํ วา’’ติฯ โส พฺรหฺมทตฺตสฺส รโญฺญ ตมตฺถํ อาโรจาเปสิ – ‘‘อาณาเปตุ, เทว, ‘กิํ ยุชฺฌามิ, อุทาหุ นครํ เทมี’’’ติฯ ราชา ‘‘น ยุชฺฌิตพฺพํ, นครํ ทตฺวา อิธาคจฺฉา’’ติ เปเสสิฯ โส ตถา อกาสิฯ ปฎิราชาปิ ตํ นครํ คเหตฺวา อวเสสนคเรสุปิ ตเถว ทูตํ เปเสสิฯ เตปิ อมจฺจา ตเถว พฺรหฺมทตฺตสฺส อาโรเจตฺวา เตน ‘‘น ยุชฺฌิตพฺพํ, อิธาคนฺตพฺพ’’นฺติ วุตฺตา พาราณสิํ อาคมํสุฯ

    Rājā disvā ‘‘kissa āgatatthā’’ti pucchi. ‘‘Corā mayaṃ, mahārājā’’ti. Rājā tesaṃ dhanaṃ dāpetvā ‘‘mā puna evaṃ akatthā’’ti ovaditvā vissajjesi. Te āgantvā tassa rañño ārocesuṃ. So punapi dvattikkhattuṃ tatheva vīmaṃsitvā ‘‘sīlavā rājā’’ti caturaṅginiṃ senaṃ sannayhitvā sīmantare ekaṃ nagaraṃ upagamma tattha amaccassa pāhesi ‘‘nagaraṃ vā me dehi, yuddhaṃ vā’’ti. So brahmadattassa rañño tamatthaṃ ārocāpesi – ‘‘āṇāpetu, deva, ‘kiṃ yujjhāmi, udāhu nagaraṃ demī’’’ti. Rājā ‘‘na yujjhitabbaṃ, nagaraṃ datvā idhāgacchā’’ti pesesi. So tathā akāsi. Paṭirājāpi taṃ nagaraṃ gahetvā avasesanagaresupi tatheva dūtaṃ pesesi. Tepi amaccā tatheva brahmadattassa ārocetvā tena ‘‘na yujjhitabbaṃ, idhāgantabba’’nti vuttā bārāṇasiṃ āgamaṃsu.

    ตโต อมจฺจา พฺรหฺมทตฺตํ อาหํสุ – ‘‘มหาราช, เตน สห ยุชฺฌมา’’ติฯ ราชา ‘‘มม ปาณาติปาโต ภวิสฺสตี’’ติ วาเรสิฯ อมจฺจา ‘‘มยํ, มหาราช, ตํ ชีวคฺคาหํ คเหตฺวา อิเธว อาเนสฺสามา’’ติ นานาอุปาเยหิ ราชานํ สญฺญาเปตฺวา ‘‘เอหิ, มหาราชา’’ติ คนฺตุมารทฺธาฯ ราชา ‘‘สเจ สตฺตมารณปฺปหรณวิลุมฺปนกมฺมํ น กโรถ, คจฺฉามี’’ติ ภณติฯ อมจฺจา ‘‘น, เทว, กโรม, ภยํ ทเสฺสตฺวา ปลาเปมา’’ติ จตุรงฺคินิํ เสนํ สนฺนยฺหิตฺวา ฆเฎสุ ทีเป ปกฺขิปิตฺวา รตฺติํ คจฺฉิํสุฯ ปฎิราชา ตํ ทิวสํ พาราณสิสมีเป นครํ คเหตฺวา อิทานิ กินฺติ รตฺติํ สนฺนาหํ โมจาเปตฺวา ปมโตฺต นิทฺทํ โอกฺกมิ สทฺธิํ พลกาเยนฯ ตโต อมจฺจา พฺรหฺมทตฺตราชานํ อาทาย ปฎิรโญฺญ ขนฺธาวารํ คนฺตฺวา สพฺพฆเฎหิ ทีเป นีหราเปตฺวา เอกปโชฺชตํ กตฺวา อุกฺกุฎฺฐิํ อกํสุฯ ปฎิรโญฺญ อมโจฺจ มหาพลกายํ ทิสฺวา ภีโต อตฺตโน ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อุเฎฺฐหิ อมกฺขิกํ มธุํ ขาทาหี’’ติ มหาสทฺทํ อกาสิฯ ตถา ทุติโยปิ ตติโยปิฯ ปฎิราชา เตน สเทฺทน ปฎิพุชฺฌิตฺวา ภยํ สนฺตาสํ อาปชฺชิฯ อุกฺกุฎฺฐิสตานิ ปวตฺติํสุฯ โส ‘‘ปรวจนํ สทฺทหิตฺวา อมิตฺตหตฺถํ ปโตฺตมฺหี’’ติ สพฺพรตฺติํ ตํ ตํ วิปฺปลปิตฺวา ทุติยทิวเส ‘‘ธมฺมิโก ราชา, อุปโรธํ น กเรยฺย คนฺตฺวา ขมาเปมี’’ติ จิเนฺตตฺวา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ชณฺณุเกหิ ปติฎฺฐหิตฺวา ‘‘ขม, มหาราช, มยฺหํ อปราธ’’นฺติ อาหฯ ราชา ตํ โอวทิตฺวา ‘‘อุเฎฺฐหิ, ขมามิ เต’’ติ อาหฯ โส รญฺญา เอวํ วุตฺตมเตฺตเยว ปรมสฺสาสปฺปโตฺต อโหสิฯ พาราณสิรโญฺญ สมีเปเยว ชนปเท รชฺชํ ลภิฯ เต อญฺญมญฺญํ สหายกา อเหสุํฯ

    Tato amaccā brahmadattaṃ āhaṃsu – ‘‘mahārāja, tena saha yujjhamā’’ti. Rājā ‘‘mama pāṇātipāto bhavissatī’’ti vāresi. Amaccā ‘‘mayaṃ, mahārāja, taṃ jīvaggāhaṃ gahetvā idheva ānessāmā’’ti nānāupāyehi rājānaṃ saññāpetvā ‘‘ehi, mahārājā’’ti gantumāraddhā. Rājā ‘‘sace sattamāraṇappaharaṇavilumpanakammaṃ na karotha, gacchāmī’’ti bhaṇati. Amaccā ‘‘na, deva, karoma, bhayaṃ dassetvā palāpemā’’ti caturaṅginiṃ senaṃ sannayhitvā ghaṭesu dīpe pakkhipitvā rattiṃ gacchiṃsu. Paṭirājā taṃ divasaṃ bārāṇasisamīpe nagaraṃ gahetvā idāni kinti rattiṃ sannāhaṃ mocāpetvā pamatto niddaṃ okkami saddhiṃ balakāyena. Tato amaccā brahmadattarājānaṃ ādāya paṭirañño khandhāvāraṃ gantvā sabbaghaṭehi dīpe nīharāpetvā ekapajjotaṃ katvā ukkuṭṭhiṃ akaṃsu. Paṭirañño amacco mahābalakāyaṃ disvā bhīto attano rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘uṭṭhehi amakkhikaṃ madhuṃ khādāhī’’ti mahāsaddaṃ akāsi. Tathā dutiyopi tatiyopi. Paṭirājā tena saddena paṭibujjhitvā bhayaṃ santāsaṃ āpajji. Ukkuṭṭhisatāni pavattiṃsu. So ‘‘paravacanaṃ saddahitvā amittahatthaṃ pattomhī’’ti sabbarattiṃ taṃ taṃ vippalapitvā dutiyadivase ‘‘dhammiko rājā, uparodhaṃ na kareyya gantvā khamāpemī’’ti cintetvā rājānaṃ upasaṅkamitvā jaṇṇukehi patiṭṭhahitvā ‘‘khama, mahārāja, mayhaṃ aparādha’’nti āha. Rājā taṃ ovaditvā ‘‘uṭṭhehi, khamāmi te’’ti āha. So raññā evaṃ vuttamatteyeva paramassāsappatto ahosi. Bārāṇasirañño samīpeyeva janapade rajjaṃ labhi. Te aññamaññaṃ sahāyakā ahesuṃ.

    อถ พฺรหฺมทโตฺต เทฺวปิ เสนา สโมฺมทมานา เอกโต ฐิตา ทิสฺวา ‘‘มเมเวกสฺส จิตฺตานุรกฺขณาย อสฺมิํ มหาชนกาเย ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนมตฺตมฺปิ โลหิตพินฺทุ น อุปฺปนฺนํ, อโห สาธุ, อโห สุฎฺฐุ, สเพฺพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตุ, อเวรา โหนฺตุ, อพฺยาปชฺชา โหนฺตู’’ติ เมตฺตาฌานํ อุปฺปาเทตฺวา ตเทว ปาทกํ กตฺวา สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ สจฺฉิกตฺวา สยมฺภุตํ ปาปุณิฯ ตํ มคฺคผลสุเขน สุขิตํ หตฺถิกฺขเนฺธ นิสินฺนํ อมจฺจา ปณิปาตํ กตฺวา อาหํสุ – ‘‘ยานกาโล, มหาราช, วิชิตพลกายสฺส สกฺกาโร กาตโพฺพ, ปราชิตพลกายสฺส ภตฺตปริพฺพโย ทาตโพฺพ’’ติฯ โส อาห – ‘‘นาหํ, ภเณ, ราชา, ปเจฺจกพุโทฺธ นามาห’’นฺติฯ ‘‘กิํ เทโว ภณติ, น เอทิสา ปเจฺจกพุทฺธา โหนฺตี’’ติฯ ‘‘กีทิสา, ภเณ, ปเจฺจกพุทฺธา’’ติ? ‘‘ปเจฺจกพุทฺธา นาม ทฺวงฺคุลเกสมสฺสู อฎฺฐปริกฺขารยุตฺตา ภวนฺตี’’ติฯ โส ทกฺขิณหเตฺถน สีสํ ปรามสิ, ตาวเทว คิหิลิงฺคํ อนฺตรธายิ, ปพฺพชิตเวโส ปาตุรโหสิฯ ทฺวงฺคุลเกสมสฺสุ อฎฺฐปริกฺขารสมนฺนาคโต วสฺสสติกเตฺถรสทิโส อโหสิฯ โส จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา หตฺถิกฺขนฺธโต เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปทุมปุเปฺผ นิสีทิฯ อมจฺจา วนฺทิตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต, กมฺมฎฺฐานํ, กถํ อธิคโตสี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ โส ยโต อสฺส เมตฺตาฌานกมฺมฎฺฐานํ อโหสิ, ตญฺจ วิปสฺสนํ วิปสฺสิตฺวา อธิคโต, ตสฺมา ตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อุทานคาถญฺจ พฺยากรณคาถญฺจ อิมํเยว คาถํ อภาสิ ‘‘สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑ’’นฺติฯ

    Atha brahmadatto dvepi senā sammodamānā ekato ṭhitā disvā ‘‘mamevekassa cittānurakkhaṇāya asmiṃ mahājanakāye khuddakamakkhikāya pivanamattampi lohitabindu na uppannaṃ, aho sādhu, aho suṭṭhu, sabbe sattā sukhitā hontu, averā hontu, abyāpajjā hontū’’ti mettājhānaṃ uppādetvā tadeva pādakaṃ katvā saṅkhāre sammasitvā paccekabodhiñāṇaṃ sacchikatvā sayambhutaṃ pāpuṇi. Taṃ maggaphalasukhena sukhitaṃ hatthikkhandhe nisinnaṃ amaccā paṇipātaṃ katvā āhaṃsu – ‘‘yānakālo, mahārāja, vijitabalakāyassa sakkāro kātabbo, parājitabalakāyassa bhattaparibbayo dātabbo’’ti. So āha – ‘‘nāhaṃ, bhaṇe, rājā, paccekabuddho nāmāha’’nti. ‘‘Kiṃ devo bhaṇati, na edisā paccekabuddhā hontī’’ti. ‘‘Kīdisā, bhaṇe, paccekabuddhā’’ti? ‘‘Paccekabuddhā nāma dvaṅgulakesamassū aṭṭhaparikkhārayuttā bhavantī’’ti. So dakkhiṇahatthena sīsaṃ parāmasi, tāvadeva gihiliṅgaṃ antaradhāyi, pabbajitaveso pāturahosi. Dvaṅgulakesamassu aṭṭhaparikkhārasamannāgato vassasatikattherasadiso ahosi. So catutthajjhānaṃ samāpajjitvā hatthikkhandhato vehāsaṃ abbhuggantvā padumapupphe nisīdi. Amaccā vanditvā ‘‘kiṃ, bhante, kammaṭṭhānaṃ, kathaṃ adhigatosī’’ti pucchiṃsu. So yato assa mettājhānakammaṭṭhānaṃ ahosi, tañca vipassanaṃ vipassitvā adhigato, tasmā tamatthaṃ dassento udānagāthañca byākaraṇagāthañca imaṃyeva gāthaṃ abhāsi ‘‘sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍa’’nti.

    ตตฺถ สเพฺพสูติ อนวเสเสสุฯ ภูเตสูติ สเตฺตสุฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป , วิตฺถารํ ปน รตนสุตฺตวณฺณนายํ วกฺขามฯ นิธายาติ นิกฺขิปิตฺวาฯ ทณฺฑนฺติ กายวจีมโนทณฺฑํ, กายทุจฺจริตาทีนเมตํ อธิวจนํฯ กายทุจฺจริตญฺหิ ทณฺฑยตีติ ทณฺฑํ, พาเธติ อนยพฺยสนํ ปาเปตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ วจีทุจฺจริตํ มโนทุจฺจริตญฺจฯ ปหรณทโณฺฑ เอว วา ทโณฺฑ, ตํ นิธายาติปิ วุตฺตํ โหติฯ อวิเหฐยนฺติ อวิเหฐยโนฺตฯ อญฺญตรมฺปีติ ยํกิญฺจิ เอกมฺปิฯ เตสนฺติ เตสํ สพฺพภูตานํฯ น ปุตฺตมิเจฺฉยฺยาติ อตฺรโช, เขตฺตโช, ทินฺนโก, อเนฺตวาสิโกติ อิเมสุ จตูสุ ปุเตฺตสุ ยํกิญฺจิ ปุตฺตํ น อิเจฺฉยฺยฯ กุโต สหายนฺติ สหายํ ปน อิเจฺฉยฺยาติ กุโต เอว เอตํฯ

    Tattha sabbesūti anavasesesu. Bhūtesūti sattesu. Ayamettha saṅkhepo , vitthāraṃ pana ratanasuttavaṇṇanāyaṃ vakkhāma. Nidhāyāti nikkhipitvā. Daṇḍanti kāyavacīmanodaṇḍaṃ, kāyaduccaritādīnametaṃ adhivacanaṃ. Kāyaduccaritañhi daṇḍayatīti daṇḍaṃ, bādheti anayabyasanaṃ pāpetīti vuttaṃ hoti. Evaṃ vacīduccaritaṃ manoduccaritañca. Paharaṇadaṇḍo eva vā daṇḍo, taṃ nidhāyātipi vuttaṃ hoti. Aviheṭhayanti aviheṭhayanto. Aññatarampīti yaṃkiñci ekampi. Tesanti tesaṃ sabbabhūtānaṃ. Na puttamiccheyyāti atrajo, khettajo, dinnako, antevāsikoti imesu catūsu puttesu yaṃkiñci puttaṃ na iccheyya. Kuto sahāyanti sahāyaṃ pana iccheyyāti kuto eva etaṃ.

    เอโกติ ปพฺพชฺชาสงฺขาเตน เอโก, อทุติยเฎฺฐน เอโก, ตณฺหาย ปหานเฎฺฐน เอโก, เอกนฺตวิคตกิเลโสติ เอโก, เอโก ปเจฺจกสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติ เอโกฯ สมณสหสฺสสฺสาปิ หิ มเชฺฌ วตฺตมาโน คิหิสํโยชนสฺส ฉินฺนตฺตา เอโก, เอวํ ปพฺพชฺชาสงฺขาเตน เอโกฯ เอโก ติฎฺฐติ, เอโก คจฺฉติ, เอโก นิสีทติ, เอโก เสยฺยํ กเปฺปติ, เอโก อิริยติ วตฺตตีติ เอวํ อทุติยเฎฺฐน เอโกฯ

    Ekoti pabbajjāsaṅkhātena eko, adutiyaṭṭhena eko, taṇhāya pahānaṭṭhena eko, ekantavigatakilesoti eko, eko paccekasambodhiṃ abhisambuddhoti eko. Samaṇasahassassāpi hi majjhe vattamāno gihisaṃyojanassa chinnattā eko, evaṃ pabbajjāsaṅkhātena eko. Eko tiṭṭhati, eko gacchati, eko nisīdati, eko seyyaṃ kappeti, eko iriyati vattatīti evaṃ adutiyaṭṭhena eko.

    ‘‘ตณฺหาทุติโย ปุริโส, ทีฆมทฺธานสํสรํ;

    ‘‘Taṇhādutiyo puriso, dīghamaddhānasaṃsaraṃ;

    อิตฺถภาวญฺญถาภาวํ, สํสารํ นาติวตฺตติฯ

    Itthabhāvaññathābhāvaṃ, saṃsāraṃ nātivattati.

    ‘‘เอตมาทีนวํ ญตฺวา, ตณฺหํ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ;

    ‘‘Etamādīnavaṃ ñatvā, taṇhaṃ dukkhassa sambhavaṃ;

    วีตตโณฺห อนาทาโน, สโต ภิกฺขุ ปริพฺพเช’’ติฯ (อิติวุ. ๑๕, ๑๐๕; มหานิ. ๑๙๑; จูฬนิ.ปารายนานุคีติคาถานิเทฺทส ๑๐๗) –

    Vītataṇho anādāno, sato bhikkhu paribbaje’’ti. (itivu. 15, 105; mahāni. 191; cūḷani.pārāyanānugītigāthāniddesa 107) –

    เอวํ ตณฺหาปหานเฎฺฐน เอโกฯ สพฺพกิเลสาสฺส ปหีนา อุจฺฉินฺนมูลา ตาลาวตฺถุกตา อนภาวํกตา อายติํ อนุปฺปาทธมฺมาติ เอวํ เอกนฺตวิคตกิเลโสติ เอโกฯ อนาจริยโก หุตฺวา สยมฺภู สามํเยว ปเจฺจกสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติ เอวํ เอโก ปเจฺจกสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติ เอโกฯ

    Evaṃ taṇhāpahānaṭṭhena eko. Sabbakilesāssa pahīnā ucchinnamūlā tālāvatthukatā anabhāvaṃkatā āyatiṃ anuppādadhammāti evaṃ ekantavigatakilesoti eko. Anācariyako hutvā sayambhū sāmaṃyeva paccekasambodhiṃ abhisambuddhoti evaṃ eko paccekasambodhiṃ abhisambuddhoti eko.

    จเรติ ยา อิมา อฎฺฐ จริยาโยฯ เสยฺยถิทํ – ปณิธิสมฺปนฺนานํ จตูสุ อิริยาปเถสุ อิริยาปถจริยา, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานํ ฉสุ อชฺฌตฺติกายตเนสุ อายตนจริยา, อปฺปมาทวิหารีนํ จตูสุ สติปฎฺฐาเนสุ สติจริยา, อธิจิตฺตมนุยุตฺตานํ จตูสุ ฌาเนสุ สมาธิจริยา, พุทฺธิสมฺปนฺนานํ จตูสุ อริยสเจฺจสุ ญาณจริยา, สมฺมาปฎิปนฺนานํ จตูสุ อริยสเจฺจสุ มคฺคจริยา, อธิคตปฺผลานํ จตูสุ สามญฺญผเลสุ ปตฺติจริยา, ติณฺณํ พุทฺธานํ สพฺพสเตฺตสุ โลกตฺถจริยา, ตตฺถ ปเทสโต ปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวกานนฺติฯ ยถาห – ‘‘จริยาติ อฎฺฐ จริยาโย อิริยาปถจริยา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๙๗; ๓.๒๘) วิตฺถาโรฯ ตาหิ จริยาหิ สมนฺนาคโต ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ อถ วา ยา อิมา อธิมุจฺจโนฺต สทฺธาย จรติ, ปคฺคณฺหโนฺต วีริเยน จรติ, อุปฎฺฐหโนฺต สติยา จรติ, อวิกฺขิโตฺต สมาธินา จรติ, ปชานโนฺต ปญฺญาย จรติ, วิชานโนฺต วิญฺญาเณน จรติ, เอวํ ปฎิปนฺนสฺส กุสลา ธมฺมา อายตนฺตีติ อายตนจริยาย จรติ, เอวํ ปฎิปโนฺน วิเสสํ อธิคจฺฉตีติ วิเสสจริยาย จรตีติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๙๗; ๓.๒๘) เอวํ อปราปิ อฎฺฐ จริยาโย วุตฺตา, ตาหิปิ สมนฺนาคโต ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ ขคฺควิสาณกโปฺปติ เอตฺถ ขคฺควิสาณํ นาม ขคฺคมิคสิงฺคํฯ กปฺป-สทฺทสฺส อตฺถํ วิตฺถารโต มงฺคลสุตฺตวณฺณนายํ ปกาสยิสฺสาม, อิธ ปนายํ ‘‘สตฺถุกเปฺปน วต, โภ, กิร สาวเกน สทฺธิํ มนฺตยมานา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๖๐) วิย ปฎิภาโค เวทิตโพฺพฯ ขคฺควิสาณกโปฺปติ ขคฺควิสาณสทิโสติ วุตฺตํ โหติฯ อยํ ตาเวตฺถ ปทโต อตฺถวณฺณนาฯ

    Careti yā imā aṭṭha cariyāyo. Seyyathidaṃ – paṇidhisampannānaṃ catūsu iriyāpathesu iriyāpathacariyā, indriyesu guttadvārānaṃ chasu ajjhattikāyatanesu āyatanacariyā, appamādavihārīnaṃ catūsu satipaṭṭhānesu saticariyā, adhicittamanuyuttānaṃ catūsu jhānesu samādhicariyā, buddhisampannānaṃ catūsu ariyasaccesu ñāṇacariyā, sammāpaṭipannānaṃ catūsu ariyasaccesu maggacariyā, adhigatapphalānaṃ catūsu sāmaññaphalesu patticariyā, tiṇṇaṃ buddhānaṃ sabbasattesu lokatthacariyā, tattha padesato paccekabuddhabuddhasāvakānanti. Yathāha – ‘‘cariyāti aṭṭha cariyāyo iriyāpathacariyā’’ti (paṭi. ma. 1.197; 3.28) vitthāro. Tāhi cariyāhi samannāgato bhaveyyāti attho. Atha vā yā imā adhimuccanto saddhāya carati, paggaṇhanto vīriyena carati, upaṭṭhahanto satiyā carati, avikkhitto samādhinā carati, pajānanto paññāya carati, vijānanto viññāṇena carati, evaṃ paṭipannassa kusalā dhammā āyatantīti āyatanacariyāya carati, evaṃ paṭipanno visesaṃ adhigacchatīti visesacariyāya caratīti (paṭi. ma. 1.197; 3.28) evaṃ aparāpi aṭṭha cariyāyo vuttā, tāhipi samannāgato bhaveyyāti attho. Khaggavisāṇakappoti ettha khaggavisāṇaṃ nāma khaggamigasiṅgaṃ. Kappa-saddassa atthaṃ vitthārato maṅgalasuttavaṇṇanāyaṃ pakāsayissāma, idha panāyaṃ ‘‘satthukappena vata, bho, kira sāvakena saddhiṃ mantayamānā’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.260) viya paṭibhāgo veditabbo. Khaggavisāṇakappoti khaggavisāṇasadisoti vuttaṃ hoti. Ayaṃ tāvettha padato atthavaṇṇanā.

    อธิปฺปายานุสนฺธิโต ปน เอวํ เวทิตโพฺพ – ยฺวายํ วุตฺตปฺปกาโร ทโณฺฑ ภูเตสุ ปวตฺติยมาโน อหิโต โหติ, ตํ เตสุ อปฺปวตฺตเนน ตปฺปฎิปกฺขภูตาย เมตฺตาย ปรหิตูปสํหาเรน จ สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ, นิหิตทณฺฑตฺตา เอว จ ยถา อนิหิตทณฺฑา สตฺตา ภูตานิ ทเณฺฑน วา สเตฺถน วา ปาณินา วา เลฑฺฑุนา วา วิเหฐยนฺติ, ตถา อวิเหฐยํ, อญฺญตรมฺปิ เตสํ อิมํ เมตฺตากมฺมฎฺฐานมาคมฺม ยเทว ตตฺถ เวทนาคตํ สญฺญาสงฺขารวิญฺญาณคตํ ตญฺจ ตทนุสาเรเนว ตทญฺญญฺจ สงฺขารคตํ วิปสฺสิตฺวา อิมํ ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตมฺหีติ อยํ ตาว อธิปฺปาโยฯ

    Adhippāyānusandhito pana evaṃ veditabbo – yvāyaṃ vuttappakāro daṇḍo bhūtesu pavattiyamāno ahito hoti, taṃ tesu appavattanena tappaṭipakkhabhūtāya mettāya parahitūpasaṃhārena ca sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍaṃ, nihitadaṇḍattā eva ca yathā anihitadaṇḍā sattā bhūtāni daṇḍena vā satthena vā pāṇinā vā leḍḍunā vā viheṭhayanti, tathā aviheṭhayaṃ, aññatarampi tesaṃ imaṃ mettākammaṭṭhānamāgamma yadeva tattha vedanāgataṃ saññāsaṅkhāraviññāṇagataṃ tañca tadanusāreneva tadaññañca saṅkhāragataṃ vipassitvā imaṃ paccekabodhiṃ adhigatomhīti ayaṃ tāva adhippāyo.

    อยํ ปน อนุสนฺธิ – เอวํ วุเตฺต เต อมจฺจา อาหํสุ – ‘‘อิทานิ, ภเนฺต, กุหิํ คจฺฉถา’’ติ? ตโต เตน ‘‘ปุเพฺพ ปเจฺจกพุทฺธา กตฺถ วสนฺตี’’ติ อาวเชฺชตฺวา ญตฺวา ‘‘คนฺธมาทนปพฺพเต’’ติ วุเตฺต ปุน อาหํสุ – ‘‘อเมฺห ทานิ, ภเนฺต, ปชหถ น อิจฺฉถา’’ติฯ อถ ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ อาห ‘‘น ปุตฺตมิเจฺฉยฺยา’’ติ สพฺพํฯ ตตฺราธิปฺปาโย – อหํ อิทานิ อตฺรชาทีสุ ยํกิญฺจิ ปุตฺตมฺปิ น อิเจฺฉยฺยํ, กุโต ปน ตุมฺหาทิสํ สหายํฯ ตสฺมา ตุเมฺหสุปิ โย มยา สทฺธิํ คนฺตุํ มาทิโส วา โหตุํ อิจฺฉติ, โส เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ อถ วา เตหิ ‘‘อเมฺห ทานิ, ภเนฺต, ปชหถ น อิจฺฉถา’’ติ วุเตฺต โส ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ ‘‘น ปุตฺตมิเจฺฉยฺย กุโต สหาย’’นฺติ วตฺวา อตฺตโน ยถาวุเตฺตนเตฺถน เอกจริยาย คุณํ ทิสฺวา ปมุทิโต ปีติโสมนสฺสชาโต อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ – ‘‘เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ เอวํ วตฺวา เปกฺขมานเสฺสว มหาชนสฺส อากาเส อุปฺปติตฺวา คนฺธมาทนํ อคมาสิฯ

    Ayaṃ pana anusandhi – evaṃ vutte te amaccā āhaṃsu – ‘‘idāni, bhante, kuhiṃ gacchathā’’ti? Tato tena ‘‘pubbe paccekabuddhā kattha vasantī’’ti āvajjetvā ñatvā ‘‘gandhamādanapabbate’’ti vutte puna āhaṃsu – ‘‘amhe dāni, bhante, pajahatha na icchathā’’ti. Atha paccekasambuddho āha ‘‘na puttamiccheyyā’’ti sabbaṃ. Tatrādhippāyo – ahaṃ idāni atrajādīsu yaṃkiñci puttampi na iccheyyaṃ, kuto pana tumhādisaṃ sahāyaṃ. Tasmā tumhesupi yo mayā saddhiṃ gantuṃ mādiso vā hotuṃ icchati, so eko care khaggavisāṇakappo. Atha vā tehi ‘‘amhe dāni, bhante, pajahatha na icchathā’’ti vutte so paccekasambuddho ‘‘na puttamiccheyya kuto sahāya’’nti vatvā attano yathāvuttenatthena ekacariyāya guṇaṃ disvā pamudito pītisomanassajāto imaṃ udānaṃ udānesi – ‘‘eko care khaggavisāṇakappo’’ti. Evaṃ vatvā pekkhamānasseva mahājanassa ākāse uppatitvā gandhamādanaṃ agamāsi.

    คนฺธมาทโน นาม หิมวติ จูฬกาฬปพฺพตํ มหากาฬปพฺพตํ นาคปลิเวฐนํ จนฺทคพฺภํ สูริยคพฺภํ สุวณฺณปสฺสํ หิมวนฺตปพฺพตนฺติ สตฺต ปพฺพเต อติกฺกมฺม โหติฯ ตตฺถ นนฺทมูลกํ นาม ปพฺภารํ ปเจฺจกพุทฺธานํ วสโนกาโส, ติโสฺส จ คุหาโย – สุวณฺณคุหา, มณิคุหา, รชตคุหาติ ฯ ตตฺถ มณิคุหาทฺวาเร มญฺชูสโก นาม รุโกฺข โยชนํ อุเพฺพเธน, โยชนํ วิตฺถาเรนฯ โส ยตฺตกานิ อุทเก วา ถเล วา ปุปฺผานิ, สพฺพานิ ตานิ ปุปฺผยติ, วิเสเสน ปเจฺจกพุทฺธาคมนทิวเสฯ ตสฺสูปริโต สพฺพรตนมาโฬ โหติฯ ตตฺถ สมฺมชฺชนกวาโต กจวรํ ฉเฑฺฑติ, สมกรณวาโต สพฺพรตนมยวาลุกํ สมํ กโรติ, สิญฺจนกวาโต อโนตตฺตทหโต อาเนตฺวา อุทกํ สิญฺจติ, สุคนฺธกรณวาโต หิมวนฺตโต สเพฺพสํ สุคนฺธรุกฺขานํ คเนฺธ อาเนติ, โอจินกวาโต ปุปฺผานิ โอจินิตฺวา ปาเตติ, สนฺถรกวาโต สพฺพตฺถ สนฺถรติฯ สทา สุปญฺญตฺตาเนว เจตฺถ อาสนานิ โหนฺติ, เยสุ ปเจฺจกพุทฺธุปฺปาททิวเส, อุโปสถทิวเส จ สเพฺพ ปเจฺจกพุทฺธา สนฺนิปติตฺวา นิสีทนฺติฯ อยํ ตตฺถ ปกติฯ อยํ ปเจฺจกพุโทฺธ ตตฺถ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทติฯ ตโต สเจ ตสฺมิํ กาเล อเญฺญปิ ปเจฺจกพุทฺธา สํวิชฺชนฺติ, เตปิ ตงฺขเณเยว สนฺนิปติตฺวา ปญฺญตฺตาสเนสุ นิสีทนฺติฯ นิสีทิตฺวา จ กิญฺจิเทว สมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐหนฺติฯ ตโต สงฺฆเตฺถโร อธุนาคตปเจฺจกพุทฺธํ สเพฺพสํ อนุโมทนตฺถาย ‘‘กถมธิคต’’นฺติ เอวํ กมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉติ, ตทาปิ โส ตเมว อตฺตโน อุทานพฺยากรณคาถํ ภาสติฯ ปุน ภควาปิ อายสฺมตา อานเนฺทน ปุโฎฺฐ ตเมว คาถํ ภาสติฯ อานโนฺทปิ สงฺคีติยนฺติ เอวํ เอเกกา คาถา ปเจฺจกสโมฺพธิอภิสมฺพุทฺธฎฺฐาเน, มญฺชูสกมาเฬ, อานเนฺทน ปุจฺฉิตกาเล, สงฺคีติยนฺติ จตุกฺขตฺตุํ ภาสิตา โหตีติฯ

    Gandhamādano nāma himavati cūḷakāḷapabbataṃ mahākāḷapabbataṃ nāgapaliveṭhanaṃ candagabbhaṃ sūriyagabbhaṃ suvaṇṇapassaṃ himavantapabbatanti satta pabbate atikkamma hoti. Tattha nandamūlakaṃ nāma pabbhāraṃ paccekabuddhānaṃ vasanokāso, tisso ca guhāyo – suvaṇṇaguhā, maṇiguhā, rajataguhāti . Tattha maṇiguhādvāre mañjūsako nāma rukkho yojanaṃ ubbedhena, yojanaṃ vitthārena. So yattakāni udake vā thale vā pupphāni, sabbāni tāni pupphayati, visesena paccekabuddhāgamanadivase. Tassūparito sabbaratanamāḷo hoti. Tattha sammajjanakavāto kacavaraṃ chaḍḍeti, samakaraṇavāto sabbaratanamayavālukaṃ samaṃ karoti, siñcanakavāto anotattadahato ānetvā udakaṃ siñcati, sugandhakaraṇavāto himavantato sabbesaṃ sugandharukkhānaṃ gandhe āneti, ocinakavāto pupphāni ocinitvā pāteti, santharakavāto sabbattha santharati. Sadā supaññattāneva cettha āsanāni honti, yesu paccekabuddhuppādadivase, uposathadivase ca sabbe paccekabuddhā sannipatitvā nisīdanti. Ayaṃ tattha pakati. Ayaṃ paccekabuddho tattha gantvā paññattāsane nisīdati. Tato sace tasmiṃ kāle aññepi paccekabuddhā saṃvijjanti, tepi taṅkhaṇeyeva sannipatitvā paññattāsanesu nisīdanti. Nisīditvā ca kiñcideva samāpattiṃ samāpajjitvā vuṭṭhahanti. Tato saṅghatthero adhunāgatapaccekabuddhaṃ sabbesaṃ anumodanatthāya ‘‘kathamadhigata’’nti evaṃ kammaṭṭhānaṃ pucchati, tadāpi so tameva attano udānabyākaraṇagāthaṃ bhāsati. Puna bhagavāpi āyasmatā ānandena puṭṭho tameva gāthaṃ bhāsati. Ānandopi saṅgītiyanti evaṃ ekekā gāthā paccekasambodhiabhisambuddhaṭṭhāne, mañjūsakamāḷe, ānandena pucchitakāle, saṅgītiyanti catukkhattuṃ bhāsitā hotīti.

    ปฐมคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๙๒. สํสคฺคชาตสฺสาติ คาถา กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปเจฺจกโพธิสโตฺต กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน วีสติ วสฺสสหสฺสานิ ปุริมนเยเนว สมณธมฺมํ กโรโนฺต กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ปฐมํ ฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา นามรูปํ ววตฺถเปตฺวา ลกฺขณสมฺมสนํ กตฺวา อริยมคฺคํ อนธิคมฺม พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติฯ โส ตโต จุโต พาราณสิรโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ อุปฺปชฺชิตฺวา ปุริมนเยเนว วฑฺฒมาโน ยโต ปภุติ ‘‘อยํ อิตฺถี, อยํ ปุริโส’’ติ วิเสสํ อญฺญาสิฯ ตทุปาทาย อิตฺถีนํ หเตฺถ น รมติ , อุจฺฉาทนนฺหาปนมณฺฑนาทิมตฺตมฺปิ น สาทิยติฯ ตํ ปุริสา เอว โปเสนฺติฯ ถญฺญปายนกาเล ธาติโย กญฺจุกํ ปฎิมุญฺจิตฺวา ปุริสเวเสน ถญฺญํ ปาเยนฺติฯ โส อิตฺถีนํ คนฺธํ ฆายิตฺวา สทฺทํ วา สุตฺวา โรทติ, วิญฺญุตํ ปโตฺตปิ อิตฺถิโย ปสฺสิตุํ น อิจฺฉติฯ เตน ตํ อนิตฺถิคโนฺธเตฺวว สญฺชานิํสุฯ

    92.Saṃsaggajātassāti gāthā kā uppatti? Ayampi paccekabodhisatto kassapassa bhagavato sāsane vīsati vassasahassāni purimanayeneva samaṇadhammaṃ karonto kasiṇaparikammaṃ katvā paṭhamaṃ jhānaṃ nibbattetvā nāmarūpaṃ vavatthapetvā lakkhaṇasammasanaṃ katvā ariyamaggaṃ anadhigamma brahmaloke nibbatti. So tato cuto bārāṇasirañño aggamahesiyā kucchimhi uppajjitvā purimanayeneva vaḍḍhamāno yato pabhuti ‘‘ayaṃ itthī, ayaṃ puriso’’ti visesaṃ aññāsi. Tadupādāya itthīnaṃ hatthe na ramati , ucchādananhāpanamaṇḍanādimattampi na sādiyati. Taṃ purisā eva posenti. Thaññapāyanakāle dhātiyo kañcukaṃ paṭimuñcitvā purisavesena thaññaṃ pāyenti. So itthīnaṃ gandhaṃ ghāyitvā saddaṃ vā sutvā rodati, viññutaṃ pattopi itthiyo passituṃ na icchati. Tena taṃ anitthigandhotveva sañjāniṃsu.

    ตสฺมิํ โสฬสวสฺสุเทฺทสิเก ชาเต ราชา ‘‘กุลวํสํ สณฺฐเปสฺสามี’’ติ นานากุเลหิ ตสฺส อนุรูปา กญฺญาโย อาเนตฺวา อญฺญตรํ อมจฺจํ อาณาเปสิ ‘‘กุมารํ รมาเปหี’’ติฯ อมโจฺจ อุปาเยน ตํ รมาเปตุกาโม ตสฺส อวิทูเร สาณิปาการํ ปริกฺขิปาเปตฺวา นาฎกานิ ปโยชาเปสิฯ กุมาโร คีตวาทิตสทฺทํ สุตฺวา ‘‘กเสฺสโส สโทฺท’’ติ อาหฯ อมโจฺจ ‘‘ตเวโส, เทว , นาฎกิตฺถีนํ สโทฺท, ปุญฺญวนฺตานํ อีทิสานิ นาฎกานิ โหนฺติฯ อภิรม, เทว, มหาปุโญฺญสิ ตฺว’’นฺติ อาหฯ กุมาโร อมจฺจํ ทเณฺฑน ตาฬาเปตฺวา นิกฺกฑฺฒาเปสิฯ โส รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา กุมารสฺส มาตรา สห คนฺตฺวา กุมารํ ขมาเปตฺวา ปุน อมจฺจํ อาณาเปสิฯ กุมาโร เตหิ อตินิปฺปีฬิยมาโน เสฎฺฐสุวณฺณํ ทตฺวา สุวณฺณกาเร อาณาเปสิ ‘‘สุนฺทรํ อิตฺถิรูปํ กโรถา’’ติฯ เต วิสฺสกมฺมุนา นิมฺมิตสทิสํ สพฺพาลงฺการวิภูสิตํ อิตฺถิรูปํ กริตฺวา ทเสฺสสุํฯ กุมาโร ทิสฺวา วิมฺหเยน สีสํ จาเลตฺวา มาตาปิตูนํ เปเสสิ – ‘‘ยทิ อีทิสิํ อิตฺถิํ ลภิสฺสามิ, คณฺหิสฺสามี’’ติฯ มาตาปิตโร ‘‘อมฺหากํ ปุโตฺต มหาปุโญฺญ, อวสฺสํ เตน สห กตปุญฺญา กาจิ ทาริกา โลเก อุปฺปนฺนา ภวิสฺสตี’’ติ ตํ สุวณฺณรูปํ รถํ อาโรเปตฺวา อมจฺจานํ อเปฺปสุํ – ‘‘คจฺฉถ, อีทิสิํ ทาริกํ คเวสถา’’ติฯ เต ตํ คเหตฺวา โสฬสมหาชนปเท วิจรนฺตา ตํ ตํ คามํ คนฺตฺวา อุทกติตฺถาทีสุ ยตฺถ ยตฺถ ชนสมูหํ ปสฺสนฺติ, ตตฺถ ตตฺถ เทวตํ วิย สุวณฺณรูปํ ฐเปตฺวา นานาปุปฺผวตฺถาลงฺกาเรหิ ปูชํ กตฺวา วิตานํ พนฺธิตฺวา เอกมนฺตํ ติฎฺฐนฺติ ‘‘ยทิ เกนจิ เอวรูปา ทิฎฺฐปุพฺพา ภวิสฺสติ, โส กถํ สมุฎฺฐาเปสฺสตี’’ติ? เอเตนุปาเยน อญฺญตฺร มทฺทรฎฺฐา สพฺพชนปเท อาหิณฺฑิตฺวา ตํ ‘‘ขุทฺทกรฎฺฐ’’นฺติ อวมญฺญมานา ตตฺถ ปฐมํ อคนฺตฺวา นิวตฺติํสุฯ

    Tasmiṃ soḷasavassuddesike jāte rājā ‘‘kulavaṃsaṃ saṇṭhapessāmī’’ti nānākulehi tassa anurūpā kaññāyo ānetvā aññataraṃ amaccaṃ āṇāpesi ‘‘kumāraṃ ramāpehī’’ti. Amacco upāyena taṃ ramāpetukāmo tassa avidūre sāṇipākāraṃ parikkhipāpetvā nāṭakāni payojāpesi. Kumāro gītavāditasaddaṃ sutvā ‘‘kasseso saddo’’ti āha. Amacco ‘‘taveso, deva , nāṭakitthīnaṃ saddo, puññavantānaṃ īdisāni nāṭakāni honti. Abhirama, deva, mahāpuññosi tva’’nti āha. Kumāro amaccaṃ daṇḍena tāḷāpetvā nikkaḍḍhāpesi. So rañño ārocesi. Rājā kumārassa mātarā saha gantvā kumāraṃ khamāpetvā puna amaccaṃ āṇāpesi. Kumāro tehi atinippīḷiyamāno seṭṭhasuvaṇṇaṃ datvā suvaṇṇakāre āṇāpesi ‘‘sundaraṃ itthirūpaṃ karothā’’ti. Te vissakammunā nimmitasadisaṃ sabbālaṅkāravibhūsitaṃ itthirūpaṃ karitvā dassesuṃ. Kumāro disvā vimhayena sīsaṃ cāletvā mātāpitūnaṃ pesesi – ‘‘yadi īdisiṃ itthiṃ labhissāmi, gaṇhissāmī’’ti. Mātāpitaro ‘‘amhākaṃ putto mahāpuñño, avassaṃ tena saha katapuññā kāci dārikā loke uppannā bhavissatī’’ti taṃ suvaṇṇarūpaṃ rathaṃ āropetvā amaccānaṃ appesuṃ – ‘‘gacchatha, īdisiṃ dārikaṃ gavesathā’’ti. Te taṃ gahetvā soḷasamahājanapade vicarantā taṃ taṃ gāmaṃ gantvā udakatitthādīsu yattha yattha janasamūhaṃ passanti, tattha tattha devataṃ viya suvaṇṇarūpaṃ ṭhapetvā nānāpupphavatthālaṅkārehi pūjaṃ katvā vitānaṃ bandhitvā ekamantaṃ tiṭṭhanti ‘‘yadi kenaci evarūpā diṭṭhapubbā bhavissati, so kathaṃ samuṭṭhāpessatī’’ti? Etenupāyena aññatra maddaraṭṭhā sabbajanapade āhiṇḍitvā taṃ ‘‘khuddakaraṭṭha’’nti avamaññamānā tattha paṭhamaṃ agantvā nivattiṃsu.

    ตโต เนสํ เอตทโหสิ – ‘‘มทฺทรฎฺฐมฺปิ ตาว คจฺฉาม, มา โน พาราณสิํ ปวิเฎฺฐปิ ราชา ปุน เปเสสี’’ติ มทฺทรเฎฺฐ สาคลนครํ อคมํสุฯ สาคลนคเร จ มทฺทโว นาม ราชาฯ ตสฺส ธีตา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกา อภิรูปา อโหสิฯ ตสฺสา วณฺณทาสิโย นฺหาโนทกตฺถาย ติตฺถํ คจฺฉนฺติฯ ตตฺถ อมเจฺจหิ ฐปิตํ ตํ สุวณฺณรูปํ ทูรโตว ทิสฺวา ‘‘อเมฺห อุทกตฺถาย เปเสตฺวา ราชปุตฺตี สยเมว อาคตา’’ติ ภณนฺติโย สมีปํ คนฺตฺวา ‘‘นายํ สามินี, อมฺหากํ สามินี อิโต อภิรูปตรา’’ติ อาหํสุฯ อมจฺจา ตํ สุตฺวา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา อนุรูเปน นเยน ทาริกํ ยาจิํสุฯ โสปิ อทาสิฯ เต พาราณสิรโญฺญ ปาเหสุํ – ‘‘ลทฺธา, เทว, กุมาริกา, สามํ อาคจฺฉถ, อุทาหุ อเมฺหว อาเนมา’’ติฯ โส ‘‘มยิ อาคจฺฉเนฺต ชนปทปีฬา ภวิสฺสติ, ตุเมฺหว นํ อาเนถา’’ติ เปเสสิฯ

    Tato nesaṃ etadahosi – ‘‘maddaraṭṭhampi tāva gacchāma, mā no bārāṇasiṃ paviṭṭhepi rājā puna pesesī’’ti maddaraṭṭhe sāgalanagaraṃ agamaṃsu. Sāgalanagare ca maddavo nāma rājā. Tassa dhītā soḷasavassuddesikā abhirūpā ahosi. Tassā vaṇṇadāsiyo nhānodakatthāya titthaṃ gacchanti. Tattha amaccehi ṭhapitaṃ taṃ suvaṇṇarūpaṃ dūratova disvā ‘‘amhe udakatthāya pesetvā rājaputtī sayameva āgatā’’ti bhaṇantiyo samīpaṃ gantvā ‘‘nāyaṃ sāminī, amhākaṃ sāminī ito abhirūpatarā’’ti āhaṃsu. Amaccā taṃ sutvā rājānaṃ upasaṅkamitvā anurūpena nayena dārikaṃ yāciṃsu. Sopi adāsi. Te bārāṇasirañño pāhesuṃ – ‘‘laddhā, deva, kumārikā, sāmaṃ āgacchatha, udāhu amheva ānemā’’ti. So ‘‘mayi āgacchante janapadapīḷā bhavissati, tumheva naṃ ānethā’’ti pesesi.

    อมจฺจาปิ ทาริกํ คเหตฺวา นครา นิกฺขมิตฺวา กุมารสฺส ปาเหสุํ – ‘‘ลทฺธา สุวณฺณรูปสทิสา กุมาริกา’’ติฯ กุมาโร สุตฺวาว ราเคน อภิภูโต ปฐมชฺฌานา ปริหายิฯ โส ทูตปรมฺปราย เปเสสิ – ‘‘สีฆํ อาเนถ, สีฆํ อาเนถา’’ติฯ เต สพฺพตฺถ เอกรตฺติวาเสน พาราณสิํ ปตฺวา พหินคเร ฐิตา รโญฺญ เปเสสุํ – ‘‘อเชฺชว ปวิสิตพฺพํ, โน’’ติฯ ราชา ‘‘เสฎฺฐกุลา อานีตา ทาริกา, มงฺคลกิริยํ กตฺวา มหาสกฺกาเรน ปเวเสสฺสาม, อุยฺยานํ ตาว นํ เนถา’’ติ อาหฯ เต ตถา อกํสุฯ สา อจฺจนฺตสุขุมาลา กุมาริกา ยานุคฺฆาเฎน อุพฺพาฬฺหา อทฺธานปริสฺสเมน อุปฺปนฺนวาตโรคา มิลาตมาลา วิย หุตฺวา รตฺติภาเค กาลมกาสิฯ อมจฺจา ‘‘สกฺการา ปริภฎฺฐมฺหา’’ติ ปริเทวิํสุฯ ราชา จ นาครา จ ‘‘กุลวํโส วินโฎฺฐ’’ติ ปริเทวิํสุฯ สกลนครํ โกลาหลํ อโหสิฯ กุมารสฺส สุตมเตฺตเยว มหาโสโก อุทปาทิฯ

    Amaccāpi dārikaṃ gahetvā nagarā nikkhamitvā kumārassa pāhesuṃ – ‘‘laddhā suvaṇṇarūpasadisā kumārikā’’ti. Kumāro sutvāva rāgena abhibhūto paṭhamajjhānā parihāyi. So dūtaparamparāya pesesi – ‘‘sīghaṃ ānetha, sīghaṃ ānethā’’ti. Te sabbattha ekarattivāsena bārāṇasiṃ patvā bahinagare ṭhitā rañño pesesuṃ – ‘‘ajjeva pavisitabbaṃ, no’’ti. Rājā ‘‘seṭṭhakulā ānītā dārikā, maṅgalakiriyaṃ katvā mahāsakkārena pavesessāma, uyyānaṃ tāva naṃ nethā’’ti āha. Te tathā akaṃsu. Sā accantasukhumālā kumārikā yānugghāṭena ubbāḷhā addhānaparissamena uppannavātarogā milātamālā viya hutvā rattibhāge kālamakāsi. Amaccā ‘‘sakkārā paribhaṭṭhamhā’’ti parideviṃsu. Rājā ca nāgarā ca ‘‘kulavaṃso vinaṭṭho’’ti parideviṃsu. Sakalanagaraṃ kolāhalaṃ ahosi. Kumārassa sutamatteyeva mahāsoko udapādi.

    ตโต กุมาโร โสกสฺส มูลํ ขนิตุํ อารโทฺธฯ โส เอวํ จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ โสโก นาม น อชาตสฺส โหติ, ชาตสฺส ปน โหติฯ ตสฺมา ชาติํ ปฎิจฺจ โสโกฯ ชาติ ปน กิํ ปฎิจฺจาติ? ภวํ ปฎิจฺจ ชาตี’’ติฯ เอวํ ปุพฺพภาวนานุภาเวน โยนิโส มนสิกโรโนฺต อนุโลมปฎิโลมํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ทิสฺวา ปุน อนุโลมญฺจ สงฺขาเร สมฺมสโนฺต ตเตฺถว นิสิโนฺน ปเจฺจกสโมฺพธิํ สจฺฉากาสิฯ อมจฺจา ตํ มคฺคผลสุเขน สุขิตํ สนฺตินฺทฺริยํ สนฺตมานสํ นิสินฺนํ ทิสฺวา ปณิปาตํ กตฺวา อาหํสุ – ‘‘มา โสจิ, เทว, มหโนฺต ชมฺพุทีโป, อญฺญํ ตโต สุนฺทรตรํ กญฺญํ อาเนสฺสามา’’ติฯ โส อาห – ‘‘น โสจามิ, นิโสฺสโก ปเจฺจกพุโทฺธ อห’’นฺติฯ อิโต ปรํ สพฺพํ วุตฺตปุริมคาถาสทิสเมว ฐเปตฺวา คาถาวณฺณนํฯ

    Tato kumāro sokassa mūlaṃ khanituṃ āraddho. So evaṃ cintesi – ‘‘ayaṃ soko nāma na ajātassa hoti, jātassa pana hoti. Tasmā jātiṃ paṭicca soko. Jāti pana kiṃ paṭiccāti? Bhavaṃ paṭicca jātī’’ti. Evaṃ pubbabhāvanānubhāvena yoniso manasikaronto anulomapaṭilomaṃ paṭiccasamuppādaṃ disvā puna anulomañca saṅkhāre sammasanto tattheva nisinno paccekasambodhiṃ sacchākāsi. Amaccā taṃ maggaphalasukhena sukhitaṃ santindriyaṃ santamānasaṃ nisinnaṃ disvā paṇipātaṃ katvā āhaṃsu – ‘‘mā soci, deva, mahanto jambudīpo, aññaṃ tato sundarataraṃ kaññaṃ ānessāmā’’ti. So āha – ‘‘na socāmi, nissoko paccekabuddho aha’’nti. Ito paraṃ sabbaṃ vuttapurimagāthāsadisameva ṭhapetvā gāthāvaṇṇanaṃ.

    คาถาวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – สํสคฺคชาตสฺสาติ ชาตสํสคฺคสฺสฯ ตตฺถ ทสฺสนสวนกายสมุลฺลปนสโมฺภคสํสคฺควเสน ปญฺจวิโธ สํสโคฺคฯ ตตฺถ อญฺญมญฺญํ ทิสฺวา จกฺขุวิญฺญาณวีถิวเสน อุปฺปนฺนราโค ทสฺสนสํสโคฺค นามฯ ตตฺถ สีหฬทีเป กาฬทีฆวาปี คาเม ปิณฺฑาย จรนฺตํ กลฺยาณวิหารวาสิทีฆภาณกทหรภิกฺขุํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิตฺตา เกนจิ อุปาเยน ตํ อลภิตฺวา กาลงฺกตา กุฎุมฺพิยธีตา จ ตสฺสา นิวาสนโจฬขณฺฑํ ทิสฺวา ‘‘เอวรูปํ วตฺถํ ธารินิยา นาม สทฺธิํ สํวาสํ นาลภิ’’นฺติ ผลิตหทโย กาลงฺกโตฯ โส เอว ทหโร จ นิทสฺสนํฯ

    Gāthāvaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – saṃsaggajātassāti jātasaṃsaggassa. Tattha dassanasavanakāyasamullapanasambhogasaṃsaggavasena pañcavidho saṃsaggo. Tattha aññamaññaṃ disvā cakkhuviññāṇavīthivasena uppannarāgo dassanasaṃsaggo nāma. Tattha sīhaḷadīpe kāḷadīghavāpī gāme piṇḍāya carantaṃ kalyāṇavihāravāsidīghabhāṇakadaharabhikkhuṃ disvā paṭibaddhacittā kenaci upāyena taṃ alabhitvā kālaṅkatā kuṭumbiyadhītā ca tassā nivāsanacoḷakhaṇḍaṃ disvā ‘‘evarūpaṃ vatthaṃ dhāriniyā nāma saddhiṃ saṃvāsaṃ nālabhi’’nti phalitahadayo kālaṅkato. So eva daharo ca nidassanaṃ.

    ปเรหิ ปน กถิยมานํ รูปาทิสมฺปตฺติํ อตฺตนา วา หสิตลปิตคีตสทฺทํ สุตฺวา โสตวิญฺญาณวีถิวเสน อุปฺปนฺนราโค สวนสํสโคฺค นามฯ ตตฺราปิ คิริคามวาสิกมฺมารธีตาย ปญฺจหิ กุมาริกาหิ สทฺธิํ ปทุมสฺสรํ คนฺตฺวา นฺหตฺวา มาลํ อาโรเปตฺวา อุจฺจาสเทฺทน คายนฺติยา สทฺทํ สุตฺวา อากาเสน คจฺฉโนฺต กามราเคน วิเสสา ปริหายิตฺวา พฺยสนํ ปโตฺต ปญฺจคฺคฬเลณวาสี ติสฺสทหโร นิทสฺสนํฯ

    Parehi pana kathiyamānaṃ rūpādisampattiṃ attanā vā hasitalapitagītasaddaṃ sutvā sotaviññāṇavīthivasena uppannarāgo savanasaṃsaggo nāma. Tatrāpi girigāmavāsikammāradhītāya pañcahi kumārikāhi saddhiṃ padumassaraṃ gantvā nhatvā mālaṃ āropetvā uccāsaddena gāyantiyā saddaṃ sutvā ākāsena gacchanto kāmarāgena visesā parihāyitvā byasanaṃ patto pañcaggaḷaleṇavāsī tissadaharo nidassanaṃ.

    อญฺญมญฺญํ องฺคปรามสเนน อุปฺปนฺนราโค กายสํสโคฺค นามฯ ธมฺมภาสนทหรภิกฺขุ จ ราชธีตา เจตฺถ นิทสฺสนํฯ มหาวิหาเร กิร ทหรภิกฺขุ ธมฺมํ ภาสติฯ ตตฺถ มหาชโน อาคโต, ราชาปิ อคฺคมเหสิยา ราชธีตาย จ สทฺธิํ อคมาสิฯ ตโต ราชธีตาย ตสฺส รูปญฺจ สรญฺจ อาคมฺม พลวราโค อุปฺปโนฺน, ตสฺส ทหรสฺสาปิฯ ตํ ทิสฺวา ราชา สลฺลเกฺขตฺวา สาณิปากาเรน ปริกฺขิปาเปสิฯ เต อญฺญมญฺญํ ปรามสิตฺวา อาลิงฺคิํสุฯ ปุน สาณิปาการํ อปเนตฺวา ปสฺสนฺตา เทฺวปิ กาลงฺกเตเยว อทฺทสํสูติฯ

    Aññamaññaṃ aṅgaparāmasanena uppannarāgo kāyasaṃsaggo nāma. Dhammabhāsanadaharabhikkhu ca rājadhītā cettha nidassanaṃ. Mahāvihāre kira daharabhikkhu dhammaṃ bhāsati. Tattha mahājano āgato, rājāpi aggamahesiyā rājadhītāya ca saddhiṃ agamāsi. Tato rājadhītāya tassa rūpañca sarañca āgamma balavarāgo uppanno, tassa daharassāpi. Taṃ disvā rājā sallakkhetvā sāṇipākārena parikkhipāpesi. Te aññamaññaṃ parāmasitvā āliṅgiṃsu. Puna sāṇipākāraṃ apanetvā passantā dvepi kālaṅkateyeva addasaṃsūti.

    อญฺญมญฺญํ อาลปนสมุลฺลปนวเสน อุปฺปนฺนราโค ปน สมุลฺลปนสํสโคฺค นามฯ ภิกฺขุ ภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ ปริโภคกรเณ อุปฺปนฺนราโค สโมฺภคสํสโคฺค นามฯ ทฺวีสุปิ เอเตสุ ปาราชิกปฺปโตฺต ภิกฺขุ จ ภิกฺขุนี จ นิทสฺสนํฯ มริจวฎฺฎินามมหาวิหารมเห กิร ทุฎฺฐคามณิอภยราชา มหาทานํ ปฎิยาเทตฺวา อุภโตสงฺฆํ ปริวิสติฯ ตตฺถ อุณฺหยาคุยา ทินฺนาย สงฺฆนวกสามเณรี อนาธารกสฺส สงฺฆนวกสฺส สามเณรสฺส ทนฺตวลยํ ทตฺวา สมุลฺลปนมกาสิฯ เต อุโภปิ อุปสมฺปชฺชิตฺวา สฎฺฐิวสฺสา หุตฺวา ปรตีรํ คตา อญฺญมญฺญํ สมุลฺลปเนน ปุพฺพสญฺญํ ปฎิลภิตฺวา ตาวเทว สญฺชาตสิเนหา สิกฺขาปทํ วีติกฺกมิตฺวา ปาราชิกา อเหสุนฺติฯ เอวํ ปญฺจวิเธ สํสเคฺค เยน เกนจิ สํสเคฺคน ชาตสํสคฺคสฺส ภวติ เสฺนโห, ปุริมราคปจฺจโย พลวราโค อุปฺปชฺชติฯ ตโต เสฺนหนฺวยํ ทุกฺขมิทํ ปโหติ ตเมว เสฺนหํ อนุคจฺฉนฺตํ สนฺทิฎฺฐิกสมฺปรายิกํ โสกปริเทวาทินานปฺปการกํ อิทํ ทุกฺขํ ปโหติ ปภวติ ชายติฯ

    Aññamaññaṃ ālapanasamullapanavasena uppannarāgo pana samullapanasaṃsaggo nāma. Bhikkhu bhikkhunīhi saddhiṃ paribhogakaraṇe uppannarāgo sambhogasaṃsaggo nāma. Dvīsupi etesu pārājikappatto bhikkhu ca bhikkhunī ca nidassanaṃ. Maricavaṭṭināmamahāvihāramahe kira duṭṭhagāmaṇiabhayarājā mahādānaṃ paṭiyādetvā ubhatosaṅghaṃ parivisati. Tattha uṇhayāguyā dinnāya saṅghanavakasāmaṇerī anādhārakassa saṅghanavakassa sāmaṇerassa dantavalayaṃ datvā samullapanamakāsi. Te ubhopi upasampajjitvā saṭṭhivassā hutvā paratīraṃ gatā aññamaññaṃ samullapanena pubbasaññaṃ paṭilabhitvā tāvadeva sañjātasinehā sikkhāpadaṃ vītikkamitvā pārājikā ahesunti. Evaṃ pañcavidhe saṃsagge yena kenaci saṃsaggena jātasaṃsaggassa bhavati sneho, purimarāgapaccayo balavarāgo uppajjati. Tato snehanvayaṃ dukkhamidaṃ pahoti tameva snehaṃ anugacchantaṃ sandiṭṭhikasamparāyikaṃ sokaparidevādinānappakārakaṃ idaṃ dukkhaṃ pahoti pabhavati jāyati.

    อปเร ‘‘อารมฺมเณ จิตฺตสฺส โวสฺสโคฺค สํสโคฺค’’ติ ภณนฺติฯ ตโต เสฺนโห, เสฺนหทุกฺขมิทนฺติฯ เอวมตฺถปฺปเภทํ อิมํ อฑฺฒคาถํ วตฺวา โส ปเจฺจกพุโทฺธ อาห – ‘‘สฺวายํ ยมิทํ เสฺนหนฺวยํ โสกาทิทุกฺขํ ปโหติ, ตเมว เสฺนหํ อนุคตสฺส ทุกฺขสฺส มูลํ ขนโนฺต ปเจฺจกโพธิํ อธิคโต’’ติฯ

    Apare ‘‘ārammaṇe cittassa vossaggo saṃsaggo’’ti bhaṇanti. Tato sneho, snehadukkhamidanti. Evamatthappabhedaṃ imaṃ aḍḍhagāthaṃ vatvā so paccekabuddho āha – ‘‘svāyaṃ yamidaṃ snehanvayaṃ sokādidukkhaṃ pahoti, tameva snehaṃ anugatassa dukkhassa mūlaṃ khananto paccekabodhiṃ adhigato’’ti.

    เอวํ วุเตฺต เต อมจฺจา อาหํสุ – ‘‘อเมฺหหิ ทานิ, ภเนฺต, กิํ กตฺตพฺพ’’นฺติ? ตโต โส อาห – ‘‘ตุเมฺห วา อญฺญตโร วา อิมมฺหา ทุกฺขา มุจฺจิตุกาโม, โส สโพฺพปิ อาทีนวํ เสฺนหชํ เปกฺขมาโน, เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป’’ติฯ เอตฺถ จ ยํ ตํ ‘‘เสฺนหนฺวยํ ทุกฺขมิทํ ปโหตี’’ติ วุตฺตํ, ตเทว สนฺธาย ‘‘อาทีนวํ เสฺนหชํ เปกฺขมาโน’’ติ อิทํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อถ วา ยถาวุเตฺตน สํสเคฺคน ‘สํสคฺคชาตสฺส ภวติ เสฺนโห, เสฺนหนฺวยํ ทุกฺขมิทํ ปโหติ’, เอวํ ยถาภูตํ อาทีนวํ เสฺนหชํ เปกฺขมาโน อหมธิคโตติ เอวํ สมฺพนฺธิตฺวา จตุตฺถปาโท ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เสฺนหวเสน วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ ตโต ปรํ สพฺพํ ปุริมคาถาย วุตฺตสทิสเมวาติฯ

    Evaṃ vutte te amaccā āhaṃsu – ‘‘amhehi dāni, bhante, kiṃ kattabba’’nti? Tato so āha – ‘‘tumhe vā aññataro vā imamhā dukkhā muccitukāmo, so sabbopi ādīnavaṃ snehajaṃ pekkhamāno, eko care khaggavisāṇakappo’’ti. Ettha ca yaṃ taṃ ‘‘snehanvayaṃ dukkhamidaṃ pahotī’’ti vuttaṃ, tadeva sandhāya ‘‘ādīnavaṃ snehajaṃ pekkhamāno’’ti idaṃ vuttanti veditabbaṃ. Atha vā yathāvuttena saṃsaggena ‘saṃsaggajātassa bhavati sneho, snehanvayaṃ dukkhamidaṃ pahoti’, evaṃ yathābhūtaṃ ādīnavaṃ snehajaṃ pekkhamāno ahamadhigatoti evaṃ sambandhitvā catutthapādo pubbe vuttanayeneva snehavasena vuttoti veditabbo. Tato paraṃ sabbaṃ purimagāthāya vuttasadisamevāti.

    สํสคฺคคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saṃsaggagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๙๓. มิเตฺต สุหเชฺชติ กา อุปฺปตฺติ? อยํ ปเจฺจกโพธิสโตฺต ปุริมคาถาย วุตฺตนเยเนว อุปฺปชฺชิตฺวา พาราณสิยํ รชฺชํ กาเรโนฺต ปฐมชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ‘‘กิํ สมณธโมฺม วโร, รชฺชํ วร’’นฺติ วีมํสิตฺวา อมจฺจานํ รชฺชํ นิยฺยาเตตฺวา สมณธมฺมํ อกาสิฯ อมจฺจา ‘‘ธเมฺมน สเมน กโรถา’’ติ วุตฺตาปิ ลญฺชํ คเหตฺวา อธเมฺมน กโรนฺติฯ เต ลญฺชํ คเหตฺวา สามิเก ปราชยนฺตา เอกทา อญฺญตรํ ราชวลฺลภํ ปราเชสุํฯ โส รโญฺญ ภตฺตการเกหิ สทฺธิํ ปวิสิตฺวา สพฺพํ อาโรเจสิฯ ราชา ทุติยทิวเส สยํ วินิจฺฉยฎฺฐานํ อคมาสิฯ ตโต มหาชนา – ‘‘อมจฺจา, เทว, สามิเก อสามิเก กโรนฺตี’’ติ อุจฺจาสทฺทํ กโรนฺตา มหายุทฺธํ วิย อกํสุฯ อถ ราชา วินิจฺฉยฎฺฐานา วุฎฺฐาย ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา สมาปตฺติํ อเปฺปตุํ นิสิโนฺนฯ เตน สเทฺทน วิกฺขิตฺตจิโตฺต น สโกฺกติ อเปฺปตุํฯ โส ‘‘กิํ เม รเชฺชน, สมณธโมฺม วร’’นฺติ รชฺชสุขํ ปหาย ปุน สมาปตฺติํ นิพฺพเตฺตตฺวา ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว วิปสฺสิตฺวา ปเจฺจกสโมฺพธิํ สจฺฉากาสิฯ กมฺมฎฺฐานญฺจ ปุจฺฉิโต อิมํ คาถํ อภาสิฯ

    93.Mitte suhajjeti kā uppatti? Ayaṃ paccekabodhisatto purimagāthāya vuttanayeneva uppajjitvā bārāṇasiyaṃ rajjaṃ kārento paṭhamajjhānaṃ nibbattetvā ‘‘kiṃ samaṇadhammo varo, rajjaṃ vara’’nti vīmaṃsitvā amaccānaṃ rajjaṃ niyyātetvā samaṇadhammaṃ akāsi. Amaccā ‘‘dhammena samena karothā’’ti vuttāpi lañjaṃ gahetvā adhammena karonti. Te lañjaṃ gahetvā sāmike parājayantā ekadā aññataraṃ rājavallabhaṃ parājesuṃ. So rañño bhattakārakehi saddhiṃ pavisitvā sabbaṃ ārocesi. Rājā dutiyadivase sayaṃ vinicchayaṭṭhānaṃ agamāsi. Tato mahājanā – ‘‘amaccā, deva, sāmike asāmike karontī’’ti uccāsaddaṃ karontā mahāyuddhaṃ viya akaṃsu. Atha rājā vinicchayaṭṭhānā vuṭṭhāya pāsādaṃ abhiruhitvā samāpattiṃ appetuṃ nisinno. Tena saddena vikkhittacitto na sakkoti appetuṃ. So ‘‘kiṃ me rajjena, samaṇadhammo vara’’nti rajjasukhaṃ pahāya puna samāpattiṃ nibbattetvā pubbe vuttanayeneva vipassitvā paccekasambodhiṃ sacchākāsi. Kammaṭṭhānañca pucchito imaṃ gāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ เมตฺตายนวเสน มิตฺตาฯ สุหทยภาเวน สุหชฺชาฯ เกจิ เอกนฺตหิตกามตาย มิตฺตาว โหนฺติ น สุหชฺชาฯ เกจิ คมนาคมนฎฺฐานนิสชฺชาสมุลฺลาปาทีสุ, หทยสุขชนเนน สุหชฺชาว โหนฺติ, น มิตฺตาฯ เกจิ ตทุภยวเสน สุหชฺชา เจว มิตฺตา จ โหนฺติฯ เต ทุวิธา อคาริยา จ อนคาริยา จฯ ตตฺถ อคาริยา ติวิธา โหนฺติ อุปกาโร สมานสุขทุโกฺข อนุกมฺปโกติฯ อนคาริยา วิเสเสน อตฺถกฺขายิโน เอวฯ เต จตูหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตา โหนฺติฯ ยถาห –

    Tattha mettāyanavasena mittā. Suhadayabhāvena suhajjā. Keci ekantahitakāmatāya mittāva honti na suhajjā. Keci gamanāgamanaṭṭhānanisajjāsamullāpādīsu, hadayasukhajananena suhajjāva honti, na mittā. Keci tadubhayavasena suhajjā ceva mittā ca honti. Te duvidhā agāriyā ca anagāriyā ca. Tattha agāriyā tividhā honti upakāro samānasukhadukkho anukampakoti. Anagāriyā visesena atthakkhāyino eva. Te catūhi aṅgehi samannāgatā honti. Yathāha –

    ‘‘จตูหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ อุปกาโร มิโตฺต สุหโท เวทิตโพฺพฯ ปมตฺตํ รกฺขติ, ปมตฺตสฺส สาปเตยฺยํ รกฺขติ, ภีตสฺส สรณํ โหติ, อุปฺปเนฺนสุ กิจฺจกรณีเยสุ ตทฺทิคุณํ โภคํ อนุปฺปเทติ’’ (ที. นิ. ๓.๒๖๑)ฯ

    ‘‘Catūhi kho, gahapatiputta, ṭhānehi upakāro mitto suhado veditabbo. Pamattaṃ rakkhati, pamattassa sāpateyyaṃ rakkhati, bhītassa saraṇaṃ hoti, uppannesu kiccakaraṇīyesu taddiguṇaṃ bhogaṃ anuppadeti’’ (dī. ni. 3.261).

    ตถา –

    Tathā –

    ‘‘จตูหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ สมานสุขทุโกฺข มิโตฺต สุหโท เวทิตโพฺพฯ คุยฺหมสฺส อาจิกฺขติ, คุยฺหมสฺส ปริคูหติ, อาปทาสุ น วิชหติ, ชีวิตํปิสฺส อตฺถาย ปริจฺจตฺตํ โหติ’’ (ที. นิ. ๓.๒๖๒)ฯ

    ‘‘Catūhi kho, gahapatiputta, ṭhānehi samānasukhadukkho mitto suhado veditabbo. Guyhamassa ācikkhati, guyhamassa parigūhati, āpadāsu na vijahati, jīvitaṃpissa atthāya pariccattaṃ hoti’’ (dī. ni. 3.262).

    ตถา –

    Tathā –

    ‘‘จตูหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ อนุกมฺปโก มิโตฺต สุหโท เวทิตโพฺพฯ อภเวนสฺส น นนฺทติ, ภเวนสฺส นนฺทติ, อวณฺณํ ภณมานํ นิวาเรติ, วณฺณํ ภณมานํ ปสํสติ’’ (ที. นิ. ๓.๒๖๔)ฯ

    ‘‘Catūhi kho, gahapatiputta, ṭhānehi anukampako mitto suhado veditabbo. Abhavenassa na nandati, bhavenassa nandati, avaṇṇaṃ bhaṇamānaṃ nivāreti, vaṇṇaṃ bhaṇamānaṃ pasaṃsati’’ (dī. ni. 3.264).

    ตถา –

    Tathā –

    ‘‘จตูหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ อตฺถกฺขายี มิตฺตา สุหโท เวทิตโพฺพฯ ปาปา นิวาเรติ, กลฺยาเณ นิเวเสติ, อสฺสุตํ สาเวติ, สคฺคสฺส มคฺคํ อาจิกฺขตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๖๓)ฯ

    ‘‘Catūhi kho, gahapatiputta, ṭhānehi atthakkhāyī mittā suhado veditabbo. Pāpā nivāreti, kalyāṇe niveseti, assutaṃ sāveti, saggassa maggaṃ ācikkhatī’’ti (dī. ni. 3.263).

    เตสฺวิธ อคาริยา อธิเปฺปตา, อตฺถโต ปน สเพฺพปิ ยุชฺชนฺติฯ เต มิเตฺต สุหเชฺช อนุกมฺปมาโนติ อนุทยมาโน, เตสํ สุขํ อุปสํหริตุกาโม ทุกฺขํ อปหริตุกาโม จฯ

    Tesvidha agāriyā adhippetā, atthato pana sabbepi yujjanti. Te mitte suhajje anukampamānoti anudayamāno, tesaṃ sukhaṃ upasaṃharitukāmo dukkhaṃ apaharitukāmo ca.

    หาเปติ อตฺถนฺติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมตฺถวเสน ติวิธํ, ตถา อตฺตตฺถปรตฺถอุภยตฺถวเสนาปิ ติวิธํ อตฺถํ ลทฺธวินาสเนน อลทฺธานุปฺปาทเนนาติ ทฺวิธาปิ หาเปติ วินาเสติฯ ปฎิพทฺธจิโตฺตติ ‘‘อหํ อิมํ วินา น ชีวามิ, เอส เม คติ, เอส เม ปรายณ’’นฺติ เอวํ อตฺตานํ นีเจ ฐาเน ฐเปโนฺตปิ ปฎิพทฺธจิโตฺต โหติฯ ‘‘อิเม มํ วินา น ชีวนฺติ, อหํ เตสํ คติ, อหํ เตสํ ปรายณ’’นฺติ เอวํ อตฺตานํ อุเจฺจ ฐาเน ฐเปโนฺตปิ ปฎิพทฺธจิโตฺต โหติฯ อิธ ปน เอวํ ปฎิพทฺธจิโตฺต อธิเปฺปโตฯ เอตํ ภยนฺติ เอตํ อตฺถหาปนภยํ, อตฺตโน สมาปตฺติหานิํ สนฺธายาหฯ สนฺถเวติ ติวิโธ สนฺถโว ตณฺหาทิฎฺฐิมิตฺตสนฺถววเสนฯ ตตฺถ อฎฺฐสตปเภทาปิ ตณฺหา ตณฺหาสนฺถโว, ทฺวาสฎฺฐิเภทาปิ ทิฎฺฐิ ทิฎฺฐิสนฺถโว, ปฎิพทฺธจิตฺตตาย มิตฺตานุกมฺปนา มิตฺตสนฺถโวฯ เตสุ โส อิธ อธิเปฺปโตฯ เตน หิสฺส สมาปตฺติ ปริหีนาฯ เตนาห – ‘‘เอตํ ภยํ สนฺถเว เปกฺขมาโน อหํ อธิคโต’’ติฯ เสสํ วุตฺตสทิสเมวาติฯ

    Hāpeti atthanti diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthavasena tividhaṃ, tathā attatthaparatthaubhayatthavasenāpi tividhaṃ atthaṃ laddhavināsanena aladdhānuppādanenāti dvidhāpi hāpeti vināseti. Paṭibaddhacittoti ‘‘ahaṃ imaṃ vinā na jīvāmi, esa me gati, esa me parāyaṇa’’nti evaṃ attānaṃ nīce ṭhāne ṭhapentopi paṭibaddhacitto hoti. ‘‘Ime maṃ vinā na jīvanti, ahaṃ tesaṃ gati, ahaṃ tesaṃ parāyaṇa’’nti evaṃ attānaṃ ucce ṭhāne ṭhapentopi paṭibaddhacitto hoti. Idha pana evaṃ paṭibaddhacitto adhippeto. Etaṃ bhayanti etaṃ atthahāpanabhayaṃ, attano samāpattihāniṃ sandhāyāha. Santhaveti tividho santhavo taṇhādiṭṭhimittasanthavavasena. Tattha aṭṭhasatapabhedāpi taṇhā taṇhāsanthavo, dvāsaṭṭhibhedāpi diṭṭhi diṭṭhisanthavo, paṭibaddhacittatāya mittānukampanā mittasanthavo. Tesu so idha adhippeto. Tena hissa samāpatti parihīnā. Tenāha – ‘‘etaṃ bhayaṃ santhave pekkhamāno ahaṃ adhigato’’ti. Sesaṃ vuttasadisamevāti.

    มิตฺตสุหชฺชคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mittasuhajjagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๙๔. วํโส วิสาโลติ กา อุปฺปตฺติ? ปุเพฺพ กิร กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน ตโย ปเจฺจกโพธิสตฺตา ปพฺพชิตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา เทวโลเก อุปฺปนฺนาฯ ตโต จวิตฺวา เตสํ เชฎฺฐโก พาราณสิราชกุเล นิพฺพโตฺต, อิตเร เทฺว ปจฺจนฺตราชกุเลสุฯ เต อุโภปิ กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคเหตฺวา รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา อนุกฺกเมน ปเจฺจกพุทฺธา หุตฺวา นนฺทมูลกปพฺภาเร วสนฺตา เอกทิวสํ สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ‘‘มยํ กิํ กมฺมํ กตฺวา อิมํ โลกุตฺตรสุขํ อนุปฺปตฺตา’’ติ อาวเชฺชตฺวา ปจฺจเวกฺขมานา กสฺสปพุทฺธกาเล อตฺตโน อตฺตโน จริยํ อทฺทสํสุฯ ตโต ‘‘ตติโย กุหิ’’นฺติ อาวเชฺชนฺตา พาราณสิรชฺชํ กาเรนฺตํ ทิสฺวา ตสฺส คุเณ สริตฺวา ‘‘โส ปกติยาว อปฺปิจฺฉตาทิคุณสมนฺนาคโต โหติ, อมฺหากํเยว โอวาทโก วตฺตา วจนกฺขโม ปาปครหี, หนฺท, นํ อารมฺมณํ ทเสฺสตฺวา อาโรเจมา’’ติ โอกาสํ คเวสนฺตา ตํ เอกทิวสํ สพฺพาลงฺการวิภูสิตํ อุยฺยานํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อากาเสนาคนฺตฺวา อุยฺยานทฺวาเร เวฬุคุมฺพมูเล อฎฺฐํสุฯ มหาชโน อติโตฺต ราชทสฺสเนน ราชานํ อุโลฺลเกติฯ ตโต ราชา ‘‘อตฺถิ นุ โข โกจิ มม ทสฺสเน พฺยาปารํ น กโรตี’’ติ โอโลเกโนฺต ปเจฺจกพุเทฺธ อทฺทกฺขิฯ สห ทสฺสเนเนว จสฺส เตสุ สิเนโห อุปฺปชฺชิฯ โส หตฺถิกฺขนฺธา โอรุยฺห สเนฺตน อาจาเรน อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเนฺต, กิํ นาม ตุเมฺห’’ติ ปุจฺฉิฯ เต ‘‘มยํ, มหาราช, อสชฺชมานา นามา’’ติ อาหํสุ ฯ ‘‘ภเนฺต, อสชฺชมานาติ เอตสฺส โก อโตฺถ’’ติ? ‘‘อลคฺคนโตฺถ, มหาราชา’’ติฯ ตโต เวฬุคุมฺพํ ทเสฺสตฺวา อาหํสุ – ‘‘เสยฺยถาปิ, มหาราช, อิมํ เวฬุคุมฺพํ สพฺพโส มูลขนฺธสาขานุสาขาหิ สํสิพฺพิตฺวา ฐิตํ อสิหโตฺถ ปุริโส มูเล เฉตฺวา อาวิญฺฉโนฺต น สกฺกุเณยฺย อุทฺธริตุํ, เอวเมว ตฺวํ อโนฺต จ พหิ จ ชฎาย ชฎิโต อาสตฺตวิสโตฺต ตตฺถ วิลโคฺคฯ เสยฺยถาปิ วา ปนสฺส เวมชฺฌคโตปิ อยํ วํสกฬีโร อสญฺชาตสาขตฺตา เกนจิ อลโคฺคว ฐิโต, สกฺกา จ ปน อเคฺค วา มูเล วา เฉตฺวา อุทฺธริตุํ, เอวเมว มยํ กตฺถจิ อสชฺชมานา สพฺพา ทิสา คจฺฉามา’’ติ ตาวเทว จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา ปสฺสโต เอว รโญฺญ อากาเสน นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมํสุฯ ตโต ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘กทา นุ โข อหมฺปิ เอวํ อสชฺชมาโน ภเวยฺย’’นฺติ ตเตฺถว ฐิโต วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ปุริมนเยเนว กมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉิโต อิมํ คาถํ อภาสิฯ

    94.Vaṃso visāloti kā uppatti? Pubbe kira kassapassa bhagavato sāsane tayo paccekabodhisattā pabbajitvā vīsati vassasahassāni gatapaccāgatavattaṃ pūretvā devaloke uppannā. Tato cavitvā tesaṃ jeṭṭhako bārāṇasirājakule nibbatto, itare dve paccantarājakulesu. Te ubhopi kammaṭṭhānaṃ uggahetvā rajjaṃ pahāya pabbajitvā anukkamena paccekabuddhā hutvā nandamūlakapabbhāre vasantā ekadivasaṃ samāpattito vuṭṭhāya ‘‘mayaṃ kiṃ kammaṃ katvā imaṃ lokuttarasukhaṃ anuppattā’’ti āvajjetvā paccavekkhamānā kassapabuddhakāle attano attano cariyaṃ addasaṃsu. Tato ‘‘tatiyo kuhi’’nti āvajjentā bārāṇasirajjaṃ kārentaṃ disvā tassa guṇe saritvā ‘‘so pakatiyāva appicchatādiguṇasamannāgato hoti, amhākaṃyeva ovādako vattā vacanakkhamo pāpagarahī, handa, naṃ ārammaṇaṃ dassetvā ārocemā’’ti okāsaṃ gavesantā taṃ ekadivasaṃ sabbālaṅkāravibhūsitaṃ uyyānaṃ gacchantaṃ disvā ākāsenāgantvā uyyānadvāre veḷugumbamūle aṭṭhaṃsu. Mahājano atitto rājadassanena rājānaṃ ulloketi. Tato rājā ‘‘atthi nu kho koci mama dassane byāpāraṃ na karotī’’ti olokento paccekabuddhe addakkhi. Saha dassaneneva cassa tesu sineho uppajji. So hatthikkhandhā oruyha santena ācārena upasaṅkamitvā ‘‘bhante, kiṃ nāma tumhe’’ti pucchi. Te ‘‘mayaṃ, mahārāja, asajjamānā nāmā’’ti āhaṃsu . ‘‘Bhante, asajjamānāti etassa ko attho’’ti? ‘‘Alagganattho, mahārājā’’ti. Tato veḷugumbaṃ dassetvā āhaṃsu – ‘‘seyyathāpi, mahārāja, imaṃ veḷugumbaṃ sabbaso mūlakhandhasākhānusākhāhi saṃsibbitvā ṭhitaṃ asihattho puriso mūle chetvā āviñchanto na sakkuṇeyya uddharituṃ, evameva tvaṃ anto ca bahi ca jaṭāya jaṭito āsattavisatto tattha vilaggo. Seyyathāpi vā panassa vemajjhagatopi ayaṃ vaṃsakaḷīro asañjātasākhattā kenaci alaggova ṭhito, sakkā ca pana agge vā mūle vā chetvā uddharituṃ, evameva mayaṃ katthaci asajjamānā sabbā disā gacchāmā’’ti tāvadeva catutthajjhānaṃ samāpajjitvā passato eva rañño ākāsena nandamūlakapabbhāraṃ agamaṃsu. Tato rājā cintesi – ‘‘kadā nu kho ahampi evaṃ asajjamāno bhaveyya’’nti tattheva ṭhito vipassanto paccekabodhiṃ sacchākāsi. Purimanayeneva kammaṭṭhānaṃ pucchito imaṃ gāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ วํโสติ เวฬุฯ วิสาโลติ วิตฺถิโณฺณฯ -กาโร อวธารณโตฺถ, เอว-กาโร วา อยํ, สนฺธิวเสน เอตฺถ เอ-กาโร นฎฺฐาฯ ตสฺส ปรปเทน สมฺพโนฺธฯ ตํ ปจฺฉา โยเชสฺสามฯ ยถาติ ปฎิภาเคฯ วิสโตฺตติ ลโคฺค ชฎิโต สํสิพฺพิโตฯ ปุเตฺตสุ ทาเรสุ จาติ ปุตฺตธีตุภริยาสุฯ ยา อเปกฺขาติ ยา ตณฺหา โย สิเนโหฯ วํสกฺกฬีโรว อสชฺชมาโนติ วํสกฬีโร วิย อลคฺคมาโนฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถา วํโส วิสาโล วิสโตฺต เอว โหติ, ปุเตฺตสุ ทาเรสุ จ ยา อเปกฺขา, สาปิ เอวํ ตานิ วตฺถูนิ, สํสิพฺพิตฺวา ฐิตตฺตา วิสตฺตา เอวฯ สฺวาหํ ตาย อเปกฺขาย อเปกฺขวา วิสาโล วํโส วิย วิสโตฺตติ เอวํ อเปกฺขาย อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ อเปกฺขํ มคฺคญาเณน ฉินฺทโนฺต อยํ วํสกฬีโรว รูปาทีสุ วา ลาภาทีสุ วา กามภวาทีสุ วา ทิฎฺฐาทีสุ วา ตณฺหามานทิฎฺฐิวเสน อสชฺชมาโน ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตติฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Tattha vaṃsoti veḷu. Visāloti vitthiṇṇo. Va-kāro avadhāraṇattho, eva-kāro vā ayaṃ, sandhivasena ettha e-kāro naṭṭhā. Tassa parapadena sambandho. Taṃ pacchā yojessāma. Yathāti paṭibhāge. Visattoti laggo jaṭito saṃsibbito. Puttesu dāresu cāti puttadhītubhariyāsu. Yā apekkhāti yā taṇhā yo sineho. Vaṃsakkaḷīrova asajjamānoti vaṃsakaḷīro viya alaggamāno. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathā vaṃso visālo visatto eva hoti, puttesu dāresu ca yā apekkhā, sāpi evaṃ tāni vatthūni, saṃsibbitvā ṭhitattā visattā eva. Svāhaṃ tāya apekkhāya apekkhavā visālo vaṃso viya visattoti evaṃ apekkhāya ādīnavaṃ disvā taṃ apekkhaṃ maggañāṇena chindanto ayaṃ vaṃsakaḷīrova rūpādīsu vā lābhādīsu vā kāmabhavādīsu vā diṭṭhādīsu vā taṇhāmānadiṭṭhivasena asajjamāno paccekabodhiṃ adhigatoti. Sesaṃ purimanayeneva veditabbaṃ.

    วํสกฺกฬีรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vaṃsakkaḷīragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๙๕. มิโค อรญฺญมฺหีติ กา อุปฺปตฺติ? เอโก กิร ภิกฺขุ กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน โยคาวจโร กาลํ กตฺวา พาราณสิยํ เสฎฺฐิกุเล อุปฺปโนฺน อเฑฺฒ มหทฺธเน มหาโภเคฯ โส สุภโค อโหสิ, ตโต ปรทาริโก หุตฺวา กาลงฺกโต นิรเย นิพฺพโตฺต ตตฺถ ปจฺจิตฺวา ปกฺกาวเสเสน เสฎฺฐิภริยาย กุจฺฉิมฺหิ อิตฺถี หุตฺวา ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ นิรยโต อาคตานํ สตฺตานํ คตฺตานิ อุณฺหานิ โหนฺติฯ เตน เสฎฺฐิภริยา ฑยฺหมาเนน อุทเรน กิเจฺฉน กสิเรน ตํ คพฺภํ ธาเรตฺวา กาเลน ทาริกํ วิชายิฯ สา ชาตทิวสโต ปภุติ มาตาปิตูนํ เสสพนฺธุปริชนานญฺจ เทสฺสา อโหสิฯ วยปฺปตฺตา จ ยมฺหิ กุเล ทินฺนา, ตตฺถาปิ สามิกสสฺสุสสุรานํ เทสฺสาว อโหสิ อปฺปิยา อมนาปาฯ อถ นกฺขเตฺต โฆสิเต เสฎฺฐิปุโตฺต ตาย สทฺธิํ กีฬิตุํ อนิจฺฉโนฺต เวสิํ อาเนตฺวา กีฬติฯ สา ตํ ทาสีนํ สนฺติกา สุตฺวา เสฎฺฐิปุตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา นานปฺปกาเรหิ อนุนยิตฺวา จ อาห – ‘‘อยฺยปุตฺต, อิตฺถี นาม สเจปิ ทสนฺนํ ราชูนํ กนิฎฺฐา โหติ, จกฺกวตฺติโน วา ธีตา, ตถาปิ สามิกสฺส เปสนกรา โหติฯ สามิเก อนาลปเนฺต สูเล อาโรปิตา วิย ทุกฺขํ ปฎิสํเวเทติฯ สเจ อหํ อนุคฺคหารหา อนุคฺคเหตพฺพา, โน เจ, วิสฺสเชฺชตพฺพาฯ อตฺตโน ญาติกุลํ คมิสฺสามี’’ติฯ เสฎฺฐิปุโตฺต – ‘‘โหตุ, ภเทฺท, มา โสจิ กีฬนสชฺชา โหหิ, นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามา’’ติ อาหฯ เสฎฺฐิธีตา ตาวตฺตเกน สลฺลาปมเตฺตน อุสฺสาหชาตา ‘‘เสฺว นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามี’’ติ พหุํ ขชฺชโภชฺชํ ปฎิยาเทติฯ เสฎฺฐิปุโตฺต ทุติยทิวเส อนาโรเจตฺวาว กีฬนฎฺฐานํ คโตฯ สา ‘‘อิทานิ เปเสสฺสติ, อิทานิ เปเสสฺสตี’’ติ มคฺคํ โอโลเกนฺตี นิสินฺนา อุสฺสูรํ ทิสฺวา มนุเสฺส เปเสสิฯ เต ปจฺจาคนฺตฺวา ‘‘เสฎฺฐิปุโตฺต คโต’’ติ อาโรเจสุํฯ สา ตํ สพฺพํ ปฎิยาทิตํ อาทาย ยานํ อภิรุหิตฺวา อุยฺยานํ คนฺตุํ อารทฺธาฯ

    95.Migoaraññamhīti kā uppatti? Eko kira bhikkhu kassapassa bhagavato sāsane yogāvacaro kālaṃ katvā bārāṇasiyaṃ seṭṭhikule uppanno aḍḍhe mahaddhane mahābhoge. So subhago ahosi, tato paradāriko hutvā kālaṅkato niraye nibbatto tattha paccitvā pakkāvasesena seṭṭhibhariyāya kucchimhi itthī hutvā paṭisandhiṃ gaṇhi. Nirayato āgatānaṃ sattānaṃ gattāni uṇhāni honti. Tena seṭṭhibhariyā ḍayhamānena udarena kicchena kasirena taṃ gabbhaṃ dhāretvā kālena dārikaṃ vijāyi. Sā jātadivasato pabhuti mātāpitūnaṃ sesabandhuparijanānañca dessā ahosi. Vayappattā ca yamhi kule dinnā, tatthāpi sāmikasassusasurānaṃ dessāva ahosi appiyā amanāpā. Atha nakkhatte ghosite seṭṭhiputto tāya saddhiṃ kīḷituṃ anicchanto vesiṃ ānetvā kīḷati. Sā taṃ dāsīnaṃ santikā sutvā seṭṭhiputtaṃ upasaṅkamitvā nānappakārehi anunayitvā ca āha – ‘‘ayyaputta, itthī nāma sacepi dasannaṃ rājūnaṃ kaniṭṭhā hoti, cakkavattino vā dhītā, tathāpi sāmikassa pesanakarā hoti. Sāmike anālapante sūle āropitā viya dukkhaṃ paṭisaṃvedeti. Sace ahaṃ anuggahārahā anuggahetabbā, no ce, vissajjetabbā. Attano ñātikulaṃ gamissāmī’’ti. Seṭṭhiputto – ‘‘hotu, bhadde, mā soci kīḷanasajjā hohi, nakkhattaṃ kīḷissāmā’’ti āha. Seṭṭhidhītā tāvattakena sallāpamattena ussāhajātā ‘‘sve nakkhattaṃ kīḷissāmī’’ti bahuṃ khajjabhojjaṃ paṭiyādeti. Seṭṭhiputto dutiyadivase anārocetvāva kīḷanaṭṭhānaṃ gato. Sā ‘‘idāni pesessati, idāni pesessatī’’ti maggaṃ olokentī nisinnā ussūraṃ disvā manusse pesesi. Te paccāgantvā ‘‘seṭṭhiputto gato’’ti ārocesuṃ. Sā taṃ sabbaṃ paṭiyāditaṃ ādāya yānaṃ abhiruhitvā uyyānaṃ gantuṃ āraddhā.

    อถ นนฺทมูลกปพฺภาเร ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ สตฺตเม ทิวเส นิโรธา วุฎฺฐาย นาคลตาทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา อโนตตฺตทเห มุขํ โธวิตฺวา ‘‘กตฺถ อชฺช ภิกฺขํ จริสฺสามา’’ติ อาวเชฺชโนฺต ตํ เสฎฺฐิธีตรํ ทิสฺวา ‘‘มยิ อิมิสฺสา สทฺธาการํ กาเรตฺวา ตํ กมฺมํ ปริกฺขยํ คมิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ปพฺภารสมีเป สฎฺฐิโยชนมโนสิลาตเล ฐตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อภิญฺญาปาทกํ ฌานํ สมาปชฺชิตฺวา อากาเสนาคนฺตฺวา ตสฺสา ปฎิปเถ โอรุยฺห พาราณสิํ อภิมุโข อคมาสิฯ ตํ ทิสฺวาว ทาสิโย เสฎฺฐิธีตาย อาโรเจสุํฯ สา ยานา โอรุยฺห สกฺกจฺจํ วนฺทิตฺวา ปตฺตํ สพฺพรสสมฺปเนฺนน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปูเรตฺวา ปทุมปุเปฺผน ปฎิจฺฉาเทตฺวา เหฎฺฐาปิ ปทุมปุปฺผํ กตฺวา ปุปฺผกลาปํ หเตฺถน คเหตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสฺส หเตฺถ ปตฺตํ ทตฺวา วนฺทิตฺวา ปุปฺผกลาปหตฺถา ปตฺถนํ อกาสิ – ‘‘ภเนฺต, ยถา อิทํ ปุปฺผํ, เอวาหํ ยตฺถ ยตฺถ อุปปชฺชามิ, ตตฺถ ตตฺถ มหาชนสฺส ปิยา ภเวยฺยํ มนาปา’’ติฯ เอวํ ปเตฺถตฺวา ทุติยมฺปิ ปเตฺถสิ – ‘‘ภเนฺต, ทุโกฺข คพฺภวาโส , ตํ อนุปคมฺม ปทุมปุเปฺผ เอว ปฎิสนฺธิ ภเวยฺยา’’ติฯ ตติยมฺปิ ปเตฺถสิ – ‘‘ภเนฺต, เชคุโจฺฉ มาตุคาโม, จกฺกวตฺติธีตาปิ ปรวสํ คจฺฉติฯ ตสฺมา อหํ อิตฺถิภาวํ อนุปคมฺม ปุริโส ภเวยฺย’’นฺติฯ จตุตฺถมฺปิ ปเตฺถสิ – ‘‘ภเนฺต, อิมํ สํสารทุกฺขํ อติกฺกมฺม ปริโยสาเน ตุเมฺหหิ ปตฺตํ อมตํ ปาปุเณยฺย’’นฺติฯ เอวํ จตุโร ปณิธี กตฺวา ตํ ปทุมปุปฺผกลาปํ ปูเชตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ‘‘ปุปฺผสทิโส เอว เม คโนฺธ เจว วโณฺณ จ โหตู’’ติ อิมํ ปญฺจมํ ปณิธิํ อกาสิฯ

    Atha nandamūlakapabbhāre paccekasambuddho sattame divase nirodhā vuṭṭhāya nāgalatādantakaṭṭhaṃ khāditvā anotattadahe mukhaṃ dhovitvā ‘‘kattha ajja bhikkhaṃ carissāmā’’ti āvajjento taṃ seṭṭhidhītaraṃ disvā ‘‘mayi imissā saddhākāraṃ kāretvā taṃ kammaṃ parikkhayaṃ gamissatī’’ti ñatvā pabbhārasamīpe saṭṭhiyojanamanosilātale ṭhatvā pattacīvaramādāya abhiññāpādakaṃ jhānaṃ samāpajjitvā ākāsenāgantvā tassā paṭipathe oruyha bārāṇasiṃ abhimukho agamāsi. Taṃ disvāva dāsiyo seṭṭhidhītāya ārocesuṃ. Sā yānā oruyha sakkaccaṃ vanditvā pattaṃ sabbarasasampannena khādanīyena bhojanīyena pūretvā padumapupphena paṭicchādetvā heṭṭhāpi padumapupphaṃ katvā pupphakalāpaṃ hatthena gahetvā paccekabuddhassa hatthe pattaṃ datvā vanditvā pupphakalāpahatthā patthanaṃ akāsi – ‘‘bhante, yathā idaṃ pupphaṃ, evāhaṃ yattha yattha upapajjāmi, tattha tattha mahājanassa piyā bhaveyyaṃ manāpā’’ti. Evaṃ patthetvā dutiyampi patthesi – ‘‘bhante, dukkho gabbhavāso , taṃ anupagamma padumapupphe eva paṭisandhi bhaveyyā’’ti. Tatiyampi patthesi – ‘‘bhante, jeguccho mātugāmo, cakkavattidhītāpi paravasaṃ gacchati. Tasmā ahaṃ itthibhāvaṃ anupagamma puriso bhaveyya’’nti. Catutthampi patthesi – ‘‘bhante, imaṃ saṃsāradukkhaṃ atikkamma pariyosāne tumhehi pattaṃ amataṃ pāpuṇeyya’’nti. Evaṃ caturo paṇidhī katvā taṃ padumapupphakalāpaṃ pūjetvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā ‘‘pupphasadiso eva me gandho ceva vaṇṇo ca hotū’’ti imaṃ pañcamaṃ paṇidhiṃ akāsi.

    ตโต ปเจฺจกพุโทฺธ ปตฺตญฺจ ปุปฺผกลาปญฺจ คเหตฺวา อากาเส ฐตฺวา –

    Tato paccekabuddho pattañca pupphakalāpañca gahetvā ākāse ṭhatvā –

    ‘‘อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ, ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ;

    ‘‘Icchitaṃ patthitaṃ tuyhaṃ, khippameva samijjhatu;

    สเพฺพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา, จโนฺท ปนฺนรโส ยถา’’ติฯ –

    Sabbe pūrentu saṅkappā, cando pannaraso yathā’’ti. –

    อิมาย คาถาย เสฎฺฐิธีตาย อนุโมทนํ กตฺวา ‘‘เสฎฺฐิธีตา มํ คจฺฉนฺตํ ปสฺสตู’’ติ อธิฎฺฐหิตฺวา อากาเสน นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมาสิฯ เสฎฺฐิธีตาย ตํ ปสฺสนฺติยา มหตี ปีติ อุปฺปชฺชิฯ ภวนฺตเร กตํ อกุสลํ กมฺมํ อโนกาสตาย ปริกฺขีณํ จิญฺจมฺพิลโธตตมฺพโลหภาชนมิว สุทฺธา ชาตาฯ ตาวเทวสฺสา ปติกุเล ญาติกุเล จ สโพฺพ ชโน ตุโฎฺฐฯ ‘‘กิํ กโรมา’’ติ ปิยวจนานิ จ ปณฺณาการานิ จ เปเสสิฯ สามิโกปิ มนุเสฺส เปเสสิ – ‘‘เสฎฺฐิธีตรํ สีฆํ อาเนถ, อหํ วิสฺสริตฺวา อุยฺยานํ อาคโต’’ติฯ ตโต ปภุติ จ นํ อุเร วิลิตฺตจนฺทนํ วิย อามุตฺตมุตฺตาหารํ วิย ปุปฺผมาลา วิย จ ปิยายโนฺต ปริหริฯ สา ตตฺถ ยาวตายุกํ อิสฺสริยโภคยุตฺตสุขํ อนุภวิตฺวา กาลํ กตฺวา ปุริสภาเวน เทวโลเก ปทุมปุเปฺผ อุปฺปชฺชิฯ โส เทวปุโตฺต คจฺฉโนฺตปิ ปทุมปุปฺผคเพฺภ เอว คจฺฉติ, ติฎฺฐโนฺตปิ นิสีทโนฺตปิ สยโนฺตปิ ปทุมปุปฺผคเพฺภเยว สยติฯ ‘‘มหาปทุมเทวปุโตฺต’’ติ จ นํ โวหริํสุฯ เอวํ โส เตน อิทฺธานุภาเวน อนุโลมปฎิโลมํ ฉ เทวโลเก เอว สํสรติฯ

    Imāya gāthāya seṭṭhidhītāya anumodanaṃ katvā ‘‘seṭṭhidhītā maṃ gacchantaṃ passatū’’ti adhiṭṭhahitvā ākāsena nandamūlakapabbhāraṃ agamāsi. Seṭṭhidhītāya taṃ passantiyā mahatī pīti uppajji. Bhavantare kataṃ akusalaṃ kammaṃ anokāsatāya parikkhīṇaṃ ciñcambiladhotatambalohabhājanamiva suddhā jātā. Tāvadevassā patikule ñātikule ca sabbo jano tuṭṭho. ‘‘Kiṃ karomā’’ti piyavacanāni ca paṇṇākārāni ca pesesi. Sāmikopi manusse pesesi – ‘‘seṭṭhidhītaraṃ sīghaṃ ānetha, ahaṃ vissaritvā uyyānaṃ āgato’’ti. Tato pabhuti ca naṃ ure vilittacandanaṃ viya āmuttamuttāhāraṃ viya pupphamālā viya ca piyāyanto parihari. Sā tattha yāvatāyukaṃ issariyabhogayuttasukhaṃ anubhavitvā kālaṃ katvā purisabhāvena devaloke padumapupphe uppajji. So devaputto gacchantopi padumapupphagabbhe eva gacchati, tiṭṭhantopi nisīdantopi sayantopi padumapupphagabbheyeva sayati. ‘‘Mahāpadumadevaputto’’ti ca naṃ vohariṃsu. Evaṃ so tena iddhānubhāvena anulomapaṭilomaṃ cha devaloke eva saṃsarati.

    เตน จ สมเยน พาราณสิรโญฺญ วีสติ อิตฺถิสหสฺสานิ โหนฺติฯ ตาสุ เอกาปิ ปุตฺตํ น ลภติฯ อมจฺจา ราชานํ วิญฺญาเปสุํ – ‘‘เทว, กุลวํสานุปาลโก ปุโตฺต อิจฺฉิตโพฺพ, อตฺรเช อวิชฺชมาเน เขตฺตโชปิ กุลวํสธโร โหตี’’ติฯ อถ ราชา ‘‘ฐเปตฺวา มเหสิํ อวเสสา อิตฺถิโย สตฺตาหํ ธมฺมนาฎกํ กโรถา’’ติ ยถากามํ พหิ จราเปสิ, ตถาปิ ปุตฺตํ นาลตฺถฯ ปุน อมจฺจา อาหํสุ – ‘‘มหาราช, มเหสี นาม ปุเญฺญน จ ปญฺญาย จ สพฺพอิตฺถีนํ อคฺคา, อเปฺปว นาม เทโว มเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปุตฺตํ ลเภยฺยา’’ติฯ ราชา มเหสิยา เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สา อาห – ‘‘มหาราช, ยา อิตฺถี สีลวตี สจฺจวาทินี, สา ปุตฺตํ ลเภยฺย, หิโรตฺตปฺปรหิตาย กุโต ปุโตฺต’’ติ ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา ปญฺจ สีลานิ สมาทิยิตฺวา ปุนปฺปุนํ อาวเชฺชสิ, สีลวติยา ราชธีตาย ปญฺจ สีลานิ อาวเชฺชนฺติยา ปุตฺตปตฺถนาจิเตฺต อุปฺปนฺนมเตฺต สกฺกสฺส อาสนํ สํกมฺปิฯ

    Tena ca samayena bārāṇasirañño vīsati itthisahassāni honti. Tāsu ekāpi puttaṃ na labhati. Amaccā rājānaṃ viññāpesuṃ – ‘‘deva, kulavaṃsānupālako putto icchitabbo, atraje avijjamāne khettajopi kulavaṃsadharo hotī’’ti. Atha rājā ‘‘ṭhapetvā mahesiṃ avasesā itthiyo sattāhaṃ dhammanāṭakaṃ karothā’’ti yathākāmaṃ bahi carāpesi, tathāpi puttaṃ nālattha. Puna amaccā āhaṃsu – ‘‘mahārāja, mahesī nāma puññena ca paññāya ca sabbaitthīnaṃ aggā, appeva nāma devo mahesiyā kucchimhi puttaṃ labheyyā’’ti. Rājā mahesiyā etamatthaṃ ārocesi. Sā āha – ‘‘mahārāja, yā itthī sīlavatī saccavādinī, sā puttaṃ labheyya, hirottapparahitāya kuto putto’’ti pāsādaṃ abhiruhitvā pañca sīlāni samādiyitvā punappunaṃ āvajjesi, sīlavatiyā rājadhītāya pañca sīlāni āvajjentiyā puttapatthanācitte uppannamatte sakkassa āsanaṃ saṃkampi.

    อถ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต เอตมตฺถํ วิทิตฺวา – ‘‘สีลวติยา ราชธีตาย ปุตฺตวรํ เทมี’’ติ อากาเสนาคนฺตฺวา เทวิยา สมฺมุเข ฐิโต ‘‘กิํ วเรสิ, เทวี’’ติ? ‘‘ปุตฺตํ, มหาราชา’’ติฯ ‘‘ทมฺมิ เต, เทวิ, ปุตฺตํ, มา จินฺตยี’’ติ วตฺวา เทวโลกํ คนฺตฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข เอตฺถ ขีณายุโก’’ติ อาวเชฺชโนฺต ‘‘อยํ มหาปทุโม อุปริเทวโลกํ คนฺตุกาโม จ ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ตสฺส วิมานํ คนฺตฺวา ‘‘ตาต มหาปทุม, มนุสฺสโลกํ คจฺฉาหี’’ติ ยาจิฯ โส ‘‘มา เอวํ, มหาราช, ภณ, เชคุจฺฉิโต มนุสฺสโลโก’’ติ ฯ ‘‘ตาต, ตฺวํ มนุสฺสโลเก ปุญฺญํ กตฺวา อิธูปปโนฺน, ตเตฺถว ฐตฺวา ปารมิโย ปูเรตพฺพา, คจฺฉ, ตาตา’’ติฯ ‘‘ทุโกฺข, มหาราช, คพฺภวาโส, น สโกฺกมิ ตตฺถ วสิตุ’’นฺติฯ ‘‘ตาต, เต คพฺภวาโส นตฺถิ, ตถา หิ ตฺวํ กมฺมมกาสิ, ยถา ปทุมคเพฺภเยว นิพฺพตฺติสฺสสิ, คจฺฉ, ตาตา’’ติ ปุนปฺปุนํ วุจฺจมาโน อธิวาเสสิฯ

    Atha sakko āvajjento etamatthaṃ viditvā – ‘‘sīlavatiyā rājadhītāya puttavaraṃ demī’’ti ākāsenāgantvā deviyā sammukhe ṭhito ‘‘kiṃ varesi, devī’’ti? ‘‘Puttaṃ, mahārājā’’ti. ‘‘Dammi te, devi, puttaṃ, mā cintayī’’ti vatvā devalokaṃ gantvā ‘‘atthi nu kho ettha khīṇāyuko’’ti āvajjento ‘‘ayaṃ mahāpadumo uparidevalokaṃ gantukāmo ca bhavissatī’’ti ñatvā tassa vimānaṃ gantvā ‘‘tāta mahāpaduma, manussalokaṃ gacchāhī’’ti yāci. So ‘‘mā evaṃ, mahārāja, bhaṇa, jegucchito manussaloko’’ti . ‘‘Tāta, tvaṃ manussaloke puññaṃ katvā idhūpapanno, tattheva ṭhatvā pāramiyo pūretabbā, gaccha, tātā’’ti. ‘‘Dukkho, mahārāja, gabbhavāso, na sakkomi tattha vasitu’’nti. ‘‘Tāta, te gabbhavāso natthi, tathā hi tvaṃ kammamakāsi, yathā padumagabbheyeva nibbattissasi, gaccha, tātā’’ti punappunaṃ vuccamāno adhivāsesi.

    โส เทวโลกา จวิตฺวา พาราณสิรโญฺญ อุยฺยาเน สิลาปฎฺฎโปกฺขรณิยํ ปทุมคเพฺภ นิพฺพโตฺตฯ ตญฺจ รตฺติํ ปจฺจูสสมเย มเหสี สุปินเนฺตน วีสติอิตฺถิสหสฺสปริวุตา อุยฺยานํ คนฺตฺวา สิลาปฎฺฎโปกฺขรณิยํ ปทุมคเพฺภ ปุตฺตํ ลทฺธา วิย อโหสิฯ สา ปภาตาย รตฺติยา สีลานิ รกฺขมานา ตตฺถ คนฺตฺวา เอกํ ปทุมปุปฺผํ อทฺทส, ตํ เนว ตีเร โหติ น คมฺภีเรฯ สห ทสฺสเนเนว จสฺสา ตตฺถ ปุตฺตสิเนโห อุปฺปชฺชิฯ สา สยํ เอว โอตริตฺวา ตํ ปุปฺผํ อคฺคเหสิ, ปุเปฺผ คหิตมเตฺตเยว ปตฺตานิ วิกสิํสุฯ ตตฺถ สุวณฺณปฎิมํ วิย ทารกํ อทฺทส, ทิสฺวาว ‘‘ปุโตฺต เม ลโทฺธ’’ติ สทฺทํ นิจฺฉาเรสิฯ มหาชโน สาธุการสหสฺสานิ ปวเตฺตสิฯ รโญฺญ จ เปเสสิฯ ราชา สุตฺวา ‘‘กตฺถ ลโทฺธ’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ลโทฺธกาสํ สุตฺวา ‘‘อุยฺยานญฺจ โปกฺขรณิยํ ปทุมญฺจ อมฺหากํเยว, ตสฺมา อมฺหากํ เขเตฺต ชาตตฺตา เขตฺตโช นามายํ ปุโตฺต’’ติ วตฺวา นครํ ปเวเสตฺวา วีสติสหสฺสอิตฺถิโย ธาติกิจฺจํ กาเรสิฯ ยา ยา กุมารสฺส รุจิํ ญตฺวา ปตฺถิตํ ปตฺถิตํ ขาทนียํ ขาทาเปติ, สา สา สหสฺสํ ลภติฯ สกลพาราณสี จลิตา, สโพฺพ ชโน กุมารสฺส ปณฺณาการสหสฺสานิ เปเสสิฯ กุมาโร ตํ ตํ อติเนตฺวา ‘‘อิมํ ขาท, อิมํ ภุญฺชา’’ติ วุจฺจมาโน โภชเนน อุพฺพาโฬฺห อุกฺกณฺฐิโต หุตฺวา โคปุรทฺวารํ คนฺตฺวา ลาขาคุฬเกน กีฬติฯ

    So devalokā cavitvā bārāṇasirañño uyyāne silāpaṭṭapokkharaṇiyaṃ padumagabbhe nibbatto. Tañca rattiṃ paccūsasamaye mahesī supinantena vīsatiitthisahassaparivutā uyyānaṃ gantvā silāpaṭṭapokkharaṇiyaṃ padumagabbhe puttaṃ laddhā viya ahosi. Sā pabhātāya rattiyā sīlāni rakkhamānā tattha gantvā ekaṃ padumapupphaṃ addasa, taṃ neva tīre hoti na gambhīre. Saha dassaneneva cassā tattha puttasineho uppajji. Sā sayaṃ eva otaritvā taṃ pupphaṃ aggahesi, pupphe gahitamatteyeva pattāni vikasiṃsu. Tattha suvaṇṇapaṭimaṃ viya dārakaṃ addasa, disvāva ‘‘putto me laddho’’ti saddaṃ nicchāresi. Mahājano sādhukārasahassāni pavattesi. Rañño ca pesesi. Rājā sutvā ‘‘kattha laddho’’ti pucchitvā laddhokāsaṃ sutvā ‘‘uyyānañca pokkharaṇiyaṃ padumañca amhākaṃyeva, tasmā amhākaṃ khette jātattā khettajo nāmāyaṃ putto’’ti vatvā nagaraṃ pavesetvā vīsatisahassaitthiyo dhātikiccaṃ kāresi. Yā yā kumārassa ruciṃ ñatvā patthitaṃ patthitaṃ khādanīyaṃ khādāpeti, sā sā sahassaṃ labhati. Sakalabārāṇasī calitā, sabbo jano kumārassa paṇṇākārasahassāni pesesi. Kumāro taṃ taṃ atinetvā ‘‘imaṃ khāda, imaṃ bhuñjā’’ti vuccamāno bhojanena ubbāḷho ukkaṇṭhito hutvā gopuradvāraṃ gantvā lākhāguḷakena kīḷati.

    ตทา อญฺญตโร ปเจฺจกพุโทฺธ พาราณสิํ นิสฺสาย อิสิปตเน วสติฯ โส กาลเสฺสว วุฎฺฐาย เสนาสนวตฺตสรีรปริกมฺมมนสิการาทีนิ สพฺพกิจฺจานิ กตฺวา ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต ‘‘อชฺช กตฺถ ภิกฺขํ คเหสฺสามี’’ติ อาวเชฺชโนฺต กุมารสฺส สมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘เอส ปุเพฺพ กิํ กมฺมํ กรี’’ติ วีมํสโนฺต ‘‘มาทิสสฺส ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา จตโสฺส ปตฺถนา ปเตฺถสิ, ตตฺถ ติโสฺส สิทฺธา, เอกา ตาว น สิชฺฌติ, ตสฺส อุปาเยน อารมฺมณํ ทเสฺสมี’’ติ ภิกฺขาจารวเสน กุมารสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ กุมาโร ตํ ทิสฺวา ‘‘สมณ, มา อิธ อาคจฺฉิ, อิเม หิ ตมฺปิ ‘อิมํ ขาท, อิมํ ภุญฺชา’ติ วเทยฺยุ’’นฺติ อาหฯ โส เอกวจเนเนว ตโต นิวตฺติตฺวา อตฺตโน เสนาสนํ อคมาสิฯ กุมาโร ปริชนํ อาห – ‘‘อยํ สมโณ มยา วุตฺตมโตฺตว นิวโตฺต, กุโทฺธ นุ โข มมา’’ติฯ โส เตหิ ‘‘ปพฺพชิตา นาม น โกธปรายณา โหนฺติ, ปเรน ปสนฺนมเนน ยํ ทินฺนํ, เตน ยาเปนฺตี’’ติ วุจฺจมาเนปิ ‘‘ทุโฎฺฐ เอวรูโป นาม สมโณ, ขมาเปสฺสามิ น’’นฺติ มาตาปิตูนํ อาโรเจตฺวา หตฺถิํ อภิรุหิตฺวา มหตา ราชานุภาเวน อิสิปตนํ คนฺตฺวา มิคยูถํ ทิสฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘กินฺนาเมเต’’ติ? ‘‘เอเต, สามิ, มิคา นามา’’ติฯ ‘‘เอเตสํ ‘อิมํ ขาทถ, อิมํ ภุญฺชถ, อิมํ สายถา’ติ วตฺวา ปฎิชคฺคนฺตา อตฺถี’’ติ? ‘‘นตฺถิ, สามิ, ยตฺถ ติโณทกํ สุลภํ ตตฺถ วสนฺตี’’ติฯ

    Tadā aññataro paccekabuddho bārāṇasiṃ nissāya isipatane vasati. So kālasseva vuṭṭhāya senāsanavattasarīraparikammamanasikārādīni sabbakiccāni katvā paṭisallānā vuṭṭhito ‘‘ajja kattha bhikkhaṃ gahessāmī’’ti āvajjento kumārassa sampattiṃ disvā ‘‘esa pubbe kiṃ kammaṃ karī’’ti vīmaṃsanto ‘‘mādisassa piṇḍapātaṃ datvā catasso patthanā patthesi, tattha tisso siddhā, ekā tāva na sijjhati, tassa upāyena ārammaṇaṃ dassemī’’ti bhikkhācāravasena kumārassa santikaṃ agamāsi. Kumāro taṃ disvā ‘‘samaṇa, mā idha āgacchi, ime hi tampi ‘imaṃ khāda, imaṃ bhuñjā’ti vadeyyu’’nti āha. So ekavacaneneva tato nivattitvā attano senāsanaṃ agamāsi. Kumāro parijanaṃ āha – ‘‘ayaṃ samaṇo mayā vuttamattova nivatto, kuddho nu kho mamā’’ti. So tehi ‘‘pabbajitā nāma na kodhaparāyaṇā honti, parena pasannamanena yaṃ dinnaṃ, tena yāpentī’’ti vuccamānepi ‘‘duṭṭho evarūpo nāma samaṇo, khamāpessāmi na’’nti mātāpitūnaṃ ārocetvā hatthiṃ abhiruhitvā mahatā rājānubhāvena isipatanaṃ gantvā migayūthaṃ disvā pucchi – ‘‘kinnāmete’’ti? ‘‘Ete, sāmi, migā nāmā’’ti. ‘‘Etesaṃ ‘imaṃ khādatha, imaṃ bhuñjatha, imaṃ sāyathā’ti vatvā paṭijaggantā atthī’’ti? ‘‘Natthi, sāmi, yattha tiṇodakaṃ sulabhaṃ tattha vasantī’’ti.

    กุมาโร ‘‘ยถา อิเม อรกฺขิยมานาว ยตฺถ อิจฺฉนฺติ, ตตฺถ วสนฺติ, กทา นุ โข อหมฺปิ เอวํ วเสยฺย’’นฺติ เอตํ อารมฺมณํ อคฺคเหสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธปิ ตสฺส อาคมนํ ญตฺวา เสนาสนมคฺคญฺจ จงฺกมนญฺจ สมฺมชฺชิตฺวา มฎฺฐํ กตฺวา เอกทฺวตฺติกฺขตฺตุํ จงฺกมิตฺวา ปทนิเกฺขปํ ทเสฺสตฺวา ทิวาวิหาโรกาสญฺจ ปณฺณสาลญฺจ สมฺมชฺชิตฺวา มฎฺฐํ กตฺวา ปวิสนปทนิเกฺขปํ ทเสฺสตฺวา นิกฺขมนปทนิเกฺขปํ อทเสฺสตฺวา อญฺญตฺร อคมาสิฯ กุมาโร ตตฺถ คนฺตฺวา ตํ ปเทสํ สมฺมชฺชิตฺวา มฎฺฐกตํ ทิสฺวา ‘‘วสติ มเญฺญ เอตฺถ โส ปเจฺจกพุโทฺธ’’ติ ปริชเนน ภาสิตํ สุตฺวา อาห – ‘‘ปาโตปิ โส สมโณ ทุสฺสติ, อิทานิ หตฺถิอสฺสาทีหิ อตฺตโน โอกาสํ อกฺกนฺตํ ทิสฺวา สุฎฺฐุตรํ ทุเสฺสยฺย, อิเธว ตุเมฺห ติฎฺฐถา’’ติ หตฺถิกฺขนฺธา โอรุยฺห เอกโกว เสนาสนํ ปวิโฎฺฐ วตฺตสีเสน สุสมฺมโฎฺฐกาเส ปทนิเกฺขปํ ทิสฺวา ‘‘โส ทานายํ สมโณ เอตฺถ จงฺกมโนฺต น วณิชฺชาทิกมฺมํ จิเนฺตสิ, อทฺธายํ อตฺตโน หิตเมว จิเนฺตสิ มเญฺญ’’ติ ปสนฺนมานโส จงฺกมํ อภิรุหิตฺวา ทูรีกตปุถุวิตโกฺก คนฺตฺวา ปาสาณผลเก นิสีทิตฺวา สญฺชาตเอกโคฺค หุตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิญาณํ อธิคนฺตฺวา ปุริมนเยเนว ปุโรหิเตน กมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉิโต คคนตเล นิสิโนฺน อิมํ คาถมภาสิฯ

    Kumāro ‘‘yathā ime arakkhiyamānāva yattha icchanti, tattha vasanti, kadā nu kho ahampi evaṃ vaseyya’’nti etaṃ ārammaṇaṃ aggahesi. Paccekabuddhopi tassa āgamanaṃ ñatvā senāsanamaggañca caṅkamanañca sammajjitvā maṭṭhaṃ katvā ekadvattikkhattuṃ caṅkamitvā padanikkhepaṃ dassetvā divāvihārokāsañca paṇṇasālañca sammajjitvā maṭṭhaṃ katvā pavisanapadanikkhepaṃ dassetvā nikkhamanapadanikkhepaṃ adassetvā aññatra agamāsi. Kumāro tattha gantvā taṃ padesaṃ sammajjitvā maṭṭhakataṃ disvā ‘‘vasati maññe ettha so paccekabuddho’’ti parijanena bhāsitaṃ sutvā āha – ‘‘pātopi so samaṇo dussati, idāni hatthiassādīhi attano okāsaṃ akkantaṃ disvā suṭṭhutaraṃ dusseyya, idheva tumhe tiṭṭhathā’’ti hatthikkhandhā oruyha ekakova senāsanaṃ paviṭṭho vattasīsena susammaṭṭhokāse padanikkhepaṃ disvā ‘‘so dānāyaṃ samaṇo ettha caṅkamanto na vaṇijjādikammaṃ cintesi, addhāyaṃ attano hitameva cintesi maññe’’ti pasannamānaso caṅkamaṃ abhiruhitvā dūrīkataputhuvitakko gantvā pāsāṇaphalake nisīditvā sañjātaekaggo hutvā paṇṇasālaṃ pavisitvā vipassanto paccekabodhiñāṇaṃ adhigantvā purimanayeneva purohitena kammaṭṭhānaṃ pucchito gaganatale nisinno imaṃ gāthamabhāsi.

    ตตฺถ มิโคติ เทฺว มิคา – เอณีมิโค จ ปสทมิโค จฯ อปิจ สเพฺพสํ อารญฺญิกานํ จตุปฺปทานํ เอตํ อธิวจนํฯ อิธ ปน ปสทมิโค อธิเปฺปโตติ วทนฺติฯ อรญฺญมฺหีติ คามญฺจ คามูปจารญฺจ ฐเปตฺวา อวเสสํ อรญฺญํ, อิธ ปน อุยฺยานํ อธิเปฺปตํ, ตสฺมา ‘‘อุยฺยานมฺหี’’ติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาติ ปฎิภาเคฯ อพโทฺธติ รชฺชุพนฺธนาทีหิ อพโทฺธ, เอเตน วิสฺสตฺถจริยํ ทีเปติฯ เยนิจฺฉกํ คจฺฉติ โวจรายาติ เยน เยน ทิสาภาเคน คนฺตุมิจฺฉติ, เตน เตน ทิสาภาเคน โคจราย คจฺฉติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ภควตา –

    Tattha migoti dve migā – eṇīmigo ca pasadamigo ca. Apica sabbesaṃ āraññikānaṃ catuppadānaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Idha pana pasadamigo adhippetoti vadanti. Araññamhīti gāmañca gāmūpacārañca ṭhapetvā avasesaṃ araññaṃ, idha pana uyyānaṃ adhippetaṃ, tasmā ‘‘uyyānamhī’’ti vuttaṃ hoti. Yathāti paṭibhāge. Abaddhoti rajjubandhanādīhi abaddho, etena vissatthacariyaṃ dīpeti. Yenicchakaṃ gacchati vocarāyāti yena yena disābhāgena gantumicchati, tena tena disābhāgena gocarāya gacchati. Vuttampi cetaṃ bhagavatā –

    ‘‘เสยฺยถาปิ , ภิกฺขเว, อารญฺญโก มิโค อรเญฺญ ปวเน จรมาโน วิสฺสโตฺถ คจฺฉติ, วิสฺสโตฺถ ติฎฺฐติ, วิสฺสโตฺถ นิสีทติ, วิสฺสโตฺถ เสยฺยํ กเปฺปติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อนาปาถคโต, ภิกฺขเว, ลุทฺทสฺส, เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อนฺตมกาสิ มารํ อปทํ, วธิตฺวา มารจกฺขุํ อทสฺสนํ คโต ปาปิมโต’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๘๗; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๕) วิตฺถาโรฯ

    ‘‘Seyyathāpi , bhikkhave, āraññako migo araññe pavane caramāno vissattho gacchati, vissattho tiṭṭhati, vissattho nisīdati, vissattho seyyaṃ kappeti. Taṃ kissa hetu? Anāpāthagato, bhikkhave, luddassa, evameva kho, bhikkhave, bhikkhu vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave, bhikkhu antamakāsi māraṃ apadaṃ, vadhitvā māracakkhuṃ adassanaṃ gato pāpimato’’ti (ma. ni. 1.287; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 125) vitthāro.

    เสริตนฺติ สจฺฉนฺทวุตฺติตํ อปรายตฺตตํ วา, อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา มิโค อรญฺญมฺหิ อพโทฺธ เยนิจฺฉกํ คจฺฉติ โคจราย, ตถา กทา นุ โข อหมฺปิ ตณฺหาพนฺธนํ ฉินฺทิตฺวา เอวํ คเจฺฉยฺยนฺติฯ วิญฺญู ปณฺฑิโต นโร เสริตํ เปกฺขมาโน เอโก จเรติฯ

    Seritanti sacchandavuttitaṃ aparāyattataṃ vā, idaṃ vuttaṃ hoti – yathā migo araññamhi abaddho yenicchakaṃ gacchati gocarāya, tathā kadā nu kho ahampi taṇhābandhanaṃ chinditvā evaṃ gaccheyyanti. Viññū paṇḍito naro seritaṃ pekkhamāno eko careti.

    มิโคอรญฺญคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Migoaraññagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๙๖. อามนฺตนา โหตีติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิรโญฺญ กิร มหาอุปฎฺฐานสมเย อมจฺจา อุปสงฺกมิํสุฯ เตสุ เอโก อมโจฺจ ‘‘เทว, โสตพฺพํ อตฺถี’’ติ เอกมนฺตํ คมนํ ยาจิฯ โส อุฎฺฐายาสนา อคมาสิฯ ปุน เอโก มหาอุปฎฺฐาเน นิสินฺนํ ยาจิ, เอโก หตฺถิกฺขเนฺธ นิสินฺนํ, เอโก อสฺสปิฎฺฐิยํ นิสินฺนํ, เอโก สุวณฺณรเถ นิสินฺนํ, เอโก สิวิกาย นิสีทิตฺวา อุยฺยานํ คจฺฉนฺตํ ยาจิฯ ราชา ตโต โอโรหิตฺวา อคมาสิฯ อปโร ชนปทจาริกํ คจฺฉนฺตํ ยาจิ, ตสฺสปิ วจนํ สุตฺวา หตฺถิกฺขนฺธโต โอรุยฺห เอกมนฺตํ อคมาสิฯ เอวํ โส เตหิ นิพฺพิโนฺน หุตฺวา ปพฺพชิฯ อมจฺจา อิสฺสริเยน วฑฺฒนฺติฯ เตสุ เอโก คนฺตฺวา ราชานํ อาห – ‘‘อสุกํ นาม, มหาราช, ชนปทํ มยฺหํ เทหี’’ติฯ ราชา ตํ ‘‘อิตฺถนฺนาโม ภุญฺชตี’’ติ ภณติฯ โส รโญฺญ วจนํ อนาทิยิตฺวา ‘‘คจฺฉามหํ ตํ ชนปทํ คเหตฺวา ภุญฺชามี’’ติ ตตฺถ คนฺตฺวา กลหํ กตฺวา ปุน อุโภปิ รโญฺญ สนฺติกํ อาคนฺตฺวา อญฺญมญฺญสฺส โทสํ อาโรเจนฺติฯ ราชา ‘‘น สกฺกา อิเม โตเสตุ’’นฺติ เตสํ โลเภ อาทีนวํ ทิสฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ โส ปุริมนเยน อิมํ อุทานํ อภาสิฯ

    96.Āmantanā hotīti kā uppatti? Bārāṇasirañño kira mahāupaṭṭhānasamaye amaccā upasaṅkamiṃsu. Tesu eko amacco ‘‘deva, sotabbaṃ atthī’’ti ekamantaṃ gamanaṃ yāci. So uṭṭhāyāsanā agamāsi. Puna eko mahāupaṭṭhāne nisinnaṃ yāci, eko hatthikkhandhe nisinnaṃ, eko assapiṭṭhiyaṃ nisinnaṃ, eko suvaṇṇarathe nisinnaṃ, eko sivikāya nisīditvā uyyānaṃ gacchantaṃ yāci. Rājā tato orohitvā agamāsi. Aparo janapadacārikaṃ gacchantaṃ yāci, tassapi vacanaṃ sutvā hatthikkhandhato oruyha ekamantaṃ agamāsi. Evaṃ so tehi nibbinno hutvā pabbaji. Amaccā issariyena vaḍḍhanti. Tesu eko gantvā rājānaṃ āha – ‘‘asukaṃ nāma, mahārāja, janapadaṃ mayhaṃ dehī’’ti. Rājā taṃ ‘‘itthannāmo bhuñjatī’’ti bhaṇati. So rañño vacanaṃ anādiyitvā ‘‘gacchāmahaṃ taṃ janapadaṃ gahetvā bhuñjāmī’’ti tattha gantvā kalahaṃ katvā puna ubhopi rañño santikaṃ āgantvā aññamaññassa dosaṃ ārocenti. Rājā ‘‘na sakkā ime tosetu’’nti tesaṃ lobhe ādīnavaṃ disvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchākāsi. So purimanayena imaṃ udānaṃ abhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – สหายมเชฺฌ ฐิตสฺส ทิวาเสยฺยสงฺขาเต วาเส จ, มหาอุปฎฺฐานสงฺขาเต ฐาเน จ, อุยฺยานคมนสงฺขาเต คมเน จ, ชนปทจาริกสงฺขาตาย จาริกาย จ, ‘‘อิทํ เม สุณ, อิทํ เม เทหี’’ติอาทินา นเยน ตถา ตถา อามนฺตนา โหติ, ตสฺมา อหํ ตตฺถ นิพฺพิชฺชิตฺวา ยายํ อริยชนเสวิตา อเนกานิสํสา เอกนฺตสุขา, เอวํ สเนฺตปิ โลภาภิภูเตหิ สพฺพกาปุริเสหิ อนภิปตฺถิตา ปพฺพชฺชา, ตํ อนภิชฺฌิตํ ปเรสํ อวสวตฺตเนน ภพฺพปุคฺคลวเสน เสริตญฺจ เปกฺขมาโน วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อนุกฺกเมน ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตสฺมิฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tassattho – sahāyamajjhe ṭhitassa divāseyyasaṅkhāte vāse ca, mahāupaṭṭhānasaṅkhāte ṭhāne ca, uyyānagamanasaṅkhāte gamane ca, janapadacārikasaṅkhātāya cārikāya ca, ‘‘idaṃ me suṇa, idaṃ me dehī’’tiādinā nayena tathā tathā āmantanā hoti, tasmā ahaṃ tattha nibbijjitvā yāyaṃ ariyajanasevitā anekānisaṃsā ekantasukhā, evaṃ santepi lobhābhibhūtehi sabbakāpurisehi anabhipatthitā pabbajjā, taṃ anabhijjhitaṃ paresaṃ avasavattanena bhabbapuggalavasena seritañca pekkhamāno vipassanaṃ ārabhitvā anukkamena paccekabodhiṃ adhigatosmi. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อามนฺตนาคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Āmantanāgāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๙๗. ขิฑฺฑารตีติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร เอกปุตฺตกพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อโหสิฯ โส ตสฺส เอกปุตฺตโก ปิโย อโหสิ มนาโป ปาณสโม, ราชา สพฺพอิริยาปเถสุ ปุตฺตกํ คเหตฺวาว วตฺตติฯ โส เอกทิวสํ อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต ตํ ฐเปตฺวา คโตฯ กุมาโรปิ ตํ ทิวสํเยว อุปฺปเนฺนน พฺยาธินา มโตฯ อมจฺจา ‘‘ปุตฺตสิเนเหน รโญฺญ หทยมฺปิ ผเลยฺยา’’ติ อนาโรเจตฺวาว นํ ฌาเปสุํฯ ราชา อุยฺยาเน สุรามเทน มโตฺต ปุตฺตํ เนว สรติ, ตถา ทุติยทิวเสปิ นฺหานโภชนเวลาสุฯ อถ ภุตฺตาวี นิสิโนฺน สริตฺวา ‘‘ปุตฺตํ เม อาเนถา’’ติ อาหฯ ตสฺส อนุรูเปน วิธาเนน ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ ตโต โสกาภิภูโต นิสิโนฺน เอวํ โยนิโส มนสากาสิ – ‘‘อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชตี’’ติฯ เอวํ อนุกฺกเมน อนุโลมปฎิโลมํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ สมฺมสโนฺต ปเจฺจกสโมฺพธิํ สจฺฉากาสิฯ เสสํ สํสคฺคคาถาวณฺณนายํ วุตฺตสทิสเมว ฐเปตฺวา คาถายตฺถวณฺณนํฯ

    97.Khiḍḍāratīti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira ekaputtakabrahmadatto nāma rājā ahosi. So tassa ekaputtako piyo ahosi manāpo pāṇasamo, rājā sabbairiyāpathesu puttakaṃ gahetvāva vattati. So ekadivasaṃ uyyānaṃ gacchanto taṃ ṭhapetvā gato. Kumāropi taṃ divasaṃyeva uppannena byādhinā mato. Amaccā ‘‘puttasinehena rañño hadayampi phaleyyā’’ti anārocetvāva naṃ jhāpesuṃ. Rājā uyyāne surāmadena matto puttaṃ neva sarati, tathā dutiyadivasepi nhānabhojanavelāsu. Atha bhuttāvī nisinno saritvā ‘‘puttaṃ me ānethā’’ti āha. Tassa anurūpena vidhānena taṃ pavattiṃ ārocesuṃ. Tato sokābhibhūto nisinno evaṃ yoniso manasākāsi – ‘‘imasmiṃ sati idaṃ hoti, imassuppādā idaṃ uppajjatī’’ti. Evaṃ anukkamena anulomapaṭilomaṃ paṭiccasamuppādaṃ sammasanto paccekasambodhiṃ sacchākāsi. Sesaṃ saṃsaggagāthāvaṇṇanāyaṃ vuttasadisameva ṭhapetvā gāthāyatthavaṇṇanaṃ.

    อตฺถวณฺณนา ปน – ขิฑฺฑาติ กีฬนาฯ สา ทุวิธา โหติ กายิกา จ วาจสิกา จฯ ตตฺถ กายิกา นาม หตฺถีหิปิ กีฬนฺติ, อเสฺสหิปิ รเถหิปิ ธนูหิปิ ถรูหิปีติ เอวมาทิฯ วาจสิกา นาม คีตํ สิโลกภณนํ มุขเภริอาลมฺพรเภรีติ เอวมาทิฯ รตีติ ปญฺจกามคุณรติฯ วิปุลนฺติ ยาว อฎฺฐิมิญฺชํ อหจฺจ ฐาเนน สกลตฺตภาวพฺยาปกํฯ เสสํ ปากฎเมว ฯ อนุสนฺธิโยชนาปิ เจตฺถ สํสคฺคคาถาย วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพา, ตโต ปรญฺจ สพฺพํฯ

    Atthavaṇṇanā pana – khiḍḍāti kīḷanā. Sā duvidhā hoti kāyikā ca vācasikā ca. Tattha kāyikā nāma hatthīhipi kīḷanti, assehipi rathehipi dhanūhipi tharūhipīti evamādi. Vācasikā nāma gītaṃ silokabhaṇanaṃ mukhabheriālambarabherīti evamādi. Ratīti pañcakāmaguṇarati. Vipulanti yāva aṭṭhimiñjaṃ ahacca ṭhānena sakalattabhāvabyāpakaṃ. Sesaṃ pākaṭameva . Anusandhiyojanāpi cettha saṃsaggagāthāya vuttanayeneva veditabbā, tato parañca sabbaṃ.

    ขิฑฺฑารติคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Khiḍḍāratigāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๙๘. จาตุทฺทิโสติ กา อุปฺปตฺติ? ปุเพฺพ กิร กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน ปญฺจ ปเจฺจกโพธิสตฺตา ปพฺพชิตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺตาฯ ตโต จวิตฺวา เตสํ เชฎฺฐโก พาราณสิราชา อโหสิ, เสสา ปากติกราชาโนฯ เต จตฺตาโรปิ กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคณฺหิตฺวา รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา อนุกฺกเมน ปเจฺจกพุทฺธา หุตฺวา นนฺทมูลกปพฺภาเร วสนฺตา เอกทิวสํ สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย วํสกฺกฬีรคาถายํ วุตฺตนเยเนว อตฺตโน กมฺมญฺจ สหายญฺจ อาวเชฺชตฺวา ญตฺวา พาราณสิรโญฺญ อุปาเยน อารมฺมณํ ทเสฺสตุํ โอกาสํ คเวสนฺติฯ โส จ ราชา ติกฺขตฺตุํ รตฺติยา อุพฺพิชฺชติ, ภีโต วิสฺสรํ กโรติ, มหาตเล ธาวติฯ ปุโรหิเตน กาลเสฺสว วุฎฺฐาย สุขเสยฺยํ ปุจฺฉิโตปิ ‘‘กุโต เม, อาจริย, สุข’’นฺติ สพฺพํ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ ปุโรหิโตปิ ‘‘อยํ โรโค น สกฺกา เยน เกนจิ อุทฺธํ วิเรจนาทินา เภสชฺชกเมฺมน วิเนตุํ, มยฺหํ ปน ขาทนูปาโย อุปฺปโนฺน’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘รชฺชหานิชีวิตนฺตรายาทีนํ ปุพฺพนิมิตฺตํ เอตํ, มหาราชา’’ติ ราชานํ สุฎฺฐุตรํ อุเพฺพเชตฺวา ‘‘ตสฺส วูปสมนตฺถํ เอตฺตเก จ เอตฺตเก จ หตฺถิอสฺสรถาทโย หิรญฺญสุวณฺณญฺจ ทกฺขิณํ ทตฺวา ยโญฺญ ยชิตโพฺพ’’ติ ยญฺญยชเน สมาทเปสิฯ

    98.Cātuddisoti kā uppatti? Pubbe kira kassapassa bhagavato sāsane pañca paccekabodhisattā pabbajitvā vīsati vassasahassāni gatapaccāgatavattaṃ pūretvā devaloke nibbattā. Tato cavitvā tesaṃ jeṭṭhako bārāṇasirājā ahosi, sesā pākatikarājāno. Te cattāropi kammaṭṭhānaṃ uggaṇhitvā rajjaṃ pahāya pabbajitvā anukkamena paccekabuddhā hutvā nandamūlakapabbhāre vasantā ekadivasaṃ samāpattito vuṭṭhāya vaṃsakkaḷīragāthāyaṃ vuttanayeneva attano kammañca sahāyañca āvajjetvā ñatvā bārāṇasirañño upāyena ārammaṇaṃ dassetuṃ okāsaṃ gavesanti. So ca rājā tikkhattuṃ rattiyā ubbijjati, bhīto vissaraṃ karoti, mahātale dhāvati. Purohitena kālasseva vuṭṭhāya sukhaseyyaṃ pucchitopi ‘‘kuto me, ācariya, sukha’’nti sabbaṃ taṃ pavattiṃ ārocesi. Purohitopi ‘‘ayaṃ rogo na sakkā yena kenaci uddhaṃ virecanādinā bhesajjakammena vinetuṃ, mayhaṃ pana khādanūpāyo uppanno’’ti cintetvā ‘‘rajjahānijīvitantarāyādīnaṃ pubbanimittaṃ etaṃ, mahārājā’’ti rājānaṃ suṭṭhutaraṃ ubbejetvā ‘‘tassa vūpasamanatthaṃ ettake ca ettake ca hatthiassarathādayo hiraññasuvaṇṇañca dakkhiṇaṃ datvā yañño yajitabbo’’ti yaññayajane samādapesi.

    ตโต ปเจฺจกพุทฺธา อเนกานิ ปาณสหสฺสานิ ยญฺญตฺถาย สมฺปิณฺฑิยมานานิ ทิสฺวา ‘‘เอตสฺมิํ กเมฺม กเต ทุโพฺพธเนโยฺย ภวิสฺสติ, หนฺท นํ ปฎิกเจฺจว คนฺตฺวา เปกฺขามา’’ติ วํสกฺกฬีรคาถายํ วุตฺตนเยน อาคนฺตฺวา ปิณฺฑาย จรมานา ราชงฺคเณ ปฎิปาฎิยา อคมํสุฯ ราชา สีหปญฺชเร ฐิโต ราชงฺคณํ โอโลกยมาโน เต อทฺทกฺขิ, สห ทสฺสเนเนว จสฺส สิเนโห อุปฺปชฺชิฯ ตโต เต ปโกฺกสาเปตฺวา อากาสตเล ปญฺญตฺตาสเน นิสีทาเปตฺวา สกฺกจฺจํ โภเชตฺวา กตภตฺตกิเจฺจ ‘‘เก ตุเมฺห’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มยํ, มหาราช, จาตุทฺทิสา นามา’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, จาตุทฺทิสาติ อิมสฺส โก อโตฺถ’’ติ? ‘‘จตูสุ ทิสาสุ กตฺถจิ กุโตจิ ภยํ วา จิตฺตุตฺราโส วา อมฺหากํ นตฺถิ, มหาราชา’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ตํ ภยํ กิํ การณา น โหตี’’ติ? ‘‘มยํ, มหาราช, เมตฺตํ ภาเวม, กรุณํ ภาเวม, มุทิตํ ภาเวม, อุเปกฺขํ ภาเวมฯ เตน โน ตํ ภยํ น โหตี’’ติ วตฺวา อุฎฺฐายาสนา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ อคมํสุฯ

    Tato paccekabuddhā anekāni pāṇasahassāni yaññatthāya sampiṇḍiyamānāni disvā ‘‘etasmiṃ kamme kate dubbodhaneyyo bhavissati, handa naṃ paṭikacceva gantvā pekkhāmā’’ti vaṃsakkaḷīragāthāyaṃ vuttanayena āgantvā piṇḍāya caramānā rājaṅgaṇe paṭipāṭiyā agamaṃsu. Rājā sīhapañjare ṭhito rājaṅgaṇaṃ olokayamāno te addakkhi, saha dassaneneva cassa sineho uppajji. Tato te pakkosāpetvā ākāsatale paññattāsane nisīdāpetvā sakkaccaṃ bhojetvā katabhattakicce ‘‘ke tumhe’’ti pucchi. ‘‘Mayaṃ, mahārāja, cātuddisā nāmā’’ti. ‘‘Bhante, cātuddisāti imassa ko attho’’ti? ‘‘Catūsu disāsu katthaci kutoci bhayaṃ vā cittutrāso vā amhākaṃ natthi, mahārājā’’ti. ‘‘Bhante, tumhākaṃ taṃ bhayaṃ kiṃ kāraṇā na hotī’’ti? ‘‘Mayaṃ, mahārāja, mettaṃ bhāvema, karuṇaṃ bhāvema, muditaṃ bhāvema, upekkhaṃ bhāvema. Tena no taṃ bhayaṃ na hotī’’ti vatvā uṭṭhāyāsanā attano vasanaṭṭhānaṃ agamaṃsu.

    ตโต ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม สมณา ‘เมตฺตาทิภาวนาย ภยํ น โหตี’ติ ภณนฺติ, พฺราหฺมณา ปน อเนกสหสฺสปาณวธํ วณฺณยนฺติ, เกสํ นุ โข วจนํ สจฺจ’’นฺติ? อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘สมณา สุเทฺธน อสุทฺธํ โธวนฺติ, พฺราหฺมณา ปน อสุเทฺธน อสุทฺธํฯ น สกฺกา โข ปน อสุเทฺธน อสุทฺธํ โธวิตุํ, ปพฺพชิตานํ เอว วจนํ สจฺจ’’นฺติฯ โส ‘‘สเพฺพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตู’’ติอาทินา นเยน เมตฺตาทโย จตฺตาโรปิ พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา หิตผรเณน จิเตฺตน อมเจฺจ อาณาเปสิ – ‘‘สเพฺพ ปาเณ มุญฺจถ, สีตานิ ปานียานิ ปิวนฺตุ, หริตานิ ติณานิ ขาทนฺตุ, สีโต จ วาโต เตสํ อุปวายตู’’ติ ฯ เต ตถา อกํสุฯ

    Tato rājā cintesi – ‘‘ime samaṇā ‘mettādibhāvanāya bhayaṃ na hotī’ti bhaṇanti, brāhmaṇā pana anekasahassapāṇavadhaṃ vaṇṇayanti, kesaṃ nu kho vacanaṃ sacca’’nti? Athassa etadahosi – ‘‘samaṇā suddhena asuddhaṃ dhovanti, brāhmaṇā pana asuddhena asuddhaṃ. Na sakkā kho pana asuddhena asuddhaṃ dhovituṃ, pabbajitānaṃ eva vacanaṃ sacca’’nti. So ‘‘sabbe sattā sukhitā hontū’’tiādinā nayena mettādayo cattāropi brahmavihāre bhāvetvā hitapharaṇena cittena amacce āṇāpesi – ‘‘sabbe pāṇe muñcatha, sītāni pānīyāni pivantu, haritāni tiṇāni khādantu, sīto ca vāto tesaṃ upavāyatū’’ti . Te tathā akaṃsu.

    ตโต ราชา ‘‘กลฺยาณมิตฺตานํ วจเนน ปาปกมฺมโต มุโตฺตมฺหี’’ติ ตเตฺถว นิสิโนฺน วิปสฺสิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ อมเจฺจหิ จ โภชนเวลายํ ‘‘ภุญฺช, มหาราช, กาโล’’ติ วุเตฺต ‘‘นาหํ ราชา’’ติ ปุริมนเยเนว สพฺพํ วตฺวา อิมํ อุทานพฺยากรณคาถํ อภาสิฯ

    Tato rājā ‘‘kalyāṇamittānaṃ vacanena pāpakammato muttomhī’’ti tattheva nisinno vipassitvā paccekabodhiṃ sacchākāsi. Amaccehi ca bhojanavelāyaṃ ‘‘bhuñja, mahārāja, kālo’’ti vutte ‘‘nāhaṃ rājā’’ti purimanayeneva sabbaṃ vatvā imaṃ udānabyākaraṇagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ จาตุทฺทิโสติ จตูสุ ทิสาสุ ยถาสุขวิหารี, ‘‘เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรตี’’ติอาทินา วา นเยน พฺรหฺมวิหารภาวนาย ผริตา จตโสฺส ทิสา อสฺส สนฺตีติ จาตุทฺทิโสฯ ตาสุ จตูสุ ทิสาสุ กตฺถจิ สเตฺต วา สงฺขาเร วา ภเยน น ปฎิหนตีติ อปฺปฎิโฆฯ สนฺตุสฺสมาโนติ ทฺวาทสวิธสฺส สโนฺตสสฺส วเสน สนฺตุสฺสโก จฯ อิตรีตเรนาติ อุจฺจาวเจน ปจฺจเยนฯ ปริสฺสยานํ สหิตา อฉมฺภีติ เอตฺถ ปริสฺสยนฺติ กายจิตฺตานิ, ปริหาเปนฺติ วา เตสํ สมฺปตฺติํ, ตานิ วา ปฎิจฺจ สยนฺตีติ ปริสฺสยา, พาหิรานํ สีหพฺยคฺฆาทีนํ อพฺภนฺตรานญฺจ กามจฺฉนฺทาทีนํ กายจิตฺตุปทฺทวานํ เอตํ อธิวจนํฯ เต ปริสฺสเย อธิวาสนขนฺติยา จ วีริยาทีหิ ธเมฺมหิ จ สหตีติ ปริสฺสยานํ สหิตาฯ ถทฺธภาวกรภยาภาเวน อฉมฺภีฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถา เต จตฺตาโร สมณา, เอวํ อิตรีตเรน ปจฺจเยน สนฺตุสฺสมาโน เอตฺถ ปฎิปตฺติปทฎฺฐาเน สโนฺตเส ฐิโต จตูสุ ทิสาสุ เมตฺตาทิภาวนาย จาตุทฺทิโส, สตฺตสงฺขาเรสุ ปฎิหนนภยาภาเวน อปฺปฎิโฆ จ โหติฯ โส จาตุทฺทิสตฺตา วุตฺตปฺปการานํ ปริสฺสยานํ สหิตา, อปฺปฎิฆตฺตา อฉมฺภี จ โหตีติ เอวํ ปฎิปตฺติคุณํ ทิสฺวา โยนิโส ปฎิปชฺชิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตมฺหีติฯ อถ วา เต สมณา วิย สนฺตุสฺสมาโน อิตรีตเรน วุตฺตนเยน จาตุทฺทิโส โหตีติ ญตฺวา เอวํ จาตุทฺทิสภาวํ ปตฺถยโนฺต โยนิโส ปฎิปชฺชิตฺวา อธิคโตมฺหิฯ ตสฺมา อโญฺญปิ อีทิสํ ฐานํ ปตฺถยโนฺต จาตุทฺทิสตาย ปริสฺสยานํ สหิตา อปฺปฎิฆตาย จ อฉมฺภี หุตฺวา เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha cātuddisoti catūsu disāsu yathāsukhavihārī, ‘‘ekaṃ disaṃ pharitvā viharatī’’tiādinā vā nayena brahmavihārabhāvanāya pharitā catasso disā assa santīti cātuddiso. Tāsu catūsu disāsu katthaci satte vā saṅkhāre vā bhayena na paṭihanatīti appaṭigho. Santussamānoti dvādasavidhassa santosassa vasena santussako ca. Itarītarenāti uccāvacena paccayena. Parissayānaṃ sahitā achambhīti ettha parissayanti kāyacittāni, parihāpenti vā tesaṃ sampattiṃ, tāni vā paṭicca sayantīti parissayā, bāhirānaṃ sīhabyagghādīnaṃ abbhantarānañca kāmacchandādīnaṃ kāyacittupaddavānaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Te parissaye adhivāsanakhantiyā ca vīriyādīhi dhammehi ca sahatīti parissayānaṃ sahitā. Thaddhabhāvakarabhayābhāvena achambhī. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathā te cattāro samaṇā, evaṃ itarītarena paccayena santussamāno ettha paṭipattipadaṭṭhāne santose ṭhito catūsu disāsu mettādibhāvanāya cātuddiso, sattasaṅkhāresu paṭihananabhayābhāvena appaṭigho ca hoti. So cātuddisattā vuttappakārānaṃ parissayānaṃ sahitā, appaṭighattā achambhī ca hotīti evaṃ paṭipattiguṇaṃ disvā yoniso paṭipajjitvā paccekabodhiṃ adhigatomhīti. Atha vā te samaṇā viya santussamāno itarītarena vuttanayena cātuddiso hotīti ñatvā evaṃ cātuddisabhāvaṃ patthayanto yoniso paṭipajjitvā adhigatomhi. Tasmā aññopi īdisaṃ ṭhānaṃ patthayanto cātuddisatāya parissayānaṃ sahitā appaṭighatāya ca achambhī hutvā eko care khaggavisāṇakappoti. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    จาตุทฺทิสคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cātuddisagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๙๙. ทุสฺสงฺคหาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิรโญฺญ กิร อคฺคมเหสี กาลมกาสิฯ ตโต วีติวเตฺตสุ โสกทิวเสสุ เอกทิวสํ อมจฺจา ‘‘ราชูนํ นาม เตสุ เตสุ กิเจฺจสุ อคฺคมเหสี อวสฺสํ อิจฺฉิตพฺพา, สาธุ เทโว อญฺญมฺปิ เทวิํ อาเนตู’’ติ ยาจิํสุฯ ราชา ‘‘เตน หิ, ภเณ, ชานาถา’’ติ อาหฯ เต ปริเยสนฺตา สามนฺตรเชฺช ราชา มโต , ตสฺส เทวี รชฺชํ อนุสาสติ, สา จ คพฺภินี อโหสิ, อมจฺจา ‘‘อยํ รโญฺญ อนุรูปา’’ติ ญตฺวา ตํ ยาจิํสุฯ สา ‘‘คพฺภินี นาม มนุสฺสานํ อมนาปา โหติฯ สเจ อาคเมถ, ยาว วิชายามิ, เอวํ สาธุฯ โน เจ, อญฺญํ ปริเยสถา’’ติ อาหฯ เต รโญฺญปิ เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘คพฺภินีปิ โหตุ, อาเนถา’’ติ อาหฯ เต อาเนสุํฯ ราชา ตํ อภิสิญฺจิตฺวา สพฺพํ มเหสิยา โภคํ อทาสิ, ตสฺสา ปริชนานญฺจ นานาวิเธหิ ปณฺณากาเรหิ สงฺคณฺหาติฯ สา กาเลน ปุตฺตํ วิชายิฯ ราชา ตํ อตฺตโน ปุตฺตํ วิย สพฺพิริยาปเถสุ อเงฺก จ อุเร จ กตฺวา วิหรติฯ ตทา เทวิยา ปริชนา จิเนฺตสุํ – ‘‘ราชา อติวิย สงฺคณฺหาติ, กุมาเร อติวิสฺสาสํ กโรติ, หนฺท, นํ ปริภินฺทิสฺสามา’’ติฯ

    99.Dussaṅgahāti kā uppatti? Bārāṇasirañño kira aggamahesī kālamakāsi. Tato vītivattesu sokadivasesu ekadivasaṃ amaccā ‘‘rājūnaṃ nāma tesu tesu kiccesu aggamahesī avassaṃ icchitabbā, sādhu devo aññampi deviṃ ānetū’’ti yāciṃsu. Rājā ‘‘tena hi, bhaṇe, jānāthā’’ti āha. Te pariyesantā sāmantarajje rājā mato , tassa devī rajjaṃ anusāsati, sā ca gabbhinī ahosi, amaccā ‘‘ayaṃ rañño anurūpā’’ti ñatvā taṃ yāciṃsu. Sā ‘‘gabbhinī nāma manussānaṃ amanāpā hoti. Sace āgametha, yāva vijāyāmi, evaṃ sādhu. No ce, aññaṃ pariyesathā’’ti āha. Te raññopi etamatthaṃ ārocesuṃ. Rājā ‘‘gabbhinīpi hotu, ānethā’’ti āha. Te ānesuṃ. Rājā taṃ abhisiñcitvā sabbaṃ mahesiyā bhogaṃ adāsi, tassā parijanānañca nānāvidhehi paṇṇākārehi saṅgaṇhāti. Sā kālena puttaṃ vijāyi. Rājā taṃ attano puttaṃ viya sabbiriyāpathesu aṅke ca ure ca katvā viharati. Tadā deviyā parijanā cintesuṃ – ‘‘rājā ativiya saṅgaṇhāti, kumāre ativissāsaṃ karoti, handa, naṃ paribhindissāmā’’ti.

    ตโต กุมารํ อาหํสุ – ‘‘ตฺวํ, ตาต, อมฺหากํ รโญฺญ ปุโตฺต, น อิมสฺส รโญฺญ ปุโตฺตฯ มา เอตฺถ วิสฺสาสํ อาปชฺชี’’ติฯ อถ กุมาโร ‘‘เอหิ ปุตฺตา’’ติ รญฺญา วุจฺจมาโนปิ หเตฺถน อากฑฺฒิยมาโนปิ ปุเพฺพ วิย ราชานํ น อลฺลียติฯ ราชา ‘‘กิํ การณ’’นฺติ วีมํสโนฺต ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ‘‘เอเต มยา สงฺคหิตาปิ ปฎิกฺกูลวุตฺติโน เอวา’’ติ นิพฺพิชฺชิตฺวา รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิโตฯ ‘‘ราชา ปพฺพชิโต’’ติ อมจฺจปริชนาปิ พหู ปพฺพชิํสุฯ สปริชโน ราชา ปพฺพชิโตปิ มนุสฺสา ปณีเต ปจฺจเย อุปเนนฺติ, ราชา ปณีเต ปจฺจเย ยถาวุฑฺฒํ ทาเปสิฯ ตตฺถ เย สุนฺทรํ ลภนฺติ, เต ตุสฺสนฺติฯ อิตเร อุชฺฌายนฺติ ‘‘มยํ ปริเวณาทีนิ สมฺมชฺชนฺตา สพฺพกิจฺจานิ กโรนฺติ, ลูขภตฺตํ ชิณฺณวตฺถญฺจ ลภามา’’ติฯ โส ตมฺปิ ญตฺวา ‘‘อิเม ยถาวุฑฺฒํ ทียมานาปิ อุชฺฌายนฺติ, อโห ทุสฺสงฺคหา ปริสา’’ติ ปตฺตจีวรมาทาย เอโกว อรญฺญํ ปวิสิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ตตฺถ อาคเตหิ จ กมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉิโต อิมํ คาถมภาสิฯ สา อตฺถโต ปากฎา เอวฯ อยํ ปน โยชนา – ทุสฺสงฺคหา ปพฺพชิตาปิ เอเก, เย อสโนฺตสาภิภูตา, ตถาวิธา เอว จ อโถ คหฎฺฐา ฆรมาวสนฺตาฯ เอตาหํ ทุสฺสงฺคหภาวํ ชิคุจฺฉโนฺต วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อธิคโตติฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Tato kumāraṃ āhaṃsu – ‘‘tvaṃ, tāta, amhākaṃ rañño putto, na imassa rañño putto. Mā ettha vissāsaṃ āpajjī’’ti. Atha kumāro ‘‘ehi puttā’’ti raññā vuccamānopi hatthena ākaḍḍhiyamānopi pubbe viya rājānaṃ na allīyati. Rājā ‘‘kiṃ kāraṇa’’nti vīmaṃsanto taṃ pavattiṃ ñatvā ‘‘ete mayā saṅgahitāpi paṭikkūlavuttino evā’’ti nibbijjitvā rajjaṃ pahāya pabbajito. ‘‘Rājā pabbajito’’ti amaccaparijanāpi bahū pabbajiṃsu. Saparijano rājā pabbajitopi manussā paṇīte paccaye upanenti, rājā paṇīte paccaye yathāvuḍḍhaṃ dāpesi. Tattha ye sundaraṃ labhanti, te tussanti. Itare ujjhāyanti ‘‘mayaṃ pariveṇādīni sammajjantā sabbakiccāni karonti, lūkhabhattaṃ jiṇṇavatthañca labhāmā’’ti. So tampi ñatvā ‘‘ime yathāvuḍḍhaṃ dīyamānāpi ujjhāyanti, aho dussaṅgahā parisā’’ti pattacīvaramādāya ekova araññaṃ pavisitvā vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchākāsi. Tattha āgatehi ca kammaṭṭhānaṃ pucchito imaṃ gāthamabhāsi. Sā atthato pākaṭā eva. Ayaṃ pana yojanā – dussaṅgahā pabbajitāpi eke, ye asantosābhibhūtā, tathāvidhā eva ca atho gahaṭṭhā gharamāvasantā. Etāhaṃ dussaṅgahabhāvaṃ jigucchanto vipassanaṃ ārabhitvā adhigatoti. Sesaṃ purimanayeneva veditabbanti.

    ทุสฺสงฺคหคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dussaṅgahagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๐๐. โอโรปยิตฺวาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร จาตุมาสิกพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา คิมฺหานํ ปฐเม มาเส อุยฺยานํ คโตฯ ตตฺถ รมณีเย ภูมิภาเค นีลฆนปตฺตสญฺฉนฺนํ โกวิฬารรุกฺขํ ทิสฺวา ‘‘โกวิฬารมูเล มม สยนํ ปญฺญาเปถา’’ติ วตฺวา อุยฺยาเน กีฬิตฺวา สายนฺหสมยํ ตตฺถ เสยฺยํ กเปฺปสิฯ ปุน คิมฺหานํ มชฺฌิเม มาเส อุยฺยานํ คโต, ตทา โกวิฬาโร ปุปฺผิโต โหติ, ตทาปิ ตเถว อกาสิฯ ปุนปิ คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส คโต, ตทา โกวิฬาโร สญฺฉินฺนปโตฺต สุกฺขรุโกฺข วิย โหติ, ตทาปิ ราชา อทิสฺวาว ตํ รุกฺขํ ปุพฺพปริจเยน ตเตฺถว เสยฺยํ อาณาเปสิฯ อมจฺจา ชานนฺตาปิ รโญฺญ อาณตฺติยา ตตฺถ สยนํ ปญฺญาเปสุํฯ โส อุยฺยาเน กีฬิตฺวา สายนฺหสมเย ตตฺถ เสยฺยํ กเปฺปโนฺต ตํ รุกฺขํ ทิสฺวา ‘‘อเร, อยํ ปุเพฺพ สญฺฉนฺนปโตฺต มณิมโย วิย อภิรูปทสฺสโน อโหสิ, ตโต มณิวณฺณสาขนฺตเร ฐปิตปวาฬงฺกุรสทิเสหิ ปุเปฺผหิ สสฺสิริกทสฺสโน อโหสิ, มุตฺตชาลสทิสวาลิกากิโณฺณ จสฺส เหฎฺฐาภูมิภาโค พนฺธนา ปวุตฺตปุปฺผสญฺฉโนฺน รตฺตกมฺพลสนฺถโต วิย อโหสิฯ โส นามชฺช สุกฺขรุโกฺข วิย สาขามตฺตาวเสโส ฐิโต, อโห ชราย อุปหโต โกวิฬาโร’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อนุปาทิณฺณมฺปิ ตาย ชราย หญฺญติ, กิมงฺคํ ปน อุปาทิณฺณ’’นฺติ อนิจฺจสญฺญํ ปฎิลภิฯ ตทนุสาเรเนว สพฺพสงฺขาเร ทุกฺขโต อนตฺตโต จ วิปสฺสโนฺตว ‘‘อโห วตาหมฺปิ สญฺฉินฺนปโตฺต โกวิฬาโร วิย อปคตคิหิพฺยญฺชโน ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถยมาโน อนุปุเพฺพน ตสฺมิํ สยนตเล ทกฺขิเณน ปเสฺสน นิปโนฺนเยว วิปสฺสิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ตโต คมนกาเล อมเจฺจหิ ‘‘กาโล, เทว, คนฺตุ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘นาหํ ราชา’’ติอาทีนิ วตฺวา ปุริมนเยเนว อิมํ คาถมภาสิฯ

    100.Oropayitvāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira cātumāsikabrahmadatto nāma rājā gimhānaṃ paṭhame māse uyyānaṃ gato. Tattha ramaṇīye bhūmibhāge nīlaghanapattasañchannaṃ koviḷārarukkhaṃ disvā ‘‘koviḷāramūle mama sayanaṃ paññāpethā’’ti vatvā uyyāne kīḷitvā sāyanhasamayaṃ tattha seyyaṃ kappesi. Puna gimhānaṃ majjhime māse uyyānaṃ gato, tadā koviḷāro pupphito hoti, tadāpi tatheva akāsi. Punapi gimhānaṃ pacchime māse gato, tadā koviḷāro sañchinnapatto sukkharukkho viya hoti, tadāpi rājā adisvāva taṃ rukkhaṃ pubbaparicayena tattheva seyyaṃ āṇāpesi. Amaccā jānantāpi rañño āṇattiyā tattha sayanaṃ paññāpesuṃ. So uyyāne kīḷitvā sāyanhasamaye tattha seyyaṃ kappento taṃ rukkhaṃ disvā ‘‘are, ayaṃ pubbe sañchannapatto maṇimayo viya abhirūpadassano ahosi, tato maṇivaṇṇasākhantare ṭhapitapavāḷaṅkurasadisehi pupphehi sassirikadassano ahosi, muttajālasadisavālikākiṇṇo cassa heṭṭhābhūmibhāgo bandhanā pavuttapupphasañchanno rattakambalasanthato viya ahosi. So nāmajja sukkharukkho viya sākhāmattāvaseso ṭhito, aho jarāya upahato koviḷāro’’ti cintetvā ‘‘anupādiṇṇampi tāya jarāya haññati, kimaṅgaṃ pana upādiṇṇa’’nti aniccasaññaṃ paṭilabhi. Tadanusāreneva sabbasaṅkhāre dukkhato anattato ca vipassantova ‘‘aho vatāhampi sañchinnapatto koviḷāro viya apagatagihibyañjano bhaveyya’’nti patthayamāno anupubbena tasmiṃ sayanatale dakkhiṇena passena nipannoyeva vipassitvā paccekabodhiṃ sacchākāsi. Tato gamanakāle amaccehi ‘‘kālo, deva, gantu’’nti vutte ‘‘nāhaṃ rājā’’tiādīni vatvā purimanayeneva imaṃ gāthamabhāsi.

    ตตฺถ โอโรปยิตฺวาติ อปเนตฺวาฯ คิหิพฺยญฺชนานีติ เกสมสฺสุโอทาตวตฺถาลงฺการมาลาคนฺธวิเลปนปุตฺตทารทาสิทาสาทีนิฯ เอตานิ คิหิภาวํ พฺยญฺชยนฺติ, ตสฺมา ‘‘คิหิพฺยญฺชนานี’’ติ วุจฺจนฺติฯ สญฺฉินฺนปโตฺตติ ปติตปโตฺตฯ เฉตฺวานาติ มคฺคญาเณน ฉินฺทิตฺวาฯ วีโรติ มคฺควีริเยน สมนฺนาคโตฯ คิหิพนฺธนานีติ กามพนฺธนานิฯ กามา หิ คิหีนํ พนฺธนานิฯ อยํ ตาว ปทโตฺถฯ อยํ ปน อธิปฺปาโย – ‘‘อโห วตาหมฺปิ โอโรปยิตฺวา คิหิพฺยญฺชนานิ สญฺฉินฺนปโตฺต ยถา โกวิฬาโร ภเวยฺย’’นฺติ เอวํ จินฺตยมาโน วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อธิคโตติฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Tattha oropayitvāti apanetvā. Gihibyañjanānīti kesamassuodātavatthālaṅkāramālāgandhavilepanaputtadāradāsidāsādīni. Etāni gihibhāvaṃ byañjayanti, tasmā ‘‘gihibyañjanānī’’ti vuccanti. Sañchinnapattoti patitapatto. Chetvānāti maggañāṇena chinditvā. Vīroti maggavīriyena samannāgato. Gihibandhanānīti kāmabandhanāni. Kāmā hi gihīnaṃ bandhanāni. Ayaṃ tāva padattho. Ayaṃ pana adhippāyo – ‘‘aho vatāhampi oropayitvā gihibyañjanāni sañchinnapatto yathā koviḷāro bhaveyya’’nti evaṃ cintayamāno vipassanaṃ ārabhitvā adhigatoti. Sesaṃ purimanayeneva veditabbanti.

    โกวิฬารคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Koviḷāragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปฐมวโคฺค นิฎฺฐิโตฯ

    Paṭhamavaggo niṭṭhito.

    ๑๐๑-๒. สเจ ลเภถาติ กา อุปฺปตฺติ? ปุเพฺพ กิร กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน เทฺว ปเจฺจกโพธิสตฺตา ปพฺพชิตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา เทวโลเก อุปฺปนฺนาฯ ตโต จวิตฺวา เตสํ เชฎฺฐโก พาราณสิรโญฺญ ปุโตฺต, กนิโฎฺฐ ปุโรหิตสฺส ปุโตฺต อโหสิฯ เต เอกทิวสํเยว ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา เอกทิวสเมว มาตุ กุจฺฉิโต นิกฺขมิตฺวา สหปํสุกีฬกา สหายกา อเหสุํฯ ปุโรหิตปุโตฺต ปญฺญวา อโหสิฯ โส ราชปุตฺตํ อาห – ‘‘สมฺม, ตฺวํ ตว ปิตุโน อจฺจเยน รชฺชํ ลภิสฺสสิ, อหํ ปุโรหิตฎฺฐานํ, สุสิกฺขิเตน จ รชฺชํ อนุสาสิตุํ สกฺกา, เอหิ สิปฺปํ อุคฺคณฺหิสฺสามา’’ติฯ ตโต อุโภปิ ยโญฺญปจิตา หุตฺวา คามนิคมาทีสุ ภิกฺขํ จรมานา ปจฺจนฺตชนปทคามํ คตาฯ ตญฺจ คามํ ปญฺจ ปเจฺจกพุทฺธา ภิกฺขาจารเวลาย ปวิสิํสุฯ ตตฺถ มนุสฺสา ปเจฺจกพุเทฺธ ทิสฺวา อุสฺสาหชาตา อาสนานิ ปญฺญาเปตฺวา ปณีตํ ขาทนียํ วา โภชนียํ วา อุปนาเมตฺวา ปูเชนฺติฯ เตสํ เอตทโหสิ – ‘‘อเมฺหหิ สทิสา อุจฺจากุลิกา นาม นตฺถิ, อปิ จ ปนิเม มนุสฺสา ยทิ อิจฺฉนฺติ, อมฺหากํ ภิกฺขํ เทนฺติ, ยทิ นิจฺฉนฺติ, น เทนฺติ, อิเมสํ ปน ปพฺพชิตานํ เอวรูปํ สกฺการํ กโรนฺติ, อทฺธา เอเต กิญฺจิ สิปฺปํ ชานนฺติ, หนฺท, เนสํ สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหามา’’ติฯ เต มนุเสฺสสุ ปฎิกฺกเนฺตสุ โอกาสํ ลภิตฺวา ‘‘ยํ, ภเนฺต, ตุเมฺห สิปฺปํ ชานาถ, ตํ อเมฺหหิ สิกฺขาเปถา’’ติ ยาจิํสุฯ ปเจฺจกพุทฺธา ‘‘น สกฺกา อปพฺพชิเตน สิกฺขิตุ’’นฺติ อาหํสุฯ เต ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา ปพฺพชิํสุฯ ตโต เนสํ ปเจฺจกพุทฺธา ‘‘เอวํ โว นิวาเสตพฺพํ, เอวํ ปารุปิตพฺพ’’นฺติอาทินา นเยน อาภิสมาจาริกํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อิมสฺส สิปฺปสฺส เอกีภาวาภิรติ นิปฺผตฺติ, ตสฺมา เอเกเนว นิสีทิตพฺพํ, เอเกน จงฺกมิตพฺพํ, เอเกน ฐาตพฺพํ, เอเกน สยิตพฺพ’’นฺติ ปาฎิเยกฺกํ ปณฺณสาลํ อทํสุ, ตโต เต อตฺตโน อตฺตโน ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา นิสีทิํสุฯ ปุโรหิตปุโตฺต นิสินฺนกาลโต ปภุติ จิตฺตสมาธานํ ลทฺธา ฌานํ ปฎิลภิฯ ราชปุโตฺต มุหุเตฺตเนว อุกฺกณฺฐิโต ตสฺส สนฺติกํ อาคโตฯ โส ตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ, สมฺมา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อุกฺกณฺฐิโตมฺหี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ อิธ นิสีทา’’ติฯ โส ตตฺถ มุหุตฺตํ นิสีทิตฺวา อาห – ‘‘อิมสฺส กิร, สมฺม, สิปฺปสฺส เอกีภาวาภิรติ นิปฺผตฺตี’’ติ? ปุโรหิตปุโตฺต ‘‘เอวํ, สมฺม, เตน หิ ตฺวํ อตฺตโน นิสิโนฺนกาสํ เอว คจฺฉ, อุคฺคณฺหิสฺสามิ อิมสฺส สิปฺปสฺส นิปฺผตฺติ’’นฺติ อาหฯ โส คนฺตฺวา ปุนปิ มุหุตฺตเกเนว อุกฺกณฺฐิโต ปุริมนเยเนว ติกฺขตฺตุํ อาคโตฯ

    101-2.Sacelabhethāti kā uppatti? Pubbe kira kassapassa bhagavato sāsane dve paccekabodhisattā pabbajitvā vīsati vassasahassāni gatapaccāgatavattaṃ pūretvā devaloke uppannā. Tato cavitvā tesaṃ jeṭṭhako bārāṇasirañño putto, kaniṭṭho purohitassa putto ahosi. Te ekadivasaṃyeva paṭisandhiṃ gahetvā ekadivasameva mātu kucchito nikkhamitvā sahapaṃsukīḷakā sahāyakā ahesuṃ. Purohitaputto paññavā ahosi. So rājaputtaṃ āha – ‘‘samma, tvaṃ tava pituno accayena rajjaṃ labhissasi, ahaṃ purohitaṭṭhānaṃ, susikkhitena ca rajjaṃ anusāsituṃ sakkā, ehi sippaṃ uggaṇhissāmā’’ti. Tato ubhopi yaññopacitā hutvā gāmanigamādīsu bhikkhaṃ caramānā paccantajanapadagāmaṃ gatā. Tañca gāmaṃ pañca paccekabuddhā bhikkhācāravelāya pavisiṃsu. Tattha manussā paccekabuddhe disvā ussāhajātā āsanāni paññāpetvā paṇītaṃ khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā upanāmetvā pūjenti. Tesaṃ etadahosi – ‘‘amhehi sadisā uccākulikā nāma natthi, api ca panime manussā yadi icchanti, amhākaṃ bhikkhaṃ denti, yadi nicchanti, na denti, imesaṃ pana pabbajitānaṃ evarūpaṃ sakkāraṃ karonti, addhā ete kiñci sippaṃ jānanti, handa, nesaṃ santike sippaṃ uggaṇhāmā’’ti. Te manussesu paṭikkantesu okāsaṃ labhitvā ‘‘yaṃ, bhante, tumhe sippaṃ jānātha, taṃ amhehi sikkhāpethā’’ti yāciṃsu. Paccekabuddhā ‘‘na sakkā apabbajitena sikkhitu’’nti āhaṃsu. Te pabbajjaṃ yācitvā pabbajiṃsu. Tato nesaṃ paccekabuddhā ‘‘evaṃ vo nivāsetabbaṃ, evaṃ pārupitabba’’ntiādinā nayena ābhisamācārikaṃ ācikkhitvā ‘‘imassa sippassa ekībhāvābhirati nipphatti, tasmā ekeneva nisīditabbaṃ, ekena caṅkamitabbaṃ, ekena ṭhātabbaṃ, ekena sayitabba’’nti pāṭiyekkaṃ paṇṇasālaṃ adaṃsu, tato te attano attano paṇṇasālaṃ pavisitvā nisīdiṃsu. Purohitaputto nisinnakālato pabhuti cittasamādhānaṃ laddhā jhānaṃ paṭilabhi. Rājaputto muhutteneva ukkaṇṭhito tassa santikaṃ āgato. So taṃ disvā ‘‘kiṃ, sammā’’ti pucchi. ‘‘Ukkaṇṭhitomhī’’ti āha. ‘‘Tena hi idha nisīdā’’ti. So tattha muhuttaṃ nisīditvā āha – ‘‘imassa kira, samma, sippassa ekībhāvābhirati nipphattī’’ti? Purohitaputto ‘‘evaṃ, samma, tena hi tvaṃ attano nisinnokāsaṃ eva gaccha, uggaṇhissāmi imassa sippassa nipphatti’’nti āha. So gantvā punapi muhuttakeneva ukkaṇṭhito purimanayeneva tikkhattuṃ āgato.

    ตโต นํ ปุโรหิตปุโตฺต ตเถว อุโยฺยเชตฺวา ตสฺมิํ คเต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ อตฺตโน จ กมฺมํ หาเปติ มม จ, อิธาภิกฺขณํ อาคจฺฉตี’’ติฯ โส ปณฺณสาลโต นิกฺขมฺม อรญฺญํ ปวิโฎฺฐฯ อิตโร อตฺตโน ปณฺณสาลาเยว นิสิโนฺน ปุนปิ มุหุตฺตเกเนว อุกฺกณฺฐิโต ตสฺส สนฺติกํ อาคนฺตฺวา อิโต จิโต จ มคฺคโนฺตปิ ตํ อทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘โย คหฎฺฐกาเล ปณฺณาการํ อาทาย อาคโตปิ มํ ทฎฺฐุํ น ลภติ, โส ทานิ มยิ อาคเต ทสฺสนมฺปิ อทาตุกาโม อปกฺกมิฯ อโห อเร, จิตฺต, น ลชฺชสิ, ยํ มํ จตุกฺขตฺตุํ อิธาเนสิ, น โส ทานิ เต วเส วตฺติสฺสามิ, อญฺญทตฺถุ ตํเยว มม วเส วตฺตาเปสฺสามี’’ติ อตฺตโน เสนาสนํ ปวิสิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อากาเสน นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมาสิฯ อิตโรปิ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา ตเตฺถว อคมาสิฯ เต อุโภปิ มโนสิลาตเล นิสีทิตฺวา ปาฎิเยกฺกํ ปาฎิเยกฺกํ อิมา อุทานคาถาโย อภาสิํสุฯ

    Tato naṃ purohitaputto tatheva uyyojetvā tasmiṃ gate cintesi – ‘‘ayaṃ attano ca kammaṃ hāpeti mama ca, idhābhikkhaṇaṃ āgacchatī’’ti. So paṇṇasālato nikkhamma araññaṃ paviṭṭho. Itaro attano paṇṇasālāyeva nisinno punapi muhuttakeneva ukkaṇṭhito tassa santikaṃ āgantvā ito cito ca maggantopi taṃ adisvā cintesi – ‘‘yo gahaṭṭhakāle paṇṇākāraṃ ādāya āgatopi maṃ daṭṭhuṃ na labhati, so dāni mayi āgate dassanampi adātukāmo apakkami. Aho are, citta, na lajjasi, yaṃ maṃ catukkhattuṃ idhānesi, na so dāni te vase vattissāmi, aññadatthu taṃyeva mama vase vattāpessāmī’’ti attano senāsanaṃ pavisitvā vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchikatvā ākāsena nandamūlakapabbhāraṃ agamāsi. Itaropi araññaṃ pavisitvā vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchikatvā tattheva agamāsi. Te ubhopi manosilātale nisīditvā pāṭiyekkaṃ pāṭiyekkaṃ imā udānagāthāyo abhāsiṃsu.

    ตตฺถ นิปกนฺติ ปกตินิปกํ ปณฺฑิตํ กสิณปริกมฺมาทิกุสลํฯ สาธุวิหารินฺติ อปฺปนาวิหาเรน วา อุปจาเรน วา สมนฺนาคตํฯ ธีรนฺติ ธิติสมฺปนฺนํฯ ตตฺถ นิปกเตฺตน ธิติสมฺปทา วุตฺตาฯ อิธ ปน ธิติสมฺปนฺนเมวาติ อโตฺถฯ ธิติ นาม อสิถิลปรกฺกมตา, ‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จา’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๘๔; อ. นิ. ๒.๕; มหานิ. ๑๙๖) เอวํ ปวตฺตวีริยเสฺสตํ อธิวจนํฯ อปิจ ธิกฺกตปาโปติปิ ธีโรฯ ราชาว รฎฺฐํ วิชิตํ ปหายาติ ยถา ปกติราชา ‘‘วิชิตํ รฎฺฐํ อนตฺถาวห’’นฺติ ญตฺวา รชฺชํ ปหาย เอโก จรติ, เอวํ พาลสหายํ ปหาย เอโก จเรฯ อถ วา ราชาว รฎฺฐนฺติ ยถา สุตโสโม ราชา รฎฺฐํ วิชิตํ ปหาย เอโก จริ, ยถา จ มหาชนโก ราชา, เอวํ เอโก จรีติ อยมฺปิ ตสฺส อโตฺถฯ เสสํ วุตฺตานุสาเรน สกฺกา ชานิตุนฺติ น วิตฺถาริตนฺติฯ

    Tattha nipakanti pakatinipakaṃ paṇḍitaṃ kasiṇaparikammādikusalaṃ. Sādhuvihārinti appanāvihārena vā upacārena vā samannāgataṃ. Dhīranti dhitisampannaṃ. Tattha nipakattena dhitisampadā vuttā. Idha pana dhitisampannamevāti attho. Dhiti nāma asithilaparakkamatā, ‘‘kāmaṃ taco ca nhāru cā’’ti (ma. ni. 2.184; a. ni. 2.5; mahāni. 196) evaṃ pavattavīriyassetaṃ adhivacanaṃ. Apica dhikkatapāpotipi dhīro. Rājāva raṭṭhaṃ vijitaṃ pahāyāti yathā pakatirājā ‘‘vijitaṃ raṭṭhaṃ anatthāvaha’’nti ñatvā rajjaṃ pahāya eko carati, evaṃ bālasahāyaṃ pahāya eko care. Atha vā rājāva raṭṭhanti yathā sutasomo rājā raṭṭhaṃ vijitaṃ pahāya eko cari, yathā ca mahājanako rājā, evaṃ eko carīti ayampi tassa attho. Sesaṃ vuttānusārena sakkā jānitunti na vitthāritanti.

    สหายคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sahāyagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๐๓. อทฺธา ปสํสามาติ อิมิสฺสา คาถาย ยาว อากาสตเล ปญฺญตฺตาสเน ปเจฺจกพุทฺธานํ นิสชฺชา, ตาว จาตุทฺทิสคาถาย อุปฺปตฺติสทิสา เอว อุปฺปตฺติฯ อยํ ปน วิเสโส – ยถา โส ราชา รตฺติยา ติกฺขตฺตุํ อุพฺพิชฺชิ, น ตถา อยํ, เนวสฺส ยโญฺญ ปจฺจุปฎฺฐิโต อโหสิฯ โส อากาสตเล ปญฺญเตฺตสุ อาสเนสุ ปเจฺจกพุเทฺธ นิสีทาเปตฺวา ‘‘เก ตุเมฺห’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มยํ, มหาราช, อนวชฺชโภชิโน นามา’’ติฯ ‘‘ภเนฺต , อนวชฺชโภชิโนติ อิมสฺส โก อโตฺถ’’ติ? ‘‘สุนฺทรํ วา อสุนฺทรํ วา ลทฺธา นิพฺพิการา ภุญฺชาม, มหาราชา’’ติฯ ตํ สุตฺวา รโญฺญ เอตทโหสิ – ‘‘ยํนูนาหํ อิเม อุปปริเกฺขยฺยํ ‘เอทิสา วา โน วา’’’ติ? ตํ ทิวสํ กณาชเกน พิลงฺคทุติเยน ปริวิสิฯ ตํ ปเจฺจกพุทฺธา อมตํ วิย นิพฺพิการา ภุญฺชิํสุฯ ราชา ‘‘อิเม ปฎิญฺญาตตฺตา เอกทิวสํ นิพฺพิการา โหนฺติ, ปุน เสฺว ชานิสฺสามี’’ติ สฺวาตนาย นิมเนฺตสิฯ ทุติยทิวเสปิ ตเถวากาสิฯ เตปิ ตเถว ปริภุญฺชิํสุฯ อถ ราชา ‘‘สุนฺทรํ ทตฺวา วีมํสิสฺสามี’’ติ ปุนปิ นิมเนฺตตฺวา เทฺว ทิวเส มหาสกฺการํ กตฺวา ปณีเตน อติวิจิเตฺรน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปริวิสิฯ เตปิ ตเถว นิพฺพิการา ปริภุญฺชิตฺวา รโญฺญ มงฺคลํ วตฺวา ปกฺกมิํสุฯ ราชา อจิรปกฺกเนฺตสุ เตสุ ‘‘อนวชฺชโภชิโน เอเต, อโห วตาหมฺปิ อนวชฺชโภชี ภเวยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา มหารชฺชํ ปหาย ปพฺพชฺชํ สมาทาย วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกพุโทฺธ หุตฺวา มญฺชูสกรุกฺขมูเล ปเจฺจกพุทฺธานํ มเชฺฌ อตฺตโน อารมฺมณํ วิภาเวโนฺต อิมํ คาถมภาสิฯ สา ปทตฺถโต อุตฺตานเมวฯ เกวลํ ปน สหายสมฺปทนฺติ เอตฺถ อเสเขหิ สีลาทิกฺขเนฺธหิ สมฺปนฺนา สหายา เอว สหายสมฺปทาติ เวทิตพฺพาฯ

    103.Addhā pasaṃsāmāti imissā gāthāya yāva ākāsatale paññattāsane paccekabuddhānaṃ nisajjā, tāva cātuddisagāthāya uppattisadisā eva uppatti. Ayaṃ pana viseso – yathā so rājā rattiyā tikkhattuṃ ubbijji, na tathā ayaṃ, nevassa yañño paccupaṭṭhito ahosi. So ākāsatale paññattesu āsanesu paccekabuddhe nisīdāpetvā ‘‘ke tumhe’’ti pucchi. ‘‘Mayaṃ, mahārāja, anavajjabhojino nāmā’’ti. ‘‘Bhante , anavajjabhojinoti imassa ko attho’’ti? ‘‘Sundaraṃ vā asundaraṃ vā laddhā nibbikārā bhuñjāma, mahārājā’’ti. Taṃ sutvā rañño etadahosi – ‘‘yaṃnūnāhaṃ ime upaparikkheyyaṃ ‘edisā vā no vā’’’ti? Taṃ divasaṃ kaṇājakena bilaṅgadutiyena parivisi. Taṃ paccekabuddhā amataṃ viya nibbikārā bhuñjiṃsu. Rājā ‘‘ime paṭiññātattā ekadivasaṃ nibbikārā honti, puna sve jānissāmī’’ti svātanāya nimantesi. Dutiyadivasepi tathevākāsi. Tepi tatheva paribhuñjiṃsu. Atha rājā ‘‘sundaraṃ datvā vīmaṃsissāmī’’ti punapi nimantetvā dve divase mahāsakkāraṃ katvā paṇītena ativicitrena khādanīyena bhojanīyena parivisi. Tepi tatheva nibbikārā paribhuñjitvā rañño maṅgalaṃ vatvā pakkamiṃsu. Rājā acirapakkantesu tesu ‘‘anavajjabhojino ete, aho vatāhampi anavajjabhojī bhaveyya’’nti cintetvā mahārajjaṃ pahāya pabbajjaṃ samādāya vipassanaṃ ārabhitvā paccekabuddho hutvā mañjūsakarukkhamūle paccekabuddhānaṃ majjhe attano ārammaṇaṃ vibhāvento imaṃ gāthamabhāsi. Sā padatthato uttānameva. Kevalaṃ pana sahāyasampadanti ettha asekhehi sīlādikkhandhehi sampannā sahāyā eva sahāyasampadāti veditabbā.

    อยํ ปเนตฺถ โยชนา – ยา อยํ วุตฺตา สหายสมฺปทา, ตํ สหายสมฺปทํ อทฺธา ปสํสาม, เอกํเสเนว โถเมมาติ วุตฺตํ โหติฯ กถํ? เสฎฺฐา สมา เสวิตพฺพา สหายาติฯ กสฺมา? อตฺตโน สีลาทีหิ เสเฎฺฐ เสวมานสฺส สีลาทโย ธมฺมา อนุปฺปนฺนา อุปฺปชฺชนฺติ, อุปฺปนฺนา จ วุทฺธิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ ปาปุณนฺติฯ สเม เสวมานสฺส อญฺญมญฺญํ สาธารเณน กุกฺกุจฺจสฺส วิโนทเนน จ ลทฺธา น ปริหายนฺติฯ เอเต ปน สหายเก เสเฎฺฐ จ สเม จ อลทฺธา กุหนาทิมิจฺฉาชีวํ ปหาย ธเมฺมน สเมน อุปฺปนฺนํ โภชนํ ภุญฺชโนฺต ตตฺถ จ ปฎิฆานุนยํ อนุปฺปาเทโนฺต อนวชฺชโภชี หุตฺวา อตฺถกาโม กุลปุโตฺต เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปฯ อหมฺปิ เอวํ จรโนฺต อิมํ สมฺปตฺติํ อธิคโตมฺหีติฯ

    Ayaṃ panettha yojanā – yā ayaṃ vuttā sahāyasampadā, taṃ sahāyasampadaṃ addhā pasaṃsāma, ekaṃseneva thomemāti vuttaṃ hoti. Kathaṃ? Seṭṭhā samā sevitabbā sahāyāti. Kasmā? Attano sīlādīhi seṭṭhe sevamānassa sīlādayo dhammā anuppannā uppajjanti, uppannā ca vuddhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ pāpuṇanti. Same sevamānassa aññamaññaṃ sādhāraṇena kukkuccassa vinodanena ca laddhā na parihāyanti. Ete pana sahāyake seṭṭhe ca same ca aladdhā kuhanādimicchājīvaṃ pahāya dhammena samena uppannaṃ bhojanaṃ bhuñjanto tattha ca paṭighānunayaṃ anuppādento anavajjabhojī hutvā atthakāmo kulaputto eko care khaggavisāṇakappo. Ahampi evaṃ caranto imaṃ sampattiṃ adhigatomhīti.

    อทฺธาปสํสาคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Addhāpasaṃsāgāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๐๔. ทิสฺวา สุวณฺณสฺสาติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร พาราณสิยํ ราชา คิมฺหสมเย ทิวาเสยฺยํ อุปคโต อโหสิ, สนฺติเก จสฺส วณฺณทาสี โคสีตจนฺทนํ ปิสติฯ ตสฺสา เอกพาหาย เอกํ สุวณฺณวลยํ, เอกพาหาย เทฺวฯ ตานิ สงฺฆเฎฺฎนฺติ, อิตรํ น สงฺฆฎฺฎติฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ‘‘เอวเมว คณวาเส สงฺฆฎฺฎนา, เอกวาเส อสงฺฆฎฺฎนา’’ติ จิเนฺตตฺวา ปุนปฺปุนํ ทาสิํ โอโลเกสิฯ เตน จ สมเยน สพฺพาลงฺการวิภูสิตา เทวี ตํ พีชยนฺตี ฐิตา โหติฯ สา ‘‘วณฺณทาสิยา ปฎิพทฺธจิโตฺต มเญฺญ ราชา’’ติ จิเนฺตตฺวา ตํ ทาสิํ อุฎฺฐาเปตฺวา สยเมว ปิสิตุมารทฺธาฯ อถสฺสา จ อุโภสุ พาหาสุ อเนเก สุวณฺณวลยา, เต สงฺฆฎฺฎยนฺตา มหาสทฺทํ ชนยิํสุฯ ราชา อติสุฎฺฐุตรํ นิพฺพิโนฺท ทกฺขิณปเสฺสน นิปโนฺนเยว วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ตํ อนุตฺตรสุเขน สุขิตํ นิปนฺนํ จนฺทนหตฺถา เทวี อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อาลิมฺปามิ , มหาราชา’’ติ อาหฯ โส ‘‘อเปหิ, มา อาลิมฺปาหี’’ติ อาหฯ สา ‘‘กิสฺส, มหาราชา’’ติ? โส ‘‘นาหํ, ราชา’’ติฯ เอวเมเตสํ กถาสลฺลาปํ สุตฺวา อมจฺจา อุปสงฺกมิํสุ, เตหิปิ มหาราชวาเทน อาลปิโต ‘‘นาหํ, ภเณ, ราชา’’ติ อาหฯ เสสํ ปฐมคาถาย วุตฺตสทิสเมวฯ

    104.Disvā suvaṇṇassāti kā uppatti? Aññataro kira bārāṇasiyaṃ rājā gimhasamaye divāseyyaṃ upagato ahosi, santike cassa vaṇṇadāsī gosītacandanaṃ pisati. Tassā ekabāhāya ekaṃ suvaṇṇavalayaṃ, ekabāhāya dve. Tāni saṅghaṭṭenti, itaraṃ na saṅghaṭṭati. Rājā taṃ disvā ‘‘evameva gaṇavāse saṅghaṭṭanā, ekavāse asaṅghaṭṭanā’’ti cintetvā punappunaṃ dāsiṃ olokesi. Tena ca samayena sabbālaṅkāravibhūsitā devī taṃ bījayantī ṭhitā hoti. Sā ‘‘vaṇṇadāsiyā paṭibaddhacitto maññe rājā’’ti cintetvā taṃ dāsiṃ uṭṭhāpetvā sayameva pisitumāraddhā. Athassā ca ubhosu bāhāsu aneke suvaṇṇavalayā, te saṅghaṭṭayantā mahāsaddaṃ janayiṃsu. Rājā atisuṭṭhutaraṃ nibbindo dakkhiṇapassena nipannoyeva vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchākāsi. Taṃ anuttarasukhena sukhitaṃ nipannaṃ candanahatthā devī upasaṅkamitvā ‘‘ālimpāmi , mahārājā’’ti āha. So ‘‘apehi, mā ālimpāhī’’ti āha. Sā ‘‘kissa, mahārājā’’ti? So ‘‘nāhaṃ, rājā’’ti. Evametesaṃ kathāsallāpaṃ sutvā amaccā upasaṅkamiṃsu, tehipi mahārājavādena ālapito ‘‘nāhaṃ, bhaṇe, rājā’’ti āha. Sesaṃ paṭhamagāthāya vuttasadisameva.

    อยํ ปน คาถาวณฺณนา ตตฺถ ทิสฺวาติ โอโลเกตฺวาฯ สุวณฺณสฺสาติ กญฺจนสฺสฯ ‘‘วลยานี’’ติ ปาฐเสโสฯ สาวเสสปทโตฺถ หิ อยํ อโตฺถฯ ปภสฺสรานีติ ปภาสนสีลานิ, ชุติมนฺตานีติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ อุตฺตานปทตฺถเมวฯ อยํ ปน โยชนา – ทิสฺวา ภุชสฺมิํ สุวณฺณสฺส วลยานิ ‘‘คณวาเส สติ สงฺฆฎฺฎนา, เอกวาเส อสงฺฆฎฺฎนา’’ติ เอวํ จิเนฺตตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อธิคโตมฺหีติฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวาติฯ

    Ayaṃ pana gāthāvaṇṇanā tattha disvāti oloketvā. Suvaṇṇassāti kañcanassa. ‘‘Valayānī’’ti pāṭhaseso. Sāvasesapadattho hi ayaṃ attho. Pabhassarānīti pabhāsanasīlāni, jutimantānīti vuttaṃ hoti. Sesaṃ uttānapadatthameva. Ayaṃ pana yojanā – disvā bhujasmiṃ suvaṇṇassa valayāni ‘‘gaṇavāse sati saṅghaṭṭanā, ekavāse asaṅghaṭṭanā’’ti evaṃ cintetvā vipassanaṃ ārabhitvā adhigatomhīti. Sesaṃ suviññeyyamevāti.

    สุวณฺณวลยคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suvaṇṇavalayagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๐๕. เอวํ ทุติเยนาติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร พาราณสิราชา ทหโรว ปพฺพชิตุกาโม อมเจฺจ อาณาเปสิ – ‘‘เทวิํ คเหตฺวา รชฺชํ ปริหรถ, อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ อมจฺจา – ‘‘มหาราช, อราชกํ รชฺชํ อเมฺหหิ น สกฺกา รกฺขิตุํ สามนฺตราชาโน อาคมฺม วิลุมฺปิสฺสนฺติ, ยาว เอโกปิ ปุโตฺต อุปฺปชฺชติ, ตาว อาคเมหี’’ติ สญฺญาเปสุํฯ มุทุจิโตฺต ราชา อธิวาเสสิฯ อถ เทวี คพฺภํ คณฺหิฯ ราชา ปุน เต อาณาเปสิ – ‘‘เทวี คพฺภินี, ปุตฺตํ ชาตํ รเชฺช อภิสิญฺจิตฺวา รชฺชํ ปริหรถ, อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ อมจฺจา ‘‘ทุชฺชานํ, มหาราช, เอตํ, ยํ เทวี ปุตฺตํ วา วิชายิสฺสติ, ธีตรํ วาติ, ตาว วิชายนกาลํ อาคเมหี’’ติ ปุนปิ ราชานํ สญฺญาเปสุํฯ อถ สา ปุตฺตํ วิชายิฯ ตทาปิ ราชา ตเถว อมเจฺจ อาณาเปสิฯ อมจฺจา ปุนปิ ราชานํ – ‘‘อาคเมหิ, มหาราช, ยาว ปฎิพโล โหตี’’ติ พหูหิ การเณหิ สญฺญาเปสุํฯ ตโต กุมาเร ปฎิพเล ชาเต อมเจฺจ สนฺนิปาตาเปตฺวา ‘‘ปฎิพโล ทานิ อยํ, ตํ รเชฺช อภิสิญฺจิตฺวา ปฎิปชฺชถา’’ติ อมจฺจานํ โอกาสํ อทตฺวา อนฺตราปณโต กาสายวตฺถาทโย สพฺพปริกฺขาเร อาหราเปตฺวา อเนฺตปุเร เอว ปพฺพชิตฺวา มหาชนโก วิย นิกฺขมิตฺวา คโตฯ สพฺพปริชโน นานปฺปการํ ปริเทวมาโน ราชานํ อนุพนฺธิฯ โส ราชา ยาว อตฺตโน รชฺชสีมา, ตาว คนฺตฺวา กตฺตรทเณฺฑน เลขํ อากฑฺฒิตฺวา – ‘‘อยํ เลขา นาติกฺกมิตพฺพา’’ติ อาห ฯ มหาชโน เลขาย สีสํ กตฺวา ภูมิยํ นิปโนฺน ปริเทวมาโน ‘‘ตุยฺหํ ทานิ, ตาต, รโญฺญ อาณา, กิํ กริสฺสตี’’ติ กุมารํ เลขํ อติกฺกมาเปสิฯ กุมาโร ‘‘ตาต, ตาตา’’ติ ธาวิตฺวา ราชานํ สมฺปาปุณิฯ ราชา กุมารํ ทิสฺวา ‘‘เอตํ มหาชนํ ปริหรโนฺต รชฺชํ กาเรสิํ, กิํ ทานิ เอกํ ทารกํ ปริหริตุํ น สกฺขิสฺส’’นฺติ กุมารํ คเหตฺวา อรญฺญํ ปวิโฎฺฐ, ตตฺถ ปุพฺพปเจฺจกพุเทฺธหิ วสิตปณฺณสาลํ ทิสฺวา วาสํ กเปฺปสิ สทฺธิํ ปุเตฺตนฯ

    105.Evaṃ dutiyenāti kā uppatti? Aññataro kira bārāṇasirājā daharova pabbajitukāmo amacce āṇāpesi – ‘‘deviṃ gahetvā rajjaṃ pariharatha, ahaṃ pabbajissāmī’’ti. Amaccā – ‘‘mahārāja, arājakaṃ rajjaṃ amhehi na sakkā rakkhituṃ sāmantarājāno āgamma vilumpissanti, yāva ekopi putto uppajjati, tāva āgamehī’’ti saññāpesuṃ. Muducitto rājā adhivāsesi. Atha devī gabbhaṃ gaṇhi. Rājā puna te āṇāpesi – ‘‘devī gabbhinī, puttaṃ jātaṃ rajje abhisiñcitvā rajjaṃ pariharatha, ahaṃ pabbajissāmī’’ti. Amaccā ‘‘dujjānaṃ, mahārāja, etaṃ, yaṃ devī puttaṃ vā vijāyissati, dhītaraṃ vāti, tāva vijāyanakālaṃ āgamehī’’ti punapi rājānaṃ saññāpesuṃ. Atha sā puttaṃ vijāyi. Tadāpi rājā tatheva amacce āṇāpesi. Amaccā punapi rājānaṃ – ‘‘āgamehi, mahārāja, yāva paṭibalo hotī’’ti bahūhi kāraṇehi saññāpesuṃ. Tato kumāre paṭibale jāte amacce sannipātāpetvā ‘‘paṭibalo dāni ayaṃ, taṃ rajje abhisiñcitvā paṭipajjathā’’ti amaccānaṃ okāsaṃ adatvā antarāpaṇato kāsāyavatthādayo sabbaparikkhāre āharāpetvā antepure eva pabbajitvā mahājanako viya nikkhamitvā gato. Sabbaparijano nānappakāraṃ paridevamāno rājānaṃ anubandhi. So rājā yāva attano rajjasīmā, tāva gantvā kattaradaṇḍena lekhaṃ ākaḍḍhitvā – ‘‘ayaṃ lekhā nātikkamitabbā’’ti āha . Mahājano lekhāya sīsaṃ katvā bhūmiyaṃ nipanno paridevamāno ‘‘tuyhaṃ dāni, tāta, rañño āṇā, kiṃ karissatī’’ti kumāraṃ lekhaṃ atikkamāpesi. Kumāro ‘‘tāta, tātā’’ti dhāvitvā rājānaṃ sampāpuṇi. Rājā kumāraṃ disvā ‘‘etaṃ mahājanaṃ pariharanto rajjaṃ kāresiṃ, kiṃ dāni ekaṃ dārakaṃ pariharituṃ na sakkhissa’’nti kumāraṃ gahetvā araññaṃ paviṭṭho, tattha pubbapaccekabuddhehi vasitapaṇṇasālaṃ disvā vāsaṃ kappesi saddhiṃ puttena.

    ตโต กุมาโร วรสยนาทีสุ กตปริจโย ติณสนฺถารเก วา รชฺชุมญฺจเก วา สยมาโน โรทติฯ สีตวาตาทีหิ ผุโฎฺฐ สมาโน – ‘‘สีตํ ตาต อุณฺหํ ตาต มกสา ตาต ฑํสนฺติฯ ฉาโตมฺหิ ตาต, ปิปาสิโตมฺหิ ตาตา’’ติ วทติฯ ราชา ตํ สญฺญาเปโนฺตเยว รตฺติํ วีตินาเมสิฯ ทิวาปิสฺส ปิณฺฑาย จริตฺวา ภตฺตํ อุปนาเมสิ, กุมาโร มิสฺสกภตฺตํ กงฺคุวรกมุคฺคาทิพหุลํ อจฺฉาเทนฺตมฺปิ ตํ ชิฆจฺฉาวเสน ภุญฺชมาโน กติปาหจฺจเยน อุเณฺห ฐปิตปทุมํ วิย มิลายิฯ ราชา ปน ปฎิสงฺขานพเลน นิพฺพิกาโร ภุญฺชติฯ ตโต โส กุมารํ สญฺญาเปโนฺต อาห – ‘‘นคเร, ตาต, ปณีตาหาโร ลพฺภติ, ตตฺถ คจฺฉามา’’ติฯ กุมาโร ‘‘อาม, ตาตา’’ติฯ ตโต นํ ปุรกฺขตฺวา อาคตมเคฺคเนว นิวตฺติฯ กุมารมาตาปิ เทวี ‘‘น ทานิ ราชา กุมารํ คณฺหิตฺวา อรเญฺญ จิรํ วสิสฺสติ, กติปาเหเนว นิวตฺติสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา รญฺญา กตฺตรทเณฺฑน ลิขิตฎฺฐาเนเยว วติํ การาเปตฺวา วาสํ กเปฺปสิฯ ราชา ตสฺสา วติยา อวิทูเร ฐตฺวา ‘‘เอตฺถ เต, ตาต, มาตา นิสินฺนา, คจฺฉาหี’’ติ เปเสสิฯ ยาว โส ตํ ฐานํ ปาปุณาติ, ตาว อุทิกฺขโนฺต อฎฺฐาสิ – ‘‘มา เหว นํ โกจิ วิเหเฐยฺยา’’ติฯ กุมาโร มาตุ สนฺติกํ ธาวโนฺต อคมาสิฯ

    Tato kumāro varasayanādīsu kataparicayo tiṇasanthārake vā rajjumañcake vā sayamāno rodati. Sītavātādīhi phuṭṭho samāno – ‘‘sītaṃ tāta uṇhaṃ tāta makasā tāta ḍaṃsanti. Chātomhi tāta, pipāsitomhi tātā’’ti vadati. Rājā taṃ saññāpentoyeva rattiṃ vītināmesi. Divāpissa piṇḍāya caritvā bhattaṃ upanāmesi, kumāro missakabhattaṃ kaṅguvarakamuggādibahulaṃ acchādentampi taṃ jighacchāvasena bhuñjamāno katipāhaccayena uṇhe ṭhapitapadumaṃ viya milāyi. Rājā pana paṭisaṅkhānabalena nibbikāro bhuñjati. Tato so kumāraṃ saññāpento āha – ‘‘nagare, tāta, paṇītāhāro labbhati, tattha gacchāmā’’ti. Kumāro ‘‘āma, tātā’’ti. Tato naṃ purakkhatvā āgatamaggeneva nivatti. Kumāramātāpi devī ‘‘na dāni rājā kumāraṃ gaṇhitvā araññe ciraṃ vasissati, katipāheneva nivattissatī’’ti cintetvā raññā kattaradaṇḍena likhitaṭṭhāneyeva vatiṃ kārāpetvā vāsaṃ kappesi. Rājā tassā vatiyā avidūre ṭhatvā ‘‘ettha te, tāta, mātā nisinnā, gacchāhī’’ti pesesi. Yāva so taṃ ṭhānaṃ pāpuṇāti, tāva udikkhanto aṭṭhāsi – ‘‘mā heva naṃ koci viheṭheyyā’’ti. Kumāro mātu santikaṃ dhāvanto agamāsi.

    อารกฺขปุริสา กุมารํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา เทวิยา อาโรเจสิฯ เทวี วีสตินาฎกิตฺถิสหสฺสปริวุตา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปฎิคฺคเหสิฯ รโญฺญ จ ปวตฺติํ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปจฺฉโต อาคจฺฉตี’’ติ สุตฺวา มนุเสฺส เปเสสิฯ ราชาปิ ตาวเทว สกวสนฎฺฐานํ อคมาสิฯ มนุสฺสา ราชานํ อทิสฺวา นิวตฺติํสุฯ ตโต เทวี นิราสาว หุตฺวา ปุตฺตํ คเหตฺวา นครํ คนฺตฺวา รเชฺช อภิสิญฺจิฯ ราชาปิ อตฺตโน วสนฎฺฐาเน นิสิโนฺน วิปสฺสิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ ปตฺวา มญฺชูสกรุกฺขมูเล ปเจฺจกพุทฺธานํ มเชฺฌ อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ สา อตฺถโต อุตฺตานา เอวฯ

    Ārakkhapurisā kumāraṃ āgacchantaṃ disvā deviyā ārocesi. Devī vīsatināṭakitthisahassaparivutā paccuggantvā paṭiggahesi. Rañño ca pavattiṃ pucchi. ‘‘Pacchato āgacchatī’’ti sutvā manusse pesesi. Rājāpi tāvadeva sakavasanaṭṭhānaṃ agamāsi. Manussā rājānaṃ adisvā nivattiṃsu. Tato devī nirāsāva hutvā puttaṃ gahetvā nagaraṃ gantvā rajje abhisiñci. Rājāpi attano vasanaṭṭhāne nisinno vipassitvā paccekabodhiṃ patvā mañjūsakarukkhamūle paccekabuddhānaṃ majjhe imaṃ udānagāthaṃ abhāsi. Sā atthato uttānā eva.

    อยํ ปเนตฺถาธิปฺปาโย – ยฺวายํ เอเกน ทุติเยน กุมาเรน สีตุณฺหาทีหิ นิเวเทเนฺตน สหวาเสน ตํ สญฺญาเปนฺตสฺส มม วาจาภิลาโป ตสฺมิํ สิเนหวเสน อภิสชฺชนา วา ชาตาฯ สจาหํ อิมํ น ปริจฺจชามิ, ตโต อายติมฺปิ ตเถว เหสฺสติ, ยถา อิทานิ, เอวํ ทุติเยน สห มมสฺส วาจาภิลาโป อภิสชฺชนา วาฯ ‘‘อุภยเมฺปตํ อนฺตรายกรํ วิเสสาธิคมสฺสา’’ติ เอตํ ภยํ อายติํ เปกฺขมาโน ตํ ฉเฑฺฑตฺวา โยนิโส ปฎิปชฺชิตฺวา ปเจฺจกโพธิมธิคโตมฺหีติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Ayaṃ panetthādhippāyo – yvāyaṃ ekena dutiyena kumārena sītuṇhādīhi nivedentena sahavāsena taṃ saññāpentassa mama vācābhilāpo tasmiṃ sinehavasena abhisajjanā vā jātā. Sacāhaṃ imaṃ na pariccajāmi, tato āyatimpi tatheva hessati, yathā idāni, evaṃ dutiyena saha mamassa vācābhilāpo abhisajjanā vā. ‘‘Ubhayampetaṃ antarāyakaraṃ visesādhigamassā’’ti etaṃbhayaṃ āyatiṃ pekkhamāno taṃ chaḍḍetvā yoniso paṭipajjitvā paccekabodhimadhigatomhīti. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อายติภยคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Āyatibhayagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๐๖. กามา หิ จิตฺราติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร เสฎฺฐิปุโตฺต ทหโรว เสฎฺฐิฎฺฐานํ ลภิฯ ตสฺส ติณฺณํ อุตูนํ อนุจฺฉวิกา ตโย ปาสาทา อเหสุํฯ โส สพฺพสมฺปตฺตีหิ เทวกุมาโร วิย ปริจาเรติฯ อถ โส ทหโรว สมาโน ‘‘ปพฺพชิสฺสามี’’ติ มาตาปิตโร อาปุจฺฉิ, เต นํ นิวาเรนฺติฯ โส ตเถว นิพนฺธติฯ ปุนปิ นํ มาตาปิตโร ‘‘ตฺวํ, ตาต, สุขุมาโล, ทุกฺกรา ปพฺพชฺชา, ขุรธาราย อุปริ จงฺกมนสทิสา’’ติ นานปฺปกาเรหิ นิวาเรนฺติฯ โส ตเถว นิพนฺธติฯ เต จิเนฺตสุํ – ‘‘สจายํ ปพฺพชติ, อมฺหากํ โทมนสฺสํ โหติฯ สเจ นํ นิวาเรม, เอตสฺส โทมนสฺสํ โหติฯ อปิจ อมฺหากํ โทมนสฺสํ โหตุ, มา จ เอตสฺสา’’ติ อนุชานิํสุฯ ตโต โส สพฺพํ ปริชนํ ปริเทวมานํ อนาทิยิตฺวา อิสิปตนํ คนฺตฺวา ปเจฺจกพุทฺธานํ สนฺติเก ปพฺพชิฯ ตสฺส อุฬารเสนาสนํ น ปาปุณาติ, มญฺจเก ตฎฺฎิกํ อตฺถริตฺวา สยิฯ โส วรสยเน กตปริจโย สพฺพรตฺติํ อติทุกฺขิโต อโหสิฯ ปภาเต สรีรปริกมฺมํ กตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ปเจฺจกพุเทฺธหิ สทฺธิํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ ตตฺถ วุฑฺฒา อคฺคาสนญฺจ อคฺคปิณฺฑญฺจ ลภนฺติ, นวกา ยํกิญฺจิเทว อาสนลูขํ โภชนญฺจฯ โส เตน ลูขโภชเนนาปิ อติทุกฺขิโต อโหสิฯ โส กติปาหํเยว กิโส ทุพฺพโณฺณ หุตฺวา นิพฺพิชฺชิ, ยถา ตํ อปริปกฺกคเต สมณธเมฺมฯ ตโต มาตาปิตูนํ ทูตํ เปเสตฺวา อุปฺปพฺพชิฯ โส กติปาหํเยว พลํ คเหตฺวา ปุนปิ ปพฺพชิตุกาโม อโหสิ, ตโต ทุติยมฺปิ ปพฺพชิตฺวา ปุนปิ อุปฺปพฺพชิฯ ตติยวาเร ปน ปพฺพชิตฺวา สมฺมา ปฎิปโนฺน วิปสฺสิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ วตฺวา ปุน ปเจฺจกพุทฺธานํ มเชฺฌ อิมเมว พฺยากรณคาถมฺปิ อภาสิฯ

    106.Kāmā hi citrāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira seṭṭhiputto daharova seṭṭhiṭṭhānaṃ labhi. Tassa tiṇṇaṃ utūnaṃ anucchavikā tayo pāsādā ahesuṃ. So sabbasampattīhi devakumāro viya paricāreti. Atha so daharova samāno ‘‘pabbajissāmī’’ti mātāpitaro āpucchi, te naṃ nivārenti. So tatheva nibandhati. Punapi naṃ mātāpitaro ‘‘tvaṃ, tāta, sukhumālo, dukkarā pabbajjā, khuradhārāya upari caṅkamanasadisā’’ti nānappakārehi nivārenti. So tatheva nibandhati. Te cintesuṃ – ‘‘sacāyaṃ pabbajati, amhākaṃ domanassaṃ hoti. Sace naṃ nivārema, etassa domanassaṃ hoti. Apica amhākaṃ domanassaṃ hotu, mā ca etassā’’ti anujāniṃsu. Tato so sabbaṃ parijanaṃ paridevamānaṃ anādiyitvā isipatanaṃ gantvā paccekabuddhānaṃ santike pabbaji. Tassa uḷārasenāsanaṃ na pāpuṇāti, mañcake taṭṭikaṃ attharitvā sayi. So varasayane kataparicayo sabbarattiṃ atidukkhito ahosi. Pabhāte sarīraparikammaṃ katvā pattacīvaramādāya paccekabuddhehi saddhiṃ piṇḍāya pāvisi. Tattha vuḍḍhā aggāsanañca aggapiṇḍañca labhanti, navakā yaṃkiñcideva āsanalūkhaṃ bhojanañca. So tena lūkhabhojanenāpi atidukkhito ahosi. So katipāhaṃyeva kiso dubbaṇṇo hutvā nibbijji, yathā taṃ aparipakkagate samaṇadhamme. Tato mātāpitūnaṃ dūtaṃ pesetvā uppabbaji. So katipāhaṃyeva balaṃ gahetvā punapi pabbajitukāmo ahosi, tato dutiyampi pabbajitvā punapi uppabbaji. Tatiyavāre pana pabbajitvā sammā paṭipanno vipassitvā paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ vatvā puna paccekabuddhānaṃ majjhe imameva byākaraṇagāthampi abhāsi.

    ตตฺถ กามาติ เทฺว กามา วตฺถุกาโม จ กิเลสกาโม จฯ ตตฺถ วตฺถุกาโม นาม ปิยรูปาทิอารมฺมณธโมฺม, กิเลสกาโม นาม สโพฺพ ราคปฺปเภโทฯ อิธ ปน วตฺถุกาโม อธิเปฺปโตฯ รูปาทิอเนกปฺปการวเสน จิตฺราฯ โลกสฺสาทวเสน มธุรา ฯ พาลปุถุชฺชนานํ มนํ รมาเปนฺตีติ มโนรมาฯ วิรูปรูเปนาติ วิวิเธน รูเปน, อเนกวิเธน สภาเวนาติ วุตฺตํ โหติฯ เต หิ รูปาทิวเสน จิตฺรา, รูปาทีสุปิ นีลาทิวเสน วิวิธรูปาฯ เอวํ เตน เตน วิรูปรูเปน ตถา ตถา อสฺสาทํ ทเสฺสตฺวา มเถนฺติ จิตฺตํ, ปพฺพชฺชาย อภิรมิตุํ น เทนฺตีติฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ นิคมนมฺปิ ทฺวีหิ ตีหิ วา ปเทหิ โยเชตฺวา ปุริมคาถาสุ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Tattha kāmāti dve kāmā vatthukāmo ca kilesakāmo ca. Tattha vatthukāmo nāma piyarūpādiārammaṇadhammo, kilesakāmo nāma sabbo rāgappabhedo. Idha pana vatthukāmo adhippeto. Rūpādianekappakāravasena citrā. Lokassādavasena madhurā. Bālaputhujjanānaṃ manaṃ ramāpentīti manoramā. Virūparūpenāti vividhena rūpena, anekavidhena sabhāvenāti vuttaṃ hoti. Te hi rūpādivasena citrā, rūpādīsupi nīlādivasena vividharūpā. Evaṃ tena tena virūparūpena tathā tathā assādaṃ dassetvā mathenti cittaṃ, pabbajjāya abhiramituṃ na dentīti. Sesamettha pākaṭameva. Nigamanampi dvīhi tīhi vā padehi yojetvā purimagāthāsu vuttanayeneva veditabbanti.

    กามคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kāmagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๐๗. อีตี จาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร รโญฺญ คโณฺฑ อุทปาทิ, พาฬฺหา เวทนา วฑฺฒนฺติฯ เวชฺชา ‘‘สตฺถกเมฺมน วินา ผาสุ น โหตี’’ติ ภณนฺติ ฯ ราชา เตสํ อภยํ ทตฺวา สตฺถกมฺมํ การาเปสิฯ เต ตํ ผาเลตฺวา ปุพฺพโลหิตํ นีหริตฺวา นิเวทนํ กตฺวา วณํ ปิโลติเกน พนฺธิํสุฯ ลูขมํสาหาเรสุ จ นํ สมฺมา โอวทิํสุฯ ราชา ลูขโภชเนน กิสสรีโร อโหสิ, คโณฺฑ จสฺส มิลายิฯ โส ผาสุกสญฺญี หุตฺวา สินิทฺธาหารํ ภุญฺชิ, เตน สญฺชาตพโล วิสเยเยว ปฎิเสวิ, ตสฺส คโณฺฑ ปุริมสภาวเมว สมฺปาปุณิฯ เอวํ ยาว ติกฺขตฺตุํ สตฺถกมฺมํ การาเปตฺวา เวเชฺชหิ ปริวชฺชิโต นิพฺพินฺทิตฺวา มหารชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา สตฺตหิ วเสฺสหิ ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ ภาสิตฺวา นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมาสิฯ

    107.Ītī cāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira rañño gaṇḍo udapādi, bāḷhā vedanā vaḍḍhanti. Vejjā ‘‘satthakammena vinā phāsu na hotī’’ti bhaṇanti . Rājā tesaṃ abhayaṃ datvā satthakammaṃ kārāpesi. Te taṃ phāletvā pubbalohitaṃ nīharitvā nivedanaṃ katvā vaṇaṃ pilotikena bandhiṃsu. Lūkhamaṃsāhāresu ca naṃ sammā ovadiṃsu. Rājā lūkhabhojanena kisasarīro ahosi, gaṇḍo cassa milāyi. So phāsukasaññī hutvā siniddhāhāraṃ bhuñji, tena sañjātabalo visayeyeva paṭisevi, tassa gaṇḍo purimasabhāvameva sampāpuṇi. Evaṃ yāva tikkhattuṃ satthakammaṃ kārāpetvā vejjehi parivajjito nibbinditvā mahārajjaṃ pahāya pabbajitvā araññaṃ pavisitvā vipassanaṃ ārabhitvā sattahi vassehi paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ bhāsitvā nandamūlakapabbhāraṃ agamāsi.

    ตตฺถ เอตีติ อีติ, อาคนฺตุกานํ อกุสลภาคีนํ พฺยสนเหตูนํ เอตํ อธิวจนํฯ ตสฺมา กามคุณาปิ เอเต อเนกพฺยสนาวหเฎฺฐน อนตฺถานํ สนฺนิปาตเฎฺฐน จ อีติฯ คโณฺฑปิ อสุจิํ ปคฺฆรติ, อุทฺธุมาตปริปกฺกปริภิโนฺน โหติฯ ตสฺมา เอเต กิเลสาสุจิปคฺฆรณโต อุปฺปาทชราภเงฺคหิ อุทฺธุมาตปริปกฺกปริภินฺนภาวโต จ คโณฺฑฯ อุปทฺทวตีติ อุปทฺทโว, อนตฺถํ ชเนโนฺต อภิภวติ อโชฺฌตฺถรตีติ อโตฺถ, ราคคณฺฑาทีนเมตมธิวจนํฯ ตสฺมา กามคุณาเปเต อวิทิตนิพฺพานตฺถาวหเหตุตาย สพฺพุปทฺทวกมฺมปริวตฺถุตาย จ อุปทฺทโวฯ ยสฺมา ปเนเต กิเลสาตุรภาวํ ชเนนฺตา สีลสงฺขาตํ อาโรคฺยํ โลลุปฺปํ วา อุปฺปาเทนฺตา ปากติกเมว อาโรคฺยํ วิลุมฺปนฺติ, ตสฺมา อิมินา อาโรคฺยวิลุมฺปนเฎฺฐน โรโคฯ อพฺภนฺตรมนุปวิฎฺฐเฎฺฐน ปน อโนฺตตุทนเฎฺฐน จ ทุนฺนีหรณียเฎฺฐน จ สลฺลํฯ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกภยาวหนโต ภยํฯ เม เอตนฺติ เมตํฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ นิคมนมฺปิ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Tattha etīti īti, āgantukānaṃ akusalabhāgīnaṃ byasanahetūnaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Tasmā kāmaguṇāpi ete anekabyasanāvahaṭṭhena anatthānaṃ sannipātaṭṭhena ca īti. Gaṇḍopi asuciṃ paggharati, uddhumātaparipakkaparibhinno hoti. Tasmā ete kilesāsucipaggharaṇato uppādajarābhaṅgehi uddhumātaparipakkaparibhinnabhāvato ca gaṇḍo. Upaddavatīti upaddavo, anatthaṃ janento abhibhavati ajjhottharatīti attho, rāgagaṇḍādīnametamadhivacanaṃ. Tasmā kāmaguṇāpete aviditanibbānatthāvahahetutāya sabbupaddavakammaparivatthutāya ca upaddavo. Yasmā panete kilesāturabhāvaṃ janentā sīlasaṅkhātaṃ ārogyaṃ loluppaṃ vā uppādentā pākatikameva ārogyaṃ vilumpanti, tasmā iminā ārogyavilumpanaṭṭhena rogo. Abbhantaramanupaviṭṭhaṭṭhena pana antotudanaṭṭhena ca dunnīharaṇīyaṭṭhena ca sallaṃ. Diṭṭhadhammikasamparāyikabhayāvahanato bhayaṃ. Me etanti metaṃ. Sesamettha pākaṭameva. Nigamanampi vuttanayeneva veditabbanti.

    อีติคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ītigāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๐๘. สีตญฺจาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร สีตาลุกพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อโหสิฯ โส ปพฺพชิตฺวา อรเญฺญ ติณกุฎิกาย วิหรติฯ ตสฺมิญฺจ ปเทเส สีเต สีตํ, อุเณฺห ทณฺหเมว โหติ อโพฺภกาสตฺตา ปเทสสฺสฯ โคจรคาเม ภิกฺขา ยาวทตฺถํ น ลพฺภติ, ปานียมฺปิ ทุลฺลภํ, วาตาตปฑํสสรีสปาปิ พาเธนฺติฯ ตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อิโต อฑฺฒโยชนมเตฺต สมฺปโนฺน ปเทโส, ตตฺถ สเพฺพปิ เอเต ปริสฺสยา นตฺถิ, ยํนูนาหํ ตตฺถ คเจฺฉยฺยํ, ผาสุกํ วิหรเนฺตน สกฺกา สุขมธิคนฺตุ’’นฺติ? ตสฺส ปุน อโหสิ – ‘‘ปพฺพชิตา นาม น ปจฺจยคิทฺธา โหนฺติ, เอวรูปญฺจ จิตฺตํ อตฺตโน วเส วตฺตาเปนฺติ, น จิตฺตสฺส วเส วตฺตนฺติ, นาหํ คมิสฺสามี’’ติ เอวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา น อคมาสิฯ เอวํ ยาวตติยกํ อุปฺปนฺนจิตฺตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา นิวเตฺตสิฯ ตโต ตเตฺถว สตฺต วสฺสานิ วสิตฺวา สมฺมา ปฎิปชฺชมาโน ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ ภาสิตฺวา นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมาสิฯ

    108.Sītañcāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira sītālukabrahmadatto nāma rājā ahosi. So pabbajitvā araññe tiṇakuṭikāya viharati. Tasmiñca padese sīte sītaṃ, uṇhe daṇhameva hoti abbhokāsattā padesassa. Gocaragāme bhikkhā yāvadatthaṃ na labbhati, pānīyampi dullabhaṃ, vātātapaḍaṃsasarīsapāpi bādhenti. Tassa etadahosi – ‘‘ito aḍḍhayojanamatte sampanno padeso, tattha sabbepi ete parissayā natthi, yaṃnūnāhaṃ tattha gaccheyyaṃ, phāsukaṃ viharantena sakkā sukhamadhigantu’’nti? Tassa puna ahosi – ‘‘pabbajitā nāma na paccayagiddhā honti, evarūpañca cittaṃ attano vase vattāpenti, na cittassa vase vattanti, nāhaṃ gamissāmī’’ti evaṃ paccavekkhitvā na agamāsi. Evaṃ yāvatatiyakaṃ uppannacittaṃ paccavekkhitvā nivattesi. Tato tattheva satta vassāni vasitvā sammā paṭipajjamāno paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ bhāsitvā nandamūlakapabbhāraṃ agamāsi.

    ตตฺถ สีตญฺจาติ สีตํ ทุวิธํ อพฺภนฺตรธาตุโกฺขภปจฺจยญฺจ พาหิรธาตุโกฺขภปจฺจยญฺจ, ตถา อุณฺหมฺปิฯ ฑํสาติ ปิงฺคลมกฺขิกาฯ สรีสปาติ เย เกจิ ทีฆชาติกา สรนฺตา คจฺฉนฺติฯ เสสํ ปากฎเมวฯ นิคมนมฺปิ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Tattha sītañcāti sītaṃ duvidhaṃ abbhantaradhātukkhobhapaccayañca bāhiradhātukkhobhapaccayañca, tathā uṇhampi. Ḍaṃsāti piṅgalamakkhikā. Sarīsapāti ye keci dīghajātikā sarantā gacchanti. Sesaṃ pākaṭameva. Nigamanampi vuttanayeneva veditabbanti.

    สีตาลุกคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sītālukagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๐๙. นาโควาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อญฺญตโร ราชา วีสติ วสฺสานิ รชฺชํ กาเรตฺวา กาลงฺกโต นิรเย วีสติ วสฺสานิ เอว ปจฺจิตฺวา, หิมวนฺตปฺปเทเส หตฺถิโยนิยํ อุปฺปชฺชิตฺวา สญฺชาตกฺขโนฺธ ปทุมวณฺณสกลสรีโร อุฬาโร ยูถปติ มหานาโค อโหสิฯ ตสฺส โอภโคฺคภคฺคสาขาภงฺคานิ หตฺถิฉาปาว ขาทนฺติ, โอคาเหปิ นํ หตฺถินิโย กทฺทเมน วิลิมฺปิํสุ, สพฺพํ ปาลิเลยฺยกนาคเสฺสว อโหสิฯ โส ยูถา นิพฺพิชฺชิตฺวา ปกฺกามิฯ ตโต นํ ปทานุสาเรน ยูถา อนุพนฺธนฺติ, เอวํ ยาวตติยํ ปกฺกนฺตมฺปิ อนุพนฺธิํสุเยวฯ ตโต จิเนฺตสิ ‘‘อิทานิ มยฺหํ นตฺตโก พาราณสิยํ รชฺชํ กาเรติ, ยํนูนาหํ อตฺตโน ปุริมชาติยา อุยฺยานํ คเจฺฉยฺยํฯ ตตฺร โส มํ รกฺขิสฺสตี’’ติฯ ตโต รตฺติยํ นิทฺทุปคเต ยูเถ ยูถํ ปหาย ตเมว อุยฺยานํ ปาวิสิฯ อุยฺยานปาโล ทิสฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘หตฺถิํ คเหสฺสามี’’ติ เสนาย ปริวาเรสิฯ หตฺถี ราชานเมว อภิมุโข คจฺฉติฯ ราชา ‘‘มํ อภิมุโข เอตี’’ติ ขุรปฺปํ สนฺนยฺหิตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตโต หตฺถี ‘‘วิเชฺฌยฺยาปิ มํ เอโส’’ติ มานุสิกาย วาจาย ‘‘พฺรหฺมทตฺต, มา มํ วิชฺฌ, อหํ เต อยฺยโก’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘กิํ ภณสี’’ติ สพฺพํ ปุจฺฉิฯ หตฺถีปิ รเชฺช จ นรเก จ หตฺถิโยนิยญฺจ ปวตฺติํ สพฺพํ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘สุนฺทรํ มา ภายิ, มา กญฺจิ ภิํสาเปหี’’ติ หตฺถิโน วฎฺฎญฺจ อารกฺขเก จ หตฺถิภเณฺฑ จ อุปฎฺฐาเปสิฯ

    109.Nāgovāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira aññataro rājā vīsati vassāni rajjaṃ kāretvā kālaṅkato niraye vīsati vassāni eva paccitvā, himavantappadese hatthiyoniyaṃ uppajjitvā sañjātakkhandho padumavaṇṇasakalasarīro uḷāro yūthapati mahānāgo ahosi. Tassa obhaggobhaggasākhābhaṅgāni hatthichāpāva khādanti, ogāhepi naṃ hatthiniyo kaddamena vilimpiṃsu, sabbaṃ pālileyyakanāgasseva ahosi. So yūthā nibbijjitvā pakkāmi. Tato naṃ padānusārena yūthā anubandhanti, evaṃ yāvatatiyaṃ pakkantampi anubandhiṃsuyeva. Tato cintesi ‘‘idāni mayhaṃ nattako bārāṇasiyaṃ rajjaṃ kāreti, yaṃnūnāhaṃ attano purimajātiyā uyyānaṃ gaccheyyaṃ. Tatra so maṃ rakkhissatī’’ti. Tato rattiyaṃ niddupagate yūthe yūthaṃ pahāya tameva uyyānaṃ pāvisi. Uyyānapālo disvā rañño ārocesi. Rājā ‘‘hatthiṃ gahessāmī’’ti senāya parivāresi. Hatthī rājānameva abhimukho gacchati. Rājā ‘‘maṃ abhimukho etī’’ti khurappaṃ sannayhitvā aṭṭhāsi. Tato hatthī ‘‘vijjheyyāpi maṃ eso’’ti mānusikāya vācāya ‘‘brahmadatta, mā maṃ vijjha, ahaṃ te ayyako’’ti āha. Rājā ‘‘kiṃ bhaṇasī’’ti sabbaṃ pucchi. Hatthīpi rajje ca narake ca hatthiyoniyañca pavattiṃ sabbaṃ ārocesi. Rājā ‘‘sundaraṃ mā bhāyi, mā kañci bhiṃsāpehī’’ti hatthino vaṭṭañca ārakkhake ca hatthibhaṇḍe ca upaṭṭhāpesi.

    อเถกทิวสํ ราชา หตฺถิกฺขนฺธวรคโต ‘‘อยํ วีสติ วสฺสานิ รชฺชํ กาเรตฺวา นิรเย ปจฺจิตฺวา ปกฺกาวเสเสน ติรจฺฉานโยนิยํ อุปฺปโนฺน, ตตฺถาปิ คณสํวาสสงฺฆฎฺฎนํ อสหโนฺต อิธาคโตสิ, อโห ทุโกฺขว คณสํวาโส, เอกีภาโว เอว ปน สุโข’’ติ จิเนฺตตฺวา ตเตฺถว วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ตํ โลกุตฺตรสุเขน สุขิตํ อมจฺจา อุปสงฺกมิตฺวา ปณิปาตํ กตฺวา ‘‘ยานกาโล, มหาราชา’’ติ อาหํสุฯ ตโต ‘‘นาหํ, ราชา’’ติ วตฺวา ปุริมนเยเนว อิมํ คาถมภาสิฯ สา ปทตฺถโต ปากฎา เอวฯ

    Athekadivasaṃ rājā hatthikkhandhavaragato ‘‘ayaṃ vīsati vassāni rajjaṃ kāretvā niraye paccitvā pakkāvasesena tiracchānayoniyaṃ uppanno, tatthāpi gaṇasaṃvāsasaṅghaṭṭanaṃ asahanto idhāgatosi, aho dukkhova gaṇasaṃvāso, ekībhāvo eva pana sukho’’ti cintetvā tattheva vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchākāsi. Taṃ lokuttarasukhena sukhitaṃ amaccā upasaṅkamitvā paṇipātaṃ katvā ‘‘yānakālo, mahārājā’’ti āhaṃsu. Tato ‘‘nāhaṃ, rājā’’ti vatvā purimanayeneva imaṃ gāthamabhāsi. Sā padatthato pākaṭā eva.

    อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปายโยชนา – สา จ โข ยุตฺติวเสเนว, น อนุสฺสววเสนฯ ยถา อยํ หตฺถี อริยกเนฺตสุ สีเลสุ ทนฺตตฺตา อทนฺตภูมิํ นาคจฺฉตีติ วา, สรีรมหนฺตตาย วา นาโค, เอวํ กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ อริยกเนฺตสุ สีเลสุ ทนฺตตฺตา อทนฺตภูมิํ นาคมเนน, อาคุมกรเณน, ปุน อิตฺถตฺตํ อนาคมเนน จ คุณสรีรมหนฺตตาย วา นาโค ภเวยฺยํฯ ยถา เจส ยูถานิ วิวชฺชยิตฺวา เอกจริยสุเขน ยถาภิรนฺตํ วิหรํ อรเญฺญ เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป, กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ เอวํ คณํ วิวเชฺชตฺวา เอกวิหารสุเขน ยถาภิรนฺตํ วิหรํ อรเญฺญ อตฺตโน ยถา ยถา สุขํ, ตถา ตถา ยตฺตกํ วา อิจฺฉามิ, ตตฺตกํ อรเญฺญ นิวาสํ เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺป เอโก จเรยฺยนฺติ อโตฺถฯ ยถา เจส สุสณฺฐิตกฺขนฺธมหนฺตตาย สญฺชาตกฺขโนฺธ, กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ เอวํ อเสขสีลกฺขนฺธมหนฺตตาย สญฺชาตกฺขโนฺธ ภเวยฺยํฯ ยถา เจส ปทุมสทิสคตฺตตาย วา, ปทุมกุเล อุปฺปนฺนตาย วา ปทุมี, กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ เอวํ ปทุมสทิสอุชุกตาย วา, อริยชาติปทุเม อุปฺปนฺนตาย วา ปทุมี ภเวยฺยํฯ ยถา เจส ถามพลาทีหิ อุฬาโร, กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ เอวํ ปริสุทฺธกายสมาจารตาทีหิ สีลสมาธินิเพฺพธิกปญฺญาทีหิ วา อุฬาโร ภเวยฺยนฺติฯ เอวํ จิเนฺตโนฺต วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ อธิคโตมฺหีติฯ

    Ayaṃ panettha adhippāyayojanā – sā ca kho yuttivaseneva, na anussavavasena. Yathā ayaṃ hatthī ariyakantesu sīlesu dantattā adantabhūmiṃ nāgacchatīti vā, sarīramahantatāya vā nāgo, evaṃ kudāssu nāmāhampi ariyakantesu sīlesu dantattā adantabhūmiṃ nāgamanena, āgumakaraṇena, puna itthattaṃ anāgamanena ca guṇasarīramahantatāya vā nāgo bhaveyyaṃ. Yathā cesa yūthāni vivajjayitvā ekacariyasukhena yathābhirantaṃ viharaṃ araññe eko care khaggavisāṇakappo, kudāssu nāmāhampi evaṃ gaṇaṃ vivajjetvā ekavihārasukhena yathābhirantaṃ viharaṃ araññe attano yathā yathā sukhaṃ, tathā tathā yattakaṃ vā icchāmi, tattakaṃ araññe nivāsaṃ eko care khaggavisāṇakappo eko careyyanti attho. Yathā cesa susaṇṭhitakkhandhamahantatāya sañjātakkhandho, kudāssu nāmāhampi evaṃ asekhasīlakkhandhamahantatāya sañjātakkhandho bhaveyyaṃ. Yathā cesa padumasadisagattatāya vā, padumakule uppannatāya vā padumī, kudāssu nāmāhampi evaṃ padumasadisaujukatāya vā, ariyajātipadume uppannatāya vā padumī bhaveyyaṃ. Yathā cesa thāmabalādīhi uḷāro, kudāssu nāmāhampi evaṃ parisuddhakāyasamācāratādīhi sīlasamādhinibbedhikapaññādīhi vā uḷāro bhaveyyanti. Evaṃ cintento vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ adhigatomhīti.

    นาคคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nāgagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๑๐. อฎฺฐานตนฺติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิรโญฺญ กิร ปุโตฺต ทหโร เอว สมาโน ปพฺพชิตุกาโม มาตาปิตโร ยาจิฯ มาตาปิตโร นํ นิวาเรนฺติฯ โส นิวาริยมาโนปิ นิพนฺธติเยว ‘‘ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ตโต ปุเพฺพ วุตฺตเสฎฺฐิปุตฺตํ วิย สพฺพํ วตฺวา อนุชานิํสุฯ ‘‘ปพฺพชิตฺวา จ อุยฺยาเนเยว วสิตพฺพ’’นฺติ ปฎิชานาเปสุํ, โส ตถา อกาสิฯ ตสฺส มาตา ปาโตว วีสติสหสฺสนาฎกิตฺถิปริวุตา อุยฺยานํ คนฺตฺวา ปุตฺตํ ยาคุํ ปาเยตฺวา อนฺตรา ขชฺชกาทีนิ จ ขาทาเปตฺวา ยาว มชฺฌนฺหิกสมยา เตน สทฺธิํ สมุลฺลปิตฺวา นครํ ปวิสติฯ ปิตาปิ มชฺฌนฺหิเก อาคนฺตฺวา ตํ โภเชตฺวา อตฺตนาปิ ภุญฺชิตฺวา ทิวสํ เตน สทฺธิํ สมุลฺลปิตฺวา สายนฺหสมยํ ปฎิชคฺคนกปุริเส ฐเปตฺวา นครํ ปวิสติฯ โส เอวํ รตฺตินฺทิวํ อวิวิโตฺต วิหรติฯ

    110.Aṭṭhānatanti kā uppatti? Bārāṇasirañño kira putto daharo eva samāno pabbajitukāmo mātāpitaro yāci. Mātāpitaro naṃ nivārenti. So nivāriyamānopi nibandhatiyeva ‘‘pabbajissāmī’’ti. Tato pubbe vuttaseṭṭhiputtaṃ viya sabbaṃ vatvā anujāniṃsu. ‘‘Pabbajitvā ca uyyāneyeva vasitabba’’nti paṭijānāpesuṃ, so tathā akāsi. Tassa mātā pātova vīsatisahassanāṭakitthiparivutā uyyānaṃ gantvā puttaṃ yāguṃ pāyetvā antarā khajjakādīni ca khādāpetvā yāva majjhanhikasamayā tena saddhiṃ samullapitvā nagaraṃ pavisati. Pitāpi majjhanhike āgantvā taṃ bhojetvā attanāpi bhuñjitvā divasaṃ tena saddhiṃ samullapitvā sāyanhasamayaṃ paṭijagganakapurise ṭhapetvā nagaraṃ pavisati. So evaṃ rattindivaṃ avivitto viharati.

    เตน โข ปน สมเยน อาทิจฺจพนฺธุ นาม ปเจฺจกพุโทฺธ นนฺทมูลกปพฺภาเร วิหรติฯ โส อาวเชฺชโนฺต ตํ อทฺทส – ‘‘อยํ กุมาโร ปพฺพชิตุํ อสกฺขิ, ชฎํ ฉินฺทิตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ ตโต ปรํ อาวชฺชิ – ‘‘อตฺตโน ธมฺมตาย นิพฺพิชฺชิสฺสติ นุ โข, โน’’ติฯ อถ ‘‘ธมฺมตาย นิพฺพินฺทโนฺต อติจิรํ ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘ตสฺส อารมฺมณํ ทเสฺสสฺสามี’’ติ ปุริมนเยเนว มโนสิลาตลโต อาคนฺตฺวา อุยฺยาเน อฎฺฐาสิฯ ราชปริสา ทิสฺวา ‘‘ปเจฺจกพุโทฺธ อาคโต, มหาราชา’’ติ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘อิทานิ เม ปุโตฺต ปเจฺจกพุเทฺธน สทฺธิํ อนุกฺกณฺฐิโต วสิสฺสตี’’ติ ปมุทิตมโน หุตฺวา ปเจฺจกพุทฺธํ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหิตฺวา ตเตฺถว วาสํ ยาจิตฺวา ปณฺณสาลาทิวาวิหารจงฺกมาทิสพฺพํ กาเรตฺวา วาเสสิฯ โส ตตฺถ วสโนฺต เอกทิวสํ โอกาสํ ลภิตฺวา กุมารํ ปุจฺฉิ – ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ? ‘‘อหํ ปพฺพชิโต’’ติฯ ‘‘ปพฺพชิตา นาม น อีทิสา โหนฺตี’’ติฯ อถ ‘‘ภเนฺต, กีทิสา โหนฺติ, กิํ มยฺหํ อนนุจฺฉวิก’’นฺติ วุเตฺต ‘‘ตฺวํ อตฺตโน อนนุจฺฉวิกํ น เปกฺขสิ, นนุ เต มาตา วีสติสหสฺสิตฺถีติ สทฺธิํ ปุพฺพณฺหสมเย อาคจฺฉนฺตี อุยฺยานํ อวิวิตฺตํ กโรติ, ปิตา จสฺส มหตา พลกาเยน สายนฺหสมเย ชคฺคนกปริสา สกลํ รตฺติํ, ปพฺพชิตา นาม ตว สทิสา น โหนฺติ, อีทิสา ปน โหนฺตี’’ติ ตตฺถ ฐิตเสฺสว อิทฺธิยา หิมวเนฺต อญฺญตรํ วิหารํ ทเสฺสสิฯ โส ตตฺถ ปเจฺจกพุเทฺธ อาลมฺพนผลกํ นิสฺสาย ฐิเต จ จงฺกมเนฺต จ รชนกกมฺมสูจิกมฺมาทีนิ กโรเนฺต จ ทิสฺวา อาห – ‘‘ตุเมฺห อิธ นาคจฺฉถ, ปพฺพชฺชา จ ตุเมฺหหิ อนุญฺญาตา’’ติ ? ‘‘อาม, ปพฺพชฺชา อนุญฺญาตา, ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย สมณา นาม อตฺตโน นิสฺสรณํ กาตุํ, ปเทสญฺจ อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ คนฺตุํ ลภนฺติ, เอตฺตกํว วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา อากาเส ฐตฺวา อฎฺฐาน ตํ สงฺคณิการตสฺส, ยํ ผสฺสเย สามยิกํ วิมุตฺตินฺติ อิมํ อุปฑฺฒุคาถํ วตฺวา ทิสฺสมาโนเยว อากาเสน นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมาสิฯ เอวํ คเต ปเจฺจกพุเทฺธ โส อตฺตโน ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา นิปชฺชิฯ อารกฺขปุริโสปิ ‘‘สยิโต กุมาโร, อิทานิ กุหิํ คมิสฺสตี’’ติ ปมโตฺต นิทฺทํ โอกฺกมิฯ โส ตสฺส ปมตฺตภาวํ ญตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อรญฺญํ ปาวิสิฯ ตตฺร จ ฐิโต วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา ปเจฺจกพุทฺธฎฺฐานํ คโตฯ ตตฺร จ ‘‘กถมธิคต’’นฺติ ปุจฺฉิโต อาทิจฺจพนฺธุนา วุตฺตํ อุปฑฺฒคาถํ ปริปุณฺณํ กตฺวา อภาสิฯ

    Tena kho pana samayena ādiccabandhu nāma paccekabuddho nandamūlakapabbhāre viharati. So āvajjento taṃ addasa – ‘‘ayaṃ kumāro pabbajituṃ asakkhi, jaṭaṃ chindituṃ na sakkotī’’ti. Tato paraṃ āvajji – ‘‘attano dhammatāya nibbijjissati nu kho, no’’ti. Atha ‘‘dhammatāya nibbindanto aticiraṃ bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘tassa ārammaṇaṃ dassessāmī’’ti purimanayeneva manosilātalato āgantvā uyyāne aṭṭhāsi. Rājaparisā disvā ‘‘paccekabuddho āgato, mahārājā’’ti ārocesi. Rājā ‘‘idāni me putto paccekabuddhena saddhiṃ anukkaṇṭhito vasissatī’’ti pamuditamano hutvā paccekabuddhaṃ sakkaccaṃ upaṭṭhahitvā tattheva vāsaṃ yācitvā paṇṇasālādivāvihāracaṅkamādisabbaṃ kāretvā vāsesi. So tattha vasanto ekadivasaṃ okāsaṃ labhitvā kumāraṃ pucchi – ‘‘kosi tva’’nti? ‘‘Ahaṃ pabbajito’’ti. ‘‘Pabbajitā nāma na īdisā hontī’’ti. Atha ‘‘bhante, kīdisā honti, kiṃ mayhaṃ ananucchavika’’nti vutte ‘‘tvaṃ attano ananucchavikaṃ na pekkhasi, nanu te mātā vīsatisahassitthīti saddhiṃ pubbaṇhasamaye āgacchantī uyyānaṃ avivittaṃ karoti, pitā cassa mahatā balakāyena sāyanhasamaye jagganakaparisā sakalaṃ rattiṃ, pabbajitā nāma tava sadisā na honti, īdisā pana hontī’’ti tattha ṭhitasseva iddhiyā himavante aññataraṃ vihāraṃ dassesi. So tattha paccekabuddhe ālambanaphalakaṃ nissāya ṭhite ca caṅkamante ca rajanakakammasūcikammādīni karonte ca disvā āha – ‘‘tumhe idha nāgacchatha, pabbajjā ca tumhehi anuññātā’’ti ? ‘‘Āma, pabbajjā anuññātā, pabbajitakālato paṭṭhāya samaṇā nāma attano nissaraṇaṃ kātuṃ, padesañca icchitaṃ patthitaṃ gantuṃ labhanti, ettakaṃva vaṭṭatī’’ti vatvā ākāse ṭhatvā aṭṭhāna taṃ saṅgaṇikāratassa, yaṃ phassaye sāmayikaṃ vimuttinti imaṃ upaḍḍhugāthaṃ vatvā dissamānoyeva ākāsena nandamūlakapabbhāraṃ agamāsi. Evaṃ gate paccekabuddhe so attano paṇṇasālaṃ pavisitvā nipajji. Ārakkhapurisopi ‘‘sayito kumāro, idāni kuhiṃ gamissatī’’ti pamatto niddaṃ okkami. So tassa pamattabhāvaṃ ñatvā pattacīvaramādāya araññaṃ pāvisi. Tatra ca ṭhito vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchikatvā paccekabuddhaṭṭhānaṃ gato. Tatra ca ‘‘kathamadhigata’’nti pucchito ādiccabandhunā vuttaṃ upaḍḍhagāthaṃ paripuṇṇaṃ katvā abhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – อฎฺฐาน ตนฺติ อฎฺฐานํ ตํ, อการณํ ตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อนุนาสิกโลโป กโต ‘‘อริยสจฺจาน ทสฺสน’’นฺติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๕.๑๑; สุ. นิ. ๒๗๐) วิยฯ สงฺคณิการตสฺสาติ คณาภิรตสฺสฯ นฺติ การณวจนเมตํ ‘‘ยํ หิรียติ หิรียิตเพฺพนา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๓๐) วิยฯ ผสฺสเยติ อธิคเจฺฉฯ สามยิกํ วิมุตฺตินฺติ โลกิยสมาปตฺติํฯ สา หิ อปฺปิตปฺปิตสมเย เอว ปจฺจตฺถิเกหิ วิมุจฺจนโต ‘‘สามยิกา วิมุตฺตี’’ติ วุจฺจติฯ ตํ สามยิกํ วิมุตฺติํฯ อฎฺฐานํ ตํ, น ตํ การณํ วิชฺชติ สงฺคณิการตสฺส, เยน การเณน วิมุตฺติํ ผสฺสเย อิติ เอตํ อาทิจฺจพนฺธุสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส วโจ นิสมฺม สงฺคณิการติํ ปหาย โยนิโส ปฎิปชฺชโนฺต อธิคโตมฺหีติ อาหฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tassattho – aṭṭhāna tanti aṭṭhānaṃ taṃ, akāraṇaṃ tanti vuttaṃ hoti. Anunāsikalopo kato ‘‘ariyasaccāna dassana’’ntiādīsu (khu. pā. 5.11; su. ni. 270) viya. Saṅgaṇikāratassāti gaṇābhiratassa. Yanti kāraṇavacanametaṃ ‘‘yaṃ hirīyati hirīyitabbenā’’tiādīsu (dha. sa. 30) viya. Phassayeti adhigacche. Sāmayikaṃ vimuttinti lokiyasamāpattiṃ. Sā hi appitappitasamaye eva paccatthikehi vimuccanato ‘‘sāmayikā vimuttī’’ti vuccati. Taṃ sāmayikaṃ vimuttiṃ. Aṭṭhānaṃ taṃ, na taṃ kāraṇaṃ vijjati saṅgaṇikāratassa, yena kāraṇena vimuttiṃ phassaye iti etaṃ ādiccabandhussa paccekabuddhassa vaco nisamma saṅgaṇikāratiṃ pahāya yoniso paṭipajjanto adhigatomhīti āha. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อฎฺฐานคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Aṭṭhānagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ทุติยวโคฺค นิฎฺฐิโตฯ

    Dutiyavaggo niṭṭhito.

    ๑๑๑. ทิฎฺฐีวิสูกานีติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร พาราณสิราชา รโหคโต จิเนฺตสิ – ‘‘ยถา สีตาทีนํ ปฎิฆาตกานิ อุณฺหาทีนิ อตฺถิ, อตฺถิ นุ โข เอวํ วฎฺฎปฎิฆาตกํ วิวฎฺฎํ, โน’’ติ? โส อมเจฺจ ปุจฺฉิ – ‘‘วิวฎฺฎํ ชานาถา’’ติ? เต ‘‘ชานาม, มหาราชา’’ติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘กิํ ต’’นฺติ? ตโต ‘‘อนฺตวา โลโก’’ติอาทินา นเยน สสฺสตุเจฺฉทํ กเถสุํฯ ราชา ‘‘อิเม น ชานนฺติ, สเพฺพปิเม ทิฎฺฐิคติกา’’ติ สยเมว เตสํ วิโลมตญฺจ อยุตฺตตญฺจ ทิสฺวา ‘‘วฎฺฎปฎิฆาตกํ วิวฎฺฎํ อตฺถิ, ตํ คเวสิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ อิมญฺจ อุทานคาถํ อภาสิ ปเจฺจกพุทฺธานํ มเชฺฌ พฺยากรณคาถญฺจฯ

    111.Diṭṭhīvisūkānīti kā uppatti? Aññataro kira bārāṇasirājā rahogato cintesi – ‘‘yathā sītādīnaṃ paṭighātakāni uṇhādīni atthi, atthi nu kho evaṃ vaṭṭapaṭighātakaṃ vivaṭṭaṃ, no’’ti? So amacce pucchi – ‘‘vivaṭṭaṃ jānāthā’’ti? Te ‘‘jānāma, mahārājā’’ti āhaṃsu. Rājā ‘‘kiṃ ta’’nti? Tato ‘‘antavā loko’’tiādinā nayena sassatucchedaṃ kathesuṃ. Rājā ‘‘ime na jānanti, sabbepime diṭṭhigatikā’’ti sayameva tesaṃ vilomatañca ayuttatañca disvā ‘‘vaṭṭapaṭighātakaṃ vivaṭṭaṃ atthi, taṃ gavesitabba’’nti cintetvā rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchākāsi. Imañca udānagāthaṃ abhāsi paccekabuddhānaṃ majjhe byākaraṇagāthañca.

    ตสฺสโตฺถ – ทิฎฺฐีวิสูกานีติ ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิคตานิฯ ตานิ หิ มคฺคสมฺมาทิฎฺฐิยา วิสูกเฎฺฐน วิชฺฌนเฎฺฐน วิโลมเฎฺฐน จ วิสูกานิ, เอวํ ทิฎฺฐิยา วิสูกานิ, ทิฎฺฐิ เอว วา วิสูกานิ ทิฎฺฐิวิสูกานิฯ อุปาติวโตฺตติ ทสฺสนมเคฺคน อติกฺกโนฺตฯ ปโตฺต นิยามนฺติ อวินิปาตธมฺมตาย สโมฺพธิปรายณตาย จ นิยตภาวํ อธิคโต, สมฺมตฺตนิยามสงฺขาตํ วา ปฐมมคฺคนฺติฯ เอตฺตาวตา ปฐมมคฺคกิจฺจนิปฺผตฺติ จ ตสฺส ปฎิลาโภ จ วุโตฺตฯ อิทานิ ปฎิลทฺธมโคฺคติ อิมินา เสสมคฺคปฎิลาภํ ทเสฺสติฯ อุปฺปนฺนญาโณมฺหีติ อุปฺปนฺนปเจฺจกโพธิญาโณ อมฺหิฯ เอเตน ผลํ ทเสฺสติฯ อนญฺญเนโยฺยติ อเญฺญหิ อิทํ สจฺจนฺติ น เนตโพฺพฯ เอเตน สยมฺภุตํ ทเสฺสติ, ปเตฺต วา ปเจฺจกโพธิญาเณ อญฺญเนยฺยตาย อภาวา สยํวสิตํฯ สมถวิปสฺสนาย วา ทิฎฺฐิวิสูกานิ อุปาติวโตฺต, อาทิมเคฺคน นิยามํ ปโตฺต, เสเสหิ ปฎิลทฺธมโคฺค, ผลญาเณน อุปฺปนฺนญาโณ, ตํ สพฺพํ อตฺตนาว อธิคโตติ อนญฺญเนโยฺยติฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติฯ

    Tassattho – diṭṭhīvisūkānīti dvāsaṭṭhidiṭṭhigatāni. Tāni hi maggasammādiṭṭhiyā visūkaṭṭhena vijjhanaṭṭhena vilomaṭṭhena ca visūkāni, evaṃ diṭṭhiyā visūkāni, diṭṭhi eva vā visūkāni diṭṭhivisūkāni. Upātivattoti dassanamaggena atikkanto. Patto niyāmanti avinipātadhammatāya sambodhiparāyaṇatāya ca niyatabhāvaṃ adhigato, sammattaniyāmasaṅkhātaṃ vā paṭhamamagganti. Ettāvatā paṭhamamaggakiccanipphatti ca tassa paṭilābho ca vutto. Idāni paṭiladdhamaggoti iminā sesamaggapaṭilābhaṃ dasseti. Uppannañāṇomhīti uppannapaccekabodhiñāṇo amhi. Etena phalaṃ dasseti. Anaññaneyyoti aññehi idaṃ saccanti na netabbo. Etena sayambhutaṃ dasseti, patte vā paccekabodhiñāṇe aññaneyyatāya abhāvā sayaṃvasitaṃ. Samathavipassanāya vā diṭṭhivisūkāni upātivatto, ādimaggena niyāmaṃ patto, sesehi paṭiladdhamaggo, phalañāṇena uppannañāṇo, taṃ sabbaṃ attanāva adhigatoti anaññaneyyoti. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbanti.

    ทิฎฺฐีวิสูกคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Diṭṭhīvisūkagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๑๒. นิโลฺลลุโปติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิรโญฺญ กิร สูโท อนฺตรภตฺตํ ปจิตฺวา อุปนาเมสิ มนุญฺญทสฺสนํ สาทุรสํ ‘‘อเปฺปว นาม เม ราชา ธนมนุปฺปาเทยฺยา’’ติฯ ตํ รโญฺญ คเนฺธเนว โภตฺตุกมฺยตํ ชเนสิ, มุเข เขฬํ อุปฺปาเทติฯ ปฐมกพเฬ ปน มุเข ปกฺขิตฺตมเตฺต สตฺตรสหรณิสหสฺสานิ อมเตเนว ผุสิตานิ อเหสุํฯ สูโท ‘‘อิทานิ เม ทสฺสติ, อิทานิ เม ทสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิฯ ราชาปิ ‘‘สกฺการารโห สูโท’’ติ จิเนฺตสิ, ‘‘รสํ สายิตฺวา ปน สกฺกโรนฺตํ มํ ปาปโก กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคเจฺฉยฺย ‘โลโล อยํ ราชา รสครุโก’’’ติ น กิญฺจิ อภณิฯ เอวํ ยาว โภชนปริโยสานํ, ตาว สูโท ‘‘อิทานิ ทสฺสติ, อิทานิ ทสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิฯ ราชาปิ อวณฺณภเยน น กิญฺจิ อภณิฯ ตโต สูโท ‘‘นตฺถิ มเญฺญ อิมสฺส รโญฺญ ชิวฺหาวิญฺญาณ’’นฺติฯ ทุติยทิวเส อสาทุรสํ อุปนาเมสิฯ ราชา ภุญฺชโนฺต ‘‘นิคฺคหารโห วต, โภ, อชฺช สูโท’’ติ ชานโนฺตปิ ปุเพฺพ วิย ปจฺจเวกฺขิตฺวา อวณฺณภเยน น กิญฺจิ อภณิฯ ตโต สูโท ‘‘ราชา เนว สุนฺทรํ นาสุนฺทรํ ชานาตี’’ติ จิเนฺตตฺวา สพฺพํ ปริพฺพยํ อตฺตนาว คเหตฺวา กิญฺจิเทว ปจิตฺวา รโญฺญ เทติฯ ราชา ‘‘อโห วต โลโภ, อหํ นาม วีสติ นครสหสฺสานิ ภุญฺชโนฺต อิมสฺส โลเภน ภตฺตมตฺตมฺปิ น ลภามี’’ติ นิพฺพิชฺชิตฺวา รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ปุริมนเยเนว อิมํ คาถํ อภาสิฯ

    112.Nillolupoti kā uppatti? Bārāṇasirañño kira sūdo antarabhattaṃ pacitvā upanāmesi manuññadassanaṃ sādurasaṃ ‘‘appeva nāma me rājā dhanamanuppādeyyā’’ti. Taṃ rañño gandheneva bhottukamyataṃ janesi, mukhe kheḷaṃ uppādeti. Paṭhamakabaḷe pana mukhe pakkhittamatte sattarasaharaṇisahassāni amateneva phusitāni ahesuṃ. Sūdo ‘‘idāni me dassati, idāni me dassatī’’ti cintesi. Rājāpi ‘‘sakkārāraho sūdo’’ti cintesi, ‘‘rasaṃ sāyitvā pana sakkarontaṃ maṃ pāpako kittisaddo abbhuggaccheyya ‘lolo ayaṃ rājā rasagaruko’’’ti na kiñci abhaṇi. Evaṃ yāva bhojanapariyosānaṃ, tāva sūdo ‘‘idāni dassati, idāni dassatī’’ti cintesi. Rājāpi avaṇṇabhayena na kiñci abhaṇi. Tato sūdo ‘‘natthi maññe imassa rañño jivhāviññāṇa’’nti. Dutiyadivase asādurasaṃ upanāmesi. Rājā bhuñjanto ‘‘niggahāraho vata, bho, ajja sūdo’’ti jānantopi pubbe viya paccavekkhitvā avaṇṇabhayena na kiñci abhaṇi. Tato sūdo ‘‘rājā neva sundaraṃ nāsundaraṃ jānātī’’ti cintetvā sabbaṃ paribbayaṃ attanāva gahetvā kiñcideva pacitvā rañño deti. Rājā ‘‘aho vata lobho, ahaṃ nāma vīsati nagarasahassāni bhuñjanto imassa lobhena bhattamattampi na labhāmī’’ti nibbijjitvā rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchākāsi. Purimanayeneva imaṃ gāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ นิโลฺลลุโปติ อโลลุโปฯ โย หิ รสตณฺหาภิภูโต โหติ, โส ภุสํ ลุปฺปติ ปุนปฺปุนํ ลุปฺปติ, เตน ‘‘โลลุโป’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมา เอส ตํ ปฎิกฺขิปโนฺต ‘‘นิโลฺลลุโป’’ติ อาหฯ นิกฺกุโหติ เอตฺถ กิญฺจาปิ ยสฺส ติวิธํ กุหนวตฺถุ นตฺถิ, โส ‘‘นิกฺกุโห’’ติ วุจฺจติฯ อิมิสฺสา ปน คาถาย มนุญฺญโภชนาทีสุ วิมฺหยมนาปชฺชนโต นิกฺกุโหติ อยมธิปฺปาโยฯ นิปฺปิปาโสติ เอตฺถ ปาตุมิจฺฉา ปิปาสา, ตสฺสา อภาเวน นิปฺปิปาโส, สาทุรสโลเภน โภตฺตุกมฺยตาวิรหิโตติ อโตฺถฯ นิมฺมโกฺขติ เอตฺถ ปรคุณวินาสนลกฺขโณ มโกฺข, ตสฺส อภาเวน นิมฺมโกฺขฯ อตฺตโน คิหิกาเล สูทสฺส คุณมกฺขนาภาวํ สนฺธายาหฯ นิทฺธนฺตกสาวโมโหติ เอตฺถ ราคาทโย ตโย กายทุจฺจริตาทีนิ จ ตีณีติ ฉ ธมฺมา ยถาสมฺภวํ อปฺปสนฺนเฎฺฐน สกภาวํ วิชหาเปตฺวา ปรภาวํ คณฺหาปนเฎฺฐน กสฎเฎฺฐน จ ‘‘กสาวา’’ติ เวทิตพฺพาฯ ยถาห –

    Tattha nillolupoti alolupo. Yo hi rasataṇhābhibhūto hoti, so bhusaṃ luppati punappunaṃ luppati, tena ‘‘lolupo’’ti vuccati. Tasmā esa taṃ paṭikkhipanto ‘‘nillolupo’’ti āha. Nikkuhoti ettha kiñcāpi yassa tividhaṃ kuhanavatthu natthi, so ‘‘nikkuho’’ti vuccati. Imissā pana gāthāya manuññabhojanādīsu vimhayamanāpajjanato nikkuhoti ayamadhippāyo. Nippipāsoti ettha pātumicchā pipāsā, tassā abhāvena nippipāso, sādurasalobhena bhottukamyatāvirahitoti attho. Nimmakkhoti ettha paraguṇavināsanalakkhaṇo makkho, tassa abhāvena nimmakkho. Attano gihikāle sūdassa guṇamakkhanābhāvaṃ sandhāyāha. Niddhantakasāvamohoti ettha rāgādayo tayo kāyaduccaritādīni ca tīṇīti cha dhammā yathāsambhavaṃ appasannaṭṭhena sakabhāvaṃ vijahāpetvā parabhāvaṃ gaṇhāpanaṭṭhena kasaṭaṭṭhena ca ‘‘kasāvā’’ti veditabbā. Yathāha –

    ‘‘ตตฺถ กตเม ตโย กสาวา? ราคกสาโว, โทสกสาโว, โมหกสาโวฯ อิเม ตโย กสาวาฯ ตตฺถ กตเม อปเรปิ ตโย กสาวา? กายกสาโว, วจีกสาโว, มโนกสาโว’’ติ (วิภ. ๙๒๔)ฯ

    ‘‘Tattha katame tayo kasāvā? Rāgakasāvo, dosakasāvo, mohakasāvo. Ime tayo kasāvā. Tattha katame aparepi tayo kasāvā? Kāyakasāvo, vacīkasāvo, manokasāvo’’ti (vibha. 924).

    เตสุ โมหํ ฐเปตฺวา ปญฺจนฺนํ กสาวานํ เตสญฺจ สเพฺพสํ มูลภูตสฺส โมหสฺส นิทฺธนฺตตฺตา นิทฺธนฺตกสาวโมโหฯ ติณฺณํ เอว วา กายวจีมโนกสาวานํ โมหสฺส จ นิทฺธนฺตตฺตา นิทฺธนฺตกสาวโมโหฯ อิตเรสุ นิโลฺลลุปตาทีหิ ราคกสาวสฺส, นิมฺมกฺขตาย โทสกสาวสฺส นิทฺธนฺตภาโว สิโทฺธ เอวฯ นิราสโยติ นิตฺตโณฺหฯ สพฺพโลเก ภวิตฺวาติ สกลโลเก, ตีสุ ภเวสุ ทฺวาทสสุ วา อายตเนสุ ภววิภวตณฺหาวิรหิโต หุตฺวาติ อโตฺถฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อถ วา ตโยปิ ปาเท วตฺวา เอโก จเรติ เอโก จริตุํ สกฺกุเณยฺยาติ เอวเมฺปตฺถ สมฺพโนฺธ กาตโพฺพฯ

    Tesu mohaṃ ṭhapetvā pañcannaṃ kasāvānaṃ tesañca sabbesaṃ mūlabhūtassa mohassa niddhantattā niddhantakasāvamoho. Tiṇṇaṃ eva vā kāyavacīmanokasāvānaṃ mohassa ca niddhantattā niddhantakasāvamoho. Itaresu nillolupatādīhi rāgakasāvassa, nimmakkhatāya dosakasāvassa niddhantabhāvo siddho eva. Nirāsayoti nittaṇho. Sabbaloke bhavitvāti sakalaloke, tīsu bhavesu dvādasasu vā āyatanesu bhavavibhavataṇhāvirahito hutvāti attho. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Atha vā tayopi pāde vatvā eko careti eko carituṃ sakkuṇeyyāti evampettha sambandho kātabbo.

    นิโลฺลลุปคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nillolupagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๑๓. ปาปํ สหายนฺติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อญฺญตโร ราชา มหจฺจราชานุภาเวน นครํ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต มนุเสฺส โกฎฺฐาคารโต ปุราณธญฺญาทีนิ พหิทฺธา นีหรเนฺต ทิสฺวา ‘‘กิํ, ภเณ, อิท’’นฺติ อมเจฺจ ปุจฺฉิฯ อมจฺจา ‘‘อิทานิ, มหาราช, นวธญฺญาทีนิ อุปฺปชฺชิสฺสนฺติ, เตสํ โอกาสํ กาตุํ อิเม มนุสฺสา ปุราณธญฺญาทีนิ ฉเฑฺฑนฺตี’’ติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘กิํ, ภเณ, อิตฺถาคารพลกายาทีนํ วตฺตํ ปริปุณฺณ’’นฺติ อาหฯ ‘‘อาม, มหาราช, ปริปุณฺณ’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ, ภเณ, ทานสาลํ กาเรถ, ทานํ ทสฺสามิ, มา อิมานิ ธญฺญานิ อนุปการานิ วินสฺสนฺตู’’ติฯ ตโต นํ อญฺญตโร ทิฎฺฐิคติโก อมโจฺจ ‘‘มหาราช, นตฺถิ ทินฺน’’นฺติ อารพฺภ ยาว ‘‘พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺตี’’ติ วตฺวา นิวาเรสิฯ ราชา ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ โกฎฺฐาคาเร วิลุมฺปเนฺต ทิสฺวา ตเถว อาณาเปสิฯ โสปิ ตติยมฺปิ นํ ‘‘มหาราช, ทตฺตุปญฺญตฺตํ ยทิทํ ทาน’’นฺติอาทีนิ วตฺวา นิวาเรสิฯ โส ‘‘อเร, อหํ อตฺตโน สนฺตกมฺปิ น ลภามิ ทาตุํ, กิํ เม อิเมหิ ปาปสหาเยหี’’ติ นิพฺพิโนฺน รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิฯ ตญฺจ ปาปสหายํ ครหโนฺต อิมํ อุทานคาถมาหฯ

    113.Pāpaṃ sahāyanti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira aññataro rājā mahaccarājānubhāvena nagaraṃ padakkhiṇaṃ karonto manusse koṭṭhāgārato purāṇadhaññādīni bahiddhā nīharante disvā ‘‘kiṃ, bhaṇe, ida’’nti amacce pucchi. Amaccā ‘‘idāni, mahārāja, navadhaññādīni uppajjissanti, tesaṃ okāsaṃ kātuṃ ime manussā purāṇadhaññādīni chaḍḍentī’’ti āhaṃsu. Rājā ‘‘kiṃ, bhaṇe, itthāgārabalakāyādīnaṃ vattaṃ paripuṇṇa’’nti āha. ‘‘Āma, mahārāja, paripuṇṇa’’nti. ‘‘Tena hi, bhaṇe, dānasālaṃ kāretha, dānaṃ dassāmi, mā imāni dhaññāni anupakārāni vinassantū’’ti. Tato naṃ aññataro diṭṭhigatiko amacco ‘‘mahārāja, natthi dinna’’nti ārabbha yāva ‘‘bāle ca paṇḍite ca sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karissantī’’ti vatvā nivāresi. Rājā dutiyampi tatiyampi koṭṭhāgāre vilumpante disvā tatheva āṇāpesi. Sopi tatiyampi naṃ ‘‘mahārāja, dattupaññattaṃ yadidaṃ dāna’’ntiādīni vatvā nivāresi. So ‘‘are, ahaṃ attano santakampi na labhāmi dātuṃ, kiṃ me imehi pāpasahāyehī’’ti nibbinno rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchākāsi. Tañca pāpasahāyaṃ garahanto imaṃ udānagāthamāha.

    ตสฺสายํ สเงฺขปโตฺถ – ยฺวายํ ทสวตฺถุกาย ปาปทิฎฺฐิยา สมนฺนาคตตฺตา ปาโป, ปเรสมฺปิ อนตฺถํ ปสฺสตีติ อนตฺถทสฺสี, กายทุจฺจริตาทิมฺหิ จ วิสเม นิวิโฎฺฐ, ตํ อตฺถกาโม กุลปุโตฺต ปาปํ สหายํ ปริวชฺชเยถ, อนตฺถทสฺสิํ วิสเม นิวิฎฺฐํฯ สยํ น เสเวติ อตฺตโน วเสน ตํ น เสเวยฺยฯ ยทิ ปน ปรสฺส วโส โหติ, กิํ สกฺกา กาตุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ปสุตนฺติ ปสฎํ, ทิฎฺฐิวเสน ตตฺถ ตตฺถ ลคฺคนฺติ อโตฺถฯ ปมตฺตนฺติ กามคุเณสุ โวสฺสฎฺฐจิตฺตํ, กุสลภาวนารหิตํ วาฯ ตํ เอวรูปํ สหายํ น เสเว น ภเช น ปยิรุปาเส, อญฺญทตฺถุ เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปติฯ

    Tassāyaṃ saṅkhepattho – yvāyaṃ dasavatthukāya pāpadiṭṭhiyā samannāgatattā pāpo, paresampi anatthaṃ passatīti anatthadassī, kāyaduccaritādimhi ca visame niviṭṭho, taṃ atthakāmo kulaputto pāpaṃ sahāyaṃ parivajjayetha, anatthadassiṃ visame niviṭṭhaṃ. Sayaṃ na seveti attano vasena taṃ na seveyya. Yadi pana parassa vaso hoti, kiṃ sakkā kātunti vuttaṃ hoti. Pasutanti pasaṭaṃ, diṭṭhivasena tattha tattha lagganti attho. Pamattanti kāmaguṇesu vossaṭṭhacittaṃ, kusalabhāvanārahitaṃ vā. Taṃ evarūpaṃ sahāyaṃ na seve na bhaje na payirupāse, aññadatthu eko care khaggavisāṇakappoti.

    ปาปสหายคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pāpasahāyagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๑๔. พหุสฺสุตนฺติ กา อุปฺปตฺติ? ปุเพฺพ กิร กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน อฎฺฐ ปเจฺจกโพธิสตฺตา ปพฺพชิตฺวา คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา เทวโลเก อุปฺปนฺนาติอาทิ สพฺพํ อนวชฺชโภชีคาถาย วุตฺตสทิสเมวฯ อยํ ปน วิเสโส – ปเจฺจกพุเทฺธ นิสีทาเปตฺวา ราชา อาห – ‘‘เก ตุเมฺห’’ติ? เต อาหํสุ – ‘‘มยํ, มหาราช, พหุสฺสุตา นามา’’ติฯ ราชา ‘‘อหํ สุตพฺรหฺมทโตฺต นาม, สุเตน ติตฺติํ น คจฺฉามิ, หนฺท, เนสํ สนฺติเก วิจิตฺรนยธมฺมเทสนํ โสสฺสามี’’ติ อตฺตมโน ทกฺขิโณทกํ ทตฺวา ปริวิสิตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน สงฺฆเตฺถรสฺส สนฺติเก นิสีทิตฺวา ‘‘ธมฺมกถํ, ภเนฺต, กเถถา’’ติ อาหฯ โส ‘‘สุขิโต โหตุ, มหาราช, ราคกฺขโย โหตู’’ติ วตฺวา อุฎฺฐิโตฯ ราชา ‘‘อยํ น พหุสฺสุโต, ทุติโย พหุสฺสุโต ภวิสฺสติ, เสฺว ตสฺส วิจิตฺรธมฺมเทสนํ โสสฺสามี’’ติ สฺวาตนาย นิมเนฺตสิฯ เอวํ ยาว สเพฺพสํ ปฎิปาฎิ คจฺฉติ, ตาว นิมเนฺตสิ, เต สเพฺพปิ ‘‘โทสกฺขโย โหตุ, โมหกฺขโย, คติกฺขโย, ภวกฺขโย, วฎฺฎกฺขโย, อุปธิกฺขโย, ตณฺหกฺขโย โหตู’’ติ เอวํ เอเกกปทํ วิเสเสตฺวา เสสํ ปฐมสทิสเมว วตฺวา อุฎฺฐหิํสุฯ

    114.Bahussutanti kā uppatti? Pubbe kira kassapassa bhagavato sāsane aṭṭha paccekabodhisattā pabbajitvā gatapaccāgatavattaṃ pūretvā devaloke uppannātiādi sabbaṃ anavajjabhojīgāthāya vuttasadisameva. Ayaṃ pana viseso – paccekabuddhe nisīdāpetvā rājā āha – ‘‘ke tumhe’’ti? Te āhaṃsu – ‘‘mayaṃ, mahārāja, bahussutā nāmā’’ti. Rājā ‘‘ahaṃ sutabrahmadatto nāma, sutena tittiṃ na gacchāmi, handa, nesaṃ santike vicitranayadhammadesanaṃ sossāmī’’ti attamano dakkhiṇodakaṃ datvā parivisitvā bhattakiccapariyosāne saṅghattherassa santike nisīditvā ‘‘dhammakathaṃ, bhante, kathethā’’ti āha. So ‘‘sukhito hotu, mahārāja, rāgakkhayo hotū’’ti vatvā uṭṭhito. Rājā ‘‘ayaṃ na bahussuto, dutiyo bahussuto bhavissati, sve tassa vicitradhammadesanaṃ sossāmī’’ti svātanāya nimantesi. Evaṃ yāva sabbesaṃ paṭipāṭi gacchati, tāva nimantesi, te sabbepi ‘‘dosakkhayo hotu, mohakkhayo, gatikkhayo, bhavakkhayo, vaṭṭakkhayo, upadhikkhayo, taṇhakkhayo hotū’’ti evaṃ ekekapadaṃ visesetvā sesaṃ paṭhamasadisameva vatvā uṭṭhahiṃsu.

    ตโต ราชา – ‘‘อิเม ‘พหุสฺสุตา มย’นฺติ ภณนฺติ, น จ เตสํ วิจิตฺรกถา, กิเมเตหิ วุตฺต’’นฺติ เตสํ วจนตฺถํ อุปปริกฺขิตุมารโทฺธฯ อถ ‘‘ราคกฺขโย โหตู’’ติ อุปปริกฺขโนฺต ‘‘ราเค ขีเณ โทโสปิ โมโหปิ อญฺญตรญฺญตเรปิ กิเลสา ขีณา โหนฺตี’’ติ ญตฺวา อตฺตมโน อโหสิ ‘‘นิปฺปริยายพหุสฺสุตา อิเม สมณาฯ ยถาปิ หิ ปุริเสน มหาปถวิํ วา อากาสํ วา องฺคุลิยา นิทฺทิสเนฺตน น องฺคุลิมโตฺตว ปเทโส นิทฺทิโฎฺฐ โหติฯ อปิ จ โข ปน สกลปถวี อากาสา เอว นิทฺทิฎฺฐา โหนฺติฯ เอวํ อิเมหิ เอเกกํ อตฺถํ นิทฺทิสเนฺตหิ อปริมาณา อตฺถา นิทฺทิฎฺฐา โหนฺตี’’ติฯ ตโต โส ‘‘กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ เอวํ พหุสฺสุโต ภวิสฺสามี’’ติ ตถารูปํ พหุสฺสุตภาวํ ปเตฺถโนฺต รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถมภาสิฯ

    Tato rājā – ‘‘ime ‘bahussutā maya’nti bhaṇanti, na ca tesaṃ vicitrakathā, kimetehi vutta’’nti tesaṃ vacanatthaṃ upaparikkhitumāraddho. Atha ‘‘rāgakkhayo hotū’’ti upaparikkhanto ‘‘rāge khīṇe dosopi mohopi aññataraññatarepi kilesā khīṇā hontī’’ti ñatvā attamano ahosi ‘‘nippariyāyabahussutā ime samaṇā. Yathāpi hi purisena mahāpathaviṃ vā ākāsaṃ vā aṅguliyā niddisantena na aṅgulimattova padeso niddiṭṭho hoti. Api ca kho pana sakalapathavī ākāsā eva niddiṭṭhā honti. Evaṃ imehi ekekaṃ atthaṃ niddisantehi aparimāṇā atthā niddiṭṭhā hontī’’ti. Tato so ‘‘kudāssu nāmāhampi evaṃ bahussuto bhavissāmī’’ti tathārūpaṃ bahussutabhāvaṃ patthento rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthamabhāsi.

    ตตฺถายํ สเงฺขปโตฺถ – พหุสฺสุตนฺติ ทุวิโธ พหุสฺสุโต ตีสุ ปิฎเกสุ อตฺถโต นิขิโล ปริยตฺติพหุสฺสุโต จ, มคฺคผลวิชฺชาภิญฺญาปฎิเวธโก ปฎิเวธพหุสฺสุโต จฯ อาคตาคโม ธมฺมธโรฯ อุฬาเรหิ ปน กายวจีมโนกเมฺมหิ สมนฺนาคโต อุฬาโรฯ ยุตฺตปฎิภาโน จ มุตฺตปฎิภาโน จ ยุตฺตมุตฺตปฎิภาโน จ ปฎิภานวาฯ ปริยตฺติปริปุจฺฉาธิคมวเสน วา ติวิโธ ปฎิภานวา เวทิตโพฺพฯ ยสฺส หิ ปริยตฺติ ปฎิภาติ, โส ปริยตฺติปฎิภานวาฯ ยสฺส อตฺถญฺจ ญาณญฺจ ลกฺขณญฺจ ฐานาฎฺฐานญฺจ ปริปุจฺฉนฺตสฺส ปริปุจฺฉา ปฎิภาติ, โส ปริปุจฺฉาปฎิภานวาฯ ยสฺส มคฺคาทโย ปฎิวิทฺธา โหนฺติ, โส อธิคมปฎิภานวาฯ ตํ เอวรูปํ พหุสฺสุตํ ธมฺมธรํ ภเชถ มิตฺตํ อุฬารํ ปฎิภานวนฺตํฯ ตโต ตสฺสานุภาเวน อตฺตตฺถปรตฺถอุภยตฺถเภทโต วา ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมตฺถเภทโต วา อเนกปฺปการานิ อญฺญาย อตฺถานิ, ตโต ‘‘อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธาน’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๘; สํ. นิ. ๒.๒๐) กงฺขาฎฺฐานิเยสุ วิเนยฺย กงฺขํ วิจิกิจฺฉํ วิเนตฺวา วินาเสตฺวา เอวํ กตสพฺพกิโจฺจ เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปติฯ

    Tatthāyaṃ saṅkhepattho – bahussutanti duvidho bahussuto tīsu piṭakesu atthato nikhilo pariyattibahussuto ca, maggaphalavijjābhiññāpaṭivedhako paṭivedhabahussuto ca. Āgatāgamo dhammadharo. Uḷārehi pana kāyavacīmanokammehi samannāgato uḷāro. Yuttapaṭibhāno ca muttapaṭibhāno ca yuttamuttapaṭibhāno ca paṭibhānavā. Pariyattiparipucchādhigamavasena vā tividho paṭibhānavā veditabbo. Yassa hi pariyatti paṭibhāti, so pariyattipaṭibhānavā. Yassa atthañca ñāṇañca lakkhaṇañca ṭhānāṭṭhānañca paripucchantassa paripucchā paṭibhāti, so paripucchāpaṭibhānavā. Yassa maggādayo paṭividdhā honti, so adhigamapaṭibhānavā. Taṃ evarūpaṃ bahussutaṃ dhammadharaṃ bhajetha mittaṃ uḷāraṃ paṭibhānavantaṃ. Tato tassānubhāvena attatthaparatthaubhayatthabhedato vā diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthabhedato vā anekappakārāni aññāya atthāni, tato ‘‘ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhāna’’ntiādīsu (ma. ni. 1.18; saṃ. ni. 2.20) kaṅkhāṭṭhāniyesu vineyya kaṅkhaṃ vicikicchaṃ vinetvā vināsetvā evaṃ katasabbakicco eko care khaggavisāṇakappoti.

    พหุสฺสุตคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Bahussutagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๑๕. ขิฑฺฑํ รตินฺติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร วิภูสกพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา ปาโตว ยาคุํ วา ภตฺตํ วา ภุญฺชิตฺวา นานาวิธวิภูสเนหิ อตฺตานํ วิภูสาเปตฺวา มหาอาทาเส สกลํ สรีรํ ทิสฺวา ยํ น อิจฺฉติ, ตํ อปเนตฺวา อเญฺญน วิภูสเนน วิภูสาเปติฯ ตสฺส เอกทิวสํ เอวํ กโรนฺตสฺส ภตฺตเวลา มชฺฌนฺหิกา สมฺปตฺตาฯ วิปฺปกตวิภูสิโตว ทุสฺสปเฎฺฎน สีสํ เวเฐตฺวา ภุญฺชิตฺวา ทิวาเสยฺยํ อุปคญฺฉิฯ ปุนปิ อุฎฺฐหิตฺวา ตเถว กโรโต สูริโย โอคฺคโตฯ เอวํ ทุติยทิวเสปิ ตติยทิวเสปิฯ อถสฺส เอวํ มณฺฑนปฺปสุตสฺส ปิฎฺฐิโรโค อุทปาทิฯ ตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อโห เร, อหํ สพฺพถาเมน วิภูสโนฺตปิ อิมสฺมิํ กปฺปเก วิภูสเน อสนฺตุโฎฺฐ โลภํ อุปฺปาเทสิํ, โลโภ จ นาเมส อปายคมนีโย ธโมฺม, หนฺทาหํ โลภํ นิคฺคณฺหามี’’ติ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถมภาสิฯ

    115.Khiḍḍaṃ ratinti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira vibhūsakabrahmadatto nāma rājā pātova yāguṃ vā bhattaṃ vā bhuñjitvā nānāvidhavibhūsanehi attānaṃ vibhūsāpetvā mahāādāse sakalaṃ sarīraṃ disvā yaṃ na icchati, taṃ apanetvā aññena vibhūsanena vibhūsāpeti. Tassa ekadivasaṃ evaṃ karontassa bhattavelā majjhanhikā sampattā. Vippakatavibhūsitova dussapaṭṭena sīsaṃ veṭhetvā bhuñjitvā divāseyyaṃ upagañchi. Punapi uṭṭhahitvā tatheva karoto sūriyo oggato. Evaṃ dutiyadivasepi tatiyadivasepi. Athassa evaṃ maṇḍanappasutassa piṭṭhirogo udapādi. Tassa etadahosi – ‘‘aho re, ahaṃ sabbathāmena vibhūsantopi imasmiṃ kappake vibhūsane asantuṭṭho lobhaṃ uppādesiṃ, lobho ca nāmesa apāyagamanīyo dhammo, handāhaṃ lobhaṃ niggaṇhāmī’’ti rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthamabhāsi.

    ตตฺถ ขิฑฺฑารติ จ ปุเพฺพ วุตฺตาวฯ กามสุขนฺติ วตฺถุกามสุขํฯ วตฺถุกามาปิ หิ สุขสฺส วิสยาทิภาเวน ‘‘สุข’’นฺติ วุจฺจนฺติฯ ยถาห – ‘‘อตฺถิ รูปํ สุขํ สุขานุปติต’’นฺติ (สํ. นิ. ๓.๖๐)ฯ เอวเมตํ ขิฑฺฑํ รติํ กามสุขญฺจ อิมสฺมิํ โอกาสโลเก อนลงฺกริตฺวา อลนฺติ อกตฺวา, เอตํ ตปฺปกนฺติ วา สารภูตนฺติ วา เอวํ อคฺคเหตฺวาฯ อนเปกฺขมาโนติ เตน อนลงฺกรเณน อนเปกฺขณสีโล อปิหาลุโก นิตฺตโณฺหฯ วิภูสฎฺฐานา วิรโต สจฺจวาทีติ ตตฺถ วิภูตา ทุวิธา – อคาริกวิภูสา จ อนคาริกวิภูสา จฯ สาฎกเวฐนมาลาคนฺธาทิวิภูสา อคาริกวิภูสา นามฯ ปตฺตมณฺฑนาทิวิภูสา อนคาริกวิภูสาฯ วิภูสา เอว วิภูสฎฺฐานํ, ตสฺมา วิภูสฎฺฐานา ติวิธาย วิรติยา วิรโตฯ อวิตถวจนโต สจฺจวาทีติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Tattha khiḍḍā ca rati ca pubbe vuttāva. Kāmasukhanti vatthukāmasukhaṃ. Vatthukāmāpi hi sukhassa visayādibhāvena ‘‘sukha’’nti vuccanti. Yathāha – ‘‘atthi rūpaṃ sukhaṃ sukhānupatita’’nti (saṃ. ni. 3.60). Evametaṃ khiḍḍaṃ ratiṃ kāmasukhañca imasmiṃ okāsaloke analaṅkaritvā alanti akatvā, etaṃ tappakanti vā sārabhūtanti vā evaṃ aggahetvā. Anapekkhamānoti tena analaṅkaraṇena anapekkhaṇasīlo apihāluko nittaṇho. Vibhūsaṭṭhānā virato saccavādīti tattha vibhūtā duvidhā – agārikavibhūsā ca anagārikavibhūsā ca. Sāṭakaveṭhanamālāgandhādivibhūsā agārikavibhūsā nāma. Pattamaṇḍanādivibhūsā anagārikavibhūsā. Vibhūsā eva vibhūsaṭṭhānaṃ, tasmā vibhūsaṭṭhānā tividhāya viratiyā virato. Avitathavacanato saccavādīti evamattho daṭṭhabbo.

    วิภูสฎฺฐานคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vibhūsaṭṭhānagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๑๖. ปุตฺตญฺจ ทารนฺติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร รโญฺญ ปุโตฺต ทหรกาเลเยว อภิสิโตฺต รชฺชํ กาเรสิฯ โส ปฐมคาถาย วุตฺตปเจฺจกโพธิสโตฺต วิย รชฺชสิริํ อนุภวโนฺต เอกทิวสํ จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ รชฺชํ กาเรโนฺต พหูนํ ทุกฺขํ กโรมิ, กิํ เม เอกภตฺตตฺถาย อิมินา ปาเปน, หนฺท, สุขมุปฺปาเทมี’’ติ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    116.Puttañcadāranti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira rañño putto daharakāleyeva abhisitto rajjaṃ kāresi. So paṭhamagāthāya vuttapaccekabodhisatto viya rajjasiriṃ anubhavanto ekadivasaṃ cintesi – ‘‘ahaṃ rajjaṃ kārento bahūnaṃ dukkhaṃ karomi, kiṃ me ekabhattatthāya iminā pāpena, handa, sukhamuppādemī’’ti rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ ธนานีติ มุตฺตามณิเวฬุริยสงฺขสิลาปวาฬรชตชาตรูปาทีนิ รตนานิฯ ธญฺญานีติ สาลิวีหิยวโคธุมกงฺคุวรกกุทฺรูสกปฺปเภทานิ สตฺต เสสาปรณฺณานิ จฯ พนฺธวานีติ ญาติพนฺธุโคตฺตพนฺธุมิตฺตพนฺธุสิปฺปพนฺธุวเสน จตุพฺพิธพนฺธเวฯ ยโถธิกานีติ สกสกโอธิวเสน ฐิตานิเยวฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha dhanānīti muttāmaṇiveḷuriyasaṅkhasilāpavāḷarajatajātarūpādīni ratanāni. Dhaññānīti sālivīhiyavagodhumakaṅguvarakakudrūsakappabhedāni satta sesāparaṇṇāni ca. Bandhavānīti ñātibandhugottabandhumittabandhusippabandhuvasena catubbidhabandhave. Yathodhikānīti sakasakaodhivasena ṭhitāniyeva. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    ปุตฺตทารคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Puttadāragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๑๗. สโงฺค เอโสติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร ปาทโลลพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อโหสิฯ โส ปาโตว ยาคุํ วา ภตฺตํ วา ภุญฺชิตฺวา ตีสุ ปาสาเทสุ ติวิธานิ นาฎกานิ ปสฺสติฯ ติวิธา นาม นาฎกา ปุพฺพราชโต อาคตํ, อนนฺตรราชโต อาคตํ, อตฺตโน กาเล อุฎฺฐิตนฺติฯ โส เอกทิวสํ ปาโตว ทหรนาฎกปาสาทํ คโตฯ ตา นาฎกิตฺถิโย ‘‘ราชานํ รมาเปสฺสามา’’ติ สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส อจฺฉราโย วิย อติมโนหรํ นจฺจคีตวาทิตํ ปโยเชสุํฯ ราชา ‘‘อนจฺฉริยเมตํ ทหราน’’นฺติ อสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา มชฺฌิมนาฎกปาสาทํ คโต, ตาปิ นาฎกิตฺถิโย ตเถว อกํสุฯ โส ตตฺถปิ ตเถว อสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา มหลฺลกนาฎกปาสาทํ คโต , ตาปิ ตเถว อกํสุฯ ราชา เทฺว ตโย ราชปริวเฎฺฎ อตีตานํ ตาสํ มหลฺลกภาเวน อฎฺฐิกีฬนสทิสํ นจฺจํ ทิสฺวา คีตญฺจ อมธุรํ สุตฺวา ปุนเทว ทหรนาฎกปาสาทํ, ปุน มชฺฌิมนาฎกปาสาทนฺติ เอวมฺปิ วิจริตฺวา กตฺถจิ อสนฺตุโฎฺฐ จิเนฺตสิ – ‘‘อิมา นาฎกิตฺถิโย สกฺกํ เทวานมินฺทํ อจฺฉราโย วิย มํ รมาเปตุกามา สพฺพถาเมน นจฺจคีตวาทิตํ ปโยเชสุํฯ สฺวาหํ กตฺถจิ อสนฺตุโฎฺฐ โลภํ วเฑฺฒมิฯ โลโภ จ นาเมส อปายคมนีโย ธโมฺม, หนฺทาหํ โลภํ นิคฺคณฺหามี’’ติ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    117.Saṅgo esoti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira pādalolabrahmadatto nāma rājā ahosi. So pātova yāguṃ vā bhattaṃ vā bhuñjitvā tīsu pāsādesu tividhāni nāṭakāni passati. Tividhā nāma nāṭakā pubbarājato āgataṃ, anantararājato āgataṃ, attano kāle uṭṭhitanti. So ekadivasaṃ pātova daharanāṭakapāsādaṃ gato. Tā nāṭakitthiyo ‘‘rājānaṃ ramāpessāmā’’ti sakkassa devānamindassa accharāyo viya atimanoharaṃ naccagītavāditaṃ payojesuṃ. Rājā ‘‘anacchariyametaṃ daharāna’’nti asantuṭṭho hutvā majjhimanāṭakapāsādaṃ gato, tāpi nāṭakitthiyo tatheva akaṃsu. So tatthapi tatheva asantuṭṭho hutvā mahallakanāṭakapāsādaṃ gato , tāpi tatheva akaṃsu. Rājā dve tayo rājaparivaṭṭe atītānaṃ tāsaṃ mahallakabhāvena aṭṭhikīḷanasadisaṃ naccaṃ disvā gītañca amadhuraṃ sutvā punadeva daharanāṭakapāsādaṃ, puna majjhimanāṭakapāsādanti evampi vicaritvā katthaci asantuṭṭho cintesi – ‘‘imā nāṭakitthiyo sakkaṃ devānamindaṃ accharāyo viya maṃ ramāpetukāmā sabbathāmena naccagītavāditaṃ payojesuṃ. Svāhaṃ katthaci asantuṭṭho lobhaṃ vaḍḍhemi. Lobho ca nāmesa apāyagamanīyo dhammo, handāhaṃ lobhaṃ niggaṇhāmī’’ti rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – สโงฺค เอโสติ อตฺตโน อุปโภคํ นิทฺทิสติฯ โส หิ สชฺชนฺติ ตตฺถ ปาณิโน กทฺทเม ปวิโฎฺฐ หตฺถี วิยาติ สโงฺคฯ ปริตฺตเมตฺถ โสขฺยนฺติ เอตฺถ ปญฺจกามคุณูปโภคกาเล วิปรีตสญฺญาย อุปฺปาเทตพฺพโต กามาวจรธมฺมปริยาปนฺนโต วา ลามกเฎฺฐน โสขฺยํ ปริตฺตํ, วิชฺชุปฺปภาย โอภาสิตนจฺจทสฺสนสุขํ อิว อิตฺตรํ, ตาวกาลิกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อปฺปสฺสาโท ทุกฺขเมเวตฺถ ภิโยฺยติ เอตฺถ จ ยฺวายํ ‘‘ยํ โข, ภิกฺขเว, อิเม ปญฺจ กามคุเณ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ, อยํ กามานํ อสฺสาโท’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๖๖) วุโตฺต, โส ยมิทํ ‘‘โก จ, ภิกฺขเว, กามานํ อาทีนโว, อิธ, ภิกฺขเว, กุลปุโตฺต เยน สิปฺปฎฺฐาเนน ชีวิกํ กเปฺปติ, ยทิ มุทฺทาย ยทิ คณนายา’’ติ เอวมาทินา (ม. นิ. ๑.๑๖๗) นเยเนตฺถ ทุกฺขํ วุตฺตํ, ตํ อุปนิธาย อโปฺป อุทกพินฺทุมโตฺต โหติ, อถ โข ทุกฺขเมว ภิโยฺย พหุ, จตูสุ สมุเทฺทสุ อุทกสทิสํ โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อปฺปสฺสาโท ทุกฺขเมเวตฺถ ภิโยฺย’’ติฯ คโฬ เอโสติ อสฺสาทํ ทเสฺสตฺวา อากฑฺฒนวเสน พฬิโส วิย เอโส, ยทิทํ ปญฺจกามคุณาฯ อิติ ญตฺวา มติมาติ เอวํ ชานิตฺวา พุทฺธิมา ปณฺฑิโต ปุริโส สพฺพเมตํ ปหาย เอโก จเร ขคฺควิสาณกโปฺปติฯ

    Tassattho – saṅgo esoti attano upabhogaṃ niddisati. So hi sajjanti tattha pāṇino kaddame paviṭṭho hatthī viyāti saṅgo. Parittamettha sokhyanti ettha pañcakāmaguṇūpabhogakāle viparītasaññāya uppādetabbato kāmāvacaradhammapariyāpannato vā lāmakaṭṭhena sokhyaṃ parittaṃ, vijjuppabhāya obhāsitanaccadassanasukhaṃ iva ittaraṃ, tāvakālikanti vuttaṃ hoti. Appassādo dukkhamevettha bhiyyoti ettha ca yvāyaṃ ‘‘yaṃ kho, bhikkhave, ime pañca kāmaguṇe paṭicca uppajjati sukhaṃ somanassaṃ, ayaṃ kāmānaṃ assādo’’ti (ma. ni. 1.166) vutto, so yamidaṃ ‘‘ko ca, bhikkhave, kāmānaṃ ādīnavo, idha, bhikkhave, kulaputto yena sippaṭṭhānena jīvikaṃ kappeti, yadi muddāya yadi gaṇanāyā’’ti evamādinā (ma. ni. 1.167) nayenettha dukkhaṃ vuttaṃ, taṃ upanidhāya appo udakabindumatto hoti, atha kho dukkhameva bhiyyo bahu, catūsu samuddesu udakasadisaṃ hoti. Tena vuttaṃ ‘‘appassādo dukkhamevettha bhiyyo’’ti. Gaḷo esoti assādaṃ dassetvā ākaḍḍhanavasena baḷiso viya eso, yadidaṃ pañcakāmaguṇā. Iti ñatvā matimāti evaṃ jānitvā buddhimā paṇḍito puriso sabbametaṃ pahāya eko care khaggavisāṇakappoti.

    สงฺคคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saṅgagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๑๘. สนฺทาลยิตฺวานาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อนิวตฺตพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อโหสิฯ โส สงฺคามํ โอติโณฺณ อชินิตฺวา อญฺญํ วา กิจฺจํ อารโทฺธ อนิฎฺฐเปตฺวา น นิวตฺตติ, ตสฺมา นํ เอวํ สญฺชานิํสุฯ โส เอกทิวสํ อุยฺยานํ คจฺฉติฯ เตน จ สมเยน ทวฑาโห อุฎฺฐาสิฯ โส อคฺคิ สุกฺขานิ เจว หริตานิ จ ติณาทีนิ ทหโนฺต อนิวตฺตมาโน เอว คจฺฉติฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ตปฺปฎิภาคนิมิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ ‘‘ยถายํ ทวฑาโห, เอวเมว เอกาทสวิโธ อคฺคิ สเพฺพ สเตฺต ทหโนฺต อนิวตฺตมาโน คจฺฉติ มหาทุกฺขํ อุปฺปาเทโนฺต, กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ อิมสฺส ทุกฺขสฺส นิวตฺตนตฺถํ อยํ อคฺคิ วิย อริยมคฺคญาณคฺคินา กิเลเส ทหโนฺต อนิวตฺตมาโน คเจฺฉยฺย’’นฺติ? ตโต มุหุตฺตํ คนฺตฺวา เกวเฎฺฎ อทฺทส นทิยํ มเจฺฉ คณฺหเนฺตฯ เตสํ ชาลนฺตเร ปวิโฎฺฐ เอโก มหามโจฺฉ ชาลํ เภตฺวา ปลายิฯ เต ‘‘มโจฺฉ ชาลํ เภตฺวา คโต’’ติ สทฺทมกํสุฯ ราชา ตมฺปิ วจนํ สุตฺวา ตปฺปฎิภาคนิมิตฺตํ อุปฺปาเทสิ – ‘‘กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ อริยมคฺคญาเณน ตณฺหาทิฎฺฐิชาลํ เภตฺวา อสชฺชมาโน คเจฺฉยฺย’’นฺติ? โส รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉากาสิ, อิมญฺจ อุทานคาถมภาสิฯ

    118.Sandālayitvānāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira anivattabrahmadatto nāma rājā ahosi. So saṅgāmaṃ otiṇṇo ajinitvā aññaṃ vā kiccaṃ āraddho aniṭṭhapetvā na nivattati, tasmā naṃ evaṃ sañjāniṃsu. So ekadivasaṃ uyyānaṃ gacchati. Tena ca samayena davaḍāho uṭṭhāsi. So aggi sukkhāni ceva haritāni ca tiṇādīni dahanto anivattamāno eva gacchati. Rājā taṃ disvā tappaṭibhāganimittaṃ uppādesi. ‘‘Yathāyaṃ davaḍāho, evameva ekādasavidho aggi sabbe satte dahanto anivattamāno gacchati mahādukkhaṃ uppādento, kudāssu nāmāhampi imassa dukkhassa nivattanatthaṃ ayaṃ aggi viya ariyamaggañāṇagginā kilese dahanto anivattamāno gaccheyya’’nti? Tato muhuttaṃ gantvā kevaṭṭe addasa nadiyaṃ macche gaṇhante. Tesaṃ jālantare paviṭṭho eko mahāmaccho jālaṃ bhetvā palāyi. Te ‘‘maccho jālaṃ bhetvā gato’’ti saddamakaṃsu. Rājā tampi vacanaṃ sutvā tappaṭibhāganimittaṃ uppādesi – ‘‘kudāssu nāmāhampi ariyamaggañāṇena taṇhādiṭṭhijālaṃ bhetvā asajjamāno gaccheyya’’nti? So rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchākāsi, imañca udānagāthamabhāsi.

    ตสฺสา ทุติยปาเท ชาลนฺติ สุตฺตมยํ วุจฺจติฯ อมฺพูติ อุทกํ, ตตฺถ จรตีติ อมฺพุจารี, มจฺฉเสฺสตํ อธิวจนํฯ สลิเล อมฺพุจารี สลิลมฺพุจารีฯ ตสฺมิํ นทีสลิเล ชาลํ เภตฺวา คตอมฺพุจารีวาติ วุตฺตํ โหติฯ ตติยปาเท ทฑฺฒนฺติ ทฑฺฒฎฺฐานํ วุจฺจติฯ ยถา อคฺคิ ทฑฺฒฎฺฐานํ ปุน น นิวตฺตติ, น ตตฺถ ภิโยฺย อาคจฺฉติ, เอวํ มคฺคญาณคฺคินา ทฑฺฒกามคุณฎฺฐานํ อนิวตฺตมาโน ตตฺถ ภิโยฺย อนาคจฺฉโนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tassā dutiyapāde jālanti suttamayaṃ vuccati. Ambūti udakaṃ, tattha caratīti ambucārī, macchassetaṃ adhivacanaṃ. Salile ambucārī salilambucārī. Tasmiṃ nadīsalile jālaṃ bhetvā gataambucārīvāti vuttaṃ hoti. Tatiyapāde daḍḍhanti daḍḍhaṭṭhānaṃ vuccati. Yathā aggi daḍḍhaṭṭhānaṃ puna na nivattati, na tattha bhiyyo āgacchati, evaṃ maggañāṇagginā daḍḍhakāmaguṇaṭṭhānaṃ anivattamāno tattha bhiyyo anāgacchantoti vuttaṃ hoti. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    สนฺทาลคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sandālagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๑๙. โอกฺขิตฺตจกฺขูติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร จกฺขุโลลพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา ปาทโลลพฺรหฺมทโตฺต วิย นาฎกทสฺสนํ อนุยุโตฺต โหติฯ อยํ ปน วิเสโส – โส อสนฺตุโฎฺฐ ตตฺถ ตตฺถ คจฺฉติฯ อยํ ตํ ตํ นาฎกํ ทิสฺวา อตีว อภินนฺทิตฺวา นาฎกทสฺสนปริวตฺตเนน ตณฺหํ วเฑฺฒโนฺต วิจรติฯ โส กิร นาฎกทสฺสนตฺถํ อาคตํ อญฺญตรํ กุฎุมฺพิยภริยํ ทิสฺวา ราคํ อุปฺปาเทสิฯ ตโต สํเวคํ อาปชฺชิตฺวา ปุน ‘‘อเร, อหํ อิมํ ตณฺหํ วเฑฺฒโนฺต อปายปริปูรโก ภวิสฺสามิ, หนฺท, นํ นิคฺคณฺหามี’’ติ ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อตฺตโน ปุริมปฎิปตฺติํ ครหโนฺต ตปฺปฎิปกฺขคุณทีปิกํ อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    119.Okkhittacakkhūti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira cakkhulolabrahmadatto nāma rājā pādalolabrahmadatto viya nāṭakadassanaṃ anuyutto hoti. Ayaṃ pana viseso – so asantuṭṭho tattha tattha gacchati. Ayaṃ taṃ taṃ nāṭakaṃ disvā atīva abhinanditvā nāṭakadassanaparivattanena taṇhaṃ vaḍḍhento vicarati. So kira nāṭakadassanatthaṃ āgataṃ aññataraṃ kuṭumbiyabhariyaṃ disvā rāgaṃ uppādesi. Tato saṃvegaṃ āpajjitvā puna ‘‘are, ahaṃ imaṃ taṇhaṃ vaḍḍhento apāyaparipūrako bhavissāmi, handa, naṃ niggaṇhāmī’’ti pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā attano purimapaṭipattiṃ garahanto tappaṭipakkhaguṇadīpikaṃ imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ โอกฺขิตฺตจกฺขูติ เหฎฺฐาขิตฺตจกฺขุ, สตฺตคีวฎฺฐิกานิ ปฎิปาฎิยา ฐเปตฺวา ปริวชฺชนคเหตพฺพทสฺสนตฺถํ ยุคมตฺตํ เปกฺขมาโนติ วุตฺตํ โหติฯ น ตุ หนุกฎฺฐินา หทยฎฺฐิํ สงฺฆเฎฺฎโนฺตฯ เอวญฺหิ โอกฺขิตฺตจกฺขุตา น สมณสารุปฺปา โหติฯ น จ ปาทโลโลติ เอกสฺส ทุติโย, ทฺวินฺนํ ตติโยติ เอวํ คณมชฺฌํ ปวิสิตุกามตาย กณฺฑูยมานปาโท วิย อภวโนฺต, ทีฆจาริกอนิวตฺตจาริกวิรโตฯ คุตฺตินฺทฺริโยติ ฉสุ อินฺทฺริเยสุ อิธ มนินฺทฺริยสฺส วิสุํ วุตฺตตฺตา วุตฺตาวเสสวเสน จ โคปิตินฺทฺริโยฯ รกฺขิตมานสาโนติ มานสํ เอว มานสานํ, ตํ รกฺขิตมสฺสาติ รกฺขิตมานสาโนฯ ยถา กิเลเสหิ น วิลุปฺปติ, เอวํ รกฺขิตจิโตฺตติ วุตฺตํ โหติฯ อนวสฺสุโตติ อิมาย ปฎิปตฺติยา เตสุ เตสุ อารมฺมเณสุ กิเลสอนฺวสฺสววิรหิโตฯ อปริฑยฺหมาโนติ กิเลสคฺคีหิ อปริฑยฺหมาโนฯ พหิทฺธา วา อนวสฺสุโต, อชฺฌตฺตํ อปริฑยฺหมาโนฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha okkhittacakkhūti heṭṭhākhittacakkhu, sattagīvaṭṭhikāni paṭipāṭiyā ṭhapetvā parivajjanagahetabbadassanatthaṃ yugamattaṃ pekkhamānoti vuttaṃ hoti. Na tu hanukaṭṭhinā hadayaṭṭhiṃ saṅghaṭṭento. Evañhi okkhittacakkhutā na samaṇasāruppā hoti. Na ca pādaloloti ekassa dutiyo, dvinnaṃ tatiyoti evaṃ gaṇamajjhaṃ pavisitukāmatāya kaṇḍūyamānapādo viya abhavanto, dīghacārikaanivattacārikavirato. Guttindriyoti chasu indriyesu idha manindriyassa visuṃ vuttattā vuttāvasesavasena ca gopitindriyo. Rakkhitamānasānoti mānasaṃ eva mānasānaṃ, taṃ rakkhitamassāti rakkhitamānasāno. Yathā kilesehi na viluppati, evaṃ rakkhitacittoti vuttaṃ hoti. Anavassutoti imāya paṭipattiyā tesu tesu ārammaṇesu kilesaanvassavavirahito. Apariḍayhamānoti kilesaggīhi apariḍayhamāno. Bahiddhā vā anavassuto, ajjhattaṃ apariḍayhamāno. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    โอกฺขิตฺตจกฺขุคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Okkhittacakkhugāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๒๐. โอหารยิตฺวาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อโญฺญปิ จาตุมาสิกพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา จตุมาเส จตุมาเส อุยฺยานกีฬํ คจฺฉติฯ โส เอกทิวสํ คิมฺหานํ มชฺฌิมมาเส อุยฺยานํ ปวิสโนฺต อุยฺยานทฺวาเร ปตฺตสญฺฉนฺนํ ปุปฺผาลงฺกตสาขาวิฎปํ ปาริจฺฉตฺตกโกวิฬารํ ทิสฺวา เอกํ ปุปฺผํ คเหตฺวา อุยฺยานํ ปาวิสิฯ ตโต ‘‘รญฺญา อคฺคปุปฺผํ คหิต’’นฺติ อญฺญตโรปิ อมโจฺจ หตฺถิกฺขเนฺธ ฐิโต เอกเมว ปุปฺผํ อคฺคเหสิฯ เอเตเนวุปาเยน สโพฺพ พลกาโย อคฺคเหสิฯ ปุเปฺผหิ อนสฺสาเทนฺตา ปตฺตมฺปิ คณฺหิํสุฯ โส รุโกฺข นิปฺปตฺตปุโปฺผ ขนฺธมโตฺตว อโหสิฯ ราชา สายนฺหสมเย อุยฺยานา นิกฺขมโนฺต ตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ กโต อยํ รุโกฺข, มมาคมนเวลาย มณิวณฺณสาขนฺตเรสุ ปวาฬสทิสปุปฺผาลงฺกโต อโหสิ, อิทานิ นิปฺปตฺตปุโปฺผ ชาโต’’ติ จิเนฺตโนฺต ตเสฺสว อวิทูเร อปุปฺผิตรุกฺขํ สญฺฉนฺนปลาสํ อทฺทสฯ ทิสฺวา จสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อยํ รุโกฺข ปุปฺผภริตสาขตฺตา พหุชนสฺส โลภนีโย อโหสิ, เตน มุหุเตฺตเนว พฺยสนํ ปโตฺตฯ อยํ ปนโญฺญ อโลภนียตฺตา ตเถว ฐิโตฯ อิทญฺจาปิ รชฺชํ ปุปฺผิตรุโกฺข วิย โลภนียํ, ภิกฺขุภาโว ปน อปุปฺผิตรุโกฺข วิย อโลภนีโยฯ ตสฺมา ยาว อิทมฺปิ อยํ รุโกฺข วิย น วิลุปฺปติ, ตาว อยมโญฺญ สญฺฉนฺนปโตฺต ยถา ปาริจฺฉตฺตโก, เอวํ กาสาเวน สญฺฉโนฺน หุตฺวา ปพฺพเชยฺย’’นฺติฯ โส รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    120.Ohārayitvāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira aññopi cātumāsikabrahmadatto nāma rājā catumāse catumāse uyyānakīḷaṃ gacchati. So ekadivasaṃ gimhānaṃ majjhimamāse uyyānaṃ pavisanto uyyānadvāre pattasañchannaṃ pupphālaṅkatasākhāviṭapaṃ pāricchattakakoviḷāraṃ disvā ekaṃ pupphaṃ gahetvā uyyānaṃ pāvisi. Tato ‘‘raññā aggapupphaṃ gahita’’nti aññataropi amacco hatthikkhandhe ṭhito ekameva pupphaṃ aggahesi. Etenevupāyena sabbo balakāyo aggahesi. Pupphehi anassādentā pattampi gaṇhiṃsu. So rukkho nippattapuppho khandhamattova ahosi. Rājā sāyanhasamaye uyyānā nikkhamanto taṃ disvā ‘‘kiṃ kato ayaṃ rukkho, mamāgamanavelāya maṇivaṇṇasākhantaresu pavāḷasadisapupphālaṅkato ahosi, idāni nippattapuppho jāto’’ti cintento tasseva avidūre apupphitarukkhaṃ sañchannapalāsaṃ addasa. Disvā cassa etadahosi – ‘‘ayaṃ rukkho pupphabharitasākhattā bahujanassa lobhanīyo ahosi, tena muhutteneva byasanaṃ patto. Ayaṃ panañño alobhanīyattā tatheva ṭhito. Idañcāpi rajjaṃ pupphitarukkho viya lobhanīyaṃ, bhikkhubhāvo pana apupphitarukkho viya alobhanīyo. Tasmā yāva idampi ayaṃ rukkho viya na viluppati, tāva ayamañño sañchannapatto yathā pāricchattako, evaṃ kāsāvena sañchanno hutvā pabbajeyya’’nti. So rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ กาสายวโตฺถ อภินิกฺขมิตฺวาติ อิมสฺส ปาทสฺส เคหา นิกฺขมิตฺวา กาสายวตฺถนิวโตฺถ หุตฺวาติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว สกฺกา วิญฺญาตุนฺติ น วิตฺถาริตนฺติฯ

    Tattha kāsāyavattho abhinikkhamitvāti imassa pādassa gehā nikkhamitvā kāsāyavatthanivattho hutvāti evamattho veditabbo. Sesaṃ vuttanayeneva sakkā viññātunti na vitthāritanti.

    ปาริจฺฉตฺตกคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pāricchattakagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ตติยวโคฺค นิฎฺฐิโตฯ

    Tatiyavaggo niṭṭhito.

    ๑๒๑. รเสสูติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร พาราณสิราชา อุยฺยาเน อมจฺจปุเตฺตหิ ปริวุโต สิลาปฎฺฎโปกฺขรณิยํ กีฬติฯ ตสฺส สูโท สพฺพมํสานํ รสํ คเหตฺวา อตีว สุสงฺขตํ อมตกปฺปํ อนฺตรภตฺตํ ปจิตฺวา อุปนาเมสิฯ โส ตตฺถ เคธมาปโนฺน กสฺสจิ กิญฺจิ อทตฺวา อตฺตนาว ภุญฺชิฯ อุทกํ กีฬโนฺต อติวิกาเล นิกฺขโนฺต สีฆํ สีฆํ ภุญฺชิฯ เยหิ สทฺธิํ ปุเพฺพ ภุญฺชติ, น เตสํ กญฺจิ สริฯ อถ ปจฺฉา ปฎิสงฺขานํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘อโห! มยา ปาปํ กตํ, ยฺวายํ รสตณฺหาภิภูโต สพฺพชนํ วิสฺสริตฺวา เอกโกว ภุญฺชิํ, หนฺท, นํ รสตณฺหํ นิคฺคณฺหามี’’ติ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อตฺตโน ปุริมปฎิปตฺติํ ครหโนฺต ตปฺปฎิปกฺขคุณทีปิกํ อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    121.Rasesūti kā uppatti? Aññataro kira bārāṇasirājā uyyāne amaccaputtehi parivuto silāpaṭṭapokkharaṇiyaṃ kīḷati. Tassa sūdo sabbamaṃsānaṃ rasaṃ gahetvā atīva susaṅkhataṃ amatakappaṃ antarabhattaṃ pacitvā upanāmesi. So tattha gedhamāpanno kassaci kiñci adatvā attanāva bhuñji. Udakaṃ kīḷanto ativikāle nikkhanto sīghaṃ sīghaṃ bhuñji. Yehi saddhiṃ pubbe bhuñjati, na tesaṃ kañci sari. Atha pacchā paṭisaṅkhānaṃ uppādetvā ‘‘aho! Mayā pāpaṃ kataṃ, yvāyaṃ rasataṇhābhibhūto sabbajanaṃ vissaritvā ekakova bhuñjiṃ, handa, naṃ rasataṇhaṃ niggaṇhāmī’’ti rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā attano purimapaṭipattiṃ garahanto tappaṭipakkhaguṇadīpikaṃ imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ รเสสูติ อมฺพิลมธุรติตฺตกกฎุกโลณขาริกกสาวาทิเภเทสุ สายนีเยสุฯ เคธํ อกรนฺติ คิทฺธิํ อกโรโนฺต, ตณฺหํ อนุปฺปาเทโนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ อโลโลติ ‘‘อิทํ สายิสฺสามิ, อิทํ สายิสฺสามี’’ติ เอวํ รสวิเสเสสุ อนากุโลฯ อนญฺญโปสีติ โปเสตพฺพกสทฺธิวิหาริกาทิวิรหิโตฯ กายสนฺธารณมเตฺตน สนฺตุโฎฺฐติ วุตฺตํ โหติฯ ยถา วา ปุเพฺพ อุยฺยาเน รเสสุ เคธกรณสีโล อญฺญโปสี อาสิํ, เอวํ อหุตฺวา ยาย ตณฺหาย โลโล หุตฺวา รเสสุ เคธํ กโรติ, ตํ ตณฺหํ หิตฺวา อายติํ ตณฺหามูลกสฺส อญฺญสฺส อตฺตภาวสฺสานิพฺพตฺตาปเนน อนญฺญโปสีติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา อตฺถภญฺชนกเฎฺฐน กิเลสา ‘‘อเญฺญ’’ติ วุจฺจนฺติ, เตสํ อโปสเนน อนญฺญโปสีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ สปทานจารีติ อโวกฺกมฺมจารี อนุปุพฺพจารี, ฆรปฎิปาฎิํ อฉเฑฺฑตฺวา อฑฺฒกุลญฺจ ทลิทฺทกุลญฺจ นิรนฺตรํ ปิณฺฑาย ปวิสมาโนติ อโตฺถฯ กุเล กุเล อปฺปฎิพทฺธจิโตฺตติ ขตฺติยกุลาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ กิเลสวเสน อลคฺคจิโตฺต, จโนฺทปโม นิจฺจนวโก หุตฺวาติ อโตฺถฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha rasesūti ambilamadhuratittakakaṭukaloṇakhārikakasāvādibhedesu sāyanīyesu. Gedhaṃ akaranti giddhiṃ akaronto, taṇhaṃ anuppādentoti vuttaṃ hoti. Aloloti ‘‘idaṃ sāyissāmi, idaṃ sāyissāmī’’ti evaṃ rasavisesesu anākulo. Anaññaposīti posetabbakasaddhivihārikādivirahito. Kāyasandhāraṇamattena santuṭṭhoti vuttaṃ hoti. Yathā vā pubbe uyyāne rasesu gedhakaraṇasīlo aññaposī āsiṃ, evaṃ ahutvā yāya taṇhāya lolo hutvā rasesu gedhaṃ karoti, taṃ taṇhaṃ hitvā āyatiṃ taṇhāmūlakassa aññassa attabhāvassānibbattāpanena anaññaposīti vuttaṃ hoti. Atha vā atthabhañjanakaṭṭhena kilesā ‘‘aññe’’ti vuccanti, tesaṃ aposanena anaññaposīti ayamettha attho. Sapadānacārīti avokkammacārī anupubbacārī, gharapaṭipāṭiṃ achaḍḍetvā aḍḍhakulañca daliddakulañca nirantaraṃ piṇḍāya pavisamānoti attho. Kule kule appaṭibaddhacittoti khattiyakulādīsu yattha katthaci kilesavasena alaggacitto, candopamo niccanavako hutvāti attho. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    รสเคธคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Rasagedhagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๒๒. ปหาย ปญฺจาวรณานีติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อญฺญตโร ราชา ปฐมชฺฌานลาภี อโหสิฯ โส ฌานานุรกฺขณตฺถํ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ ปตฺวา อตฺตโน ปฎิปตฺติสมฺปทํ ทีเปโนฺต อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    122.Pahāya pañcāvaraṇānīti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira aññataro rājā paṭhamajjhānalābhī ahosi. So jhānānurakkhaṇatthaṃ rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ patvā attano paṭipattisampadaṃ dīpento imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ ปญฺจาวรณานีติ ปญฺจ นีวรณานิ เอว, ตานิ อุรคสุเตฺต (สุ. นิ. ๑ อาทโย) อตฺถโต วุตฺตานิฯ ตานิ ปน ยสฺมา อพฺภาทโย วิย จนฺทสูริเย เจโต อาวรนฺติ, ตสฺมา ‘‘อาวรณานิ เจตโส’’ติ วุตฺตานิฯ ตานิ อุปจาเรน วา อปฺปนาย วา ปหาย วิชหิตฺวาติ อโตฺถ ฯ อุปกฺกิเลเสติ อุปคมฺม จิตฺตํ วิพาเธเนฺต อกุสลธเมฺม, วโตฺถปมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๗๐ อาทโย) วุเตฺต อภิชฺฌาทโย วาฯ พฺยปนุชฺชาติ ปนุทิตฺวา, วิปสฺสนามเคฺคน ปชหิตฺวาติ อโตฺถฯ สเพฺพติ อนวเสเสฯ เอวํ สมถวิปสฺสนาสมฺปโนฺน ปฐมมเคฺคน ทิฎฺฐินิสฺสยสฺส ปหีนตฺตา อนิสฺสิโต, เสสมเคฺคหิ เฉตฺวา เตธาตุกํ สิเนหโทสํ, ตณฺหาราคนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สิเนโห เอว หิ คุณปฎิปกฺขโต สิเนหโทโสติ วุโตฺตฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha pañcāvaraṇānīti pañca nīvaraṇāni eva, tāni uragasutte (su. ni. 1 ādayo) atthato vuttāni. Tāni pana yasmā abbhādayo viya candasūriye ceto āvaranti, tasmā ‘‘āvaraṇāni cetaso’’ti vuttāni. Tāni upacārena vā appanāya vā pahāya vijahitvāti attho . Upakkileseti upagamma cittaṃ vibādhente akusaladhamme, vatthopamādīsu (ma. ni. 1.70 ādayo) vutte abhijjhādayo vā. Byapanujjāti panuditvā, vipassanāmaggena pajahitvāti attho. Sabbeti anavasese. Evaṃ samathavipassanāsampanno paṭhamamaggena diṭṭhinissayassa pahīnattā anissito, sesamaggehi chetvā tedhātukaṃ sinehadosaṃ, taṇhārāganti vuttaṃ hoti. Sineho eva hi guṇapaṭipakkhato sinehadosoti vutto. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อาวรณคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Āvaraṇagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๒๓. วิปิฎฺฐิกตฺวานาติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อญฺญตโร ราชา จตุตฺถชฺฌานลาภี อโหสิฯ โสปิ ฌานานุรกฺขณตฺถํ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อตฺตโน ปฎิปตฺติสมฺปทํ ทีเปโนฺต อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    123.Vipiṭṭhikatvānāti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira aññataro rājā catutthajjhānalābhī ahosi. Sopi jhānānurakkhaṇatthaṃ rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā attano paṭipattisampadaṃ dīpento imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ วิปิฎฺฐิกตฺวานาติ ปิฎฺฐิโต กตฺวา, ฉเฑฺฑตฺวา วิชหิตฺวาติ อโตฺถ ฯ สุขญฺจ ทุกฺขนฺติ กายิกํ สาตาสาตํฯ โสมนสฺสโทมนสฺสนฺติ เจตสิกํ สาตาสาตํฯ อุเปกฺขนฺติ จตุตฺถชฺฌานุเปกฺขํฯ สมถนฺติ จตุตฺถชฺฌานสมาธิํ เอวฯ วิสุทฺธนฺติ ปญฺจนีวรณวิตกฺกวิจารปีติสุขสงฺขาเตหิ นวหิ ปจฺจนีกธเมฺมหิ วิมุตฺตตฺตา อติสุทฺธํ, นิทฺธนฺตสุวณฺณมิว วิคตูปกฺกิเลสนฺติ อโตฺถฯ

    Tattha vipiṭṭhikatvānāti piṭṭhito katvā, chaḍḍetvā vijahitvāti attho . Sukhañca dukkhanti kāyikaṃ sātāsātaṃ. Somanassadomanassanti cetasikaṃ sātāsātaṃ. Upekkhanti catutthajjhānupekkhaṃ. Samathanti catutthajjhānasamādhiṃ eva. Visuddhanti pañcanīvaraṇavitakkavicārapītisukhasaṅkhātehi navahi paccanīkadhammehi vimuttattā atisuddhaṃ, niddhantasuvaṇṇamiva vigatūpakkilesanti attho.

    อยํ ปน โยชนา – วิปิฎฺฐิกตฺวาน สุขญฺจ ทุกฺขญฺจ ปุเพฺพว, ปฐมชฺฌานูปจาเรเยว ทุกฺขํ ตติยชฺฌานูปจาเรเยว สุขนฺติ อธิปฺปาโยฯ ปุน อาทิโต วุตฺตํ -การํ ปรโต เนตฺวา ‘‘โสมนสฺสํ โทมนสฺสญฺจ วิปิฎฺฐิกตฺวาน ปุเพฺพวา’’ติ อธิกาโรฯ เตน โสมนสฺสํ จตุตฺถชฺฌานูปจาเร, โทมนสฺสญฺจ ทุติยชฺฌานูปจาเรเยวาติ ทีเปติฯ เอตานิ หิ เอเตสํ ปริยายโต ปหานฎฺฐานานิฯ นิปฺปริยายโต ปน ทุกฺขสฺส ปฐมชฺฌานํ, โทมนสฺสสฺส ทุติยชฺฌานํ, สุขสฺส ตติยชฺฌานํ, โสมนสฺสสฺส จตุตฺถชฺฌานํ ปหานฎฺฐานํฯ ยถาห – ‘‘ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ เอตฺถุปฺปนฺนํ ทุกฺขินฺทฺริยํ อปริเสสํ นิรุชฺฌตี’’ติอาทิกํ (สํ. นิ. ๕.๕๑๐) สพฺพํ อฎฺฐสาลินิยา ธมฺมสงฺคหฎฺฐกถายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๖๕) วุตฺตํฯ ยถา ปุเพฺพวาติ ตีสุ ปฐมชฺฌานาทีสุ ทุกฺขโทมนสฺสสุขานิ วิปิฎฺฐิกตฺวา เอวเมตฺถ จตุตฺถชฺฌาเน โสมนสฺสํ วิปิฎฺฐิกตฺวา อิมาย ปฎิปทาย ลทฺธานุเปกฺขํ สมถํ วิสุทฺธํ เอโก จเรติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Ayaṃ pana yojanā – vipiṭṭhikatvāna sukhañca dukkhañca pubbeva, paṭhamajjhānūpacāreyeva dukkhaṃ tatiyajjhānūpacāreyeva sukhanti adhippāyo. Puna ādito vuttaṃ ca-kāraṃ parato netvā ‘‘somanassaṃ domanassañca vipiṭṭhikatvāna pubbevā’’ti adhikāro. Tena somanassaṃ catutthajjhānūpacāre, domanassañca dutiyajjhānūpacāreyevāti dīpeti. Etāni hi etesaṃ pariyāyato pahānaṭṭhānāni. Nippariyāyato pana dukkhassa paṭhamajjhānaṃ, domanassassa dutiyajjhānaṃ, sukhassa tatiyajjhānaṃ, somanassassa catutthajjhānaṃ pahānaṭṭhānaṃ. Yathāha – ‘‘paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati etthuppannaṃ dukkhindriyaṃ aparisesaṃ nirujjhatī’’tiādikaṃ (saṃ. ni. 5.510) sabbaṃ aṭṭhasāliniyā dhammasaṅgahaṭṭhakathāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 165) vuttaṃ. Yathā pubbevāti tīsu paṭhamajjhānādīsu dukkhadomanassasukhāni vipiṭṭhikatvā evamettha catutthajjhāne somanassaṃ vipiṭṭhikatvā imāya paṭipadāya laddhānupekkhaṃ samathaṃ visuddhaṃ eko careti. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    วิปิฎฺฐิคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vipiṭṭhigāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๒๔. อารทฺธวีริโยติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร ปจฺจนฺตราชา สหสฺสโยธพลกาโย รเชฺชน ขุทฺทโก, ปญฺญาย มหโนฺต อโหสิฯ โส เอกทิวสํ ‘‘กิญฺจาปิ อหํ ขุทฺทโก รเชฺชน, ปญฺญวตา ปน สกฺกา สกลชมฺพุทีปํ คเหตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา สามนฺตรโญฺญ ทูตํ ปาเหสิ – ‘‘สตฺตาหพฺภนฺตเร เม รชฺชํ วา เทตุ ยุทฺธํ วา’’ติฯ ตโต โส อตฺตโน อมเจฺจ สนฺนิปาตาเปตฺวา อาห – ‘‘มยา ตุเมฺห อนาปุจฺฉาเยว สาหสํ กมฺมํ กตํ, อมุกสฺส รโญฺญ เอวํ เปสิตํ, กิํ กาตพฺพ’’นฺติ? เต อาหํสุ – ‘‘สกฺกา, มหาราช, โส ทูโต นิวเตฺตตุ’’นฺติฯ ‘‘น สกฺกา, คโต ภวิสฺสตี’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ วินาสิตมฺหา ตยา, เตน หิ ทุกฺขํ อญฺญสฺส สเตฺถน มริตุํ, หนฺท, มยํ อญฺญมญฺญํ ปหริตฺวา มราม, อตฺตานํ ปหริตฺวา มราม, อุพฺพนฺธาม, วิสํ ขาทามา’’ติฯ เอวํ เอเตสุ เอกเมโก มรณเมว สํวเณฺณติฯ ตโต ราชา ‘‘กิํ เม อิเมหิ, อตฺถิ, ภเณ, มยฺหํ โยธา’’ติ อาหฯ อถ ‘‘อหํ มหาราช โยโธ, อหํ มหาราช โยโธ’’ติ โยธสหสฺสํ อุฎฺฐหิฯ

    124.Āraddhavīriyoti kā uppatti? Aññataro kira paccantarājā sahassayodhabalakāyo rajjena khuddako, paññāya mahanto ahosi. So ekadivasaṃ ‘‘kiñcāpi ahaṃ khuddako rajjena, paññavatā pana sakkā sakalajambudīpaṃ gahetu’’nti cintetvā sāmantarañño dūtaṃ pāhesi – ‘‘sattāhabbhantare me rajjaṃ vā detu yuddhaṃ vā’’ti. Tato so attano amacce sannipātāpetvā āha – ‘‘mayā tumhe anāpucchāyeva sāhasaṃ kammaṃ kataṃ, amukassa rañño evaṃ pesitaṃ, kiṃ kātabba’’nti? Te āhaṃsu – ‘‘sakkā, mahārāja, so dūto nivattetu’’nti. ‘‘Na sakkā, gato bhavissatī’’ti. ‘‘Yadi evaṃ vināsitamhā tayā, tena hi dukkhaṃ aññassa satthena marituṃ, handa, mayaṃ aññamaññaṃ paharitvā marāma, attānaṃ paharitvā marāma, ubbandhāma, visaṃ khādāmā’’ti. Evaṃ etesu ekameko maraṇameva saṃvaṇṇeti. Tato rājā ‘‘kiṃ me imehi, atthi, bhaṇe, mayhaṃ yodhā’’ti āha. Atha ‘‘ahaṃ mahārāja yodho, ahaṃ mahārāja yodho’’ti yodhasahassaṃ uṭṭhahi.

    ราชา ‘‘เอเต อุปปริกฺขิสฺสามี’’ติ มหนฺตํ จิตกํ สชฺชาเปตฺวา อาห – ‘‘มยา, ภเณ, อิทํ สาหสํ กตํ, ตํ เม อมจฺจา ปฎิโกฺกสนฺติ, สฺวาหํ จิตกํ ปวิสิสฺสามิฯ โก มยา สทฺธิํ ปวิสิสฺสติ, เกน มยฺหํ ชีวิตํ ปริจฺจตฺต’’นฺติ? เอวํ วุเตฺต ปญฺจสตา โยธา อุฎฺฐหิํสุ ‘‘มยํ, มหาราช, ปวิสิสฺสามา’’ติฯ ตโต ราชา อิตเร ปญฺจสเต อาห – ‘‘ตุเมฺห ทานิ, ตาตา, กิํ กริสฺสถา’’ติ? เต อาหํสุ – ‘‘นายํ, มหาราช, ปุริสกาโร, อิตฺถิจริยา เอสา, อปิจ มหาราเชน ปฎิรโญฺญ ทูโต เปสิโต, เต มยํ เตน รญฺญา สทฺธิํ ยุชฺฌิตฺวา มริสฺสามา’’ติฯ ตโต ราชา ‘‘ปริจฺจตฺตํ ตุเมฺหหิ มม ชีวิต’’นฺติ จตุรงฺคินิํ เสนํ สนฺนยฺหิตฺวา เตน โยธสหเสฺสน ปริวุโต คนฺตฺวา รชฺชสีมาย นิสีทิฯ

    Rājā ‘‘ete upaparikkhissāmī’’ti mahantaṃ citakaṃ sajjāpetvā āha – ‘‘mayā, bhaṇe, idaṃ sāhasaṃ kataṃ, taṃ me amaccā paṭikkosanti, svāhaṃ citakaṃ pavisissāmi. Ko mayā saddhiṃ pavisissati, kena mayhaṃ jīvitaṃ pariccatta’’nti? Evaṃ vutte pañcasatā yodhā uṭṭhahiṃsu ‘‘mayaṃ, mahārāja, pavisissāmā’’ti. Tato rājā itare pañcasate āha – ‘‘tumhe dāni, tātā, kiṃ karissathā’’ti? Te āhaṃsu – ‘‘nāyaṃ, mahārāja, purisakāro, itthicariyā esā, apica mahārājena paṭirañño dūto pesito, te mayaṃ tena raññā saddhiṃ yujjhitvā marissāmā’’ti. Tato rājā ‘‘pariccattaṃ tumhehi mama jīvita’’nti caturaṅginiṃ senaṃ sannayhitvā tena yodhasahassena parivuto gantvā rajjasīmāya nisīdi.

    โสปิ ปฎิราชา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘อเร, โส ขุทฺทกราชา มม ทาสสฺสาปิ นปฺปโหตี’’ติ ทุสฺสิตฺวา สพฺพํ พลกายํ อาทาย ยุชฺฌิตุํ นิกฺขมิฯ ขุทฺทกราชา ตํ อพฺภุยฺยาตํ ทิสฺวา พลกายํ อาห – ‘‘ตาตา, ตุเมฺห น พหุกา, สเพฺพ สมฺปิณฺฑิตฺวา อสิจมฺมํ คเหตฺวา สีฆํ อิมสฺส รโญฺญ ปุรโต อุชุกํ เอว คจฺฉถา’’ติฯ เต ตถา อกํสุฯ อถสฺส สา เสนา ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา อนฺตรมทาสิฯ เต ตํ ราชานํ ชีวคฺคาหํ คเหตฺวา อตฺตโน รโญฺญ ‘‘ตํ มาเรสฺสามี’’ติ อาคจฺฉนฺตสฺส อทํสุฯ ปฎิราชา ตํ อภยํ ยาจิฯ ราชา ตสฺส อภยํ ทตฺวา สปถํ การาเปตฺวา อตฺตโน วเส กตฺวา เตน สห อญฺญํ ราชานํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ตสฺส รชฺชสีมาย ฐตฺวา เปเสสิ – ‘‘รชฺชํ วา เม เทตุ ยุทฺธํ วา’’ติฯ โส ‘‘อหํ เอกยุทฺธมฺปิ น สหามี’’ติ รชฺชํ นิยฺยาเทสิฯ เอเตนุปาเยน สเพฺพ ราชาโน คเหตฺวา อเนฺต พาราณสิราชานมฺปิ อคฺคเหสิฯ

    Sopi paṭirājā taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘are, so khuddakarājā mama dāsassāpi nappahotī’’ti dussitvā sabbaṃ balakāyaṃ ādāya yujjhituṃ nikkhami. Khuddakarājā taṃ abbhuyyātaṃ disvā balakāyaṃ āha – ‘‘tātā, tumhe na bahukā, sabbe sampiṇḍitvā asicammaṃ gahetvā sīghaṃ imassa rañño purato ujukaṃ eva gacchathā’’ti. Te tathā akaṃsu. Athassa sā senā dvidhā bhinditvā antaramadāsi. Te taṃ rājānaṃ jīvaggāhaṃ gahetvā attano rañño ‘‘taṃ māressāmī’’ti āgacchantassa adaṃsu. Paṭirājā taṃ abhayaṃ yāci. Rājā tassa abhayaṃ datvā sapathaṃ kārāpetvā attano vase katvā tena saha aññaṃ rājānaṃ abbhuggantvā tassa rajjasīmāya ṭhatvā pesesi – ‘‘rajjaṃ vā me detu yuddhaṃ vā’’ti. So ‘‘ahaṃ ekayuddhampi na sahāmī’’ti rajjaṃ niyyādesi. Etenupāyena sabbe rājāno gahetvā ante bārāṇasirājānampi aggahesi.

    โส เอกสตราชปริวุโต สกลชมฺพุทีปรชฺชํ อนุสาสโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ ปุเพฺพ ขุทฺทโก อโหสิํ, โสมฺหิ อิทานิ อตฺตโน ญาณสมฺปตฺติยา สกลชมฺพุทีปมณฺฑลสฺส อิสฺสโร ราชา ชาโตฯ ตํ โข ปน เม ญาณํ โลกิยวีริยสมฺปยุตฺตํ, เนว นิพฺพิทาย น วิราคาย สํวตฺตติ, ยํนูนาหํ อิมินา ญาเณน โลกุตฺตรธมฺมํ คเวเสยฺย’’นฺติฯ ตโต พาราณสิรโญฺญ รชฺชํ ทตฺวา ปุตฺตทารญฺจ สกชนปเทเยว ฐเปตฺวา สพฺพํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อตฺตโน วีริยสมฺปตฺติํ ทีเปโนฺต อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    So ekasatarājaparivuto sakalajambudīparajjaṃ anusāsanto cintesi – ‘‘ahaṃ pubbe khuddako ahosiṃ, somhi idāni attano ñāṇasampattiyā sakalajambudīpamaṇḍalassa issaro rājā jāto. Taṃ kho pana me ñāṇaṃ lokiyavīriyasampayuttaṃ, neva nibbidāya na virāgāya saṃvattati, yaṃnūnāhaṃ iminā ñāṇena lokuttaradhammaṃ gaveseyya’’nti. Tato bārāṇasirañño rajjaṃ datvā puttadārañca sakajanapadeyeva ṭhapetvā sabbaṃ pahāya pabbajitvā vipassanaṃ ārabhitvā paccekabodhiṃ sacchikatvā attano vīriyasampattiṃ dīpento imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ อารทฺธํ วีริยํ อสฺสาติ อารทฺธวีริโยฯ เอเตน อตฺตโน มหาวีริยตํ ทเสฺสติฯ ปรมโตฺถ วุจฺจติ นิพฺพานํ, ปรมตฺถสฺส ปตฺติ ปรมตฺถปตฺติ, ตสฺสา ปรมตฺถปตฺติยาฯ เอเตน วีริยารเมฺภน ปตฺตพฺพํ ผลํ ทเสฺสติฯ อลีนจิโตฺตติ เอเตน วีริยูปตฺถมฺภานํ จิตฺตเจตสิกานํ อลีนตํ ทเสฺสติฯ อกุสีตวุตฺตีติ เอเตน ฐานจงฺกมาทีสุ กายสฺส อนวสีทนํ ทเสฺสติฯ ทฬฺหนิกฺกโมติ เอเตน ‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จา’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๘๔; อ. นิ. ๒.๕; มหานิ. ๑๙๖) เอวํ ปวตฺตํ ปทหนวีริยํ ทเสฺสติ, ยํ ตํ อนุปุพฺพสิกฺขาทีสุ ปทหโนฺต ‘‘กาเยน เจว ปรมตฺถสจฺจํ สจฺฉิกโรตี’’ติ วุจฺจติฯ อถ วา เอเตน มคฺคสมฺปยุตฺตํ วีริยํ ทเสฺสติฯ ตมฺปิ ทฬฺหญฺจ ภาวนาปาริปูริคตตฺตา, นิกฺกโม จ สพฺพโส ปฎิปกฺขา นิกฺขนฺตตฺตา, ตสฺมา ตํสมงฺคีปุคฺคโลปิ ทโฬฺห นิกฺกโม อสฺสาติ ‘‘ทฬฺหนิกฺกโม’’ติ วุจฺจติฯ ถามพลูปปโนฺนติ มคฺคกฺขเณ กายถาเมน จ ญาณพเลน จ อุปปโนฺนฯ อถ วา ถามภูเตน พเลน อุปปโนฺน, ถิรญาณพลูปปโนฺนติ วุตฺตํ โหติฯ เอเตน ตสฺส วีริยสฺส วิปสฺสนาญาณสมฺปโยคํ ทีเปโนฺต โยคปธานภาวํ สาเธติฯ ปุพฺพภาคมชฺฌิมอุกฺกฎฺฐวีริยวเสน วา ตโยปิ ปาทา โยเชตพฺพาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha āraddhaṃ vīriyaṃ assāti āraddhavīriyo. Etena attano mahāvīriyataṃ dasseti. Paramattho vuccati nibbānaṃ, paramatthassa patti paramatthapatti, tassā paramatthapattiyā. Etena vīriyārambhena pattabbaṃ phalaṃ dasseti. Alīnacittoti etena vīriyūpatthambhānaṃ cittacetasikānaṃ alīnataṃ dasseti. Akusītavuttīti etena ṭhānacaṅkamādīsu kāyassa anavasīdanaṃ dasseti. Daḷhanikkamoti etena ‘‘kāmaṃ taco ca nhāru cā’’ti (ma. ni. 2.184; a. ni. 2.5; mahāni. 196) evaṃ pavattaṃ padahanavīriyaṃ dasseti, yaṃ taṃ anupubbasikkhādīsu padahanto ‘‘kāyena ceva paramatthasaccaṃ sacchikarotī’’ti vuccati. Atha vā etena maggasampayuttaṃ vīriyaṃ dasseti. Tampi daḷhañca bhāvanāpāripūrigatattā, nikkamo ca sabbaso paṭipakkhā nikkhantattā, tasmā taṃsamaṅgīpuggalopi daḷho nikkamo assāti ‘‘daḷhanikkamo’’ti vuccati. Thāmabalūpapannoti maggakkhaṇe kāyathāmena ca ñāṇabalena ca upapanno. Atha vā thāmabhūtena balena upapanno, thirañāṇabalūpapannoti vuttaṃ hoti. Etena tassa vīriyassa vipassanāñāṇasampayogaṃ dīpento yogapadhānabhāvaṃ sādheti. Pubbabhāgamajjhimaukkaṭṭhavīriyavasena vā tayopi pādā yojetabbā. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อารทฺธวีริยคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Āraddhavīriyagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๒๕. ปฎิสลฺลานนฺติ กา อุปฺปตฺติ? อิมิสฺสา คาถาย อาวรณคาถาย วิย อุปฺปตฺติ, นตฺถิ โกจิ วิเสโสฯ อตฺถวณฺณนาย ปนสฺสา ปฎิสลฺลานนฺติ เตหิ เตหิ สตฺตสงฺขาเรหิ ปฎินิวตฺติตฺวา สลฺลานํ, เอกมนฺตเสวิตา เอกีภาโว กายวิเวโกติ อโตฺถฯ ฌานนฺติ ปจฺจนีกฌาปนโต อารมฺมณลกฺขณูปนิชฺฌานโต จ จิตฺตวิเวโก วุจฺจติฯ ตตฺถ อฎฺฐ สมาปตฺติโย นีวรณาทิปจฺจนีกฌาปนโต กสิณาทิอารมฺมณูปนิชฺฌานโต จ ‘‘ฌาน’’นฺติ วุจฺจติฯ วิปสฺสนามคฺคผลานิ สตฺตสญฺญาทิปจฺจนีกฌาปนโต ลกฺขณูปนิชฺฌานโต จ ‘‘ฌาน’’นิ วุจฺจติฯ อิธ ปน อารมฺมณูปนิชฺฌานเมว อธิเปฺปตํฯ เอวเมตํ ปฎิสลฺลานญฺจ ฌานญฺจ อริญฺจมาโน อชหมาโน อนิสฺสชฺชมาโนฯ ธเมฺมสูติ วิปสฺสนูปเคสุ ปญฺจกฺขนฺธาทิธเมฺมสุฯ นิจฺจนฺติ สตตํ สมิตํ อโพฺพกิณฺณํฯ อนุธมฺมจารีติ เต ธเมฺม อารพฺภ ปวตฺตเนน อนุคตํ วิปสฺสนาธมฺมํ จรมาโนฯ อถ วา ธเมฺมสูติ เอตฺถ ธมฺมาติ นวโลกุตฺตรธมฺมา, เตสํ ธมฺมานํ อนุโลโม ธโมฺมติ อนุธโมฺม, วิปสฺสนาเยตํ อธิวจนํฯ ตตฺถ ‘‘ธมฺมานํ นิจฺจํ อนุธมฺมจารี’’ติ วตฺตเพฺพ คาถาพนฺธสุขตฺถํ วิภตฺติพฺยตฺตเยน ‘‘ธเมฺมสู’’ติ วุตฺตํ สิยาฯ อาทีนวํ สมฺมสิตา ภเวสูติ ตาย อนุธมฺมจาริตาสงฺขาตาย วิปสฺสนาย อนิจฺจาการาทิโทสํ ตีสุ ภเวสุ สมนุปสฺสโนฺต เอวํ อิมาย กายจิตฺตวิเวกสิขาปตฺตวิปสฺสนาสงฺขาตาย ปฎิปทาย อธิคโตติ วตฺตโพฺพ เอโก จเรติ เอวํ โยชนา เวทิตพฺพาฯ

    125.Paṭisallānanti kā uppatti? Imissā gāthāya āvaraṇagāthāya viya uppatti, natthi koci viseso. Atthavaṇṇanāya panassā paṭisallānanti tehi tehi sattasaṅkhārehi paṭinivattitvā sallānaṃ, ekamantasevitā ekībhāvo kāyavivekoti attho. Jhānanti paccanīkajhāpanato ārammaṇalakkhaṇūpanijjhānato ca cittaviveko vuccati. Tattha aṭṭha samāpattiyo nīvaraṇādipaccanīkajhāpanato kasiṇādiārammaṇūpanijjhānato ca ‘‘jhāna’’nti vuccati. Vipassanāmaggaphalāni sattasaññādipaccanīkajhāpanato lakkhaṇūpanijjhānato ca ‘‘jhāna’’ni vuccati. Idha pana ārammaṇūpanijjhānameva adhippetaṃ. Evametaṃ paṭisallānañca jhānañca ariñcamāno ajahamāno anissajjamāno. Dhammesūti vipassanūpagesu pañcakkhandhādidhammesu. Niccanti satataṃ samitaṃ abbokiṇṇaṃ. Anudhammacārīti te dhamme ārabbha pavattanena anugataṃ vipassanādhammaṃ caramāno. Atha vā dhammesūti ettha dhammāti navalokuttaradhammā, tesaṃ dhammānaṃ anulomo dhammoti anudhammo, vipassanāyetaṃ adhivacanaṃ. Tattha ‘‘dhammānaṃ niccaṃ anudhammacārī’’ti vattabbe gāthābandhasukhatthaṃ vibhattibyattayena ‘‘dhammesū’’ti vuttaṃ siyā. Ādīnavaṃ sammasitā bhavesūti tāya anudhammacāritāsaṅkhātāya vipassanāya aniccākārādidosaṃ tīsu bhavesu samanupassanto evaṃ imāya kāyacittavivekasikhāpattavipassanāsaṅkhātāya paṭipadāya adhigatoti vattabbo eko careti evaṃ yojanā veditabbā.

    ปฎิสลฺลานคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭisallānagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๒๖. ตณฺหกฺขยนฺติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร พาราณสิราชา มหจฺจราชานุภาเวน นครํ ปทกฺขิณํ กโรติฯ ตสฺส สรีรโสภาย อาวชฺชิตหทยา สตฺตา ปุรโต คจฺฉนฺตาปิ นิวตฺติตฺวา ตเมว อุโลฺลเกนฺติ, ปจฺฉโต คจฺฉนฺตาปิ, อุโภหิ ปเสฺสหิ คจฺฉนฺตาปิฯ ปกติยา เอว หิ พุทฺธทสฺสเน ปุณฺณจนฺทสมุทฺทราชทสฺสเน จ อติโตฺต โลโกฯ อถ อญฺญตรา กุฎุมฺพิยภริยาปิ อุปริปาสาทคตา สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา โอโลกยมานา อฎฺฐาสิฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา อมจฺจํ อาณาเปสิ – ‘‘ชานาหิ ตาว, ภเณ, ‘อยํ อิตฺถี สสามิกา วา อสามิกา วา’’’ติ? โส ญตฺวา ‘‘สสามิกา, เทวา’’ติ อาโรเจสิฯ อถ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘อิมา วีสติสหสฺสนาฎกิตฺถิโย เทวจฺฉราโย วิย มํ เอว เอกํ อภิรมาเปนฺติ, โส ทานาหํ เอตาปิ อตุสฺสิตฺวา ปรสฺส อิตฺถิยา ตณฺหํ อุปฺปาเทสิํฯ สา อุปฺปนฺนา อปายเมว อากฑฺฒตี’’ติ ตณฺหาย อาทีนวํ ทิสฺวา ‘‘หนฺท, นํ นิคฺคณฺหามี’’ติ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    126.Taṇhakkhayanti kā uppatti? Aññataro kira bārāṇasirājā mahaccarājānubhāvena nagaraṃ padakkhiṇaṃ karoti. Tassa sarīrasobhāya āvajjitahadayā sattā purato gacchantāpi nivattitvā tameva ullokenti, pacchato gacchantāpi, ubhohi passehi gacchantāpi. Pakatiyā eva hi buddhadassane puṇṇacandasamuddarājadassane ca atitto loko. Atha aññatarā kuṭumbiyabhariyāpi uparipāsādagatā sīhapañjaraṃ vivaritvā olokayamānā aṭṭhāsi. Rājā taṃ disvā paṭibaddhacitto hutvā amaccaṃ āṇāpesi – ‘‘jānāhi tāva, bhaṇe, ‘ayaṃ itthī sasāmikā vā asāmikā vā’’’ti? So ñatvā ‘‘sasāmikā, devā’’ti ārocesi. Atha rājā cintesi – ‘‘imā vīsatisahassanāṭakitthiyo devaccharāyo viya maṃ eva ekaṃ abhiramāpenti, so dānāhaṃ etāpi atussitvā parassa itthiyā taṇhaṃ uppādesiṃ. Sā uppannā apāyameva ākaḍḍhatī’’ti taṇhāya ādīnavaṃ disvā ‘‘handa, naṃ niggaṇhāmī’’ti rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ ตณฺหกฺขยนฺติ นิพฺพานํ, เอวํ ทิฎฺฐาทีนวาย วา ตณฺหาย อปฺปวตฺติํฯ อปฺปมโตฺตติ สาตจฺจการี, สกฺกจฺจการีฯ อเนฬมูโคติ อลาลามุโขฯ อถ วา อเนโฬ จ อมูโค จ, ปณฺฑิโต พฺยโตฺตติ วุตฺตํ โหติฯ หิตสุขสมฺปาปกํ สุตมสฺส อตฺถีติ สุตวา, อาคมสมฺปโนฺนติ วุตฺตํ โหติฯ สตีมาติ จิรกตาทีนํ อนุสฺสริตาฯ สงฺขาตธโมฺมติ ธมฺมูปปริกฺขาย ปริญฺญาตธโมฺมฯ นิยโตติ อริยมเคฺคน นิยตภาวปฺปโตฺตฯ ปธานวาติ สมฺมปฺปธานวีริยสมฺปโนฺนฯ อุปฺปฎิปาฎิยา เอส ปาโฐ โยเชตโพฺพฯ เอวเมว เตหิ อปฺปมาทาทีหิ สมนฺนาคโต นิยามสมฺปาปเกน ปธาเนน ปธานวา, เตน ปธาเนน สมฺปตฺตนิยามโต นิยโต, ตโต อรหตฺตปฺปตฺติยา สงฺขาตธโมฺมฯ อรหา หิ ปุน สงฺขาตพฺพาภาวโต ‘‘สงฺขาตธโมฺม’’ติ วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘เย จ สงฺขาตธมฺมาเส, เย จ เสขา ปุถู อิธา’’ติ (สุ. นิ. ๑๐๔๔; จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๗)ฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha taṇhakkhayanti nibbānaṃ, evaṃ diṭṭhādīnavāya vā taṇhāya appavattiṃ. Appamattoti sātaccakārī, sakkaccakārī. Aneḷamūgoti alālāmukho. Atha vā aneḷo ca amūgo ca, paṇḍito byattoti vuttaṃ hoti. Hitasukhasampāpakaṃ sutamassa atthīti sutavā, āgamasampannoti vuttaṃ hoti. Satīmāti cirakatādīnaṃ anussaritā. Saṅkhātadhammoti dhammūpaparikkhāya pariññātadhammo. Niyatoti ariyamaggena niyatabhāvappatto. Padhānavāti sammappadhānavīriyasampanno. Uppaṭipāṭiyā esa pāṭho yojetabbo. Evameva tehi appamādādīhi samannāgato niyāmasampāpakena padhānena padhānavā, tena padhānena sampattaniyāmato niyato, tato arahattappattiyā saṅkhātadhammo. Arahā hi puna saṅkhātabbābhāvato ‘‘saṅkhātadhammo’’ti vuccati. Yathāha – ‘‘ye ca saṅkhātadhammāse, ye ca sekhā puthū idhā’’ti (su. ni. 1044; cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 7). Sesaṃ vuttanayamevāti.

    ตณฺหกฺขยคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Taṇhakkhayagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๒๗. สีโหวาติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตรสฺส กิร พาราณสิรโญฺญ ทูเร อุยฺยานํ โหติ, โส ปเคว อุฎฺฐาย อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค ยานา โอรุยฺห อุทกฎฺฐานํ อุปคโต ‘‘มุขํ โธวิสฺสามี’’ติฯ ตสฺมิญฺจ ปเทเส สีหี สีหโปตกํ ชเนตฺวา โคจราย คตาฯ ราชปุริโส ตํ ทิสฺวา ‘‘สีหโปตโก, เทวา’’ติ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘สีโห กิร กสฺสจิ น ภายตี’’ติ ตํ อุปปริกฺขิตุํ เภริอาทีนิ อาโกฎาเปสิ, สีหโปตโก ตํ สทฺทํ สุตฺวาปิ ตเถว สยิฯ อถ ยาวตติยํ อาโกฎาเปสิฯ โส ตติยวาเร สีสํ อุกฺขิปิตฺวา สพฺพํ ปริสํ โอโลเกตฺวา ตเถว สยิฯ อถ ราชา ‘‘ยาวสฺส มาตา นาคจฺฉติ, ตาว คจฺฉามา’’ติ วตฺวา คจฺฉโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘ตทหุชาโตปิ สีหโปตโก น สนฺตสติ น ภายติ, กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ ตณฺหาทิฎฺฐิปริตาสํ ฉเฑฺฑตฺวา น สนฺตเสยฺยํ น ภาเยยฺย’’นฺติ? โส ตํ อารมฺมณํ คเหตฺวา คจฺฉโนฺต ปุน เกวเฎฺฎหิ มเจฺฉ คเหตฺวา สาขาสุ พนฺธิตฺวา ปสาริเต ชาเล วาตํ อสงฺคํเยว คจฺฉมานํ ทิสฺวา ตสฺมิํ นิมิตฺตํ อคฺคเหสิ – ‘‘กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ ตณฺหาทิฎฺฐิโมหชาลํ ผาเลตฺวา เอวํ อสชฺชมาโน คเจฺฉยฺย’’นฺติ?

    127.Sīhovāti kā uppatti? Aññatarassa kira bārāṇasirañño dūre uyyānaṃ hoti, so pageva uṭṭhāya uyyānaṃ gacchanto antarāmagge yānā oruyha udakaṭṭhānaṃ upagato ‘‘mukhaṃ dhovissāmī’’ti. Tasmiñca padese sīhī sīhapotakaṃ janetvā gocarāya gatā. Rājapuriso taṃ disvā ‘‘sīhapotako, devā’’ti ārocesi. Rājā ‘‘sīho kira kassaci na bhāyatī’’ti taṃ upaparikkhituṃ bheriādīni ākoṭāpesi, sīhapotako taṃ saddaṃ sutvāpi tatheva sayi. Atha yāvatatiyaṃ ākoṭāpesi. So tatiyavāre sīsaṃ ukkhipitvā sabbaṃ parisaṃ oloketvā tatheva sayi. Atha rājā ‘‘yāvassa mātā nāgacchati, tāva gacchāmā’’ti vatvā gacchanto cintesi – ‘‘tadahujātopi sīhapotako na santasati na bhāyati, kudāssu nāmāhampi taṇhādiṭṭhiparitāsaṃ chaḍḍetvā na santaseyyaṃ na bhāyeyya’’nti? So taṃ ārammaṇaṃ gahetvā gacchanto puna kevaṭṭehi macche gahetvā sākhāsu bandhitvā pasārite jāle vātaṃ asaṅgaṃyeva gacchamānaṃ disvā tasmiṃ nimittaṃ aggahesi – ‘‘kudāssu nāmāhampi taṇhādiṭṭhimohajālaṃ phāletvā evaṃ asajjamāno gaccheyya’’nti?

    อถ อุยฺยานํ คนฺตฺวา สิลาปฎฺฎโปกฺขรณิยา ตีเร นิสิโนฺน วาตพฺภาหตานิ ปทุมานิ โอนมิตฺวา อุทกํ ผุสิตฺวา วาตวิคเม ปุน ยถาฐาเน ฐิตานิ อุทเกน อนุปลิตฺตานิ ทิสฺวา ตสฺมิํ นิมิตฺตํ อคฺคเหสิ – ‘‘กุทาสฺสุ นามาหมฺปิ ยถา เอตานิ อุทเก ชาตานิ อุทเกน อนุปลิตฺตานิ ติฎฺฐนฺติฯ เอวํ โลเก ชาโต โลเกน อนุปลิโตฺต ติเฎฺฐยฺย’’นฺติฯ โส ปุนปฺปุนํ ‘‘ยถา สีโห วาโต ปทุมานิ, เอวํ อสนฺตสเนฺตน อสชฺชมาเนน อนุปลิเตฺตน ภวิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    Atha uyyānaṃ gantvā silāpaṭṭapokkharaṇiyā tīre nisinno vātabbhāhatāni padumāni onamitvā udakaṃ phusitvā vātavigame puna yathāṭhāne ṭhitāni udakena anupalittāni disvā tasmiṃ nimittaṃ aggahesi – ‘‘kudāssu nāmāhampi yathā etāni udake jātāni udakena anupalittāni tiṭṭhanti. Evaṃ loke jāto lokena anupalitto tiṭṭheyya’’nti. So punappunaṃ ‘‘yathā sīho vāto padumāni, evaṃ asantasantena asajjamānena anupalittena bhavitabba’’nti cintetvā rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ สีโหติ จตฺตาโร สีหา – ติณสีโห, ปณฺฑุสีโห, กาฬสีโห, เกสรสีโหติฯ เตสํ เกสรสีโห อคฺคมกฺขายติฯ โส อิธ อธิเปฺปโตฯ วาโต ปุรตฺถิมาทิวเสน อเนกวิโธฯ ปทุมํ รตฺตเสตาทิวเสนฯ เตสุ โย โกจิ วาโต ยํ กิญฺจิ ปทุมญฺจ วฎฺฎติเยวฯ ตตฺถ ยสฺมา สนฺตาโส นาม อตฺตสิเนเหน โหติ, อตฺตสิเนโห จ นาม ตณฺหาเลโป, โสปิ ทิฎฺฐิสมฺปยุเตฺตน วา ทิฎฺฐิวิปฺปยุเตฺตน วา โลเภน โหติ, โสปิ จ ตณฺหาเยวฯ สชฺชนํ ปน ตตฺถ อุปปริกฺขาทิวิรหิตสฺส โมเหน โหติ, โมโห จ อวิชฺชาฯ ตตฺถ สมเถน ตณฺหาย ปหานํ, วิปสฺสนาย อวิชฺชายฯ ตสฺมา สมเถน อตฺตสิเนหํ ปหาย สีโหว สเทฺทสุ อนิจฺจทุกฺขาทีสุ อสนฺตสโนฺต, วิปสฺสนาย โมหํ ปหาย วาโตว ชาลมฺหิ ขนฺธายตนาทีสุ อสชฺชมาโน, สมเถเนว โลภํ โลภสมฺปยุตฺตทิฎฺฐิญฺจ ปหาย, ปทุมํว โตเยน สพฺพภวโภคโลเภน อลิปฺปมาโนฯ เอตฺถ จ สมถสฺส สีลํ ปทฎฺฐานํ, สมโถ สมาธิสฺส, สมาธิ วิปสฺสนายาติ เอวํ ทฺวีสุ ธเมฺมสุ สิเทฺธสุ ตโย ขนฺธา สิทฺธาว โหนฺติฯ ตตฺถ สีลกฺขเนฺธน สูโร โหติฯ โส สีโหว สเทฺทสุ อาฆาตวตฺถูสุ กุชฺฌิตุกามตาย น สนฺตสติ, ปญฺญากฺขเนฺธน ปฎิวิทฺธสภาโว วาโตว ชาลมฺหิ ขนฺธาทิธมฺมเภเท น สชฺชติ, สมาธิกฺขเนฺธน วีตราโค ปทุมํว โตเยน ราเคน น ลิปฺปติฯ เอวํ สมถวิปสฺสนาหิ สีลสมาธิปญฺญากฺขเนฺธหิ จ ยถาสมฺภวํ ตณฺหาวิชฺชานํ ติณฺณญฺจ อกุสลมูลานํ ปหานวเสน อสนฺตสโนฺต อสชฺชมาโน อลิปฺปมาโน จ เวทิตโพฺพฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    Tattha sīhoti cattāro sīhā – tiṇasīho, paṇḍusīho, kāḷasīho, kesarasīhoti. Tesaṃ kesarasīho aggamakkhāyati. So idha adhippeto. Vāto puratthimādivasena anekavidho. Padumaṃ rattasetādivasena. Tesu yo koci vāto yaṃ kiñci padumañca vaṭṭatiyeva. Tattha yasmā santāso nāma attasinehena hoti, attasineho ca nāma taṇhālepo, sopi diṭṭhisampayuttena vā diṭṭhivippayuttena vā lobhena hoti, sopi ca taṇhāyeva. Sajjanaṃ pana tattha upaparikkhādivirahitassa mohena hoti, moho ca avijjā. Tattha samathena taṇhāya pahānaṃ, vipassanāya avijjāya. Tasmā samathena attasinehaṃ pahāya sīhova saddesu aniccadukkhādīsu asantasanto, vipassanāya mohaṃ pahāya vātova jālamhi khandhāyatanādīsu asajjamāno, samatheneva lobhaṃ lobhasampayuttadiṭṭhiñca pahāya, padumaṃva toyena sabbabhavabhogalobhena alippamāno. Ettha ca samathassa sīlaṃ padaṭṭhānaṃ, samatho samādhissa, samādhi vipassanāyāti evaṃ dvīsu dhammesu siddhesu tayo khandhā siddhāva honti. Tattha sīlakkhandhena sūro hoti. So sīhova saddesu āghātavatthūsu kujjhitukāmatāya na santasati, paññākkhandhena paṭividdhasabhāvo vātova jālamhi khandhādidhammabhede na sajjati, samādhikkhandhena vītarāgo padumaṃva toyena rāgena na lippati. Evaṃ samathavipassanāhi sīlasamādhipaññākkhandhehi ca yathāsambhavaṃ taṇhāvijjānaṃ tiṇṇañca akusalamūlānaṃ pahānavasena asantasanto asajjamāno alippamāno ca veditabbo. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    สีหาทิคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sīhādigāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๒๘. สีโห ยถาติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร พาราณสิราชา ปจฺจนฺตํ กุปิตํ วูปสเมตุํ คามานุคามิมคฺคํ ฉเฑฺฑตฺวา อุชุํ อฎวิมคฺคํ คเหตฺวา มหติยา เสนาย คจฺฉติฯ เตน จ สมเยน อญฺญตรสฺมิํ ปพฺพตปาเท สีโห พาลสูริยาตปํ ตปฺปมาโน นิปโนฺน โหติฯ ตํ ทิสฺวา ราชปุริสา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘สีโห กิร น สนฺตสตี’’ติ เภริปณวาทิสทฺทํ การาเปสิ, สีโห ตเถว นิปชฺชิฯ ทุติยมฺปิ การาเปสิ, สีโห ตเถว นิปชฺชิฯ ตติยมฺปิ การาเปสิ, ตทา ‘‘สีโห มม ปฎิสตฺตุ อตฺถี’’ติ จตูหิ ปาเทหิ สุปฺปติฎฺฐิตํ ปติฎฺฐหิตฺวา สีหนาทํ นทิฯ ตํ สุตฺวา หตฺถาโรหาทโย หตฺถิอาทีหิ โอโรหิตฺวา ติณคหนานิ ปวิฎฺฐา, หตฺถิอสฺสคณา ทิสาวิทิสา ปลาตาฯ รโญฺญ หตฺถีปิ ราชานํ คเหตฺวา วนคหนานิ โปถยมาโน ปลายิ ฯ ราชา ตํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต รุกฺขสาขาย โอลมฺพิตฺวา ปถวิํ ปติตฺวา เอกปทิกมเคฺคน คจฺฉโนฺต ปเจฺจกพุทฺธานํ วสนฎฺฐานํ ปาปุณิฯ ตตฺถ ปเจฺจกพุเทฺธ ปุจฺฉิ – ‘‘อปิ, ภเนฺต, สทฺทมสฺสุตฺถา’’ติ? ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘กสฺส สทฺทํ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘ปฐมํ เภริสงฺขาทีนํ, ปจฺฉา สีหสฺสา’’ติ ฯ ‘‘น ภายิตฺถ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘น มยํ, มหาราช, กสฺสจิ สทฺทสฺส ภายามา’’ติฯ ‘‘สกฺกา ปน, ภเนฺต, มยฺหมฺปิ เอทิสํ กาตุ’’นฺติ? ‘‘สกฺกา, มหาราช, สเจ ปพฺพชิสฺสสี’’ติฯ ‘‘ปพฺพชามิ, ภเนฺต’’ติฯ ตโต นํ ปพฺพาเชตฺวา ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว อาภิสมาจาริกํ สิกฺขาเปสุํฯ โสปิ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    128.Sīho yathāti kā uppatti? Aññataro kira bārāṇasirājā paccantaṃ kupitaṃ vūpasametuṃ gāmānugāmimaggaṃ chaḍḍetvā ujuṃ aṭavimaggaṃ gahetvā mahatiyā senāya gacchati. Tena ca samayena aññatarasmiṃ pabbatapāde sīho bālasūriyātapaṃ tappamāno nipanno hoti. Taṃ disvā rājapurisā rañño ārocesuṃ. Rājā ‘‘sīho kira na santasatī’’ti bheripaṇavādisaddaṃ kārāpesi, sīho tatheva nipajji. Dutiyampi kārāpesi, sīho tatheva nipajji. Tatiyampi kārāpesi, tadā ‘‘sīho mama paṭisattu atthī’’ti catūhi pādehi suppatiṭṭhitaṃ patiṭṭhahitvā sīhanādaṃ nadi. Taṃ sutvā hatthārohādayo hatthiādīhi orohitvā tiṇagahanāni paviṭṭhā, hatthiassagaṇā disāvidisā palātā. Rañño hatthīpi rājānaṃ gahetvā vanagahanāni pothayamāno palāyi . Rājā taṃ sandhāretuṃ asakkonto rukkhasākhāya olambitvā pathaviṃ patitvā ekapadikamaggena gacchanto paccekabuddhānaṃ vasanaṭṭhānaṃ pāpuṇi. Tattha paccekabuddhe pucchi – ‘‘api, bhante, saddamassutthā’’ti? ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Kassa saddaṃ, bhante’’ti? ‘‘Paṭhamaṃ bherisaṅkhādīnaṃ, pacchā sīhassā’’ti . ‘‘Na bhāyittha, bhante’’ti. ‘‘Na mayaṃ, mahārāja, kassaci saddassa bhāyāmā’’ti. ‘‘Sakkā pana, bhante, mayhampi edisaṃ kātu’’nti? ‘‘Sakkā, mahārāja, sace pabbajissasī’’ti. ‘‘Pabbajāmi, bhante’’ti. Tato naṃ pabbājetvā pubbe vuttanayeneva ābhisamācārikaṃ sikkhāpesuṃ. Sopi pubbe vuttanayeneva vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ สหนา จ หนนา จ สีฆชวตฺตา จ สีโหฯ เกสรสีโหว อิธ อธิเปฺปโตฯ ทาฐา พลมสฺส อตฺถีติ ทาฐพลีฯ ปสยฺห อภิภุยฺยาติ อุภยํ จารี-สเทฺทน สห โยเชตพฺพํ ปสยฺหจารี อภิภุยฺยจารีติฯ ตตฺถ ปสยฺห นิคฺคเหตฺวา จรเณน ปสยฺหจารี, อภิภวิตฺวา สนฺตาเสตฺวา วสีกตฺวา จรเณน อภิภุยฺยจารีฯ สฺวายํ กายพเลน ปสยฺหจารี, เตชสา อภิภุยฺยจารี, ตตฺถ สเจ โกจิ วเทยฺย – ‘‘กิํ ปสยฺห อภิภุยฺย จารี’’ติ, ตโต มิคานนฺติ สามิวจนํ อุปโยคเตฺถ กตฺวา ‘‘มิเค ปสยฺห อภิภุยฺย จารี’’ติ ปฎิวตฺตพฺพํฯ ปนฺตานีติ ทูรานิฯ เสนาสนานีติ วสนฎฺฐานานิฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว สกฺกา ชานิตุนฺติ น วิตฺถาริตนฺติฯ

    Tattha sahanā ca hananā ca sīghajavattā ca sīho. Kesarasīhova idha adhippeto. Dāṭhā balamassa atthīti dāṭhabalī. Pasayha abhibhuyyāti ubhayaṃ cārī-saddena saha yojetabbaṃ pasayhacārī abhibhuyyacārīti. Tattha pasayha niggahetvā caraṇena pasayhacārī, abhibhavitvā santāsetvā vasīkatvā caraṇena abhibhuyyacārī. Svāyaṃ kāyabalena pasayhacārī, tejasā abhibhuyyacārī, tattha sace koci vadeyya – ‘‘kiṃ pasayha abhibhuyya cārī’’ti, tato migānanti sāmivacanaṃ upayogatthe katvā ‘‘mige pasayha abhibhuyya cārī’’ti paṭivattabbaṃ. Pantānīti dūrāni. Senāsanānīti vasanaṭṭhānāni. Sesaṃ vuttanayeneva sakkā jānitunti na vitthāritanti.

    ทาฐพลีคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dāṭhabalīgāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๒๙. เมตฺตํ อุเปกฺขนฺติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร กิร ราชา เมตฺตาทิฌานลาภี อโหสิฯ โส ‘‘ฌานสุขนฺตราโย รชฺช’’นฺติ ฌานานุรกฺขณตฺถํ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    129.Mettaṃ upekkhanti kā uppatti? Aññataro kira rājā mettādijhānalābhī ahosi. So ‘‘jhānasukhantarāyo rajja’’nti jhānānurakkhaṇatthaṃ rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ ‘‘สเพฺพ สตฺตา สุขิตา ภวนฺตู’’ติอาทินา นเยน หิตสุขูปนยนกามตา เมตฺตาฯ ‘‘อโห วต อิมมฺหา ทุกฺขา มุเจฺจยฺยุ’’นฺติอาทินา นเยน อหิตทุกฺขาปนยนกามตา กรุณาฯ ‘‘โมทนฺติ วต โภโนฺต สตฺตา, โมทนฺติ สาธุ สุฎฺฐู’’ติอาทินา นเยน หิตสุขาวิปฺปโยคกามตา มุทิตาฯ ‘‘ปญฺญายิสฺสนฺติ สเกน กเมฺมนา’’ติ สุขทุกฺขอชฺฌุเปกฺขนตา อุเปกฺขาฯ คาถาพนฺธสุขตฺถํ ปน อุปฺปฎิปาฎิยา เมตฺตํ วตฺวา อุเปกฺขา วุตฺตา, มุทิตา จ ปจฺฉาฯ วิมุตฺตินฺติ จตโสฺสปิ เอตา อตฺตโน ปจฺจนีกธเมฺมหิ วิมุตฺตตฺตา วิมุตฺติโยฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เมตฺตํ อุเปกฺขํ กรุณํ วิมุตฺติํ, อาเสวมาโน มุทิตญฺจ กาเล’’ติฯ

    Tattha ‘‘sabbe sattā sukhitā bhavantū’’tiādinā nayena hitasukhūpanayanakāmatā mettā. ‘‘Aho vata imamhā dukkhā mucceyyu’’ntiādinā nayena ahitadukkhāpanayanakāmatā karuṇā. ‘‘Modanti vata bhonto sattā, modanti sādhu suṭṭhū’’tiādinā nayena hitasukhāvippayogakāmatā muditā. ‘‘Paññāyissanti sakena kammenā’’ti sukhadukkhaajjhupekkhanatā upekkhā. Gāthābandhasukhatthaṃ pana uppaṭipāṭiyā mettaṃ vatvā upekkhā vuttā, muditā ca pacchā. Vimuttinti catassopi etā attano paccanīkadhammehi vimuttattā vimuttiyo. Tena vuttaṃ – ‘‘mettaṃ upekkhaṃ karuṇaṃ vimuttiṃ, āsevamāno muditañca kāle’’ti.

    ตตฺถ อาเสวมาโนติ ติโสฺส ติกจตุกฺกชฺฌานวเสน, อุเปกฺขํ จตุตฺถชฺฌานวเสน ภาวยมาโน ฯ กาเลติ เมตฺตํ อาเสวิตฺวา ตโต วุฎฺฐาย กรุณํ, ตโต วุฎฺฐาย มุทิตํ, ตโต อิตรโต วา นิปฺปีติกชฺฌานโต วุฎฺฐาย อุเปกฺขํ อาเสวมาโน เอว ‘‘กาเล อาเสวมาโน’’ติ วุจฺจติ, อาเสวิตุํ วา ผาสุกกาเลฯ สเพฺพน โลเกน อวิรุชฺฌมาโนติ ทสสุ ทิสาสุ สเพฺพน สตฺตโลเกน อวิรุชฺฌมาโนฯ เมตฺตาทีนญฺหิ ภาวิตตฺตา สตฺตา อปฺปฎิกูลา โหนฺติ, สเตฺตสุ จ วิโรธิภูโต ปฎิโฆ วูปสมฺมติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สเพฺพน โลเกน อวิรุชฺฌมาโน’’ติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน เมตฺตาทิกถา อฎฺฐสาลินิยา ธมฺมสงฺคหฎฺฐกถายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๒๕๑) วุตฺตาฯ เสสํ วุตฺตสทิสเมวาติฯ

    Tattha āsevamānoti tisso tikacatukkajjhānavasena, upekkhaṃ catutthajjhānavasena bhāvayamāno . Kāleti mettaṃ āsevitvā tato vuṭṭhāya karuṇaṃ, tato vuṭṭhāya muditaṃ, tato itarato vā nippītikajjhānato vuṭṭhāya upekkhaṃ āsevamāno eva ‘‘kāle āsevamāno’’ti vuccati, āsevituṃ vā phāsukakāle. Sabbena lokena avirujjhamānoti dasasu disāsu sabbena sattalokena avirujjhamāno. Mettādīnañhi bhāvitattā sattā appaṭikūlā honti, sattesu ca virodhibhūto paṭigho vūpasammati. Tena vuttaṃ – ‘‘sabbena lokena avirujjhamāno’’ti. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana mettādikathā aṭṭhasāliniyā dhammasaṅgahaṭṭhakathāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 251) vuttā. Sesaṃ vuttasadisamevāti.

    อปฺปมญฺญาคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Appamaññāgāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๓๐. ราคญฺจ โทสญฺจาติ กา อุปฺปตฺติ? ราชคหํ กิร นิสฺสาย มาตโงฺค นาม ปเจฺจกพุโทฺธ วิหรติ สพฺพปจฺฉิโม ปเจฺจกพุทฺธานํฯ อถ อมฺหากํ โพธิสเตฺต อุปฺปเนฺน เทวตาโย โพธิสตฺตสฺส ปูชนตฺถาย อาคจฺฉนฺติโย ตํ ทิสฺวา ‘‘มาริสา, มาริสา, พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน’’ติ ภณิํสุฯ โส นิโรธา วุฎฺฐหโนฺต ตํ สุตฺวา อตฺตโน ชีวิตกฺขยํ ทิสฺวา หิมวเนฺต มหาปปาโต นาม ปพฺพโต ปเจฺจกพุทฺธานํ ปรินิพฺพานฎฺฐานํฯ ตตฺถ อากาเสน คนฺตฺวา ปุเพฺพ ปรินิพฺพุตปเจฺจกพุทฺธสฺส อฎฺฐิสงฺฆาตํ ปปาเต ปกฺขิปิตฺวา สิลาตเล นิสีทิตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    130.Rāgañca dosañcāti kā uppatti? Rājagahaṃ kira nissāya mātaṅgo nāma paccekabuddho viharati sabbapacchimo paccekabuddhānaṃ. Atha amhākaṃ bodhisatte uppanne devatāyo bodhisattassa pūjanatthāya āgacchantiyo taṃ disvā ‘‘mārisā, mārisā, buddho loke uppanno’’ti bhaṇiṃsu. So nirodhā vuṭṭhahanto taṃ sutvā attano jīvitakkhayaṃ disvā himavante mahāpapāto nāma pabbato paccekabuddhānaṃ parinibbānaṭṭhānaṃ. Tattha ākāsena gantvā pubbe parinibbutapaccekabuddhassa aṭṭhisaṅghātaṃ papāte pakkhipitvā silātale nisīditvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ ราคโทสโมหา อุรคสุเตฺต วุตฺตาวฯ สํโยชนานีติ ทส สํโยชนานิ, ตานิ จ เตน เตน มเคฺคน สนฺทาลยิตฺวาฯ อสนฺตสํ ชีวิตสงฺขยมฺหีติ ชีวิตสงฺขโย วุจฺจติ จุติจิตฺตสฺส ปริเภโทฯ ตสฺมิญฺจ ชีวิตสงฺขเย ชีวิตนิกนฺติยา ปหีนตฺตา อสนฺตสนฺติฯ เอตฺตาวตา โสปาทิเสสํ นิพฺพานธาตุํ อตฺตโน ทเสฺสตฺวา คาถาปริโยสาเน อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายีติฯ

    Tattha rāgadosamohā uragasutte vuttāva. Saṃyojanānīti dasa saṃyojanāni, tāni ca tena tena maggena sandālayitvā. Asantasaṃ jīvitasaṅkhayamhīti jīvitasaṅkhayo vuccati cuticittassa paribhedo. Tasmiñca jīvitasaṅkhaye jīvitanikantiyā pahīnattā asantasanti. Ettāvatā sopādisesaṃ nibbānadhātuṃ attano dassetvā gāthāpariyosāne anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyīti.

    ชีวิตสงฺขยคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Jīvitasaṅkhayagāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๓๑. ภชนฺตีติ กา อุปฺปตฺติ? พาราณสิยํ กิร อญฺญตโร ราชา อาทิคาถาย วุตฺตปฺปการเมว ผีตํ รชฺชํ สมนุสาสติฯ ตสฺส ขโร อาพาโธ อุปฺปชฺชิ, ทุกฺขา เวทนา ปวตฺตนฺติฯ วีสติสหสฺสิตฺถิโย ตํ ปริวาเรตฺวา หตฺถปาทสมฺพาหนาทีนิ กโรนฺติฯ อมจฺจา ‘‘น ทานายํ ราชา ชีวิสฺสติ, หนฺท, มยํ อตฺตโน สรณํ คเวสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา อญฺญตรสฺส รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา อุปฎฺฐานํ ยาจิํสุฯ เต ตตฺถ อุปฎฺฐหนฺติเยว, น กิญฺจิ ลภนฺติฯ ราชา อาพาธา วุฎฺฐหิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘อิตฺถนฺนาโม จ อิตฺถนฺนาโม จ กุหิ’’นฺติ? ตโต ตํ ปวตฺติํ สุตฺวาว สีสํ จาเลตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ เตปิ อมจฺจา ‘‘ราชา วุฎฺฐิโต’’ติ สุตฺวา ตตฺถ กิญฺจิ อลภมานา ปรเมน ปาริชุเญฺญน ปีฬิตา ปุนเทว อาคนฺตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสุฯ เตน จ รญฺญา ‘‘กุหิํ, ตาตา, ตุเมฺห คตา’’ติ วุตฺตา อาหํสุ – ‘‘เทวํ ทุพฺพลํ ทิสฺวา อาชีวิกภเยนมฺหา อสุกํ นาม ชนปทํ คตา’’ติฯ ราชา สีสํ จาเลตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘ยํนูนาหํ ตเมว อาพาธํ ทเสฺสสฺสํ, กิํ ปุนปิ เอวํ กเรยฺยุํ, โน’’ติ? โส ปุเพฺพ โรเคน ผุโฎฺฐ วิย พาฬฺหํ เวทนํ ทเสฺสโนฺต คิลานาลยํ อกาสิฯ อิตฺถิโย สมฺปริวาเรตฺวา ปุพฺพสทิสเมว สพฺพํ อกํสุฯ เตปิ อมจฺจา ตเถว ปุน พหุตรํ ชนํ คเหตฺวา ปกฺกมิํสุฯ เอวํ ราชา ยาวตติยํ สพฺพํ ปุพฺพสทิสํ อกาสิ, เตปิ ตเถว ปกฺกมิํสุฯ ตโต จตุตฺถมฺปิ เต อาคเต ทิสฺวา ราชา – ‘‘อโห! อิเม ทุกฺกรํ อกํสุ, เย มํ พฺยาธิตํ ปหาย อนเปกฺขา ปกฺกมิํสู’’ติ นิพฺพิโนฺน รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสโนฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกตฺวา อิมํ อุทานคาถํ อภาสิฯ

    131.Bhajantīti kā uppatti? Bārāṇasiyaṃ kira aññataro rājā ādigāthāya vuttappakārameva phītaṃ rajjaṃ samanusāsati. Tassa kharo ābādho uppajji, dukkhā vedanā pavattanti. Vīsatisahassitthiyo taṃ parivāretvā hatthapādasambāhanādīni karonti. Amaccā ‘‘na dānāyaṃ rājā jīvissati, handa, mayaṃ attano saraṇaṃ gavesāmā’’ti cintetvā aññatarassa rañño santikaṃ gantvā upaṭṭhānaṃ yāciṃsu. Te tattha upaṭṭhahantiyeva, na kiñci labhanti. Rājā ābādhā vuṭṭhahitvā pucchi – ‘‘itthannāmo ca itthannāmo ca kuhi’’nti? Tato taṃ pavattiṃ sutvāva sīsaṃ cāletvā tuṇhī ahosi. Tepi amaccā ‘‘rājā vuṭṭhito’’ti sutvā tattha kiñci alabhamānā paramena pārijuññena pīḷitā punadeva āgantvā rājānaṃ vanditvā ekamantaṃ aṭṭhaṃsu. Tena ca raññā ‘‘kuhiṃ, tātā, tumhe gatā’’ti vuttā āhaṃsu – ‘‘devaṃ dubbalaṃ disvā ājīvikabhayenamhā asukaṃ nāma janapadaṃ gatā’’ti. Rājā sīsaṃ cāletvā cintesi – ‘‘yaṃnūnāhaṃ tameva ābādhaṃ dassessaṃ, kiṃ punapi evaṃ kareyyuṃ, no’’ti? So pubbe rogena phuṭṭho viya bāḷhaṃ vedanaṃ dassento gilānālayaṃ akāsi. Itthiyo samparivāretvā pubbasadisameva sabbaṃ akaṃsu. Tepi amaccā tatheva puna bahutaraṃ janaṃ gahetvā pakkamiṃsu. Evaṃ rājā yāvatatiyaṃ sabbaṃ pubbasadisaṃ akāsi, tepi tatheva pakkamiṃsu. Tato catutthampi te āgate disvā rājā – ‘‘aho! Ime dukkaraṃ akaṃsu, ye maṃ byādhitaṃ pahāya anapekkhā pakkamiṃsū’’ti nibbinno rajjaṃ pahāya pabbajitvā vipassanto paccekabodhiṃ sacchikatvā imaṃ udānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ ภชนฺตีติ สรีเรน อลฺลียนฺตา ปยิรุปาสนฺติฯ เสวนฺตีติ อญฺชลิกมฺมาทีหิ กิํการปฎิสฺสาวิตาย จ ปริจรนฺติฯ การณํ อโตฺถ เอเตสนฺติ การณตฺถา, ภชนาย จ เสวนาย จ นาญฺญํ การณมตฺถิ, อโตฺถ เอว เนสํ การณํ, อตฺถเหตุ เสวนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ นิกฺการณา ทุลฺลภา อชฺช มิตฺตาติ ‘‘อิโต กิญฺจิ ลจฺฉามา’’ติ เอวํ อตฺตปฎิลาภการเณน นิกฺการณา, เกวลํ –

    Tattha bhajantīti sarīrena allīyantā payirupāsanti. Sevantīti añjalikammādīhi kiṃkārapaṭissāvitāya ca paricaranti. Kāraṇaṃ attho etesanti kāraṇatthā, bhajanāya ca sevanāya ca nāññaṃ kāraṇamatthi, attho eva nesaṃ kāraṇaṃ, atthahetu sevantīti vuttaṃ hoti. Nikkāraṇādullabhā ajja mittāti ‘‘ito kiñci lacchāmā’’ti evaṃ attapaṭilābhakāraṇena nikkāraṇā, kevalaṃ –

    ‘‘อุปกาโร จ โย มิโตฺต, โย มิโตฺต สุขทุกฺขโก;

    ‘‘Upakāro ca yo mitto, yo mitto sukhadukkhako;

    อตฺถกฺขายี จ โย มิโตฺต, โย มิโตฺต อนุกมฺปโก’’ติฯ (ที. นิ. ๓.๒๖๕) –

    Atthakkhāyī ca yo mitto, yo mitto anukampako’’ti. (dī. ni. 3.265) –

    เอวํ วุเตฺตน อริเยน มิตฺตภาเวน สมนฺนาคตา ทุลฺลภา อชฺช มิตฺตาฯ อตฺตฎฺฐปญฺญาติ อตฺตนิ ฐิตา เอเตสํ ปญฺญาฯ อตฺตานเมว โอโลเกติ, น อญฺญนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อตฺตตฺถปญฺญา’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺส อตฺตโน อตฺถเมว โอโลเกติ, น ปรตฺถนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ทิฎฺฐตฺถปญฺญา’’ติ อยมฺปิ กิร โปราณปาโฐ, ตสฺส สมฺปติ ทิเฎฺฐเยว อเตฺถ เอเตสํ ปญฺญา , น อายตินฺติ อโตฺถฯ ทิฎฺฐธมฺมิกตฺถํเยว โอโลเกติ, น สมฺปรายิกตฺถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อสุจีติ อสุจินา อนริเยน กายวจีมโนกเมฺมน สมนฺนาคตาฯ

    Evaṃ vuttena ariyena mittabhāvena samannāgatā dullabhā ajja mittā. Attaṭṭhapaññāti attani ṭhitā etesaṃ paññā. Attānameva oloketi, na aññanti attho. ‘‘Attatthapaññā’’tipi pāṭho, tassa attano atthameva oloketi, na paratthanti attho. ‘‘Diṭṭhatthapaññā’’ti ayampi kira porāṇapāṭho, tassa sampati diṭṭheyeva atthe etesaṃ paññā , na āyatinti attho. Diṭṭhadhammikatthaṃyeva oloketi, na samparāyikatthanti vuttaṃ hoti. Asucīti asucinā anariyena kāyavacīmanokammena samannāgatā.

    ขคฺควิสาณกโปฺปติ ขเคฺคน รุกฺขาทโย ฉินฺทโนฺต วิย สกสิเงฺคน ปพฺพตาทโย จุณฺณวิจุณฺณํ กุรุมาโน วิจรตีติ ขคฺควิสาโณฯ วิสสทิสา อาณาติ วิสาณาฯ ขคฺคํ วิยาติ ขคฺคํฯ ขคฺคํ วิสาณํ ยสฺส มิคสฺส โสยํ มิโค ขคฺควิสาโณ, ตสฺส ขคฺควิสาณสฺส กโปฺป ขคฺควิสาณกโปฺปฯ ขคฺควิสาณสทิโส ปเจฺจกพุโทฺธ เอโก อทุติโย อสหาโย จเรยฺย วิหเรยฺย วเตฺตยฺย ยเปยฺย ยาเปยฺยาติ อโตฺถฯ

    Khaggavisāṇakappoti khaggena rukkhādayo chindanto viya sakasiṅgena pabbatādayo cuṇṇavicuṇṇaṃ kurumāno vicaratīti khaggavisāṇo. Visasadisā āṇāti visāṇā. Khaggaṃ viyāti khaggaṃ. Khaggaṃ visāṇaṃ yassa migassa soyaṃ migo khaggavisāṇo, tassa khaggavisāṇassa kappo khaggavisāṇakappo. Khaggavisāṇasadiso paccekabuddho eko adutiyo asahāyo careyya vihareyya vatteyya yapeyya yāpeyyāti attho.

    ๑๓๒. วิสุทฺธสีลาติ วิเสเสน สุทฺธสีลา, จตุปาริสุทฺธิยา สุทฺธสีลาฯ สุวิสุทฺธปญฺญาติ สุฎฺฐุ วิสุทฺธปญฺญา, ราคาทิวิรหิตตฺตา ปริสุทฺธมคฺคผลปฎิสมฺภิทาทิปญฺญาฯ สมาหิตาติ สํ สุฎฺฐุ อาหิตา, สนฺติเก ฐปิตจิตฺตาฯ ชาคริยานุยุตฺตาติ ชาครณํ ชาคโร, นิทฺทาติกฺกโมติ อโตฺถฯ ชาครสฺส ภาโว ชาคริยํ, ชาคริเย อนุยุตฺตา ชาคริยานุยุตฺตาฯ วิปสฺสกาติ ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา’’ติ วิเสเสน ปสฺสนสีลา, วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา วิหรนฺตีติ อโตฺถฯ ธมฺมวิเสสทสฺสีติ ทสกุสลธมฺมานํ จตุสจฺจธมฺมสฺส นวโลกุตฺตรธมฺมสฺส วา วิเสเสน ปสฺสนสีลาฯ มคฺคงฺคโพชฺฌงฺคคเตติ สมฺมาทิฎฺฐาทีหิ มคฺคเงฺคหิ สติสโมฺพชฺฌงฺคาทีหิ โพชฺฌเงฺคหิ คเต สมฺปยุเตฺต อริยธเมฺมฯ วิชญฺญาติ วิเสเสน ชญฺญา, ชานนฺตาติ อโตฺถฯ

    132.Visuddhasīlāti visesena suddhasīlā, catupārisuddhiyā suddhasīlā. Suvisuddhapaññāti suṭṭhu visuddhapaññā, rāgādivirahitattā parisuddhamaggaphalapaṭisambhidādipaññā. Samāhitāti saṃ suṭṭhu āhitā, santike ṭhapitacittā. Jāgariyānuyuttāti jāgaraṇaṃ jāgaro, niddātikkamoti attho. Jāgarassa bhāvo jāgariyaṃ, jāgariye anuyuttā jāgariyānuyuttā. Vipassakāti ‘‘aniccaṃ dukkhaṃ anattā’’ti visesena passanasīlā, vipassanaṃ paṭṭhapetvā viharantīti attho. Dhammavisesadassīti dasakusaladhammānaṃ catusaccadhammassa navalokuttaradhammassa vā visesena passanasīlā. Maggaṅgabojjhaṅgagateti sammādiṭṭhādīhi maggaṅgehi satisambojjhaṅgādīhi bojjhaṅgehi gate sampayutte ariyadhamme. Vijaññāti visesena jaññā, jānantāti attho.

    ๑๓๓. สุญฺญตาปฺปณิหิตญฺจานิมิตฺตนฺติ อนตฺตานุปสฺสนาวเสน สุญฺญตวิโมกฺขญฺจ ทุกฺขานุปสฺสนาวเสน อปฺปณิหิตวิโมกฺขญฺจ, อนิจฺจานุปสฺสนาวเสน อนิมิตฺตวิโมกฺขญฺจฯ อาเสวยิตฺวาติ วเฑฺฒตฺวาฯ เย กตสมฺภารา ธีรา ชนา ชินสาสนมฺหิ สาวกตฺตํ สาวกภาวํ น วชนฺติ น ปาปุณนฺติ, เต ธีรา กตสมฺภารา สยมฺภู สยเมว ภูตา ปเจฺจกชินา ปเจฺจกพุทฺธา ภวนฺติ

    133.Suññatāppaṇihitañcānimittanti anattānupassanāvasena suññatavimokkhañca dukkhānupassanāvasena appaṇihitavimokkhañca, aniccānupassanāvasena animittavimokkhañca. Āsevayitvāti vaḍḍhetvā. Ye katasambhārā dhīrā janā jinasāsanamhi sāvakattaṃ sāvakabhāvaṃ na vajanti na pāpuṇanti, te dhīrā katasambhārā sayambhū sayameva bhūtā paccekajinā paccekabuddhā bhavanti.

    ๑๓๔. กิํ ภูตา? มหนฺตธมฺมา ปูริตมหาสมฺภารา พหุธมฺมกายา อเนกธมฺมสภาวสรีราฯ ปุนปิ กิํ ภูตา? จิตฺติสฺสรา จิตฺตคติกา ฌานสมฺปนฺนาติ อโตฺถฯ สพฺพทุโกฺขฆติณฺณา สกลสํสารโอฆํ ติณฺณา อติกฺกนฺตา อุทคฺคจิตฺตา โกธมานาทิกิเลสวิรหิตตฺตา โสมนสฺสจิตฺตา สนฺตมนาติ อโตฺถฯ ปรมตฺถทสฺสี ปญฺจกฺขนฺธทฺวาทสายตนทฺวตฺติํสาการสจฺจปฎิจฺจสมุปฺปาทาทิวเสน ปรมตฺถํ อุตฺตมตฺถํ ทสฺสนสีลาฯ อจลาภีตเฎฺฐน สีโหปมา สีหสทิสาติ อโตฺถฯ ขคฺควิสาณกปฺปา ขคฺควิสาณมิคสิงฺคสทิสา คณสงฺคณิกาภาเวนาติ อโตฺถฯ

    134. Kiṃ bhūtā? Mahantadhammā pūritamahāsambhārā bahudhammakāyā anekadhammasabhāvasarīrā. Punapi kiṃ bhūtā? Cittissarā cittagatikā jhānasampannāti attho. Sabbadukkhoghatiṇṇā sakalasaṃsāraoghaṃ tiṇṇā atikkantā udaggacittā kodhamānādikilesavirahitattā somanassacittā santamanāti attho. Paramatthadassī pañcakkhandhadvādasāyatanadvattiṃsākārasaccapaṭiccasamuppādādivasena paramatthaṃ uttamatthaṃ dassanasīlā. Acalābhītaṭṭhena sīhopamā sīhasadisāti attho. Khaggavisāṇakappā khaggavisāṇamigasiṅgasadisā gaṇasaṅgaṇikābhāvenāti attho.

    ๑๓๕. สนฺตินฺทฺริยาติ จกฺขุนฺทฺริยาทีนํ สกสการมฺมเณ อปฺปวตฺตนโต สนฺตสภาวอินฺทฺริยา ฯ สนฺตมนาติ สนฺตจิตฺตา, นิกฺกิเลสภาเวน สนฺตสภาวจิตฺตสงฺกปฺปาติ อโตฺถฯ สมาธีติ สุฎฺฐุ เอกคฺคจิตฺตาฯ ปจฺจนฺตสเตฺตสุ ปติปฺปจาราติ ปจฺจนฺตชนปเทสุ สเตฺตสุ ทยากรุณาทีหิ ปติจรณสีลาฯ ทีปา ปรตฺถ อิธ วิชฺชลนฺตาติ สกลโลกานุคฺคหกรเณน ปรโลเก จ อิธโลเก จ วิชฺชลนฺตา ทีปา ปทีปสทิสาติ อโตฺถฯ ปเจฺจกพุทฺธา สตตํ หิตาเมติ อิเม ปเจฺจกพุทฺธา สตตํ สพฺพกาลํ สกลโลกหิตาย ปฎิปนฺนาติ อโตฺถฯ

    135.Santindriyāti cakkhundriyādīnaṃ sakasakārammaṇe appavattanato santasabhāvaindriyā . Santamanāti santacittā, nikkilesabhāvena santasabhāvacittasaṅkappāti attho. Samādhīti suṭṭhu ekaggacittā. Paccantasattesu patippacārāti paccantajanapadesu sattesu dayākaruṇādīhi paticaraṇasīlā. Dīpā parattha idha vijjalantāti sakalalokānuggahakaraṇena paraloke ca idhaloke ca vijjalantā dīpā padīpasadisāti attho. Paccekabuddhā satataṃ hitāmeti ime paccekabuddhā satataṃ sabbakālaṃ sakalalokahitāya paṭipannāti attho.

    ๑๓๖. ปหีนสพฺพาวรณา ชนินฺทาติ เต ปเจฺจกพุทฺธา ชนานํ อินฺทา อุตฺตมา กามจฺฉนฺทนีวรณาทีนํ สเพฺพสํ ปญฺจาวรณานํ ปหีนตฺตา ปหีนสพฺพาวรณาฯ ฆนกญฺจนาภาติ รตฺตสุวณฺณชโมฺพนทสุวณฺณปภา สทิสอาภาวนฺตาติ อโตฺถฯ นิสฺสํสยํ โลกสุทกฺขิเณยฺยาติ เอกเนฺตน โลกสฺส สุทกฺขิณาย อคฺคทานสฺส ปฎิคฺคเหตุํ อรหา ยุตฺตา, นิกฺกิเลสตฺตา สุนฺทรทานปฎิคฺคหณารหาติ อโตฺถฯ ปเจฺจกพุทฺธา สตตปฺปิตาเมติ อิเม ปเจฺจกญาณาธิคมา พุทฺธา สตตํ นิจฺจกาลํ อปฺปิตา สุหิตา ปริปุณฺณา, สตฺตาหํ นิราหาราปิ นิโรธสมาปตฺติผลสมาปตฺติวเสน ปริปุณฺณาติ อโตฺถฯ

    136.Pahīnasabbāvaraṇājanindāti te paccekabuddhā janānaṃ indā uttamā kāmacchandanīvaraṇādīnaṃ sabbesaṃ pañcāvaraṇānaṃ pahīnattā pahīnasabbāvaraṇā. Ghanakañcanābhāti rattasuvaṇṇajambonadasuvaṇṇapabhā sadisaābhāvantāti attho. Nissaṃsayaṃ lokasudakkhiṇeyyāti ekantena lokassa sudakkhiṇāya aggadānassa paṭiggahetuṃ arahā yuttā, nikkilesattā sundaradānapaṭiggahaṇārahāti attho. Paccekabuddhā satatappitāmeti ime paccekañāṇādhigamā buddhā satataṃ niccakālaṃ appitā suhitā paripuṇṇā, sattāhaṃ nirāhārāpi nirodhasamāpattiphalasamāpattivasena paripuṇṇāti attho.

    ๑๓๗. ปติเอกา วิสุํ สมฺมาสมฺพุทฺธโต วิสทิสา อเญฺญ อสาธารณพุทฺธา ปเจฺจกพุทฺธาฯ อถ วา –

    137. Patiekā visuṃ sammāsambuddhato visadisā aññe asādhāraṇabuddhā paccekabuddhā. Atha vā –

    ‘‘อุปสคฺคา นิปาตา จ, ปจฺจยา จ อิเม ตโย;

    ‘‘Upasaggā nipātā ca, paccayā ca ime tayo;

    เนเกเนกตฺถวิสยา, อิติ เนรุตฺติกาพฺรวุ’’นฺติฯ –

    Nekenekatthavisayā, iti neruttikābravu’’nti. –

    วุตฺตตฺตา ปติสทฺทสฺส เอกอุปสคฺคตา ปติ ปธาโน หุตฺวา สามิภูโต อเนเกสํ ทายกานํ อปฺปมตฺตกมฺปิ อาหารํ ปฎิคฺคเหตฺวา สคฺคโมกฺขสฺส ปาปุณนโตฯ ตถา หิ อนฺนภารสฺส ภตฺตภาคํ ปฎิคฺคเหตฺวาปสฺสนฺตเสฺสว ภุญฺชิตฺวา เทวตาหิ สาธุการํ ทาเปตฺวา ตทเหว ตํ ทุคฺคตํ เสฎฺฐิฎฺฐานํ ปาเปตฺวา โกฎิสงฺขธนุปฺปาทเนน จ, ขทิรงฺคารชาตเก (ชา. อฎฺฐ. ๑.๑.ขทิรงฺคารชาตกวณฺณนา) มาเรน นิมฺมิตขทิรงฺคารกูโปปริอุฎฺฐิตปทุมกณฺณิกํ มทฺทิตฺวา โพธิสเตฺตน ทินฺนํ ปิณฺฑปาตํ ปฎิคฺคเหตฺวา ตสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว อากาสคมเนน โสมนสฺสุปฺปาทเนน จ, ปทุมวตีอคฺคมเหสีปุตฺตานํ มหาชนกรโญฺญ เทวิยา อาราธเนน คนฺธมาทนโต อากาเสน อาคมฺม ทานปฎิคฺคหเณน มหาชนกโพธิสตฺตสฺส จ เทวิยา จ โสมนสฺสุปฺปาทเนน จ, ตถา อพุทฺธุปฺปาเท ฉาตกภเย สกลชมฺพุทีเป อุปฺปเนฺน พาราณสิเสฎฺฐิโน ฉาตกภยํ ปฎิจฺจ ปูเรตฺวา รกฺขิเต สฎฺฐิสหสฺสโกฎฺฐาคาเร วีหโย เขเปตฺวา ภูมิยํ นิขาตธญฺญานิ จ จาฎิสหเสฺสสุ ปูริตธญฺญานิ จ เขเปตฺวา สกลปาสาทภิตฺตีสุ มตฺติกาหิ มทฺทิตฺวา ลิมฺปิตธญฺญานิ จ เขเปตฺวา ตทา นาฬิมตฺตเมวาวสิฎฺฐํ ‘‘อิทํ ภุญฺชิตฺวา อชฺช มริสฺสามา’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา สยนฺตสฺส คนฺธมาทนโต เอโก ปเจฺจกพุโทฺธ อาคนฺตฺวา เคหทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ เสฎฺฐิ ตํ ทิสฺวา ปสาทํ อุปฺปาเทตฺวา ชีวิตํ ปริจฺจชมาโน ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปเตฺต โอกิริฯ ปเจฺจกพุโทฺธ วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา อตฺตโน อานุภาเวน ปสฺสนฺตเสฺสว เสฎฺฐิสฺส ปญฺจปเจฺจกพุทฺธสเตหิ สห ปริภุญฺชิฯ ตทา ภตฺตปจิตอุกฺขลิํ, ปิทหิตฺวา ฐเปสุํฯ

    Vuttattā patisaddassa ekaupasaggatā pati padhāno hutvā sāmibhūto anekesaṃ dāyakānaṃ appamattakampi āhāraṃ paṭiggahetvā saggamokkhassa pāpuṇanato. Tathā hi annabhārassa bhattabhāgaṃ paṭiggahetvāpassantasseva bhuñjitvā devatāhi sādhukāraṃ dāpetvā tadaheva taṃ duggataṃ seṭṭhiṭṭhānaṃ pāpetvā koṭisaṅkhadhanuppādanena ca, khadiraṅgārajātake (jā. aṭṭha. 1.1.khadiraṅgārajātakavaṇṇanā) mārena nimmitakhadiraṅgārakūpopariuṭṭhitapadumakaṇṇikaṃ madditvā bodhisattena dinnaṃ piṇḍapātaṃ paṭiggahetvā tassa passantasseva ākāsagamanena somanassuppādanena ca, padumavatīaggamahesīputtānaṃ mahājanakarañño deviyā ārādhanena gandhamādanato ākāsena āgamma dānapaṭiggahaṇena mahājanakabodhisattassa ca deviyā ca somanassuppādanena ca, tathā abuddhuppāde chātakabhaye sakalajambudīpe uppanne bārāṇasiseṭṭhino chātakabhayaṃ paṭicca pūretvā rakkhite saṭṭhisahassakoṭṭhāgāre vīhayo khepetvā bhūmiyaṃ nikhātadhaññāni ca cāṭisahassesu pūritadhaññāni ca khepetvā sakalapāsādabhittīsu mattikāhi madditvā limpitadhaññāni ca khepetvā tadā nāḷimattamevāvasiṭṭhaṃ ‘‘idaṃ bhuñjitvā ajja marissāmā’’ti cittaṃ uppādetvā sayantassa gandhamādanato eko paccekabuddho āgantvā gehadvāre aṭṭhāsi. Seṭṭhi taṃ disvā pasādaṃ uppādetvā jīvitaṃ pariccajamāno paccekabuddhassa patte okiri. Paccekabuddho vasanaṭṭhānaṃ gantvā attano ānubhāvena passantasseva seṭṭhissa pañcapaccekabuddhasatehi saha paribhuñji. Tadā bhattapacitaukkhaliṃ, pidahitvā ṭhapesuṃ.

    นิทฺทโมกฺกนฺตสฺส เสฎฺฐิโน ฉาตเตฺต อุปฺปเนฺน โส วุฎฺฐหิตฺวา ภริยํ อาห – ‘‘ภเตฺต อาจามกภตฺตมตฺตํ โอโลเกหี’’ติฯ สุสิกฺขิตา สา ‘‘สพฺพํ ทินฺนํ นนู’’ติ อวตฺวา อุกฺขลิยา ปิธานํ วิวริฯ สา อุกฺขลิ ตงฺขเณว สุมนปุปฺผมกุฬสทิสสฺส สุคนฺธสาลิภตฺตสฺส ปูริตา อโหสิฯ สา จ เสฎฺฐิ จ สนฺตุฎฺฐา สยญฺจ สกลเคหวาสิโน จ สกลนครวาสิโน จ ภุญฺชิํสุฯ ทพฺพิยา คหิตคหิตฎฺฐานํ ปุน ปูริตํฯ สกลสฎฺฐิสหสฺสโกฎฺฐาคาเรสุ สุคนฺธสาลิโย ปูเรสุํฯ สกลชมฺพุทีปวาสิโน เสฎฺฐิสฺส เคหโตเยว ธญฺญพีชานิ คเหตฺวา สุขิตา ชาตาฯ เอวมาทีสุ อเนกสตฺตนิกาเยสุ สุโขตรณปริปาลนสคฺคโมกฺขปาปเนสุ ปติ สามิภูโต พุโทฺธติ ปเจฺจกพุโทฺธฯ ปเจฺจกพุทฺธานํ สุภาสิตานีติ ปเจฺจกพุเทฺธหิ โอวาทานุสาสนีวเสน สุฎฺฐุ ภาสิตานิ กถิตานิ วจนานิฯ จรนฺติ โลกมฺหิ สเทวกมฺหีติ เทวโลกสหิเต สตฺตโลเก จรนฺติ ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ สุตฺวา ตถา เย น กโรนฺติ พาลาติ ตถารูปํ ปเจฺจกพุทฺธานํ สุภาสิตวจนํ เย พาลา ชนา น กโรนฺติ น มนสิ กโรนฺติ, เต พาลา ทุเกฺขสุ สํสารทุเกฺขสุ ปุนปฺปุนํ อุปฺปตฺติวเสน จรนฺติ ปวตฺตนฺติ, ธาวนฺตีติ อโตฺถฯ

    Niddamokkantassa seṭṭhino chātatte uppanne so vuṭṭhahitvā bhariyaṃ āha – ‘‘bhatte ācāmakabhattamattaṃ olokehī’’ti. Susikkhitā sā ‘‘sabbaṃ dinnaṃ nanū’’ti avatvā ukkhaliyā pidhānaṃ vivari. Sā ukkhali taṅkhaṇeva sumanapupphamakuḷasadisassa sugandhasālibhattassa pūritā ahosi. Sā ca seṭṭhi ca santuṭṭhā sayañca sakalagehavāsino ca sakalanagaravāsino ca bhuñjiṃsu. Dabbiyā gahitagahitaṭṭhānaṃ puna pūritaṃ. Sakalasaṭṭhisahassakoṭṭhāgāresu sugandhasāliyo pūresuṃ. Sakalajambudīpavāsino seṭṭhissa gehatoyeva dhaññabījāni gahetvā sukhitā jātā. Evamādīsu anekasattanikāyesu sukhotaraṇaparipālanasaggamokkhapāpanesu pati sāmibhūto buddhoti paccekabuddho. Paccekabuddhānaṃ subhāsitānīti paccekabuddhehi ovādānusāsanīvasena suṭṭhu bhāsitāni kathitāni vacanāni. Caranti lokamhi sadevakamhīti devalokasahite sattaloke caranti pavattantīti attho. Sutvā tathā ye na karonti bālāti tathārūpaṃ paccekabuddhānaṃ subhāsitavacanaṃ ye bālā janā na karonti na manasi karonti, te bālā dukkhesu saṃsāradukkhesu punappunaṃ uppattivasena caranti pavattanti, dhāvantīti attho.

    ๑๓๘. ปเจฺจกพุทฺธานํ สุภาสิตานีติ สุฎฺฐุ ภาสิตานิ จตุราปายโต มุจฺจนตฺถาย ภาสิตานิ วจนานิฯ กิํ ภูตานิ? อวสฺสวนฺตํ ปคฺฆนฺตํ ขุทฺทํ มธุํ ยถา มธุรวจนานีติ อโตฺถฯ เย ปฎิปตฺติยุตฺตา ปณฺฑิตชนาปิ ปฎิปตฺตีสุ วุตฺตานุสาเรน ปวตฺตนฺตา ตถารูปํ มธุรวจนํ สุตฺวา วจนกรา ภวนฺติ, เต ปณฺฑิตชนา สจฺจทสา จตุสจฺจทสฺสิโน สปญฺญา ปญฺญาสหิตา ภวนฺตีติ อโตฺถฯ

    138.Paccekabuddhānaṃ subhāsitānīti suṭṭhu bhāsitāni caturāpāyato muccanatthāya bhāsitāni vacanāni. Kiṃ bhūtāni? Avassavantaṃ pagghantaṃ khuddaṃ madhuṃ yathā madhuravacanānīti attho. Ye paṭipattiyuttā paṇḍitajanāpi paṭipattīsu vuttānusārena pavattantā tathārūpaṃ madhuravacanaṃ sutvā vacanakarā bhavanti, te paṇḍitajanā saccadasā catusaccadassino sapaññā paññāsahitā bhavantīti attho.

    ๑๓๙. ปเจฺจกพุเทฺธหิ ชิเนหิ ภาสิตาติ กิเลเส ชินนฺติ ชินิํสูติ ชินา, เตหิ ชิเนหิ ปเจฺจกพุเทฺธหิ วุตฺตา ภาสิตา กถิตาฯ กถา อุฬารา โอชวนฺตา ปากฎา สนฺติ ปวตฺตนฺติฯ ตา, กถา สกฺยสีเหน สกฺยราชวํสสีเหน โคตเมน ตถาคเตน อภินิกฺขมิตฺวา พุทฺธภูเตน นรุตฺตเมน นรานํ อุตฺตเมน เสเฎฺฐน ปกาสิตา ปากฎีกตา เทสิตาติ สมฺพโนฺธฯ กิมตฺถนฺติ อาห ‘‘ธมฺมวิชานนตฺถ’’นฺติฯ นวโลกุตฺตรธมฺมํ วิเสเสน ชานาปนตฺถนฺติ อโตฺถฯ

    139.Paccekabuddhehijinehi bhāsitāti kilese jinanti jiniṃsūti jinā, tehi jinehi paccekabuddhehi vuttā bhāsitā kathitā. Kathā uḷārā ojavantā pākaṭā santi pavattanti. Tā, kathā sakyasīhena sakyarājavaṃsasīhena gotamena tathāgatena abhinikkhamitvā buddhabhūtena naruttamena narānaṃ uttamena seṭṭhena pakāsitā pākaṭīkatā desitāti sambandho. Kimatthanti āha ‘‘dhammavijānanattha’’nti. Navalokuttaradhammaṃ visesena jānāpanatthanti attho.

    ๑๔๐. โลกานุกมฺปาย อิมานิ เตสนฺติ โลกานุกมฺปตาย โลกสฺส อนุกมฺปํ ปฎิจฺจ อิมานิ วจนานิ อิมา คาถาโยฯ เตสํ ปเจฺจกพุทฺธานํ วิกุพฺพิตานิ วิเสเสน กุพฺพิตานิ ภาสิตานีติ อโตฺถฯ สํเวคสงฺคมติวฑฺฒนตฺถนฺติ ปณฺฑิตานํ สํเวควฑฺฒนตฺถญฺจ อสงฺควฑฺฒนตฺถํ เอกีภาววฑฺฒนตฺถญฺจ มติวฑฺฒนตฺถํ ปญฺญาวฑฺฒนตฺถญฺจ สยมฺภุสีเหน อนาจริยเกน หุตฺวา สยเมว ภูเตน ชาเตน ปฎิวิเทฺธน สีเหน อภีเตน โคตเมน สมฺมาสมฺพุเทฺธน อิมานิ วจนานิ ปกาสิตานิ, อิมา คาถาโย ปกาสิตา วิวริตา อุตฺตานีกตาติ อโตฺถฯ อิตีติ ปริสมาปนเตฺถ นิปาโตฯ

    140.Lokānukampāya imāni tesanti lokānukampatāya lokassa anukampaṃ paṭicca imāni vacanāni imā gāthāyo. Tesaṃ paccekabuddhānaṃ vikubbitāni visesena kubbitāni bhāsitānīti attho. Saṃvegasaṅgamativaḍḍhanatthanti paṇḍitānaṃ saṃvegavaḍḍhanatthañca asaṅgavaḍḍhanatthaṃ ekībhāvavaḍḍhanatthañca mativaḍḍhanatthaṃ paññāvaḍḍhanatthañca sayambhusīhena anācariyakena hutvā sayameva bhūtena jātena paṭividdhena sīhena abhītena gotamena sammāsambuddhena imāni vacanāni pakāsitāni, imā gāthāyo pakāsitā vivaritā uttānīkatāti attho. Itīti parisamāpanatthe nipāto.

    อิติ วิสุทฺธชนวิลาสินิยา อปทาน-อฎฺฐกถาย

    Iti visuddhajanavilāsiniyā apadāna-aṭṭhakathāya

    ปเจฺจกพุทฺธาปทานสํวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Paccekabuddhāpadānasaṃvaṇṇanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อปทานปาฬิ • Apadānapāḷi / ๒. ปเจฺจกพุทฺธอปทานํ • 2. Paccekabuddhaapadānaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact