Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
ปาจีนวํสทายคมนกถาวณฺณนา
Pācīnavaṃsadāyagamanakathāvaṇṇanā
๔๖๖. เยน ปาจีนวํสทาโยติ ตตฺถ กสฺมา อุปสงฺกมิ? ยถา นาม ชิฆจฺฉิตสฺส โภชเน, ปิปาสิตสฺส ปานีเย, สีเตน ผุฎฺฐสฺส อุเณฺห, อุเณฺหน ผุฎฺฐสฺส สีเต, ทุกฺขิตสฺส สุเข อภิรุจิ อุปฺปชฺชติ, เอวเมว ภควโต โกสมฺพเก ภิกฺขู อญฺญมญฺญํ วิวาทาปเนฺน อสมคฺควาสํ วสเนฺต, สมคฺควาสํ วสเนฺต อาวเชฺชนฺตสฺส อิเม ตโย กุลปุตฺตา อาปาถมาคมิํสุ, อถ เนสํ ปคฺคณฺหิตุกาโม อุปสงฺกมิ ‘‘เอวายํ ปฎิปตฺติอนุกฺกเมน โกสมฺพกานํ ภิกฺขูนํ วินยนูปาโย โหตี’’ติฯ วิหรนฺตีติ สามคฺคิรสํ อนุภวมานา วิหรนฺติฯ
466.Yena pācīnavaṃsadāyoti tattha kasmā upasaṅkami? Yathā nāma jighacchitassa bhojane, pipāsitassa pānīye, sītena phuṭṭhassa uṇhe, uṇhena phuṭṭhassa sīte, dukkhitassa sukhe abhiruci uppajjati, evameva bhagavato kosambake bhikkhū aññamaññaṃ vivādāpanne asamaggavāsaṃ vasante, samaggavāsaṃ vasante āvajjentassa ime tayo kulaputtā āpāthamāgamiṃsu, atha nesaṃ paggaṇhitukāmo upasaṅkami ‘‘evāyaṃ paṭipattianukkamena kosambakānaṃ bhikkhūnaṃ vinayanūpāyo hotī’’ti. Viharantīti sāmaggirasaṃ anubhavamānā viharanti.
ทายปาโลติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๒๕) อรญฺญปาโลฯ โส อรญฺญํ ยถา อิจฺฉิติจฺฉิตปฺปเทเสน มนุสฺสา ปวิสิตฺวา ตตฺถ ปุปฺผํ วา ผลํ วา นิยฺยาสํ วา ทพฺพสมฺภารํ วา น หรนฺติ, เอวํ วติยา ปริกฺขิตฺตสฺส อรญฺญสฺส โยชิเต ทฺวาเร นิสีทิตฺวา อรญฺญํ รกฺขติ, ตสฺมา ‘‘ทายปาโล’’ติ วุโตฺตฯ อตฺตกามรูปา วิหรนฺตีติ อตฺตโน หิตํ กามยมานสภาวา หุตฺวา วิหรนฺติฯ โย หิ อิมสฺมิํ สาสเน ปพฺพชิตฺวาปิ เวชฺชกมฺมทูตกมฺมปหิณคมนาทีนํ วเสน เอกวีสติอเนสนาหิ ชีวิกํ กเปฺปติ, อยํ น อตฺตกามรูโป นามฯ โย ปน อิมสฺมิํ สาสเน ปพฺพชิตฺวา เอกวีสติอเนสนํ ปหาย จตุปาริสุทฺธิสีเล ปติฎฺฐาย พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา สปฺปายธุตงฺคํ อธิฎฺฐาย อฎฺฐติํสาย อารมฺมเณสุ จิตฺตรุจิยํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา คามนฺตํ ปหาย อรญฺญํ ปวิสิตฺวา สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กุรุมาโน วิจรติ, อยํ อตฺตกาโม นามฯ เตปิ ตโย กุลปุตฺตา เอวรูปา อเหสุํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อตฺตกามรูปา วิหรนฺตี’’ติฯ
Dāyapāloti (ma. ni. aṭṭha. 1.325) araññapālo. So araññaṃ yathā icchiticchitappadesena manussā pavisitvā tattha pupphaṃ vā phalaṃ vā niyyāsaṃ vā dabbasambhāraṃ vā na haranti, evaṃ vatiyā parikkhittassa araññassa yojite dvāre nisīditvā araññaṃ rakkhati, tasmā ‘‘dāyapālo’’ti vutto. Attakāmarūpā viharantīti attano hitaṃ kāmayamānasabhāvā hutvā viharanti. Yo hi imasmiṃ sāsane pabbajitvāpi vejjakammadūtakammapahiṇagamanādīnaṃ vasena ekavīsatianesanāhi jīvikaṃ kappeti, ayaṃ na attakāmarūpo nāma. Yo pana imasmiṃ sāsane pabbajitvā ekavīsatianesanaṃ pahāya catupārisuddhisīle patiṭṭhāya buddhavacanaṃ uggaṇhitvā sappāyadhutaṅgaṃ adhiṭṭhāya aṭṭhatiṃsāya ārammaṇesu cittaruciyaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetvā gāmantaṃ pahāya araññaṃ pavisitvā samāpattiyo nibbattetvā vipassanāya kammaṃ kurumāno vicarati, ayaṃ attakāmo nāma. Tepi tayo kulaputtā evarūpā ahesuṃ. Tena vuttaṃ ‘‘attakāmarūpā viharantī’’ti.
มา เตสํ อผาสุมกาสีติ เตสํ อผาสุกํ มา อกาสีติ ภควนฺตํ วาเรสิฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ ‘‘อิเม กุลปุตฺตา สมคฺคา วิหรนฺติ, เอกจฺจสฺส จ คตฎฺฐาเน ภณฺฑนกลหวิวาทา วตฺตนฺติ, ติขิณสิโงฺค จณฺฑโคโณ วิย โอวิชฺฌโนฺต วิจรติ, อเถกมเคฺคน ทฺวินฺนํ คมนํ น โหติ, กทาจิ อยมฺปิ เอวํ กโรโนฺต อิเมสํ กุลปุตฺตานํ สมคฺควาสํ ภิเนฺทยฺย, ปาสาทิโก จ ปเนส สุวณฺณวโณฺณ รสคิโทฺธ มเญฺญ, คตกาลโต ปฎฺฐาย ปณีตทายกานํ อตฺตโน อุปฎฺฐากานํ วณฺณกถนาทีหิ อิเมสํ กุลปุตฺตานํ อปฺปมาทวิหารํ ภิเนฺทยฺย, วสนฎฺฐานานิ จาปิ เอเตสํ กุลปุตฺตานํ นิพทฺธานิ ปริจฺฉินฺนานิ ติโสฺสว ปณฺณสาลา ตโย จงฺกมา ตีณิ ทิวาฎฺฐานานิ ตีณิ มญฺจปีฐานิ, อยํ ปน สมโณ มหากาโย วุฑฺฒตโร มเญฺญ ภวิสฺสติ, โส อกาเล อิเม กุลปุเตฺต เสนาสนา วุฎฺฐเปสฺสติ, เอวํ สพฺพถาปิ เอเตสํ อผาสุ ภวิสฺสตี’’ติฯ ตํ อนิจฺฉโนฺต ‘‘มา เตสํ อผาสุมกาสี’’ติ ภควนฺตํ วาเรติฯ
Mā tesaṃ aphāsumakāsīti tesaṃ aphāsukaṃ mā akāsīti bhagavantaṃ vāresi. Evaṃ kirassa ahosi ‘‘ime kulaputtā samaggā viharanti, ekaccassa ca gataṭṭhāne bhaṇḍanakalahavivādā vattanti, tikhiṇasiṅgo caṇḍagoṇo viya ovijjhanto vicarati, athekamaggena dvinnaṃ gamanaṃ na hoti, kadāci ayampi evaṃ karonto imesaṃ kulaputtānaṃ samaggavāsaṃ bhindeyya, pāsādiko ca panesa suvaṇṇavaṇṇo rasagiddho maññe, gatakālato paṭṭhāya paṇītadāyakānaṃ attano upaṭṭhākānaṃ vaṇṇakathanādīhi imesaṃ kulaputtānaṃ appamādavihāraṃ bhindeyya, vasanaṭṭhānāni cāpi etesaṃ kulaputtānaṃ nibaddhāni paricchinnāni tissova paṇṇasālā tayo caṅkamā tīṇi divāṭṭhānāni tīṇi mañcapīṭhāni, ayaṃ pana samaṇo mahākāyo vuḍḍhataro maññe bhavissati, so akāle ime kulaputte senāsanā vuṭṭhapessati, evaṃ sabbathāpi etesaṃ aphāsu bhavissatī’’ti. Taṃ anicchanto ‘‘mā tesaṃ aphāsumakāsī’’ti bhagavantaṃ vāreti.
กิํ ปเนส ชานโนฺต วาเรสิ อชานโนฺตติ? อชานโนฺตฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ หิ นาม ยทา อเนกภิกฺขุสหสฺสปริวาโร พฺยามปฺปภาย อสีติอนุพฺยญฺชเนหิ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณสิริยา จ พุทฺธานุภาวํ ทเสฺสโนฺต วิจรติ, ตทา ‘‘โก เอโส’’ติ อปุจฺฉิตฺวาว ชานิตโพฺพ โหติฯ ตทา ปน ภควา ‘‘มาสฺสุ โกจิ มม พุทฺธานุภาวํ อญฺญาสี’’ติ ตถารูเปน อิทฺธาภิสงฺขาเรน สพฺพมฺปิ ตํ พุทฺธานุภาวํ จีวรคเพฺภน วิย ปฎิจฺฉาเทตฺวา วลาหกคเพฺภน ปฎิจฺฉโนฺน ปุณฺณจโนฺท วิย สยเมว ปตฺตจีวรมาทาย อญฺญาตกเวเสน อคมาสิฯ อิติ ตํ อชานโนฺตว ทายปาโล วาเรสิฯ
Kiṃ panesa jānanto vāresi ajānantoti? Ajānanto. Sammāsambuddho hi nāma yadā anekabhikkhusahassaparivāro byāmappabhāya asītianubyañjanehi dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇasiriyā ca buddhānubhāvaṃ dassento vicarati, tadā ‘‘ko eso’’ti apucchitvāva jānitabbo hoti. Tadā pana bhagavā ‘‘māssu koci mama buddhānubhāvaṃ aññāsī’’ti tathārūpena iddhābhisaṅkhārena sabbampi taṃ buddhānubhāvaṃ cīvaragabbhena viya paṭicchādetvā valāhakagabbhena paṭicchanno puṇṇacando viya sayameva pattacīvaramādāya aññātakavesena agamāsi. Iti taṃ ajānantova dāyapālo vāresi.
เอตทโวจาติ เถโร กิร ‘‘มา สมณา’’ติ ทายปาลสฺส กถํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘มยํ ตโย ชนา อิธ วิหราม, อโญฺญ ปพฺพชิโต นาม นตฺถิ, อยญฺจ ทายปาโล ปพฺพชิเตน วิย สทฺธิํ กเถติ, โก นุ โข ภวิสฺสตี’’ติ ทิวาฎฺฐานโต อุฎฺฐาย ทฺวาเร ฐตฺวา มคฺคํ โอโลเกโนฺต ภควนฺตํ อทฺทสฯ ภควาปิ เถรสฺส สห ทสฺสเนเนว สรีโรภาสํ มุญฺจิ, อสีติอนุพฺยญฺชนวิราชิตา พฺยามปฺปภา ปสาริตสุวณฺณปโฎ วิย วิโรจิตฺถฯ เถโร ‘‘อยํ ทายปาโล ผณกตอาสีวิสํ คีวาย คเหตุํ หตฺถํ ปสาเรโนฺต วิย โลเก อคฺคปุคฺคเลน สทฺธิํ กเถโนฺตว น ชานาติ, อญฺญตรภิกฺขุนา วิย สทฺธิํ กเถตี’’ติ นิวาเรโนฺต เอตํ ‘‘มาวุโส, ทายปาลา’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ
Etadavocāti thero kira ‘‘mā samaṇā’’ti dāyapālassa kathaṃ sutvā cintesi ‘‘mayaṃ tayo janā idha viharāma, añño pabbajito nāma natthi, ayañca dāyapālo pabbajitena viya saddhiṃ katheti, ko nu kho bhavissatī’’ti divāṭṭhānato uṭṭhāya dvāre ṭhatvā maggaṃ olokento bhagavantaṃ addasa. Bhagavāpi therassa saha dassaneneva sarīrobhāsaṃ muñci, asītianubyañjanavirājitā byāmappabhā pasāritasuvaṇṇapaṭo viya virocittha. Thero ‘‘ayaṃ dāyapālo phaṇakataāsīvisaṃ gīvāya gahetuṃ hatthaṃ pasārento viya loke aggapuggalena saddhiṃ kathentova na jānāti, aññatarabhikkhunā viya saddhiṃ kathetī’’ti nivārento etaṃ ‘‘māvuso, dāyapālā’’tiādivacanaṃ avoca.
เตนุปสงฺกมีติ กสฺมา ภควโต ปจฺจุคฺคมนํ อกตฺวาว อุปสงฺกมิ? เอวํ กิรสฺส อโหสิ ‘‘มยํ ตโย ชนา สมคฺควาสํ วสาม, สจาหํ เอกโกว ปจฺจุคฺคมนํ กริสฺสามิ, สมคฺควาโส นาม น ภวิสฺสติ, ปิยมิเตฺต คเหตฺวาว ปจฺจุคฺคมนํ กริสฺสามิฯ ยถา จ ภควา มยฺหํ ปิโย, เอวํ สหายานมฺปิ เม ปิโย’’ติ เตหิ สทฺธิํ ปจฺจุคฺคมนํ กาตุกาโม สยํ อกตฺวา อุปสงฺกมิฯ เกจิ ปน ‘‘เตสํ เถรานํ ปณฺณสาลทฺวาเร จงฺกมนโกฎิยา ภควโต อาคมนมโคฺค โหติ, ตสฺมา เถโร เตสํ สญฺญํ ททมาโนว คโต’’ติ วทนฺติฯ อภิกฺกมถาติ อิโต อาคจฺฉถฯ ปาเท ปกฺขาเลสีติ วิกสิตปทุมสนฺนิเภหิ ชาลหเตฺถหิ มณิวณฺณํ อุทกํ คเหตฺวา สุวณฺณวเณฺณสุ ปิฎฺฐิปาเทสุ อุทกํ อาสิญฺจิตฺวา ปาเทน ปาทํ ฆํเสโนฺต ปกฺขาเลสิฯ พุทฺธานํ กาเย รโชชลฺลํ นาม น อุปลิมฺปติ, กสฺมา ปกฺขาเลสีติ? สรีรสฺส อุตุคฺคหณตฺถํ เตสญฺจ จิตฺตสมฺปหํสนตฺถํฯ อเมฺหหิ อภิหเฎน อุทเกน ภควา ปาเท ปกฺขาเลสิ, ปริโภคํ อกาสีติ เตสํ ภิกฺขูนํ พลวโสมนสฺสวเสน จิตฺตํ ปีณิตํ โหติ, ตสฺมา ปกฺขาเลสิฯ
Tenupasaṅkamīti kasmā bhagavato paccuggamanaṃ akatvāva upasaṅkami? Evaṃ kirassa ahosi ‘‘mayaṃ tayo janā samaggavāsaṃ vasāma, sacāhaṃ ekakova paccuggamanaṃ karissāmi, samaggavāso nāma na bhavissati, piyamitte gahetvāva paccuggamanaṃ karissāmi. Yathā ca bhagavā mayhaṃ piyo, evaṃ sahāyānampi me piyo’’ti tehi saddhiṃ paccuggamanaṃ kātukāmo sayaṃ akatvā upasaṅkami. Keci pana ‘‘tesaṃ therānaṃ paṇṇasāladvāre caṅkamanakoṭiyā bhagavato āgamanamaggo hoti, tasmā thero tesaṃ saññaṃ dadamānova gato’’ti vadanti. Abhikkamathāti ito āgacchatha. Pāde pakkhālesīti vikasitapadumasannibhehi jālahatthehi maṇivaṇṇaṃ udakaṃ gahetvā suvaṇṇavaṇṇesu piṭṭhipādesu udakaṃ āsiñcitvā pādena pādaṃ ghaṃsento pakkhālesi. Buddhānaṃ kāye rajojallaṃ nāma na upalimpati, kasmā pakkhālesīti? Sarīrassa utuggahaṇatthaṃ tesañca cittasampahaṃsanatthaṃ. Amhehi abhihaṭena udakena bhagavā pāde pakkhālesi, paribhogaṃ akāsīti tesaṃ bhikkhūnaṃ balavasomanassavasena cittaṃ pīṇitaṃ hoti, tasmā pakkhālesi.
อายสฺมนฺตํ อนุรุทฺธํ ภควา เอตทโวจาติ โส กิร เตสํ วุฑฺฒตโร, ตสฺส สงฺคเห กเต เสสานํ กโตว โหตีติ เถรเญฺญว เอตํ ‘‘กจฺจิ โว อนุรุทฺธา’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ อนุรุทฺธาติ วา เอกเสสนเยน วุตฺตํ วิรูเปกเสสสฺสปิ อิจฺฉิตพฺพตฺตา, เอวญฺจ กตฺวา พหุวจนนิเทฺทโส จ สมตฺถิโต โหติฯ กจฺจีติ ปุจฺฉนเตฺถ นิปาโตฯ โวติ สามิวจนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – กจฺจิ อนุรุทฺธา ตุมฺหากํ ขมนียํ, อิริยาปโถ โว ขมติ, กจฺจิ ยาปนียํ, กจฺจิ โว ชีวิตํ ยาเปติ ฆฎิยติ, กจฺจิ ปิณฺฑเกน น กิลมถ, กจฺจิ ตุมฺหากํ สุลภปิณฺฑํ, สมฺปเตฺต โว ทิสฺวา มนุสฺสา อุฬุงฺกยาคุํ วา กฎจฺฉุภิกฺขํ วา ทาตพฺพํ มญฺญนฺตีติ ภิกฺขาจารวตฺตํ ปุจฺฉติฯ กสฺมา? ยสฺมา ปจฺจเยน อกิลมเนฺตน สกฺกา สมณธโมฺม กาตุํ, วตฺตเมว วา เอตํ ปพฺพชิตานํฯ
Āyasmantaṃ anuruddhaṃ bhagavā etadavocāti so kira tesaṃ vuḍḍhataro, tassa saṅgahe kate sesānaṃ katova hotīti theraññeva etaṃ ‘‘kacci vo anuruddhā’’tiādivacanaṃ avoca. Anuruddhāti vā ekasesanayena vuttaṃ virūpekasesassapi icchitabbattā, evañca katvā bahuvacananiddeso ca samatthito hoti. Kaccīti pucchanatthe nipāto. Voti sāmivacanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – kacci anuruddhā tumhākaṃ khamanīyaṃ, iriyāpatho vo khamati, kacci yāpanīyaṃ, kacci vo jīvitaṃ yāpeti ghaṭiyati, kacci piṇḍakena na kilamatha, kacci tumhākaṃ sulabhapiṇḍaṃ, sampatte vo disvā manussā uḷuṅkayāguṃ vā kaṭacchubhikkhaṃ vā dātabbaṃ maññantīti bhikkhācāravattaṃ pucchati. Kasmā? Yasmā paccayena akilamantena sakkā samaṇadhammo kātuṃ, vattameva vā etaṃ pabbajitānaṃ.
อถ เตน ปฎิวจเน ทิเนฺน ‘‘อนุรุทฺธา ตุเมฺห ราชปพฺพชิตา มหาปุญฺญา, มนุสฺสา ตุมฺหากํ อรเญฺญ วสนฺตานํ อทตฺวา กสฺส อญฺญสฺส ทาตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติ, ตุเมฺห ปน เอตํ ภุญฺชิตฺวา กิํ นุ โข มิคโปตกา วิย อญฺญมญฺญํ ฆเฎฺฎนฺตา วิหรถ, อุทาหุ สามคฺคิภาโว โว อตฺถี’’ติ สามคฺคิรสํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘กจฺจิ ปน โว อนุรุทฺธา สมคฺคา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ขีโรทกีภูตาติ ยถา ขีรญฺจ อุทกญฺจ อญฺญมญฺญํ สํสนฺทติ, วิสุํ น โหติ, เอกตฺตํ วิย อุเปติ, กจฺจิ เอวํ สามคฺคิวเสน เอกตฺตุปคตจิตฺตุปฺปาทา วิหรถาติ ปุจฺฉติฯ ปิยจกฺขูหีติ เมตฺตจิตฺตํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา โอโลกนโต ปิยภาวทีปกานิ จกฺขูนิ ปิยจกฺขูนิ นาม, ‘‘กจฺจิ ตถารูเปหิ จกฺขูหิ อญฺญมญฺญํ ปสฺสนฺตา วิหรถา’’ติ ปุจฺฉติฯ ตคฺฆาติ เอกํสเตฺถ นิปาโต, เอกํเสน มยํ ภเนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ ยถา กถํ ปนาติ เอตฺถ ยถาติ นิปาตมตฺตํ, กถนฺติ การณปุจฺฉา, กถํ ปน ตุเมฺห เอวํ วิหรถ, เกน การเณน วิหรถ, ตํ เม การณํ พฺรูหีติ วุตฺตํ โหติฯ
Atha tena paṭivacane dinne ‘‘anuruddhā tumhe rājapabbajitā mahāpuññā, manussā tumhākaṃ araññe vasantānaṃ adatvā kassa aññassa dātabbaṃ maññissanti, tumhe pana etaṃ bhuñjitvā kiṃ nu kho migapotakā viya aññamaññaṃ ghaṭṭentā viharatha, udāhu sāmaggibhāvo vo atthī’’ti sāmaggirasaṃ pucchanto ‘‘kacci pana vo anuruddhā samaggā’’tiādimāha. Tattha khīrodakībhūtāti yathā khīrañca udakañca aññamaññaṃ saṃsandati, visuṃ na hoti, ekattaṃ viya upeti, kacci evaṃ sāmaggivasena ekattupagatacittuppādā viharathāti pucchati. Piyacakkhūhīti mettacittaṃ paccupaṭṭhāpetvā olokanato piyabhāvadīpakāni cakkhūni piyacakkhūni nāma, ‘‘kacci tathārūpehi cakkhūhi aññamaññaṃ passantā viharathā’’ti pucchati. Tagghāti ekaṃsatthe nipāto, ekaṃsena mayaṃ bhanteti vuttaṃ hoti. Yathā kathaṃ panāti ettha yathāti nipātamattaṃ, kathanti kāraṇapucchā, kathaṃ pana tumhe evaṃ viharatha, kena kāraṇena viharatha, taṃ me kāraṇaṃ brūhīti vuttaṃ hoti.
เมตฺตํ กายกมฺมนฺติ เมตฺตจิตฺตวเสน ปวตฺตํ กายกมฺมํฯ อาวิ เจว รโห จาติ สมฺมุขา เจว ปรมฺมุขา จฯ อิตเรสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ สมฺมุขา กายวจีกมฺมานิ สหวาเส ลพฺภนฺติ, อิตรานิ วิปฺปวาเส, มโนกมฺมํ สพฺพตฺถ ลพฺภติฯ ยญฺหิ สเหว วสเนฺตสุ เอเกน มญฺจปีฐํ วา ทารุภณฺฑํ วา มตฺติกาภณฺฑํ วา พหิ ทุนฺนิกฺขิตฺตํ โหติ, ตํ ทิสฺวา ‘‘เกนิทํ วฬญฺชิต’’นฺติ อวญฺญํ อกตฺวา อตฺตนา ทุนฺนิกฺขิตฺตํ วิย คเหตฺวา ปฎิสาเมนฺตสฺส ปฎิชคฺคิตพฺพยุตฺตํ วา ปน ฐานํ ปฎิชคฺคนฺตสฺส สมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นาม โหติฯ เอกสฺมิํ ปกฺกเนฺต เตน ทุนฺนิกฺขิตฺตํ เสนาสนปริกฺขารํ ตเถว นิกฺขิปนฺตสฺส ปฎิชคฺคิตพฺพยุตฺตํ วา ปน ฐานํ ปฎิชคฺคนฺตสฺส ปรมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นาม โหติฯ สหวสนฺตสฺส ปน เถเรหิ สทฺธิํ มธุรํ สโมฺมทนียกถํ ปฎิสนฺถารกถํ สารณียกถํ ธมฺมกถํ สรภญฺญํ สากจฺฉํ ปญฺหปุจฺฉนํ ปญฺหวิสฺสชฺชนนฺติ เอวมาทิกรเณ สมฺมุขา เมตฺตํ วจีกมฺมํ นาม โหติฯ เถเรสุ ปน ปกฺกเนฺตสุ ‘‘มยฺหํ ปิยสหาโย นนฺทิยเตฺถโร กิมิลเตฺถโร เอวํ สีลสมฺปโนฺน เอวํ อาจารสมฺปโนฺน’’ติอาทิคุณกถเน ปรมฺมุขา เมตฺตํ วจีกมฺมํ นาม โหติฯ ‘‘มยฺหํ ปิยมิโตฺต นนฺทิยเตฺถโร กิมิลเตฺถโร อเวโร โหตุ อพฺยาปโชฺช สุขี’’ติ เอวํ สมนฺนาหรโต ปน สมฺมุขาปิ ปรมฺมุขาปิ เมตฺตํ มโนกมฺมํ โหติเยวฯ
Mettaṃkāyakammanti mettacittavasena pavattaṃ kāyakammaṃ. Āvi ceva raho cāti sammukhā ceva parammukhā ca. Itaresupi eseva nayo. Tattha sammukhā kāyavacīkammāni sahavāse labbhanti, itarāni vippavāse, manokammaṃ sabbattha labbhati. Yañhi saheva vasantesu ekena mañcapīṭhaṃ vā dārubhaṇḍaṃ vā mattikābhaṇḍaṃ vā bahi dunnikkhittaṃ hoti, taṃ disvā ‘‘kenidaṃ vaḷañjita’’nti avaññaṃ akatvā attanā dunnikkhittaṃ viya gahetvā paṭisāmentassa paṭijaggitabbayuttaṃ vā pana ṭhānaṃ paṭijaggantassa sammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma hoti. Ekasmiṃ pakkante tena dunnikkhittaṃ senāsanaparikkhāraṃ tatheva nikkhipantassa paṭijaggitabbayuttaṃ vā pana ṭhānaṃ paṭijaggantassa parammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma hoti. Sahavasantassa pana therehi saddhiṃ madhuraṃ sammodanīyakathaṃ paṭisanthārakathaṃ sāraṇīyakathaṃ dhammakathaṃ sarabhaññaṃ sākacchaṃ pañhapucchanaṃ pañhavissajjananti evamādikaraṇe sammukhā mettaṃ vacīkammaṃ nāma hoti. Theresu pana pakkantesu ‘‘mayhaṃ piyasahāyo nandiyatthero kimilatthero evaṃ sīlasampanno evaṃ ācārasampanno’’tiādiguṇakathane parammukhā mettaṃ vacīkammaṃ nāma hoti. ‘‘Mayhaṃ piyamitto nandiyatthero kimilatthero avero hotu abyāpajjo sukhī’’ti evaṃ samannāharato pana sammukhāpi parammukhāpi mettaṃ manokammaṃ hotiyeva.
นานา หิ โข โน ภเนฺต กายาติ อยญฺหิ กาโย ปิฎฺฐํ วิย มตฺติกา วิย จ โอมทฺทิตฺวา เอกโต กาตุํ น สกฺกาฯ เอกญฺจ ปน มเญฺญ จิตฺตนฺติ จิตฺตํ ปน โน อตฺตโน วิย อญฺญมญฺญสฺส หิตภาเวน อวิโรธภาเวน เภทาภาเวน สมคฺคภาเวน เอกเมวาติ ทเสฺสติฯ กถํ ปเนเต สกํ จิตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา อิตเรสํ จิตฺตวเสน วตฺติํสูติ? เอกสฺส ปเตฺต มลํ อุฎฺฐหติ, เอกสฺส จีวรํ กิลิฎฺฐํ โหติ, เอกสฺส ปริภณฺฑกมฺมํ โหติฯ ตตฺถ ยสฺส ปเตฺต มลํ อุฎฺฐิตํ, เตน ‘‘มมาวุโส ปเตฺต มลํ อุฎฺฐิตํ, ปจิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุเตฺต อิตเร ‘‘มยฺหํ จีวรํ กิลิฎฺฐํ โธวิตพฺพํ, มยฺหํ ปริภณฺฑํ กาตพฺพ’’นฺติ อวตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ทารูนิ อาหริตฺวา ภินฺทิตฺวา ปตฺตกฎาเห พหลตนุมตฺติกาหิ เลปํ กตฺวา ปตฺตํ ปจิตฺวา ตโต ปรํ จีวรํ วา โธวนฺติ, ปริภณฺฑํ วา กโรนฺติฯ ‘‘มมาวุโส จีวรํ กิลิฎฺฐํ, โธวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ‘‘มม ปณฺณสาลา อุกฺลาปา, ปริภณฺฑํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ ปฐมตรํ อาโรจิเตปิ เอเสว นโยฯ
Nānā hi kho no bhante kāyāti ayañhi kāyo piṭṭhaṃ viya mattikā viya ca omadditvā ekato kātuṃ na sakkā. Ekañca pana maññe cittanti cittaṃ pana no attano viya aññamaññassa hitabhāvena avirodhabhāvena bhedābhāvena samaggabhāvena ekamevāti dasseti. Kathaṃ panete sakaṃ cittaṃ nikkhipitvā itaresaṃ cittavasena vattiṃsūti? Ekassa patte malaṃ uṭṭhahati, ekassa cīvaraṃ kiliṭṭhaṃ hoti, ekassa paribhaṇḍakammaṃ hoti. Tattha yassa patte malaṃ uṭṭhitaṃ, tena ‘‘mamāvuso patte malaṃ uṭṭhitaṃ, pacituṃ vaṭṭatī’’ti vutte itare ‘‘mayhaṃ cīvaraṃ kiliṭṭhaṃ dhovitabbaṃ, mayhaṃ paribhaṇḍaṃ kātabba’’nti avatvā araññaṃ pavisitvā dārūni āharitvā bhinditvā pattakaṭāhe bahalatanumattikāhi lepaṃ katvā pattaṃ pacitvā tato paraṃ cīvaraṃ vā dhovanti, paribhaṇḍaṃ vā karonti. ‘‘Mamāvuso cīvaraṃ kiliṭṭhaṃ, dhovituṃ vaṭṭatī’’ti ‘‘mama paṇṇasālā uklāpā, paribhaṇḍaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti paṭhamataraṃ ārocitepi eseva nayo.
อิทานิ เตสํ อปฺปมาทลกฺขณํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘กจฺจิ ปน โว อนุรุทฺธา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ โวติ นิปาตมตฺตํ, ปจฺจตฺตวจนํ วา, กจฺจิ ตุเมฺหติ อโตฺถฯ อมฺหากนฺติ อเมฺหสุ ตีสุ ชเนสุฯ ปิณฺฑาย ปฎิกฺกมตีติ คาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺจาคจฺฉติฯ อวกฺการปาตินฺติ อติเรกปิณฺฑปาตํ อปเนตฺวา ฐปนตฺถาย เอกํ สมุคฺคปาติํ โธวิตฺวา ฐเปติฯ โย ปจฺฉาติ เต กิร เถรา น เอกโตว ภิกฺขาจารํ ปวิสนฺติฯ ผลสมาปตฺติรตา เหเต ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา วตฺตปฎิปตฺติํ ปูเรตฺวา เสนาสนํ ปวิสิตฺวา กาลปริเจฺฉทํ กตฺวา ผลสมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสีทนฺติฯ เตสุ โย ปฐมตรํ นิสิโนฺน อตฺตโน กาลปริเจฺฉทวเสน ปฐมตรํ อุฎฺฐาติ, โส ปิณฺฑาย จริตฺวา ปฎินิวโตฺต ภตฺตกิจฺจฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา ชานาติ ‘‘เทฺว ภิกฺขู ปจฺฉโต, อหํ ปฐมตรํ อาคโต’’ติฯ อถ ปตฺตํ ปิทหิตฺวา อาสนปญฺญาปนาทีนิ กตฺวา ยทิ ปเตฺต ปฎิวีสมตฺตเมว โหติ, นิสีทิตฺวา ภุญฺชติ, ยทิ อติเรกํ โหติ, อวกฺการปาติยํ ปกฺขิปิตฺวา ปาติํ ปิธาย ภุญฺชติ, กตภตฺตกิโจฺจ ปตฺตํ โธวิตฺวา โวทกํ กตฺวา ถวิกาย โอสาเปตฺวา ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ ปวิสติฯ
Idāni tesaṃ appamādalakkhaṇaṃ pucchanto ‘‘kacci pana vo anuruddhā’’tiādimāha. Tattha voti nipātamattaṃ, paccattavacanaṃ vā, kacci tumheti attho. Amhākanti amhesu tīsu janesu. Piṇḍāya paṭikkamatīti gāme piṇḍāya caritvā paccāgacchati. Avakkārapātinti atirekapiṇḍapātaṃ apanetvā ṭhapanatthāya ekaṃ samuggapātiṃ dhovitvā ṭhapeti. Yo pacchāti te kira therā na ekatova bhikkhācāraṃ pavisanti. Phalasamāpattiratā hete pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā vattapaṭipattiṃ pūretvā senāsanaṃ pavisitvā kālaparicchedaṃ katvā phalasamāpattiṃ appetvā nisīdanti. Tesu yo paṭhamataraṃ nisinno attano kālaparicchedavasena paṭhamataraṃ uṭṭhāti, so piṇḍāya caritvā paṭinivatto bhattakiccaṭṭhānaṃ āgantvā jānāti ‘‘dve bhikkhū pacchato, ahaṃ paṭhamataraṃ āgato’’ti. Atha pattaṃ pidahitvā āsanapaññāpanādīni katvā yadi patte paṭivīsamattameva hoti, nisīditvā bhuñjati, yadi atirekaṃ hoti, avakkārapātiyaṃ pakkhipitvā pātiṃ pidhāya bhuñjati, katabhattakicco pattaṃ dhovitvā vodakaṃ katvā thavikāya osāpetvā pattacīvaraṃ gahetvā attano vasanaṭṭhānaṃ pavisati.
ทุติโยปิ อาคนฺตฺวาว ชานาติ ‘‘เอโก ปฐมํ อาคโต, เอโก ปจฺฉโต’’ติฯ โส สเจ ปเตฺต ภตฺตํ ปมาณเมว โหติ, ภุญฺชติฯ สเจ มนฺทํ, อวกฺการปาติโต คเหตฺวา ภุญฺชติฯ สเจ อติเรกํ โหติ, อวกฺการปาติยํ ปกฺขิปิตฺวา ปมาณเมว ภุญฺชิตฺวา ปุริมเตฺถโร วิย วสนฎฺฐานํ ปวิสติฯ ตติโยปิ อาคนฺตฺวาว ชานาติ ‘‘เทฺว ปฐมํ อาคตา, อหํ ปจฺฉิโม’’ติฯ โสปิ ทุติยเตฺถโร วิย ภุญฺชิตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ ปตฺตํ โธวิตฺวา โวทกํ กตฺวา ถวิกาย โอสาเปตฺวา อาสนานิ อุกฺขิปิตฺวา ปฎิสาเมติ, ปานียฆเฎ วา ปริโภชนียฆเฎ วา อวเสสอุทกํ ฉเฑฺฑตฺวา ฆเฎ นิกุชฺชิตฺวา อวกฺการปาติยํ สเจ อวเสสภตฺตํ โหติ, ตํ วุตฺตนเยน ชหิตฺวา ปาติํ โธวิตฺวา ปฎิสาเมติ, ภตฺตคฺคํ สมฺมชฺชติ, โส กจวรํ ฉเฑฺฑตฺวา สมฺมชฺชนิํ อุกฺขิปิตฺวา อุปจิกาหิ มุตฺตฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย วสนฎฺฐานํ ปวิสติฯ อิทํ เถรานํ พหิวิหาเร อรเญฺญ ภตฺตกิจฺจกรณฎฺฐาเน โภชนสาลาย วตฺตํฯ อิทํ สนฺธาย ‘‘โย ปจฺฉา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Dutiyopi āgantvāva jānāti ‘‘eko paṭhamaṃ āgato, eko pacchato’’ti. So sace patte bhattaṃ pamāṇameva hoti, bhuñjati. Sace mandaṃ, avakkārapātito gahetvā bhuñjati. Sace atirekaṃ hoti, avakkārapātiyaṃ pakkhipitvā pamāṇameva bhuñjitvā purimatthero viya vasanaṭṭhānaṃ pavisati. Tatiyopi āgantvāva jānāti ‘‘dve paṭhamaṃ āgatā, ahaṃ pacchimo’’ti. Sopi dutiyatthero viya bhuñjitvā katabhattakicco pattaṃ dhovitvā vodakaṃ katvā thavikāya osāpetvā āsanāni ukkhipitvā paṭisāmeti, pānīyaghaṭe vā paribhojanīyaghaṭe vā avasesaudakaṃ chaḍḍetvā ghaṭe nikujjitvā avakkārapātiyaṃ sace avasesabhattaṃ hoti, taṃ vuttanayena jahitvā pātiṃ dhovitvā paṭisāmeti, bhattaggaṃ sammajjati, so kacavaraṃ chaḍḍetvā sammajjaniṃ ukkhipitvā upacikāhi muttaṭṭhāne ṭhapetvā pattacīvaramādāya vasanaṭṭhānaṃ pavisati. Idaṃ therānaṃ bahivihāre araññe bhattakiccakaraṇaṭṭhāne bhojanasālāya vattaṃ. Idaṃ sandhāya ‘‘yo pacchā’’tiādi vuttaṃ.
โย ปสฺสตีติอาทิ ปน เนสํ อโนฺตวิหาเร วตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ วจฺจฆฎนฺติ อาจมนกุมฺภิํฯ ริตฺตนฺติ ริตฺตกํฯ ตุจฺฉนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ อวิสยฺหนฺติ อุกฺขิปิตุํ อสกฺกุเณยฺยํ อติภาริยํฯ หตฺถวิกาเรนาติ หตฺถสญฺญายฯ เต กิร ปานียฆฎาทีสุ ยํกิญฺจิ ตุจฺฉกํ คเหตฺวา โปกฺขรณิํ คนฺตฺวา อโนฺต จ พหิ จ โธวิตฺวา อุทกํ ปริสฺสาเวตฺวา ตีเร ฐเปตฺวา อญฺญํ ภิกฺขุํ หตฺถวิกาเรน อามเนฺตนฺติ, โอทิสฺส วา อโนทิสฺส วา สทฺทํ น กโรนฺติฯ กสฺมา โอทิสฺส น กโรนฺติ? ตญฺหิ ภิกฺขุํ สโทฺท พาเธยฺยาติฯ กสฺมา อโนทิสฺส น กโรนฺติ? อโนทิสฺส สเทฺท ทิเนฺน ‘‘อหํ ปุเร, อหํ ปุเร’’ติ เทฺวปิ นิกฺขเมยฺยุํฯ ตโต ทฺวีหิ กตฺตพฺพกเมฺม ตติยสฺส กมฺมเจฺฉโท ภเวยฺยฯ สํยตปทสโทฺท ปน หุตฺวา อปรสฺส ภิกฺขุโน ทิวาฎฺฐานสนฺติกํ คนฺตฺวา เตน ทิฎฺฐภาวํ ญตฺวา หตฺถสญฺญํ กโรติ, ตาย สญฺญาย อิตโร อาคจฺฉติ, ตโต เทฺว ชนา หเตฺถน หตฺถํ สํสิพฺพนฺตา ทฺวีสุ หเตฺถสุ ฐเปตฺวา อุฎฺฐาเปนฺติฯ ตํ สนฺธายาห ‘‘หตฺถวิกาเรน ทุติยํ อามเนฺตตฺวา หตฺถวิลงฺฆเกน อุปฎฺฐาเปมา’’ติฯ
Yopassatītiādi pana nesaṃ antovihāre vattanti veditabbaṃ. Tattha vaccaghaṭanti ācamanakumbhiṃ. Rittanti rittakaṃ. Tucchanti tasseva vevacanaṃ. Avisayhanti ukkhipituṃ asakkuṇeyyaṃ atibhāriyaṃ. Hatthavikārenāti hatthasaññāya. Te kira pānīyaghaṭādīsu yaṃkiñci tucchakaṃ gahetvā pokkharaṇiṃ gantvā anto ca bahi ca dhovitvā udakaṃ parissāvetvā tīre ṭhapetvā aññaṃ bhikkhuṃ hatthavikārena āmantenti, odissa vā anodissa vā saddaṃ na karonti. Kasmā odissa na karonti? Tañhi bhikkhuṃ saddo bādheyyāti. Kasmā anodissa na karonti? Anodissa sadde dinne ‘‘ahaṃ pure, ahaṃ pure’’ti dvepi nikkhameyyuṃ. Tato dvīhi kattabbakamme tatiyassa kammacchedo bhaveyya. Saṃyatapadasaddo pana hutvā aparassa bhikkhuno divāṭṭhānasantikaṃ gantvā tena diṭṭhabhāvaṃ ñatvā hatthasaññaṃ karoti, tāya saññāya itaro āgacchati, tato dve janā hatthena hatthaṃ saṃsibbantā dvīsu hatthesu ṭhapetvā uṭṭhāpenti. Taṃ sandhāyāha ‘‘hatthavikārena dutiyaṃ āmantetvā hatthavilaṅghakena upaṭṭhāpemā’’ti.
ปญฺจาหิกํ โข ปนาติ จาตุทฺทเส ปนฺนรเส อฎฺฐมิยนฺติ อิทํ ตาว ปกติธมฺมสฺสวนเมว, ตํ อขณฺฑํ กตฺวา ปญฺจเม ปญฺจเม ทิวเส เทฺว เถรา นาติวิกาเล นหายิตฺวา อนุรุทฺธเตฺถรสฺส วสนฎฺฐานํ คจฺฉนฺติฯ ตตฺถ ตโยปิ นิสีทิตฺวา ติณฺณํ ปิฎกานํ อญฺญตรสฺมิํ อญฺญมญฺญํ ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ, อญฺญมญฺญํ วิสฺสเชฺชนฺติฯ เตสํ เอวํ กโรนฺตานํเยว อรุณํ อุคฺคจฺฉติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ เอตฺตาวตา เถเรน ภควตา อปฺปมาทลกฺขณํ ปุจฺฉิเตน ปมาทฎฺฐาเนสุเยว อปฺปมาทลกฺขณํ วิสฺสชฺชิตํ โหติฯ อเญฺญสญฺหิ ภิกฺขูนํ ภิกฺขาจารปวิสนกาโล นิกฺขมนกาโล นิวาสนปริวตฺตนํ จีวรปารุปนํ อโนฺตคาเม ปิณฺฑาย จรณํ ธมฺมกถนํ อนุโมทนํ อโนฺตคามโต นิกฺขมิตฺวา ภตฺตกิจฺจกรณํ ปตฺตโธวนํ ปตฺตโอสาปนํ ปตฺตจีวรปฎิสามนนฺติ ปปญฺจกรณฎฺฐานานิ เอตานิฯ ตสฺมา เถโร ‘‘อมฺหากํ เอตฺตกํ ฐานํ มุญฺจิตฺวา วิสฺสฎฺฐกถาปวตฺตเนน กมฺมฎฺฐาเน ปมชฺชนฎฺฐานานิ, ตตฺถาปิ มยํ, ภเนฺต, กมฺมฎฺฐานวิรุทฺธํ น ปฎิปชฺชามา’’ติ อเญฺญสํ ปมาทฎฺฐาเนสุเยว สิขาปฺปตฺตํ อตฺตโน อปฺปมาทลกฺขณํ วิสฺสเชฺชสิฯ อิมินาว เอตานิ ฐานานิ มุญฺจิตฺวา อญฺญตฺถ วิหารสมาปตฺตีนํ อวฬญฺชนวเสน ปมาทกาโล นาม อมฺหากํ นตฺถีติ ทีเปติฯ
Pañcāhikaṃ kho panāti cātuddase pannarase aṭṭhamiyanti idaṃ tāva pakatidhammassavanameva, taṃ akhaṇḍaṃ katvā pañcame pañcame divase dve therā nātivikāle nahāyitvā anuruddhattherassa vasanaṭṭhānaṃ gacchanti. Tattha tayopi nisīditvā tiṇṇaṃ piṭakānaṃ aññatarasmiṃ aññamaññaṃ pañhaṃ pucchanti, aññamaññaṃ vissajjenti. Tesaṃ evaṃ karontānaṃyeva aruṇaṃ uggacchati. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Ettāvatā therena bhagavatā appamādalakkhaṇaṃ pucchitena pamādaṭṭhānesuyeva appamādalakkhaṇaṃ vissajjitaṃ hoti. Aññesañhi bhikkhūnaṃ bhikkhācārapavisanakālo nikkhamanakālo nivāsanaparivattanaṃ cīvarapārupanaṃ antogāme piṇḍāya caraṇaṃ dhammakathanaṃ anumodanaṃ antogāmato nikkhamitvā bhattakiccakaraṇaṃ pattadhovanaṃ pattaosāpanaṃ pattacīvarapaṭisāmananti papañcakaraṇaṭṭhānāni etāni. Tasmā thero ‘‘amhākaṃ ettakaṃ ṭhānaṃ muñcitvā vissaṭṭhakathāpavattanena kammaṭṭhāne pamajjanaṭṭhānāni, tatthāpi mayaṃ, bhante, kammaṭṭhānaviruddhaṃ na paṭipajjāmā’’ti aññesaṃ pamādaṭṭhānesuyeva sikhāppattaṃ attano appamādalakkhaṇaṃ vissajjesi. Imināva etāni ṭhānāni muñcitvā aññattha vihārasamāpattīnaṃ avaḷañjanavasena pamādakālo nāma amhākaṃ natthīti dīpeti.
ปาจีนวํสทายคมนกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pācīnavaṃsadāyagamanakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๒๗๔. ปาจีนวํสทายคมนกถา • 274. Pācīnavaṃsadāyagamanakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / โกสมฺพกวิวาทกถาวณฺณนา • Kosambakavivādakathāvaṇṇanā