Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā |
ปาจิตฺติยกถาวณฺณนา
Pācittiyakathāvaṇṇanā
๘๘๙. เอวํ นาติวิตฺถารสเงฺขปโต นิสฺสคฺคิยวินิจฺฉยํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตทนนฺตรํ นิทฺทิฎฺฐสฺส ปาจิตฺติยกณฺฑสฺส วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุํ ‘‘สมฺปชานมุสาวาเท’’ติอาทิ อารทฺธํฯ สมฺปชานมุสาวาเทติ อตฺตโน วจนสฺส มุสาภาวํ ญตฺวา, อทิฎฺฐํ ‘‘ทิฎฺฐ’’นฺติอาทินา นเยน มุสาวาเท สมฺปชานนฺตสฺส มุสาภณเนติปิ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ชานิตฺวา ชานนฺตสฺส จ มุสาภณเน’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒)ฯ ‘‘มุสาวาเท’’ติ หิ นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมํ, มุสาวาทนิมิตฺตนฺติ อโตฺถฯ
889. Evaṃ nātivitthārasaṅkhepato nissaggiyavinicchayaṃ dassetvā idāni tadanantaraṃ niddiṭṭhassa pācittiyakaṇḍassa vinicchayaṃ dassetuṃ ‘‘sampajānamusāvāde’’tiādi āraddhaṃ. Sampajānamusāvādeti attano vacanassa musābhāvaṃ ñatvā, adiṭṭhaṃ ‘‘diṭṭha’’ntiādinā nayena musāvāde sampajānantassa musābhaṇanetipi attho gahetabbo. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘jānitvā jānantassa ca musābhaṇane’’ti (pāci. aṭṭha. 2). ‘‘Musāvāde’’ti hi nimittatthe bhummaṃ, musāvādanimittanti attho.
ทวา ภณนฺตสฺสาติ โยชนาฯ อนุปปริกฺขิตฺวา เวเคน ทิฎฺฐมฺปิ ‘‘อทิฎฺฐํ เม’’ติ วทนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘ทวา ภณติ นาม สหสา ภณตี’’ติ ปทภาชนีอฎฺฐกถายํ ‘‘สหสา ภณตีติ อวีมํสิตฺวา อนุปธาเรตฺวา เวเคน ทิฎฺฐมฺปิ ‘อทิฎฺฐํ เม’ติ ภณตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑)ฯ รวา ภณนฺตสฺสาติ ‘‘จีวร’’นฺติ วตฺตุกามสฺส ‘‘จีร’’นฺติ วจนํ วิย มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา ‘‘อญฺญํ ภณิสฺสามี’’ติ อญฺญํ ภณนฺตสฺสฯ ยถาห ‘‘รวา ภณติ นาม ‘อญฺญํ ภณิสฺสามี’ติ อญฺญํ ภณตี’’ติฯ
Davā bhaṇantassāti yojanā. Anupaparikkhitvā vegena diṭṭhampi ‘‘adiṭṭhaṃ me’’ti vadantassāti attho. Yathāha ‘‘davā bhaṇati nāma sahasā bhaṇatī’’ti padabhājanīaṭṭhakathāyaṃ ‘‘sahasā bhaṇatīti avīmaṃsitvā anupadhāretvā vegena diṭṭhampi ‘adiṭṭhaṃ me’ti bhaṇatī’’ti (pāci. aṭṭha. 11). Ravā bhaṇantassāti ‘‘cīvara’’nti vattukāmassa ‘‘cīra’’nti vacanaṃ viya mandattā momūhattā ‘‘aññaṃ bhaṇissāmī’’ti aññaṃ bhaṇantassa. Yathāha ‘‘ravā bhaṇati nāma ‘aññaṃ bhaṇissāmī’ti aññaṃ bhaṇatī’’ti.
๘๙๐. อญฺญตฺถาติ จตุตฺถปาราชิกาทีสุฯ อตฺตนา อลทฺธํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ ‘‘ลทฺธํ มยา’’ติ มุสา ยสฺส ภณติ, เตน ตงฺขณเมว สุตฺวา ตทเตฺถ ญาเต ปาราชิกสฺส, อญฺญาเต กาลนฺตเรน ญาเต จ ปริยายวจเน จ ญาเต ถุลฺลจฺจยสฺส, ปริยายวจเน อวิญฺญาเต ทุกฺกฎสฺส, ทุฎฺฐโทสสิกฺขาปเท ปาราชิกํ อนาปนฺนสฺส ‘‘อาปโนฺน’’ติ มุสาภณเน สงฺฆาทิเสสสฺส, โอมสวาทสิกฺขาปเท ทุพฺภาสิตสฺส จ วุตฺตตฺตา อาห ‘‘มุสาวาทสฺส การณา ปญฺจ อาปตฺติโย’’ติฯ อิมาย ปาจิตฺติยา สทฺธิํ ฉ อาปตฺติกฺขนฺธา โหนฺติฯ
890.Aññatthāti catutthapārājikādīsu. Attanā aladdhaṃ uttarimanussadhammaṃ ‘‘laddhaṃ mayā’’ti musā yassa bhaṇati, tena taṅkhaṇameva sutvā tadatthe ñāte pārājikassa, aññāte kālantarena ñāte ca pariyāyavacane ca ñāte thullaccayassa, pariyāyavacane aviññāte dukkaṭassa, duṭṭhadosasikkhāpade pārājikaṃ anāpannassa ‘‘āpanno’’ti musābhaṇane saṅghādisesassa, omasavādasikkhāpade dubbhāsitassa ca vuttattā āha ‘‘musāvādassa kāraṇā pañca āpattiyo’’ti. Imāya pācittiyā saddhiṃ cha āpattikkhandhā honti.
สมฺปชานมุสาวาทกถาวณฺณนาฯ
Sampajānamusāvādakathāvaṇṇanā.
๘๙๑-๓. วุเตฺตสุ ชาติอาทีสุ ทสสุ อโกฺกสวตฺถูสูติ โยชนา, ปทภาชเน วุเตฺตสุ ชาตินามโคตฺตกมฺมสิปฺปอาพาธลิงฺคกิเลสอาปตฺติอโกฺกสานํ วเสน ทสสุ อโกฺกสวตฺถูสูติ อโตฺถ ฯ เตสุ กิเลสํ วินา สเพฺพเต หีนุกฺกฎฺฐวเสน ทฺวิปฺปการา โหนฺติฯ ยถาห ปทภาชเน ‘‘ชาติ นาม เทฺว ชาติโย หีนา จ ชาติ อุกฺกฎฺฐา จ ชาตี’’ติอาทิฯ
891-3. Vuttesu jātiādīsu dasasu akkosavatthūsūti yojanā, padabhājane vuttesu jātināmagottakammasippaābādhaliṅgakilesaāpattiakkosānaṃ vasena dasasu akkosavatthūsūti attho . Tesu kilesaṃ vinā sabbete hīnukkaṭṭhavasena dvippakārā honti. Yathāha padabhājane ‘‘jāti nāma dve jātiyo hīnā ca jāti ukkaṭṭhā ca jātī’’tiādi.
ตตฺถ จณฺฑาลาทิชาติ หีนา, ขตฺติยพฺราหฺมณชาติโย อุกฺกฎฺฐาฯ นาเมสุ อวกณฺณกชวกณฺณกาทินามานิ ทาสนามตฺตา หีนานิ, พุทฺธรกฺขิตาทินามานิ อุกฺกฎฺฐานิฯ โกสิยาทิโคตฺตํ หีนํ, โคตมาทิโคตฺตํ อุกฺกฎฺฐํฯ กเมฺมสุ วฑฺฒกิมณิการาทิกมฺมานิ หีนานิ, กสิวาณิชฺชาโครกฺขกมฺมานิ อุกฺกฎฺฐานิฯ สิเปฺปสุ นฬการกุมฺภการาทิสิปฺปํ หีนํ, มุทฺทาคณนาทิสิปฺปํ อุกฺกฎฺฐํฯ อาพาเธสุ สเพฺพปิ อาพาธา หีนา, อปิจ มธุเมโห ปีฬาชนกตฺตาภาวา อุกฺกโฎฺฐฯ ลิเงฺคสุ อติทีฆตาทโย หีนา, นาติทีฆตาทโย อุกฺกฎฺฐาฯ สเพฺพปิ กิเลสา หีนาฯ สพฺพาปตฺติโยปิ หีนา, อปิจ โสตาปตฺติสมาปตฺติ อุกฺกฎฺฐาฯ อโกฺกเสสุ ‘‘โอโฎฺฐสิ เมโณฺฑสิ โคโณสี’’ติอาทิโก หีโน, ‘‘ปณฺฑิโตสิ พฺยโตฺตสี’’ติอาทิโก อุกฺกโฎฺฐฯ
Tattha caṇḍālādijāti hīnā, khattiyabrāhmaṇajātiyo ukkaṭṭhā. Nāmesu avakaṇṇakajavakaṇṇakādināmāni dāsanāmattā hīnāni, buddharakkhitādināmāni ukkaṭṭhāni. Kosiyādigottaṃ hīnaṃ, gotamādigottaṃ ukkaṭṭhaṃ. Kammesu vaḍḍhakimaṇikārādikammāni hīnāni, kasivāṇijjāgorakkhakammāni ukkaṭṭhāni. Sippesu naḷakārakumbhakārādisippaṃ hīnaṃ, muddāgaṇanādisippaṃ ukkaṭṭhaṃ. Ābādhesu sabbepi ābādhā hīnā, apica madhumeho pīḷājanakattābhāvā ukkaṭṭho. Liṅgesu atidīghatādayo hīnā, nātidīghatādayo ukkaṭṭhā. Sabbepi kilesā hīnā. Sabbāpattiyopi hīnā, apica sotāpattisamāpatti ukkaṭṭhā. Akkosesu ‘‘oṭṭhosi meṇḍosi goṇosī’’tiādiko hīno, ‘‘paṇḍitosi byattosī’’tiādiko ukkaṭṭho.
อญฺญตฺรญฺญาปเทเสนาติ ปริยายกถเนน วินาฯ โอมสนฺตสฺสาติ วจนปโตเทน โอวิชฺฌนฺตสฺสฯ สมฺพุเทฺธน ปกาสิตาติ ‘‘จณฺฑาโลสิ เวโนสิ เนสาโทสิ รถกาโรสิ ปุกฺกุโสสี’ติ ภณติ, อาปตฺติ วาจาย วาจาย ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ สามํ สพฺพธมฺมาวโพธโต ‘‘สมฺพุโทฺธ’’ติ ปญฺญาเตน ภควตา เทสิตาฯ
Aññatraññāpadesenāti pariyāyakathanena vinā. Omasantassāti vacanapatodena ovijjhantassa. Sambuddhena pakāsitāti ‘‘caṇḍālosi venosi nesādosi rathakārosi pukkusosī’ti bhaṇati, āpatti vācāya vācāya pācittiyassā’’ti sāmaṃ sabbadhammāvabodhato ‘‘sambuddho’’ti paññātena bhagavatā desitā.
๘๙๔. เตเหวาติ ชาติอาทีหิ อโกฺกสวตฺถูเหวฯ อญฺญาปเทเสน ภูเตน วา…เป.… อาปนฺนเมว วา อนุปสมฺปนฺนํ อโกฺกสนฺตสฺส ทุกฺกฎํ สมฺพุเทฺธน ปกาสิตนฺติ สมฺพโนฺธฯ อิธ ภูตาภูตปทานิ เตหีติ อเปกฺขิตฺวา พหุวจนนฺตานิ โยเชตพฺพานิฯ เอเตน ‘‘สนฺติ อิเธกเจฺจ’’ติอาทิทุติยวารตฺถํ (ปาจิ. ๒๖) ทเสฺสเนฺตน ทุกฺกฎสาธนเตฺถน ตเทกการิยํ ตติยํ เยนูนวารญฺจ จตุตฺถํ น มยนฺติอาทิวารญฺจ สงฺคหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สนฺติ อิเธกเจฺจ’ติ วาเร ปน ปริหริตฺวา วุตฺตภาเวน ทุกฺกฎํฯ เอเสว นโย ‘เยนูน…เป.… น มย’นฺติ วาเรสุปี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖)ฯ
894.Tehevāti jātiādīhi akkosavatthūheva. Aññāpadesena bhūtena vā…pe… āpannameva vā anupasampannaṃ akkosantassa dukkaṭaṃ sambuddhena pakāsitanti sambandho. Idha bhūtābhūtapadāni tehīti apekkhitvā bahuvacanantāni yojetabbāni. Etena ‘‘santi idhekacce’’tiādidutiyavāratthaṃ (pāci. 26) dassentena dukkaṭasādhanatthena tadekakāriyaṃ tatiyaṃ yenūnavārañca catutthaṃ na mayantiādivārañca saṅgahitanti daṭṭhabbaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘santi idhekacce’ti vāre pana pariharitvā vuttabhāvena dukkaṭaṃ. Eseva nayo ‘yenūna…pe… na maya’nti vāresupī’’ti (pāci. aṭṭha. 26).
ปาฬิมุตฺตปเทหิปีติ เอตฺถาปิ ตเถว ‘‘ภูเตน วา’’ติอาทีนิ ปทานิ สมฺพนฺธิตพฺพานิฯ ‘‘โจโรสิ, คณฺฐิเภทโกสี’’ติอาทิ ปาฬิมุตฺตปทํ นามฯ สพฺพตฺถาติ สเพฺพสุ จตูสุ วาเรสุ, ปาฬิมุตฺตปเทสุ จฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘อนุปสมฺปเนฺน ปน จตูสุปิ วาเรสุ ทุกฺกฎเมวฯ ‘โจโรสิ, คณฺฐิเภทโกสี’ติอาทิวจเนหิ ปน อุปสมฺปเนฺนปิ อนุปสมฺปเนฺนปิ สพฺพวาเรสุ ทุกฺกฎเมวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖)ฯ ‘‘อนุปสมฺปนฺน’’นฺติ อิมินา ‘‘อิมสฺมิญฺจ สิกฺขาปเท ฐเปตฺวา ภิกฺขุํ ภิกฺขุนิอาทโย สเพฺพ สตฺตา อนุปสมฺปนฺนฎฺฐาเน ฐิตา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖) อฎฺฐกถายํ วุตฺตา อนุปสมฺปนฺนา สงฺคหิตาฯ เตเนเวตฺถาปิ วกฺขติ ‘‘ปวิฎฺฐานุปสมฺปนฺนฎฺฐาเน อิธ จ ภิกฺขุนี’’ติฯ
Pāḷimuttapadehipīti etthāpi tatheva ‘‘bhūtena vā’’tiādīni padāni sambandhitabbāni. ‘‘Corosi, gaṇṭhibhedakosī’’tiādi pāḷimuttapadaṃ nāma. Sabbatthāti sabbesu catūsu vāresu, pāḷimuttapadesu ca. Vuttañhi ‘‘anupasampanne pana catūsupi vāresu dukkaṭameva. ‘Corosi, gaṇṭhibhedakosī’tiādivacanehi pana upasampannepi anupasampannepi sabbavāresu dukkaṭamevā’’ti (pāci. aṭṭha. 26). ‘‘Anupasampanna’’nti iminā ‘‘imasmiñca sikkhāpade ṭhapetvā bhikkhuṃ bhikkhuniādayo sabbe sattā anupasampannaṭṭhāne ṭhitā’’ti (pāci. aṭṭha. 26) aṭṭhakathāyaṃ vuttā anupasampannā saṅgahitā. Tenevetthāpi vakkhati ‘‘paviṭṭhānupasampannaṭṭhāne idha ca bhikkhunī’’ti.
๘๙๕. ทวกมฺยตาติ เอตฺถ ‘‘ปฎิสงฺขา โยนิโส’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๒, ๒๓, ๔๒๒; อ. นิ. ๖.๕๘; ๙.๙; มหานิ. ๒๐๖; วิภ. ๕๑๘) วิย ย-การโลโปฯ สพฺพตฺถาติ สเพฺพสุ วุตฺตปาจิตฺติยวตฺถูสุ จ ทุกฺกฎวตฺถูสุ จาติ สพฺพเตฺถวฯ ทุพฺภาสิตมุทีริตนฺติ ‘‘จณฺฑาโลสิ…เป.… ปุกฺกุโสสี’ติ ภณติ, อาปตฺติ วาจาย วาจาย ทุพฺภาสิตสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๒) วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ ปรมฺมุขา ปน ปาจิตฺติยวตฺถูหิ จ ทุกฺกฎวตฺถูหิ จ อโกฺกสเน ทุกฺกฎเมวฯ ตถา ทวกมฺยตาย ปรมฺมุขา วทนฺตสฺสาปิ ทุพฺภาสิตเมวาติ อาจริยา วทนฺติฯ
895.Davakamyatāti ettha ‘‘paṭisaṅkhā yoniso’’tiādīsu (ma. ni. 1.22, 23, 422; a. ni. 6.58; 9.9; mahāni. 206; vibha. 518) viya ya-kāralopo. Sabbatthāti sabbesu vuttapācittiyavatthūsu ca dukkaṭavatthūsu cāti sabbattheva. Dubbhāsitamudīritanti ‘‘caṇḍālosi…pe… pukkusosī’ti bhaṇati, āpatti vācāya vācāya dubbhāsitassā’’ti (pāci. 32) vuttanti attho. Parammukhā pana pācittiyavatthūhi ca dukkaṭavatthūhi ca akkosane dukkaṭameva. Tathā davakamyatāya parammukhā vadantassāpi dubbhāsitamevāti ācariyā vadanti.
๘๙๖-๗. อตฺถํ ปุรกฺขตฺวา วทโต ภิกฺขุสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ ธโมฺม นาม ‘‘จณฺฑาโลสี’’ติอาทิปาฬิเยวฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ปาฬิํ วาเจโนฺต ธมฺมปุเรกฺขาโร’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๕)ฯ อนุสาสนี นาม ‘‘อิทานิปิ จณฺฑาโลสิ, มา ปาปธมฺมํ อกาสิ, มา ตโม ตมปรายโน อโหสี’’ติอาทินา (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๕) นเยน อฎฺฐกถายํ วุตฺตสรูปาเยว อนุสาสนีปุเรกฺขตาย ฐตฺวา วทนฺตสฺส จิตฺตสฺส ลหุปริวตฺติตภาวโต อนฺตรา โกเธ อุปฺปเนฺนปิ อนาปตฺติฯ
896-7. Atthaṃ purakkhatvā vadato bhikkhussa anāpattīti yojanā. Dhammo nāma ‘‘caṇḍālosī’’tiādipāḷiyeva. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘pāḷiṃ vācento dhammapurekkhāro’’ti (pāci. aṭṭha. 35). Anusāsanī nāma ‘‘idānipi caṇḍālosi, mā pāpadhammaṃ akāsi, mā tamo tamaparāyano ahosī’’tiādinā (pāci. aṭṭha. 35) nayena aṭṭhakathāyaṃ vuttasarūpāyeva anusāsanīpurekkhatāya ṭhatvā vadantassa cittassa lahuparivattitabhāvato antarā kodhe uppannepi anāpatti.
เอตฺถาติ อิมสฺมิํ โอมสวาทสิกฺขาปเทฯ ปฎิฆสมฺปยุตฺตจิเตฺตเนว อาปชฺชิตพฺพตฺตา มานสิกทุกฺขเวทนาว โหติฯ
Etthāti imasmiṃ omasavādasikkhāpade. Paṭighasampayuttacitteneva āpajjitabbattā mānasikadukkhavedanāva hoti.
โอมสวาทกถาวณฺณนาฯ
Omasavādakathāvaṇṇanā.
๘๙๘. ทุวิธาการโต ภิกฺขุเปสุเญฺญ อาปตฺติ สิยาติ โยชนาฯ ปิสตีติ ปิสุณา, วาจา , สมเคฺค สเตฺต อวยวภูเต วเคฺค ภิเนฺน กโรตีติ อโตฺถฯ ปิสุณา เอว เปสุญฺญํ, ตาย วาจาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล สหจริยนเยน ปิสุโณ, ตสฺส กมฺมํ เปสุญฺญํ, ภิกฺขูนํ เปสุญฺญํ ภิกฺขุเปสุญฺญํ, ตสฺมิํ ภิกฺขุเปสุเญฺญฯ ปทภาชเน ‘‘อุปสมฺปโนฺน อุปสมฺปนฺนสฺส สุตฺวา อุปสมฺปนฺนสฺส เปสุญฺญํ อุปสํหรติ ‘อิตฺถนฺนาโม ตํ ‘จณฺฑาโล…เป.… ปุกฺกุโส’ติ ภณตี’ติ อาปตฺติ…เป.… ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๙) วุตฺตตฺตา สยํ อุปสมฺปโนฺน หุตฺวา อุปสมฺปนฺนสฺส ชาติอาทีสุ ทสสุ อโกฺกสวตฺถูสุ อญฺญตเรน อญฺญํ อุปสมฺปนฺนํ ปรมฺมุขา อโกฺกสนฺตสฺส สุตฺวา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วกฺขมานสรูเปสุ อตฺตโน ปิยกามตาเภทาธิปฺปายสงฺขาเตสุ ทฺวีสุ การเณสุ อญฺญตรการณํ ปฎิจฺจ ‘‘อสุโก ตุยฺหํ เอวํ วทตี’’ติ เปสุญฺญํ หรติ, ตสฺส เปสุญฺญกถนนิมิตฺตํ ปาจิตฺติยํ โหตีติ อโตฺถฯ
898. Duvidhākārato bhikkhupesuññe āpatti siyāti yojanā. Pisatīti pisuṇā, vācā , samagge satte avayavabhūte vagge bhinne karotīti attho. Pisuṇā eva pesuññaṃ, tāya vācāya samannāgato puggalo sahacariyanayena pisuṇo, tassa kammaṃ pesuññaṃ, bhikkhūnaṃ pesuññaṃ bhikkhupesuññaṃ, tasmiṃ bhikkhupesuññe. Padabhājane ‘‘upasampanno upasampannassa sutvā upasampannassa pesuññaṃ upasaṃharati ‘itthannāmo taṃ ‘caṇḍālo…pe… pukkuso’ti bhaṇatī’ti āpatti…pe… pācittiyassā’’ti (pāci. 39) vuttattā sayaṃ upasampanno hutvā upasampannassa jātiādīsu dasasu akkosavatthūsu aññatarena aññaṃ upasampannaṃ parammukhā akkosantassa sutvā tassa santikaṃ gantvā vakkhamānasarūpesu attano piyakāmatābhedādhippāyasaṅkhātesu dvīsu kāraṇesu aññatarakāraṇaṃ paṭicca ‘‘asuko tuyhaṃ evaṃ vadatī’’ti pesuññaṃ harati, tassa pesuññakathananimittaṃ pācittiyaṃ hotīti attho.
ทุวิธาการโตติ เอตฺถ อาการ-สโทฺท การณปริยาโยฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ทฺวีหากาเรหีติ ทฺวีหิ การเณหี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๘)ฯ เอตฺถ การณํ นาม อธิปฺปายวิเสโสฯ ตํ การณํ อธิปฺปายมุเขน ทเสฺสตุมาห ‘‘อตฺตโน’’ติอาทิฯ อตฺตโน ปิยกามสฺสาติ อตฺตโน ปิยภาวกามสฺส เปสุญฺญํ ภณนฺตสฺส, อตฺตโน ปิยภาวํ กามยนฺตสฺสาติ อโตฺถ, ตาทิเสน อธิปฺปาเยนาติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เอวํ อหํ เอตสฺส ปิโย ภวิสฺสามี’’ติ อตฺตโน ปิยภาวํ ปตฺถยมานสฺสา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๘)ฯ ปรเภทตฺถิโนปิ วาติ อโกฺกสกสฺส จ อตฺตโน เปสุญฺญวจนํ สุณนฺตสฺส จาติ อุภินฺนํ เภทํ อิจฺฉนฺตสฺสาติ อโตฺถ, เภทาธิปฺปาเยนาติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ปรสฺส ปเรน เภทํ อิจฺฉนฺตสฺสา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๘)ฯ
Duvidhākāratoti ettha ākāra-saddo kāraṇapariyāyo. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘dvīhākārehīti dvīhi kāraṇehī’’ti (pāci. aṭṭha. 38). Ettha kāraṇaṃ nāma adhippāyaviseso. Taṃ kāraṇaṃ adhippāyamukhena dassetumāha ‘‘attano’’tiādi. Attano piyakāmassāti attano piyabhāvakāmassa pesuññaṃ bhaṇantassa, attano piyabhāvaṃ kāmayantassāti attho, tādisena adhippāyenāti vuttaṃ hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘evaṃ ahaṃ etassa piyo bhavissāmī’’ti attano piyabhāvaṃ patthayamānassā’’ti (pāci. aṭṭha. 38). Parabhedatthinopi vāti akkosakassa ca attano pesuññavacanaṃ suṇantassa cāti ubhinnaṃ bhedaṃ icchantassāti attho, bhedādhippāyenāti vuttaṃ hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘parassa parena bhedaṃ icchantassā’’ti (pāci. aṭṭha. 38).
๘๙๙. ปริยายนเยน อโกฺกสนฺตสฺส วจนสฺส…เป.… ทุกฺกฎนฺติ โยชนา, ปริยายอโกฺกสวจนํ สุตฺวา ปรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วทนฺตสฺส ภิกฺขุโน ทุกฺกฎํ โหตีติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘อิตฺถนฺนาโม สนฺติ อิเธกเจฺจ จณฺฑาลา…เป.… ภณติ, น โส อญฺญํ ภณติ, ตํเยว ภณตีติ อาปตฺติ วาจาย วาจาย ทุกฺกฎสฺสา’’ติอาทิ (ปาจิ. ๔๑)ฯ ปาฬิมุตฺตนเยน อโกฺกสนฺตสฺส วจนสฺส…เป.… ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ เอตฺถ ‘‘โจโรสิ, คณฺฐิเภทโกสี’’ติอาทินา ทสฺสิโต ปาฬิมุตฺตนโย นามฯ
899. Pariyāyanayena akkosantassa vacanassa…pe… dukkaṭanti yojanā, pariyāyaakkosavacanaṃ sutvā parassa santikaṃ gantvā vadantassa bhikkhuno dukkaṭaṃ hotīti attho. Yathāha ‘‘itthannāmo santi idhekacce caṇḍālā…pe… bhaṇati, na so aññaṃ bhaṇati, taṃyeva bhaṇatīti āpatti vācāya vācāya dukkaṭassā’’tiādi (pāci. 41). Pāḷimuttanayena akkosantassa vacanassa…pe… dukkaṭanti yojanā. Ettha ‘‘corosi, gaṇṭhibhedakosī’’tiādinā dassito pāḷimuttanayo nāma.
๙๐๐. อนุปสมฺปนฺนสฺส อโกฺกสํ อุปสมฺปนฺนํ หรโตปิ จ ตถา ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ จ-สเทฺทน อุปสมฺปนฺนสฺส อโกฺกสํ อนุปสมฺปนฺนํ หรโตปิ จ, อนุปสมฺปนฺนสฺส อโกฺกสํ อนุปสมฺปนฺนํ หรโตปิ จ ตถา ทุกฺกฎนฺติ วิกปฺปทฺวยญฺจ สมุจฺจิโนติฯ ‘‘อิธาปิ ภิกฺขุนิํ อาทิํ กตฺวา สเพฺพ อนุปสมฺปนฺนา นามา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๘) อฎฺฐกถาวจนโต ‘‘ภิกฺขุนี’’ติ อุปลกฺขณํฯ
900. Anupasampannassa akkosaṃ upasampannaṃ haratopi ca tathā dukkaṭanti yojanā. Ca-saddena upasampannassa akkosaṃ anupasampannaṃ haratopi ca, anupasampannassa akkosaṃ anupasampannaṃ haratopi ca tathā dukkaṭanti vikappadvayañca samuccinoti. ‘‘Idhāpi bhikkhuniṃ ādiṃ katvā sabbe anupasampannā nāmā’’ti (pāci. aṭṭha. 38) aṭṭhakathāvacanato ‘‘bhikkhunī’’ti upalakkhaṇaṃ.
๙๐๑. น เจว ปิยกามสฺสาติ ปิยภาวํ อกามยนฺตสฺส จฯ น เภทตฺถิโนปิ จาติ เภทํ อนิจฺฉนฺตสฺส จฯ ปาปานํ ครหตฺถายาติ เอตฺถ ‘‘เกวล’’นฺติ เสโสฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เอกํ อโกฺกสนฺตํ, เอกญฺจ ขมนฺตํ ทิสฺวา ‘อโห นิลฺลโชฺช, อีทิสมฺปิ นาม อายสฺมนฺตํ ปุน วตฺตพฺพํ มญฺญิสฺสตี’ติ เอวํ เกวลํ ปาปครหิตาย ภณนฺตสฺส อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๘)ฯ
901.Na ceva piyakāmassāti piyabhāvaṃ akāmayantassa ca. Na bhedatthinopi cāti bhedaṃ anicchantassa ca. Pāpānaṃ garahatthāyāti ettha ‘‘kevala’’nti seso. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘ekaṃ akkosantaṃ, ekañca khamantaṃ disvā ‘aho nillajjo, īdisampi nāma āyasmantaṃ puna vattabbaṃ maññissatī’ti evaṃ kevalaṃ pāpagarahitāya bhaṇantassa anāpattī’’ti (pāci. aṭṭha. 38).
เปสุญฺญกถาวณฺณนาฯ
Pesuññakathāvaṇṇanā.
๙๐๓. อเญฺญนาติ สามเณราทินาฯ ‘‘ยญฺจ ปทํ ยญฺจ อนุปทํ ยญฺจ อนฺวกฺขรํ ยญฺจ อนุพฺยญฺชนํ, สพฺพเมตํ ปทโส นามา’’ติ (ปาจิ. ๔๖) ปทภาชเน วุตฺตตฺตา อวยเว สมุทาโยปจารวเสน ‘‘ปิฎกตฺตย’’นฺติ ตเทกเทสปทาทิ เอว วุโตฺตติ คเหตโพฺพฯ เอตฺถ ปทาทิสรูปํ อฎฺฐกถาย เวทิตพฺพํฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ ‘‘ปทนฺติ เอโก คาถาปาโท อธิเปฺปโตฯ อนุปทนฺติ ทุติโย ปาโทฯ อนฺวกฺขรนฺติ เอเกกมกฺขรํฯ อนุพฺยญฺชนนฺติ ปุริมพฺยญฺชเนน สทิสํ ปจฺฉาพฺยญฺชน’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๔๕)ฯ อิทํ คาถามยเทสนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘ยํ กิญฺจิ วา เอกมกฺขรํ อนฺวกฺขรํ, อกฺขรสมูโห อนุพฺยญฺชนํ, อกฺขรานุพฺยญฺชนสมูโห ปทํ, ปฐมปทํ ปทเมว, ทุติยํ อนุปทนฺติ เอวเมตฺถ นานากรณํ เวทิตพฺพ’’นฺติปิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๔๕) วุตฺตํฯ อิทํ จุณฺณิยเทสนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
903.Aññenāti sāmaṇerādinā. ‘‘Yañca padaṃ yañca anupadaṃ yañca anvakkharaṃ yañca anubyañjanaṃ, sabbametaṃ padaso nāmā’’ti (pāci. 46) padabhājane vuttattā avayave samudāyopacāravasena ‘‘piṭakattaya’’nti tadekadesapadādi eva vuttoti gahetabbo. Ettha padādisarūpaṃ aṭṭhakathāya veditabbaṃ. Vuttañhi tattha ‘‘padanti eko gāthāpādo adhippeto. Anupadanti dutiyo pādo. Anvakkharanti ekekamakkharaṃ. Anubyañjananti purimabyañjanena sadisaṃ pacchābyañjana’’nti (pāci. aṭṭha. 45). Idaṃ gāthāmayadesanaṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Yaṃ kiñci vā ekamakkharaṃ anvakkharaṃ, akkharasamūho anubyañjanaṃ, akkharānubyañjanasamūho padaṃ, paṭhamapadaṃ padameva, dutiyaṃ anupadanti evamettha nānākaraṇaṃ veditabba’’ntipi (pāci. aṭṭha. 45) vuttaṃ. Idaṃ cuṇṇiyadesanaṃ sandhāya vuttaṃ.
ธมฺมนฺติ พุทฺธภาสิตาทิปาฬิธมฺมํฯ ปฎิสมฺภิทายญฺหิ ธมฺมปญฺจเก ปาฬิปิ ธโมฺมติ วุตฺตาฯ ธมฺมปญฺจกํ นาม ผลนิพฺพตฺตโก เหตุ, อริยมโคฺค, ภาสิตํ, กุสลากุสลํ เจติ เอเต ธมฺมสญฺญิตาติ นิทฺทิฎฺฐํฯ เอตฺถ หิ ภาสิตนฺติ ปาฬิ วุตฺตาฯ อฎฺฐกถานิสฺสิโตปิ เอเตฺถว สงฺคหํ คจฺฉติฯ โส จ ปุเพฺพ มคธภาสาย ฐิโต สงฺคีติตฺตยารุโฬฺห คเหตโพฺพฯ
Dhammanti buddhabhāsitādipāḷidhammaṃ. Paṭisambhidāyañhi dhammapañcake pāḷipi dhammoti vuttā. Dhammapañcakaṃ nāma phalanibbattako hetu, ariyamaggo, bhāsitaṃ, kusalākusalaṃ ceti ete dhammasaññitāti niddiṭṭhaṃ. Ettha hi bhāsitanti pāḷi vuttā. Aṭṭhakathānissitopi ettheva saṅgahaṃ gacchati. So ca pubbe magadhabhāsāya ṭhito saṅgītittayāruḷho gahetabbo.
‘‘สห ภณนฺตสฺส ปาจิตฺติยํ สิยา’’ติ อิมินา ‘‘เอกโต ปฎฺฐเปตฺวา เอกโต โอสาเปนฺตี’’ติอาทินา (ปาจิ. ๔๖) ปทภาชนาคตนเยน อนุปสมฺปเนฺนน สทฺธิํ อารภิตฺวา เอกโต อุจฺจารณวเสน ปทํ วา อนุปทํ วา อนฺวกฺขรํ วา อนุพฺยญฺชนํ วา วทโต ปทาทิคณนาวเสน ปาจิตฺติยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
‘‘Saha bhaṇantassa pācittiyaṃ siyā’’ti iminā ‘‘ekato paṭṭhapetvā ekato osāpentī’’tiādinā (pāci. 46) padabhājanāgatanayena anupasampannena saddhiṃ ārabhitvā ekato uccāraṇavasena padaṃ vā anupadaṃ vā anvakkharaṃ vā anubyañjanaṃ vā vadato padādigaṇanāvasena pācittiyanti vuttaṃ hoti.
๙๐๔. สงฺคีติํ อนารุเฬฺหสุ ธเมฺมสุ ราโชวาทาทโย สุตฺตนฺตา อาปตฺติชนกาเยวาติ มหาปจฺจริยาทิสุ วุตฺตาติ โยชนาฯ ราโชวาโท นาม เอโก สุตฺตโนฺตฯ อาทิ-สเทฺทน ติกฺขินฺทฺริยาทิสุตฺตนฺตา คหิตาฯ
904.Saṅgītiṃ anāruḷhesu dhammesu rājovādādayo suttantā āpattijanakāyevāti mahāpaccariyādisu vuttāti yojanā. Rājovādo nāma eko suttanto. Ādi-saddena tikkhindriyādisuttantā gahitā.
๙๐๕. ภิกฺขุสฺมิมฺปิ ภิกฺขุนิยาปิ จ อนุปสมฺปนฺนสญฺญิโน, วิมติสฺส วา ภิกฺขุสฺส ตถา ปทโสธเมฺม ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ
905. Bhikkhusmimpi bhikkhuniyāpi ca anupasampannasaññino, vimatissa vā bhikkhussa tathā padasodhamme dukkaṭaṃ hotīti yojanā.
๙๐๖-๗. เอกโต อุทฺทิสาเปตีติ เอกโต อุเทฺทสํ คณฺหเนฺตหิ อนุปสมฺปเนฺนหิ สทฺธิํ อุจฺจารณวเสน อุทฺทิสาเปติฯ สชฺฌายํ วา กโรตีติ ตถา เอกโต สชฺฌายติฯ
906-7.Ekato uddisāpetīti ekato uddesaṃ gaṇhantehi anupasampannehi saddhiṃ uccāraṇavasena uddisāpeti. Sajjhāyaṃ vā karotīti tathā ekato sajjhāyati.
‘‘สเจ เอกคาถาย เอโก ปาโท น อาคจฺฉติ, เสสํ อาคจฺฉติ, อยํ เยภุเยฺยน ปคุณคโนฺถ นามฯ เอส นโย สุเตฺตปิ เวทิตโพฺพตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๔๘) อฎฺฐกถาวจนโต ปคุณคนฺถนฺติ เอตฺถ ‘‘เยภุเยฺยนา’’ติ เสโสฯ โอปาเตตีติ ‘‘เอวํ ภณาหี’’ติ เอกโต ภณติฯ อุเทฺทสนฺติ อุทฺทิสิตพฺพํฯ เตนาติ อนุปสมฺปเนฺนนฯ
‘‘Sace ekagāthāya eko pādo na āgacchati, sesaṃ āgacchati, ayaṃ yebhuyyena paguṇagantho nāma. Esa nayo suttepi veditabbotī’’ti (pāci. aṭṭha. 48) aṭṭhakathāvacanato paguṇaganthanti ettha ‘‘yebhuyyenā’’ti seso. Opātetīti ‘‘evaṃ bhaṇāhī’’ti ekato bhaṇati. Uddesanti uddisitabbaṃ. Tenāti anupasampannena.
๙๐๘. ยสฺมา อิทํ ปทโสธมฺมสิกฺขาปทํ วาจโต จ สมุฎฺฐาติ, วาจาจิตฺตทฺวยาปิ จ สมุฎฺฐาติ, ตสฺมา อิทํ สมุฎฺฐานํ ปทโสธมฺมสญฺญิตนฺติ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ
908. Yasmā idaṃ padasodhammasikkhāpadaṃ vācato ca samuṭṭhāti, vācācittadvayāpi ca samuṭṭhāti, tasmā idaṃ samuṭṭhānaṃ padasodhammasaññitanti vuttanti yojanā.
ปทโสธมฺมกถาวณฺณนาฯ
Padasodhammakathāvaṇṇanā.
๙๐๙-๑๐. สพฺพจฺฉนฺนสพฺพปริจฺฉเนฺน เสนาสเน ติสฺสนฺนํ ปน รตฺตีนํ โย ปน ภิกฺขุ รตฺติยํ ฐเปตฺวา ภิกฺขุํ อเญฺญน สเจ นิปเชฺชยฺย, ตสฺส ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนาฯ ‘‘ยํ กิญฺจิ ปฎิจฺฉาทนสมตฺถํ อิธ ฉทนญฺจ ปริจฺฉนฺนญฺจ เวทิตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๕๑) อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา ฉทนารหํ อิฎฺฐกาสิลาสุธาติณปณฺณาทีนํ เยน เกนจิ สพฺพโส ฉาทิตํ เสนาสนํ สพฺพจฺฉนฺนํฯ ‘‘ภูมิโต ปฎฺฐาย ยาว ฉทนํ อาหจฺจ ปากาเรน วา อเญฺญน วา เกนจิ อนฺตมโส วเตฺถนปิ ปริกฺขิตฺต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๕๑) อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา เยน เกนจิ ปริกฺขิปิตฺวา ปฎิจฺฉาทิตเสนาสนํ สพฺพปริจฺฉนฺนํฯ ‘‘ฉทนํ อนาหจฺจ สพฺพนฺติเมน ปริยาเยน ทิยฑฺฒหตฺถุเพฺพเธน ปาการาทินา ปริกฺขิตฺตาปิ สพฺพปริจฺฉนฺนาเยวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๕๑) กุรุนฺทฎฺฐกถายํ วุตฺตํ, ตํ ‘‘ทิยฑฺฒา’’ติอาทินา วกฺขติฯ
909-10. Sabbacchannasabbaparicchanne senāsane tissannaṃ pana rattīnaṃ yo pana bhikkhu rattiyaṃ ṭhapetvā bhikkhuṃ aññena sace nipajjeyya, tassa pācittiyaṃ siyāti yojanā. ‘‘Yaṃ kiñci paṭicchādanasamatthaṃ idha chadanañca paricchannañca veditabba’’nti (pāci. aṭṭha. 51) aṭṭhakathāyaṃ vuttattā chadanārahaṃ iṭṭhakāsilāsudhātiṇapaṇṇādīnaṃ yena kenaci sabbaso chāditaṃ senāsanaṃ sabbacchannaṃ. ‘‘Bhūmito paṭṭhāya yāva chadanaṃ āhacca pākārena vā aññena vā kenaci antamaso vatthenapi parikkhitta’’nti (pāci. aṭṭha. 51) aṭṭhakathāyaṃ vuttattā yena kenaci parikkhipitvā paṭicchāditasenāsanaṃ sabbaparicchannaṃ. ‘‘Chadanaṃ anāhacca sabbantimena pariyāyena diyaḍḍhahatthubbedhena pākārādinā parikkhittāpi sabbaparicchannāyevā’’ti (pāci. aṭṭha. 51) kurundaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ, taṃ ‘‘diyaḍḍhā’’tiādinā vakkhati.
เอวํ สพฺพจฺฉนฺนสพฺพปริจฺฉเนฺน เอกสฺมิํ เสนาสเน โย ภิกฺขุ อุปสมฺปนฺนโต อเญฺญน เอเกน วา อเนเกหิ วา ติรตฺตํ สหเสยฺยํ กเปฺปตฺวา จตุตฺถรตฺติํ อาทิํ กตฺวา สพฺพรตฺตีสุ สูริยตฺถงฺคมโต ปฎฺฐาย สกลรตฺติยํ ปฐมํ วา ปจฺฉา วา อปุพฺพาจริมํ วา ปิฎฺฐิํ ปสาเรตฺวา สเจ เอกเสนาสเน เสยฺยํ กเปฺปติ, ตสฺส เทวสิกํ ปาจิตฺติยํ โหตีติ อิทํ วิธานํ ‘‘อปิเจตฺถ เอกาวาสาทิกมฺปิ จตุกฺกํ เวทิตพฺพ’’นฺติอาทินา (ปาจิ. อฎฺฐ. ๕๑) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ
Evaṃ sabbacchannasabbaparicchanne ekasmiṃ senāsane yo bhikkhu upasampannato aññena ekena vā anekehi vā tirattaṃ sahaseyyaṃ kappetvā catuttharattiṃ ādiṃ katvā sabbarattīsu sūriyatthaṅgamato paṭṭhāya sakalarattiyaṃ paṭhamaṃ vā pacchā vā apubbācarimaṃ vā piṭṭhiṃ pasāretvā sace ekasenāsane seyyaṃ kappeti, tassa devasikaṃ pācittiyaṃ hotīti idaṃ vidhānaṃ ‘‘apicettha ekāvāsādikampi catukkaṃ veditabba’’ntiādinā (pāci. aṭṭha. 51) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.
‘‘เยภุเยฺยน ปริจฺฉเนฺน ฉเนฺน’’ติ อิมินาปิ เอวเมว โยเชตฺวา อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ‘‘ยสฺสา ปน อุปริ พหุตรํ ฐานํ ฉนฺนํ, อปฺปํ อจฺฉนฺนํ, สมนฺตโต จ พหุตรํ ปริกฺขิตฺตํ, อปฺปํ อปริกฺขิตฺตํ, อยํ เยภุเยฺยนฉนฺนา เยภุเยฺยนปริจฺฉนฺนา นามา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๕๑) อฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยน เยภุเยฺยน ฉนฺนปริจฺฉนฺนํ เวทิตพฺพํฯ อโตฺถ วุตฺตนโยเยวฯ ‘‘เยภุเยฺยน ปํสุกา’’ติ เอตสฺส อฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๖) ตีสุ เทฺว เยภุยฺยํ นาม, อิธ ปน ปทโสธเมฺม ‘‘เยภุเยฺยน ปคุณํ คนฺถ’’นฺติ เอตสฺส อฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๔๘) ‘‘เอกคาถายา’’ติอาทิวิวรเณ วิย จตูสุ ตโยปิ ภาคา เยภุยฺยํ นามาติ เวทิตพฺพํฯ
‘‘Yebhuyyena paricchanne channe’’ti imināpi evameva yojetvā attho veditabbo. ‘‘Yassā pana upari bahutaraṃ ṭhānaṃ channaṃ, appaṃ acchannaṃ, samantato ca bahutaraṃ parikkhittaṃ, appaṃ aparikkhittaṃ, ayaṃ yebhuyyenachannā yebhuyyenaparicchannā nāmā’’ti (pāci. aṭṭha. 51) aṭṭhakathāyaṃ vuttanayena yebhuyyena channaparicchannaṃ veditabbaṃ. Attho vuttanayoyeva. ‘‘Yebhuyyena paṃsukā’’ti etassa aṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 86) tīsu dve yebhuyyaṃ nāma, idha pana padasodhamme ‘‘yebhuyyena paguṇaṃ gantha’’nti etassa aṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 48) ‘‘ekagāthāyā’’tiādivivaraṇe viya catūsu tayopi bhāgā yebhuyyaṃ nāmāti veditabbaṃ.
๙๑๑. เมถุนสฺส ปโหนกํ ยํ ปน วตฺถุ ปฐมปาราชิกาย นิทฺทิฎฺฐํ อนฺตมโส ติรจฺฉานคเตนปิ, เตน ปฐมปาราชิกวตฺถุนา ปุคฺคเลน สห นิปชฺชิตฺวา อาปตฺติ สหเสยฺยาปตฺติ โหตีติ โยชนาฯ
911. Methunassa pahonakaṃ yaṃ pana vatthu paṭhamapārājikāya niddiṭṭhaṃ antamaso tiracchānagatenapi, tena paṭhamapārājikavatthunā puggalena saha nipajjitvā āpatti sahaseyyāpatti hotīti yojanā.
๙๑๒-๓. ‘‘อุโภ วา นิปชฺชนฺตี’’ติ วิกปฺปสฺส ปฐมคาถาทฺวเยเนว อตฺถโต ทสฺสิตตฺตา ปุพฺพาปริยวเสนปิ สมฺภวนฺตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อนุปสมฺปเนฺน’’ติอาทินา (ปาจิ. ๕๒-๕๔) นเยน ทสฺสิตปกฺขทฺวยํ นิทเสฺสตุมาห ‘‘นิปเนฺน’’ติอาทิฯ ‘‘อุฎฺฐหิตฺวา’’ติ อิทํ วิจฺฉาวเสน คเหตพฺพํฯ อนุปสมฺปนฺนคณนายปิ วาติ พหูสุ อนุปสมฺปเนฺนสุ เตสํ คณนาย จฯ อนุปสมฺปเนฺนสุ พหูสุ เตสํ คณนาย เอกสฺส ภิกฺขุโน พหู อาปตฺติโย โหนฺตีติ เอวํ ทสฺสเนน อุปสมฺปเนฺนสุ พหูสุ เอกสฺมิํ อนุปสมฺปเนฺน สติ เตสญฺจ ตสฺส ปโยคคณนาย อาปชฺชิตพฺพา พหู อาปตฺติโย จ อุโภสุปิ พหูสุ เอเกกเสฺสว อุปสมฺปนฺนสฺส อนุปสมฺปนฺนคณนาย พหู อาปตฺติโย จ โหนฺตีติปิ ทสฺสิตํ โหติฯ
912-3. ‘‘Ubho vā nipajjantī’’ti vikappassa paṭhamagāthādvayeneva atthato dassitattā pubbāpariyavasenapi sambhavantaṃ dassetuṃ ‘‘anupasampanne’’tiādinā (pāci. 52-54) nayena dassitapakkhadvayaṃ nidassetumāha ‘‘nipanne’’tiādi. ‘‘Uṭṭhahitvā’’ti idaṃ vicchāvasena gahetabbaṃ. Anupasampannagaṇanāyapi vāti bahūsu anupasampannesu tesaṃ gaṇanāya ca. Anupasampannesu bahūsu tesaṃ gaṇanāya ekassa bhikkhuno bahū āpattiyo hontīti evaṃ dassanena upasampannesu bahūsu ekasmiṃ anupasampanne sati tesañca tassa payogagaṇanāya āpajjitabbā bahū āpattiyo ca ubhosupi bahūsu ekekasseva upasampannassa anupasampannagaṇanāya bahū āpattiyo ca hontītipi dassitaṃ hoti.
๙๑๔. เอเกเนว ทฺวาเรน วฬญฺชิตพฺพโต เอกูปจาเร สตคเพฺภปิ เสนาสเน อุปสมฺปโนฺน เอกสฺมิํ คเพฺภ วสโนฺต อตฺตนา สยนคเพฺภ ทฺวารํ ปิทหิตฺวา วา อปิทหิตฺวา วา จตุตฺถรตฺติยํ สยติ เจ, อุปริมตเล, อวเสสคเพฺภสุ จ สยเนฺตหิ อนุปสมฺปเนฺนหิ ปุเพฺพ วุตฺตอาปตฺตินิยโมเยวาติ ทสฺสนตฺถมาห ‘‘สเจ ปิธายา’’ติอาทิฯ คพฺภทฺวารํ อุตฺตรปทโลเปน ‘‘คพฺภ’’นฺติ วุตฺตํฯ จตุตฺถทิวเส อตฺถงฺคเต สูริเย นิปชฺชติ, อาปตฺติ สิยาติ โยชนาฯ ‘‘อนุปสมฺปเนฺนน สหา’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ อาปตฺติ ปาจิตฺติยํฯ
914. Ekeneva dvārena vaḷañjitabbato ekūpacāre satagabbhepi senāsane upasampanno ekasmiṃ gabbhe vasanto attanā sayanagabbhe dvāraṃ pidahitvā vā apidahitvā vā catuttharattiyaṃ sayati ce, uparimatale, avasesagabbhesu ca sayantehi anupasampannehi pubbe vuttaāpattiniyamoyevāti dassanatthamāha ‘‘sace pidhāyā’’tiādi. Gabbhadvāraṃ uttarapadalopena ‘‘gabbha’’nti vuttaṃ. Catutthadivase atthaṅgate sūriye nipajjati, āpatti siyāti yojanā. ‘‘Anupasampannena sahā’’ti pakaraṇato labbhati. Āpatti pācittiyaṃ.
๙๑๕. ทิยฑฺฒหตฺถุเพฺพเธนาติ วฑฺฒกิรตเนน ทิยฑฺฒรตนุเพฺพเธนฯ ปากาโร นาม นิฎฺฐิโตฯ จยนํ นาม วิปฺปกตปากาโรติปิ วทนฺติฯ อิมินา จ อาฬินฺทสฺส อคฺคหณตฺถํ ‘‘ทสหตฺถุเพฺพธาปิ ชคติ ปริเกฺขปสงฺขฺยํ น คจฺฉตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๕๑) อฎฺฐกถา ปมาณนฺติ วทนฺติฯ ชคตีติ อาฬินฺทํฯ อาทิ-สเทฺทน ภิตฺติปณฺณาวรณาทิคหณํฯ
915.Diyaḍḍhahatthubbedhenāti vaḍḍhakiratanena diyaḍḍharatanubbedhena. Pākāro nāma niṭṭhito. Cayanaṃ nāma vippakatapākārotipi vadanti. Iminā ca āḷindassa aggahaṇatthaṃ ‘‘dasahatthubbedhāpi jagati parikkhepasaṅkhyaṃ na gacchatī’’ti (pāci. aṭṭha. 51) aṭṭhakathā pamāṇanti vadanti. Jagatīti āḷindaṃ. Ādi-saddena bhittipaṇṇāvaraṇādigahaṇaṃ.
๙๑๖. ทุสฺสกุฎิยนฺติ วตฺถกุฎิยํฯ
916.Dussakuṭiyanti vatthakuṭiyaṃ.
๙๑๗. ‘‘สพฺพจฺฉนฺนปริจฺฉนฺนาทิปฺปเภทโต เยภุยฺยาทิปฺปเภทโต’’ติ อาทิ-สโทฺท ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพฯ ปฐเมน อาทิ-สเทฺทน สพฺพจฺฉนฺนเยภุยฺยปริจฺฉนฺนสพฺพจฺฉนฺนอุปฑฺฒปริจฺฉนฺนสพฺพปริจฺฉนฺนเยภุยฺยจฺฉนฺน- สพฺพปริจฺฉนฺนอุปฑฺฒจฺฉนฺนสงฺขาตานิ จตฺตาริ เสนาสนานิ คหิตานิฯ คาถาย สรูเปน วุตฺตสพฺพจฺฉนฺนสพฺพปริจฺฉเนฺนน สทฺธิํ ปญฺจ เสนาสนานิ ทสฺสิตานิ โหนฺติฯ ทุติเยน อาทิ-สเทฺทน เยภุยฺยจฺฉนฺนเยภุยฺยปริจฺฉนฺน เยภุยฺยจฺฉนฺนอุปฑฺฒปริจฺฉนฺน เยภุยฺยปริจฺฉนฺนอุปฑฺฒจฺฉนฺนสงฺขาตานิ ตีณิ เสนาสนานิ คหิตานิฯ อิเม อฎฺฐ วิกปฺปา ลพฺภนฺติฯ กสฺมา วุตฺตํ ‘‘สตฺต ปาจิตฺติยานี’’ติ? มหาอฎฺฐกถาย วุตฺตตฺตาฯ ยถาห ‘‘มหาอฎฺฐกถายํ ปน ‘สพฺพจฺฉเนฺน เยภุเยฺยนปริจฺฉเนฺน ปาจิตฺติยํ, สพฺพจฺฉเนฺน อุปฑฺฒปริจฺฉเนฺน ปาจิตฺติยํ, เยภุเยฺยนจฺฉเนฺน อุปฑฺฒปริจฺฉเนฺน ปาจิตฺติยํ, สพฺพปริจฺฉเนฺน เยภุเยฺยนจฺฉเนฺน ปาจิตฺติยํ, สพฺพปริจฺฉเนฺน อุปฑฺฒจฺฉเนฺน ปาจิตฺติยํ , เยภุเยฺยนปริจฺฉเนฺน อุปฑฺฒจฺฉเนฺน ปาจิตฺติยํ, ปาฬิยํ วุตฺตปาจิตฺติเยน สทฺธิํ สตฺต ปาจิตฺติยานี’ติ วุตฺต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๕๓)ฯ
917. ‘‘Sabbacchannaparicchannādippabhedato yebhuyyādippabhedato’’ti ādi-saddo paccekaṃ yojetabbo. Paṭhamena ādi-saddena sabbacchannayebhuyyaparicchannasabbacchannaupaḍḍhaparicchannasabbaparicchannayebhuyyacchanna- sabbaparicchannaupaḍḍhacchannasaṅkhātāni cattāri senāsanāni gahitāni. Gāthāya sarūpena vuttasabbacchannasabbaparicchannena saddhiṃ pañca senāsanāni dassitāni honti. Dutiyena ādi-saddena yebhuyyacchannayebhuyyaparicchanna yebhuyyacchannaupaḍḍhaparicchanna yebhuyyaparicchannaupaḍḍhacchannasaṅkhātāni tīṇi senāsanāni gahitāni. Ime aṭṭha vikappā labbhanti. Kasmā vuttaṃ ‘‘satta pācittiyānī’’ti? Mahāaṭṭhakathāya vuttattā. Yathāha ‘‘mahāaṭṭhakathāyaṃ pana ‘sabbacchanne yebhuyyenaparicchanne pācittiyaṃ, sabbacchanne upaḍḍhaparicchanne pācittiyaṃ, yebhuyyenacchanne upaḍḍhaparicchanne pācittiyaṃ, sabbaparicchanne yebhuyyenacchanne pācittiyaṃ, sabbaparicchanne upaḍḍhacchanne pācittiyaṃ , yebhuyyenaparicchanne upaḍḍhacchanne pācittiyaṃ, pāḷiyaṃ vuttapācittiyena saddhiṃ satta pācittiyānī’ti vutta’’nti (pāci. aṭṭha. 53).
กสฺมา ปน อฎฺฐกถายํ ‘‘อฎฺฐ ปาจิตฺติยานี’’ติ วตฺวา ‘‘สตฺตา’’ติ คณนปริเจฺฉโท กโตติ? นิสฺสเนฺทเห ตาว ‘‘เสยฺยา นาม สพฺพจฺฉนฺนา สพฺพปริจฺฉนฺนา, เยภุเยฺยนจฺฉนฺนา เยภุเยฺยนปริจฺฉนฺนา’ติ (ปาจิ. ๕๒) ปาฬิยํ อาคเตสุ ทฺวีสุ วิกเปฺปสุ เอกสฺมิํ วุตฺตปาจิตฺติยํ คเหตฺวา ปาฬิยํ วุเตฺตน ปาจิตฺติเยน ‘สตฺตา’ติ วุตฺต’’นฺติ ปริหาโร ทสฺสิโตฯ สารตฺถทีปนิยญฺจ ‘‘สตฺต ปาจิตฺติยานี’ติ ปาฬิยํ วุตฺตปาจิตฺติยทฺวยํ สามญฺญโต เอกเตฺตน คเหตฺวา วุตฺตํฯ วิสุํ ปน คยฺหมาเน สพฺพจฺฉเนฺน สพฺพปริจฺฉเนฺน ปาจิตฺติยํ, เยภุเยฺยนจฺฉเนฺน เยภุเยฺยนปริจฺฉเนฺน ปาจิตฺติยนฺติ อเฎฺฐว ปาจิตฺติยานิ โหนฺตี’’ติ (สารตฺถ. ฎี. ปาจิตฺติย ๓.๕๓) ปริหาโร วุโตฺตฯ
Kasmā pana aṭṭhakathāyaṃ ‘‘aṭṭha pācittiyānī’’ti vatvā ‘‘sattā’’ti gaṇanaparicchedo katoti? Nissandehe tāva ‘‘seyyā nāma sabbacchannā sabbaparicchannā, yebhuyyenacchannā yebhuyyenaparicchannā’ti (pāci. 52) pāḷiyaṃ āgatesu dvīsu vikappesu ekasmiṃ vuttapācittiyaṃ gahetvā pāḷiyaṃ vuttena pācittiyena ‘sattā’ti vutta’’nti parihāro dassito. Sāratthadīpaniyañca ‘‘satta pācittiyānī’ti pāḷiyaṃ vuttapācittiyadvayaṃ sāmaññato ekattena gahetvā vuttaṃ. Visuṃ pana gayhamāne sabbacchanne sabbaparicchanne pācittiyaṃ, yebhuyyenacchanne yebhuyyenaparicchanne pācittiyanti aṭṭheva pācittiyāni hontī’’ti (sārattha. ṭī. pācittiya 3.53) parihāro vutto.
สพฺพเยภุยฺยอุปฑฺฒปเทสุ ฉนฺนปริจฺฉนฺนปเทหิ โยชิเตสุ นว วิกปฺปา สมฺภวนฺติ, เตสุ นวเม อุปฑฺฒจฺฉนฺนอุปฑฺฒปริจฺฉนฺนวิกเปฺป ทุกฺกฎสฺส ทสฺสิตตฺตา ปาริเสสโต อิตเรสุ อฎฺฐสุ อฎฺฐ ปาจิตฺติยาเนว สมฺภวนฺติฯ อฎฺฐกถายํ ปน อปฺปกํ อูนมธิกํ วา คุณนูปคํ น โหตีติ กตฺวา ‘‘สตฺตา‘‘ติ วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ เอตฺถาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ
Sabbayebhuyyaupaḍḍhapadesu channaparicchannapadehi yojitesu nava vikappā sambhavanti, tesu navame upaḍḍhacchannaupaḍḍhaparicchannavikappe dukkaṭassa dassitattā pārisesato itaresu aṭṭhasu aṭṭha pācittiyāneva sambhavanti. Aṭṭhakathāyaṃ pana appakaṃ ūnamadhikaṃ vā guṇanūpagaṃ na hotīti katvā ‘‘sattā‘‘ti vuttanti gahetabbaṃ. Etthāti imasmiṃ sikkhāpade.
๙๑๘. ‘‘อฑฺฒจฺฉเนฺน อฑฺฒปริจฺฉเนฺน’’ติ โยชนาฯ ‘‘สพฺพปริจฺฉเนฺน จูฬจฺฉเนฺน’’ติ ยถากฺกเมน โยชนาฯ อิมินา อฎฺฐกถาคเตสุ ปญฺจสุ วิกเปฺปสุ ตติยวิกปฺปํ ทเสฺสตฺวา อาทิ-สเทฺทน สพฺพจฺฉนฺนาทโย เสสวิกปฺปา คหิตาฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สพฺพจฺฉเนฺน จูฬกปริจฺฉเนฺน ทุกฺกฎํ, เยภุเยฺยนจฺฉเนฺน จูฬกปริจฺฉเนฺน ทุกฺกฎํ, สพฺพปริจฺฉเนฺน จูฬกจฺฉเนฺน ทุกฺกฎํ, เยภุเยฺยนปริจฺฉเนฺน จูฬกจฺฉเนฺน ทุกฺกฎํ, ปาฬิยํ อาคตทุกฺกเฎน สห ปญฺจ ทุกฺกฎานีหิ วุตฺต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๕๓)ฯ ปาฬิยํ อาคตทุกฺกฎํ นาม อิมิสฺสาเยว คาถาย อาทิมฺหิเยว วุตฺตทุกฺกฎํฯ ยถาห ‘‘อุปฑฺฒจฺฉเนฺน อุปฑฺฒปริจฺฉเนฺน อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๕๓)ฯ
918. ‘‘Aḍḍhacchanne aḍḍhaparicchanne’’ti yojanā. ‘‘Sabbaparicchanne cūḷacchanne’’ti yathākkamena yojanā. Iminā aṭṭhakathāgatesu pañcasu vikappesu tatiyavikappaṃ dassetvā ādi-saddena sabbacchannādayo sesavikappā gahitā. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sabbacchanne cūḷakaparicchanne dukkaṭaṃ, yebhuyyenacchanne cūḷakaparicchanne dukkaṭaṃ, sabbaparicchanne cūḷakacchanne dukkaṭaṃ, yebhuyyenaparicchanne cūḷakacchanne dukkaṭaṃ, pāḷiyaṃ āgatadukkaṭena saha pañca dukkaṭānīhi vutta’’nti (pāci. aṭṭha. 53). Pāḷiyaṃ āgatadukkaṭaṃ nāma imissāyeva gāthāya ādimhiyeva vuttadukkaṭaṃ. Yathāha ‘‘upaḍḍhacchanne upaḍḍhaparicchanne āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 53).
จูฬจฺฉนฺนาทีนิ เจตฺถ เอวํ เวทิตพฺพานิ – ยสฺส จตูสุ ภาเคสุ เอโก ฉโนฺน, เสสา อจฺฉนฺนา, อิทํ จูฬกจฺฉนฺนํฯ ยสฺส ตีสุ ภาเคสุ เทฺว ฉนฺนา, เอโก อจฺฉโนฺน, อิทํ เยภุเยฺยนจฺฉนฺนํฯ ยสฺส ทฺวีสุ ภาเคสุ เอโก ฉโนฺน, เอโก อจฺฉโนฺน, อิทํ อุปฑฺฒจฺฉนฺนํ นาม เสนาสนํฯ จูฬปริจฺฉนฺนาทีนิ อิมินา นเยน เวทิตพฺพานิฯ ฉนฺนาทีหิปีติ สหเตฺถ กรณวจนํฯ ปิ-สโทฺท สมุจฺจยโตฺถฯ สพฺพจูฬปริจฺฉนฺนฉนฺนาทีหิ จตูหิปิ สห อฑฺฒจฺฉนฺนปริจฺฉเนฺน ปญฺจธา ทุกฺกฎํ ปริทีปิตนฺติ โยชนาฯ
Cūḷacchannādīni cettha evaṃ veditabbāni – yassa catūsu bhāgesu eko channo, sesā acchannā, idaṃ cūḷakacchannaṃ. Yassa tīsu bhāgesu dve channā, eko acchanno, idaṃ yebhuyyenacchannaṃ. Yassa dvīsu bhāgesu eko channo, eko acchanno, idaṃ upaḍḍhacchannaṃ nāma senāsanaṃ. Cūḷaparicchannādīni iminā nayena veditabbāni. Channādīhipīti sahatthe karaṇavacanaṃ. Pi-saddo samuccayattho. Sabbacūḷaparicchannachannādīhi catūhipi saha aḍḍhacchannaparicchanne pañcadhā dukkaṭaṃ paridīpitanti yojanā.
๙๒๐. สพฺพจฺฉนฺนาทิเกติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ‘‘สพฺพปริจฺฉเนฺน สพฺพอจฺฉเนฺน เยภุเยฺยนอจฺฉเนฺน เยภุเยฺยนอปริจฺฉเนฺน’’ติ (ปาจิ. ๕๔) ปาฬิยํ วุตฺตา อนาปตฺติวารเสสา จ อฎฺฐกถายํ วุตฺตา ‘‘อุปฑฺฒจฺฉเนฺน จูฬกปริจฺฉเนฺน, อุปฑฺฒปริจฺฉเนฺน จูฬกจฺฉเนฺน , จูฬกจฺฉเนฺน จูฬกปริจฺฉเนฺน’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๕๓) ตโย อนาปตฺติวารา จ คหิตาฯ
920.Sabbacchannādiketi ettha ādi-saddena ‘‘sabbaparicchanne sabbaacchanne yebhuyyenaacchanne yebhuyyenaaparicchanne’’ti (pāci. 54) pāḷiyaṃ vuttā anāpattivārasesā ca aṭṭhakathāyaṃ vuttā ‘‘upaḍḍhacchanne cūḷakaparicchanne, upaḍḍhaparicchanne cūḷakacchanne , cūḷakacchanne cūḷakaparicchanne’’ti (pāci. aṭṭha. 53) tayo anāpattivārā ca gahitā.
๙๒๑. นิปเนฺนปีติ เอตฺถ ปิ-สเทฺทน ‘‘ภิกฺขุ นิปเนฺน อนุปสมฺปโนฺน นิสีทติ, อุโภ วา นิสีทนฺตี’’ติ (ปาจิ. ๕๔) ปาฬิยํ วุตฺตปการนฺตเร สมุจฺจิโนติฯ
921.Nipannepīti ettha pi-saddena ‘‘bhikkhu nipanne anupasampanno nisīdati, ubho vā nisīdantī’’ti (pāci. 54) pāḷiyaṃ vuttapakārantare samuccinoti.
สหเสยฺยกถาวณฺณนาฯ
Sahaseyyakathāvaṇṇanā.
๙๒๒. อปิ-สเทฺทน ปเคว มหตฺตริยาติ ทเสฺสติฯ สหเสยฺยํ ปกเปฺปยฺยาติ ยถาวุตฺตลกฺขณํ สพฺพจฺฉนฺนสพฺพปริจฺฉนฺนาทิเสนาสนํ ปวิสิตฺวา สูริยตฺถงฺคมโต ปฎฺฐาย ปุเพฺพ วุตฺตปฺปกาเรเนว ปิฎฺฐิปฺปสารณลกฺขณํ เสยฺยํ กเปฺปยฺยฯ
922.Api-saddena pageva mahattariyāti dasseti. Sahaseyyaṃ pakappeyyāti yathāvuttalakkhaṇaṃ sabbacchannasabbaparicchannādisenāsanaṃ pavisitvā sūriyatthaṅgamato paṭṭhāya pubbe vuttappakāreneva piṭṭhippasāraṇalakkhaṇaṃ seyyaṃ kappeyya.
๙๒๓-๔. เทวิยาติ เทวิตฺถิยาฯ ติรจฺฉานคติตฺถิยาติ โคธาทิกายฯ ‘‘เมถุนวตฺถุภูตายา’’ติ อิมินา เมถุนธมฺมสฺส อวตฺถุภูตาย สหเสยฺยาย โทสาภาวํ ทเสฺสติฯ วตฺถูนํ คณนายาติ มาตุคามสฺส คณนาย จ ตาสญฺจ อตฺตโน จ ปโยคคณนาย จฯ อสฺสาติ ภิกฺขุสฺสฯ มาตุคาเมน ตโย ทิวเส สหเสยฺยาย อิมินา สิกฺขาปเทน อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา จตุตฺถทิวเส สหเสยฺยาย ทฺวีหิปิ สิกฺขาปเทหิ อาปตฺติํ อาปชฺชตีติ เอตฺถ ทุกฺกฎวตฺถุภูตาย อิตฺถิยา ตเตฺถว สหเสยฺยาย อิมินา สิกฺขาปเทน ทุกฺกฎํ อาปชฺชิตฺวา จตุตฺถทิวเส รตฺติยํ สหเสยฺยาย อิมินา สิกฺขาปเทน อาปชฺชิตพฺพทุกฺกเฎน สห ปุริมสิกฺขาปเทน ปาจิตฺติยํ อาปชฺชตีติ เวทิตพฺพํฯ
923-4.Deviyāti devitthiyā. Tiracchānagatitthiyāti godhādikāya. ‘‘Methunavatthubhūtāyā’’ti iminā methunadhammassa avatthubhūtāya sahaseyyāya dosābhāvaṃ dasseti. Vatthūnaṃ gaṇanāyāti mātugāmassa gaṇanāya ca tāsañca attano ca payogagaṇanāya ca. Assāti bhikkhussa. Mātugāmena tayo divase sahaseyyāya iminā sikkhāpadena āpattiṃ āpajjitvā catutthadivase sahaseyyāya dvīhipi sikkhāpadehi āpattiṃ āpajjatīti ettha dukkaṭavatthubhūtāya itthiyā tattheva sahaseyyāya iminā sikkhāpadena dukkaṭaṃ āpajjitvā catutthadivase rattiyaṃ sahaseyyāya iminā sikkhāpadena āpajjitabbadukkaṭena saha purimasikkhāpadena pācittiyaṃ āpajjatīti veditabbaṃ.
ทุติยสหเสยฺยกถาวณฺณนาฯ
Dutiyasahaseyyakathāvaṇṇanā.
๙๒๖. ฉปฺปญฺจวาจาหิ อุทฺธํ อิตฺถิยา ธมฺมํ ภณนฺตสฺสาติ สมฺพโนฺธฯ อิตฺถิยาติ ‘‘มาตุคาโม นาม มนุสฺสิตฺถี, น ยกฺขี, น เปตี, น ติรจฺฉานคตา, วิญฺญู ปฎิพลา โหติ สุภาสิตทุพฺภาสิตํ ทุฎฺฐุลฺลาทุฎฺฐุลฺลํ อาชานิตุ’’นฺติ ปาฬิยํ วุตฺตมนุสฺสิตฺถิยาฯ ภณนฺตสฺสาติ วกฺขมานลกฺขณํ ธมฺมํ ฉหิ ปเทหิ อุตฺตริ ภณนฺตสฺสฯ วิญฺญุํ ปุริสวิคฺคหํ วินาติ ‘‘วิญฺญู นาม ปุริสวิคฺคโห ปฎิพโล โหติ สุภาสิตทุพฺภาสิตํ ทุฎฺฐุลฺลาทุฎฺฐุลฺลํ อาชานิตุ’’นฺติ (ปาจิ. ๖๔) ปาฬิยํ วุตฺตสวนูปจารคตมนุสฺสปุริสํ วินาฯ ธมฺมนฺติ วกฺขมานปฺปการสรูปํ เทสนาธมฺมํฯ
926. Chappañcavācāhi uddhaṃ itthiyā dhammaṃ bhaṇantassāti sambandho. Itthiyāti ‘‘mātugāmo nāma manussitthī, na yakkhī, na petī, na tiracchānagatā, viññū paṭibalā hoti subhāsitadubbhāsitaṃ duṭṭhullāduṭṭhullaṃ ājānitu’’nti pāḷiyaṃ vuttamanussitthiyā. Bhaṇantassāti vakkhamānalakkhaṇaṃ dhammaṃ chahi padehi uttari bhaṇantassa. Viññuṃ purisaviggahaṃ vināti ‘‘viññū nāma purisaviggaho paṭibalo hoti subhāsitadubbhāsitaṃ duṭṭhullāduṭṭhullaṃ ājānitu’’nti (pāci. 64) pāḷiyaṃ vuttasavanūpacāragatamanussapurisaṃ vinā. Dhammanti vakkhamānappakārasarūpaṃ desanādhammaṃ.
๙๒๗. คาถามยา, จุณฺณิยคนฺถมยาติ ทุวิธา เทสนา, ตตฺถ คาถามยเทสนาย วาจา นาม คาถาปาทลกฺขณาติ ทเสฺสตุมาห ‘‘คาถาปาโท’’ติอาทิฯ จุณฺณิยเทสนายํ ปน วาจาปริเจฺฉโท วิภตฺยนฺตวเสน เวทิตโพฺพฯ เตนาห คณฺฐิปเท ‘‘เอโก คาถาปาโท’ติ อิทํ คาถาพนฺธเมว สนฺธาย วุตฺตํ, อญฺญตฺถ ปน วิภตฺติอนฺตปทเมว คเหตพฺพ’’นฺติฯ ปทโสธมฺมํ นิทฺทิฎฺฐํ ธมฺมนฺติ ปิฎกตฺตยํฯ ‘‘อฎฺฐกถ’’นฺติ อิมินา สงฺคีติตฺตยารุฬฺหํ โปราณฎฺฐกถํ คเหตพฺพํฯ เตเนว คณฺฐิปเท วุตฺตํ ‘‘อฎฺฐกถํ ธมฺมปทชาตกาทิวตฺถุญฺจา’’ติฯ อิมินาปิ โปราณกํ สงฺคีติอารุฬฺหเมว อฎฺฐกถํ วุตฺตนฺติ วทนฺติฯ อฎฺฐกถาทิปาฐํ ฐเปตฺวา ทมิฬาทิภาสนฺตเรน ยถารุจิ กเถตุํ วฎฺฎตีติฯ
927. Gāthāmayā, cuṇṇiyaganthamayāti duvidhā desanā, tattha gāthāmayadesanāya vācā nāma gāthāpādalakkhaṇāti dassetumāha ‘‘gāthāpādo’’tiādi. Cuṇṇiyadesanāyaṃ pana vācāparicchedo vibhatyantavasena veditabbo. Tenāha gaṇṭhipade ‘‘eko gāthāpādo’ti idaṃ gāthābandhameva sandhāya vuttaṃ, aññattha pana vibhattiantapadameva gahetabba’’nti. Padasodhammaṃ niddiṭṭhaṃ dhammanti piṭakattayaṃ. ‘‘Aṭṭhakatha’’nti iminā saṅgītittayāruḷhaṃ porāṇaṭṭhakathaṃ gahetabbaṃ. Teneva gaṇṭhipade vuttaṃ ‘‘aṭṭhakathaṃ dhammapadajātakādivatthuñcā’’ti. Imināpi porāṇakaṃ saṅgītiāruḷhameva aṭṭhakathaṃ vuttanti vadanti. Aṭṭhakathādipāṭhaṃ ṭhapetvā damiḷādibhāsantarena yathāruci kathetuṃ vaṭṭatīti.
๙๒๘. ปทาทีนํ วสา ฉนฺนํ วาจานํ อุปริ ธมฺมํ เทเสนฺตสฺสาติ โยชนาฯ เทเสนฺตสฺสาติ ปทโสธเมฺม วุตฺตลกฺขณปทาทิสรูปาหิ ฉหิ วาจาหิ อุตฺตริ ธมฺมํ เทเสนฺตสฺสฯ ปทาทิคณนายาติ ยถาวุตฺตลกฺขณปทอนุปทอนฺวกฺขรอนุพฺยญฺชนคณนายฯ
928. Padādīnaṃ vasā channaṃ vācānaṃ upari dhammaṃ desentassāti yojanā. Desentassāti padasodhamme vuttalakkhaṇapadādisarūpāhi chahi vācāhi uttari dhammaṃ desentassa. Padādigaṇanāyāti yathāvuttalakkhaṇapadaanupadaanvakkharaanubyañjanagaṇanāya.
๙๒๙. ปุริสวิคฺคหนฺติ มนุสฺสปุริสเวสํฯ เอตฺถ ติรจฺฉานคตา นาม เวสนิมฺมานารหา อิทฺธิมนฺตา นาคสุปณฺณาฯ
929.Purisaviggahanti manussapurisavesaṃ. Ettha tiracchānagatā nāma vesanimmānārahā iddhimantā nāgasupaṇṇā.
๙๓๑. วทโตติ อธิกํ ธมฺมํ ภาสโตฯ
931.Vadatoti adhikaṃ dhammaṃ bhāsato.
๙๓๒. อิตฺถิรูปนฺติ มนุสฺสิตฺถิเวสํฯ ติรจฺฉานคติตฺถิยาติ วุตฺตสรูปาย ติรจฺฉานคติตฺถิยาฯ
932.Itthirūpanti manussitthivesaṃ. Tiracchānagatitthiyāti vuttasarūpāya tiracchānagatitthiyā.
๙๓๓. สยํ อุฎฺฐาย นิสีทิตฺวา ปุน ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส อนาปตฺติ ปกาสิตาติ สมฺพโนฺธฯ มาตุคามสฺส วา ตถาติ เอตฺถ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา วุตฺตปฺปการสฺส คหิตตฺตา อุฎฺฐาย นิสินฺนสฺส มาตุคามสฺส ปุน ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส อนาปตฺติ ปกาสิตาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อุฎฺฐายา’’ติอาทินา อิริยาปถปริวตฺตนทสฺสเนน นานาอิริยาปเถปิ อนาปตฺติํ ทีเปติฯ
933. Sayaṃ uṭṭhāya nisīditvā puna dhammaṃ desentassa anāpatti pakāsitāti sambandho. Mātugāmassa vā tathāti ettha ‘‘tathā’’ti iminā vuttappakārassa gahitattā uṭṭhāya nisinnassa mātugāmassa puna dhammaṃ desentassa anāpatti pakāsitāti vuttaṃ hoti. ‘‘Uṭṭhāyā’’tiādinā iriyāpathaparivattanadassanena nānāiriyāpathepi anāpattiṃ dīpeti.
๙๓๔. อญฺญิสฺสา ปุน อญฺญิสฺสาติ เอตฺถ ‘‘อาคตาคตายา’’ติ เสโสฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อญฺญสฺส มาตุคามสฺสาติ เอกิสฺสา เทเสตฺวา ปุน อาคตาคตาย อญฺญิสฺสาปิ เทเสตีติ เอวํ เอกาสเน นิสิโนฺน มาตุคามสตสหสฺสนฺนมฺปิ เทเสตีติ อโตฺถ’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๖๖)ฯ อวุตฺตสมุจฺจยเตฺถน จ-สเทฺทน ‘‘ปญฺหํ ปุโฎฺฐ กเถตี’’ติ (ปาจิ. ๖๖) อิทํ สมุจฺจิโนติฯ ‘‘ทีฆนิกาโย กิมตฺถิโย ภเนฺต’’ติ ปญฺหํ ปุจฺฉโต มาตุคามสฺส สพฺพํ ทีฆนิกายํ วทโตปิ อนาปตฺติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ปญฺหํ ปุจฺฉติ, ปญฺหํ ปุโฎฺฐ กเถตีติ มาตุคาโม ‘ทีฆนิกาโย นาม ภเนฺต กิมตฺถํ ทีเปตี’ติ ปุจฺฉติ, เอวํ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ ภิกฺขุ สพฺพํ เจปิ ทีฆนิกายํ กเถติ, อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๖๖)ฯ เอตฺถ จ สพฺพํ เจปิ ทีฆนิกายํ กเถตีติ ยาว น นิฎฺฐาติ, ตาว ปุนทิวเสปิ กเถติฯ
934.Aññissā puna aññissāti ettha ‘‘āgatāgatāyā’’ti seso. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘aññassa mātugāmassāti ekissā desetvā puna āgatāgatāya aññissāpi desetīti evaṃ ekāsane nisinno mātugāmasatasahassannampi desetīti attho’’ti (pāci. aṭṭha. 66). Avuttasamuccayatthena ca-saddena ‘‘pañhaṃ puṭṭho kathetī’’ti (pāci. 66) idaṃ samuccinoti. ‘‘Dīghanikāyo kimatthiyo bhante’’ti pañhaṃ pucchato mātugāmassa sabbaṃ dīghanikāyaṃ vadatopi anāpatti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘pañhaṃ pucchati, pañhaṃ puṭṭho kathetīti mātugāmo ‘dīghanikāyo nāma bhante kimatthaṃ dīpetī’ti pucchati, evaṃ pañhaṃ puṭṭho bhikkhu sabbaṃ cepi dīghanikāyaṃ katheti, anāpattī’’ti (pāci. aṭṭha. 66). Ettha ca sabbaṃ cepi dīghanikāyaṃ kathetīti yāva na niṭṭhāti, tāva punadivasepi katheti.
๙๓๕. ธมฺมสฺส เทสนาย, วิญฺญุมนุสฺสปุริสสฺส อสนฺนิหิตกรเณน จ อาปชฺชิตพฺพโต กฺริยากฺริยํฯ
935. Dhammassa desanāya, viññumanussapurisassa asannihitakaraṇena ca āpajjitabbato kriyākriyaṃ.
ธมฺมเทสนากถาวณฺณนาฯ
Dhammadesanākathāvaṇṇanā.
๙๓๖. มหคฺคตํ รูปารูปชฺฌานํฯ ปณีตํ โลกุตฺตรธมฺมํฯ ปธานภาวํ นีตนฺติ ปณีตํฯ อาโรเจนฺตสฺสาติ ‘‘ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชามี’’ติอาทินา (ปารา. ๒๐๑) นเยน จตุตฺถปาราชิเก วุตฺตนเยน วทนฺตสฺสฯ ปรินิพฺพานกาเล จ ปุฎฺฐกาเล จ ภิกฺขุภิกฺขุนีนํ อตฺตนา ลทฺธสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส อาโรเจตพฺพตฺตา ‘‘ฐเปตฺวา ภิกฺขุนิํ ภิกฺขุ’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘อญฺญสฺสา’’ติ เสโสฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อุปสมฺปนฺนสฺส ภูตํ อาโรเจตีติ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมเมว สนฺธาย วุตฺตํฯ ปรินิพฺพานกาเล, หิ อนฺตรา วา อติกฑฺฒิยมาเนน อุปสมฺปนฺนสฺส ภูตํ อาโรเจตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๗๗)ฯ ภูเตติ เอตฺถ ‘‘อุตฺตริมนุสฺสธเมฺม อาโรจิเต’’ติ วตฺตพฺพํ, นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมํ, อตฺตโน สนฺตาเน อิมสฺมิํ อตฺตภาเว สิทฺธอุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส อาโรจนนิมิตฺตนฺติ อโตฺถฯ
936.Mahaggataṃ rūpārūpajjhānaṃ. Paṇītaṃ lokuttaradhammaṃ. Padhānabhāvaṃ nītanti paṇītaṃ. Ārocentassāti ‘‘paṭhamaṃ jhānaṃ samāpajjāmī’’tiādinā (pārā. 201) nayena catutthapārājike vuttanayena vadantassa. Parinibbānakāle ca puṭṭhakāle ca bhikkhubhikkhunīnaṃ attanā laddhassa uttarimanussadhammassa ārocetabbattā ‘‘ṭhapetvā bhikkhuniṃ bhikkhu’’nti vuttaṃ. ‘‘Aññassā’’ti seso. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘upasampannassa bhūtaṃ ārocetīti uttarimanussadhammameva sandhāya vuttaṃ. Parinibbānakāle, hi antarā vā atikaḍḍhiyamānena upasampannassa bhūtaṃ ārocetuṃ vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 77). Bhūteti ettha ‘‘uttarimanussadhamme ārocite’’ti vattabbaṃ, nimittatthe bhummaṃ, attano santāne imasmiṃ attabhāve siddhauttarimanussadhammassa ārocananimittanti attho.
๙๓๗. โน เจ ชานาติ โส วุตฺตนฺติ ยสฺส อาโรเจติ, โส สเจ สุตกฺขเณเยว วุตฺตนเยเนว ‘‘เอส ปฐมชฺฌานสฺส ลาภี’’ติอาทินา นเยน วุตฺตํ โน ชานาติฯ ปริยายวจเนติ ‘‘โย เต วิหาเร วสติ, โส ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาภี’’ติ เอวมาทิปริยายวจเนฯ ยสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อาโรเจติ, โส สเจ สุตสมนนฺตรํ ‘‘เอส เอวํ วทตี’’ติ วุตฺตํ โน ชานาติ, ตาทิสสฺส อาโรเจนฺตสฺส ภิกฺขุโน โหติ อาปตฺติ ทุกฺกฎนฺติ สมฺพโนฺธฯ อสฺส ภูตสฺส ปริยายวจเน จ ภิกฺขุโน อาปตฺติ ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ
937.Noce jānāti so vuttanti yassa āroceti, so sace sutakkhaṇeyeva vuttanayeneva ‘‘esa paṭhamajjhānassa lābhī’’tiādinā nayena vuttaṃ no jānāti. Pariyāyavacaneti ‘‘yo te vihāre vasati, so paṭhamassa jhānassa lābhī’’ti evamādipariyāyavacane. Yassa uttarimanussadhammaṃ āroceti, so sace sutasamanantaraṃ ‘‘esa evaṃ vadatī’’ti vuttaṃ no jānāti, tādisassa ārocentassa bhikkhuno hoti āpatti dukkaṭanti sambandho. Assa bhūtassa pariyāyavacane ca bhikkhuno āpatti dukkaṭaṃ hotīti yojanā.
๙๓๘. ตถารูเป การเณ สตีติ ปรสฺส การณภาวํ ญตฺวาปิ ปฎิปตฺติยา อโมฆภาวทสฺสนสมุเตฺตชนสมฺปหํสนาทิกรสงฺขาเต การเณ สติฯ สพฺพสฺสาปีติ อุปสมฺปนฺนานุปสมฺปนฺนสฺส สพฺพสฺสฯ สีลาทินฺติ สีลสุตปริยตฺติคุณํฯ วทโตติ เอตฺถ ‘‘ภิกฺขุโน’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ
938.Tathārūpekāraṇe satīti parassa kāraṇabhāvaṃ ñatvāpi paṭipattiyā amoghabhāvadassanasamuttejanasampahaṃsanādikarasaṅkhāte kāraṇe sati. Sabbassāpīti upasampannānupasampannassa sabbassa. Sīlādinti sīlasutapariyattiguṇaṃ. Vadatoti ettha ‘‘bhikkhuno’’ti pakaraṇato labbhati.
๙๓๙. ตทสมฺภวาติ ทิฎฺฐิสมฺปนฺนสฺส อุมฺมาทาทีนํ อสมฺภวาฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ทิฎฺฐิสมฺปนฺนานํ อุมฺมาทสฺส วา จิตฺตเกฺขปสฺส วา อภาวาติฯ มหาปจฺจริยมฺปิ หิ วิจาริต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๗๗)ฯ อุมฺมตฺตกปทสฺส อวจเน การณํ วทเนฺตเนว ขิตฺตจิตฺตาทิปทานํ อวจเน การณญฺจ อุปลกฺขณโต ทสฺสิตเมวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอตฺถ จ มคฺคผลทิฎฺฐิยา สมนฺนาคตานํ อริยานเมว หิ อุมฺมตฺตกาทิภาโว นตฺถิฯ ฌานลาภิโน ปน ตสฺมิํ สติ ฌานา ปริหายนฺติ, ตสฺมา เตสํ อภูตาโรจนปจฺจยา อนาปตฺติ วตฺตพฺพา, น ภูตาโรจนปจฺจยาฯ
939.Tadasambhavāti diṭṭhisampannassa ummādādīnaṃ asambhavā. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘diṭṭhisampannānaṃ ummādassa vā cittakkhepassa vā abhāvāti. Mahāpaccariyampi hi vicārita’’nti (pāci. aṭṭha. 77). Ummattakapadassa avacane kāraṇaṃ vadanteneva khittacittādipadānaṃ avacane kāraṇañca upalakkhaṇato dassitamevāti daṭṭhabbaṃ. Ettha ca maggaphaladiṭṭhiyā samannāgatānaṃ ariyānameva hi ummattakādibhāvo natthi. Jhānalābhino pana tasmiṃ sati jhānā parihāyanti, tasmā tesaṃ abhūtārocanapaccayā anāpatti vattabbā, na bhūtārocanapaccayā.
๙๔๐. อิมิสฺสาปตฺติยา อญฺญตฺร ฌานมคฺคาทิลาภีนํ อญฺญสฺส อสมฺภวา ‘‘กุสลาพฺยากเตเหว ทฺวิจิตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ อิทญฺจ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉเทน อริยปุคฺคเลเยว สนฺธาย วุตฺตํฯ ปณฺณตฺติํ อชานนฺตา ปน ฌานลาภี ปุถุชฺชนา นานาวตฺถุมฺหิ โลภวเสน อกุสลจิเตฺตนาปิ น อาโรเจนฺตีติ นตฺถิ, ตสฺมา ‘‘ติจิตฺต’’นฺติ วตฺตพฺพํ สิยา, ตถาปิ พหุเลน กุสลาพฺยากตานเมว สมฺภโวติ เอวํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ทฺวิเวทนํ สุโขเปกฺขาวเสนฯ อิทญฺจ สิกฺขาปทํ ปณฺณตฺติอชานนวเสน อจิตฺตกสมุฎฺฐานํ โหติฯ อริยา เจตฺถ ปณฺณตฺติํ ชานนฺตา วีติกฺกมํ น กโรนฺติ, ปุถุชฺชนา ปน ปณฺณตฺติํ ชานิตฺวาปิ วีติกฺกมํ กโรนฺติฯ เต จ สตฺถุโน อาณาวีติกฺกมเจตนาย พลวอกุสลภาวโต ฌานา ปริหายนฺตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ
940. Imissāpattiyā aññatra jhānamaggādilābhīnaṃ aññassa asambhavā ‘‘kusalābyākateheva dvicitta’’nti vuttaṃ. Idañca ukkaṭṭhaparicchedena ariyapuggaleyeva sandhāya vuttaṃ. Paṇṇattiṃ ajānantā pana jhānalābhī puthujjanā nānāvatthumhi lobhavasena akusalacittenāpi na ārocentīti natthi, tasmā ‘‘ticitta’’nti vattabbaṃ siyā, tathāpi bahulena kusalābyākatānameva sambhavoti evaṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ. Dvivedanaṃ sukhopekkhāvasena. Idañca sikkhāpadaṃ paṇṇattiajānanavasena acittakasamuṭṭhānaṃ hoti. Ariyā cettha paṇṇattiṃ jānantā vītikkamaṃ na karonti, puthujjanā pana paṇṇattiṃ jānitvāpi vītikkamaṃ karonti. Te ca satthuno āṇāvītikkamacetanāya balavaakusalabhāvato jhānā parihāyantīti daṭṭhabbaṃ.
ภูตาโรจนกถาวณฺณนาฯ
Bhūtārocanakathāvaṇṇanā.
๙๔๑. ภิกฺขุโน ทุฎฺฐุลฺลํ อาปตฺติํ ภิกฺขุสมฺมุติํ ฐเปตฺวา อนุปสมฺปเนฺน อาโรเจนฺตสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺตีติ โยชนาฯ ทุฎฺฐุลฺลํ อาปตฺตินฺติ สงฺฆาทิเสโสฯ นนุ จ ‘‘ทุฎฺฐุลฺลา นาม อาปตฺติ จตฺตาริ จ ปาราชิกานิ เตรส จ สงฺฆาทิเสสา’’ติ (ปาจิ. ๗๙) ปทภาชเน ปาราชิกสงฺฆาทิเสสา ทสฺสิตา, กสฺมา อิธ สงฺฆาทิเสโสว คหิโตติ? วุจฺจเต – ปาราชิกํ ทุฎฺฐุลฺลสทฺทตฺถทสฺสนตฺถํ วุตฺตํ, อิธ ปน สงฺฆาทิเสโสเยว ภควตา อธิเปฺปโตติ อฎฺฐกถายํ วิจาริตเมตํฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ ‘‘ปาราชิกานิ ทุฎฺฐุลฺลสทฺทตฺถทสฺสนตฺถํ วุตฺตานิ, สงฺฆาทิเสสํ ปน อิธ อธิเปฺปต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๗๘)ฯ วกฺขติ จ ‘‘อิธ สงฺฆาทิเสสาว, ทุฎฺฐุลฺลาปตฺติโย มตา’’ติฯ อนุปสมฺปเนฺนติ ‘‘ภิกฺขุญฺจ ภิกฺขุนิญฺจ ฐเปตฺวา อวเสโส อนุปสมฺปโนฺน’’ติ (ปาจิ. ๘๐) ปทภาชเน นิทฺทิฎฺฐอนุปสมฺปนฺนสฺส อาโรเจนฺตสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ
941. Bhikkhuno duṭṭhullaṃ āpattiṃ bhikkhusammutiṃ ṭhapetvā anupasampanne ārocentassa bhikkhuno āpattīti yojanā. Duṭṭhullaṃ āpattinti saṅghādiseso. Nanu ca ‘‘duṭṭhullā nāma āpatti cattāri ca pārājikāni terasa ca saṅghādisesā’’ti (pāci. 79) padabhājane pārājikasaṅghādisesā dassitā, kasmā idha saṅghādisesova gahitoti? Vuccate – pārājikaṃ duṭṭhullasaddatthadassanatthaṃ vuttaṃ, idha pana saṅghādisesoyeva bhagavatā adhippetoti aṭṭhakathāyaṃ vicāritametaṃ. Vuttañhi tattha ‘‘pārājikāni duṭṭhullasaddatthadassanatthaṃ vuttāni, saṅghādisesaṃ pana idha adhippeta’’nti (pāci. aṭṭha. 78). Vakkhati ca ‘‘idha saṅghādisesāva, duṭṭhullāpattiyo matā’’ti. Anupasampanneti ‘‘bhikkhuñca bhikkhuniñca ṭhapetvā avaseso anupasampanno’’ti (pāci. 80) padabhājane niddiṭṭhaanupasampannassa ārocentassāti vuttaṃ hoti.
ฐเปตฺวา ภิกฺขุสมฺมุตินฺติ ‘‘อตฺถิ ภิกฺขุสมฺมุติ อาปตฺติปริยนฺตา น กุลปริยนฺตา’’ติอาทินา (ปาจิ. ๘๐) ปทภาชเน ทสฺสิตํ อภิณฺหาปตฺติกสฺส ภิกฺขุโน อายติํ สํวรตฺถํ หิโรตฺตปฺปชนนตฺถํ อาปตฺติโย วา อุปาสกกุลานิ วา อุภยเมว วา ปริจฺฉินฺทิตฺวา วา อปริจฺฉินฺทิตฺวา วา อาปตฺติโย อาโรเจตุํ สเงฺฆน สงฺฆมเชฺฌ ติกฺขตฺตุํ สาเวตฺวา กตสมฺมุติํ ฐเปตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อภิณฺหาปตฺติกํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา ‘เอวเมส ปเรสุ หิโรตฺตเปฺปนาปิ อายติํ สํวรํ อาปชฺชิสฺสตี’ติ ตสฺส ภิกฺขุโน หิเตสิตาย ติกฺขตฺตุํ อปโลเกตฺวา สเงฺฆน กาตพฺพา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๐)ฯ
Ṭhapetvā bhikkhusammutinti ‘‘atthi bhikkhusammuti āpattipariyantā na kulapariyantā’’tiādinā (pāci. 80) padabhājane dassitaṃ abhiṇhāpattikassa bhikkhuno āyatiṃ saṃvaratthaṃ hirottappajananatthaṃ āpattiyo vā upāsakakulāni vā ubhayameva vā paricchinditvā vā aparicchinditvā vā āpattiyo ārocetuṃ saṅghena saṅghamajjhe tikkhattuṃ sāvetvā katasammutiṃ ṭhapetvāti vuttaṃ hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘abhiṇhāpattikaṃ bhikkhuṃ disvā ‘evamesa paresu hirottappenāpi āyatiṃ saṃvaraṃ āpajjissatī’ti tassa bhikkhuno hitesitāya tikkhattuṃ apaloketvā saṅghena kātabbā’’ti (pāci. aṭṭha. 80).
๙๔๒. ฆเฎตฺวา วทนฺตเสฺสวาติ เอวกาโร ยถาฐาเน โยเชตโพฺพฯ เอวกาเรน พฺยวจฺฉินฺนมตฺถํ วกฺขติ ‘‘วตฺถุ’’นฺติอาทินาฯ ‘‘อสุจิํ โมเจตฺวา’’ติ อิมินา วตฺถุมาห, ‘‘สงฺฆาทิเสส’’นฺติ อิมินา อาปตฺติํฯ วชฺชเมว วชฺชตาฯ ‘‘ปาจิตฺติยาปตฺตี’’ติ อิมสฺสายํ ปริยาโยฯ ‘‘อยํ อสุจิํ โมเจตฺวา สงฺฆาทิเสสํ อาปโนฺน’’ติ วตฺถุนา สทฺธิํ ฆเฎตฺวา อาปตฺติํ วทนฺตสฺส วชฺชตา ปาจิตฺติยาปตฺติ โหตีติ โยชนาฯ
942.Ghaṭetvā vadantassevāti evakāro yathāṭhāne yojetabbo. Evakārena byavacchinnamatthaṃ vakkhati ‘‘vatthu’’ntiādinā. ‘‘Asuciṃ mocetvā’’ti iminā vatthumāha, ‘‘saṅghādisesa’’nti iminā āpattiṃ. Vajjameva vajjatā. ‘‘Pācittiyāpattī’’ti imassāyaṃ pariyāyo. ‘‘Ayaṃ asuciṃ mocetvā saṅghādisesaṃ āpanno’’ti vatthunā saddhiṃ ghaṭetvā āpattiṃ vadantassa vajjatā pācittiyāpatti hotīti yojanā.
๙๔๓. สุทฺธสฺสาติ ปาราชิกมนาปนฺนสฺสฯ วทนฺติ วทนเหตุ, วตฺถุนา สทฺธิํ สงฺฆาทิเสสสฺส กถนโตติ อโตฺถฯ
943.Suddhassāti pārājikamanāpannassa. Vadanti vadanahetu, vatthunā saddhiṃ saṅghādisesassa kathanatoti attho.
๙๔๔. อทุฎฺฐุลฺลายาติ สงฺฆาทิเสสโต อญฺญาย อาปตฺติยาฯ ทุฎฺฐุลฺลสญฺญิโนติ สงฺฆาทิเสสสญฺญิโนฯ เสสา อาปตฺติโยปิ วาติ สงฺฆาทิเสสํ วินา เสเส ฉฬาปตฺติกฺขเนฺธฯ
944.Aduṭṭhullāyāti saṅghādisesato aññāya āpattiyā. Duṭṭhullasaññinoti saṅghādisesasaññino. Sesā āpattiyopi vāti saṅghādisesaṃ vinā sese chaḷāpattikkhandhe.
๙๔๕. ตถาติ ทุกฺกฎํ อติทิสติฯ ปญฺจธา มตํ อนุปสมฺปนฺนสฺส ทุฎฺฐุลฺลํ อชฺฌาจารํ อาโรเจนฺตสฺส ตถา ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ อนุปสมฺปนฺนสฺส ปญฺจธา มตํ ทุฎฺฐุลฺลํ อชฺฌาจารนฺติ จ ปาณาติปาตาทิปญฺจสิกฺขาปทวีติกฺกมา คหิตาฯ เกจิ ปน ‘‘สุกฺกวิสฺสฎฺฐิอาทโย ปญฺจา’’ติ วทนฺติ, ตํ น คเหตพฺพํฯ ปาณาติปาตาทีนิ หิ ทเสว สิกฺขาปทานิ สามเณรานํ ปญฺญตฺตานิฯ เตสํ ปญฺญเตฺตสุเยว จ สิกฺขาปเทสุ ทุฎฺฐุลฺลาทุฎฺฐุลฺลวิจารณา กาตพฺพา, น จ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิอาทีนิ วิสุํ เตสํ ปญฺญตฺตานิ อตฺถีติฯ
945.Tathāti dukkaṭaṃ atidisati. Pañcadhā mataṃ anupasampannassa duṭṭhullaṃ ajjhācāraṃ ārocentassa tathā dukkaṭanti yojanā. Anupasampannassa pañcadhā mataṃ duṭṭhullaṃ ajjhācāranti ca pāṇātipātādipañcasikkhāpadavītikkamā gahitā. Keci pana ‘‘sukkavissaṭṭhiādayo pañcā’’ti vadanti, taṃ na gahetabbaṃ. Pāṇātipātādīni hi daseva sikkhāpadāni sāmaṇerānaṃ paññattāni. Tesaṃ paññattesuyeva ca sikkhāpadesu duṭṭhullāduṭṭhullavicāraṇā kātabbā, na ca sukkavissaṭṭhiādīni visuṃ tesaṃ paññattāni atthīti.
อถ ภิกฺขุโน ทุฎฺฐุลฺลสงฺขาตานิ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิอาทีนิ อนุปสมฺปนฺนสฺส กิํ นาม โหนฺตีติ? อชฺฌาจาโร นาม โหนฺตีติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ…เป.… อชฺฌาจาโร นามาติ วุตฺต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๒)ฯ อิมินาปิ เจตํ สิทฺธํ ‘‘อนุปสมฺปนฺนสฺส สุกฺกวิสฺสฎฺฐิอาทิ ทุฎฺฐุลฺลํ นาม น โหตี’’ติฯ ‘‘อชฺฌาจาโร นามา’’ติ หิ วทโนฺต อนุปสมฺปนฺนสฺส สุกฺกวิสฺสฎฺฐิอาทิ เกวลํ อชฺฌาจาโร นาม โหติ, น ปน ทุฎฺฐุโลฺล นาม อชฺฌาจาโรติ ทีเปติฯ ‘‘อชฺฌาจาโร นามา’’ติ จ อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา, อกตฺตพฺพรูปตฺตา จ อนุปสมฺปนฺนสฺส สุกฺกวิสฺสฎฺฐิอาทีนิ ทณฺฑกมฺมวตฺถุปกฺขํ ภชนฺติฯ ตานิ จ อญฺญสฺส อนุปสมฺปนฺนสฺส อวณฺณกามตาย อาโรเจโนฺต ภิกฺขุ ทุกฺกฎํ อาปชฺชตีติ วทนฺติฯ อิธ ปน อนุปสมฺปนฺนคฺคหเณน สามเณรสามเณริสิกฺขมานานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ
Atha bhikkhuno duṭṭhullasaṅkhātāni sukkavissaṭṭhiādīni anupasampannassa kiṃ nāma hontīti? Ajjhācāro nāma hontīti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sukkavissaṭṭhi…pe… ajjhācāro nāmāti vutta’’nti (pāci. aṭṭha. 82). Imināpi cetaṃ siddhaṃ ‘‘anupasampannassa sukkavissaṭṭhiādi duṭṭhullaṃ nāma na hotī’’ti. ‘‘Ajjhācāro nāmā’’ti hi vadanto anupasampannassa sukkavissaṭṭhiādi kevalaṃ ajjhācāro nāma hoti, na pana duṭṭhullo nāma ajjhācāroti dīpeti. ‘‘Ajjhācāro nāmā’’ti ca aṭṭhakathāyaṃ vuttattā, akattabbarūpattā ca anupasampannassa sukkavissaṭṭhiādīni daṇḍakammavatthupakkhaṃ bhajanti. Tāni ca aññassa anupasampannassa avaṇṇakāmatāya ārocento bhikkhu dukkaṭaṃ āpajjatīti vadanti. Idha pana anupasampannaggahaṇena sāmaṇerasāmaṇerisikkhamānānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ.
อทุฎฺฐุลฺลํ อชฺฌาจารนฺติ โยชนาฯ ‘‘อนุปสมฺปนฺนสฺสา’’ติ จ อชฺฌาหริตพฺพานิฯ อนุปสมฺปนฺนสฺส ยถาวุเตฺตหิ ปญฺจสิกฺขาปเทหิ อญฺญํ วิกาลโภชนาทิํ อทุฎฺฐุลฺลํ อชฺฌาจารํ วาฯ ยถาห ‘‘อนุปสมฺปนฺนสฺส ทุฎฺฐุลฺลํ วา อทุฎฺฐุลฺลํ วา อชฺฌาจาร’’นฺติอาทิ (ปาจิ. ๘๒)ฯ
Aduṭṭhullaṃ ajjhācāranti yojanā. ‘‘Anupasampannassā’’ti ca ajjhāharitabbāni. Anupasampannassa yathāvuttehi pañcasikkhāpadehi aññaṃ vikālabhojanādiṃ aduṭṭhullaṃ ajjhācāraṃ vā. Yathāha ‘‘anupasampannassa duṭṭhullaṃ vā aduṭṭhullaṃ vā ajjhācāra’’ntiādi (pāci. 82).
๙๔๖. เกวลํ วตฺถุํ วา อาโรเจนฺตสฺสาติ ‘‘อยํ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิํ อาปโนฺน’’ติอาทินา นเยน วตฺถุมตฺตํ อาโรเจนฺตสฺสฯ เกวลํ อาปตฺติํ วา อาโรเจนฺตสฺสาติ ‘‘อยํ ปาราชิกํ อาปโนฺน, อยํ สงฺฆาทิเสสํ อาปโนฺน’’ติอาทินา นเยน อาปตฺติมตฺตํ อาโรเจนฺตสฺส จฯ ภิกฺขุสมฺมุติยาติ เอตฺถ วตฺถุนา ฆเฎตฺวา อาปตฺติํ อาโรเจนฺตสฺสาติ คเหตพฺพํฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘อนาปตฺตี’’ติ เอตํ ปรามสติฯ
946.Kevalaṃvatthuṃ vā ārocentassāti ‘‘ayaṃ sukkavissaṭṭhiṃ āpanno’’tiādinā nayena vatthumattaṃ ārocentassa. Kevalaṃ āpattiṃ vā ārocentassāti ‘‘ayaṃ pārājikaṃ āpanno, ayaṃ saṅghādisesaṃ āpanno’’tiādinā nayena āpattimattaṃ ārocentassa ca. Bhikkhusammutiyāti ettha vatthunā ghaṭetvā āpattiṃ ārocentassāti gahetabbaṃ. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘anāpattī’’ti etaṃ parāmasati.
ทุฎฺฐุลฺลาโรจนกถาวณฺณนาฯ
Duṭṭhullārocanakathāvaṇṇanā.
๙๔๘. อกปฺปิยํ ปถวินฺติ ปทภาชเน ‘‘เทฺว ปถวิโย ชาตา จ ปถวี อชาตา จ ปถวี’’ติ (ปาจิ. ๘๖) อุทฺทิสิตฺวา –
948.Akappiyaṃ pathavinti padabhājane ‘‘dve pathaviyo jātā ca pathavī ajātā ca pathavī’’ti (pāci. 86) uddisitvā –
‘‘ชาตา นาม ปถวี สุทฺธปํสุ สุทฺธมตฺติกา อปฺปปาสาณา อปฺปสกฺขรา อปฺปกถลา อปฺปมรุมฺพา อปฺปวาลิกา เยภุเยฺยนปํสุกา เยภุเยฺยนมตฺติกา, อทฑฺฒาปิ วุจฺจติ ชาตา ปถวีฯ โยปิ ปํสุปุโญฺช วา มตฺติกาปุโญฺช วา อติเรกจาตุมาสํ โอวโฎฺฐ, อยมฺปิ วุจฺจติ ชาตา ปถวี’’ติ (ปาจิ. ๘๖) จ,
‘‘Jātā nāma pathavī suddhapaṃsu suddhamattikā appapāsāṇā appasakkharā appakathalā appamarumbā appavālikā yebhuyyenapaṃsukā yebhuyyenamattikā, adaḍḍhāpi vuccati jātā pathavī. Yopi paṃsupuñjo vā mattikāpuñjo vā atirekacātumāsaṃ ovaṭṭho, ayampi vuccati jātā pathavī’’ti (pāci. 86) ca,
‘‘อชาตา นาม ปถวี สุทฺธปาสาณา สุทฺธสกฺขรา สุทฺธกถลา สุทฺธมรุมฺพา สุทฺธวาลิกา อปฺปปํสุ อปฺปมตฺติกา เยภุเยฺยนปาสาณา เยภุเยฺยนสกฺขรา เยภุเยฺยนกถลา เยภุเยฺยนมรุมฺพา เยภุเยฺยนวาลิกา, ทฑฺฒาปิ วุจฺจติ อชาตา ปถวีฯ โยปิ ปํสุปุโญฺช วา มตฺติกาปุโญฺช วา อูนจาตุมาสํ โอวโฎฺฐ, อยมฺปิ วุจฺจติ อชาตา ปถวี’’ติ (ปาจิ. ๘๖) จ –
‘‘Ajātā nāma pathavī suddhapāsāṇā suddhasakkharā suddhakathalā suddhamarumbā suddhavālikā appapaṃsu appamattikā yebhuyyenapāsāṇā yebhuyyenasakkharā yebhuyyenakathalā yebhuyyenamarumbā yebhuyyenavālikā, daḍḍhāpi vuccati ajātā pathavī. Yopi paṃsupuñjo vā mattikāpuñjo vā ūnacātumāsaṃ ovaṭṭho, ayampi vuccati ajātā pathavī’’ti (pāci. 86) ca –
นิทฺทิฎฺฐาสุ ทฺวีสุ ปถวีสุ ชาตปถวิสงฺขาตํ อกปฺปิยปถวิํฯ
Niddiṭṭhāsu dvīsu pathavīsu jātapathavisaṅkhātaṃ akappiyapathaviṃ.
เอตฺถ ปาสาณาทีนํ ลกฺขณํ อฎฺฐกถายํ ‘‘มุฎฺฐิปฺปมาณโต อุปริ ปาสาณาติ เวทิตพฺพา, มุฎฺฐิปฺปมาณา สกฺขราฯ กถลาติ กปาลขณฺฑานิฯ มรุมฺพาติ กฎสกฺขราฯ วาลิกาติ วาลุกาเยวา’’ติ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เยภุเยฺยนปํสุกาทีนํ ลกฺขณํ ‘‘เยภุเยฺยนปํสุกาติ ตีสุ โกฎฺฐาเสสุ เทฺว โกฎฺฐาสา ปํสุ, เอโก ปาสาณาทีสุ อญฺญตโร โกฎฺฐาโส’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๖) จ ‘‘อทฑฺฒาปีติ อุทฺธนปตฺตปจนกุมฺภการาวาปาทิวเสน ตถา ตถา อทฑฺฒา’’ติอาทิ อฎฺฐกถาโต จ เวทิตพฺพํฯ ‘‘อปฺปปํสุอปฺปมตฺติกา’’ติ ทฺวีสุปิ ปเทสุ นิเทฺทสรูเปน เยภุเยฺยนปาสาณาทิปทปญฺจกํ วุตฺตํ, ตตฺถาปิ อโตฺถ เยภุเยฺยนปํสุปทาทีสุ วุตฺตวิปลฺลาเสน เวทิตโพฺพฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เตสํเยว หิ ทฺวินฺนํ ปเภททสฺสนเมต’’นฺติ (ปาจิ. ๘๖)ฯ
Ettha pāsāṇādīnaṃ lakkhaṇaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘muṭṭhippamāṇato upari pāsāṇāti veditabbā, muṭṭhippamāṇā sakkharā. Kathalāti kapālakhaṇḍāni. Marumbāti kaṭasakkharā. Vālikāti vālukāyevā’’ti vuttanayeneva veditabbaṃ. Yebhuyyenapaṃsukādīnaṃ lakkhaṇaṃ ‘‘yebhuyyenapaṃsukāti tīsu koṭṭhāsesu dve koṭṭhāsā paṃsu, eko pāsāṇādīsu aññataro koṭṭhāso’’ti (pāci. aṭṭha. 86) ca ‘‘adaḍḍhāpīti uddhanapattapacanakumbhakārāvāpādivasena tathā tathā adaḍḍhā’’tiādi aṭṭhakathāto ca veditabbaṃ. ‘‘Appapaṃsuappamattikā’’ti dvīsupi padesu niddesarūpena yebhuyyenapāsāṇādipadapañcakaṃ vuttaṃ, tatthāpi attho yebhuyyenapaṃsupadādīsu vuttavipallāsena veditabbo. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tesaṃyeva hi dvinnaṃ pabhedadassanameta’’nti (pāci. 86).
ขเณยฺย วาติ เอวรูปํ อกปฺปิยปถวิปเทสํ อนฺตมโส ปาทงฺคุเฎฺฐนาปิ สมฺมุญฺชนิสลากายปิ สยํ วา ขณติฯ ขณาเปยฺย วาติ อเญฺญน วา ‘‘อิทํ ขณาหี’’ติอาทินา อกปฺปิยโวหาเรน ขณาเปยฺยฯ เภทาเปยฺยาติ ตเถว เภทาเปยฺยฯ ภิเนฺทยฺย วาติ ปสฺสาวธาราทีหิปิ ภิเนฺทยฺยฯ อธิการวเสน วา-สทฺทสฺส สพฺพกิริยาปเทหิ สมฺพโนฺธ ลพฺภตีติ เภทาเปยฺย จาติ เอตฺถ จ-สโทฺท อิธ อวุตฺตสฺส ‘‘ทหติ วา, ทหาเปติ วา’’ติ ปททฺวยสฺส สมุจฺจยโกติ เวทิตโพฺพฯ อนฺตมโส ปตฺตมฺปิ ปจโนฺต สยํ วา ทหติ, อเญฺญน วา ทหาเปตีติอาทิ อิเมสํ ปทานํ อฎฺฐกถาวเสน (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๗) เวทิตพฺพํฯ ปาจิตฺติยํ สิยาติ ขณนฺตสฺส, ภินฺทนฺตสฺส จ ปหาเร ปหาเร ปาจิตฺติยํฯ
Khaṇeyya vāti evarūpaṃ akappiyapathavipadesaṃ antamaso pādaṅguṭṭhenāpi sammuñjanisalākāyapi sayaṃ vā khaṇati. Khaṇāpeyya vāti aññena vā ‘‘idaṃ khaṇāhī’’tiādinā akappiyavohārena khaṇāpeyya. Bhedāpeyyāti tatheva bhedāpeyya. Bhindeyya vāti passāvadhārādīhipi bhindeyya. Adhikāravasena vā-saddassa sabbakiriyāpadehi sambandho labbhatīti bhedāpeyya cāti ettha ca-saddo idha avuttassa ‘‘dahati vā, dahāpeti vā’’ti padadvayassa samuccayakoti veditabbo. Antamaso pattampi pacanto sayaṃ vā dahati, aññena vā dahāpetītiādi imesaṃ padānaṃ aṭṭhakathāvasena (pāci. aṭṭha. 87) veditabbaṃ. Pācittiyaṃ siyāti khaṇantassa, bhindantassa ca pahāre pahāre pācittiyaṃ.
๙๔๙. อาณาเปนฺตสฺส อาณตฺติคณนาย, ทหนฺตสฺส อคฺคิปาตคณนาย โหตีติ อิทํ ‘‘ปหาเร ปหาเร ปาจิตฺติย’’นฺติอาทิอฎฺฐกถาวจนวเสน เวทิตพฺพํ, อิมเมว ทเสฺสตุมาห ‘‘สยเมวา’’ติอาทิฯ
949. Āṇāpentassa āṇattigaṇanāya, dahantassa aggipātagaṇanāya hotīti idaṃ ‘‘pahāre pahāre pācittiya’’ntiādiaṭṭhakathāvacanavasena veditabbaṃ, imameva dassetumāha ‘‘sayamevā’’tiādi.
๙๕๐. อาณาเปนฺตสฺสาติ สกิํ อาณาเปนฺตสฺสฯ
950.Āṇāpentassāti sakiṃ āṇāpentassa.
๙๕๑. ‘‘ขณาเปยฺยา’’ติ สามญฺญวจนสฺส อปวาททสฺสนตฺถํ ‘‘ขณ โปกฺขรณิ’’นฺติอาทิมาหฯ โกจิ โทโส น วิชฺชตีติ เอตฺถ โปกฺขรณิอาวาฎาทิสทฺทานํ ปถวิปริยายตฺตาภาวโต เอวํวจเนน อนาปตฺตีติ อธิปฺปาโยฯ
951. ‘‘Khaṇāpeyyā’’ti sāmaññavacanassa apavādadassanatthaṃ ‘‘khaṇa pokkharaṇi’’ntiādimāha. Koci doso na vijjatīti ettha pokkharaṇiāvāṭādisaddānaṃ pathavipariyāyattābhāvato evaṃvacanena anāpattīti adhippāyo.
๙๕๒. ‘‘อิมํ อิธา’’ติอาทีนํ ปทานํ ปจฺจกฺขภูตาธิเปฺปตภูมิวาจกตฺตา เตหิ โยเชตฺวา วุตฺตสฺส ตเสฺสว ปโยคสฺส อาปตฺติกรภาวํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อิม’’นฺติอาทิฯ
952. ‘‘Imaṃ idhā’’tiādīnaṃ padānaṃ paccakkhabhūtādhippetabhūmivācakattā tehi yojetvā vuttassa tasseva payogassa āpattikarabhāvaṃ dassetumāha ‘‘ima’’ntiādi.
๙๕๓. กนฺทนฺติ ตาลาทิกนฺทํฯ กุรุนฺทนฺติ กุลโจจรุกฺขํฯ ถูณนฺติ ถมฺภํฯ ขาณุกนฺติ สาขาวิฎปรหิตํ รุกฺขาวยวํฯ มูลนฺติ ปถวิยา สุปฺปติฎฺฐิตภาวกรํ รุกฺขาวยวํฯ วฎฺฎตีติ อนิยเมตฺวา วจเนน อนาปตฺติภาวโต วฎฺฎติฯ
953.Kandanti tālādikandaṃ. Kurundanti kulacocarukkhaṃ. Thūṇanti thambhaṃ. Khāṇukanti sākhāviṭaparahitaṃ rukkhāvayavaṃ. Mūlanti pathaviyā suppatiṭṭhitabhāvakaraṃ rukkhāvayavaṃ. Vaṭṭatīti aniyametvā vacanena anāpattibhāvato vaṭṭati.
๙๕๔. อิมนฺติ ปจฺจกฺขปรามาสปเทน นิยเมตฺวา วจนโต อาปตฺติ โหตีติ อาห ‘‘นิยเมตฺวาน วตฺตุํ ปน น วฎฺฎตี’’ติฯ
954.Imanti paccakkhaparāmāsapadena niyametvā vacanato āpatti hotīti āha ‘‘niyametvāna vattuṃ pana na vaṭṭatī’’ti.
๙๕๕. ฆเฎหิ อุสฺสิญฺจิตุนฺติ ฆเฎหิ คเหตฺวา อวสิญฺจิตุํฯ ตนุกทฺทโมติ ชมฺพาโลฯ พหลํ กทฺทมํ ภิกฺขุนา อปเนตุํ น จ วฎฺฎตีติ โยเชตพฺพํฯ
955.Ghaṭehi ussiñcitunti ghaṭehi gahetvā avasiñcituṃ. Tanukaddamoti jambālo. Bahalaṃ kaddamaṃ bhikkhunā apanetuṃ na ca vaṭṭatīti yojetabbaṃ.
๙๕๖. นทิยาทีนนฺติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน คงฺคากนฺทราทีนํ คหณํฯ ‘‘ตฎ’’นฺติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ วฎฺฐนฺติ วุฎฺฐีหิ โอวฎฺฐญฺจฯ จาตุมาสนฺติ วิโกปนกิริยาย อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํ, จาตุมาสพฺภนฺตเร วิโกเปตุํ วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ
956.Nadiyādīnanti ettha ādi-saddena gaṅgākandarādīnaṃ gahaṇaṃ. ‘‘Taṭa’’nti iminā sambandho. Vaṭṭhanti vuṭṭhīhi ovaṭṭhañca. Cātumāsanti vikopanakiriyāya accantasaṃyoge upayogavacanaṃ, cātumāsabbhantare vikopetuṃ vaṭṭatīti attho.
๙๕๗. สเจ โตยสฺมิํ ปตติ ตฎนฺติ โยชนา, สเจ กูลํ ภิชฺชิตฺวา อโนฺตอุทเก ปตตีติฯ เทเว วุเฎฺฐปีติ ปชฺชุนฺนเทเว วุเฎฺฐปิฯ วุฎฺฐ-สโทฺท กตฺตุสาธโนฯ จาตุมาสมติกฺกเนฺตปีติ โยชนาฯ ตตฺถ เหตุทสฺสนตฺถมาห ‘‘โตเย เทโว หิ วสฺสตี’’ติฯ
957. Sace toyasmiṃ patati taṭanti yojanā, sace kūlaṃ bhijjitvā antoudake patatīti. Deve vuṭṭhepīti pajjunnadeve vuṭṭhepi. Vuṭṭha-saddo kattusādhano. Cātumāsamatikkantepīti yojanā. Tattha hetudassanatthamāha ‘‘toye devo hi vassatī’’ti.
๙๕๘. โสณฺฑินฺติ ปาสาณโปกฺขรณิํฯ ตตฺถ ตูติ อุทกรหิเต ตสฺมิํ โสณฺฑิอาวาเฎฯ
958.Soṇḍinti pāsāṇapokkharaṇiṃ. Tattha tūti udakarahite tasmiṃ soṇḍiāvāṭe.
๙๕๙. อโนฺตจาตุมาสํ โสเธตุํ ภินฺทิตุนฺติ โยชนาฯ ‘‘โสเธตุํ ภินฺทิตุํ วิโกเปตุ’’นฺติ กิริยาปเทหิ ‘‘รช’’นฺติ กมฺมปทํ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ตํ รโชราสิํ เทเว วุเฎฺฐ ปจฺฉา อุทกสฺส ฉินฺนตฺตา พหลภูมิสุกฺขมฺปิ วุฎฺฐิปาตทิวสโต ปฎฺฐาย อโนฺตจาตุมาเส โกเปตุํ ภินฺทิตุํ วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ
959. Antocātumāsaṃ sodhetuṃ bhinditunti yojanā. ‘‘Sodhetuṃ bhindituṃ vikopetu’’nti kiriyāpadehi ‘‘raja’’nti kammapadaṃ ānetvā sambandhitabbaṃ. Taṃ rajorāsiṃ deve vuṭṭhe pacchā udakassa chinnattā bahalabhūmisukkhampi vuṭṭhipātadivasato paṭṭhāya antocātumāse kopetuṃ bhindituṃ vaṭṭatīti attho.
๙๖๐. ปุเณฺณ โสณฺฑิมฺหิ ตํ รชํ วิโกเปตุํ วฎฺฎติ จาตุมาสโต อุทฺธนฺติ โยชนาฯ
960.Puṇṇe soṇḍimhi taṃ rajaṃ vikopetuṃ vaṭṭati cātumāsato uddhanti yojanā.
๙๖๑. ‘‘ผุสายเนฺต’’ติ เอเตน ‘‘เทโว’’ติ อิทํ ภุมฺมวเสน วิปริณาเมตฺวา ‘‘เทเว ผุสายเนฺต’’ติ โยเชตพฺพํ, ปชฺชุนฺนเทเว วุฎฺฐิปาตํ กโรเนฺตติ อโตฺถฯ ปิฎฺฐิปาสาณเกติ ปาสาณปิเฎฺฐฯ ตมฺปีติ ตถา ปาสาณปิเฎฺฐ ลคฺคํ ตมฺปิ รชํฯ
961.‘‘Phusāyante’’ti etena ‘‘devo’’ti idaṃ bhummavasena vipariṇāmetvā ‘‘deve phusāyante’’ti yojetabbaṃ, pajjunnadeve vuṭṭhipātaṃ karonteti attho. Piṭṭhipāsāṇaketi pāsāṇapiṭṭhe. Tampīti tathā pāsāṇapiṭṭhe laggaṃ tampi rajaṃ.
๙๖๒. อกตปพฺภาโร นาม ยถา เหฎฺฐาภาโค วุฎฺฐิผุสิเตหิ น เตมียติ, ตถา นมิตฺวา ฐิตปพฺพตปฺปเทโสฯ อิทํ อโนวสฺสกฎฺฐาเน อุฎฺฐิตวมฺมิกานํ อุปลกฺขณํฯ
962.Akatapabbhāro nāma yathā heṭṭhābhāgo vuṭṭhiphusitehi na temīyati, tathā namitvā ṭhitapabbatappadeso. Idaṃ anovassakaṭṭhāne uṭṭhitavammikānaṃ upalakkhaṇaṃ.
๙๖๓. อโพฺภกาเส วุฎฺฐิโต วมฺมิโก สเจ โอวโฎฺฐ, กํ จาตุมาสํ วิโกเปตุํ วฎฺฎตีติ สมฺพโนฺธฯ จาตุมาสนฺติ วิโกปนกิริยาย อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ รุเกฺขติ จ ถมฺภปาสาณาทีนํ อุปลกฺขณํฯ อุปจิกาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน กาฬกิปิลฺลิกาทีนํ คหณํฯ โส นโยติ ‘‘โอวฎฺฐทิวสโต อุตฺตริ จาตุมาสพฺภนฺตเร โกเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ ยถาวุโตฺต นโยฯ
963. Abbhokāse vuṭṭhito vammiko sace ovaṭṭho, kaṃ cātumāsaṃ vikopetuṃ vaṭṭatīti sambandho. Cātumāsanti vikopanakiriyāya accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Rukkheti ca thambhapāsāṇādīnaṃ upalakkhaṇaṃ. Upacikādīnanti ādi-saddena kāḷakipillikādīnaṃ gahaṇaṃ. So nayoti ‘‘ovaṭṭhadivasato uttari cātumāsabbhantare kopetuṃ vaṭṭatī’’ti yathāvutto nayo.
๙๖๔. มูสิกุกฺกิรํ นาม มูสิกาหิ อุทฺธฎปํสุฯ มูสิกานํ อุกฺกิโร มูสิกุกฺกิโรติ วิคฺคโหฯ โคกณฺฎกํ นาม คุนฺนํ ขุรานํ อุฎฺฐิตมตฺติกาฯ คณฺฑุปฺปาทมลํ นาม ภูลตาย มลมตฺติกาฯ สมฺพนฺธํ ปน ปกติภูมิํ อโกเปเนฺตน มตฺถกโต คณฺหิตุํ วฎฺฎติฯ
964.Mūsikukkiraṃ nāma mūsikāhi uddhaṭapaṃsu. Mūsikānaṃ ukkiro mūsikukkiroti viggaho. Gokaṇṭakaṃ nāma gunnaṃ khurānaṃ uṭṭhitamattikā. Gaṇḍuppādamalaṃ nāma bhūlatāya malamattikā. Sambandhaṃ pana pakatibhūmiṃ akopentena matthakato gaṇhituṃ vaṭṭati.
๙๖๕. กสีติ กสิตฎฺฐานํ, ตตฺถ นงฺคเลน อุทฺธฎมตฺติกา กสินงฺคลมตฺติกาฯ ‘‘อจฺฉินฺนา’’ติอิมินา ขณฺฑาขณฺฑิกํ กตฺวา อายตํ หุตฺวา ฐิตมตฺติกาปฎลมฺปิ อชาตปถวี สิยาติ อาสงฺกานิวตฺตนตฺถมาห ‘‘ภูมิสมฺพนฺธา’’ติฯ สาติ กสินงฺคลมตฺติกาฯ
965.Kasīti kasitaṭṭhānaṃ, tattha naṅgalena uddhaṭamattikā kasinaṅgalamattikā. ‘‘Acchinnā’’tiiminā khaṇḍākhaṇḍikaṃ katvā āyataṃ hutvā ṭhitamattikāpaṭalampi ajātapathavī siyāti āsaṅkānivattanatthamāha ‘‘bhūmisambandhā’’ti. Sāti kasinaṅgalamattikā.
๙๖๖. เสนาสนนฺติ เอตฺถ ‘‘ปุราณ’’นฺติ ปาฐเสโส คเหตโพฺพฯ โอวฎฺฐํ จาตุมาสโต อุทฺธํ น วิโกปเยติ โยชนาฯ
966.Senāsananti ettha ‘‘purāṇa’’nti pāṭhaseso gahetabbo. Ovaṭṭhaṃ cātumāsato uddhaṃ na vikopayeti yojanā.
๙๖๗. ตโตติ โอวฎฺฐทิวสโต ปฎฺฐาย จาตุมาสาติกฺกนฺตเคหโตฯ ‘‘โคปานสิ’’นฺติ อิมินา โคปานสิมตฺถเก ฐิตอุปจิกาปํสุมฺหิ ภิชฺชเนฺตปิ อนาปตฺติภาวํ ทีเปติฯ ‘‘ภิตฺติ’’นฺติ อิมินา ตเทกเทสํ ภิตฺติปาทาทิทารุมาหฯ อิทมฺปิ ภิตฺติมตฺติกํ อุปจิกามตฺติกํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘ถมฺภ’’นฺติ อิทมฺปิ ตํสมฺพนฺธปาการภูมิมตฺติกาอุปจิกาทิปํสุํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ปทรตฺถรนฺติ อตฺถตปทรํฯ อิทมฺปิ ปทรานํ อุปริ มตฺติกาอุปจิกาปํสุํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘โคปานสิ’’นฺติอาทีหิ ปเทหิ ‘‘คณฺหิสฺสามี’’ติ ปเจฺจกํ โยชนียํฯ ‘‘คณฺหิสฺสามี’’ติ อิมินา วิโกปนาธิปฺปายาภาวํ ทีเปติฯ
967.Tatoti ovaṭṭhadivasato paṭṭhāya cātumāsātikkantagehato. ‘‘Gopānasi’’nti iminā gopānasimatthake ṭhitaupacikāpaṃsumhi bhijjantepi anāpattibhāvaṃ dīpeti. ‘‘Bhitti’’nti iminā tadekadesaṃ bhittipādādidārumāha. Idampi bhittimattikaṃ upacikāmattikaṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Thambha’’nti idampi taṃsambandhapākārabhūmimattikāupacikādipaṃsuṃ sandhāya vuttaṃ. Padarattharanti atthatapadaraṃ. Idampi padarānaṃ upari mattikāupacikāpaṃsuṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Gopānasi’’ntiādīhi padehi ‘‘gaṇhissāmī’’ti paccekaṃ yojanīyaṃ. ‘‘Gaṇhissāmī’’ti iminā vikopanādhippāyābhāvaṃ dīpeti.
๙๖๘. คณฺหนฺตสฺสาติ เอตฺถ อนาทเร สามิวจนํ, ‘‘สุทฺธจิเตฺตนา’’ติ ปาฐเสโสฯ อิฎฺฐกาติ ฉทนิฎฺฐกาฯ อาทิ-สเทฺทน ปาสาณสมุทฺทเผณาทีนํ คหณํฯ ปตตีติ สุทฺธจิเตฺตน คณฺหเนฺต สเจ มตฺติกา ฉิชฺชิตฺวา ปตติ, อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ มตฺติกนฺติ ภิตฺติยํ, ฉทเน จ จาตุมาสาธิโกวฎฺฐมตฺติกํ, อโนวฎฺฐํ เจ, คณฺหิตุํ วฎฺฎตีติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สเจ ยา ยา อตินฺตา, ตํ ตํ คณฺหาติ, อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๖)ฯ ยทิ คณฺหติ, อาปตฺติ สิยาติ โยชนาฯ
968.Gaṇhantassāti ettha anādare sāmivacanaṃ, ‘‘suddhacittenā’’ti pāṭhaseso. Iṭṭhakāti chadaniṭṭhakā. Ādi-saddena pāsāṇasamuddapheṇādīnaṃ gahaṇaṃ. Patatīti suddhacittena gaṇhante sace mattikā chijjitvā patati, anāpattīti attho. Mattikanti bhittiyaṃ, chadane ca cātumāsādhikovaṭṭhamattikaṃ, anovaṭṭhaṃ ce, gaṇhituṃ vaṭṭatīti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sace yā yā atintā, taṃ taṃ gaṇhāti, anāpattī’’ti (pāci. aṭṭha. 86). Yadi gaṇhati, āpatti siyāti yojanā.
๙๖๙. อติโนฺตติ วโสฺสทเกน อติโนฺต, อิมินา วินิจฺฉิตพฺพวตฺถุํ ทเสฺสติฯ ตสฺส อโนฺตเคเห จ พหิ จ สมฺภวโต อโนฺตเคเห ฐิตสฺส ตาว วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อโนฺตเคเห สเจ สิยา’’ติฯ วโสฺสทเกน ตินฺตาติเนฺตสุ ทฺวีสุ มตฺติกาปุเญฺชสุ อตินฺตํ ตาว ทเสฺสตุมาห ‘‘อโนวโฎฺฐ จา’’ติฯ
969.Atintoti vassodakena atinto, iminā vinicchitabbavatthuṃ dasseti. Tassa antogehe ca bahi ca sambhavato antogehe ṭhitassa tāva vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘antogehe sace siyā’’ti. Vassodakena tintātintesu dvīsu mattikāpuñjesu atintaṃ tāva dassetumāha ‘‘anovaṭṭho cā’’ti.
๙๗๐. วโสฺสทเกน ติเนฺต วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘วุเฎฺฐ ปุน จา’’ติอาทิฯ ‘‘วุเฎฺฐ’’ติ อิมินา ‘‘มตฺติกาปุโญฺช’’ติ ปทํ ภุมฺมวเสน วิปริณาเมตฺวา วุเฎฺฐ มตฺติกาปุเญฺชติ โยเชตพฺพํ, ‘‘เอกทิวสมฺปี’’ติ เสโส, เคหสฺมินฺติ เอตฺถ ‘‘ฐิเต’’ติ วตฺตพฺพํ, เคหสฺมิํ ฐิเต มตฺติกาปุเญฺช วโสฺสทเกน เอกทิวสมฺปิ ติเนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ วกฺขมานนเยน อญฺญตฺถ ปหริตฺวา อุฎฺฐิเตน เตน อเตมิตฺวา อุชุกํ ปติเตหิ วสฺสผุสิเตหิ ติเนฺตติ คเหตพฺพํฯ สเจ สโพฺพ ติโนฺต โหตีติ โยชนาฯ ‘‘มตฺติกาปุโญฺช’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ
970. Vassodakena tinte vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘vuṭṭhe puna cā’’tiādi. ‘‘Vuṭṭhe’’ti iminā ‘‘mattikāpuñjo’’ti padaṃ bhummavasena vipariṇāmetvā vuṭṭhe mattikāpuñjeti yojetabbaṃ, ‘‘ekadivasampī’’ti seso, gehasminti ettha ‘‘ṭhite’’ti vattabbaṃ, gehasmiṃ ṭhite mattikāpuñje vassodakena ekadivasampi tinteti vuttaṃ hoti. Vakkhamānanayena aññattha paharitvā uṭṭhitena tena atemitvā ujukaṃ patitehi vassaphusitehi tinteti gahetabbaṃ. Sace sabbo tinto hotīti yojanā. ‘‘Mattikāpuñjo’’ti iminā sambandho.
๙๗๑. ‘‘สโพฺพ’’ติ อิมินา วิเสสเนน พฺยวจฺฉินฺนํ เอกเทสติเนฺต วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ยตฺตก’’นฺติอาทิฯ ตุ-สโทฺท อิมเมว วิเสสํ โชเตติฯ ยตฺตกนฺติ เหฎฺฐา อโนตริตฺวา มตฺถกโต, ปริยนฺตกโต จ ยตฺตกปฺปมาณํฯ ตตฺถาติ มตฺติกาปุเญฺชฯ ‘‘อกปฺปิย’’นฺติ เอตสฺส ‘‘จาตุมาสจฺจเยนา’’ติ อนุวตฺตติฯ ‘‘อตินฺตํ…เป.… กปฺปิย’’นฺติ อิมินา อกปฺปิยฎฺฐานํ ปริหริตฺวา วา กปฺปิยการเกหิ กปฺปิยวจเนน หราเปตฺวา วา อตินฺตํ ฐานํ ยถากามํ วฬเญฺชตพฺพนฺติ อยมโตฺถ ทสฺสิโต โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘กปฺปิยการเกหี’’ติอาทิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๖)ฯ
971. ‘‘Sabbo’’ti iminā visesanena byavacchinnaṃ ekadesatinte vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘yattaka’’ntiādi. Tu-saddo imameva visesaṃ joteti. Yattakanti heṭṭhā anotaritvā matthakato, pariyantakato ca yattakappamāṇaṃ. Tatthāti mattikāpuñje. ‘‘Akappiya’’nti etassa ‘‘cātumāsaccayenā’’ti anuvattati. ‘‘Atintaṃ…pe… kappiya’’nti iminā akappiyaṭṭhānaṃ pariharitvā vā kappiyakārakehi kappiyavacanena harāpetvā vā atintaṃ ṭhānaṃ yathākāmaṃ vaḷañjetabbanti ayamattho dassito hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘kappiyakārakehī’’tiādi (pāci. aṭṭha. 86).
๙๗๒. วารินาติ อุชุกํ อากาสโต ปติตวโสฺสทเกนฯ อญฺญตฺถ ปหริตฺวา ตตฺถ ปติตฺวา เตมิเต วฎฺฎติฯ โส มตฺติกาปุโญฺชฯ ตโต ปรนฺติ เอกาพทฺธกาลโต อุตฺตริํ โส มตฺติกาปุโญฺช วารินา เตมิโต ภูมิยา เอกาพโทฺธ เจ โหติ, ตโต ปรํ สา ชาตา ปถวี เอว, โกเปตุํ น วฎฺฎตีติ โยชนาฯ
972.Vārināti ujukaṃ ākāsato patitavassodakena. Aññattha paharitvā tattha patitvā temite vaṭṭati. So mattikāpuñjo. Tato paranti ekābaddhakālato uttariṃ so mattikāpuñjo vārinā temito bhūmiyā ekābaddho ce hoti, tato paraṃ sā jātā pathavī eva, kopetuṃ na vaṭṭatīti yojanā.
๙๗๓. ‘‘โอวโฎฺฐ’’ติ อิมินา อโนวฎฺฐปากาโร กปฺปิโยติ พฺยติเรกวเสน ทเสฺสติฯ ‘‘มตฺติกามโย’’ติ วิเสสเนน อิฎฺฐกปาการาทิํ พฺยวจฺฉินฺทติฯ ตสฺส ปน กปฺปิยภาวํ วกฺขติ ‘‘สเจ อิฎฺฐกปากาโร’’ติอาทินาฯ ‘‘จาตุมาสจฺจเย’’ติ อิมินา ตโต อโนฺต วิโกปนียภาวํ ทเสฺสติฯ
973.‘‘Ovaṭṭho’’ti iminā anovaṭṭhapākāro kappiyoti byatirekavasena dasseti. ‘‘Mattikāmayo’’ti visesanena iṭṭhakapākārādiṃ byavacchindati. Tassa pana kappiyabhāvaṃ vakkhati ‘‘sace iṭṭhakapākāro’’tiādinā. ‘‘Cātumāsaccaye’’ti iminā tato anto vikopanīyabhāvaṃ dasseti.
๙๗๔. ตตฺถาติ โอวเฎฺฐ มตฺติกปากาเรฯ อฆํสโนฺตวาติ ปาการมตฺติกํ อโกเปโนฺตฯ มตฺตโส ฉุปิตฺวาติ ปมาณโต มุทุกํ กตฺวา หตฺถตลํ ฐเปตฺวาฯ อลฺลหเตฺถนาติ อุทกติเนฺตน หตฺถตเลนฯ หเตฺถกเทโส หโตฺถ นามฯ
974.Tatthāti ovaṭṭhe mattikapākāre. Aghaṃsantovāti pākāramattikaṃ akopento. Mattaso chupitvāti pamāṇato mudukaṃ katvā hatthatalaṃ ṭhapetvā. Allahatthenāti udakatintena hatthatalena. Hatthekadeso hattho nāma.
๙๗๕. เยภุยฺยกถเล ฐาเนติ ปุเพฺพ วุตฺตนเยน ยสฺสา ตีสุ ภาเคสุ เทฺว ภาคา กถลา โหนฺติ, ตาทิเส กปฺปิยปถวิฎฺฐาเนฯ
975.Yebhuyyakathaleṭhāneti pubbe vuttanayena yassā tīsu bhāgesu dve bhāgā kathalā honti, tādise kappiyapathaviṭṭhāne.
๙๗๖. อโพฺภกาเสติ อุปลกฺขณตฺตา อโนฺตเคเหปิ ถมฺภํ จาเลตฺวา ชาตปถวิํ วิโกเปตุํ น วฎฺฎตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ ทฺวีสุปิ ฐาเนสุ สุทฺธจิเตฺตน นิโทฺทสภาวํ ยถาวุเตฺตน ‘‘ถมฺภํ วา ปทรตฺถรํฯ คณฺหิสฺสามี’ติ สญฺญาย, คเหตุํ ปน วฎฺฎตี’’ติ อิมินา นเยนาหฯ ปถวินฺติ อกปฺปิยปถวิํฯ
976.Abbhokāseti upalakkhaṇattā antogehepi thambhaṃ cāletvā jātapathaviṃ vikopetuṃ na vaṭṭatīti daṭṭhabbaṃ. Dvīsupi ṭhānesu suddhacittena niddosabhāvaṃ yathāvuttena ‘‘thambhaṃ vā padarattharaṃ. Gaṇhissāmī’ti saññāya, gahetuṃ pana vaṭṭatī’’ti iminā nayenāha. Pathavinti akappiyapathaviṃ.
๙๗๗. อุชุมุทฺธรโต น โทโสติ โยชนาฯ
977. Ujumuddharato na dosoti yojanā.
๙๗๘. อุจฺจาเลตฺวาติ อุกฺขิปิตฺวา จาเลตฺวา ปริวเตฺตตฺวาฯ ปวฎฺฎตีติ ปวเฎฺฎตฺวา ปวเฎฺฎตฺวา เนตีติ อโตฺถฯ สุทฺธจิตฺตสฺสาติ ‘‘ภูมิ ภิชฺชตี’’ติ อสลฺลเกฺขตฺวา ‘‘ปาสาณํ ปวเฎฺฎตฺวา ปวเฎฺฎตฺวา หริสฺสามี’’ติ สุทฺธจิตฺตวโตฯ
978.Uccāletvāti ukkhipitvā cāletvā parivattetvā. Pavaṭṭatīti pavaṭṭetvā pavaṭṭetvā netīti attho. Suddhacittassāti ‘‘bhūmi bhijjatī’’ti asallakkhetvā ‘‘pāsāṇaṃ pavaṭṭetvā pavaṭṭetvā harissāmī’’ti suddhacittavato.
๙๗๙. ภูมิยํ ทารูนิ ผาเลนฺตานมฺปิ ภูมิยํ สาขาทีนิ กฑฺฒโต จาติ โยชนาฯ
979. Bhūmiyaṃ dārūni phālentānampi bhūmiyaṃ sākhādīni kaḍḍhato cāti yojanā.
๙๘๐. กณฺฎกนฺติ รุกฺขกณฺฎกํ, มจฺฉกณฺฎกญฺจฯ สูจิ นาม อโยมยทนฺตมยตมฺพมยกฎฺฐมยาทิสูจีนํ อญฺญตราฯ อฎฺฐิํ วาติ โคมหิํสาทีนํ อฎฺฐิํ วาฯ หีรํ วาติ นาฬิเกราทิหีรํ วาฯ อาโกเฎตุนฺติ ยถา เอกโกฎิ ภูมิํ ปวิสติ, ตถา ตาเฬตุํฯ ปเวเสตุนฺติ ภูมิํ คมยิตุํฯ
980.Kaṇṭakanti rukkhakaṇṭakaṃ, macchakaṇṭakañca. Sūci nāma ayomayadantamayatambamayakaṭṭhamayādisūcīnaṃ aññatarā. Aṭṭhiṃ vāti gomahiṃsādīnaṃ aṭṭhiṃ vā. Hīraṃ vāti nāḷikerādihīraṃ vā. Ākoṭetunti yathā ekakoṭi bhūmiṃ pavisati, tathā tāḷetuṃ. Pavesetunti bhūmiṃ gamayituṃ.
๙๘๑. ปสฺสาวํ มุตฺตํฯ เมทนินฺติ เอตฺถ อกปฺปิยปถวิมาหฯ ภินฺทิสฺสามีติ เอตฺถ ‘‘เอวํ จิเนฺตตฺวา’’ติ เสโสฯ
981.Passāvaṃ muttaṃ. Medaninti ettha akappiyapathavimāha. Bhindissāmīti ettha ‘‘evaṃ cintetvā’’ti seso.
๙๘๒. กโรนฺตสฺสาติ สุทฺธจิเตฺตน ปสฺสาวํ กโรนฺตสฺสาติโยเชตพฺพํฯ ‘‘สมฺมชฺชโต’’ติ อิทํ ‘‘สมฺมชฺชเนฺตนา’’ติ คเหตพฺพํ , ‘‘สมฺมชฺชนิยา’’ติ เสโส, อนนฺตรํ เมทนีปทํ อุปโยควเสน ‘‘เมทนิ’’นฺติ คเหตพฺพํ, ‘‘วิสม’’นฺติ เสโส, ‘‘สมํ กาตุ’’นฺติ อิมินา โยเชตพฺพํ, สมฺมชฺชเนฺตน อุจฺจฎฺฐานํ มทฺทิตฺวา, อาวาฎฎฺฐานํ ปเวเสตฺวา สมํ กาตุํ สมฺมชฺชนิยา ฆํเสตุํ น วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘วิสมํ ภูมิํ สมํ กริสฺสามีติ สมฺมชฺชนิยา ฆํสิตุมฺปิ น วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๖)ฯ
982.Karontassāti suddhacittena passāvaṃ karontassātiyojetabbaṃ. ‘‘Sammajjato’’ti idaṃ ‘‘sammajjantenā’’ti gahetabbaṃ , ‘‘sammajjaniyā’’ti seso, anantaraṃ medanīpadaṃ upayogavasena ‘‘medani’’nti gahetabbaṃ, ‘‘visama’’nti seso, ‘‘samaṃ kātu’’nti iminā yojetabbaṃ, sammajjantena uccaṭṭhānaṃ madditvā, āvāṭaṭṭhānaṃ pavesetvā samaṃ kātuṃ sammajjaniyā ghaṃsetuṃ na vaṭṭatīti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘visamaṃ bhūmiṃ samaṃ karissāmīti sammajjaniyā ghaṃsitumpi na vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 86).
๙๘๓. ปาทงฺคุเฎฺฐน วาติ เอตฺถ สมุจฺจยเตฺถน วา-สเทฺทน อฎฺฐกถายํ วุตฺตํ ‘‘กตฺตรยฎฺฐิยา ภูมิํ โกเฎฺฎนฺตี’’ติ อิทํ สงฺคณฺหาติฯ ลิขิตุมฺปีติ ราชิํ กาตุมฺปิ ภูมิํ ภินฺทเนฺตนาติ โยชนาฯ ปาเทหีติ ปาทตเลหิฯ
983.Pādaṅguṭṭhena vāti ettha samuccayatthena vā-saddena aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ ‘‘kattarayaṭṭhiyā bhūmiṃ koṭṭentī’’ti idaṃ saṅgaṇhāti. Likhitumpīti rājiṃ kātumpi bhūmiṃ bhindantenāti yojanā. Pādehīti pādatalehi.
๙๘๕. ภูมินฺติ อกปฺปิยภูมิํฯ ทหติ ทหาเปตีติ เอตฺถ ‘‘โย’’ติ จ ‘‘ตสฺสา’’ติ จ สมฺพนฺธวเสน ลพฺภติฯ ปตฺตํ ทหนฺตสฺสาติ ฉวิยา ถิรภาวตฺถํ ธูมํ คาหาเปตฺวา ติณุกฺกาทีหิ ปตฺตํ คณฺหนฺตสฺสฯ
985.Bhūminti akappiyabhūmiṃ. Dahati dahāpetīti ettha ‘‘yo’’ti ca ‘‘tassā’’ti ca sambandhavasena labbhati. Pattaṃ dahantassāti chaviyā thirabhāvatthaṃ dhūmaṃ gāhāpetvā tiṇukkādīhi pattaṃ gaṇhantassa.
๙๘๖. ตตฺตกาเนวาติ ฐานปฺปมาณาเนวฯ อิธาปิ ‘‘โย’’ติ จ ‘‘ตสฺสา’’ติ จ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ
986.Tattakānevāti ṭhānappamāṇāneva. Idhāpi ‘‘yo’’ti ca ‘‘tassā’’ti ca sāmatthiyā labbhati.
๙๘๗. ภูมิยนฺติ อกปฺปิยภูมิยํฯ ปตฺตํ ปจียติ เอตฺถาติ ปตฺตปจนํ, กปาลํ, ตสฺมิํ กปาเลฯ
987.Bhūmiyanti akappiyabhūmiyaṃ. Pattaṃ pacīyati etthāti pattapacanaṃ, kapālaṃ, tasmiṃ kapāle.
๙๘๘. โส อคฺคิ ตานิ ทารูนิ ทหโนฺต คนฺตฺวา เจ เอกํเสน ภูมิํ ทหติ, ตสฺมา ทารูนํ อุปริ อคฺคิํ ฐเปตุํ น วฎฺฎตีติ โยชนาฯ
988.So aggi tāni dārūni dahanto gantvā ce ekaṃsena bhūmiṃ dahati, tasmā dārūnaṃ upari aggiṃ ṭhapetuṃ na vaṭṭatīti yojanā.
๙๘๙. อิฎฺฐกา อาวปียนฺติ ปจฺจนฺติ เอตฺถาติ อิฎฺฐกาวาโป, โส เอว อิฎฺฐกาวาปโก, อิฎฺฐกาปจนฎฺฐานํฯ อาทิ-สเทฺทน กุมฺภการาวาปาทิํ สงฺคณฺหาติฯ
989. Iṭṭhakā āvapīyanti paccanti etthāti iṭṭhakāvāpo, so eva iṭṭhakāvāpako, iṭṭhakāpacanaṭṭhānaṃ. Ādi-saddena kumbhakārāvāpādiṃ saṅgaṇhāti.
๙๙๐. อุปาทียตีติ อุปาทานํ, อินฺธนํ, น อุปาทานํ อนุปาทานํ, อินฺธนโต อญฺญํ, ตโต อนุปาทานโตติ อโตฺถฯ ขาณุเกติ มตขาณุเก จ สุกฺขรุเกฺข จ ภูมิคตํ อทตฺวา ‘‘นิพฺพาเปสฺสามี’’ติ อคฺคิทานํ วฎฺฎติฯ ปจฺฉา อุสฺสาเห กเตปิ น นิพฺพายติ, น โทโสติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สเจ ปน ภูมิํ อปฺปตฺตเมวา’’ติอาทิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๗)ฯ
990. Upādīyatīti upādānaṃ, indhanaṃ, na upādānaṃ anupādānaṃ, indhanato aññaṃ, tato anupādānatoti attho. Khāṇuketi matakhāṇuke ca sukkharukkhe ca bhūmigataṃ adatvā ‘‘nibbāpessāmī’’ti aggidānaṃ vaṭṭati. Pacchā ussāhe katepi na nibbāyati, na dosoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sace pana bhūmiṃ appattamevā’’tiādi (pāci. aṭṭha. 87).
๙๙๑. ติณุกฺกนฺติ ติเณน พทฺธอุกฺกํฯ ติณุกฺกนฺติ อุปลกฺขณํฯ นาฬิเกรปณฺณาทีหิ พทฺธาปิ สงฺคยฺหนฺติฯ
991.Tiṇukkanti tiṇena baddhaukkaṃ. Tiṇukkanti upalakkhaṇaṃ. Nāḷikerapaṇṇādīhi baddhāpi saṅgayhanti.
๙๙๒. ตสฺส อคฺคิสฺส ปติตฎฺฐาเน อินฺธนํ ทตฺวา ปุน ตํ อคฺคิํ กาตุํ วฎฺฎตีติ มหาปจฺจริยํ รุตํ กถิตนฺติ โยชนาฯ
992.Tassa aggissa patitaṭṭhāne indhanaṃ datvā puna taṃ aggiṃ kātuṃ vaṭṭatīti mahāpaccariyaṃ rutaṃ kathitanti yojanā.
๙๙๓. ‘‘ตสฺส อปถวิย’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ วิมติสฺสุภยตฺถาปีติ ปถวิอปถวิทฺวเยปิ เวมติกสฺสฯ ตตฺถ ชาตา ปถวี, อิตรา อปถวีฯ
993. ‘‘Tassa apathaviya’’nti padacchedo. Vimatissubhayatthāpīti pathaviapathavidvayepi vematikassa. Tattha jātā pathavī, itarā apathavī.
๙๙๔. อิมนฺติ อาวาฎํ, มตฺติกํ, ปํสุํ วาฯ
994.Imanti āvāṭaṃ, mattikaṃ, paṃsuṃ vā.
ปถวีขณนกถาวณฺณนาฯ
Pathavīkhaṇanakathāvaṇṇanā.
มุสาวาทวโคฺค ปฐโมฯ
Musāvādavaggo paṭhamo.
๙๙๕. ภวนฺตสฺสาติ ชายนฺตสฺส, วฑฺฒมานสฺส จฯ ภูตสฺสาติ ชาตสฺส, วฑฺฒิตสฺส จาติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ภวนฺติ อหุวุญฺจาติ ภูตา, ชายนฺติ วฑฺฒนฺติ, ชาตา วฑฺฒิตา จา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๐)ฯ เอตฺถ จ ‘‘ภวนฺตี’’ติ อิมินา วิรุฬฺหมูเล นีลภาวํ อาปชฺชิตฺวา วฑฺฒมานเก ตรุณคเจฺฉ ทเสฺสติฯ ‘‘อหุวุ’’นฺติ อิมินา ปน วฑฺฒิตฺวา ฐิเต มหเนฺต รุกฺขคจฺฉาทิเก ทเสฺสติฯ ‘‘ภวนฺตี’’ติ อิมสฺส วิวรณํ ‘‘ชยนฺติ วฑฺฒนฺตี’’ติ, ‘‘อหุวุ’’นฺติ อิมสฺส ‘‘ชาตา วฑฺฒิตา’’ติฯ เอวํ ภูต-สโทฺท ปจฺจุปฺปนฺนาตีตวิสโยติ ทเสฺสติฯ ‘‘ภวนฺตสฺส ภูตสฺสา’’ติ อิมินา ปททฺวเยน ‘‘ภูตคามสฺสา’’ติ ปทสฺส ตุลฺยาธิกรณตาทสฺสเนน คาม-สทฺทสฺส ทิฎฺฐิคตวนนฺตาทิสทฺทานํ ทิฎฺฐิวนาทิสทฺทเตฺถ วิย ภูตสทฺทเตฺถ วุตฺติปกฺขมาหฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๐) ‘‘ภูตา เอว วา คาโม ภูตคาโม, ปติฎฺฐิตหริตติณรุกฺขาทีนเมตํ อธิวจน’’นฺติฯ ภูตานํ เทวตานํ คาโม นิวาโสติ วา ภูตคาโมฯ ภูมิยํ ปติฎฺฐหิตฺวา หิ หริตภาวมาปนฺนา ติณรุกฺขคจฺฉาทโย เทวตาหิ ปริคยฺหนฺตีติฯ ชายนฺตสฺส วฑฺฒนฺตสฺส วา สมฺปตฺตวุทฺธิมริยาทสฺส วา รุกฺขาทิโนติ อโตฺถฯ
995.Bhavantassāti jāyantassa, vaḍḍhamānassa ca. Bhūtassāti jātassa, vaḍḍhitassa cāti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘bhavanti ahuvuñcāti bhūtā, jāyanti vaḍḍhanti, jātā vaḍḍhitā cā’’ti (pāci. aṭṭha. 90). Ettha ca ‘‘bhavantī’’ti iminā viruḷhamūle nīlabhāvaṃ āpajjitvā vaḍḍhamānake taruṇagacche dasseti. ‘‘Ahuvu’’nti iminā pana vaḍḍhitvā ṭhite mahante rukkhagacchādike dasseti. ‘‘Bhavantī’’ti imassa vivaraṇaṃ ‘‘jayanti vaḍḍhantī’’ti, ‘‘ahuvu’’nti imassa ‘‘jātā vaḍḍhitā’’ti. Evaṃ bhūta-saddo paccuppannātītavisayoti dasseti. ‘‘Bhavantassa bhūtassā’’ti iminā padadvayena ‘‘bhūtagāmassā’’ti padassa tulyādhikaraṇatādassanena gāma-saddassa diṭṭhigatavanantādisaddānaṃ diṭṭhivanādisaddatthe viya bhūtasaddatthe vuttipakkhamāha. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 90) ‘‘bhūtā eva vā gāmo bhūtagāmo, patiṭṭhitaharitatiṇarukkhādīnametaṃ adhivacana’’nti. Bhūtānaṃ devatānaṃ gāmo nivāsoti vā bhūtagāmo. Bhūmiyaṃ patiṭṭhahitvā hi haritabhāvamāpannā tiṇarukkhagacchādayo devatāhi parigayhantīti. Jāyantassa vaḍḍhantassa vā sampattavuddhimariyādassa vā rukkhādinoti attho.
ปาตพฺยตานิมิตฺตนฺติ เอตฺถ ปาตพฺยภาโว ปาตพฺยตา, ‘‘เฉทนเภทนาทีหิ ยถารุจิ ปริภุญฺชิตพฺพตาติ อโตฺถ’’ติ อฎฺฐกถาวจนโต ปาตพฺยตา-สทฺทสฺส ปริภุญฺชิตพฺพตาติ อโตฺถ เวทิตโพฺพ, สา นิมิตฺตํ เหตุ ยสฺส ปาจิตฺติยสฺส ตํ ปาตพฺยตานิมิตฺตํฯ รุกฺขาทีนํ เฉทนผาลนาทิวเสน วิโกปนียตาสงฺขาตปาตพฺยตานิมิตฺตํ ปริภุญฺชิตพฺพตาเหตุ ปาจิตฺติยํ อุทีริตํ วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ
Pātabyatānimittanti ettha pātabyabhāvo pātabyatā, ‘‘chedanabhedanādīhi yathāruci paribhuñjitabbatāti attho’’ti aṭṭhakathāvacanato pātabyatā-saddassa paribhuñjitabbatāti attho veditabbo, sā nimittaṃ hetu yassa pācittiyassa taṃ pātabyatānimittaṃ. Rukkhādīnaṃ chedanaphālanādivasena vikopanīyatāsaṅkhātapātabyatānimittaṃ paribhuñjitabbatāhetu pācittiyaṃ udīritaṃ vuttanti attho.
๙๙๖-๗. โสติ ภูตคาโมฯ ติลพีชาทิโกติ ติลพีชเมตฺถ สุขุมปณฺณเสวาลาทิโกฯ อาทิ-สเทฺทน จ ตาทิสา อิตรา เสวาลชาติ คหิตาฯ ‘‘อุปริ ขุทฺทานุขุทฺทกปณฺณงฺกุโร, เหฎฺฐา ขุทฺทานุขุทฺทกมูลงฺกุโร เสวาโล ติลพีชํ นามา’’ติ คณฺฐิปเท วุตฺตนฺติฯ วิโกเปนฺตสฺส ตํ สพฺพนฺติ ภูมิยํ ปติฎฺฐาย อุทเก ชายมานกเสวาลาทิํ ภูมิยา อุปฺปาฎนเจฺฉทนวเสน ชเล เอว ปติฎฺฐิตํ สุขุมปณฺณนีลิกาทิํ อุทกโต อุทฺธรณเจฺฉทนวเสน ตํ สพฺพํ เสวาลํ วิโกเปนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ
996-7.Soti bhūtagāmo. Tilabījādikoti tilabījamettha sukhumapaṇṇasevālādiko. Ādi-saddena ca tādisā itarā sevālajāti gahitā. ‘‘Upari khuddānukhuddakapaṇṇaṅkuro, heṭṭhā khuddānukhuddakamūlaṅkuro sevālo tilabījaṃ nāmā’’ti gaṇṭhipade vuttanti. Vikopentassa taṃ sabbanti bhūmiyaṃ patiṭṭhāya udake jāyamānakasevālādiṃ bhūmiyā uppāṭanacchedanavasena jale eva patiṭṭhitaṃ sukhumapaṇṇanīlikādiṃ udakato uddharaṇacchedanavasena taṃ sabbaṃ sevālaṃ vikopentassāti attho.
๙๙๘. หเตฺถน วิยูหิตฺวาติ ชลโต อโมเจตฺวา หเตฺถน ทูรโต อปเนตฺวาฯ ‘‘โหตี’’ติอาทิ ตสฺส เหตุสนฺทสฺสนตฺถํฯ สกลํ อนวเสสํ สพฺพํ ชลํ ตสฺส ยสฺมา ฐานํ โหติ, ตสฺมาติ อโตฺถฯ
998.Hatthenaviyūhitvāti jalato amocetvā hatthena dūrato apanetvā. ‘‘Hotī’’tiādi tassa hetusandassanatthaṃ. Sakalaṃ anavasesaṃ sabbaṃ jalaṃ tassa yasmā ṭhānaṃ hoti, tasmāti attho.
๙๙๙. เจจฺจาติ ชานโนฺตฯ ตํ เสวาลชาติกํ ชลา อุทฺธริตุํ อุทเกน วินา ภิกฺขุสฺส น วฎฺฎตีติ โยชนาฯ ฐานสงฺกมนญฺหิ ตนฺติ เหตุทสฺสนํฯ ตํ ตถากรณํ ยสฺมา ฐานสงฺกมนํ ฐานโต จาวนํ, ตสฺมา ตํ น วฎฺฎตีติ โยชนาฯ
999.Ceccāti jānanto. Taṃ sevālajātikaṃ jalā uddharituṃ udakena vinā bhikkhussa na vaṭṭatīti yojanā. Ṭhānasaṅkamanañhi tanti hetudassanaṃ. Taṃ tathākaraṇaṃ yasmā ṭhānasaṅkamanaṃ ṭhānato cāvanaṃ, tasmā taṃ na vaṭṭatīti yojanā.
๑๐๐๐. ยถาวุตฺตสฺส พฺยติเรกํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อุทเกนา’’ติอาทิฯ ตตฺถ อุทเกนาติ สหเตฺถ กรณวจนํฯ ตํ เสวาลชาติกํฯ วาริสูติ เอตฺถ วาสํ วารยนฺตีติ วารี, เตสุฯ
1000. Yathāvuttassa byatirekaṃ dassetumāha ‘‘udakenā’’tiādi. Tattha udakenāti sahatthe karaṇavacanaṃ. Taṃ sevālajātikaṃ. Vārisūti ettha vāsaṃ vārayantīti vārī, tesu.
๑๐๐๑. ชเล วลฺลิติณาทีนีติ ชลมตฺถเก วลฺลิญฺจ ชายมานกรวลฺลิติณาทีนิ จฯ อุทฺธรนฺตสฺสาติ ภูมิยํ ปติฎฺฐิตํ ภูมิโต, อุทเก ปติฎฺฐิตํ อุทกโต จ อุทฺธรนฺตสฺสฯ ตตฺถ อนฺตปกฺขํ ทเสฺสตุมาห ‘‘โตยโต’’ติฯ วิโกเปนฺตสฺสาติ ขณฺฑนาทิวเสน โกเปนฺตสฺสฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ อุทเก, เอว-กาโร ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐ ‘‘ตเตฺถวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๒) อฎฺฐกถาวจนโตฯ
1001.Jale vallitiṇādīnīti jalamatthake valliñca jāyamānakaravallitiṇādīni ca. Uddharantassāti bhūmiyaṃ patiṭṭhitaṃ bhūmito, udake patiṭṭhitaṃ udakato ca uddharantassa. Tattha antapakkhaṃ dassetumāha ‘‘toyato’’ti. Vikopentassāti khaṇḍanādivasena kopentassa. Tatthāti tasmiṃ udake, eva-kāro luttaniddiṭṭho ‘‘tatthevā’’ti (pāci. aṭṭha. 92) aṭṭhakathāvacanato.
๑๐๐๒. เอตฺถาติ อุทเก เอวฯ วิโกเปนฺตสฺสาติ กปฺปิยํ อการาเปตฺวา เฉทนาทิํ กโรนฺตสฺสฯ ตานีติ ตถา ปเรหิ อุปฺปาฎิตตฺตา ภูตคามภาวโต มุตฺตานิ วลฺลิติณาทีนิฯ พีชคาเมนาติ มูลพีชคามาทิวเสนฯ
1002.Etthāti udake eva. Vikopentassāti kappiyaṃ akārāpetvā chedanādiṃ karontassa. Tānīti tathā parehi uppāṭitattā bhūtagāmabhāvato muttāni vallitiṇādīni. Bījagāmenāti mūlabījagāmādivasena.
๑๐๐๓. เอวํ อุทกเฎฺฐ สเงฺขปโต วินิจฺฉยํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อิตรตฺราปิ วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ถลเฎฺฐ’’ติอาทิฯ หริตขาณุโกติ เอตฺถ ‘‘โย’’ติ เสโสฯ ‘‘ตสฺสา’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธ, กกุธกรญฺชาทีนํ ฉินฺนาวสิฎฺฐขาณุโกติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ภูตคาเมน สงฺคโห’’ติ อิมินา ตํวิโกปเน ปาจิตฺติยภาวํ ทีเปติฯ เอวมุปริปิฯ
1003. Evaṃ udakaṭṭhe saṅkhepato vinicchayaṃ dassetvā idāni itaratrāpi vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘thalaṭṭhe’’tiādi. Haritakhāṇukoti ettha ‘‘yo’’ti seso. ‘‘Tassā’’ti iminā sambandho, kakudhakarañjādīnaṃ chinnāvasiṭṭhakhāṇukoti vuttaṃ hoti. ‘‘Bhūtagāmena saṅgaho’’ti iminā taṃvikopane pācittiyabhāvaṃ dīpeti. Evamuparipi.
๑๐๐๔. นาฬิเกราทิกานํ ขาณูติ เอตฺถาปิ ‘‘อุปริหริโต’’ติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ ‘‘พีชคาเมน สงฺคโห’’ติ อิมินา ทุกฺกฎวตฺถุตมาหฯ เอวมุปริปิฯ กิญฺจาปิ หิ ตาลนาฬิเกราทีนํ ขาณุ อุทฺธํ อวฑฺฒนโก ภูตคามสฺส การณํ น โหติ, ตถาปิ ภูตคามสงฺขาตนิพฺพตฺตปณฺณมูลพีชโต สมฺภูตตฺตา ภูตคามโต อุปฺปโนฺน นาม โหตีติ พีชคาเมน สงฺคหํ คจฺฉติฯ
1004.Nāḷikerādikānaṃkhāṇūti etthāpi ‘‘upariharito’’ti sāmatthiyā labbhati. ‘‘Bījagāmena saṅgaho’’ti iminā dukkaṭavatthutamāha. Evamuparipi. Kiñcāpi hi tālanāḷikerādīnaṃ khāṇu uddhaṃ avaḍḍhanako bhūtagāmassa kāraṇaṃ na hoti, tathāpi bhūtagāmasaṅkhātanibbattapaṇṇamūlabījato sambhūtattā bhūtagāmato uppanno nāma hotīti bījagāmena saṅgahaṃ gacchati.
๑๐๐๕. ตถาปกาสิโตติ ‘‘พีชคาโม’’ติ วุโตฺตฯ
1005.Tathāpakāsitoti ‘‘bījagāmo’’ti vutto.
๑๐๐๖. ผลิตา กทลี ยาว นีลปณฺณา, ตาว สา จ ภูตคาโมติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘กทลี ปน ผลิตา ยาว นีลปณฺณา, ตาว ภูตคาเมเนว สงฺคหิตา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๒)ฯ นฬนฺติ ขุทฺทกเวฬุฯ เวฬูติ มหาเวฬุฯ ติณาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน สสฺสาทโย คหิตาฯ
1006. Phalitā kadalī yāva nīlapaṇṇā, tāva sā ca bhūtagāmoti pakāsitāti yojanā. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘kadalī pana phalitā yāva nīlapaṇṇā, tāva bhūtagāmeneva saṅgahitā’’ti (pāci. aṭṭha. 92). Naḷanti khuddakaveḷu. Veḷūti mahāveḷu. Tiṇādīnanti ādi-saddena sassādayo gahitā.
๑๐๐๗. โย อยํ ปน เวฬุ อคฺคโต ปฎฺฐาย ยทา สุสฺสติ, ตทา โส พีชคาเมน สงฺคหิโต นาม โหตีติ โยชนาฯ พีชคาเมนาติ ผฬุพีชคาเมนฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘กตรพีชคาเมน? ผฬุพีชคาเมนา’’ติฯ
1007. Yo ayaṃ pana veḷu aggato paṭṭhāya yadā sussati, tadā so bījagāmena saṅgahito nāma hotīti yojanā. Bījagāmenāti phaḷubījagāmena. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘katarabījagāmena? Phaḷubījagāmenā’’ti.
๑๐๐๘. อินฺทสาโล สลฺลกีฯ อาทิ-สเทฺทน โสภญฺชนาทีนํ สงฺคโหฯ ตุ-สเทฺทน อฎฺฐกถายํ ‘‘กิญฺจาปิ ราสิกตทณฺฑเกหิ รตนปฺปมาณาปิ สาขา นิกฺขมนฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๒) วุตฺตวิเสสํ โชเตติฯ ฉินฺทิตฺวา ฐปิตทณฺฑเกสุ รตนมตฺตาสุปิ สาขาสุ อุฎฺฐิตาสุ ภูตคามํ อหุตฺวา พีชคามเมว โหติ อวิรุฬฺหมูลกตฺตาติ อยํ วินิจฺฉโย วินยญฺญุนา ญาโต กุกฺกุจฺจกานมุปการาย โหตีติ อาห ‘‘วิเญฺญโยฺย วินยญฺญุนา’’ติฯ อิมเมวตฺถํ ‘‘มูลมเตฺตปิ วา’’ติอาทินา วกฺขติฯ
1008.Indasālo sallakī. Ādi-saddena sobhañjanādīnaṃ saṅgaho. Tu-saddena aṭṭhakathāyaṃ ‘‘kiñcāpi rāsikatadaṇḍakehi ratanappamāṇāpi sākhā nikkhamantī’’ti (pāci. aṭṭha. 92) vuttavisesaṃ joteti. Chinditvā ṭhapitadaṇḍakesu ratanamattāsupi sākhāsu uṭṭhitāsu bhūtagāmaṃ ahutvā bījagāmameva hoti aviruḷhamūlakattāti ayaṃ vinicchayo vinayaññunā ñāto kukkuccakānamupakārāya hotīti āha ‘‘viññeyyo vinayaññunā’’ti. Imamevatthaṃ ‘‘mūlamattepi vā’’tiādinā vakkhati.
๑๐๐๙. มณฺฑปาทีนมตฺถายาติ มณฺฑปวติปาการาทีนมตฺถายฯ สเจ เต นิกฺขณนฺตีติ ยทิ เต อินฺทสาลาทิทณฺฑเก ภูมิยํ นิขณนฺติฯ นิคฺคเต มูลปณฺณสฺมินฺติ ตถา นิขาตทณฺฑโต มูเล จ ปเณฺณ จ ชาเตฯ ภูตคาเมน สงฺคโหติ เอตฺถ ‘‘เตส’’นฺติ สามตฺถิยา ลพฺภติ, ‘‘วิเญฺญโยฺย’’ติ อธิกาโรฯ
1009.Maṇḍapādīnamatthāyāti maṇḍapavatipākārādīnamatthāya. Sace te nikkhaṇantīti yadi te indasālādidaṇḍake bhūmiyaṃ nikhaṇanti. Niggate mūlapaṇṇasminti tathā nikhātadaṇḍato mūle ca paṇṇe ca jāte. Bhūtagāmena saṅgahoti ettha ‘‘tesa’’nti sāmatthiyā labbhati, ‘‘viññeyyo’’ti adhikāro.
๑๐๑๐. นิคฺคเตปีติ ตติเยน ปิ-สเทฺทน อติขุทฺทกตํ สูเจติฯ
1010.Niggatepīti tatiyena pi-saddena atikhuddakataṃ sūceti.
๑๐๑๑. สกนฺทา ตาลฎฺฐีติ สกนฺทตาลพีชํฯ ปตฺตวฎฺฎีติ สูจิสณฺฐานา องฺกุรปตฺตวฎฺฎิฯ น จ พีชคาโมติ วุจฺจตีติ โยชนาฯ ‘‘ภูตคาโม’’ติ อิทํ ยถาวุตฺตสฺส พฺยติเรกวเสน ทเสฺสติฯ
1011.Sakandā tālaṭṭhīti sakandatālabījaṃ. Pattavaṭṭīti sūcisaṇṭhānā aṅkurapattavaṭṭi. Na ca bījagāmoti vuccatīti yojanā. ‘‘Bhūtagāmo’’ti idaṃ yathāvuttassa byatirekavasena dasseti.
๑๐๑๒. นาฬิเกรตจนฺติ นาฬิเกรผลฉลฺลิํฯ ทนฺตสูจีวาติ ทนฺตมยสูจิ อิวฯ โสปีติ นาฬิเกโรปิฯ รุกฺขตจสทฺทานํ ผเลสุ วตฺตมานกาเลสุปิ ตํลิงฺคตา น วิรุชฺฌตีติ ‘‘โส’’ติ อาหาติ วิญฺญายติฯ
1012.Nāḷikeratacanti nāḷikeraphalachalliṃ. Dantasūcīvāti dantamayasūci iva. Sopīti nāḷikeropi. Rukkhatacasaddānaṃ phalesu vattamānakālesupi taṃliṅgatā na virujjhatīti ‘‘so’’ti āhāti viññāyati.
๑๐๑๓. มิคสิงฺคสมานายาติ หริตวิสาณสทิสายฯ ปตฺตวฎฺฎิยาติ องฺกุรปตฺตวฎฺฎิยาฯ สติยาติ วิชฺชมานายฯ ภูตคาโมติ วุจฺจตีติ อมูลกภูตคาโมติ วุจฺจติฯ อิทํ นาฬิเกรสฺส อาเวณิกํ กตฺวา วุตฺตํฯ
1013.Migasiṅgasamānāyāti haritavisāṇasadisāya. Pattavaṭṭiyāti aṅkurapattavaṭṭiyā. Satiyāti vijjamānāya. Bhūtagāmoti vuccatīti amūlakabhūtagāmoti vuccati. Idaṃ nāḷikerassa āveṇikaṃ katvā vuttaṃ.
จตุภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Catubhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๐๑๕-๖. อมฺพฎฺฐีติ อมฺพพีชํฯ ชมฺพุฎฺฐีติ ชมฺพุพีชํฯ อาทิ-สเทฺทน มธุกปนสาทิพีชานํ คหณํฯ วนฺทากาติ รุกฺขาทนีฯ อญฺญํ วาติ ภณฺฑกทลิมโนรหํ วาฯ อสฺสาติ วนฺทากาทิโนฯ อมูลวลฺลีติ เอวํนามิกา วลฺลิฯ
1015-6.Ambaṭṭhīti ambabījaṃ. Jambuṭṭhīti jambubījaṃ. Ādi-saddena madhukapanasādibījānaṃ gahaṇaṃ. Vandākāti rukkhādanī. Aññaṃ vāti bhaṇḍakadalimanorahaṃ vā. Assāti vandākādino. Amūlavallīti evaṃnāmikā valli.
๑๐๑๗. โส เสวาโลติ โยชนาฯ
1017. So sevāloti yojanā.
๑๐๑๘. ฆํสิตฺวาติ เยน เกนจิ ฆํสิตฺวาฯ ตํ เสวาลํฯ ตสฺมาติ ตสฺมา ปาการาฯ
1018.Ghaṃsitvāti yena kenaci ghaṃsitvā. Taṃ sevālaṃ. Tasmāti tasmā pākārā.
๑๐๑๙. เสวาเล อปนีเตฯ อโนฺตติ ปานียฆฎาทีนํ อโนฺตกุจฺฉิมฺหิฯ กณฺณกํ อโพฺพหารนฺติ โยชนาฯ ปานียฆฎาทีนํ พหิ เสวาโล อุทเก อฎฺฐิตตฺตา, พีชคามานุโลมตฺตา จ ทุกฺกฎวตฺถูติ วทนฺติฯ กณฺณกํ นีลวณฺณมฺปิ อโพฺพหาริกเมวฯ
1019.Sevāle apanīte. Antoti pānīyaghaṭādīnaṃ antokucchimhi. Kaṇṇakaṃ abbohāranti yojanā. Pānīyaghaṭādīnaṃ bahi sevālo udake aṭṭhitattā, bījagāmānulomattā ca dukkaṭavatthūti vadanti. Kaṇṇakaṃ nīlavaṇṇampi abbohārikameva.
๑๐๒๐. ปาสาณททฺทูติ มนุสฺสสรีเร โรคากาเรน ปาสาเณ ชายมานเสฺสตํ อธิวจนํฯ เสวาลนฺติ ปาสาณเสวาลํฯ เสเลยฺยกา นาม สิลาย สมฺภูตา เอกา สุคนฺธชาติฯ อปตฺตานีติ ปณฺณรหิตานิฯ
1020.Pāsāṇadaddūti manussasarīre rogākārena pāsāṇe jāyamānassetaṃ adhivacanaṃ. Sevālanti pāsāṇasevālaṃ. Seleyyakā nāma silāya sambhūtā ekā sugandhajāti. Apattānīti paṇṇarahitāni.
๑๐๒๑. ปุปฺผิตนฺติ วิกสิตํฯ ตํ อหิจฺฉตฺตํฯ มกุลนฺติ อวิกสิตํฯ
1021.Pupphitanti vikasitaṃ. Taṃ ahicchattaṃ. Makulanti avikasitaṃ.
๑๐๒๒. อลฺลสฺมิํ รุเกฺข ตจํ วิโกเปตฺวา ยถา คเหตุํ น วฎฺฎติ, ตถา ปปฺปฎิกมฺปิ นิยฺยาสมฺปิ วิโกเปตฺวา คเหตุํ น วฎฺฎตีติ โยชนา, ปาจิตฺติยเมวาติ อธิปฺปาโยฯ ปปฺปฎิกมฺปีติ อลฺลตจมตฺถเก สุกฺขตจปฎลมฺปิฯ ‘‘อลฺลสฺมิ’’นฺติ อิมินา พฺยติเรเกน มตรุเกฺข โทสาภาวํ ทีเปติฯ ‘‘ตจํ วิโกเปตฺวา’’ติ วจนโต รุกฺขตจมฺปิ ปปฺปฎิกมฺปิ สาลกปิตฺถาทินิยฺยาสมฺปิ รุเกฺข อลฺลตจํ อวิโกเปตฺวา มตฺถกโต ฉินฺทิตฺวา คเหตุํ วฎฺฎติฯ
1022. Allasmiṃ rukkhe tacaṃ vikopetvā yathā gahetuṃ na vaṭṭati, tathā pappaṭikampi niyyāsampi vikopetvā gahetuṃ na vaṭṭatīti yojanā, pācittiyamevāti adhippāyo. Pappaṭikampīti allatacamatthake sukkhatacapaṭalampi. ‘‘Allasmi’’nti iminā byatirekena matarukkhe dosābhāvaṃ dīpeti. ‘‘Tacaṃ vikopetvā’’ti vacanato rukkhatacampi pappaṭikampi sālakapitthādiniyyāsampi rukkhe allatacaṃ avikopetvā matthakato chinditvā gahetuṃ vaṭṭati.
๑๐๒๓. อกฺขรจฺฉินฺทนารเหสุ นุหิกทลิอาทีสุ รุเกฺขสุ, ตตฺถชาเตสุ ตาลปณฺณาทิเกสุ วา อกฺขรํ ลิขโต ปาจิตฺติยมุทีรเยติ โยชนาฯ ‘‘ตตฺถชาเตสู’’ติ อิมินา รุกฺขโต อปนีตปเณฺณสุ ลิขิตุํ วฎฺฎตีติ พฺยติเรกโต ทีเปติฯ
1023. Akkharacchindanārahesu nuhikadaliādīsu rukkhesu, tatthajātesu tālapaṇṇādikesu vā akkharaṃ likhato pācittiyamudīrayeti yojanā. ‘‘Tatthajātesū’’ti iminā rukkhato apanītapaṇṇesu likhituṃ vaṭṭatīti byatirekato dīpeti.
๑๐๒๔. ‘‘ปกฺกเมว วา’’ติ วิสุํ วจนโต ‘‘ผลํ วา’’ติ อิมินา อปกฺกํ ผลํ คหิตํฯ
1024.‘‘Pakkameva vā’’ti visuṃ vacanato ‘‘phalaṃ vā’’ti iminā apakkaṃ phalaṃ gahitaṃ.
๑๐๒๕. ผลินิํสาขนฺติ ขาทนารหผลวติํ ชมฺพุสาขาทิกํ สาขํฯ คณฺหโต อนุปสมฺปนฺนสฺสาติ คเหตพฺพํฯ สยํ ขาทิตุกาโม เจติ ตถา โอนมิตฺวา สาขโต โอจินิตฺวา ทินฺนผลํ สเจ สยํ ขาทิตุกาโม โหติฯ เอวํ ทาตุนฺติ ยถาวุตฺตปฺปการํ นาเมตฺวา ทาตุํฯ
1025.Phaliniṃsākhanti khādanārahaphalavatiṃ jambusākhādikaṃ sākhaṃ. Gaṇhato anupasampannassāti gahetabbaṃ. Sayaṃ khāditukāmo ceti tathā onamitvā sākhato ocinitvā dinnaphalaṃ sace sayaṃ khāditukāmo hoti. Evaṃ dātunti yathāvuttappakāraṃ nāmetvā dātuṃ.
๑๐๒๖. ปรํ กญฺจิ อุกฺขิปิตฺวาติ อญฺญํ กญฺจิ อนุปสมฺปนฺนํ อุกฺขิปิตฺวาฯ ปุปฺผานิ โอจินเนฺตสูติ กุสุมานิ ลุนเนฺตสุฯ อยเมว วินิจฺฉโยติ สามญฺญนิเทฺทเสปิ เอตฺถ อตฺตโน นาเมตฺวา ทินฺนสาขาย ปุปฺผานิ ปานียวาสตฺถาย น คเหตพฺพานิฯ อนุปสมฺปนฺนํ อุกฺขิปิตฺวา ปุปฺผานิ โอจินาเปตฺวา คหิตปุปฺผานิ คเหตพฺพานีติ อยเมตฺถ วิเสโสฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เตหิ ปน ปุเปฺผหิ ปานียํ น วาเสตพฺพํฯ ปานียวาสตฺถิเกน สามเณรํ อุกฺขิปิตฺวา โอจินาเปตพฺพานี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๒)ฯ
1026.Paraṃ kañci ukkhipitvāti aññaṃ kañci anupasampannaṃ ukkhipitvā. Pupphāni ocinantesūti kusumāni lunantesu. Ayameva vinicchayoti sāmaññaniddesepi ettha attano nāmetvā dinnasākhāya pupphāni pānīyavāsatthāya na gahetabbāni. Anupasampannaṃ ukkhipitvā pupphāni ocināpetvā gahitapupphāni gahetabbānīti ayamettha viseso. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tehi pana pupphehi pānīyaṃ na vāsetabbaṃ. Pānīyavāsatthikena sāmaṇeraṃ ukkhipitvā ocināpetabbānī’’ti (pāci. aṭṭha. 92).
๑๐๒๗. ‘‘สาขา’’ติ ภินฺทิตฺวา วา ฉินฺทิตฺวา วา โมจิตา วุจฺจติฯ สาขีนนฺติ รุกฺขานํฯ ตนฺติ ยถาวุตฺตรุกฺขโต โมจิตสาขํฯ เยสํ รุกฺขานํ สาขา รุหติ, เตสํ สาขีนํ ตํ สาขํ กปฺปิยํ อการาเปตฺวา วิโกเปนฺตสฺส ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ ‘‘เยสํ รุกฺขานํ สาขา รุหตี’’ติ วุตฺตตฺตา เยสํ สาขา น รุหติ, เตสํ ตสฺสา กปฺปิยกรณกิจฺจํ นตฺถีติ วทนฺติฯ
1027.‘‘Sākhā’’ti bhinditvā vā chinditvā vā mocitā vuccati. Sākhīnanti rukkhānaṃ. Tanti yathāvuttarukkhato mocitasākhaṃ. Yesaṃ rukkhānaṃ sākhā ruhati, tesaṃ sākhīnaṃ taṃ sākhaṃ kappiyaṃ akārāpetvā vikopentassa dukkaṭanti yojanā. ‘‘Yesaṃ rukkhānaṃ sākhā ruhatī’’ti vuttattā yesaṃ sākhā na ruhati, tesaṃ tassā kappiyakaraṇakiccaṃ natthīti vadanti.
๑๐๒๘. อลฺลสิงฺคิเวราทิเกสุปีติ อาทิ-สเทฺทน วจลสุณาทีนํ คหณํฯ
1028.Allasiṅgiverādikesupīti ādi-saddena vacalasuṇādīnaṃ gahaṇaṃ.
๑๐๒๙. อนิยามโต วฎฺฎเตวาติ โยชนาฯ นิยามสรูปํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิมํ รุกฺข’’นฺติอาทิวกฺขมานตฺตา อนิยามโตติ สามญฺญนิเทฺทเส ‘‘อิม’’นฺติ นิยามวจนาภาวโตติ คเหตพฺพํฯ
1029. Aniyāmato vaṭṭatevāti yojanā. Niyāmasarūpaṃ dassetuṃ ‘‘imaṃ rukkha’’ntiādivakkhamānattā aniyāmatoti sāmaññaniddese ‘‘ima’’nti niyāmavacanābhāvatoti gahetabbaṃ.
๑๐๓๒. อุจฺฉุขณฺฑานนฺติ ปูรณโยเค สามิวจนํ, อุจฺฉุขเณฺฑหีติ วุตฺตํ โหติฯ สพฺพเมวาติ ปจฺฉิยํ ฐิตํ สพฺพํ ขณฺฑํฯ กตํ โหตีติ กตํ กปฺปิยํ โหติฯ เอกสฺมิํ กปฺปิเย กเตติ ปจฺฉิยํ สพฺพขเณฺฑสุ ผุสิตฺวา ฐิเตสุ เอกสฺมิํ ขเณฺฑ กปฺปิเย กเตฯ ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว ปญฺจหิ สมณกเปฺปหิ ผลํ ปริภุญฺชิตุํ อคฺคิปริชิตํ สตฺถปริชิตํ นขปริชิตํ อพีชํ นิพฺพฎฺฎพีชํเยว ปญฺจม’’นฺติ (จูฬว. ๒๕๐) อิติ วุเตฺตสุ อคฺคิสตฺถนเขสุ อญฺญตเรน ตตฺต อโยขเณฺฑน วา ชลิตคฺคินา วา สูจิมุเขน วา นขเจฺฉทเนน วา สตฺถกธาราย วา มนุสฺสสีหาทีนํ อุปฺปาฎิตานุปฺปาฎิตอปูตินเขน วา วิชฺฌิตฺวา วา ฉินฺทิตฺวา วา กปฺปิยํ กาตพฺพํฯ กโรเนฺตน จ อนุปสมฺปเนฺนน ภิกฺขุนา ‘‘กปฺปิยํ กโรหี’’ติ วุเตฺตเยว ‘‘กปฺปิย’’นฺติ ปฐมํ วตฺวา ปจฺฉา อคฺคิปริชิตาทิ กากพฺพนฺติ คเหตพฺพํฯ วกฺขติ จ ‘‘กปฺปิยนฺติ…เป.… วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘กปฺปิย’’นฺติ วจนํ ปน ยาย กายจิ วาจาย วตฺตุํ วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ ปฐมํ อคฺคิํ นิกฺขิปิตฺวา นขาทีหิ วา วิชฺฌิตฺวา วา ฉินฺทิตฺวา วา กปฺปิยํ กาตพฺพํฯ กโรเนฺตน จ ตํ อนุทฺธริตฺวาว ‘‘กปฺปิย’’นฺติ วตฺวา ปจฺฉา อุทฺธริตุํ วฎฺฎตีติ วทนฺติ, ‘‘กปฺปิย’’นฺติ วตฺตุกาโม ‘‘กปฺป’’นฺติ เจ วทติ, วฎฺฎตีติ เกจิฯ
1032.Ucchukhaṇḍānanti pūraṇayoge sāmivacanaṃ, ucchukhaṇḍehīti vuttaṃ hoti. Sabbamevāti pacchiyaṃ ṭhitaṃ sabbaṃ khaṇḍaṃ. Kataṃ hotīti kataṃ kappiyaṃ hoti. Ekasmiṃ kappiye kateti pacchiyaṃ sabbakhaṇḍesu phusitvā ṭhitesu ekasmiṃ khaṇḍe kappiye kate. ‘‘Anujānāmi bhikkhave pañcahi samaṇakappehi phalaṃ paribhuñjituṃ aggiparijitaṃ satthaparijitaṃ nakhaparijitaṃ abījaṃ nibbaṭṭabījaṃyeva pañcama’’nti (cūḷava. 250) iti vuttesu aggisatthanakhesu aññatarena tatta ayokhaṇḍena vā jalitagginā vā sūcimukhena vā nakhacchedanena vā satthakadhārāya vā manussasīhādīnaṃ uppāṭitānuppāṭitaapūtinakhena vā vijjhitvā vā chinditvā vā kappiyaṃ kātabbaṃ. Karontena ca anupasampannena bhikkhunā ‘‘kappiyaṃ karohī’’ti vutteyeva ‘‘kappiya’’nti paṭhamaṃ vatvā pacchā aggiparijitādi kākabbanti gahetabbaṃ. Vakkhati ca ‘‘kappiyanti…pe… vaṭṭatī’’ti. ‘‘Kappiya’’nti vacanaṃ pana yāya kāyaci vācāya vattuṃ vaṭṭatīti vadanti. Paṭhamaṃ aggiṃ nikkhipitvā nakhādīhi vā vijjhitvā vā chinditvā vā kappiyaṃ kātabbaṃ. Karontena ca taṃ anuddharitvāva ‘‘kappiya’’nti vatvā pacchā uddharituṃ vaṭṭatīti vadanti, ‘‘kappiya’’nti vattukāmo ‘‘kappa’’nti ce vadati, vaṭṭatīti keci.
๑๐๓๓. ทารุนฺติ อุจฺฉูหิ สทฺธิํ เอกโตพทฺธทารุํฯ ทารุํ วิชฺฌตีติ เอตฺถ ชานิตฺวาปิ วิชฺฌติ วา วิชฺฌาเปติ วา, วฎฺฎติเยวฯ ‘‘เอกสิเตฺถปี’’ติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ
1033.Dārunti ucchūhi saddhiṃ ekatobaddhadāruṃ. Dāruṃ vijjhatīti ettha jānitvāpi vijjhati vā vijjhāpeti vā, vaṭṭatiyeva. ‘‘Ekasitthepī’’ti etthāpi eseva nayo.
๑๐๓๔. ตานิ อุจฺฉุทารูนิฯ ตนฺติ วลฺลิํ, รชฺชุํ วาฯ
1034.Tāni ucchudārūni. Tanti valliṃ, rajjuṃ vā.
๑๐๓๕. มริจปเกฺกหีติ ปริณเตหิ มริจปเกฺกหิฯ อปริณตานํ ปน อพีชตฺตา กปฺปิเย อกเตปิ วฎฺฎติฯ อิทญฺจ เสตลสุณตจลสุณาทีหิ มิสฺสภตฺตสฺส อุปลกฺขณํฯ เอตฺถ จ ภตฺตสิตฺถสมฺพนฺธวเสน เอกาพทฺธตา เวทิตพฺพา, น ผลาทีนเมว อญฺญมญฺญสมฺพนฺธวเสนฯ
1035.Maricapakkehīti pariṇatehi maricapakkehi. Apariṇatānaṃ pana abījattā kappiye akatepi vaṭṭati. Idañca setalasuṇatacalasuṇādīhi missabhattassa upalakkhaṇaṃ. Ettha ca bhattasitthasambandhavasena ekābaddhatā veditabbā, na phalādīnameva aññamaññasambandhavasena.
๑๐๓๖. ติลตณฺฑุลกาทิสูติ กปฺปิยํ กาตพฺพติเลหิ มิสฺสตณฺฑุลาทีสุฯ อาทิ-สเทฺทน กปฺปิยํ กาตพฺพวตฺถูหิ มิสฺสิตานิ อิตรวตฺถูนิ คหิตานิฯ เอกาพเทฺธ กปิเตฺถปีติ กฎาเหน พทฺธพีเช ปริณตกปิตฺถผเลปิฯ กฎาเหติ พทฺธมิเญฺช กปาเลฯ
1036.Tilataṇḍulakādisūti kappiyaṃ kātabbatilehi missataṇḍulādīsu. Ādi-saddena kappiyaṃ kātabbavatthūhi missitāni itaravatthūni gahitāni. Ekābaddhe kapitthepīti kaṭāhena baddhabīje pariṇatakapitthaphalepi. Kaṭāheti baddhamiñje kapāle.
๑๐๓๗. กฎาหํ มุญฺจิตฺวาติ สุกฺขตฺตา สมนฺตโต กฎาหํ มุญฺจิตฺวาฯ มิญฺชกนฺติ ปริณตกปิตฺถผลมิญฺชํฯ ตํ กปิตฺถํ ภินฺทาเปตฺวาติ กปิตฺถกฎาหํ ภินฺทาเปตฺวา, อิทํ พีชโต มุตฺตสฺส กฎาหสฺส ภาชนคติกตฺตา วุตฺตํฯ
1037.Kaṭāhaṃ muñcitvāti sukkhattā samantato kaṭāhaṃ muñcitvā. Miñjakanti pariṇatakapitthaphalamiñjaṃ. Taṃ kapitthaṃ bhindāpetvāti kapitthakaṭāhaṃ bhindāpetvā, idaṃ bījato muttassa kaṭāhassa bhājanagatikattā vuttaṃ.
๑๐๓๘. ‘‘อภูตคามอพีเชสู’’ติ ปทเจฺฉโท, อภูตคาเม จ อพีเช จาติ อโตฺถฯ นนุ จ ‘‘อพีเช พีชสญฺญี, เวมติโก, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๙๒) ปาฐํ วินา ‘‘อภูตคาเม ภูตคามสญฺญี’’ติ ปาโฐ นตฺถีติ อภูตคามคฺคหณํ กสฺมา กตนฺติ? วุจฺจเต – ตสฺมิํ ปาเฐ พีชํ ภูตคามญฺจ พีชคามํ พีชญฺจ พีชพีชนฺติ วตฺตเพฺพ เอกเสสนเยน ‘‘พีช’’นฺติ คเหตฺวา วินิจฺฉิตนฺติ อุภยํ วิภชิตฺวา ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตสฺมิํ อภูตคามอพีชคามทฺวเยฯ อิมิสฺสา คาถาย ‘‘อภูตคาเม ภูตคามสญฺญิโน ทุกฺกฎํ, เวมติกสฺส ทุกฺกฎํ, อพีชคาเม พีชคามสญฺญิโน ทุกฺกฎํ, เวมติกสฺส ทุกฺกฎ’’นฺติ จตฺตาริ ทุกฺกฎานิ ทสฺสิตานิฯ ตตฺถ อภูตคามนฺติ พีชคามํ คเหตพฺพํฯ อพีชคามนฺติ โน พีชํฯ
1038. ‘‘Abhūtagāmaabījesū’’ti padacchedo, abhūtagāme ca abīje cāti attho. Nanu ca ‘‘abīje bījasaññī, vematiko, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 92) pāṭhaṃ vinā ‘‘abhūtagāme bhūtagāmasaññī’’ti pāṭho natthīti abhūtagāmaggahaṇaṃ kasmā katanti? Vuccate – tasmiṃ pāṭhe bījaṃ bhūtagāmañca bījagāmaṃ bījañca bījabījanti vattabbe ekasesanayena ‘‘bīja’’nti gahetvā vinicchitanti ubhayaṃ vibhajitvā dassanatthaṃ vuttaṃ. Tattha tasmiṃ abhūtagāmaabījagāmadvaye. Imissā gāthāya ‘‘abhūtagāme bhūtagāmasaññino dukkaṭaṃ, vematikassa dukkaṭaṃ, abījagāme bījagāmasaññino dukkaṭaṃ, vematikassa dukkaṭa’’nti cattāri dukkaṭāni dassitāni. Tattha abhūtagāmanti bījagāmaṃ gahetabbaṃ. Abījagāmanti no bījaṃ.
๑๐๓๙. ตตฺถ ตสฺมิํ ภูตคามพีชคามทฺวเยฯ ‘‘อตถาสญฺญิโน’’ติอาทีสุ ‘‘ภูตคามํ วิโกเปนฺตสฺสา’’ติ เสโส, อนาปตฺติ ปกาสิตาติ สมฺพโนฺธ, อภูตคามํ, อพีชนฺติ วา สญฺญิโน ภูตคามํ พีชมฺปิ วิโกเปนฺตสฺส อนาปตฺติ ปกาสิตาติ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ ยถาห ปาฬิยํ ‘‘พีเช อพีชสญฺญี ฉินฺทติ วา…เป.… อนาปตฺตี’’ติฯ
1039.Tattha tasmiṃ bhūtagāmabījagāmadvaye. ‘‘Atathāsaññino’’tiādīsu ‘‘bhūtagāmaṃ vikopentassā’’ti seso, anāpatti pakāsitāti sambandho, abhūtagāmaṃ, abījanti vā saññino bhūtagāmaṃ bījampi vikopentassa anāpatti pakāsitāti attho gahetabbo. Yathāha pāḷiyaṃ ‘‘bīje abījasaññī chindati vā…pe… anāpattī’’ti.
อสญฺจิจฺจ ภูตคามํ วิโกเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ เอวมุปริปิ โยเชตพฺพํฯ คจฺฉนฺตสฺส ปาเทสุ คเหตฺวา วา อาลมฺพณกตฺตรยฎฺฐิยา ฆํสิตฺวา วา ติณาทีสุ ฉิเชฺชสุปิ ‘‘อิมํ ฉินฺทิสฺสามี’’ติ อมนสิกตตฺตา อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ อสติสฺสาติ อญฺญวิหิตสติสฺส วา อเญฺญน กถยโต วา ปาทงฺคุฎฺฐาทีหิ ติณาทีนิ ฉินฺทนฺตสฺสฯ จ-กาเรน อิธ อวุตฺตํ ‘‘อชานนฺตสฺสา’’ติ อิทํ สมุจฺจิตํฯ ‘‘อิมํ ภูตคาม’’นฺติ วา ‘‘อิมสฺมิํ อคฺคิมฺหิ ปติเต อิมํ ฑยฺหตี’’ติ วา ‘‘อิมินา อิทํ ภิชฺชติ ฉิชฺชตี’’ติอาทิํ วา อชานนฺตสฺส อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ
Asañcicca bhūtagāmaṃ vikopentassa anāpattīti yojanā. Evamuparipi yojetabbaṃ. Gacchantassa pādesu gahetvā vā ālambaṇakattarayaṭṭhiyā ghaṃsitvā vā tiṇādīsu chijjesupi ‘‘imaṃ chindissāmī’’ti amanasikatattā anāpattīti attho. Asatissāti aññavihitasatissa vā aññena kathayato vā pādaṅguṭṭhādīhi tiṇādīni chindantassa. Ca-kārena idha avuttaṃ ‘‘ajānantassā’’ti idaṃ samuccitaṃ. ‘‘Imaṃ bhūtagāma’’nti vā ‘‘imasmiṃ aggimhi patite imaṃ ḍayhatī’’ti vā ‘‘iminā idaṃ bhijjati chijjatī’’tiādiṃ vā ajānantassa anāpattīti attho.
๑๐๔๐. อิทํ จาติ อิทํ ภูตคามสิกฺขาปทญฺจฯ ติสมุฎฺฐานนฺติ กายจิตฺตวาจาจิตฺตกายวาจาจิตฺตวเสน ติสมุฎฺฐานํฯ เฉทนาทิกิริยาย อาปชฺชนโต กฺริยํฯ ติจิตฺตนฺติ ปณฺณตฺติํ อชานิตฺวา เจติยาทีสุ ติณคหนาทิกํ กโรนฺตสฺส อขีณาสวสฺส กุสลํ, ขีณาสวสฺส กิริยํ, ผลปุปฺผาทิโลเภน วิโกเปนฺตานํ เสขปุถุชฺชนานํ อกุสลนฺติ ติจิตฺตํฯ
1040.Idaṃcāti idaṃ bhūtagāmasikkhāpadañca. Tisamuṭṭhānanti kāyacittavācācittakāyavācācittavasena tisamuṭṭhānaṃ. Chedanādikiriyāya āpajjanato kriyaṃ. Ticittanti paṇṇattiṃ ajānitvā cetiyādīsu tiṇagahanādikaṃ karontassa akhīṇāsavassa kusalaṃ, khīṇāsavassa kiriyaṃ, phalapupphādilobhena vikopentānaṃ sekhaputhujjanānaṃ akusalanti ticittaṃ.
ภูตคามกถาวณฺณนาฯ
Bhūtagāmakathāvaṇṇanā.
๑๐๔๑. อญฺญวาทวิเหสเก กมฺมสฺมิํ สเงฺฆน กเตติ โยชนา, อญฺญวาทกวิเหสกาโรปนกเมฺม ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย ปเจฺจกํ สเงฺฆน กเตติ อโตฺถฯ ‘‘อญฺญํ วทตีติ อญฺญวาทกํ, อเญฺญนญฺญํ ปฎิจรณเสฺสตํ นามํฯ วิเหเสตีติ วิเหสกํ, ตุณฺหีภูตเสฺสตํ นาม’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๘) วจนโต สงฺฆมเชฺฌ วตฺถุนา, อาปตฺติยา วา โจทนาย กตาย ตํ อวตฺตุกาโม หุตฺวา ‘‘โก อาปโนฺน, กิํ อาปโนฺน, กิสฺมิํ อาปโนฺน’’ติอาทินา (ปาจิ. ๙๔) ปทภาชนานุกฺกเมน ปุจฺฉิตํ ฐเปตฺวา อญฺญสฺส อวจนํ อเญฺญนญฺญํ ปฎิจรณํ, ตํ กโรโนฺต อญฺญวาทโกฯ อิธ ปน ภาวปฺปธานวเสน กิริยา คหิตาฯ
1041. Aññavādavihesake kammasmiṃ saṅghena kateti yojanā, aññavādakavihesakāropanakamme ñattidutiyāya kammavācāya paccekaṃ saṅghena kateti attho. ‘‘Aññaṃ vadatīti aññavādakaṃ, aññenaññaṃ paṭicaraṇassetaṃ nāmaṃ. Vihesetīti vihesakaṃ, tuṇhībhūtassetaṃ nāma’’nti (pāci. aṭṭha. 98) vacanato saṅghamajjhe vatthunā, āpattiyā vā codanāya katāya taṃ avattukāmo hutvā ‘‘ko āpanno, kiṃ āpanno, kismiṃ āpanno’’tiādinā (pāci. 94) padabhājanānukkamena pucchitaṃ ṭhapetvā aññassa avacanaṃ aññenaññaṃ paṭicaraṇaṃ, taṃ karonto aññavādako. Idha pana bhāvappadhānavasena kiriyā gahitā.
ตเถว โจทิยมาโน หุตฺวา ปุจฺฉิตํ อวตฺตุกาโม หุตฺวา อาปตฺติภีรุกตาย อเญฺญนญฺญํ ปฎิจรณํ อกตฺวา สงฺฆํ วิเหเสตุํ ตุณฺหีภูโต วิเหสโก นามฯ เอตฺถาปิ ภาวปฺปธานวเสน กิริยาว คเหตพฺพาฯ อิธ ปน ตพฺภาวาโรปนกมฺมํ วุจฺจตีติ สํเขโปฯ ปุน ตถา กโรนฺตสฺสาติ ปุนปิ เตเนว ปกาเรน อญฺญวาทกวิเหสกานิ วิสุํ วิสุํ กโรนฺตสฺสฯ ปาจิตฺติยทฺวยํ โหตีติ ปทภาชเน ‘‘โรปิเต อญฺญวาทเก’’ติอาทินา (ปาจิ. ๑๐๐) นเยน จ ‘‘โรปิเต วิเหสเก’’ติอาทินา (ปาจิ. ๑๐๐) นเยน จ วิสุํ วิสุํ ปาจิตฺติยสฺส วุตฺตตฺตา เอเกกสฺมิํ วตฺถุมฺหิ เอเกกาย อาปตฺติยา สมฺภวโต ปาจิตฺติยทฺวยํ โหตีติ คเหตพฺพํฯ
Tatheva codiyamāno hutvā pucchitaṃ avattukāmo hutvā āpattibhīrukatāya aññenaññaṃ paṭicaraṇaṃ akatvā saṅghaṃ vihesetuṃ tuṇhībhūto vihesako nāma. Etthāpi bhāvappadhānavasena kiriyāva gahetabbā. Idha pana tabbhāvāropanakammaṃ vuccatīti saṃkhepo. Puna tathā karontassāti punapi teneva pakārena aññavādakavihesakāni visuṃ visuṃ karontassa. Pācittiyadvayaṃ hotīti padabhājane ‘‘ropite aññavādake’’tiādinā (pāci. 100) nayena ca ‘‘ropite vihesake’’tiādinā (pāci. 100) nayena ca visuṃ visuṃ pācittiyassa vuttattā ekekasmiṃ vatthumhi ekekāya āpattiyā sambhavato pācittiyadvayaṃ hotīti gahetabbaṃ.
๑๐๔๒. ธเมฺมติ เอตฺถ ‘‘กเมฺม’’ติ เสโสฯ ธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญี, เวมติโก, อธมฺมกมฺมสญฺญีติ ตีสุ วิกเปฺปสุฯ อธเมฺมติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ กเมฺม อโรปิเตติ อญฺญวาทกกมฺมาโรปเน อกเตฯ เอวํ วทนฺตสฺสาติ ‘‘โก อาปโนฺน’’ติอาทีนิ วทนฺตสฺสฯ วทนฺตสฺส จาติ เอตฺถ จกาเรน กเมฺม อโรปิเต เอวํ วิเหสนฺตสฺส จ ทุกฺกฎนฺติ สมุจฺจิโนติฯ อิมสฺมิํ ปเกฺข กเมฺม อโรปิเตติ วิเหสกกาลมาหฯ
1042.Dhammeti ettha ‘‘kamme’’ti seso. Dhammakamme dhammakammasaññī, vematiko, adhammakammasaññīti tīsu vikappesu. Adhammeti etthāpi eseva nayo. Kamme aropiteti aññavādakakammāropane akate. Evaṃ vadantassāti ‘‘ko āpanno’’tiādīni vadantassa. Vadantassa cāti ettha cakārena kamme aropite evaṃ vihesantassa ca dukkaṭanti samuccinoti. Imasmiṃ pakkhe kamme aropiteti vihesakakālamāha.
๑๐๔๓. อาปนฺนนฺติ อตฺตนา อาปนฺนํฯ ภณฺฑนํ ภวิสฺสตีติ สญฺญิสฺสาติ มยา อิมสฺมิํ วุเตฺต สงฺฆสฺส ภณฺฑนกลหาทโย โหนฺตีติ สญฺญาย ตุณฺหี ภวนฺตสฺสฯ คิลานสฺสาติ วตฺตุํ อสกฺกุเณยฺยมุขโรคาทิยุตฺตสฺสฯ
1043.Āpannanti attanā āpannaṃ. Bhaṇḍanaṃ bhavissatīti saññissāti mayā imasmiṃ vutte saṅghassa bhaṇḍanakalahādayo hontīti saññāya tuṇhī bhavantassa. Gilānassāti vattuṃ asakkuṇeyyamukharogādiyuttassa.
๑๐๔๔. กฺริยากฺริยนฺติ อเญฺญนญฺญปฎิจรณํ กฺริยํฯ ตุณฺหีภาโว อกฺริยํฯ
1044.Kriyākriyanti aññenaññapaṭicaraṇaṃ kriyaṃ. Tuṇhībhāvo akriyaṃ.
อญฺญวาทกกถาวณฺณนาฯ
Aññavādakakathāvaṇṇanā.
๑๐๔๕-๖. สมฺมตสฺสาติ ขนฺธกาคตเสนาสนปญฺญาปกสมฺมุติอาทีสุ เตรสสุ สมฺมุตีสุ เอกํ วา กติปยา วา สพฺพา วา ทาตุํ สเงฺฆน ญตฺติํ ฐเปตฺวา กมฺมวาจํ วตฺวา ทินฺนสมฺมุติกสฺสฯ ‘‘อุปสมฺปนฺนํ สเงฺฆน สมฺมต’’นฺติ (ปาจิ. ๑๐๖) วจนโต ภิกฺขุโนติ อุปสมฺปนฺนมาห, อยสํ กตฺตุกาโมติ สมฺพโนฺธฯ วทโนฺตติ ‘‘ฉเนฺทน อิตฺถนฺนาโม เสนาสนํ ปญฺญาเปติ, ฉเนฺทน ภตฺตานิ อุทฺทิสตี’’ติอาทิํ ภณโนฺตฯ ‘‘อุปสมฺปเนฺน’’ติ อิทํ ‘‘อุชฺฌาเปตี’’ติ กิริยมเปกฺขิตฺวา กมฺมนิ อุปโยคพหุวจนํฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – อุชฺฌาเปติ อวญฺญาย โอโลกาเปติ, ลามกโต วา จินฺตาเปติ, ขียตีติ ‘‘ฉเนฺทน อิตฺถนฺนาโม เสนาสนํ ปญฺญเปตี’’ติอาทิํ กเถโนฺต ปกาเสตีติฯ อิมสฺมิํ ปเกฺข ‘‘อุปสมฺปนฺนาน’’นฺติ วตฺตเพฺพ สามิอเตฺถ อุปโยควเสน ‘‘อุปสมฺปเนฺน’’ติ วุตฺตํ, อุปสมฺปนฺนานํ สนฺติเก ปกาเสตีติ อโตฺถฯ
1045-6.Sammatassāti khandhakāgatasenāsanapaññāpakasammutiādīsu terasasu sammutīsu ekaṃ vā katipayā vā sabbā vā dātuṃ saṅghena ñattiṃ ṭhapetvā kammavācaṃ vatvā dinnasammutikassa. ‘‘Upasampannaṃ saṅghena sammata’’nti (pāci. 106) vacanato bhikkhunoti upasampannamāha, ayasaṃ kattukāmoti sambandho. Vadantoti ‘‘chandena itthannāmo senāsanaṃ paññāpeti, chandena bhattāni uddisatī’’tiādiṃ bhaṇanto. ‘‘Upasampanne’’ti idaṃ ‘‘ujjhāpetī’’ti kiriyamapekkhitvā kammani upayogabahuvacanaṃ. Ayañhettha attho – ujjhāpeti avaññāya olokāpeti, lāmakato vā cintāpeti, khīyatīti ‘‘chandena itthannāmo senāsanaṃ paññapetī’’tiādiṃ kathento pakāsetīti. Imasmiṃ pakkhe ‘‘upasampannāna’’nti vattabbe sāmiatthe upayogavasena ‘‘upasampanne’’ti vuttaṃ, upasampannānaṃ santike pakāsetīti attho.
‘‘ปาจิตฺติยทฺวยํ โหตี’’ติ อิทํ ‘‘อุชฺฌาปนเก ขิยฺยนเก ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๐๕) ทฺวินฺนํ วตฺถูนํ เอกโต วุตฺตตฺตา อิธาปิ เอกโต วุตฺตํ, วิสุํ วิสุํ ปน คเหตพฺพํฯ ธเมฺมติ เอตฺถ ‘‘กเมฺม’’ติ เสโส, อุปสมฺปนฺนสฺส สมฺมตสฺส สเงฺฆน ทินฺนสมฺมุติกมฺมํ สเจ ธมฺมกมฺมํ โหตีติ อโตฺถฯ อธเมฺมติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ
‘‘Pācittiyadvayaṃ hotī’’ti idaṃ ‘‘ujjhāpanake khiyyanake pācittiya’’nti (pāci. 105) dvinnaṃ vatthūnaṃ ekato vuttattā idhāpi ekato vuttaṃ, visuṃ visuṃ pana gahetabbaṃ. Dhammeti ettha ‘‘kamme’’ti seso, upasampannassa sammatassa saṅghena dinnasammutikammaṃ sace dhammakammaṃ hotīti attho. Adhammeti etthāpi eseva nayo.
๑๐๔๗-๘. ภิกฺขุโนติ สมฺมตสฺส ภิกฺขุโนฯ อสมฺมตสฺส ภิกฺขุสฺส อวณฺณํ ภาสโตติ โยชนาฯ ยสฺส กสฺสจีติ เอตฺถ ‘‘สนฺติเก’’ติ เสโส, อุปสมฺปนฺนสฺส จ อนุปสมฺปนฺนสฺส จ ยสฺส กสฺสจิ สนฺติเกติ อโตฺถฯ อุปสมฺปนฺนกาเล สมฺมตํ ปจฺฉา สามเณรภาวํ อุปคตํ สนฺธาย ‘‘สมฺมตสฺส สามเณรสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ อวณฺณํ วทโตติ โยชนาฯ
1047-8.Bhikkhunoti sammatassa bhikkhuno. Asammatassa bhikkhussa avaṇṇaṃ bhāsatoti yojanā. Yassa kassacīti ettha ‘‘santike’’ti seso, upasampannassa ca anupasampannassa ca yassa kassaci santiketi attho. Upasampannakāle sammataṃ pacchā sāmaṇerabhāvaṃ upagataṃ sandhāya ‘‘sammatassa sāmaṇerassā’’ti vuttaṃ. Avaṇṇaṃ vadatoti yojanā.
๑๐๔๙. กโรนฺตํ สมฺมตํฯ ภณโตติ อุชฺฌาปยโต, ขียโตฯ อโตฺถ ปน วุตฺตนโยวฯ อุชฺฌาปนขียนกิริยาหิ อาปชฺชนโต กฺริยํฯ ยสฺมา อุชฺฌาปนํ, ขียนญฺจ มุสาวาทวเสเนว ปวตฺตํ, ตสฺมา ‘‘อาทิกมฺมิกสฺส อนาปตฺตี’’ติ ปาจิตฺติยฎฺฐาเน, ทุกฺกฎฎฺฐาเน จ อิมินา จ อนาปตฺติทสฺสนตฺถํ วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ เอวญฺจ กตฺวา อุชฺฌาเปนฺตสฺส, ขียนฺตสฺส จ เอกกฺขเณ เทฺว เทฺว อาปตฺติโย โหนฺตีติ อาปนฺนํฯ
1049.Karontaṃ sammataṃ. Bhaṇatoti ujjhāpayato, khīyato. Attho pana vuttanayova. Ujjhāpanakhīyanakiriyāhi āpajjanato kriyaṃ. Yasmā ujjhāpanaṃ, khīyanañca musāvādavaseneva pavattaṃ, tasmā ‘‘ādikammikassa anāpattī’’ti pācittiyaṭṭhāne, dukkaṭaṭṭhāne ca iminā ca anāpattidassanatthaṃ vuttanti gahetabbaṃ. Evañca katvā ujjhāpentassa, khīyantassa ca ekakkhaṇe dve dve āpattiyo hontīti āpannaṃ.
อุชฺฌาปนกกถาวณฺณนาฯ
Ujjhāpanakakathāvaṇṇanā.
๑๐๕๐. สงฺฆสฺส มญฺจาทินฺติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘สงฺฆิกํ มญฺจํ วา ปีฐํ วา ภิสิํ วา โกจฺฉํ วา’’ติ ปาฬิยํ ทสฺสิตํ สงฺฆสนฺตกํ มญฺจาทิํฯ เอตฺถ จ มโญฺจ นาม ปาฬิยํ ‘‘จตฺตาโร มญฺจา มสารโก พุนฺทิกาพโทฺธ กุฬีรปาทโก อาหจฺจปาทโก’’ติ (ปาจิ. ๑๑๑) จ ทสฺสิโต จตุพฺพิโธ มโญฺจฯ ตตฺถ มสารโก นาม มญฺจปาเท วิชฺฌิตฺวา ตตฺถ อฎนิสิขาหิ อาวุณิตฺวา กตมโญฺจฯ โส อิทานิ วตฺตมาโน เวตฺตมโญฺจฯ พุนฺทิกาพโทฺธ นาม อฎนิสีเสสุ พุนฺทิกรนฺตรโต มญฺจปาเท ฑํสาเปตฺวา กโต เวตฺตมญฺจปทรมโญฺจ ทฎฺฐโพฺพฯ กุฬีรปาทโก นาม ปาทพุเนฺท อสฺสขุราทิอาการํ ทเสฺสตฺวา กกฺกฎปาเทหิ วิย วงฺกปาเทหิ โยชิตมโญฺจฯ อาหจฺจปาทโก นาม อฎนิโย วิชฺฌิตฺวา อฎนิฉิเทฺท ปาทสีเส สิขํ กตฺวา ตํ ปเวเสตฺวา อฎนิยา อุปริ นิกฺขเนฺต ปาทสิขามตฺถเก ติริยํ วิชฺฌิตฺวา อาณิํ ปเวเสตฺวา กตมโญฺจฯ
1050. Saṅghassa mañcādinti sambandho. ‘‘Saṅghikaṃ mañcaṃ vā pīṭhaṃ vā bhisiṃ vā kocchaṃ vā’’ti pāḷiyaṃ dassitaṃ saṅghasantakaṃ mañcādiṃ. Ettha ca mañco nāma pāḷiyaṃ ‘‘cattāro mañcā masārako bundikābaddho kuḷīrapādako āhaccapādako’’ti (pāci. 111) ca dassito catubbidho mañco. Tattha masārako nāma mañcapāde vijjhitvā tattha aṭanisikhāhi āvuṇitvā katamañco. So idāni vattamāno vettamañco. Bundikābaddho nāma aṭanisīsesu bundikarantarato mañcapāde ḍaṃsāpetvā kato vettamañcapadaramañco daṭṭhabbo. Kuḷīrapādako nāma pādabunde assakhurādiākāraṃ dassetvā kakkaṭapādehi viya vaṅkapādehi yojitamañco. Āhaccapādako nāma aṭaniyo vijjhitvā aṭanichidde pādasīse sikhaṃ katvā taṃ pavesetvā aṭaniyā upari nikkhante pādasikhāmatthake tiriyaṃ vijjhitvā āṇiṃ pavesetvā katamañco.
ปีฐํ นาม เอวเมว กตํ ตนฺนามกเมว จตุพฺพิธํ;
Pīṭhaṃ nāma evameva kataṃ tannāmakameva catubbidhaṃ;
ภิสิ นาม ‘‘ปญฺจ ภิสิโย อุณฺณภิสิ โจฬภิสิ วากภิสิ ติณภิสิ ปณฺณภิสี’’ติ คพฺภวเสน ทสฺสิตา ปญฺจ ภิสิโยฯ ตตฺถ อุณฺณา นาม มนุสฺสโลมํ ฐเปตฺวา อวเสสโลมานิฯ โจฬา นาม ปิโลติกาฯ วากํ นาม มกจิวากาทิกํฯ ติณํ นาม ทพฺพติณาทิฯ ปณฺณํ นาม ตมาลปณฺณํ ฐเปตฺวา อวเสสปณฺณํฯ
Bhisi nāma ‘‘pañca bhisiyo uṇṇabhisi coḷabhisi vākabhisi tiṇabhisi paṇṇabhisī’’ti gabbhavasena dassitā pañca bhisiyo. Tattha uṇṇā nāma manussalomaṃ ṭhapetvā avasesalomāni. Coḷā nāma pilotikā. Vākaṃ nāma makacivākādikaṃ. Tiṇaṃ nāma dabbatiṇādi. Paṇṇaṃ nāma tamālapaṇṇaṃ ṭhapetvā avasesapaṇṇaṃ.
โกจฺฉนฺติ ปาฬิยํ ‘‘โกจฺฉํ นาม วากมยํ วา อุสีรมยํ วา มุญฺชมยํ วา ปพฺพชมยํ วา อโนฺต สํเวเฐตฺวา พทฺธํ โหตี’’ติ (ปาจิ. ๑๑๑) ทสฺสิตํ วากํ วา อุสีรํ วา มุญฺชติณํ วา เอฬกโลมานิ วา ปพฺพชติณํ วา อาทาย อุโภหิ โกฎีหิ วิตฺถตํ กตฺวา มเชฺฌ ปีเฬตฺวา สงฺกุจิตฺวา ตํ พนฺธิตฺวา สีหจมฺมาทีหิ เวฐนพนฺธนานิ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปาทปุญฺฉนี วิย นิสชฺชตฺถาย กตํ อาสนนฺติ วทนฺติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เหฎฺฐา จ อุปริ จ วิตฺถตํ, มเชฺฌ สํขิตฺตํ, ปณวสณฺฐานํ กตฺวา พทฺธํ โหติ, ตํ กิร มเชฺฌ สีหพฺยคฺฆจมฺมปริกฺขิตฺตมฺปิ กโรนฺติฯ อกปฺปิยจมฺมํ นาเมตฺถ นตฺถี’’ติอาทิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๑)ฯ สนฺถราเปตฺวาติ อุปสมฺปเนฺนน วา อนุปสมฺปเนฺนน วา สนฺถราเปตฺวาฯ เอตฺถ วินิจฺฉยํ วกฺขติฯ สนฺถริตฺวาติ สยํ สนฺถริตฺวา วาฯ
Kocchanti pāḷiyaṃ ‘‘kocchaṃ nāma vākamayaṃ vā usīramayaṃ vā muñjamayaṃ vā pabbajamayaṃ vā anto saṃveṭhetvā baddhaṃ hotī’’ti (pāci. 111) dassitaṃ vākaṃ vā usīraṃ vā muñjatiṇaṃ vā eḷakalomāni vā pabbajatiṇaṃ vā ādāya ubhohi koṭīhi vitthataṃ katvā majjhe pīḷetvā saṅkucitvā taṃ bandhitvā sīhacammādīhi veṭhanabandhanāni paṭicchādetvā pādapuñchanī viya nisajjatthāya kataṃ āsananti vadanti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘heṭṭhā ca upari ca vitthataṃ, majjhe saṃkhittaṃ, paṇavasaṇṭhānaṃ katvā baddhaṃ hoti, taṃ kira majjhe sīhabyagghacammaparikkhittampi karonti. Akappiyacammaṃ nāmettha natthī’’tiādi (pāci. aṭṭha. 111). Santharāpetvāti upasampannena vā anupasampannena vā santharāpetvā. Ettha vinicchayaṃ vakkhati. Santharitvāti sayaṃ santharitvā vā.
๑๐๕๑. เนวุทฺธเรยฺยาติ ปญฺญตฺตฎฺฐานโต อุทฺธริตฺวา น ปฎิสาเมยฺยฯ น อุทฺธราเปยฺย วาติ อเญฺญน วา ตถา น การาเปยฺยฯ ตนฺติ มญฺจาทิํฯ ปกฺกมโนฺตติ เอตฺถ ‘‘โย ภิกฺขู’’ติ ลพฺภติ, มญฺจาทีนํ อตฺถตฎฺฐานโต ถามมชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส ถามปฺปมาเณน หตฺถํ ปสาเรตฺวา ขิตฺตปาสาณสฺส ปตนฎฺฐานํ อติกฺกมฺม คจฺฉโนฺตติ อโตฺถฯ ยถาห ปาฬิยํ ‘‘มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส เลฑฺฑุปาตํ อติกฺกมนฺตสฺสา’’ติฯ
1051.Nevuddhareyyāti paññattaṭṭhānato uddharitvā na paṭisāmeyya. Na uddharāpeyya vāti aññena vā tathā na kārāpeyya. Tanti mañcādiṃ. Pakkamantoti ettha ‘‘yo bhikkhū’’ti labbhati, mañcādīnaṃ atthataṭṭhānato thāmamajjhimassa purisassa thāmappamāṇena hatthaṃ pasāretvā khittapāsāṇassa patanaṭṭhānaṃ atikkamma gacchantoti attho. Yathāha pāḷiyaṃ ‘‘majjhimassa purisassa leḍḍupātaṃ atikkamantassā’’ti.
๑๐๕๒. วสฺสิเก จตุโร มาเสติ อโนฺตวสฺสํ จาตุมาเสฯ สเจ เทโว น วสฺสตีติ เอตฺถ ‘‘กตฺถจิ ชนปเท’’ติ เสโสฯ เตเนว ‘‘สเจ’’ติ สาสงฺกมาหฯ ‘‘เยสุ ชนปเทสุ วสฺสกาเล น วสฺสติ, เตสุปิ จตฺตาโร มาเส นิกฺขิปิตุํ น วฎฺฎติเยวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๐) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ ตถา จาปีติ เต จตฺตาโร มาเส อวสฺสเนฺตปิฯ
1052.Vassike caturo māseti antovassaṃ cātumāse. Sace devo na vassatīti ettha ‘‘katthaci janapade’’ti seso. Teneva ‘‘sace’’ti sāsaṅkamāha. ‘‘Yesu janapadesu vassakāle na vassati, tesupi cattāro māse nikkhipituṃ na vaṭṭatiyevā’’ti (pāci. aṭṭha. 110) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Tathā cāpīti te cattāro māse avassantepi.
๑๐๕๓. ยตฺถาติ ยสฺมิํ ลงฺกาทีปสทิเส เทเสฯ ยตฺถ อปเรปิ เหมเนฺต จตฺตาโร มาเส เทโว วสฺสติ, ตตฺถ อฎฺฐ มาเส อโชฺฌกาเส มญฺจาทิํ ฐเปตุํ น วฎฺฎตีติ โยชนาฯ คิมฺหาเน ปน จตฺตาโร มาเส พหิ ฐเปตุํ วฎฺฎตีติ พฺยติเรกโต ทเสฺสติฯ
1053.Yatthāti yasmiṃ laṅkādīpasadise dese. Yattha aparepi hemante cattāro māse devo vassati, tattha aṭṭha māse ajjhokāse mañcādiṃ ṭhapetuṃ na vaṭṭatīti yojanā. Gimhāne pana cattāro māse bahi ṭhapetuṃ vaṭṭatīti byatirekato dasseti.
๑๐๕๔. นิวาสสฺมินฺติ รุเกฺข กุลาวกํ กตฺวา นิรนฺตรวาเส สติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ยสฺมิํ ปน ธุวนิวาเสน กุลาวเก กตฺวา วสนฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๐)ฯ กทาจิปีติ อโนวสฺสกาเลปิฯ
1054.Nivāsasminti rukkhe kulāvakaṃ katvā nirantaravāse sati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yasmiṃ pana dhuvanivāsena kulāvake katvā vasantī’’ti (pāci. aṭṭha. 110). Kadācipīti anovassakālepi.
๑๐๕๕-๖. สงฺฆิกํ ยํ กิญฺจิ มญฺจาทีติ โยชนาฯ สนฺถตํ ยทีติ อนาณเตฺตน ยทิ อตฺถตํ, ปญฺญตฺตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ยตฺถ กตฺถจิ ฐาเนติ รุกฺขมูลมณฺฑปอโพฺภกาสาทิมฺหิ ยตฺถ กตฺถจิ ฐาเนฯ เยน เกนจีติ สทฺธิวิหาริเกน วา อเนฺตวาสิเกน วา อเญฺญน วาฯ ภิกฺขุนาติ อุปสมฺปเนฺนนฯ โสติ ยสฺสตฺถาย ปญฺญตฺตํ, โส ภิกฺขุฯ
1055-6. Saṅghikaṃ yaṃ kiñci mañcādīti yojanā. Santhataṃ yadīti anāṇattena yadi atthataṃ, paññattanti vuttaṃ hoti. Yattha katthaci ṭhāneti rukkhamūlamaṇḍapaabbhokāsādimhi yattha katthaci ṭhāne. Yena kenacīti saddhivihārikena vā antevāsikena vā aññena vā. Bhikkhunāti upasampannena. Soti yassatthāya paññattaṃ, so bhikkhu.
๑๐๕๗. ตนฺติ ตํ สงฺฆิกํ เวตฺตมญฺจาทิํฯ สนฺถราปิต-สโทฺท กตฺตุสาธโน, สนฺถริตุํ นิโยชกเสฺสว ภิกฺขุโนติ อโตฺถฯ
1057.Tanti taṃ saṅghikaṃ vettamañcādiṃ. Santharāpita-saddo kattusādhano, santharituṃ niyojakasseva bhikkhunoti attho.
๑๐๕๘. ภิกฺขุนาติ เอตฺถ ‘‘อาณาปโก’’ติ วกฺขมานตฺตา อาณเตฺตน ภิกฺขุนา อุปสมฺปเนฺนนาติ ลพฺภติฯ ตเสฺสวาติ อาณตฺติยา อาสนปญฺญาปกสฺส ตเสฺสว ภิกฺขุโนฯ ‘‘นิสีทตี’’ติ วจนสฺส อุปลกฺขณตฺตา อาคนฺตฺวา ถวิกํ วา จีวรํ วา ยํ กิญฺจิเทว ฐเปติ, ‘‘มยฺหเมว ภาโร’’ติ วา วทติ, ปญฺญาปโก มุจฺจตีติ คเหตโพฺพฯ
1058.Bhikkhunāti ettha ‘‘āṇāpako’’ti vakkhamānattā āṇattena bhikkhunā upasampannenāti labbhati. Tassevāti āṇattiyā āsanapaññāpakassa tasseva bhikkhuno. ‘‘Nisīdatī’’ti vacanassa upalakkhaṇattā āgantvā thavikaṃ vā cīvaraṃ vā yaṃ kiñcideva ṭhapeti, ‘‘mayhameva bhāro’’ti vā vadati, paññāpako muccatīti gahetabbo.
๑๐๕๙-๖๐. อนาปุจฺฉาติ เอตฺถ ‘‘โย ภิกฺขุ วา สามเณโร วา อารามิโก วา ลชฺชี โหติ, อตฺตโน ปลิโพธํ วิย มญฺญตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๓) อฎฺฐกถาย วุตฺตสรูปํ ยํ กญฺจิ อนาปุจฺฉาติ อโตฺถฯ ‘‘ภิกฺขุ วา สามเณโร วา อารามิโก วา ลชฺชี โหตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๓) วุตฺตตฺตา อลชฺชิํ อาปุจฺฉิตฺวา คนฺตุํ น วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ ‘‘มยํ คมิสฺสามา’’ติ วตฺวา อนุมติคหณํ อาปุจฺฉนํ นาม, ตํ อนาปตฺติยา กถํ องฺคํ โหตีติ เจ? คมนสฺส อนุมติยา ลทฺธตฺตาฯ ‘‘กปฺปํ ลภิตฺวา คนฺตพฺพ’’นฺติ วจนโต อนุมติทายเกน วตฺตาวตฺตํ สมฺปฎิจฺฉิตํ วิย โหตีติ ลทฺธกปฺปตฺตา เอวํ คจฺฉติ เจ, วฎฺฎติฯ อนิยฺยาเตตฺวาติ นิยฺยาตนํ อกตฺวา วตฺตาวตฺตํ อปฺปฎิยาเทตฺวา, อสมฺปฎิจฺฉาเปตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ วาเรติ ปทวาเรฯ
1059-60.Anāpucchāti ettha ‘‘yo bhikkhu vā sāmaṇero vā ārāmiko vā lajjī hoti, attano palibodhaṃ viya maññatī’’ti (pāci. aṭṭha. 113) aṭṭhakathāya vuttasarūpaṃ yaṃ kañci anāpucchāti attho. ‘‘Bhikkhu vā sāmaṇero vā ārāmiko vā lajjī hotī’’ti (pāci. aṭṭha. 113) vuttattā alajjiṃ āpucchitvā gantuṃ na vaṭṭatīti vadanti. ‘‘Mayaṃ gamissāmā’’ti vatvā anumatigahaṇaṃ āpucchanaṃ nāma, taṃ anāpattiyā kathaṃ aṅgaṃ hotīti ce? Gamanassa anumatiyā laddhattā. ‘‘Kappaṃ labhitvā gantabba’’nti vacanato anumatidāyakena vattāvattaṃ sampaṭicchitaṃ viya hotīti laddhakappattā evaṃ gacchati ce, vaṭṭati. Aniyyātetvāti niyyātanaṃ akatvā vattāvattaṃ appaṭiyādetvā, asampaṭicchāpetvāti vuttaṃ hoti. Vāreti padavāre.
๑๐๖๒. ตสฺมา ฐานาติ อตฺตนา ฐตฺวา อาณาปิตโภชนสาลโตฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘โภชนสาลโต นิกฺขมิตฺวา อญฺญตฺถ คจฺฉตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๑)ฯ
1062.Tasmā ṭhānāti attanā ṭhatvā āṇāpitabhojanasālato. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘bhojanasālato nikkhamitvā aññattha gacchatī’’ti (pāci. aṭṭha. 111).
๑๐๖๓. สงฺฆิเก สงฺฆิกสญฺญิเวมติกปุคฺคลิกสญฺญีนํ วเสน ติกปาจิตฺติยํฯ ติกาตีเตนาติ อกุสลมูลตฺติกาทิโต สวาสนสมุเจฺฉทปฺปหานวเสน อติกฺกเนฺตนฯ ติกทุกฺกฎนฺติ ‘‘ปุคฺคลิเก สงฺฆิกสญฺญี, เวมติโก, ปุคฺคลิกสญฺญี อญฺญสฺส ปุคฺคลิเก อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๑๒) วจนโต ทุกฺกฎตฺตยํ โหติฯ
1063. Saṅghike saṅghikasaññivematikapuggalikasaññīnaṃ vasena tikapācittiyaṃ. Tikātītenāti akusalamūlattikādito savāsanasamucchedappahānavasena atikkantena. Tikadukkaṭanti ‘‘puggalike saṅghikasaññī, vematiko, puggalikasaññī aññassa puggalike āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 112) vacanato dukkaṭattayaṃ hoti.
๑๐๖๔-๕. จิมิลิกํ นาม ปริกมฺมกตาย ภูมิยา ฉวิรกฺขนตฺถํ อตฺถริตพฺพปิโลติกํฯ ตฎฺฎิกา นาม ตาลปณฺณาทีหิ กตตฎฺฎิกาฯ จมฺมํ สีหจมฺมาทิฯ เสนาสนปริกฺขาเร อกปฺปิยจมฺมํ นาม นตฺถิฯ ยถาห ‘‘อฎฺฐกถาสุ หิ เสนาสนปริโภเค ปฎิกฺขิตฺตจมฺมํ นาม น ทิสฺสติ, ตสฺมา สีหจมฺมาทีนํ ปริหรเณเยว ปฎิเกฺขโป เวทิตโพฺพ’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๒)ฯ อิมสฺส จ อฎฺฐกถาปาฐสฺส สารตฺถทีปนิยา (สารตฺถ. ฎี. ปาจิตฺติย ๓.๑๑๒) เอวํ อโตฺถ วณฺณิโต –
1064-5.Cimilikaṃ nāma parikammakatāya bhūmiyā chavirakkhanatthaṃ attharitabbapilotikaṃ. Taṭṭikā nāma tālapaṇṇādīhi katataṭṭikā. Cammaṃ sīhacammādi. Senāsanaparikkhāre akappiyacammaṃ nāma natthi. Yathāha ‘‘aṭṭhakathāsu hi senāsanaparibhoge paṭikkhittacammaṃ nāma na dissati, tasmā sīhacammādīnaṃ pariharaṇeyeva paṭikkhepo veditabbo’’ti (pāci. aṭṭha. 112). Imassa ca aṭṭhakathāpāṭhassa sāratthadīpaniyā (sārattha. ṭī. pācittiya 3.112) evaṃ attho vaṇṇito –
‘‘สีหจมฺมาทีนํ ปริหรเณเยว ปฎิเกฺขโป เวทิตโพฺพ’’ติ อิมินา ‘‘น ภิกฺขเว มหาจมฺมานิ ธาเรตพฺพานิ สีหจมฺมํ พฺยคฺฆจมฺมํ ทีปิจมฺมํ, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ เอวํ วุตฺตาย ขนฺธกปาฬิยา อธิปฺปายํ วิภาเวติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘อโนฺตปิ มเญฺจ ปญฺญตฺตานิ โหนฺติ, พหิปิ มเญฺจ ปญฺญตฺตานิ โหนฺตี’’ติ (มหาว. ๒๕๕) อิมสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ สิกฺขาปทสฺส ปญฺญตฺตตฺตา มญฺจปีเฐสุ อตฺถริตฺวา ปริโภโคเยว ปฎิกฺขิโตฺต, ภูมตฺถรณวเสน ปริโภโค ปน อปฺปฎิกฺขิโตฺตติฯ ยทิ เอวํ ‘‘ปริหรเณเยว ปฎิเกฺขโป’’ติ อิทํ กสฺมา วุตฺตนฺติ? ยถา ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว สพฺพํ ปาสาทปริโภค’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๐) วจนโต ปุคฺคลิเกปิ เสนาสเน เสนาสนปริโภควเสน นิยมิตํ สุวณฺณฆฎาทิกํ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎมานมฺปิ เกวลํ อตฺตโน สนฺตกํ กตฺวา ปริภุญฺชิตุํ น วฎฺฎติ, เอวมิทํ ภูมตฺถรณวเสน ปริภุญฺชิยมานมฺปิ อตฺตโน สนฺตกํ กตฺวา ตํ ตํ วิหารํ หริตฺวา ปริภุญฺชิตุํ น วฎฺฎตีติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ปริหรเณเยว ปฎิเกฺขโป เวทิตโพฺพ’’ติ วุตฺตนฺติฯ
‘‘Sīhacammādīnaṃ pariharaṇeyeva paṭikkhepo veditabbo’’ti iminā ‘‘na bhikkhave mahācammāni dhāretabbāni sīhacammaṃ byagghacammaṃ dīpicammaṃ, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti evaṃ vuttāya khandhakapāḷiyā adhippāyaṃ vibhāveti. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘antopi mañce paññattāni honti, bahipi mañce paññattāni hontī’’ti (mahāva. 255) imasmiṃ vatthusmiṃ sikkhāpadassa paññattattā mañcapīṭhesu attharitvā paribhogoyeva paṭikkhitto, bhūmattharaṇavasena paribhogo pana appaṭikkhittoti. Yadi evaṃ ‘‘pariharaṇeyeva paṭikkhepo’’ti idaṃ kasmā vuttanti? Yathā ‘‘anujānāmi bhikkhave sabbaṃ pāsādaparibhoga’’nti (cūḷava. 320) vacanato puggalikepi senāsane senāsanaparibhogavasena niyamitaṃ suvaṇṇaghaṭādikaṃ paribhuñjituṃ vaṭṭamānampi kevalaṃ attano santakaṃ katvā paribhuñjituṃ na vaṭṭati, evamidaṃ bhūmattharaṇavasena paribhuñjiyamānampi attano santakaṃ katvā taṃ taṃ vihāraṃ haritvā paribhuñjituṃ na vaṭṭatīti dassanatthaṃ ‘‘pariharaṇeyeva paṭikkhepo veditabbo’’ti vuttanti.
‘‘ผลก’’นฺติ อิมินา ปาฐาคตํ ผลกปีฐเมว ทสฺสิตํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ผลกปีฐํ นาม ผลกมยํ ปีฐ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๒)ฯ ปาทปุญฺฉนินฺติ กทลิวากาทีหิ กตํ ปาทปุญฺฉนิกํฯ ภูมตฺถรณํ นาม จิมิลิกาย สติ ตสฺสา อุปริ, อสติ สุทฺธภูมิยํ อตฺถริตพฺพา กฎสารกาทิวิกติฯ อุตฺตรตฺถรณํ นาม สงฺฆิกมญฺจปีฐาทีนํ อุปริ อตฺถริตพฺพปจฺจตฺถรณํฯ
‘‘Phalaka’’nti iminā pāṭhāgataṃ phalakapīṭhameva dassitaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘phalakapīṭhaṃ nāma phalakamayaṃ pīṭha’’nti (pāci. aṭṭha. 112). Pādapuñchaninti kadalivākādīhi kataṃ pādapuñchanikaṃ. Bhūmattharaṇaṃ nāma cimilikāya sati tassā upari, asati suddhabhūmiyaṃ attharitabbā kaṭasārakādivikati. Uttarattharaṇaṃ nāma saṅghikamañcapīṭhādīnaṃ upari attharitabbapaccattharaṇaṃ.
ปตฺตาธารกนฺติ ปตฺตวลยาธารกํฯ ตํ ยถาวุตฺตปริกฺขารํฯ คจฺฉโตติ เลฑฺฑุปาตํ อติกฺกมฺม คจฺฉโตฯ สเจ ปน ทายเกหิ ทานกาเลเยว สหสฺสคฺฆนกมฺปิ กมฺพลํ ‘‘ปาทปุญฺฉนิํ กตฺวา ปริภุญฺชถา’’ติ ทินฺนํ, ตเถว ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ ตสฺมา อิมํ มญฺจปีฐาทิเสนาสนมฺปิ ‘‘อโพฺภกาเสปิ ยถาสุขํ ปริภุญฺชถา’’ติ ทายเกหิ ทินฺนํ เจ, สพฺพสฺมิมฺปิ กาเล อโพฺภกาเส นิกฺขิปิตุํ วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ
Pattādhārakanti pattavalayādhārakaṃ. Taṃ yathāvuttaparikkhāraṃ. Gacchatoti leḍḍupātaṃ atikkamma gacchato. Sace pana dāyakehi dānakāleyeva sahassagghanakampi kambalaṃ ‘‘pādapuñchaniṃ katvā paribhuñjathā’’ti dinnaṃ, tatheva paribhuñjituṃ vaṭṭati. Tasmā imaṃ mañcapīṭhādisenāsanampi ‘‘abbhokāsepi yathāsukhaṃ paribhuñjathā’’ti dāyakehi dinnaṃ ce, sabbasmimpi kāle abbhokāse nikkhipituṃ vaṭṭatīti vadanti.
๑๐๖๖. อารญฺญเกนาปิ สเจ คนฺตพฺพํ โหติ, อโนวสฺสเก โนสติ มญฺจปีฐาทิํ รุกฺขสฺมิํ ลเคฺคตฺวา ยถาสุขํ คนฺตพฺพนฺติ โยชนาฯ
1066. Āraññakenāpi sace gantabbaṃ hoti, anovassake nosati mañcapīṭhādiṃ rukkhasmiṃ laggetvā yathāsukhaṃ gantabbanti yojanā.
๑๐๖๗. อุปจิกาทีหีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน มูสิกา คหิตาฯ น ลุชฺชตีติ น นสฺสติฯ ตํ สพฺพนฺติ มญฺจาทิกํ สกลํฯ
1067.Upacikādīhīti ettha ādi-saddena mūsikā gahitā. Na lujjatīti na nassati. Taṃ sabbanti mañcādikaṃ sakalaṃ.
๑๐๖๘. อตฺตโน สนฺตเกติ อตฺตโน ปุคฺคลิเก มญฺจาทิวิสเยฯ รุเทฺธติ วุฑฺฒภิกฺขุนา วา อิสฺสราทีหิ วา ยกฺขสีหาทีหิ วา มญฺจาทิเก รุเทฺธ อชฺฌาวุเตฺถ, อภิภวิตฺวา คหิเตติ อโตฺถ ฯ อาปทาสุปีติ พฺรหฺมจริยนฺตรายาทีสุ จ สเนฺตสุฯ คจฺฉโต ภิกฺขุโน อนาปตฺตีติ โยชนาฯ
1068.Attano santaketi attano puggalike mañcādivisaye. Ruddheti vuḍḍhabhikkhunā vā issarādīhi vā yakkhasīhādīhi vā mañcādike ruddhe ajjhāvutthe, abhibhavitvā gahiteti attho . Āpadāsupīti brahmacariyantarāyādīsu ca santesu. Gacchato bhikkhuno anāpattīti yojanā.
๑๐๖๙. กายวาจโต, กายวาจาจิตฺตโต จ สมุฎฺฐานํ กถินสมุฎฺฐานํ นามฯ ปญฺญตฺติํ อชานิตฺวา สยํ อนุทฺธรนฺตสฺส กาเยน โหติ, อนาปุจฺฉนฺตสฺส วาจาย โหติ, ปญฺญตฺติํ ชานิตฺวา เอวํ อกโรนฺตสฺส สจิตฺตเกน เตเนว ทฺวเยน สมุฎฺฐาตีติ เวทิตพฺพํฯ เลฑฺฑุปาตาติกฺกโม กฺริยํฯ มญฺจาทีนํ อนุทฺธรณาทิ อกฺริยํฯ
1069. Kāyavācato, kāyavācācittato ca samuṭṭhānaṃ kathinasamuṭṭhānaṃ nāma. Paññattiṃ ajānitvā sayaṃ anuddharantassa kāyena hoti, anāpucchantassa vācāya hoti, paññattiṃ jānitvā evaṃ akarontassa sacittakena teneva dvayena samuṭṭhātīti veditabbaṃ. Leḍḍupātātikkamo kriyaṃ. Mañcādīnaṃ anuddharaṇādi akriyaṃ.
ปฐมเสนาสนกถาวณฺณนาฯ
Paṭhamasenāsanakathāvaṇṇanā.
๑๐๗๐-๓. ภิสีติ ปฐมสิกฺขาปเท วุตฺตปญฺจปฺปการา อิมิสฺสา อฎฺฐกถาย ‘‘มญฺจกภิสิ วา ปีฐกภิสิ วา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๖) เอวํ ทสฺสิตภิสิ จฯ ปจฺจตฺถรณํ นาม ปาวาโร โกชโว วาฯ ‘‘เอตฺตกเมว วุตฺตนฺติ อฎฺฐกถาสุ วุตฺตํฯ ‘อิทญฺจ อฎฺฐกถาสุ ตถาวุตฺตภาวทสฺสนตฺถํ วุตฺตํ, อญฺญมฺปิ ตาทิสํ มญฺจปีเฐสุ อตฺถริตพฺพํ ปจฺจตฺถรณเมวา’ติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺต’’นฺติ (สารตฺถ. อฎฺฐ. ปาจิตฺติย ๓.๑๑๖) สารตฺถทีปนิยา ลิขิตํฯ นิสีทนนฺติ นิสีทนจีวรํฯ
1070-3.Bhisīti paṭhamasikkhāpade vuttapañcappakārā imissā aṭṭhakathāya ‘‘mañcakabhisi vā pīṭhakabhisi vā’’ti (pāci. aṭṭha. 116) evaṃ dassitabhisi ca. Paccattharaṇaṃ nāma pāvāro kojavo vā. ‘‘Ettakameva vuttanti aṭṭhakathāsu vuttaṃ. ‘Idañca aṭṭhakathāsu tathāvuttabhāvadassanatthaṃ vuttaṃ, aññampi tādisaṃ mañcapīṭhesu attharitabbaṃ paccattharaṇamevā’ti tīsupi gaṇṭhipadesu vutta’’nti (sārattha. aṭṭha. pācittiya 3.116) sāratthadīpaniyā likhitaṃ. Nisīdananti nisīdanacīvaraṃ.
ติณสนฺถาโร เอรกาทีนิ ติณานิ ทฺวีสุ ตีสุ ฐาเนสุ โคเปตฺวา กตสนฺถาโรฯ ปณฺณสนฺถาโร นาม นาฬิเกราทิปเณฺณ ตเถว โคเปตฺวา กตสนฺถาโรฯ สยนฺติ เอตฺถาติ เสยฺยาฯ ‘‘สพฺพจฺฉนฺนปริจฺฉเนฺน’’ติ อิทํ สหเสยฺยกถาย วุตฺตตฺถเมวฯ
Tiṇasanthāro erakādīni tiṇāni dvīsu tīsu ṭhānesu gopetvā katasanthāro. Paṇṇasanthāro nāma nāḷikerādipaṇṇe tatheva gopetvā katasanthāro. Sayanti etthāti seyyā. ‘‘Sabbacchannaparicchanne’’ti idaṃ sahaseyyakathāya vuttatthameva.
ทสวิธํ เสยฺยนฺติ ทสวิธาสุ เสยฺยาสุ อญฺญตรนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สนฺถริตฺวาปิ วาติ เอตฺถ ปิ-สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถ, โส สนฺถราเปตฺวาปีติ อิมํ สมฺปิเณฺฑติฯ วา-สทฺทํ ‘‘สยํ อนุทฺธริตฺวา’’ติ เอตฺถ ‘‘อนุทฺธริตฺวา วา’’ติ โยเชตฺวา ‘‘อนุทฺธราเปตฺวา วา’’ติ อยํ วิกโปฺป สงฺคยฺหติฯ ตํ เสยฺยํฯ
Dasavidhaṃ seyyanti dasavidhāsu seyyāsu aññataranti vuttaṃ hoti. Santharitvāpi vāti ettha pi-saddo sampiṇḍanattho, so santharāpetvāpīti imaṃ sampiṇḍeti. Vā-saddaṃ ‘‘sayaṃ anuddharitvā’’ti ettha ‘‘anuddharitvā vā’’ti yojetvā ‘‘anuddharāpetvā vā’’ti ayaṃ vikappo saṅgayhati. Taṃ seyyaṃ.
อารามสฺสูปจารนฺติ ‘‘อปริกฺขิตฺตสฺส อุปจาโร นาม เสนาสนโต เทฺว เลฑฺฑุปาตา’’ติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํ อุปจารมาหฯ อสฺสาติ วิหารสฺส ปริกฺขิตฺตสฺสฯ
Ārāmassūpacāranti ‘‘aparikkhittassa upacāro nāma senāsanato dve leḍḍupātā’’ti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ upacāramāha. Assāti vihārassa parikkhittassa.
๑๐๗๔. อุภเยสนฺติ เสนาสนเสยฺยานํฯ อโนฺตคเพฺภ สนฺถริตฺวา คจฺฉโตติ สมฺพโนฺธฯ
1074.Ubhayesanti senāsanaseyyānaṃ. Antogabbhe santharitvā gacchatoti sambandho.
๑๐๗๕. อุปจาเร วิหารสฺสาติ เอตฺถ วิหาโร นาม อโนฺตคพฺภาทิสพฺพปริจฺฉนฺนคุตฺตเสนาสนํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘วิหาโรติ อโนฺตคโพฺภ วา อญฺญํ วา สพฺพปริจฺฉนฺนํ คุตฺตเสนาสนํ เวทิตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๗)ฯ ตตฺถ อุปจาโร นาม ตํสมีปํ ฐานํฯ ยถาห ‘‘อุปจาเรติ ตสฺส พหิ อาสเนฺน โอกาเส’’ติฯ มณฺฑโป นาม ปริจฺฉนฺนาปริจฺฉนฺนสนฺนิปาตมณฺฑโปฯ ยถาห ‘‘มณฺฑเป วาติ อปริจฺฉเนฺน ปริจฺฉเนฺน วาปิ พหูนํ สนฺนิปาตมณฺฑเป’’ติฯ อาทิ-สเทฺทน อุปฎฺฐานสาลารุกฺขมูลานิ สงฺคหิตานิฯ อุปฎฺฐานสาลา นาม อคุตฺตา โภชนสาลาฯ ยถาห ‘‘อุปฎฺฐานสาลายํ วาติ โภชนสาลายํ วา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๗)ฯ อคุตฺตตา จ ‘‘ฐานสฺส อคุตฺตตายา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๗) อฎฺฐกถาวจนโต เวทิตพฺพาติฯ
1075.Upacāre vihārassāti ettha vihāro nāma antogabbhādisabbaparicchannaguttasenāsanaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘vihāroti antogabbho vā aññaṃ vā sabbaparicchannaṃ guttasenāsanaṃ veditabba’’nti (pāci. aṭṭha. 117). Tattha upacāro nāma taṃsamīpaṃ ṭhānaṃ. Yathāha ‘‘upacāreti tassa bahi āsanne okāse’’ti. Maṇḍapo nāma paricchannāparicchannasannipātamaṇḍapo. Yathāha ‘‘maṇḍape vāti aparicchanne paricchanne vāpi bahūnaṃ sannipātamaṇḍape’’ti. Ādi-saddena upaṭṭhānasālārukkhamūlāni saṅgahitāni. Upaṭṭhānasālā nāma aguttā bhojanasālā. Yathāha ‘‘upaṭṭhānasālāyaṃ vāti bhojanasālāyaṃ vā’’ti (pāci. aṭṭha. 117). Aguttatā ca ‘‘ṭhānassa aguttatāyā’’ti (pāci. aṭṭha. 117) aṭṭhakathāvacanato veditabbāti.
๑๐๗๖. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘สงฺฆิเก สงฺฆิกสญฺญี, เวมติโก, ปุคฺคลิกสญฺญี’’ติ วารตฺตเย ปาจิตฺติยตฺตยํ วุตฺตํฯ ทสวตฺถูสุ ภวํ ตทโนฺตคธตฺตาติ ทสวตฺถุกํ, ทสนฺนํ วา วตฺถุ ทสวตฺถุ, ตํเยว ทสวตฺถุกนฺติ ภิสิอาทิกํ อญฺญตรํ เสยฺยาภณฺฑํฯ ตสฺสาติ สนฺถารกสฺสฯ ‘‘ปุคฺคลิเก สงฺฆิกสญฺญี, เวมติโก, ปุคฺคลิกสญฺญี อญฺญสฺส ปุคฺคลิเก อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๑๗) ติกทุกฺกฎํ ทีปิตํฯ
1076.Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘saṅghike saṅghikasaññī, vematiko, puggalikasaññī’’ti vārattaye pācittiyattayaṃ vuttaṃ. Dasavatthūsu bhavaṃ tadantogadhattāti dasavatthukaṃ, dasannaṃ vā vatthu dasavatthu, taṃyeva dasavatthukanti bhisiādikaṃ aññataraṃ seyyābhaṇḍaṃ. Tassāti santhārakassa. ‘‘Puggalike saṅghikasaññī, vematiko, puggalikasaññī aññassa puggalike āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 117) tikadukkaṭaṃ dīpitaṃ.
๑๐๗๗. อุทฺธริตฺวาติ อตฺถตเสยฺยํ ยถา อุปจิกาหิ น ขชฺชติ, ตถา ปฎิสาเมตฺวา, ‘‘คจฺฉโต’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ อเญฺญน วุทฺธภิกฺขุอิสฺสราทินาฯ ปลิพุเทฺธติ เสนาสเน ปริพุเทฺธ นิวาริเตฯ
1077.Uddharitvāti atthataseyyaṃ yathā upacikāhi na khajjati, tathā paṭisāmetvā, ‘‘gacchato’’ti iminā sambandho. Aññena vuddhabhikkhuissarādinā. Palibuddheti senāsane paribuddhe nivārite.
๑๐๗๘. สาเปโกฺขว จ คนฺตฺวาติ ‘‘อเชฺชว คนฺตฺวา อิทํ ปฎิสาเมสฺสามี’’ติ อเปกฺขาสหิโตว คามนฺตราทิํ คนฺตฺวาฯ ยถาห ‘‘อเชฺชว อาคนฺตฺวา ปฎิชคฺคิสฺสามี’ติ เอวํ สาเปโกฺข นทีปารํ วา คามนฺตรํ วา คนฺตฺวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๘)ฯ ตตฺถ ฐตฺวาติ คตฎฺฐาเน ฐตฺวา, ตโต พหิ คจฺฉามีติ จิเตฺต อุปฺปเนฺนติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘ยตฺถสฺส คมนจิตฺตํ อุปฺปนฺนํ, ตเตฺถว ฐิโต’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๘)ฯ ตํ ปุจฺฉตีติ สมฺพโนฺธฯ ตํ เสยฺยํ กญฺจิ เปเสตฺวา อาปุจฺฉตีติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘กญฺจิ เปเสตฺวา อาปุจฺฉตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๘)ฯ เอตฺถ จ ปุริมสิกฺขาปเท มญฺจาทีนํ ปญฺญตฺตฎฺฐานโต อโนฺตวิหาเร วา โหตุ พหิ วา, เลฑฺฑุปาตาติกฺกเมน, อิธ อุปจาราติกฺกเมน ปาจิตฺติยนฺติ อยํ วิเสโส เวทิตโพฺพฯ
1078.Sāpekkhova ca gantvāti ‘‘ajjeva gantvā idaṃ paṭisāmessāmī’’ti apekkhāsahitova gāmantarādiṃ gantvā. Yathāha ‘‘ajjeva āgantvā paṭijaggissāmī’ti evaṃ sāpekkho nadīpāraṃ vā gāmantaraṃ vā gantvā’’ti (pāci. aṭṭha. 118). Tattha ṭhatvāti gataṭṭhāne ṭhatvā, tato bahi gacchāmīti citte uppanneti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘yatthassa gamanacittaṃ uppannaṃ, tattheva ṭhito’’ti (pāci. aṭṭha. 118). Taṃ pucchatīti sambandho. Taṃ seyyaṃ kañci pesetvā āpucchatīti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘kañci pesetvā āpucchatī’’ti (pāci. aṭṭha. 118). Ettha ca purimasikkhāpade mañcādīnaṃ paññattaṭṭhānato antovihāre vā hotu bahi vā, leḍḍupātātikkamena, idha upacārātikkamena pācittiyanti ayaṃ viseso veditabbo.
อโพฺภกาสมฺหิ มญฺจาทิํ, วิหาเร เสยฺยมตฺตกํ;
Abbhokāsamhi mañcādiṃ, vihāre seyyamattakaṃ;
หิตฺวา วชนฺตสฺส โทโส, เลฑฺฑุปาตูปจารโตติฯ
Hitvā vajantassa doso, leḍḍupātūpacāratoti.
ทุติยเสนาสนกถาวณฺณนาฯ
Dutiyasenāsanakathāvaṇṇanā.
๑๐๗๙. โย ภิกฺขุ สงฺฆิกาวาเส ปุพฺพุปคตํ ภิกฺขุํ ชานํ อนุปขชฺช เสยฺยํ กเปฺปยฺย เจ, อสฺส ภิกฺขุโน ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนาฯ ปุพฺพุปคโต นาม วสฺสเคฺคน ปาเปตฺวา ทินฺนํ เสนาสนํ คเหตฺวา วสโนฺตฯ ชานนฺติ ‘‘อนุฎฺฐาปนีโย อย’’นฺติ ชานโนฺตฯ อนุฎฺฐาปนียา นาม วุทฺธาทโยฯ ยถาห ปทภาชเน ‘‘ชานาติ นาม วุโฑฺฒติ, คิลาโนติ, สเงฺฆน ทิโนฺนติ ชานาตี’’ติ (ปาจิ. ๑๒๑)ฯ อนุปขชฺชาติ อนุปวิสิตฺวา, ตสฺส ปฐมํ ปญฺญตฺตํ มญฺจาทีนํ อาสนฺนตรํ วกฺขมานลกฺขณํ อุปจารํ ปวิสิตฺวาติ อโตฺถฯ เสยฺยํ กเปฺปยฺยาติ ทสวิธาสุ เสยฺยาสุ อญฺญตรํ อตฺถริตฺวา สยนํ กเรยฺย, นิปเชฺชยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ วกฺขติ จ ‘‘ทสสฺวญฺญตรํ เสยฺย’’นฺติอาทิฯ ‘‘นิสชฺชํ วา’’ติ เสโสฯ ยถาห ปทภาชเน ‘‘อภินิสีทติ วา อภินิปชฺชติ วา’’ติฯ
1079.Yo bhikkhu saṅghikāvāse pubbupagataṃ bhikkhuṃ jānaṃ anupakhajja seyyaṃ kappeyya ce, assa bhikkhuno pācittiyaṃ siyāti yojanā. Pubbupagato nāma vassaggena pāpetvā dinnaṃ senāsanaṃ gahetvā vasanto. Jānanti ‘‘anuṭṭhāpanīyo aya’’nti jānanto. Anuṭṭhāpanīyā nāma vuddhādayo. Yathāha padabhājane ‘‘jānāti nāma vuḍḍhoti, gilānoti, saṅghena dinnoti jānātī’’ti (pāci. 121). Anupakhajjāti anupavisitvā, tassa paṭhamaṃ paññattaṃ mañcādīnaṃ āsannataraṃ vakkhamānalakkhaṇaṃ upacāraṃ pavisitvāti attho. Seyyaṃ kappeyyāti dasavidhāsu seyyāsu aññataraṃ attharitvā sayanaṃ kareyya, nipajjeyyāti vuttaṃ hoti. Vakkhati ca ‘‘dasasvaññataraṃ seyya’’ntiādi. ‘‘Nisajjaṃ vā’’ti seso. Yathāha padabhājane ‘‘abhinisīdati vā abhinipajjati vā’’ti.
๑๐๘๐-๒. อุทฺทิฎฺฐมตฺถํ นิทฺทิสิตุกาโม ปฐมํ ‘‘อนุปขชฺชเสยฺยํ กเปฺปยฺยา’’ติ เอตฺถ วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปาทโธวนปาสาณา…เป.… ทุกฺกฎ’’นฺติฯ เสนาสนํ ปวิสนฺตสฺส ภิกฺขุโน ปาทโธวนปาสาณา ยาว ตํ มญฺจํ วา ปีฐํ วา นิกฺขมนฺตสฺส ปน มญฺจปีฐโต ยาว ปสฺสาวฎฺฐานํ, เอตฺถนฺตเร ตุ ยํ ฐานํ, อิทเมว อุปจาโรติ วุจฺจตีติ โยชนาฯ ตตฺถ อุปจาเรติ โยชนาฯ พาเธตุกามสฺสาติ ‘‘ยสฺส สมฺพาโธ ภวิสฺสติ, โส ปกฺกมิสฺสตี’’ติ เอวํ อุปฺปนฺนจิตฺตสฺสฯ สยนฺติ เอตฺถาติ วิคฺคโหฯ
1080-2. Uddiṭṭhamatthaṃ niddisitukāmo paṭhamaṃ ‘‘anupakhajjaseyyaṃ kappeyyā’’ti ettha vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘pādadhovanapāsāṇā…pe… dukkaṭa’’nti. Senāsanaṃ pavisantassa bhikkhuno pādadhovanapāsāṇā yāva taṃ mañcaṃ vā pīṭhaṃ vā nikkhamantassa pana mañcapīṭhato yāva passāvaṭṭhānaṃ, etthantare tu yaṃ ṭhānaṃ, idameva upacāroti vuccatīti yojanā. Tattha upacāreti yojanā. Bādhetukāmassāti ‘‘yassa sambādho bhavissati, so pakkamissatī’’ti evaṃ uppannacittassa. Sayanti etthāti viggaho.
๑๙๘๓. ‘‘ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ อุเทฺทสโต วุตฺตํ นิทฺทิสิตุมาห ‘‘นิสีทนฺตสฺสา’’ติอาทิฯ ตตฺถาติ ตถา อนุปขชฺช อตฺถตาย เสยฺยายฯ ‘‘ปาจิตฺติยทฺวย’’นฺติ อิทํ ‘‘เทฺวปิ กโรนฺตสฺสา’’ติ อิมํ ปจฺฉิมวิกปฺปํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ปุริมวิกปฺปทฺวเย ปน ‘‘นิสีทนฺตสฺส วา ปาจิตฺติยํ, นิปชฺชนฺตสฺส วา ปาจิตฺติย’’นฺติ วตฺตพฺพํฯ อิมสฺมิํ วิกปฺปตฺตเย ปเจฺจกํ ‘‘ติกปาจิตฺติยํ ติกทุกฺกฎ’’นฺติ อุภยสฺสาปิ วตฺตพฺพตา อฎฺฐกถายํ วุตฺตาฯ กถํ? สงฺฆิเก สงฺฆิกสญฺญี, เวมติโก, ปุคฺคลิกสญฺญี นิสชฺชํ กเปฺปติ, ปาจิตฺติยนฺติ นิสชฺชาย ติกปาจิตฺติยํ, เอวํ เสยฺยาย ติกปาจิตฺติยํ, อุภยตฺถ ติกปาจิตฺติยทฺวยนฺติ เอวํ วิกปฺปทฺวเย ทฺวาทส ปาจิตฺติยานิฯ ปุคฺคลิเก สงฺฆิกสญฺญี, เวมติโก, ปุคฺคลิกสญฺญี อญฺญสฺส ปุคฺคลิเก นิสชฺชํ กเปฺปติ, ทุกฺกฎนฺติ นิสชฺชาย ติกทุกฺกฎํ, เอวํ เสยฺยาย ติกทุกฺกฎํ, อุภยตฺถ ติกทุกฺกฎทฺวยนฺติ ทฺวาทส ทุกฺกฎานิ จ เวทิตพฺพานิฯ
1983. ‘‘Pācittiyassā’’ti uddesato vuttaṃ niddisitumāha ‘‘nisīdantassā’’tiādi. Tatthāti tathā anupakhajja atthatāya seyyāya. ‘‘Pācittiyadvaya’’nti idaṃ ‘‘dvepi karontassā’’ti imaṃ pacchimavikappaṃ sandhāya vuttaṃ. Purimavikappadvaye pana ‘‘nisīdantassa vā pācittiyaṃ, nipajjantassa vā pācittiya’’nti vattabbaṃ. Imasmiṃ vikappattaye paccekaṃ ‘‘tikapācittiyaṃ tikadukkaṭa’’nti ubhayassāpi vattabbatā aṭṭhakathāyaṃ vuttā. Kathaṃ? Saṅghike saṅghikasaññī, vematiko, puggalikasaññī nisajjaṃ kappeti, pācittiyanti nisajjāya tikapācittiyaṃ, evaṃ seyyāya tikapācittiyaṃ, ubhayattha tikapācittiyadvayanti evaṃ vikappadvaye dvādasa pācittiyāni. Puggalike saṅghikasaññī, vematiko, puggalikasaññī aññassa puggalike nisajjaṃ kappeti, dukkaṭanti nisajjāya tikadukkaṭaṃ, evaṃ seyyāya tikadukkaṭaṃ, ubhayattha tikadukkaṭadvayanti dvādasa dukkaṭāni ca veditabbāni.
๑๐๘๔. กโรนฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘นิสีทนาทิ’’นฺติ ปกรณโต ลพฺภติฯ ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘สงฺฆิเก สงฺฆิกสญฺญี, เวมติโก, ปุคฺคลิกสญฺญี’’ติ วิกปฺปตฺตเย ติกปาจิตฺติยํ ปาฬิยํ (ปาจิ. ๑๒๒) วุตฺตํฯ เอวํ ปุคฺคลิเกปิ ติกทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘ปุคฺคเล ติกทุกฺกฎ’’นฺติฯ อิมินา ยถาวุตฺตปาจิตฺติยทุกฺกฎานิ สามเญฺญน ติเก ปกฺขิปิตฺวา เอวํ วุตฺตานีติ เวทิตพฺพํฯ
1084.Karontassāti ettha ‘‘nisīdanādi’’nti pakaraṇato labbhati. Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘saṅghike saṅghikasaññī, vematiko, puggalikasaññī’’ti vikappattaye tikapācittiyaṃ pāḷiyaṃ (pāci. 122) vuttaṃ. Evaṃ puggalikepi tikadukkaṭaṃ vuttaṃ. Tenāha ‘‘puggale tikadukkaṭa’’nti. Iminā yathāvuttapācittiyadukkaṭāni sāmaññena tike pakkhipitvā evaṃ vuttānīti veditabbaṃ.
๑๐๘๕-๖. ‘‘วุตฺตูปจาร’’นฺติอาทิคาถาทฺวเย วิหารสฺส วุตฺตูปจารํ มุญฺจิตฺวา อุปจาเร วา อโพฺภกาเสปิ วา สนฺถรโตปิ วา สนฺถราปยโตปิ วา ตตฺถ นิสีทโต วา ทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ ตตฺถ สพฺพเตฺถว ตสฺส นิวาโส วาริโตติ โยชนาฯ ตตฺถ วิหารสฺสาติ ยถาวุตฺตเสนาสนสฺสฯ อุปจาเรติ อวิทูเรฯ อโพฺภกาเสติ ตสฺส เสนาสนสฺส นจฺจาสเนฺน องฺคณปฺปเทเสฯ
1085-6.‘‘Vuttūpacāra’’ntiādigāthādvaye vihārassa vuttūpacāraṃ muñcitvā upacāre vā abbhokāsepi vā santharatopi vā santharāpayatopi vā tattha nisīdato vā dukkaṭaṃ vuttaṃ. Tattha sabbattheva tassa nivāso vāritoti yojanā. Tattha vihārassāti yathāvuttasenāsanassa. Upacāreti avidūre. Abbhokāseti tassa senāsanassa naccāsanne aṅgaṇappadese.
นิสีทโต วาติ วาคฺคหเณน นิปชฺชโต วา เทฺวปิ กโรนฺตสฺส วาติ สงฺคณฺหาติฯ ยถาห ปาฬิยํ ‘‘อภินิสีทติ วา อภินิปชฺชติ วา, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๒๒)ฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ปุพฺพูปคตสฺส ปเตฺต เสนาสเนฯ สพฺพเตฺถวาติ ยถาวุตฺตูปจารโต อโนฺต จ พหิ จ อนฺตมโส อโชฺฌกาเสปีติ สพฺพเตฺถวฯ ตสฺสาติ อนตฺตมนสฺส อนุปขชฺช เสยฺยํ กปฺปยโต ตสฺส วิสภาคปุคฺคลสฺสฯ นิวาโส วาริโต ปรวิเหฐเกน สหวาสสฺส มหานตฺถกรตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เอวรูเปน หิ วิสภาคปุคฺคเลน เอกวิหาเร วา เอกงฺคเณ วา วสเนฺตน อโตฺถ นตฺถิ, ตสฺมา สพฺพเตฺถวสฺส นิวาโส วาริโต’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๒๒)ฯ
Nisīdato vāti vāggahaṇena nipajjato vā dvepi karontassa vāti saṅgaṇhāti. Yathāha pāḷiyaṃ ‘‘abhinisīdati vā abhinipajjati vā, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 122). Tatthāti tasmiṃ pubbūpagatassa patte senāsane. Sabbatthevāti yathāvuttūpacārato anto ca bahi ca antamaso ajjhokāsepīti sabbattheva. Tassāti anattamanassa anupakhajja seyyaṃ kappayato tassa visabhāgapuggalassa. Nivāso vārito paraviheṭhakena sahavāsassa mahānatthakarattāti adhippāyo. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘evarūpena hi visabhāgapuggalena ekavihāre vā ekaṅgaṇe vā vasantena attho natthi, tasmā sabbatthevassa nivāso vārito’’ti (pāci. aṭṭha. 122).
๑๐๘๗. ‘‘สีตาทิอุปปีฬิตสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโท, สีตาทีหิ อุปปีฬิตสฺส พาธิตสฺสาติ อโตฺถฯ อาทิ-สเทฺทน ‘‘อุเณฺหน วา’’ติอาทิกํ สงฺคณฺหาติฯ ยถาห ‘‘สีเตน วา อุเณฺหน วา ปีฬิโต ปวิสตี’’ติฯ เอตฺถ อาปทา นาม พหิ สยนฺตสฺส ชีวิตพฺรหฺมจริยนฺตรายาปชฺชนํฯ
1087. ‘‘Sītādiupapīḷitassā’’ti padacchedo, sītādīhi upapīḷitassa bādhitassāti attho. Ādi-saddena ‘‘uṇhena vā’’tiādikaṃ saṅgaṇhāti. Yathāha ‘‘sītena vā uṇhena vā pīḷito pavisatī’’ti. Ettha āpadā nāma bahi sayantassa jīvitabrahmacariyantarāyāpajjanaṃ.
๑๐๘๘. อิทํ สิกฺขาปทํ ทุกฺขเวทนํ โหตีติ โยชนาฯ
1088.Idaṃ sikkhāpadaṃ dukkhavedanaṃ hotīti yojanā.
อนุปขชฺชกถาวณฺณนาฯ
Anupakhajjakathāvaṇṇanā.
๑๐๘๙. นิกฺกเฑฺฒยฺยาติ นีหเรยฺยฯ นิกฺกฑฺฒาเปยฺย วาติ นีหราเปยฺย วาฯ
1089.Nikkaḍḍheyyāti nīhareyya. Nikkaḍḍhāpeyya vāti nīharāpeyya vā.
๑๙๙๐. พหู ภูมิโย วาลิกาตลสงฺขาตา ยสฺส โส พหุภูโม, ปาสาโทฯ สมาสนฺตวิธิวเสน ‘‘พหุภูโม’’ติ วุจฺจติฯ
1990. Bahū bhūmiyo vālikātalasaṅkhātā yassa so bahubhūmo, pāsādo. Samāsantavidhivasena ‘‘bahubhūmo’’ti vuccati.
๑๐๙๑. ฐเปตฺวา ฐเปตฺวาติ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน คตินิวตฺติํ กตฺวา กตฺวาฯ
1091.Ṭhapetvā ṭhapetvāti tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne gatinivattiṃ katvā katvā.
๑๐๙๒. อยํ นโยติ ‘‘นิกฺขมา’ติ เอกวจเนน คจฺฉเนฺต อเนเกปิ ทฺวารโกฎฺฐเก อติกฺกเนฺต อาณาปกสฺส เอกาว อาปตฺติ โหติ, ฐิตฎฺฐานโต ฐตฺวา ฐตฺวา นีหรนฺตสฺส ทฺวารโกฎฺฐคณนาย โหตี’’ติ อยํ นโยฯ อาณตฺติยา ขเณเยวาติ ‘‘อิมํ นิกฺกฑฺฒาหี’’ติ อาณตฺติกฺขเณเยวฯ
1092.Ayaṃ nayoti ‘‘nikkhamā’ti ekavacanena gacchante anekepi dvārakoṭṭhake atikkante āṇāpakassa ekāva āpatti hoti, ṭhitaṭṭhānato ṭhatvā ṭhatvā nīharantassa dvārakoṭṭhagaṇanāya hotī’’ti ayaṃ nayo. Āṇattiyā khaṇeyevāti ‘‘imaṃ nikkaḍḍhāhī’’ti āṇattikkhaṇeyeva.
๑๐๙๓. เอกาวาติ เอตฺถ ‘‘ปาจิตฺติ โหตี’’ติ วตฺตโพฺพฯ พหุกานิ เจติ เอตฺถ ‘‘ทฺวารานี’’ติ วตฺตพฺพํ, อติกฺกาเมตีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘เอตฺตเก ทฺวารโกฎฺฐเก อติกฺกมาเปตฺวา นิกฺกฑฺฒาหี’’ติ จ ‘‘ยาว ปริยนฺตทฺวารโกฎฺฐกา นิกฺกฑฺฒาหี’’ติ จ ‘‘พหู ทฺวารโกฎฺฐเก อติกฺกาเมตฺวา นิกฺกฑฺฒาหี’’ติ จ อาณตฺตตฺตา พหู ทฺวารโกฎฺฐเก อติกฺกาเมตฺวา สเจ นิกฺกฑฺฒตีติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สเจ ปน เอตฺตกานิ ทฺวารานิ นิกฺกฑฺฒาหี’ติ วา ‘ยาว มหาทฺวารํ, ตาว นิกฺกฑฺฒาหี’ติ วา เอวํ นิยเมตฺวา อาณโตฺต โหติ, ทฺวารคณนาย ปาจิตฺติยานี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๒๖)ฯ พหูนิ ปาจิตฺติยานิ โหนฺตีติ โยชนาฯ
1093.Ekāvāti ettha ‘‘pācitti hotī’’ti vattabbo. Bahukāni ceti ettha ‘‘dvārānī’’ti vattabbaṃ, atikkāmetīti sambandho. ‘‘Ettake dvārakoṭṭhake atikkamāpetvā nikkaḍḍhāhī’’ti ca ‘‘yāva pariyantadvārakoṭṭhakā nikkaḍḍhāhī’’ti ca ‘‘bahū dvārakoṭṭhake atikkāmetvā nikkaḍḍhāhī’’ti ca āṇattattā bahū dvārakoṭṭhake atikkāmetvā sace nikkaḍḍhatīti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sace pana ettakāni dvārāni nikkaḍḍhāhī’ti vā ‘yāva mahādvāraṃ, tāva nikkaḍḍhāhī’ti vā evaṃ niyametvā āṇatto hoti, dvāragaṇanāya pācittiyānī’’ti (pāci. aṭṭha. 126). Bahūni pācittiyāni hontīti yojanā.
๑๐๙๔. อุปฎฺฐานสาลาทีติ เอตฺถ นิสฺสกฺกเตฺถ ปจฺจตฺตวจนโต อุปฎฺฐานสาลาทิโตติ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ ‘‘อุปจารโต’’ติ อิมินา สมานาธิกรณตฺตา วิหารสฺส อุปฎฺฐานสาลาทิโต อุปจารโตติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห คณฺฐิปเท ‘‘อุปจาโร นาม อุปฎฺฐานสาลาทิมตฺตเมวา’’ติฯ กาเยนปิ วาจายปิ ตถา นิกฺกฑฺฒเน จ ทุกฺกฎนฺติ วกฺขมาเนน สห โยชนาฯ ตสฺสาติ อุปสมฺปนฺนสฺสฯ อาทิ-สเทฺทน มณฺฑปาทโย คหิตาฯ ยถาห ‘‘วิหารสฺส อุปจารา วา อุปฎฺฐานสาลาย วา มณฺฑปา วา รุกฺขมูลา วา อโชฺฌกาสา วา นิกฺกฑฺฒติ วา นิกฺกฑฺฒาเปติ วา, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๒๗)ฯ ‘‘วาจายา’’ติ อิมินา ‘‘นิกฺขมา’’ติ จ ‘‘อิมํ นิกฺกฑฺฒาหี’’ติ อาณาปนญฺจ คหิตํฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา เอเกน ปโยเคน เอกาปตฺติ, นานาปโยเคสุ ปโยคคณนาย, ทฺวารคณนาย วา โหตีติ วุตฺตเมว ปการํ อุปสํหรติฯ
1094.Upaṭṭhānasālādīti ettha nissakkatthe paccattavacanato upaṭṭhānasālāditoti attho gahetabbo. ‘‘Upacārato’’ti iminā samānādhikaraṇattā vihārassa upaṭṭhānasālādito upacāratoti vuttaṃ hoti. Yathāha gaṇṭhipade ‘‘upacāro nāma upaṭṭhānasālādimattamevā’’ti. Kāyenapi vācāyapi tathā nikkaḍḍhane ca dukkaṭanti vakkhamānena saha yojanā. Tassāti upasampannassa. Ādi-saddena maṇḍapādayo gahitā. Yathāha ‘‘vihārassa upacārā vā upaṭṭhānasālāya vā maṇḍapā vā rukkhamūlā vā ajjhokāsā vā nikkaḍḍhati vā nikkaḍḍhāpeti vā, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 127). ‘‘Vācāyā’’ti iminā ‘‘nikkhamā’’ti ca ‘‘imaṃ nikkaḍḍhāhī’’ti āṇāpanañca gahitaṃ. ‘‘Tathā’’ti iminā ekena payogena ekāpatti, nānāpayogesu payogagaṇanāya, dvāragaṇanāya vā hotīti vuttameva pakāraṃ upasaṃharati.
๑๐๙๕. ‘‘ตถา’’ติ อิทํ ‘‘อิตรํ นิกฺกฑฺฒนฺตสฺส ทุกฺกฎ’’นฺติ อิมินาปิ โยเชตพฺพํฯ ยถา วิหารูปจารโต อุปฎฺฐานสาลาทิโต อุปสมฺปนฺนํ นิกฺกฑฺฒนฺตสฺส, นิกฺกฑฺฒาเปนฺตสฺส จ ทุกฺกฎํ โหติ, ตถา อนุปสมฺปนฺนสฺส วิหารโต จ วิหารูปจารโต จ นิกฺกฑฺฒนาทิํ กโรนฺตสฺส ภิกฺขุโน ทุกฺกฎํ โหตีติ อโตฺถฯ ตถา วิหารสฺสูปจารา วา วิหารา วา สเพฺพสมฺปิ ปริกฺขารํ นิกฺกฑฺฒนฺตสฺส ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ สเพฺพสนฺติ อุปสมฺปนฺนานุปสมฺปนฺนานํฯ ปริกฺขารนฺติ อนฺตมโส รชนฉลฺลิปิ สงฺคยฺหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อนฺตมโส รชนฉลฺลิมฺปี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๒๖)ฯ
1095. ‘‘Tathā’’ti idaṃ ‘‘itaraṃ nikkaḍḍhantassa dukkaṭa’’nti imināpi yojetabbaṃ. Yathā vihārūpacārato upaṭṭhānasālādito upasampannaṃ nikkaḍḍhantassa, nikkaḍḍhāpentassa ca dukkaṭaṃ hoti, tathā anupasampannassa vihārato ca vihārūpacārato ca nikkaḍḍhanādiṃ karontassa bhikkhuno dukkaṭaṃ hotīti attho. Tathā vihārassūpacārā vā vihārā vā sabbesampi parikkhāraṃ nikkaḍḍhantassa dukkaṭanti yojanā. Sabbesanti upasampannānupasampannānaṃ. Parikkhāranti antamaso rajanachallipi saṅgayhati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘antamaso rajanachallimpī’’ti (pāci. aṭṭha. 126).
๑๐๙๖. ‘‘อสมฺพเทฺธสู’’ติ อิมินา พฺยติเรกโต อสิถิลพเทฺธสุ ปริกฺขาเรสุ เอกิสฺสาเยว อาปตฺติยา สมฺภวํ ทเสฺสติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘คาฬฺหํ พนฺธิตฺวา ฐปิเตสุ ปน เอกาว อาปตฺตี’ติ มหาปจฺจริยํ วุตฺต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๒๖)ฯ สิถิลพนฺธนํ ปน สมฺมา พนฺธนํ น โหตีติ อสมฺพทฺธวจเนน คหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อสฺส ภิกฺขุสฺส วตฺถูนํ คณนาย ทุกฺกฎํ ปริทีปเยติ โยชนา, ปริกฺขารํ นีหรนฺตสฺส, นีหราเปนฺตสฺส จ อสฺส ภิกฺขุโนติ วุตฺตํ โหติฯ
1096.‘‘Asambaddhesū’’ti iminā byatirekato asithilabaddhesu parikkhāresu ekissāyeva āpattiyā sambhavaṃ dasseti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘gāḷhaṃ bandhitvā ṭhapitesu pana ekāva āpattī’ti mahāpaccariyaṃ vutta’’nti (pāci. aṭṭha. 126). Sithilabandhanaṃ pana sammā bandhanaṃ na hotīti asambaddhavacanena gahitanti daṭṭhabbaṃ. Assa bhikkhussa vatthūnaṃ gaṇanāya dukkaṭaṃ paridīpayeti yojanā, parikkhāraṃ nīharantassa, nīharāpentassa ca assa bhikkhunoti vuttaṃ hoti.
๑๐๙๗-๘. อเนฺตวาสินฺติ จ สทฺธิวิหาริกนฺติ จ เอตฺถ ‘‘อสมฺมาวตฺตนฺต’’นฺติ เสโสฯ ยถาห อนาปตฺติวาเร ‘‘อเนฺตวาสิกํ วา สทฺธิวิหาริกํ วา น สมฺมา วตฺตนฺตํ นิกฺกฑฺฒตี’’ติอาทิ (ปาจิ. ๑๒๘)ฯ นิกฺกฑฺฒนฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘นิกฺกฑฺฒาเปนฺตสฺสา’’ติ เสโสฯ อสมฺมาวตฺตนฺตํ อเนฺตวาสิํ วา อลชฺชิํ วา ตถา อสมฺมาวตฺตนฺตํ สทฺธิวิหาริกํ วา อุมฺมตฺตกํ วา เตสํ อเนฺตวาสิอาทีนํ ปริกฺขารํ วา อตฺตโน วสนฎฺฐานา วา ตถา วิสฺสาสิกสฺส วสนฎฺฐานา วา นิกฺกฑฺฒนฺตสฺส, นิกฺกฑฺฒาเปนฺตสฺส วา อุปสมฺปนฺนํ วา อนุปสมฺปนฺนํ วา สงฺฆิกวิหารา นิกฺกฑฺฒนฺตสฺส สยํ อุมฺมตฺตกสฺส วา อนาปตฺติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ
1097-8.Antevāsinti ca saddhivihārikanti ca ettha ‘‘asammāvattanta’’nti seso. Yathāha anāpattivāre ‘‘antevāsikaṃ vā saddhivihārikaṃ vā na sammā vattantaṃ nikkaḍḍhatī’’tiādi (pāci. 128). Nikkaḍḍhantassāti ettha ‘‘nikkaḍḍhāpentassā’’ti seso. Asammāvattantaṃ antevāsiṃ vā alajjiṃ vā tathā asammāvattantaṃ saddhivihārikaṃ vā ummattakaṃ vā tesaṃ antevāsiādīnaṃ parikkhāraṃ vā attano vasanaṭṭhānā vā tathā vissāsikassa vasanaṭṭhānā vā nikkaḍḍhantassa, nikkaḍḍhāpentassa vā upasampannaṃ vā anupasampannaṃ vā saṅghikavihārā nikkaḍḍhantassa sayaṃ ummattakassa vā anāpatti pakāsitāti yojanā.
อฎฺฐกถายํ ‘‘อลชฺชีอาทโย ปน อตฺตโน วสนฎฺฐานโตเยว นิกฺกฑฺฒิตพฺพา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๒๘) วุตฺตํ, ปาฬิยญฺจ ‘‘อตฺตโน ปุคฺคลิเก อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. ๑๒๗) วุตฺตํ, ‘‘อตฺตโน วิสฺสาสิกสฺส วสนฎฺฐานา’’ติ อิทํ กสฺมา วุตฺตนฺติ เจ? อิมเสฺสว ปาฐสฺส อนุโลมโต วุตฺตํฯ อเนฺตวาสิกนฺติอาทีสุ ปฐมํ อสมฺมาวตฺตนาทิภาเวน ‘‘นิกฺกฑฺฒิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา นิกฺกฑฺฒนฺตสฺส จิตฺตลหุปริวตฺติตาย โกเป อุปฺปเนฺนปิ อนาปตฺติฯ
Aṭṭhakathāyaṃ ‘‘alajjīādayo pana attano vasanaṭṭhānatoyeva nikkaḍḍhitabbā’’ti (pāci. aṭṭha. 128) vuttaṃ, pāḷiyañca ‘‘attano puggalike anāpattī’’ti (pāci. 127) vuttaṃ, ‘‘attano vissāsikassa vasanaṭṭhānā’’ti idaṃ kasmā vuttanti ce? Imasseva pāṭhassa anulomato vuttaṃ. Antevāsikantiādīsu paṭhamaṃ asammāvattanādibhāvena ‘‘nikkaḍḍhissāmī’’ti cintetvā nikkaḍḍhantassa cittalahuparivattitāya kope uppannepi anāpatti.
๑๐๙๙. ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘นิกฺกฑฺฒนฺตสฺสา’’ติ จ ตเตฺถว เสสํ ‘‘นิกฺกฑฺฒาเปนฺตสฺสา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๒๖) จ ‘‘ตสฺส ปริกฺขารํ วา’’ติ จ ยถาวุตฺตํ อุปสํหรติฯ ‘‘สงฺฆารามาปิ สพฺพสฺมา’’ติ อิทํ กลหการเกเนว โยเชตพฺพํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ภณฺฑนการกกลหการกเมว สกลสงฺฆารามโต นิกฺกฑฺฒิตุํ ลภติฯ โส หิ ปกฺขํ ลภิตฺวา สงฺฆมฺปิ ภิเนฺทยฺยา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๒๘)ฯ อิทํ ตูติ เอตฺถ วิเสสตฺถโชตเกน ตุ-สเทฺทน วุตฺตวิเสสนํ วินา อวเสสวินิจฺฉโย อนนฺตรสทิโสเยวาติ ทีเปติฯ ติสมุฎฺฐานํ กายจิตฺตวาจาจิตฺตกายวาจาจิตฺตโต สมุฎฺฐานโตติฯ
1099.‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘nikkaḍḍhantassā’’ti ca tattheva sesaṃ ‘‘nikkaḍḍhāpentassā’’ti (pāci. aṭṭha. 126) ca ‘‘tassa parikkhāraṃ vā’’ti ca yathāvuttaṃ upasaṃharati. ‘‘Saṅghārāmāpi sabbasmā’’ti idaṃ kalahakārakeneva yojetabbaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘bhaṇḍanakārakakalahakārakameva sakalasaṅghārāmato nikkaḍḍhituṃ labhati. So hi pakkhaṃ labhitvā saṅghampi bhindeyyā’’ti (pāci. aṭṭha. 128). Idaṃ tūti ettha visesatthajotakena tu-saddena vuttavisesanaṃ vinā avasesavinicchayo anantarasadisoyevāti dīpeti. Tisamuṭṭhānaṃ kāyacittavācācittakāyavācācittato samuṭṭhānatoti.
นิกฺกฑฺฒนกถาวณฺณนาฯ
Nikkaḍḍhanakathāvaṇṇanā.
๑๑๐๐-๑. มชฺฌิมาสีสฆฎฺฎายาติ สีสํ น ฆเฎฺฎตีติ อสีสฆฎฺฎา, มชฺฌิมสฺส อสีสฆฎฺฎา มชฺฌิมาสีสฆฎฺฎา, ตาย, ปมาณมชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส สีสาฆฎฺฎนปฺปมาณุเพฺพธเหฎฺฐิมตลายาติ อโตฺถฯ เวหาสกุฎิยาติ ปทราทีหิ อุปริ อจฺฉนฺนตลาย ทฺวิภูมิกาทิเภทาย กุฎิยาฯ อุปรีติ มตฺถเก, อกตปทราทิอตฺถรณาย ตุลามตฺตยุตฺตาย อุปริมตเลติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ยาหิ กาหิจิ อุปริ อจฺฉนฺนตลา ทฺวิภูมิกกุฎิ วา ติภูมิกาทิกุฎิ วา ‘เวหาสกุฎี’ติ วุจฺจติ, อิธ ปน อสีสฆฎฺฎา อธิเปฺปตา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๑)ฯ อาหจฺจปาทเก มเญฺจติ ‘‘อาหจฺจปาทโก นาม มโญฺจ อเงฺค วิชฺฌิตฺวา ฐิโต โหตี’’ติ ปาฬิยํ ทสฺสิเต อฎนิสีสานิ วิชฺฌิตฺวา ปาทสิขํ อาวุณิตฺวา อุปริสิขาย อนาโกฎิตอาณิมฺหิ ฐิตมเญฺจติ อโตฺถฯ อาหจฺจปาทเก ปีเฐติ สมฺพโนฺธฯ ยถาห ปาฬิยํ ‘‘อาหจฺจปาทกํ นาม ปีฐํ อเงฺค วิชฺฌิตฺวา ฐิตํ โหตี’’ติ (ปาจิ. ๑๓๑)ฯ โสเยวโตฺถฯ
1100-1.Majjhimāsīsaghaṭṭāyāti sīsaṃ na ghaṭṭetīti asīsaghaṭṭā, majjhimassa asīsaghaṭṭā majjhimāsīsaghaṭṭā, tāya, pamāṇamajjhimassa purisassa sīsāghaṭṭanappamāṇubbedhaheṭṭhimatalāyāti attho. Vehāsakuṭiyāti padarādīhi upari acchannatalāya dvibhūmikādibhedāya kuṭiyā. Uparīti matthake, akatapadarādiattharaṇāya tulāmattayuttāya uparimataleti vuttaṃ hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yāhi kāhici upari acchannatalā dvibhūmikakuṭi vā tibhūmikādikuṭi vā ‘vehāsakuṭī’ti vuccati, idha pana asīsaghaṭṭā adhippetā’’ti (pāci. aṭṭha. 131). Āhaccapādakemañceti ‘‘āhaccapādako nāma mañco aṅge vijjhitvā ṭhito hotī’’ti pāḷiyaṃ dassite aṭanisīsāni vijjhitvā pādasikhaṃ āvuṇitvā uparisikhāya anākoṭitaāṇimhi ṭhitamañceti attho. Āhaccapādake pīṭheti sambandho. Yathāha pāḷiyaṃ ‘‘āhaccapādakaṃ nāma pīṭhaṃ aṅge vijjhitvā ṭhitaṃ hotī’’ti (pāci. 131). Soyevattho.
ตสฺมิํ อาหจฺจปาทเก มเญฺจ วา ปีเฐ วา นิสีทนฺตสฺส วา นิปชฺชนฺตสฺส วา ตสฺส ภิกฺขุโน ปโยคคณนาย ปาจิตฺติโย สิยุนฺติ โยชนาฯ
Tasmiṃ āhaccapādake mañce vā pīṭhe vā nisīdantassa vā nipajjantassa vā tassa bhikkhuno payogagaṇanāya pācittiyo siyunti yojanā.
๑๑๐๒-๓. สงฺฆิเก สงฺฆิกสญฺญิเวมติกปุคฺคลิกสญฺญีนํ วเสน ติกปาจิตฺติยํฯ ปุคฺคเลติ ปุคฺคลิเก วิหาเรฯ เวหาสกุฎิยา…เป.… คณนาเยว ตสฺส ติกทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ ปุคฺคลิเก สงฺฆิกสญฺญิเวมติกอญฺญปุคฺคลิกสญฺญีนํ วเสน ติกทุกฺกฎํฯ
1102-3. Saṅghike saṅghikasaññivematikapuggalikasaññīnaṃ vasena tikapācittiyaṃ. Puggaleti puggalike vihāre. Vehāsakuṭiyā…pe… gaṇanāyeva tassa tikadukkaṭanti yojanā. Puggalike saṅghikasaññivematikaaññapuggalikasaññīnaṃ vasena tikadukkaṭaṃ.
เหฎฺฐา อปริโภเค วาติ ทารุสมฺภาราทีนํ วเสน เหฎฺฐิมตเล อวลเญฺช วาฯ สีสฆฎฺฎาย วาติ สีสฆฎฺฎนปฺปมาณตลาย กุฎิยา วาฯ อเวหาสวิหาเร วาติ อเวหาสกุฎิยา ภูมิยํ กตปณฺณสาลาทีสุฯ เอตฺถาปิ ‘‘วิสฺสาสิกวิหาเร’’ติ อิทํ ‘‘อตฺตโน ปุคฺคลิเก อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. ๑๓๒) อิมสฺส อนุโลมนโต วุตฺตํฯ
Heṭṭhā aparibhoge vāti dārusambhārādīnaṃ vasena heṭṭhimatale avalañje vā. Sīsaghaṭṭāya vāti sīsaghaṭṭanappamāṇatalāya kuṭiyā vā. Avehāsavihāre vāti avehāsakuṭiyā bhūmiyaṃ katapaṇṇasālādīsu. Etthāpi ‘‘vissāsikavihāre’’ti idaṃ ‘‘attano puggalike anāpattī’’ti (pāci. 132) imassa anulomanato vuttaṃ.
๑๑๐๔. ยตฺถ ปฎาณิ วา ทินฺนาติ ยสฺมิํ มเญฺจ ปาทสีสานํ อุปริ อฎนิมตฺถกโต ติริยํ อาณิ ปเวสิตา โหติ, ตตฺถ อภินิสีทโต, อภินิปชฺชโต วา น โทโสติ โยชนาฯ ตตฺถาติ ปุเพฺพ วุตฺตอปเวสิตปฎาณิมฺหิ มเญฺจ วา ปีเฐ วาฯ ‘‘ฐตฺวา’’ติ อิมินา นิปชฺชนํ นิวเตฺตติฯ ลเคตีติ อุปริพทฺธองฺกุสสิกฺกาทีสุ ยํ กิญฺจิ ปริกฺขารํ ลเคติฯ อิทํ สิกฺขาปทํ สมุฎฺฐานโต เอฬกโลเมน สิกฺขาปเทน สมํ มตนฺติ โยชนาฯ
1104.Yattha paṭāṇi vā dinnāti yasmiṃ mañce pādasīsānaṃ upari aṭanimatthakato tiriyaṃ āṇi pavesitā hoti, tattha abhinisīdato, abhinipajjato vā na dosoti yojanā. Tatthāti pubbe vuttaapavesitapaṭāṇimhi mañce vā pīṭhe vā. ‘‘Ṭhatvā’’ti iminā nipajjanaṃ nivatteti. Lagetīti uparibaddhaaṅkusasikkādīsu yaṃ kiñci parikkhāraṃ lageti. Idaṃ sikkhāpadaṃ samuṭṭhānato eḷakalomena sikkhāpadena samaṃ matanti yojanā.
เวหาสกุฎิกถาวณฺณนาฯ
Vehāsakuṭikathāvaṇṇanā.
๑๑๐๕. ยาว ทฺวารสฺส โกสมฺหาติ เอตฺถ ‘‘มหลฺลกสฺส วิหารสฺสา’’ติ เสโส, ‘‘มหลฺลโก นาม วิหาโร สสฺสามิโก วุจฺจตี’’ติ (ปาจิ. ๑๓๖) ปาฬิยํ วุตฺตตฺตา การาเปตานํ ทายกานํ สมฺภวโต มหลฺลกสฺส ‘‘วิหาโร นาม อุลฺลิโตฺต วา โหติ อวลิโตฺต วา อุลฺลิตฺตาวลิโตฺต วา’’ติ ทสฺสิตเภทสฺส วิหารสฺส ทฺวารโกสสงฺขาตปิฎฺฐสงฺฆาฎสฺส ‘‘สมนฺตา หตฺถปาสา’’ติ (ปาจิ. ๑๓๖) ปาฬิยํ วุตฺตทฺวารกวาฎปุถุลปฺปมาณทฺวารพาหสมีปํ อวธิํ กตฺวาติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ทฺวารโกโส นาม ปิฎฺฐสงฺฆาฎสฺส สมนฺตา กวาฎวิตฺถารปฺปมาโณ โอกาโส’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๕)ฯ
1105.Yāva dvārassa kosamhāti ettha ‘‘mahallakassa vihārassā’’ti seso, ‘‘mahallako nāma vihāro sassāmiko vuccatī’’ti (pāci. 136) pāḷiyaṃ vuttattā kārāpetānaṃ dāyakānaṃ sambhavato mahallakassa ‘‘vihāro nāma ullitto vā hoti avalitto vā ullittāvalitto vā’’ti dassitabhedassa vihārassa dvārakosasaṅkhātapiṭṭhasaṅghāṭassa ‘‘samantā hatthapāsā’’ti (pāci. 136) pāḷiyaṃ vuttadvārakavāṭaputhulappamāṇadvārabāhasamīpaṃ avadhiṃ katvāti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘dvārakoso nāma piṭṭhasaṅghāṭassa samantā kavāṭavitthārappamāṇo okāso’’ti (pāci. aṭṭha. 135).
อคฺคฬฎฺฐปนายาติ เอตฺถ อคฺคฬสหจริเยน ตํสหิตทฺวารกวาเฎน ยุตฺตทฺวารพาหานเมว วุตฺตตฺตา ทฺวารพาหานํ นิจฺจลตฺถายาติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สกวาฎสฺส ทฺวารพนฺธสฺส นิจฺจลภาวตฺถายาติ อโตฺถ’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๕)ฯ ลิมฺปิตพฺพนฺติ เอตฺถ ‘‘ปุนปฺปุน’’นฺติ เสโสฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ปุนปฺปุนํ ลิมฺปิตโพฺพ วา เลปาเปตโพฺพ วา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๕)ฯ ติณมตฺติกานํ อุปริ ปุนปฺปุนํ มตฺติกาเลโป กาตโพฺพติ อโตฺถฯ
Aggaḷaṭṭhapanāyāti ettha aggaḷasahacariyena taṃsahitadvārakavāṭena yuttadvārabāhānameva vuttattā dvārabāhānaṃ niccalatthāyāti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sakavāṭassa dvārabandhassa niccalabhāvatthāyāti attho’’ti (pāci. aṭṭha. 135). Limpitabbanti ettha ‘‘punappuna’’nti seso. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘punappunaṃ limpitabbo vā lepāpetabbo vā’’ti (pāci. aṭṭha. 135). Tiṇamattikānaṃ upari punappunaṃ mattikālepo kātabboti attho.
๑๑๐๖-๗. โย เญโยฺย, อยํ นโยติ สมฺพโนฺธ, ‘‘ปุนปฺปุนํ ลิมฺปิตพฺพํ วา เลปาเปตพฺพเมว วา’’ติ โย วุโตฺต, อยํ นโย เวทิตโพฺพติ อโตฺถฯ อาโลกํ สเนฺธติ ปิเธตีติ อาโลกสนฺธิ, วาตปานกวาฎานเมตํ อธิวจนํฯ ยถาห ‘‘อาโลกสนฺธีติ วาตปานกวาฎกา วุจฺจนฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๕)ฯ เอตฺถ กวาฎสฺส สามนฺตา กวาฎทฺวารผลกวิตฺถารปฺปมาณํ เลปฎฺฐานํฯ ยถาห ‘‘สพฺพทิสาสุ กวาฎวิตฺถารปฺปมาโณ โอกาโส’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๕)ฯ
1106-7. Yo ñeyyo, ayaṃ nayoti sambandho, ‘‘punappunaṃ limpitabbaṃ vā lepāpetabbameva vā’’ti yo vutto, ayaṃ nayo veditabboti attho. Ālokaṃ sandheti pidhetīti ālokasandhi, vātapānakavāṭānametaṃ adhivacanaṃ. Yathāha ‘‘ālokasandhīti vātapānakavāṭakā vuccantī’’ti (pāci. aṭṭha. 135). Ettha kavāṭassa sāmantā kavāṭadvāraphalakavitthārappamāṇaṃ lepaṭṭhānaṃ. Yathāha ‘‘sabbadisāsu kavāṭavitthārappamāṇo okāso’’ti (pāci. aṭṭha. 135).
เอตฺถายมธิปฺปาโย – วาตปานกวาฎสฺส สามนฺตา ทฺวารผลกวิตฺถารปฺปมาเณ ฐาเน ติณฺณํ มตฺติกานํ อุปริปิ ยตฺตกํ พหลํ อิจฺฉติ, ตตฺตเก ฐาเน อาโลกสนฺธิ ปริกมฺมตฺถาย ลิมฺปิตโพฺพ วา เลปาเปตโพฺพ วาติฯ ‘‘ปุนปฺปุนํ ฉาทาเปสิ ปุนปฺปุนํ เลปาเปสี’’ติ (ปาจิ. ๑๓๔) อิมสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ อุปฺปนฺนโทเสน สิกฺขาปทสฺส ปญฺญตฺตตฺตา เลปํ อนุชานเนฺตน จ ทฺวารพนฺธนสฺส สามนฺตา อฑฺฒเตยฺยหตฺถปฺปมาเณเยว ปเทเส ปุนปฺปุนํ เลปสฺส อนุญฺญาตตฺตา ตโต อญฺญตฺถ ปุนปฺปุนํ ลิเมฺปนฺตสฺส วา ลิมฺปาเปนฺตสฺส วา ภิตฺติยํ มตฺติกาหิ กตฺตพฺพกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา ปุน จตุตฺถเลเป ทิเนฺน ปาจิตฺติเยน ภวิตพฺพนฺติ วทนฺติฯ คณฺฐิปเทสุ ปน ตีสุปิ ปุนปฺปุนํ เลปทานสฺส วุตฺตปฺปมาณโต อญฺญตฺถ ปฎิกฺขิตฺตมตฺตํ ฐเปตฺวา ปาจิตฺติยสฺส อวุตฺตตฺตา ทุกฺกฎํ อนุรูปนฺติ วุตฺตํฯ
Etthāyamadhippāyo – vātapānakavāṭassa sāmantā dvāraphalakavitthārappamāṇe ṭhāne tiṇṇaṃ mattikānaṃ uparipi yattakaṃ bahalaṃ icchati, tattake ṭhāne ālokasandhi parikammatthāya limpitabbo vā lepāpetabbo vāti. ‘‘Punappunaṃ chādāpesi punappunaṃ lepāpesī’’ti (pāci. 134) imasmiṃ vatthusmiṃ uppannadosena sikkhāpadassa paññattattā lepaṃ anujānantena ca dvārabandhanassa sāmantā aḍḍhateyyahatthappamāṇeyeva padese punappunaṃ lepassa anuññātattā tato aññattha punappunaṃ limpentassa vā limpāpentassa vā bhittiyaṃ mattikāhi kattabbakiccaṃ niṭṭhāpetvā puna catutthalepe dinne pācittiyena bhavitabbanti vadanti. Gaṇṭhipadesu pana tīsupi punappunaṃ lepadānassa vuttappamāṇato aññattha paṭikkhittamattaṃ ṭhapetvā pācittiyassa avuttattā dukkaṭaṃ anurūpanti vuttaṃ.
ฉทนสฺสาติ ปทภาชเน วุตฺตานํ อิฎฺฐกาสิลาสุธาติณปณฺณจฺฉทนานํ อญฺญตรสฺสฯ ทฺวตฺติปริยายนฺติ เอตฺถ อฎฺฐกถายํ ‘‘ปริยาเยนาติ ปริเกฺขเปน, เอวํ ฉทนํ ปน ติณปเณฺณหิ ลพฺภตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๖) วุตฺตตฺตา ปริยายนฺติ ติเณหิ วา ปเณฺณหิ วา ปริกฺขิปิตฺวา ฉทนเมว คเหตพฺพํฯ อิฎฺฐกาย วา สิลาย วา สุธาย วา ฉทเน ลพฺภมานํ มเคฺคน ฉทนํ ปน อุปลกฺขณวเสน ลพฺภติฯ ทฺวตฺติปริยาเยน ฉทนญฺจ ‘‘สพฺพมฺปิ เจตํ ฉทนํ ฉทนูปริ เวทิตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๖) อฎฺฐกถาวจนโต อุปรูปริ ฉทนวเสน เวทิตพฺพํฯ หริตํ นาม ปุพฺพณฺณาทิฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘หริตนฺติ เจตฺถ สตฺตธญฺญเภทํ ปุพฺพณฺณํ, มุคฺคมาสติลกุลตฺถอลาพุกุมฺภณฺฑาทิเภทญฺจ อปรณฺณํ อธิเปฺปต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๕)ฯ อิเมสุ อญฺญตรสฺสาภาเวน อหริตํ นามฯ
Chadanassāti padabhājane vuttānaṃ iṭṭhakāsilāsudhātiṇapaṇṇacchadanānaṃ aññatarassa. Dvattipariyāyanti ettha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘pariyāyenāti parikkhepena, evaṃ chadanaṃ pana tiṇapaṇṇehi labbhatī’’ti (pāci. aṭṭha. 136) vuttattā pariyāyanti tiṇehi vā paṇṇehi vā parikkhipitvā chadanameva gahetabbaṃ. Iṭṭhakāya vā silāya vā sudhāya vā chadane labbhamānaṃ maggena chadanaṃ pana upalakkhaṇavasena labbhati. Dvattipariyāyena chadanañca ‘‘sabbampi cetaṃ chadanaṃ chadanūpari veditabba’’nti (pāci. aṭṭha. 136) aṭṭhakathāvacanato uparūpari chadanavasena veditabbaṃ. Haritaṃ nāma pubbaṇṇādi. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘haritanti cettha sattadhaññabhedaṃ pubbaṇṇaṃ, muggamāsatilakulatthaalābukumbhaṇḍādibhedañca aparaṇṇaṃ adhippeta’’nti (pāci. aṭṭha. 135). Imesu aññatarassābhāvena aharitaṃ nāma.
อธิเฎฺฐยฺยนฺติ วิธาตพฺพํฯ ตโต อุทฺธนฺติ ตีหิ ปริยาเยหิ วา ตีหิ มเคฺคหิ วา อุทฺธํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ติณฺณํ มคฺคานํ วา ปริยายานํ วา อุปรี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๖)ฯ ปาจิตฺติยํ โหตีติ วกฺขมานทูรตาย ยุเตฺต อหริตฎฺฐาเน ฐตฺวา สํวิทหิตฺวา ติกฺขตฺตุํ ฉาทาเปตฺวา ตติยวาเร ‘‘เอวํ กโรหี’’ติ อาณาเปตฺวา ปกฺกมิตพฺพํฯ อปกฺกมเนฺตน ตุณฺหีภูเตน ฐาตพฺพํ, ตโต อุตฺตริ จตุตฺถวาเร ฉทนตฺถํ วิทหนฺตสฺส อิฎฺฐกาทิคณนาย, ติเณสุ ติณคณนาย, ปเณฺณสุ ปณฺณคณนาย ปาจิตฺติยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ปาฬิยํ ‘‘มเคฺคน ฉาเทนฺตสฺส เทฺว มเคฺค อธิฎฺฐหิตฺวา ตติยาย มคฺคํ อาณาเปตฺวา ปกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทิ (ปาจิ. ๑๓๖)ฯ ตติยาย มคฺคนฺติ เอตฺถ ตติยายาติ อุปโยคเตฺถ สมฺปทานวจนํ, ตติยํ มคฺคนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถาติ หริเต, ‘‘สเจ หริเต ฐิโต อธิฎฺฐาติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๓๗) วจนโต อธิฎฺฐานาย ติฎฺฐโตติ ลพฺภติฯ พีชโรปนโต ปฎฺฐาย ยาว สสฺสํ ติฎฺฐติ, ตาว หริตํ นามฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ยสฺมิมฺปิ เขเตฺต วุตฺตํ พีชํ น ตาว สมฺปชฺชติ, วเสฺส ปน ปติเต สมฺปชฺชิสฺสตี’’ติอาทิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๕)ฯ
Adhiṭṭheyyanti vidhātabbaṃ. Tato uddhanti tīhi pariyāyehi vā tīhi maggehi vā uddhaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tiṇṇaṃ maggānaṃ vā pariyāyānaṃ vā uparī’’ti (pāci. aṭṭha. 136). Pācittiyaṃ hotīti vakkhamānadūratāya yutte aharitaṭṭhāne ṭhatvā saṃvidahitvā tikkhattuṃ chādāpetvā tatiyavāre ‘‘evaṃ karohī’’ti āṇāpetvā pakkamitabbaṃ. Apakkamantena tuṇhībhūtena ṭhātabbaṃ, tato uttari catutthavāre chadanatthaṃ vidahantassa iṭṭhakādigaṇanāya, tiṇesu tiṇagaṇanāya, paṇṇesu paṇṇagaṇanāya pācittiyanti vuttaṃ hoti. Yathāha pāḷiyaṃ ‘‘maggena chādentassa dve magge adhiṭṭhahitvā tatiyāya maggaṃ āṇāpetvā pakkamitabba’’ntiādi (pāci. 136). Tatiyāya magganti ettha tatiyāyāti upayogatthe sampadānavacanaṃ, tatiyaṃ magganti attho. Tatthāti harite, ‘‘sace harite ṭhito adhiṭṭhāti, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 137) vacanato adhiṭṭhānāya tiṭṭhatoti labbhati. Bījaropanato paṭṭhāya yāva sassaṃ tiṭṭhati, tāva haritaṃ nāma. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yasmimpi khette vuttaṃ bījaṃ na tāva sampajjati, vasse pana patite sampajjissatī’’tiādi (pāci. aṭṭha. 135).
๑๑๐๘-๙. อหริตฎฺฐาเนปิ ติฎฺฐโต ปริเจฺฉทํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปิฎฺฐิวํเส’’ติอาทิฯ ‘‘ปิฎฺฐิวํเส’’ติ อิทํ วํสยุตฺตเสนาสนวเสน วุตฺตํฯ กณฺณิกํ คาหาเปตฺวา กตเสนาสนสฺสาปิ อุปลกฺขณํ โหติฯ ปิฎฺฐิวํเสติ จ ‘‘คงฺคายํ โฆโส’’ติอาทีสุ วิย สามีปิกาธาเร ภุมฺมํฯ กุโตยํ วิเสโส ลพฺภตีติ? อฎฺฐกถายํ ‘‘ปิฎฺฐิวํสสฺส วา กูฎาคารกณฺณิกาย วา อุปริ, ถุปิกาย วา ปเสฺส นิสิโนฺน โหตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๕) วุตฺตวิธานโต ลพฺภติฯ ‘‘นิสิโนฺน’’ติ อฎฺฐกถาวจนโต ฐิโตติ เอตฺถ คตินิวตฺติสามเญฺญน นิสิโนฺน จ วุโตฺตติ คเหตโพฺพฯ ยสฺมิํ ฐาเนติ เอตฺถ ‘‘อหริเต’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ ‘‘ฐาตุ’’นฺติ อิทํ อธิฎฺฐานกรณตฺถาย ฐานํ คเหตฺวา วุตฺตนฺติ ‘‘ตสฺส อโนฺต อหริเตปิ ฐตฺวา อธิฎฺฐาตุํ น ลพฺภตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๖) อฎฺฐกถาวจนโต วิญฺญายติฯ
1108-9. Aharitaṭṭhānepi tiṭṭhato paricchedaṃ dassetumāha ‘‘piṭṭhivaṃse’’tiādi. ‘‘Piṭṭhivaṃse’’ti idaṃ vaṃsayuttasenāsanavasena vuttaṃ. Kaṇṇikaṃ gāhāpetvā katasenāsanassāpi upalakkhaṇaṃ hoti. Piṭṭhivaṃseti ca ‘‘gaṅgāyaṃ ghoso’’tiādīsu viya sāmīpikādhāre bhummaṃ. Kutoyaṃ viseso labbhatīti? Aṭṭhakathāyaṃ ‘‘piṭṭhivaṃsassa vā kūṭāgārakaṇṇikāya vā upari, thupikāya vā passe nisinno hotī’’ti (pāci. aṭṭha. 135) vuttavidhānato labbhati. ‘‘Nisinno’’ti aṭṭhakathāvacanato ṭhitoti ettha gatinivattisāmaññena nisinno ca vuttoti gahetabbo. Yasmiṃ ṭhāneti ettha ‘‘aharite’’ti pakaraṇato labbhati. ‘‘Ṭhātu’’nti idaṃ adhiṭṭhānakaraṇatthāya ṭhānaṃ gahetvā vuttanti ‘‘tassa anto aharitepi ṭhatvā adhiṭṭhātuṃ na labbhatī’’ti (pāci. aṭṭha. 136) aṭṭhakathāvacanato viññāyati.
ปตโนกาสโตติ เอตฺถ ปฐมเตฺถ โต-ปจฺจโยฯ ตญฺหิ ฐานํ วิหารสฺส ปตโนกาโสติ โยชนาฯ หีติ เหตุอเตฺถ วตฺตมานโต ยสฺมา อหริเต ปตนฺตสฺส วิหารเสฺสตํ ฐานํ ปตโนกาโส, ตสฺมา ตตฺถ ฐาตุํ น วฎฺฎตีติ คเหตพฺพํฯ
Patanokāsatoti ettha paṭhamatthe to-paccayo. Tañhi ṭhānaṃ vihārassa patanokāsoti yojanā. Hīti hetuatthe vattamānato yasmā aharite patantassa vihārassetaṃ ṭhānaṃ patanokāso, tasmā tattha ṭhātuṃ na vaṭṭatīti gahetabbaṃ.
๑๑๑๑. อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท อาโท ตาว วิหารปทสฺส ปทภาชเน ‘‘วิหาโร นาม อุลฺลิโตฺต วา’’ติอาทิวุตฺตตฺตา (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๓๖) ตพฺพิปริยายโต ติเณเหว กตฉทนภิตฺติกา กุฎิ ติณกุฎิกาติ วิญฺญายตีติ ติณฉทนา กุฎิกา ติณกุฎิกาฯ
1111. Imasmiṃ sikkhāpade ādo tāva vihārapadassa padabhājane ‘‘vihāro nāma ullitto vā’’tiādivuttattā (pāci. aṭṭha. 136) tabbipariyāyato tiṇeheva katachadanabhittikā kuṭi tiṇakuṭikāti viññāyatīti tiṇachadanā kuṭikā tiṇakuṭikā.
ทฺวตฺติปริยายกถาวณฺณนาฯ
Dvattipariyāyakathāvaṇṇanā.
๑๑๑๒. ชานนฺติ โตยสฺส สปฺปาณกภาวํ ชานโนฺตฯ สิเญฺจยฺย สิญฺจาเปยฺยาติ เอตฺถ ‘‘เตน อุทเกนา’’ติ วตฺตพฺพํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เตน อุทเกน สยํ วา สิเญฺจยฺยา’’ติอาทิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๔๐)ฯ
1112.Jānanti toyassa sappāṇakabhāvaṃ jānanto. Siñceyya siñcāpeyyāti ettha ‘‘tena udakenā’’ti vattabbaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tena udakena sayaṃ vā siñceyyā’’tiādi (pāci. aṭṭha. 140).
๑๑๑๓. โย ปน ธารํ อจฺฉินฺทิตฺวา สเจ มตฺติกํ สิเญฺจยฺย, เอวํ สิญฺจโต ตสฺสาติ โยชนาฯ
1113. Yo pana dhāraṃ acchinditvā sace mattikaṃ siñceyya, evaṃ siñcato tassāti yojanā.
๑๑๑๔-๕. สนฺทมานกนฺติ โตยวาหินิํฯ มาติกํ อาฬิํฯ สมฺมุขํ กโรนฺตสฺสาติ อุทกํ นฺหายิตุมิจฺฉิตํ ยทิ, สยํ อภิมุขํ กโรนฺตสฺสฯ ตตฺถ ตตฺถ พนฺธโต อสฺส ภิกฺขุสฺส ปโยคคณนาย อาปตฺติ สิยาติ โยชนาฯ ปโยคคณนาติ ปโยคคณนาย, อุทกํ พนฺธิตฺวา พนฺธิตฺวา ยถิจฺฉิตทิสาภิมุขกรณปโยคานํ คณนายาติ อโตฺถฯ
1114-5.Sandamānakanti toyavāhiniṃ. Mātikaṃ āḷiṃ. Sammukhaṃ karontassāti udakaṃ nhāyitumicchitaṃ yadi, sayaṃ abhimukhaṃ karontassa. Tattha tattha bandhato assa bhikkhussa payogagaṇanāya āpatti siyāti yojanā. Payogagaṇanāti payogagaṇanāya, udakaṃ bandhitvā bandhitvā yathicchitadisābhimukhakaraṇapayogānaṃ gaṇanāyāti attho.
๑๑๑๖-๗. ยํ ชลํ ติณาทิมฺหิ ปกฺขิเตฺต สเจ ขยํ วา อาวิลตฺตํ วา คจฺฉติ, ตาทิเส อุทเก มตฺติกํ, ติณเมว วา สเจ สกฎปุณฺณมฺปิ เอกโต ปกฺขิเปยฺย, เอวํ ปกฺขิปนฺตสฺส เอกา ปาจิตฺติฯ เอเกกํ มตฺติกํ, ติณเมว วาฯ วา-สเทฺทน กฎฺฐโคมยาทิํ วา ปกฺขิปนฺตสฺส ปโยคคณนาย ปาจิตฺติยนฺติ โยชนาฯ อาวิลตฺตนฺติ ปาณกา ยถา นสฺสนฺติ, ตถา อาลุฬิตภาวํฯ อิมินา เอวํ อวินสฺสมานปาณเก มหาอุทเก ติณาทิํ ปกฺขิปนฺตสฺส อนาปตฺติภาวํ ทีเปติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อิทํ ปน มหาอุทกํ…เป.… สนฺธาย วุตฺต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๔๐)ฯ
1116-7. Yaṃ jalaṃ tiṇādimhi pakkhitte sace khayaṃ vā āvilattaṃ vā gacchati, tādise udake mattikaṃ, tiṇameva vā sace sakaṭapuṇṇampi ekato pakkhipeyya, evaṃ pakkhipantassa ekā pācitti. Ekekaṃ mattikaṃ, tiṇameva vā. Vā-saddena kaṭṭhagomayādiṃ vā pakkhipantassa payogagaṇanāya pācittiyanti yojanā. Āvilattanti pāṇakā yathā nassanti, tathā āluḷitabhāvaṃ. Iminā evaṃ avinassamānapāṇake mahāudake tiṇādiṃ pakkhipantassa anāpattibhāvaṃ dīpeti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘idaṃ pana mahāudakaṃ…pe… sandhāya vutta’’nti (pāci. aṭṭha. 140).
๑๑๑๘. ทุกฺกฎํ โหตีติ อาณาปนปจฺจยา ทุกฺกฎํ โหติฯ เอกา ปาจิตฺติฯ
1118.Dukkaṭaṃ hotīti āṇāpanapaccayā dukkaṭaṃ hoti. Ekā pācitti.
๑๑๑๙. สพฺพตฺถาติ สปฺปาณเก จ อปฺปาณเก จฯ วิมติสฺสาติ สหจริเยน วิมติสหิตมาหฯ
1119.Sabbatthāti sappāṇake ca appāṇake ca. Vimatissāti sahacariyena vimatisahitamāha.
๑๑๒๐. ‘‘สพฺพตฺถาปาณสญฺญิสฺสา’’ติอาทีสุ อธิการโต ลพฺภมานํ ‘‘สิญฺจนาทีสุ ยํ กิญฺจิ กโรนฺตสฺสา’’ติ อิทํ ปเจฺจกํ สมฺพนฺธนียํฯ สพฺพตฺถาติ สปฺปาณเก, อปฺปาณเก จฯ อปาณสญฺญิสฺสาติ เอวํ กเตน ปโยเคน นสฺสมานา ปาณกา น สนฺตีติสญฺญิสฺสฯ อสญฺจิจฺจาติ ยถา ปาณกา น นสฺสนฺติ, เอวํ ฆฎาทีหิ คหิตํ สปฺปาณกอุทกํ อุทเกเยว โอสิญฺจนฺตสฺส วา โอสิญฺจาเปนฺตสฺส วา วฎฺฎิตฺวา ตสฺมิํ อุทเก ติณาทิมฺหิ ปติเต อสญฺจิจฺจ กตํ นาม โหติฯ อสติสฺสาติ อสติยา กโรนฺตสฺสฯ อชานโตติ ปาณกานํ อตฺถิภาวํ อชานิตฺวา กโรนฺตสฺสฯ
1120.‘‘Sabbatthāpāṇasaññissā’’tiādīsu adhikārato labbhamānaṃ ‘‘siñcanādīsu yaṃ kiñci karontassā’’ti idaṃ paccekaṃ sambandhanīyaṃ. Sabbatthāti sappāṇake, appāṇake ca. Apāṇasaññissāti evaṃ katena payogena nassamānā pāṇakā na santītisaññissa. Asañciccāti yathā pāṇakā na nassanti, evaṃ ghaṭādīhi gahitaṃ sappāṇakaudakaṃ udakeyeva osiñcantassa vā osiñcāpentassa vā vaṭṭitvā tasmiṃ udake tiṇādimhi patite asañcicca kataṃ nāma hoti. Asatissāti asatiyā karontassa. Ajānatoti pāṇakānaṃ atthibhāvaṃ ajānitvā karontassa.
๑๑๒๑-๒. วธกจิเตฺต สติ สตฺตเม สปฺปาณกวเคฺค ปฐมสิกฺขาปทสฺส วิสยภาวโต ตโต วิเสเสตุมาห ‘‘วินา วธกจิเตฺตนา’’ติฯ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท ปาฬิยํ (ปาจิ. ๑๔๐) ‘‘สปฺปาณกํ อุทก’’นฺติ อิมินา อฎฺฐกถาคตํ ปฐมงฺคญฺจ ‘‘ชาน’’นฺติ อิมินา ทุติยงฺคญฺจ ‘‘สิเญฺจยฺย วา สิญฺจาเปยฺย วา’’ติ อิมินา จตุตฺถงฺคญฺจ วุตฺตํ, น วุตฺตํ ตติยงฺคํฯ ตญฺจ โข วธกจิตฺตสฺส สตฺตมวเคฺค ปฐมสิกฺขาปเทน ปาจิตฺติยวจนโต เอตฺถ ตทภาวลกฺขณํ ตติยงฺคํ วุตฺตเมว โหตีติอธิปฺปาเยน อฎฺฐกถายํ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘วินา วธกจิเตฺตนา’’ติฯ เตเนวาห ‘‘จตฺตาเรวสฺส องฺคานิ, นิทฺทิฎฺฐานิ มเหสินา’’ติฯ อสฺสาติ อิมสฺส สิกฺขาปทสฺสฯ
1121-2. Vadhakacitte sati sattame sappāṇakavagge paṭhamasikkhāpadassa visayabhāvato tato visesetumāha ‘‘vinā vadhakacittenā’’ti. Imasmiṃ sikkhāpade pāḷiyaṃ (pāci. 140) ‘‘sappāṇakaṃ udaka’’nti iminā aṭṭhakathāgataṃ paṭhamaṅgañca ‘‘jāna’’nti iminā dutiyaṅgañca ‘‘siñceyya vā siñcāpeyya vā’’ti iminā catutthaṅgañca vuttaṃ, na vuttaṃ tatiyaṅgaṃ. Tañca kho vadhakacittassa sattamavagge paṭhamasikkhāpadena pācittiyavacanato ettha tadabhāvalakkhaṇaṃ tatiyaṅgaṃ vuttameva hotītiadhippāyena aṭṭhakathāyaṃ vuttanti āha ‘‘vinā vadhakacittenā’’ti. Tenevāha ‘‘cattārevassa aṅgāni, niddiṭṭhāni mahesinā’’ti. Assāti imassa sikkhāpadassa.
๑๑๒๓. สปฺปาณกสญฺญิสฺส ‘‘ปริโภเคน ปาณกา มริสฺสนฺตี’’ติ ปุพฺพภาเค ชานนฺตสฺสาปิ สิญฺจนสิญฺจาปนํ ‘‘ปทีเป นิปติตฺวา ปฎงฺคาทิปาณกา มริสฺสนฺตี’’ติ ชานนฺตสฺส ปทีปุชฺชลนํ วิย วินาปิ วธกเจตนาย โหตีติ อาห ‘‘ปณฺณตฺติวชฺชํ ติจิตฺต’’นฺติฯ เอตฺถ กิสฺมิญฺจิ กุปิตสฺส วา กีฬาปสุตสฺส วา สิญฺจโต อกุสลจิตฺตํ, มาลาคจฺฉาทิํ สิญฺจโต กุสลจิตฺตํ, ปณฺณตฺติํ อชานโต ขีณาสวสฺส อพฺยากตจิตฺตนฺติ ติจิตฺตํ เวทิตพฺพํฯ ตสฺสาติ สตฺตมวเคฺค ปฐมสิกฺขาปทสฺสฯ อสฺส จาติ อิมสฺส สิญฺจนสิกฺขาปทสฺส จฯ อิทํ วิเสสนนฺติ อิทํ นานากรณํฯ เอตฺถ อิมสฺมิํ ปกรเณ นิทฺทิฎฺฐํ ปกาสิตนฺติ อโตฺถฯ ตํ โลกวชฺชํ, อิทํ ปณฺณตฺติวชฺชํฯ ตํ อกุสลจิตฺตํ, อิทํ ติจิตฺตํฯ ตํ ทุกฺขเวทนํ, อิทํ ติเวทนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
1123. Sappāṇakasaññissa ‘‘paribhogena pāṇakā marissantī’’ti pubbabhāge jānantassāpi siñcanasiñcāpanaṃ ‘‘padīpe nipatitvā paṭaṅgādipāṇakā marissantī’’ti jānantassa padīpujjalanaṃ viya vināpi vadhakacetanāya hotīti āha ‘‘paṇṇattivajjaṃ ticitta’’nti. Ettha kismiñci kupitassa vā kīḷāpasutassa vā siñcato akusalacittaṃ, mālāgacchādiṃ siñcato kusalacittaṃ, paṇṇattiṃ ajānato khīṇāsavassa abyākatacittanti ticittaṃ veditabbaṃ. Tassāti sattamavagge paṭhamasikkhāpadassa. Assa cāti imassa siñcanasikkhāpadassa ca. Idaṃ visesananti idaṃ nānākaraṇaṃ. Ettha imasmiṃ pakaraṇe niddiṭṭhaṃ pakāsitanti attho. Taṃ lokavajjaṃ, idaṃ paṇṇattivajjaṃ. Taṃ akusalacittaṃ, idaṃ ticittaṃ. Taṃ dukkhavedanaṃ, idaṃ tivedananti vuttaṃ hoti.
สตฺตมวเคฺค ทุติยสฺส อิมสฺส จ โก วิเสโสติ เจ? อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส ‘‘สิเญฺจยฺย วา สิญฺจาเปยฺย วา’’ติ พาหิรปริโภควเสน ปฐมํ ปญฺญตฺตตฺตา ‘‘สปฺปาณกํ อุทกํ ปริภุเญฺชยฺยา’’ติ (ปาจิ. ๓๘๘) สิกฺขาปทํ อตฺตโน นหานปานาทิปริโภควเสน ปญฺญตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตสฺมิํ วา ปฐมํ ปญฺญเตฺตปิ อตฺตโน ปริโภควเสเนว ปญฺญตฺตตฺตา ปุน อิทํ สิกฺขาปทํ พาหิรปริโภควเสน ปญฺญตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ
Sattamavagge dutiyassa imassa ca ko visesoti ce? Imassa sikkhāpadassa ‘‘siñceyya vā siñcāpeyya vā’’ti bāhiraparibhogavasena paṭhamaṃ paññattattā ‘‘sappāṇakaṃ udakaṃ paribhuñjeyyā’’ti (pāci. 388) sikkhāpadaṃ attano nahānapānādiparibhogavasena paññattanti veditabbaṃ. Tasmiṃ vā paṭhamaṃ paññattepi attano paribhogavaseneva paññattattā puna idaṃ sikkhāpadaṃ bāhiraparibhogavasena paññattanti gahetabbaṃ.
สปฺปาณกกถาวณฺณนาฯ
Sappāṇakakathāvaṇṇanā.
เสนาสนวโคฺค ทุติโยฯ
Senāsanavaggo dutiyo.
๑๑๒๔-๖. อฎฺฐงฺคยุตฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘สีลวา’’ติอาทิ เอกมงฺคํ, ‘‘พหุสฺสุโต’’ติอาทิ ทุติยํ, ‘‘อุภยานิ โข ปนสฺสา’’ติอาทิ ตติยํ, ‘‘กลฺยาณวาโจ โหตี’’ติอาทิ จตุตฺถํ, ‘‘เยภุเยฺยน ภิกฺขุนีนํ ปิโย โหติ มนาโป’’ติ ปญฺจมํ, ‘‘ปฎิพโล โหติ ภิกฺขุนิโย โอวทิตุ’’นฺติ ฉฎฺฐํ, ‘‘น โข ปเนตํ ภควนฺตํ อุทฺทิสฺสา’’ติอาทิ สตฺตมํ, ‘‘วีสติวโสฺส วา โหติ อติเรกวีสติวโสฺส วา’’ติ อฎฺฐมนฺติ เอตานิ ปาฐาคตานิ อฎฺฐ องฺคานิ นามฯ ภิกฺขุนีนํ โอวาโท, ตทตฺถาย สมฺมุตีติ วิคฺคโหฯ อิธาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ ญตฺติ จตุตฺถี ยสฺส กมฺมสฺสาติ วิคฺคโหฯ ‘‘กเมฺมนา’’ติ เสโสฯ
1124-6.Aṭṭhaṅgayuttassāti ettha ‘‘sīlavā’’tiādi ekamaṅgaṃ, ‘‘bahussuto’’tiādi dutiyaṃ, ‘‘ubhayāni kho panassā’’tiādi tatiyaṃ, ‘‘kalyāṇavāco hotī’’tiādi catutthaṃ, ‘‘yebhuyyena bhikkhunīnaṃ piyo hoti manāpo’’ti pañcamaṃ, ‘‘paṭibalo hoti bhikkhuniyo ovaditu’’nti chaṭṭhaṃ, ‘‘na kho panetaṃ bhagavantaṃ uddissā’’tiādi sattamaṃ, ‘‘vīsativasso vā hoti atirekavīsativasso vā’’ti aṭṭhamanti etāni pāṭhāgatāni aṭṭha aṅgāni nāma. Bhikkhunīnaṃ ovādo, tadatthāya sammutīti viggaho. Idhāti imasmiṃ sikkhāpade. Ñatti catutthī yassa kammassāti viggaho. ‘‘Kammenā’’ti seso.
อฎฺฐงฺคยุตฺตสฺส ภิกฺขุสฺส มเหสินา ญตฺติจตุเตฺถน กเมฺมน ยา ภิกฺขุโนวาทกสมฺมุติ อิธ อนุญฺญาตา, ตาย อสมฺมโต โย ภิกฺขูติ โยชนาฯ
Aṭṭhaṅgayuttassa bhikkhussa mahesinā ñatticatutthena kammena yā bhikkhunovādakasammuti idha anuññātā, tāya asammato yo bhikkhūti yojanā.
ครุธเมฺมหิ อฎฺฐหีติ ‘‘วสฺสสตูปสมฺปนฺนาย ภิกฺขุนิยา ตทหุปสมฺปนฺนสฺส ภิกฺขุโน อภิวาทนํ ปจฺจุปฎฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํ กาตพฺพ’’นฺติอาทีหิ (ปาจิ. ๑๔๙) ปาฬิยํ อาคเตหิ อฎฺฐหิ ครุธเมฺมหิฯ เอกํ ภิกฺขุนิํ, สมฺพหุลา วา ภิกฺขุนิโยติ อิทํ ปกรณโต ลพฺภติฯ โอสาเรโนฺตวาติ ปาฬิํ อุจฺจาเรโนฺตวฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘โอสาเรตพฺพาติ ปาฬิ วตฺตพฺพา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๔๙)ฯ เต ธเมฺมติ ปุเพฺพ วุเตฺต เต อฎฺฐ ครุธเมฺมฯ โอวเทยฺยาติ อฎฺฐครุธมฺมปาฬิภาสนสงฺขาตํ โอวาทํ กเรยฺยฯ
Garudhammehi aṭṭhahīti ‘‘vassasatūpasampannāya bhikkhuniyā tadahupasampannassa bhikkhuno abhivādanaṃ paccupaṭṭhānaṃ añjalikammaṃ sāmīcikammaṃ kātabba’’ntiādīhi (pāci. 149) pāḷiyaṃ āgatehi aṭṭhahi garudhammehi. Ekaṃ bhikkhuniṃ, sambahulā vā bhikkhuniyoti idaṃ pakaraṇato labbhati. Osārentovāti pāḷiṃ uccārentova. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘osāretabbāti pāḷi vattabbā’’ti (pāci. aṭṭha. 149). Te dhammeti pubbe vutte te aṭṭha garudhamme. Ovadeyyāti aṭṭhagarudhammapāḷibhāsanasaṅkhātaṃ ovādaṃ kareyya.
กิํ วุตฺตํ โหติ? ปาฎิปเท โอวาทตฺถาย อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสินฺนา ภิกฺขุนิโย ‘‘เตน ภิกฺขุนา’’ติอาทินา ปาฐาคตนเยน ‘‘สมคฺคตฺถ ภคินิโย’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สมคฺคมฺหยฺยา’’ติ ยทิ วเทยฺยุํ, ‘‘วตฺตนฺติ ภคินิโย อฎฺฐ ครุธมฺมา’’ติ ปุนปิ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘วตฺตนฺตยฺยา’’ติ ยทิ วเทยฺยุํ, ‘‘เอโส ภคินิโย โอวาโท’’ติ นิยฺยาเทยฺยฯ ‘‘น วตฺตนฺตยฺยา’’ติ ยทิ วเทยฺยุํ, ‘‘วสฺสสตูปสมฺปนฺนายา’’ติอาทินา อฎฺฐครุธมฺมปาฬิภาสนวเสน โอวาทํ กเรยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘โอสาเรโนฺตว เต ธเมฺม โอวเทยฺยา’’ติฯ
Kiṃ vuttaṃ hoti? Pāṭipade ovādatthāya āgantvā vanditvā ekamantaṃ nisinnā bhikkhuniyo ‘‘tena bhikkhunā’’tiādinā pāṭhāgatanayena ‘‘samaggattha bhaginiyo’’ti pucchitvā ‘‘samaggamhayyā’’ti yadi vadeyyuṃ, ‘‘vattanti bhaginiyo aṭṭha garudhammā’’ti punapi pucchitvā ‘‘vattantayyā’’ti yadi vadeyyuṃ, ‘‘eso bhaginiyo ovādo’’ti niyyādeyya. ‘‘Na vattantayyā’’ti yadi vadeyyuṃ, ‘‘vassasatūpasampannāyā’’tiādinā aṭṭhagarudhammapāḷibhāsanavasena ovādaṃ kareyyāti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘osārentova te dhamme ovadeyyā’’ti.
๑๑๒๗. อเญฺญน ธเมฺมนาติ สุตฺตเนฺตน วา อภิธเมฺมน วาฯ เอกโตอุปสมฺปนฺนนฺติ ภิกฺขุนิสเงฺฆเยว อุปสมฺปนฺนํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ภิกฺขุนีนํ สนฺติเก เอกโตอุปสมฺปนฺนายา’’ติฯ ตถาติ โอวทนฺตสฺส ทุกฺกฎนฺติ ทเสฺสติฯ
1127.Aññena dhammenāti suttantena vā abhidhammena vā. Ekatoupasampannanti bhikkhunisaṅgheyeva upasampannaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘bhikkhunīnaṃ santike ekatoupasampannāyā’’ti. Tathāti ovadantassa dukkaṭanti dasseti.
๑๑๒๘. ภิกฺขูนํ สนฺติเกเยว อุปสมฺปนฺนนฺติ มหาปชาปติยา โคตมิยา สทฺธิํ ปพฺพชิตา ปญฺจสตา สากิยานิโย สงฺคณฺหาติฯ ลิงฺควิปลฺลาเส อุปสมฺปนฺนภิกฺขุโน ลิงฺคปริวตฺตเน สติ ตถา ปาจิตฺติ เอว ปกาสิตาติ อโตฺถฯ
1128.Bhikkhūnaṃ santikeyeva upasampannanti mahāpajāpatiyā gotamiyā saddhiṃ pabbajitā pañcasatā sākiyāniyo saṅgaṇhāti. Liṅgavipallāse upasampannabhikkhuno liṅgaparivattane sati tathā pācitti eva pakāsitāti attho.
๑๑๒๙. โอวาทํ อนิยฺยาเทตฺวาติ ‘‘วตฺตนฺติ ภคินิโย อฎฺฐ ครุธมฺมา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘วตฺตนฺตยฺยา’’ติ วุเตฺตติ เอตฺถาปิ โสเยวโตฺถฯ
1129.Ovādaṃaniyyādetvāti ‘‘vattanti bhaginiyo aṭṭha garudhammā’’ti pucchitvā ‘‘vattantayyā’’ti vutteti etthāpi soyevattho.
๑๑๓๐. ครุธเมฺมหิ โอวทโต ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ
1130. Garudhammehi ovadato dukkaṭanti yojanā.
๑๑๓๑. อคณฺหนฺตสฺส โอวาทนฺติ เอตฺถ โอวาทตฺถํ ยาจนสเนฺทโส ตทตฺถตาย โอวาโทติ คหิโตติ โอวาทสาสนํ อสมฺปฎิจฺฉนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ อปจฺจาหรโตปิ ตนฺติ ตํ อตฺตนา คหิตํ โอวาทสาสนํ อุโปสถเคฺค อาโรเจตฺวา ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน ทินฺนํ ปฎิสาสนํ ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส เนตฺวา อวทนฺตสฺสาปิฯ พาลนฺติ สาสนสมฺปฎิจฺฉนญฺจ อุโปสถคฺคํ เนตฺวา อาโรจนญฺจ ปฎิสาสนํ หริตฺวา ปาฎิปเท ภิกฺขุนิสงฺฆคณปุคฺคลานํ ยถานุรูปํ ปจฺจาโรจนญฺจ กาตุํ อชานนตาย พาลํฯ คิลานนฺติ อุโปสถคฺคํ คนฺตฺวาปิ อาโรจนสฺส พาธเกน เคลเญฺญน สมนฺนาคตํ คิลานํฯ คมิกนฺติ ปาฎิปทํ อนิสีทิตฺวา คนฺตพฺพํ อจฺจายิกคมนํ คมิกญฺจ ฐเปตฺวา ทุกฺกฎํ สิยาติ สมฺพโนฺธฯ
1131.Agaṇhantassa ovādanti ettha ovādatthaṃ yācanasandeso tadatthatāya ovādoti gahitoti ovādasāsanaṃ asampaṭicchantassāti attho. Apaccāharatopi tanti taṃ attanā gahitaṃ ovādasāsanaṃ uposathagge ārocetvā pātimokkhuddesakena dinnaṃ paṭisāsanaṃ bhikkhunisaṅghassa netvā avadantassāpi. Bālanti sāsanasampaṭicchanañca uposathaggaṃ netvā ārocanañca paṭisāsanaṃ haritvā pāṭipade bhikkhunisaṅghagaṇapuggalānaṃ yathānurūpaṃ paccārocanañca kātuṃ ajānanatāya bālaṃ. Gilānanti uposathaggaṃ gantvāpi ārocanassa bādhakena gelaññena samannāgataṃ gilānaṃ. Gamikanti pāṭipadaṃ anisīditvā gantabbaṃ accāyikagamanaṃ gamikañca ṭhapetvā dukkaṭaṃ siyāti sambandho.
๑๑๓๒. กมฺมสฺมินฺติ เอตฺถ กมฺม-สเทฺทน ภิกฺขุโนวาทกสฺส ญตฺติจตุเตฺถน กเมฺมน ทินฺนํ สมฺมุติกมฺมํ อธิเปฺปตนฺติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ ญตฺติํ, กมฺมวาจญฺจ ปริหาเปตฺวา, ปริวเตฺตตฺวา วา กตํ เจ, อธมฺมกมฺมํ นามฯ วเคฺคติ ฉนฺทารหานํ ฉนฺทสฺส อนาหรเณน วา สนฺนิปติตานํ อุโกฺกเฎน วา วเคฺค สติฯ ติกปาจิตฺติยํ สิยาติ ‘‘อธมฺมกเมฺม อธมฺมกมฺมสญฺญี วคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี โอวทติ, เวมติโก โอวทติ, สมคฺคสญฺญี โอวทติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๕๐) อธมฺมกเมฺม อธมฺมกมฺมสญฺญิปเกฺข วุตฺตปาจิตฺติยตฺตยํ โหติฯ
1132.Kammasminti ettha kamma-saddena bhikkhunovādakassa ñatticatutthena kammena dinnaṃ sammutikammaṃ adhippetanti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Ñattiṃ, kammavācañca parihāpetvā, parivattetvā vā kataṃ ce, adhammakammaṃ nāma. Vaggeti chandārahānaṃ chandassa anāharaṇena vā sannipatitānaṃ ukkoṭena vā vagge sati. Tikapācittiyaṃ siyāti ‘‘adhammakamme adhammakammasaññī vaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī ovadati, vematiko ovadati, samaggasaññī ovadati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 150) adhammakamme adhammakammasaññipakkhe vuttapācittiyattayaṃ hoti.
๑๑๓๓. อธเมฺม ปน กมฺมสฺมิํ เวมติกสฺสาปีติ โยชนาฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘วเคฺค ภิกฺขุนิสงฺฆสฺมิํ, ติกปาจิตฺติยํ สิยา’’ติ อิทํ สงฺคณฺหาติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? อธมฺมกเมฺม เวมติกปเกฺข ‘‘วคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี, เวมติโก, สมคฺคสญฺญี โอวทติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๕๐) อธมฺมิกกเมฺมเยว วิมติวาเร วุตฺตติกปาจิตฺติยํ โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ธมฺมกมฺมนฺติ สญฺญิโน’’ติ อิมินาปิ ‘‘อธเมฺม ปน กมฺมสฺมิ’’นฺติ อิทํ โยเชตพฺพํ, ‘‘ตถา’’ติ สมฺพโนฺธ, เตน ‘‘วเคฺค’’ติอาทิกํ สงฺคณฺหาติฯ ‘‘อธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญี วคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี โอวทติ, เวมติโก, สมคฺคสญฺญี โอวทติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๕๐) วุตฺตํ ติกปาจิตฺติยํ โหติฯ เอวเมตา ปาจิตฺติโย สนฺธายาห ‘‘นว ปาจิตฺติโย วุตฺตา’’ติฯ
1133. Adhamme pana kammasmiṃ vematikassāpīti yojanā. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘vagge bhikkhunisaṅghasmiṃ, tikapācittiyaṃ siyā’’ti idaṃ saṅgaṇhāti. Kiṃ vuttaṃ hoti? Adhammakamme vematikapakkhe ‘‘vaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī, vematiko, samaggasaññī ovadati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 150) adhammikakammeyeva vimativāre vuttatikapācittiyaṃ hotīti vuttaṃ hoti. ‘‘Dhammakammanti saññino’’ti imināpi ‘‘adhamme pana kammasmi’’nti idaṃ yojetabbaṃ, ‘‘tathā’’ti sambandho, tena ‘‘vagge’’tiādikaṃ saṅgaṇhāti. ‘‘Adhammakamme dhammakammasaññī vaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī ovadati, vematiko, samaggasaññī ovadati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 150) vuttaṃ tikapācittiyaṃ hoti. Evametā pācittiyo sandhāyāha ‘‘nava pācittiyo vuttā’’ti.
อิมสฺมิํ วิย อธมฺมกมฺมวาเร ‘‘สมเคฺค ภิกฺขุนิสงฺฆสฺมิ’’นฺติ วิกเปฺป จ เอวเมว นว ปาจิตฺติโย โหนฺตีติ อติทิสโนฺต ‘‘สมเคฺคปิ จ ตตฺตกา’’ติ อาหฯ ยถาห ‘‘อธมฺมกเมฺม อธมฺมกมฺมสญฺญี สมคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี, เวมติโก, สมคฺคสญฺญี โอวทติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ อธมฺมกเมฺม เวมติโก สมคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี, เวมติโก, สมคฺคสญฺญี โอวทติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ อธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญี สมคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี, เวมติโก, สมคฺคสญฺญี โอวทติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๕๐)ฯ
Imasmiṃ viya adhammakammavāre ‘‘samagge bhikkhunisaṅghasmi’’nti vikappe ca evameva nava pācittiyo hontīti atidisanto ‘‘samaggepi ca tattakā’’ti āha. Yathāha ‘‘adhammakamme adhammakammasaññī samaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī, vematiko, samaggasaññī ovadati, āpatti pācittiyassa. Adhammakamme vematiko samaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī, vematiko, samaggasaññī ovadati, āpatti pācittiyassa. Adhammakamme dhammakammasaññī samaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī, vematiko, samaggasaññī ovadati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 150).
๑๑๓๔. ทฺวินฺนํ นวกานํ วสาติ ยถาทสฺสิตํ วคฺคนวกํ, สมคฺคนวกนฺติ ทฺวินฺนํ นวกานํ วเสนฯ ตาติ ปาจิตฺติโยฯ
1134.Dvinnaṃ navakānaṃ vasāti yathādassitaṃ vagganavakaṃ, samagganavakanti dvinnaṃ navakānaṃ vasena. Tāti pācittiyo.
‘‘ธมฺมกเมฺม อธมฺมกมฺมสญฺญี วคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี, เวมติโก, สมคฺคสญฺญี โอวทติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ธมฺมกเมฺม เวมติโก วคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี, เวมติโก, สมคฺคสญฺญี โอวทติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญี วคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี, เวมติโก, สมคฺคสญฺญี โอวทติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ วคฺคปเกฺข นว ทุกฺกฎานิฯ ‘‘ธมฺมกเมฺม อธมฺมกมฺมสญฺญี สมคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี, เวมติโก, สมคฺคสญฺญี โอวทติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ธมฺมกเมฺม เวมติโก สมคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี, เวมติโก, สมคฺคสญฺญี โอวทติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญี สมคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วคฺคสญฺญี, เวมติโก โอวทติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญี สมคฺคํ ภิกฺขุนิสงฺฆํ สมคฺคสญฺญี โอวทติ, อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. ๑๕๑) เอตฺถ อเนฺต วุตฺตํ อนาปตฺติวารํ วินา อวเสเสสุ อฎฺฐสุ วาเรสุ สมคฺคปเกฺข อฎฺฐ ทุกฺกฎานิฯ เอวํ ปุริมานิ นว, อิมานิ อฎฺฐาติ ธมฺมกมฺมปเกฺข สตฺตรส ทุกฺกฎานิ โหนฺตีติ อาห ‘‘ทุกฺกฎํ ธมฺมกเมฺมปิ, สตฺตรสวิธํ สิยา’’ติฯ
‘‘Dhammakamme adhammakammasaññī vaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī, vematiko, samaggasaññī ovadati, āpatti dukkaṭassa. Dhammakamme vematiko vaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī, vematiko, samaggasaññī ovadati, āpatti dukkaṭassa. Dhammakamme dhammakammasaññī vaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī, vematiko, samaggasaññī ovadati, āpatti dukkaṭassā’’ti vaggapakkhe nava dukkaṭāni. ‘‘Dhammakamme adhammakammasaññī samaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī, vematiko, samaggasaññī ovadati, āpatti dukkaṭassa. Dhammakamme vematiko samaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī, vematiko, samaggasaññī ovadati, āpatti dukkaṭassa. Dhammakamme dhammakammasaññī samaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ vaggasaññī, vematiko ovadati, āpatti dukkaṭassa. Dhammakamme dhammakammasaññī samaggaṃ bhikkhunisaṅghaṃ samaggasaññī ovadati, anāpattī’’ti (pāci. 151) ettha ante vuttaṃ anāpattivāraṃ vinā avasesesu aṭṭhasu vāresu samaggapakkhe aṭṭha dukkaṭāni. Evaṃ purimāni nava, imāni aṭṭhāti dhammakammapakkhe sattarasa dukkaṭāni hontīti āha ‘‘dukkaṭaṃ dhammakammepi, sattarasavidhaṃ siyā’’ti.
๑๑๓๕. ‘‘โอสาเรหี’’ติ วุโตฺต กเถติ วาติ โยชนาฯ ‘‘อฎฺฐครุธมฺมํ กเถหี’’ติ วุโตฺต ตํ กเถติ วาฯ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ กเถติ วาติ อฎฺฐครุธมฺมวิสเย ปญฺหํ ปุโฎฺฐ ตเมว วทติ วาฯ สิกฺขมานาย กเถติ วาติ สมฺพโนฺธฯ สิกฺขมานาย อฎฺฐครุธเมฺม กเถติ วา, เนว โทโสติ อโตฺถฯ อุมฺมตฺตกาทิโน กถยโต เนว โทโสติ โยชนาฯ
1135. ‘‘Osārehī’’ti vutto katheti vāti yojanā. ‘‘Aṭṭhagarudhammaṃ kathehī’’ti vutto taṃ katheti vā. Pañhaṃ puṭṭho katheti vāti aṭṭhagarudhammavisaye pañhaṃ puṭṭho tameva vadati vā. Sikkhamānāya katheti vāti sambandho. Sikkhamānāya aṭṭhagarudhamme katheti vā, neva dosoti attho. Ummattakādino kathayato neva dosoti yojanā.
๑๑๓๖. อิทานิ ติณฺณมฺปิ พหุสฺสุตานํ ลกฺขเณ เอกตฺถ ทสฺสิเต ภิกฺขุโนวาทกสฺส วิเสโส สุวิเญฺญโยฺย โหตีติ ตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘วาจุคฺคตาว กาตพฺพา’’ติอาทิฯ เทฺว มาติกา ปคุณา วาจุคฺคตา กาตพฺพาติ โยชนาฯ ภิกฺขุภิกฺขุนิวิภเงฺค มาติกา ปคุณา วาจุคฺคตาว กาตพฺพาติ โยชนา, ภิกฺขุภิกฺขุนิวิภงฺคมาติกา ปคุณา กตฺวา ตาสํ อฎฺฐกถํ อุคฺคเหตฺวา ปาฬิโต, อตฺถโต จ วจนปถารุฬฺหา โวหารกฺขมาเยว กาตพฺพาติ วุตฺตํ โหติฯ จตฺตาโร ภาณวารา ปคุณา วาจุคฺคตาว กาตพฺพาติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ ‘‘ปคุณา’’ติ อิมินา ปาฬิยํ ปคุณํ กตฺวา ธาเรตฺวา ปริปุจฺฉิตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ ‘‘วาจุคฺคตาว กาตพฺพา’’ติ อิมินา ตทตฺถํ สุตฺวา ธาเรตฺวา ปริปุจฺฉิตพฺพเมวาติ ทเสฺสติฯ
1136. Idāni tiṇṇampi bahussutānaṃ lakkhaṇe ekattha dassite bhikkhunovādakassa viseso suviññeyyo hotīti taṃ dassetumāha ‘‘vācuggatāva kātabbā’’tiādi. Dve mātikā paguṇā vācuggatā kātabbāti yojanā. Bhikkhubhikkhunivibhaṅge mātikā paguṇā vācuggatāva kātabbāti yojanā, bhikkhubhikkhunivibhaṅgamātikā paguṇā katvā tāsaṃ aṭṭhakathaṃ uggahetvā pāḷito, atthato ca vacanapathāruḷhā vohārakkhamāyeva kātabbāti vuttaṃ hoti. Cattāro bhāṇavārā paguṇā vācuggatāva kātabbāti pakāsitāti yojanā. ‘‘Paguṇā’’ti iminā pāḷiyaṃ paguṇaṃ katvā dhāretvā paripucchitabbanti dasseti. ‘‘Vācuggatāva kātabbā’’ti iminā tadatthaṃ sutvā dhāretvā paripucchitabbamevāti dasseti.
๑๑๓๗. ปริกถตฺถายาติ สมฺปตฺตานํ ธมฺมกถนตฺถายฯ กถามโคฺคติ มหาสุทสฺสนกถามโคฺคฯ มงฺคล…เป.… อนุโมทนาติ อคฺคสฺส ทานาทิมงฺคเลสุ ภตฺตานุโมทนาสงฺขาตา ทานกถา จ, กุมารมงฺคลาทีสุ มหามงฺคลสุตฺตาทิมงฺคลานุโมทนา จ, อมงฺคลํ นาม กาลกิริยา, ตตฺถ มตกภตฺตาทีสุ ติโรกุฎฺฎาทิกถา จาติ เอวํ ติโสฺสเยวานุโมทนาฯ
1137.Parikathatthāyāti sampattānaṃ dhammakathanatthāya. Kathāmaggoti mahāsudassanakathāmaggo. Maṅgala…pe… anumodanāti aggassa dānādimaṅgalesu bhattānumodanāsaṅkhātā dānakathā ca, kumāramaṅgalādīsu mahāmaṅgalasuttādimaṅgalānumodanā ca, amaṅgalaṃ nāma kālakiriyā, tattha matakabhattādīsu tirokuṭṭādikathā cāti evaṃ tissoyevānumodanā.
๑๑๓๘. อุโปสถาทิอตฺถายาติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ปวารณาทีนํ สงฺคโหฯ กมฺมากมฺมวินิจฺฉโยติ กมฺมวเคฺค วุตฺตวินิจฺฉโย, ปริวาเร กมฺมวเคฺค อาคตขุทฺทานุขุทฺทกกมฺมวินิจฺฉโยติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘กมฺมฎฺฐาน’’นฺติ อิมินา ‘‘อุตฺตมตฺถสฺส ปาปก’’นฺติ วกฺขมานตฺตา วิปสฺสนากมฺมฎฺฐานมาหฯ วิปสฺสนาวเสน อุคฺคณฺหเนฺตน จ ธาตุววตฺถานมุเขน อุคฺคเหตพฺพนฺติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ อุตฺตมตฺถสฺสาติ อรหตฺตสฺสฯ
1138.Uposathādiatthāyāti ettha ādi-saddena pavāraṇādīnaṃ saṅgaho. Kammākammavinicchayoti kammavagge vuttavinicchayo, parivāre kammavagge āgatakhuddānukhuddakakammavinicchayoti vuttaṃ hoti. ‘‘Kammaṭṭhāna’’nti iminā ‘‘uttamatthassa pāpaka’’nti vakkhamānattā vipassanākammaṭṭhānamāha. Vipassanāvasena uggaṇhantena ca dhātuvavatthānamukhena uggahetabbanti gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Uttamatthassāti arahattassa.
๑๑๓๙. เอตฺตกํ อุคฺคเหตฺวาน พหุสฺสุโตติ ยถาวุตฺตธมฺมานํ อุคฺคหิตตฺตา พหุสฺสุโตฯ ปญฺจวโสฺสติ อุปสมฺปทโต ปฎฺฐาย ปริปุณฺณปญฺจสํวจฺฉโรฯ ‘‘ทสวโสฺส’’ติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สํวจฺฉรวเสน ปญฺจวเสฺสสุ ปริปุเณฺณสุ วุตฺถวสฺสวเสน อปริปุเณฺณสุปิ ปญฺจวโสฺสเยวฯ อิตรถา อูนปญฺจวโสฺสติ เวทิตโพฺพฯ ปริปุณฺณวีสติวสฺสูปสมฺปทาทีสุ วิย เกจิ สํวจฺฉรคณนํ อวิจาเรตฺวา ‘‘ปญฺจวโสฺส’’ติวจนสามเญฺญน วุตฺถวสฺสคณนเมว คณฺหนฺติ, ตทยุตฺตํฯ ตถา คหเณสุ ยุตฺติ วา มคฺคิตพฺพาฯ มุญฺจิตฺวา นิสฺสยนฺติ นิสฺสยวาสํ ชหิตฺวาฯ อิสฺสโรติ นิสฺสยาจริยวิรเหน อิสฺสโร, อิมินา นิสฺสยมุตฺตลกฺขณํ ทสฺสิตํฯ
1139.Ettakaṃ uggahetvāna bahussutoti yathāvuttadhammānaṃ uggahitattā bahussuto. Pañcavassoti upasampadato paṭṭhāya paripuṇṇapañcasaṃvaccharo. ‘‘Dasavasso’’ti etthāpi eseva nayo. Saṃvaccharavasena pañcavassesu paripuṇṇesu vutthavassavasena aparipuṇṇesupi pañcavassoyeva. Itarathā ūnapañcavassoti veditabbo. Paripuṇṇavīsativassūpasampadādīsu viya keci saṃvaccharagaṇanaṃ avicāretvā ‘‘pañcavasso’’tivacanasāmaññena vutthavassagaṇanameva gaṇhanti, tadayuttaṃ. Tathā gahaṇesu yutti vā maggitabbā. Muñcitvā nissayanti nissayavāsaṃ jahitvā. Issaroti nissayācariyavirahena issaro, iminā nissayamuttalakkhaṇaṃ dassitaṃ.
๑๑๔๐. เทฺว วิภงฺคาติ ภิกฺขุภิกฺขุนิวิภงฺคทฺวยํฯ อิธ ‘‘วาจุคฺคตา’’ติ อิทํ ปริปุจฺฉมฺปิ สนฺธายาหาติปิ วุตฺตํฯ เตนาห สารตฺถทีปนิยํ ‘‘เทฺว วิภงฺคา ปคุณา วาจุคฺคตา กาตพฺพา’ติอิทํ ปริปุจฺฉาวเสน อุคฺคหณมฺปิ สนฺธาย วุตฺต’นฺติ วทนฺตี’’ติ (สารตฺถ. ฎี. ปาจิตฺติย ๓.๑๔๕-๑๔๗)ฯ พฺยญฺชนาทิโตติ เอตฺถ พฺยญฺชนํ นาม ปทํ, อาทิ-สเทฺทน สงฺคหิตํ อนุพฺยญฺชนํ นาม อกฺขรํ, ปทกฺขรานิ อปริหาเปตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ จตูสฺวปิ นิกาเยสูติ ทีฆมชฺฌิมสํยุตฺต องฺคุตฺตรนิกาเยสุ, นิทฺธารเณ ภุมฺมํฯ เอโก วา นิกาโย โปตฺถโกปิ จ เอโกติ โยชนาฯ อปิ-สเทฺทน ขุทฺทกนิกายสฺสาปิ สงฺคโห เวทิตโพฺพฯ ‘‘ปิ วา’’ติ อิมินา ขุทฺทกนิกาเย ชาตกภาณเกน สาฎฺฐกถํ ชาตกํ อุคฺคเหตฺวาปิ ธมฺมปทํ สห วตฺถุนา อุคฺคเหตพฺพเมวาติ ทสฺสิเต เทฺว โปตฺถเก สมุจฺจิโนติ, จตฺตาริ ขนฺธกวตฺตานิ วาฯ
1140.Dvevibhaṅgāti bhikkhubhikkhunivibhaṅgadvayaṃ. Idha ‘‘vācuggatā’’ti idaṃ paripucchampi sandhāyāhātipi vuttaṃ. Tenāha sāratthadīpaniyaṃ ‘‘dve vibhaṅgā paguṇā vācuggatā kātabbā’tiidaṃ paripucchāvasena uggahaṇampi sandhāya vutta’nti vadantī’’ti (sārattha. ṭī. pācittiya 3.145-147). Byañjanāditoti ettha byañjanaṃ nāma padaṃ, ādi-saddena saṅgahitaṃ anubyañjanaṃ nāma akkharaṃ, padakkharāni aparihāpetvāti vuttaṃ hoti. Catūsvapi nikāyesūti dīghamajjhimasaṃyutta aṅguttaranikāyesu, niddhāraṇe bhummaṃ. Eko vā nikāyo potthakopi ca ekoti yojanā. Api-saddena khuddakanikāyassāpi saṅgaho veditabbo. ‘‘Pi vā’’ti iminā khuddakanikāye jātakabhāṇakena sāṭṭhakathaṃ jātakaṃ uggahetvāpi dhammapadaṃ saha vatthunā uggahetabbamevāti dassite dve potthake samuccinoti, cattāri khandhakavattāni vā.
๑๑๔๒. ทิสาปาโมโกฺข ยตฺถ ยตฺถ วสติ, ตสฺสา ตสฺสาทิสาย ปาโมโกฺข ปธาโนฯ เยนกามํคโมติ ยตฺถ กตฺถจิ ทิสาภาเค ยถากามํ วุตฺติโก โหตีติ อโตฺถ ฯ ปริสํ อุปฎฺฐาเปตุํ กามํ ลภเต อิสฺสโรติ โยชนา, อิสฺสโร หุตฺวา ภิกฺขุปริสาย อตฺตานํ อุปฎฺฐาเปตุํ ยถารุจิยา ลภตีติ อโตฺถฯ เอตฺตาวตา ปริสูปฎฺฐาปกลกฺขณํ วุตฺตํฯ
1142.Disāpāmokkho yattha yattha vasati, tassā tassādisāya pāmokkho padhāno. Yenakāmaṃgamoti yattha katthaci disābhāge yathākāmaṃ vuttiko hotīti attho . Parisaṃ upaṭṭhāpetuṃ kāmaṃ labhate issaroti yojanā, issaro hutvā bhikkhuparisāya attānaṃ upaṭṭhāpetuṃ yathāruciyā labhatīti attho. Ettāvatā parisūpaṭṭhāpakalakkhaṇaṃ vuttaṃ.
๑๑๔๓. วาจุคฺคนฺติ วาจุคฺคตํฯ เอตฺถ จ ‘‘อิทานิ อยํ ภณฺฑปาถาวิธิ น โหตีติ มิหกปริปุจฺฉนกถานุรูปโต อตฺถกรณํ น วาจุคฺคตกรณํ นามาติ วิญฺญายตี’’ติ นิสฺสเนฺทเห วุตฺตํฯ อิมินา ยถาวุตฺตํ ทุติยงฺคเมว สงฺคหิตํฯ
1143.Vācugganti vācuggataṃ. Ettha ca ‘‘idāni ayaṃ bhaṇḍapāthāvidhi na hotīti mihakaparipucchanakathānurūpato atthakaraṇaṃ na vācuggatakaraṇaṃ nāmāti viññāyatī’’ti nissandehe vuttaṃ. Iminā yathāvuttaṃ dutiyaṅgameva saṅgahitaṃ.
๑๑๔๔. อสฺสาติ อิมสฺส สิกฺขาปทสฺสฯ อสมฺมตตาทีนิ ตีณิ องฺคานีติ อตฺตโน อสมฺมตตา, ภิกฺขุนิยา ปริปุณฺณูปสมฺปนฺนตา, โอวาทวเสน อฎฺฐครุธมฺมภณนนฺติ อิมานิ ตีณิ องฺคานิฯ
1144.Assāti imassa sikkhāpadassa. Asammatatādīni tīṇi aṅgānīti attano asammatatā, bhikkhuniyā paripuṇṇūpasampannatā, ovādavasena aṭṭhagarudhammabhaṇananti imāni tīṇi aṅgāni.
โอวาทกถาวณฺณนาฯ
Ovādakathāvaṇṇanā.
๑๑๔๖. ติกปาจิตฺติยนฺติ ‘‘อตฺถงฺคเต สูริเย อตฺถงฺคตสญฺญี, เวมติโก, อนตฺถงฺคตสญฺญี’’ติ วิกปฺปตฺตเยฯ เอกโตอุปสมฺปนฺนนฺติ ภิกฺขุนิสเงฺฆ อุปสมฺปนฺนํฯ ‘‘ภิกฺขุสเงฺฆ อุปสมฺปนฺนํ ปน โอวทโต ปาจิตฺติยเมวา’’ติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ
1146.Tikapācittiyanti ‘‘atthaṅgate sūriye atthaṅgatasaññī, vematiko, anatthaṅgatasaññī’’ti vikappattaye. Ekatoupasampannanti bhikkhunisaṅghe upasampannaṃ. ‘‘Bhikkhusaṅghe upasampannaṃ pana ovadato pācittiyamevā’’ti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.
๑๑๔๘. อุเทฺทสาทินเยนาติ ‘‘อนาปตฺติ อุเทฺทสํ เทโนฺต, ปริปุจฺฉํ เทโนฺต’’ติอาทินา อนาปตฺติวารนเยนฯ อสฺสาติ ภิกฺขุสฺสฯ
1148.Uddesādinayenāti ‘‘anāpatti uddesaṃ dento, paripucchaṃ dento’’tiādinā anāpattivāranayena. Assāti bhikkhussa.
อตฺถงฺคตสูริยกถาวณฺณนาฯ
Atthaṅgatasūriyakathāvaṇṇanā.
๑๑๔๙. ‘‘สเจ อสมฺมโต’’ติ วกฺขมานตฺตา โอวทนฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘สมฺมตสฺสา’’ติ ลพฺภติฯ ภิกฺขุนุปสฺสยนฺติ ภิกฺขุนิวิหารํฯ อญฺญตฺร กาลาติ ‘‘ตตฺถายํ สมโย , คิลานา โหติ ภิกฺขุนี’’ติ วุตฺตกาลโต อญฺญตฺรฯ ‘‘คิลานา นาม ภิกฺขุนี น สโกฺกติ โอวาทาย วา สํวาสาย วา คนฺตุ’’นฺติ (ปาจิ. ๑๖๑) ทสฺสิเต คิลานกาเล อนาปตฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ
1149. ‘‘Sace asammato’’ti vakkhamānattā ovadantassāti ettha ‘‘sammatassā’’ti labbhati. Bhikkhunupassayanti bhikkhunivihāraṃ. Aññatra kālāti ‘‘tatthāyaṃ samayo , gilānā hoti bhikkhunī’’ti vuttakālato aññatra. ‘‘Gilānā nāma bhikkhunī na sakkoti ovādāya vā saṃvāsāya vā gantu’’nti (pāci. 161) dassite gilānakāle anāpattīti vuttaṃ hoti.
๑๑๕๐. ปาจิตฺติยทฺวยํ โหตีติ ปฐมสิกฺขาปเทน, อิมินา จ สิกฺขาปเทน เทฺว ปาจิตฺติยานิ โหนฺตีติฯ ‘‘ตีณิปิ ปาจิตฺติยานี’’ติ โยเชตพฺพา, ปฐมทุติยตติเยหิ สิกฺขาปเทหิ ตีณิ ปาจิตฺติยานิ โหนฺตีติ อโตฺถฯ
1150.Pācittiyadvayaṃ hotīti paṭhamasikkhāpadena, iminā ca sikkhāpadena dve pācittiyāni hontīti. ‘‘Tīṇipi pācittiyānī’’ti yojetabbā, paṭhamadutiyatatiyehi sikkhāpadehi tīṇi pācittiyāni hontīti attho.
๑๑๕๑. อเญฺญน ธเมฺมนาติ ครุธมฺมโต อเญฺญน พุทฺธวจเนนฯ ทุกฺกฎทฺวยนฺติ อสมฺมตภิกฺขุนุปสฺสยคมนมูลกํ ทุกฺกฎทฺวยํฯ ภิกฺขุโนติ อสมฺมตสฺส ‘‘สมฺมตสฺสาปี’’ติ วกฺขมานตฺตาฯ ‘‘อฎฺฐหิ วา ครุธเมฺมหิ อเญฺญน วา ธเมฺมน โอวทติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๕๕) อตฺถงฺคตสิกฺขาปเท วุตฺตตฺตา ‘‘รตฺติเหตุก’’นฺติ อาห, รตฺติโอวาทนมูลนฺติ อโตฺถฯ
1151.Aññena dhammenāti garudhammato aññena buddhavacanena. Dukkaṭadvayanti asammatabhikkhunupassayagamanamūlakaṃ dukkaṭadvayaṃ. Bhikkhunoti asammatassa ‘‘sammatassāpī’’ti vakkhamānattā. ‘‘Aṭṭhahi vā garudhammehi aññena vā dhammena ovadati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 155) atthaṅgatasikkhāpade vuttattā ‘‘rattihetuka’’nti āha, rattiovādanamūlanti attho.
๑๑๕๒. ปาจิตฺติยทฺวยนฺติ ทุติยตติยมูลกํฯ ครุธเมฺมน โอวาโท ครุธโมฺม, โส นิทานํ ยสฺส ปาจิตฺติยสฺสาติ วิคฺคโหฯ สมฺมตตฺตา ครุธมฺมนิทานสฺส ปาจิตฺติยสฺส อภาวโตติ สมฺพโนฺธฯ อิมินา ปฐมสิกฺขาปเทน อนาปตฺติภาวํ ทเสฺสติฯ
1152.Pācittiyadvayanti dutiyatatiyamūlakaṃ. Garudhammena ovādo garudhammo, so nidānaṃ yassa pācittiyassāti viggaho. Sammatattā garudhammanidānassa pācittiyassa abhāvatoti sambandho. Iminā paṭhamasikkhāpadena anāpattibhāvaṃ dasseti.
๑๑๕๓. ตเสฺสวาติ สมฺมตเสฺสวฯ ทุกฺกฎํ อิมินา ตติยสิกฺขาปเทนฯ อนาปตฺติ ปฐมสิกฺขาปเทน, เตเนวาห ‘‘สมฺมตตฺตา’’ติฯ ปาจิตฺติ ทุติยสิกฺขาปเทน, เตเนวาห ‘‘รตฺติย’’นฺติฯ
1153.Tassevāti sammatasseva. Dukkaṭaṃ iminā tatiyasikkhāpadena. Anāpatti paṭhamasikkhāpadena, tenevāha ‘‘sammatattā’’ti. Pācitti dutiyasikkhāpadena, tenevāha ‘‘rattiya’’nti.
๑๑๕๔. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘อุปสมฺปนฺนาย อุปสมฺปนฺนสญฺญี, เวมติโก, อนุปสมฺปนฺนสญฺญี ภิกฺขุนุปสฺสยํ อุปสงฺกมิตฺวา อญฺญตฺร สมยา โอวทติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๖๒) ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ อิตรทฺวเยติ ‘‘อนุปสมฺปนฺนาย อุปสมฺปนฺนสญฺญี, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุปสมฺปนฺนาย เวมติโก, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๖๒) ทสฺสิเต อิตรทฺวเยฯ โอวทนฺตสฺสาติ เยน เกนจิ โอวทนฺตสฺสฯ
1154.Tikapācittiyaṃvuttanti ‘‘upasampannāya upasampannasaññī, vematiko, anupasampannasaññī bhikkhunupassayaṃ upasaṅkamitvā aññatra samayā ovadati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 162) tikapācittiyaṃ vuttaṃ. Itaradvayeti ‘‘anupasampannāya upasampannasaññī, āpatti dukkaṭassa. Anupasampannāya vematiko, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 162) dassite itaradvaye. Ovadantassāti yena kenaci ovadantassa.
๑๑๕๕. ติกปาจิตฺติยํ, ทุกฺกฎฎฺฐาเน ทุกฺกฎเมว โหตีติ ทเสฺสตุมาห ‘‘ตถา’’ติฯ ภิกฺขุนุปสฺสยํ คนฺตฺวา อเญฺญน ธเมฺมน โอวทนฺตสฺส ตถาติ โยชนาฯ
1155. Tikapācittiyaṃ, dukkaṭaṭṭhāne dukkaṭameva hotīti dassetumāha ‘‘tathā’’ti. Bhikkhunupassayaṃ gantvā aññena dhammena ovadantassa tathāti yojanā.
ภิกฺขุนุปสฺสยกถาวณฺณนาฯ
Bhikkhunupassayakathāvaṇṇanā.
๑๑๕๖. จีวราทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน ปิณฺฑปาตาทิอิตรปจฺจยตฺตยญฺจ สกฺการครุการมานนวนฺทนปูชนานิ จ สงฺคหิตานิฯ สมฺมเตติ ภิกฺขุโนวาทกสมฺมุติยา สมฺมเตฯ
1156.Cīvarādīnanti ādi-saddena piṇḍapātādiitarapaccayattayañca sakkāragarukāramānanavandanapūjanāni ca saṅgahitāni. Sammateti bhikkhunovādakasammutiyā sammate.
๑๑๕๗. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘ธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญี, เวมติโก, อธมฺมกมฺมสญฺญี เอวํ วทติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๖๗) ติกปาจิตฺติยํ ปาฬิยํ ทสฺสิตเมวฯ อิธ กมฺมํ นาม ยถาวุตฺตํ สมฺมุติกมฺมํฯ อธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญิเวมติกอธมฺมกมฺมสญฺญีนํ วเสน ติกทุกฺกฎํฯ วีสติวโสฺส วา อติเรกวีสติวโสฺส วาติ สมฺมุติยา องฺคานิฯ
1157.Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘dhammakamme dhammakammasaññī, vematiko, adhammakammasaññī evaṃ vadati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 167) tikapācittiyaṃ pāḷiyaṃ dassitameva. Idha kammaṃ nāma yathāvuttaṃ sammutikammaṃ. Adhammakamme dhammakammasaññivematikaadhammakammasaññīnaṃ vasena tikadukkaṭaṃ. Vīsativasso vā atirekavīsativasso vāti sammutiyā aṅgāni.
๑๑๕๘. ‘‘สมฺมตํ อนุปสมฺปนฺน’’นฺติ กํ สนฺธายาหาติ เจ? สมฺมเตน หุตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย สามเณรภาวมุปคตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อามิสตฺถายาติ จีวราทีนมตฺถายฯ
1158. ‘‘Sammataṃ anupasampanna’’nti kaṃ sandhāyāhāti ce? Sammatena hutvā sikkhaṃ paccakkhāya sāmaṇerabhāvamupagataṃ sandhāya vuttaṃ. Āmisatthāyāti cīvarādīnamatthāya.
อามิสกถาวณฺณนาฯ
Āmisakathāvaṇṇanā.
๑๑๖๒. ภิกฺขุนิยา ทินฺนนฺติ เอตฺถ ‘‘ภิกฺขุสฺสา’’ติ วตฺตพฺพํฯ ภิกฺขุนา ทินฺนนฺติ โยชนาฯ ‘‘ภิกฺขุนิยา’’ติ เสโส ฯ ตตฺถาติ จีวรปฎิคฺคหณสิกฺขาปเทฯ สูจิตาติ ปกาสิตาฯ
1162.Bhikkhuniyā dinnanti ettha ‘‘bhikkhussā’’ti vattabbaṃ. Bhikkhunā dinnanti yojanā. ‘‘Bhikkhuniyā’’ti seso . Tatthāti cīvarapaṭiggahaṇasikkhāpade. Sūcitāti pakāsitā.
จีวรทานกถาวณฺณนาฯ
Cīvaradānakathāvaṇṇanā.
๑๑๖๓. อญฺญาติกาย ภิกฺขุนิยา จีวรนฺติ โยชนาฯ
1163. Aññātikāya bhikkhuniyā cīvaranti yojanā.
๑๑๖๔. เอตฺถาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ
1164.Etthāti imasmiṃ sikkhāpade.
๑๑๖๕. สูจิํ จีวรํ ปเวเสตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ สูจินีหรเณติ จีวรโตฯ
1165. Sūciṃ cīvaraṃ pavesetvāti sambandho. Sūcinīharaṇeti cīvarato.
๑๑๖๖. ปโยคสฺส วสาติ เอกกฺขเณ พหู อาวุณิตฺวา สูจิยา นีหรณปโยคคณนายฯ พหู ปาจิตฺติโยติ โยชนา, ปโยคปฺปมาณาปตฺติโย โหนฺตีติ อโตฺถฯ
1166.Payogassa vasāti ekakkhaṇe bahū āvuṇitvā sūciyā nīharaṇapayogagaṇanāya. Bahū pācittiyoti yojanā, payogappamāṇāpattiyo hontīti attho.
๑๑๖๙. อเนกา ปาจิตฺติยาปตฺตี โหนฺตีติ โยชนาฯ อารปเถติ สูจิมเคฺคฯ ทุติเย ปเถติ เอตฺถ อาร-สโทฺท คาถาพนฺธสุขตฺถํ ลุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
1169. Anekā pācittiyāpattī hontīti yojanā. Ārapatheti sūcimagge. Dutiye patheti ettha āra-saddo gāthābandhasukhatthaṃ luttoti veditabbo.
๑๑๗๐. กา หิ นาม กถาติ ‘‘อเนกาปตฺติโย โหนฺตี’’ติ เอตฺถ กิํ วตฺตพฺพนฺติ อโตฺถฯ ติกปาจิตฺติยนฺติ ‘‘อญฺญาติกาย อญฺญาติกสญฺญี, เวมติโก, ญาติกสญฺญี จีวรํ สิพฺพติ วา สิพฺพาเปติ วา, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๗๘) วุตฺตํ ติกปาจิตฺติยํฯ
1170.Kā hi nāma kathāti ‘‘anekāpattiyo hontī’’ti ettha kiṃ vattabbanti attho. Tikapācittiyanti ‘‘aññātikāya aññātikasaññī, vematiko, ñātikasaññī cīvaraṃ sibbati vā sibbāpeti vā, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 178) vuttaṃ tikapācittiyaṃ.
๑๑๗๒. อญฺญํ ปริกฺขารนฺติ อุปาหนตฺถวิกาทิํฯ สิพฺพโตติ เอตฺถ ‘‘สิพฺพาปยโต’’ติ อธิการโต ลพฺภติฯ สิกฺขมานสามเณริโย สิกฺขมานาทิกา นามฯ
1172.Aññaṃ parikkhāranti upāhanatthavikādiṃ. Sibbatoti ettha ‘‘sibbāpayato’’ti adhikārato labbhati. Sikkhamānasāmaṇeriyo sikkhamānādikā nāma.
๑๑๗๓. สิพฺพนกิริยาย อาปชฺชิตพฺพโต กฺริยํฯ
1173. Sibbanakiriyāya āpajjitabbato kriyaṃ.
จีวรสิพฺพนกถาวณฺณนาฯ
Cīvarasibbanakathāvaṇṇanā.
๑๑๗๔-๕. สํวิธายาติ ‘‘อชฺช ยาม, เสฺว ยามา’’ติอาทินา นเยน สํวิทหิตฺวาฯ ยถาห ‘‘อชฺช วา หิโยฺย วา ปเร วา คจฺฉามาติ สํวิทหตี’’ติ (ปาจิ. ๑๘๓)ฯ มคฺคนฺติ เอกทฺธานมคฺคํ, อนฺตมโส คามนฺตรมฺปิฯ อญฺญตฺร สมยาติ ‘‘ตตฺถายํ สมโย, สตฺถคมนีโย โหติ มโคฺค สาสงฺกสมฺมโต สปฺปฎิภโย’’ติ (ปาจิ. ๑๘๒) วุตฺตกาลวิเสสา อญฺญตฺราติ วุตฺตํ โหติฯ สตฺถวาเหหิ วินา อคมนีโย มโคฺค สตฺถคมนีโย นามฯ โจรานํ สยิตนิสินฺนฎฺฐิตขาทิตปีตฎฺฐานานิ ยตฺถ ทิสฺสนฺติ, ตาทิโส มโคฺค สาสโงฺก นามฯ โจเรหิ หตมาริตฆาตวิลุตฺตมนุสฺสา ยตฺถ ปญฺญายนฺติ, โส สปฺปฎิภโย นามฯ อิธาติ อิมสฺมิํ ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ กตสํวิธานํ อวิราเธตฺวา ตาย เอกทฺธานมคฺคํ ปฎิปชฺชนกาเลติ อโตฺถฯ
1174-5.Saṃvidhāyāti ‘‘ajja yāma, sve yāmā’’tiādinā nayena saṃvidahitvā. Yathāha ‘‘ajja vā hiyyo vā pare vā gacchāmāti saṃvidahatī’’ti (pāci. 183). Magganti ekaddhānamaggaṃ, antamaso gāmantarampi. Aññatra samayāti ‘‘tatthāyaṃ samayo, satthagamanīyo hoti maggo sāsaṅkasammato sappaṭibhayo’’ti (pāci. 182) vuttakālavisesā aññatrāti vuttaṃ hoti. Satthavāhehi vinā agamanīyo maggo satthagamanīyo nāma. Corānaṃ sayitanisinnaṭṭhitakhāditapītaṭṭhānāni yattha dissanti, tādiso maggo sāsaṅko nāma. Corehi hatamāritaghātaviluttamanussā yattha paññāyanti, so sappaṭibhayo nāma. Idhāti imasmiṃ bhikkhuniyā saddhiṃ katasaṃvidhānaṃ avirādhetvā tāya ekaddhānamaggaṃ paṭipajjanakāleti attho.
อโญฺญ คาโม คามนฺตรํ, ตตฺถ โอกฺกมนํ อุปคมนํ คามนฺตโรกฺกโม, ตสฺมิํ กเตติ อโตฺถฯ อคามเก อรเญฺญ อทฺธโยชนาติกฺกเม วาติ โยชนา, คามรหิตํ อรญฺญมคฺคมฺปิ ทฺวิคาวุตํ อติกฺกเนฺต วาติ อโตฺถฯ
Añño gāmo gāmantaraṃ, tattha okkamanaṃ upagamanaṃ gāmantarokkamo, tasmiṃ kateti attho. Agāmake araññe addhayojanātikkame vāti yojanā, gāmarahitaṃ araññamaggampi dvigāvutaṃ atikkante vāti attho.
๑๑๗๖. ‘‘อาปตฺติ โหตี’’ติ สามญฺญโต ทสฺสิตอาปตฺติยา เภทาเภทํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอตฺถา’’ติอาทิฯ เอตฺถาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปทวินิจฺฉเย, ปกรเณ วาฯ ทุกฺกฎํ ทีปิตนฺติ สมฺพโนฺธฯ อกปฺปิยภูมโฎฺฐติ เอตฺถ อกปฺปิยา ภูมิ นาม อโนฺตคาเม ภิกฺขุนุปสฺสยทฺวารโกฎฺฐโกติ เอวมาทิฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สเจ ปน อโนฺตคาเม ภิกฺขุนุปสฺสยทฺวาเร รถิกาย, อเญฺญสุ วา จตุกฺกสิงฺฆาฎกหตฺถิสาลาทีสุ สํวิทหนฺติ, ภิกฺขุโน อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๘๒-๑๘๓)ฯ เอตฺถ จ จตุนฺนํ มคฺคานํ สมฺพนฺธฎฺฐานํ จตุกฺกํฯ ติณฺณํ มคฺคานํ สมฺพนฺธฎฺฐานํ สิงฺฆาฎกํฯ
1176. ‘‘Āpatti hotī’’ti sāmaññato dassitaāpattiyā bhedābhedaṃ dassetumāha ‘‘etthā’’tiādi. Etthāti imasmiṃ sikkhāpadavinicchaye, pakaraṇe vā. Dukkaṭaṃ dīpitanti sambandho. Akappiyabhūmaṭṭhoti ettha akappiyā bhūmi nāma antogāme bhikkhunupassayadvārakoṭṭhakoti evamādi. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sace pana antogāme bhikkhunupassayadvāre rathikāya, aññesu vā catukkasiṅghāṭakahatthisālādīsu saṃvidahanti, bhikkhuno āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. aṭṭha. 182-183). Ettha ca catunnaṃ maggānaṃ sambandhaṭṭhānaṃ catukkaṃ. Tiṇṇaṃ maggānaṃ sambandhaṭṭhānaṃ siṅghāṭakaṃ.
๑๑๗๗. กปฺปิยภูมิ นาม ภิกฺขุนุปสฺสยาทิฯ ยถาห ‘‘สเจ อุโภปิ ภิกฺขุนุปสฺสเย วา อนฺตราราเม วา อาสนสาลาย วา ติตฺถิยเสยฺยาย วา ฐตฺวา สํวิทหนฺติ, อนาปตฺติฯ กปฺปิยภูมิ กิรายํฯ ตสฺมา เอตฺถ สํวิทหนปจฺจยา ทุกฺกฎาปตฺติํ น วทนฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๘๒-๑๘๓)ฯ เตเนวาห ‘‘น วทนฺตสฺส ทุกฺกฎ’’นฺติฯ ‘‘น วทนฺติ อสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ
1177.Kappiyabhūmi nāma bhikkhunupassayādi. Yathāha ‘‘sace ubhopi bhikkhunupassaye vā antarārāme vā āsanasālāya vā titthiyaseyyāya vā ṭhatvā saṃvidahanti, anāpatti. Kappiyabhūmi kirāyaṃ. Tasmā ettha saṃvidahanapaccayā dukkaṭāpattiṃ na vadantī’’ti (pāci. aṭṭha. 182-183). Tenevāha ‘‘na vadantassa dukkaṭa’’nti. ‘‘Na vadanti assā’’ti padacchedo.
๑๑๗๘. อุภยตฺถาติ อกปฺปิยภูมิยํ ฐตฺวา สํวิธาย คมเน, กปฺปิยภูมิยํ ฐตฺวา สํวิธาย คมเน จาติ อุภยวิกเปฺปฯ คจฺฉนฺตเสฺสวาติ เอวกาเรน นิกฺขนฺตสฺส โชตกํฯ ยถาห ‘‘นิกฺขมเน อนาปตฺตี’’ติฯ ‘‘ภิกฺขุโน’’ติ อิมินา ภิกฺขุนิยา อนาปตฺติภาวํ ทีเปติฯ อาปตฺติเขตฺตนิยมนตฺถมาห ‘‘อนนฺตรสฺสา’’ติอาทิฯ
1178.Ubhayatthāti akappiyabhūmiyaṃ ṭhatvā saṃvidhāya gamane, kappiyabhūmiyaṃ ṭhatvā saṃvidhāya gamane cāti ubhayavikappe. Gacchantassevāti evakārena nikkhantassa jotakaṃ. Yathāha ‘‘nikkhamane anāpattī’’ti. ‘‘Bhikkhuno’’ti iminā bhikkhuniyā anāpattibhāvaṃ dīpeti. Āpattikhettaniyamanatthamāha ‘‘anantarassā’’tiādi.
๑๑๗๙. ตตฺราปีติ กปฺปิยภูมิอุปจาโรกฺกมเนปิฯ อุทีริตนฺติ มหาปจฺจริยํฯ ยถาห ‘‘มหาปจฺจริยํ วุตฺต’’นฺติฯ
1179.Tatrāpīti kappiyabhūmiupacārokkamanepi. Udīritanti mahāpaccariyaṃ. Yathāha ‘‘mahāpaccariyaṃ vutta’’nti.
๑๑๘๐. อนฺตราติ อตฺตโน นิกฺขนฺตคามสฺส, อนนฺตรคามสฺส จ เวมเชฺฌฯ ยถาห ‘‘คามโต นิกฺขมิตฺวา ปน ยาว อนนฺตรคามสฺส อุปจารํ น โอกฺกมติ, เอตฺถนฺตเร สํวิทหิเตปิ ภิกฺขุโน ทุกฺกฎ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๘๒-๑๘๓)ฯ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท กาลทฺวารมคฺคานํ วเสน ตโย สเงฺกตวิสเงฺกตาติ เตสุ มคฺคทฺวารวิสเงฺกเตปิ อาปตฺติ โหเตวาติ ทเสฺสตุมาห ‘‘ทฺวาร…เป.… วุจฺจตี’’ติฯ กาลวิสเงฺกเต ปน อนาปตฺติํ วกฺขติฯ อาปตฺติ ปาจิตฺติฯ
1180.Antarāti attano nikkhantagāmassa, anantaragāmassa ca vemajjhe. Yathāha ‘‘gāmato nikkhamitvā pana yāva anantaragāmassa upacāraṃ na okkamati, etthantare saṃvidahitepi bhikkhuno dukkaṭa’’nti (pāci. aṭṭha. 182-183). Imasmiṃ sikkhāpade kāladvāramaggānaṃ vasena tayo saṅketavisaṅketāti tesu maggadvāravisaṅketepi āpatti hotevāti dassetumāha ‘‘dvāra…pe… vuccatī’’ti. Kālavisaṅkete pana anāpattiṃ vakkhati. Āpatti pācitti.
๑๑๘๑. อสํวิทหิเต กาเลติ ‘‘ปุเรภตฺตํ คมิสฺสามา’’ติอาทินา กตสํวิธานานํ ปจฺฉาภตฺตาทิ อสํวิทหิตกาลํ นาม, ตสฺมิํฯ ภิกฺขุเสฺสว วิธานสฺมินฺติ ภิกฺขุนิยา สํวิธานํ วินา ภิกฺขุเสฺสว วิธาเน สติ อาปตฺติ ทุกฺกฎํฯ
1181.Asaṃvidahite kāleti ‘‘purebhattaṃ gamissāmā’’tiādinā katasaṃvidhānānaṃ pacchābhattādi asaṃvidahitakālaṃ nāma, tasmiṃ. Bhikkhusseva vidhānasminti bhikkhuniyā saṃvidhānaṃ vinā bhikkhusseva vidhāne sati āpatti dukkaṭaṃ.
๑๑๘๒. สมเย วิทหิตฺวา คจฺฉโต วา อสมเย วิทหิตฺวา วิสเงฺกเตน คจฺฉโต วา อาปทาสุ วิทหิตฺวา คจฺฉโต วา อนาปตฺตีติ โยชนาฯ ตถาติ ‘‘วิทหิตฺวา คจฺฉโต อนาปตฺตี’’ติ อิทํ อติทิสติฯ
1182. Samaye vidahitvā gacchato vā asamaye vidahitvā visaṅketena gacchato vā āpadāsu vidahitvā gacchato vā anāpattīti yojanā. Tathāti ‘‘vidahitvā gacchato anāpattī’’ti idaṃ atidisati.
ตตฺถ สมโย นาม ยถาวุตฺตกาลวิเสโสฯ วิสเงฺกโต นาม กาลวิสเงฺกโต, ‘‘อสุกสฺมิํ ทิวเส อสุกเวลาย คมิสฺสามา’’ติ สํวิทหิตฺวา คมนกาเล ตสฺส กาลสเงฺกตสฺส วิภวนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘กาลวิสเงฺกเตเยว อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๘๕)ฯ อาปทา นาม รฎฺฐเภเท ชนปทานํ ปลายนกาโลฯ ยถาห ‘‘รฎฺฐเภเท จกฺกสมารุฬฺหา ชนปทา ปริยายนฺติ, เอวรูปาสุ อาปทาสู’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๘๕)ฯ เอตฺถ จ รฎฺฐเภเทติ รฎฺฐวิโลเปฯ จกฺกสมารุฬฺหาติ อิริยาปถจกฺกํ, สกฎจกฺกํ วา สมารุฬฺหาฯ อุมฺมตฺตกาทิโนติ อาทิ-สเทฺทน ขิตฺตจิตฺตาทโย คหิตาฯ
Tattha samayo nāma yathāvuttakālaviseso. Visaṅketo nāma kālavisaṅketo, ‘‘asukasmiṃ divase asukavelāya gamissāmā’’ti saṃvidahitvā gamanakāle tassa kālasaṅketassa vibhavananti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘kālavisaṅketeyeva anāpattī’’ti (pāci. aṭṭha. 185). Āpadā nāma raṭṭhabhede janapadānaṃ palāyanakālo. Yathāha ‘‘raṭṭhabhede cakkasamāruḷhā janapadā pariyāyanti, evarūpāsu āpadāsū’’ti (pāci. aṭṭha. 185). Ettha ca raṭṭhabhedeti raṭṭhavilope. Cakkasamāruḷhāti iriyāpathacakkaṃ, sakaṭacakkaṃ vā samāruḷhā. Ummattakādinoti ādi-saddena khittacittādayo gahitā.
๑๑๘๓. กายวาจาทิกตฺตยาติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน จิตฺตํ คหิตํ, กายวาจาจิตฺตาติ วุตฺตํ โหติฯ
1183.Kāyavācādikattayāti ettha ādi-saddena cittaṃ gahitaṃ, kāyavācācittāti vuttaṃ hoti.
สํวิธานกถาวณฺณนาฯ
Saṃvidhānakathāvaṇṇanā.
๑๑๘๔. อุทฺธํ ชวตีติ อุชฺชวนี, ปฎิโสตคามินี นาวา, ตํฯ อโธ ชวนโต โอชวนี, อนุโสตคามินี นาวา, ตํฯ อภิรุเหยฺยาติ เอตฺถ ‘‘สํวิธายา’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ สํวิธาย เอกํ นาวํ อภิรุเหยฺยา’’ติ (ปาจิ. ๑๘๖)ฯ โลกสฺสาทสงฺขาตมิตฺตสนฺถเวน ตํ นาวํ อารุยฺห กีฬนจิตฺตํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา อญฺญมญฺญํ สํวิธายาติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘โลกสฺสาทมิตฺตสนฺถววเสน กีฬาปุเรกฺขาโร สํวิทหิตฺวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๘๘)ฯ
1184. Uddhaṃ javatīti ujjavanī, paṭisotagāminī nāvā, taṃ. Adho javanato ojavanī, anusotagāminī nāvā, taṃ. Abhiruheyyāti ettha ‘‘saṃvidhāyā’’ti seso. Yathāha ‘‘yo pana bhikkhu bhikkhuniyā saddhiṃ saṃvidhāya ekaṃ nāvaṃ abhiruheyyā’’ti (pāci. 186). Lokassādasaṅkhātamittasanthavena taṃ nāvaṃ āruyha kīḷanacittaṃ pubbaṅgamaṃ katvā aññamaññaṃ saṃvidhāyāti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘lokassādamittasanthavavasena kīḷāpurekkhāro saṃvidahitvā’’ti (pāci. aṭṭha. 188).
๑๑๘๕. สคามตีรปเสฺสน คมเน คามนฺตรวเสน วา ปาจิตฺติ, อคามตีรปเสฺสน คมเน อทฺธโยชเน ปาจิตฺติ อทฺธโยชนาติเรเก ฐาเน คาเม วิชฺชมาเนปิ อวิชฺชมาเนปิฯ
1185. Sagāmatīrapassena gamane gāmantaravasena vā pācitti, agāmatīrapassena gamane addhayojane pācitti addhayojanātireke ṭhāne gāme vijjamānepi avijjamānepi.
๑๑๘๖. โยชนปุถุลาย นทิยา มเชฺฌน คจฺฉโต อทฺธโยชนวเสน อาปตฺติทสฺสนตฺถมาห ‘‘ตถา’’ติอาทิฯ ‘‘อูนโยชนปุถุลาย นทิยา มชฺฌํ อุภยภาคํ ภชตีติ ตาทิสิกาย นทิยา มเชฺฌน คจฺฉนฺตสฺส คามนฺตรคณนาย, อทฺธโยชนคณนาย จ อาปตฺตี’’ติ วทนฺติฯ
1186. Yojanaputhulāya nadiyā majjhena gacchato addhayojanavasena āpattidassanatthamāha ‘‘tathā’’tiādi. ‘‘Ūnayojanaputhulāya nadiyā majjhaṃ ubhayabhāgaṃ bhajatīti tādisikāya nadiyā majjhena gacchantassa gāmantaragaṇanāya, addhayojanagaṇanāya ca āpattī’’ti vadanti.
๑๑๘๗. ยถาสุขํ สมุทฺทสฺมินฺติ เอตฺถ ‘‘คนฺตพฺพ’’นฺติ เสโสฯ ‘‘สพฺพอฎฺฐกถาสู’’ติอาทินา ยถาสุขคมนานุญฺญาย เหตุํ ทเสฺสติฯ อิมินาว อสนฺทมาโนทเกสุ วาปิตฬากาทีสุ อนาปตฺตีติ วิญฺญายติฯ
1187.Yathāsukhaṃ samuddasminti ettha ‘‘gantabba’’nti seso. ‘‘Sabbaaṭṭhakathāsū’’tiādinā yathāsukhagamanānuññāya hetuṃ dasseti. Imināva asandamānodakesu vāpitaḷākādīsu anāpattīti viññāyati.
๑๑๘๘. ติตฺถสมฺปาทนตฺถายาติ ปรติตฺถํ ปาเปตุํฯ ตํ นาวํฯ ยุตฺตาติ นาวาปาชกาฯ
1188.Titthasampādanatthāyāti paratitthaṃ pāpetuṃ. Taṃ nāvaṃ. Yuttāti nāvāpājakā.
๑๑๘๙. ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘อนาปตฺติ ปกาสิตา’’ติ อิมํ สงฺคณฺหาติฯ อสํวิทหิตฺวา ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ เอกํ นาวํ อภิรุเหยฺย วา, ติริยํ ตรณาย ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ สํวิทหิตฺวาปิ เอกํ นาวํ อภิรุเหยฺย วา, อาปทาสุ ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ สํวิทหิตฺวาปิ เอกํ นาวํ อภิรุเหยฺย วา, ตถา อนาปตฺติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ
1189.‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘anāpatti pakāsitā’’ti imaṃ saṅgaṇhāti. Asaṃvidahitvā bhikkhuniyā saddhiṃ ekaṃ nāvaṃ abhiruheyya vā, tiriyaṃ taraṇāya bhikkhuniyā saddhiṃ saṃvidahitvāpi ekaṃ nāvaṃ abhiruheyya vā, āpadāsu bhikkhuniyā saddhiṃ saṃvidahitvāpi ekaṃ nāvaṃ abhiruheyya vā, tathā anāpatti pakāsitāti yojanā.
‘‘อนนฺตรสโม’’ติ อิมินา ‘‘อสํวิทหิเต กาเล’’ติอาทินา วุตฺตวินิจฺฉยํ สงฺคณฺหาติฯ อิธาปิ กาลวิสเงฺกเต อนาปตฺติ, ติตฺถนาวาวิสเงฺกเต อาปตฺติเยวฯ ยถาห ‘‘อิธาปิ กาลวิสเงฺกเตเนว อนาปตฺตี’’ติอาทิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๙๑)ฯ ‘‘โลกสฺสาทมิตฺตสนฺถววเสน กีฬาปุเรกฺขาโร สํวิทหิตฺวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๘๘) วจนโต เกจิ ‘‘อิมํ สิกฺขาปทํ อกุสลจิตฺตํ โลกวชฺช’’นฺติ วทนฺติ, ตํ น คเหตพฺพํฯ กีฬาปุเรกฺขารตาย หิ อภิรุหิตฺวา คามนฺตโรกฺกมเน, อทฺธโยชนาติกฺกเม วา กุสลาพฺยากตจิตฺตสมงฺคีปิ หุตฺวา อาปตฺติํ อาปชฺชติฯ ยทิ หิ โส สํเวคํ ปฎิลภิตฺวา อรหตฺตํ วา สจฺฉิกเรยฺย, นิทฺทํ วา โอกฺกเมยฺย, กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิ กโรโนฺต คเจฺฉยฺย, กุโต ตสฺส อกุสลจิตฺตสมงฺคิตา, เยนิทํ สิกฺขาปทํ ‘‘อกุสลจิตฺตํ, โลกวชฺช’’นฺติ วุจฺจติ, ตสฺมา ปณฺณตฺติวชฺชํ, ติจิตฺตนฺติ สิทฺธํฯ
‘‘Anantarasamo’’ti iminā ‘‘asaṃvidahite kāle’’tiādinā vuttavinicchayaṃ saṅgaṇhāti. Idhāpi kālavisaṅkete anāpatti, titthanāvāvisaṅkete āpattiyeva. Yathāha ‘‘idhāpi kālavisaṅketeneva anāpattī’’tiādi (pāci. aṭṭha. 191). ‘‘Lokassādamittasanthavavasena kīḷāpurekkhāro saṃvidahitvā’’ti (pāci. aṭṭha. 188) vacanato keci ‘‘imaṃ sikkhāpadaṃ akusalacittaṃ lokavajja’’nti vadanti, taṃ na gahetabbaṃ. Kīḷāpurekkhāratāya hi abhiruhitvā gāmantarokkamane, addhayojanātikkame vā kusalābyākatacittasamaṅgīpi hutvā āpattiṃ āpajjati. Yadi hi so saṃvegaṃ paṭilabhitvā arahattaṃ vā sacchikareyya, niddaṃ vā okkameyya, kammaṭṭhānaṃ vā manasi karonto gaccheyya, kuto tassa akusalacittasamaṅgitā, yenidaṃ sikkhāpadaṃ ‘‘akusalacittaṃ, lokavajja’’nti vuccati, tasmā paṇṇattivajjaṃ, ticittanti siddhaṃ.
นาวาภิรุหนกถาวณฺณนาฯ
Nāvābhiruhanakathāvaṇṇanā.
๑๑๙๐. คิหิสมารมฺภํ หิตฺวา ภิกฺขุนิยา ปริปาจิตํ ภตฺตํ ญตฺวา ภุญฺชโต ภิกฺขุโน ปาจิตฺติ โหตีติ โยชนาฯ ปริปาจิตํ นาม ภิกฺขุโน สีลสุตาทิคุณํ กุลานํ วตฺวา นิปฺผาทิตํฯ ยถาห ‘‘ภิกฺขุนิยา ปริปาจิตํ, คุณปฺปกาสเนน นิปฺผาทิตํ ลทฺธพฺพํ กตนฺติ อโตฺถ’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๙๔)ฯ คิหิสมารมฺภนฺติ ภิกฺขุนิยา ปริปาจนโต ปุเพฺพเยว คิหิปฎิยตฺตํฯ ยถาห ‘‘ภิกฺขุนิยา ปริปาจนโต ปฐมเมว ยํ คิหีนํ ปฎิยาทิตํ ภตฺต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๙๔)ฯ วกฺขติ หิ ‘‘คิหิสมฺปาทิตมฺปิ วา วินา’’ติฯ
1190. Gihisamārambhaṃ hitvā bhikkhuniyā paripācitaṃ bhattaṃ ñatvā bhuñjato bhikkhuno pācitti hotīti yojanā. Paripācitaṃ nāma bhikkhuno sīlasutādiguṇaṃ kulānaṃ vatvā nipphāditaṃ. Yathāha ‘‘bhikkhuniyā paripācitaṃ, guṇappakāsanena nipphāditaṃ laddhabbaṃ katanti attho’’ti (pāci. aṭṭha. 194). Gihisamārambhanti bhikkhuniyā paripācanato pubbeyeva gihipaṭiyattaṃ. Yathāha ‘‘bhikkhuniyā paripācanato paṭhamameva yaṃ gihīnaṃ paṭiyāditaṃ bhatta’’nti (pāci. aṭṭha. 194). Vakkhati hi ‘‘gihisampāditampi vā vinā’’ti.
๑๑๙๑. ‘‘ตสฺสา’’ติ วกฺขมานตฺตา ‘‘ยํ โภชน’’นฺติ โยเชตพฺพํฯ ตสฺสาติ ปญฺจธา วุตฺตสฺส โภชนสฺสฯ สเพฺพสุ อโชฺฌหาเรสูติ สเพฺพสุ ปรคลกรณปฺปโยเคสุฯ
1191. ‘‘Tassā’’ti vakkhamānattā ‘‘yaṃ bhojana’’nti yojetabbaṃ. Tassāti pañcadhā vuttassa bhojanassa. Sabbesuajjhohāresūti sabbesu paragalakaraṇappayogesu.
๑๑๙๒. ภิกฺขุนิยา ปริปาจิตํ ภุญฺชโต โทโสติ โยชนาฯ
1192. Bhikkhuniyā paripācitaṃ bhuñjato dosoti yojanā.
๑๑๙๓. อุโภสูติ ปริปาจิเตปิ อปริปาจิเตปิฯ สพฺพตฺถาติ อิเมสุ ทฺวีสุ ปริภุญฺชโต อโชฺฌหารวเสเนว ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ
1193.Ubhosūti paripācitepi aparipācitepi. Sabbatthāti imesu dvīsu paribhuñjato ajjhohāravaseneva dukkaṭanti yojanā.
๑๑๙๕. ปญฺจโภชนํ ฐเปตฺวา อญฺญํ ปน ยํ กิญฺจิ ยาคุขชฺชผลาทิกํ ภุญฺชนฺตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ
1195. Pañcabhojanaṃ ṭhapetvā aññaṃ pana yaṃ kiñci yāgukhajjaphalādikaṃ bhuñjantassa anāpattīti yojanā.
ปริปาจิตกถาวณฺณนาฯ
Paripācitakathāvaṇṇanā.
๑๑๙๗. อิทํ สพฺพํ ทสมํ สิกฺขาปทํ สมุฎฺฐานนยาทินา ทุติยานิยเตเนว สทิสํ มตนฺติ โยชนาฯ อิทํ สิกฺขาปทนฺติ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ เอโก เอกาย รโห นิสชฺชํ กเปฺปยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๙๙) วุตฺตํ รโหนิสชฺชสิกฺขาปทํฯ
1197. Idaṃ sabbaṃ dasamaṃ sikkhāpadaṃ samuṭṭhānanayādinā dutiyāniyateneva sadisaṃ matanti yojanā. Idaṃ sikkhāpadanti ‘‘yo pana bhikkhu bhikkhuniyā saddhiṃ eko ekāya raho nisajjaṃ kappeyya, pācittiya’’nti (pāci. 199) vuttaṃ rahonisajjasikkhāpadaṃ.
รโหนิสชฺชกถาวณฺณนาฯ
Rahonisajjakathāvaṇṇanā.
ภิกฺขุนิวโคฺค ตติโยฯ
Bhikkhunivaggo tatiyo.
๑๑๙๘. เอโกติ เอกทิวสิโกฯ อาวสโถ ปิโณฺฑติ ปุญฺญตฺถิเกหิ เอกํ ปาสณฺฑํ อนุทฺทิสฺส ยาวทตฺถํ ทาตุํ สาลาทีสุ ปญฺญตฺตํ ปญฺจสุ โภชเนสุ อญฺญตรํ โภชนํฯ ยถาห ‘‘อาวสถปิโณฺฑ นาม ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตรํ โภชนํ สาลาย วา มณฺฑเป วา รุกฺขมูเล วา อโชฺฌกาเส วา อโนทิสฺส ยาวทโตฺถ ปญฺญโตฺต โหตี’’ติ (ปาจิ. ๒๐๖)ฯ อคิลาเนนาติ เอตฺถ ‘‘อคิลาโน นาม สโกฺกติ ตมฺหา อาวสถา ปกฺกมิตุ’’นฺติ วุตฺต ปทภาชนิยอฎฺฐกถายํ ‘‘อทฺธโยชนํ วา โยชนํ วา คนฺตุํ สโกฺกตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๐๖) วุตฺตตฺตา ตมฺหา อาวสถา อทฺธโยชนํ วา โยชนํ วา คนฺตุํ สมเตฺถน อคิลาเนนาติ อโตฺถฯ ตโต อุทฺธนฺติ ทุติยทิวสโต อุตฺตริฯ
1198.Ekoti ekadivasiko. Āvasatho piṇḍoti puññatthikehi ekaṃ pāsaṇḍaṃ anuddissa yāvadatthaṃ dātuṃ sālādīsu paññattaṃ pañcasu bhojanesu aññataraṃ bhojanaṃ. Yathāha ‘‘āvasathapiṇḍo nāma pañcannaṃ bhojanānaṃ aññataraṃ bhojanaṃ sālāya vā maṇḍape vā rukkhamūle vā ajjhokāse vā anodissa yāvadattho paññatto hotī’’ti (pāci. 206). Agilānenāti ettha ‘‘agilāno nāma sakkoti tamhā āvasathā pakkamitu’’nti vutta padabhājaniyaaṭṭhakathāyaṃ ‘‘addhayojanaṃ vā yojanaṃ vā gantuṃ sakkotī’’ti (pāci. aṭṭha. 206) vuttattā tamhā āvasathā addhayojanaṃ vā yojanaṃ vā gantuṃ samatthena agilānenāti attho. Tato uddhanti dutiyadivasato uttari.
๑๑๙๙. อโนทิเสฺสว ปญฺญเตฺต ปิเณฺฑติ โยชนา, ‘‘อิเมสํเยว วา’’ติ อญฺญตรํ ปาสณฺฑํ วา ‘‘เอตฺตกานํเยว วา’’ติ ตตฺถ ปุคฺคลปริเจฺฉทํ วา อกตฺวา สพฺพสาธารณํ กตฺวา ปญฺญเตฺต อาวสถปิเณฺฑติ อโตฺถฯ ยาวทเตฺถ เอว ปิเณฺฑ ปญฺญเตฺตติ โยชนา, ยาวตา อโตฺถ กุจฺฉิปูรณาทิกํ ปโยชนเมตฺถ ปิเณฺฑติ วิคฺคโห, ‘‘เอตฺตกํ ทาตพฺพ’’นฺติ อปริจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘ภุญฺชนฺตานํ ยาวทตฺถํ ทาตพฺพ’’นฺติ ปญฺญเตฺต ปิเณฺฑ เอวาติ อโตฺถฯ ภุญฺชิตพฺพนฺติ กมฺมสาธนํ วา ภาวสาธนํ วาฯ ‘‘โภชน’’นฺติ อชฺฌาหรณียํฯ สกินฺติ เอกวารํฯ ตตฺถาติ อาวสเถฯ
1199. Anodisseva paññatte piṇḍeti yojanā, ‘‘imesaṃyeva vā’’ti aññataraṃ pāsaṇḍaṃ vā ‘‘ettakānaṃyeva vā’’ti tattha puggalaparicchedaṃ vā akatvā sabbasādhāraṇaṃ katvā paññatte āvasathapiṇḍeti attho. Yāvadatthe eva piṇḍe paññatteti yojanā, yāvatā attho kucchipūraṇādikaṃ payojanamettha piṇḍeti viggaho, ‘‘ettakaṃ dātabba’’nti aparicchinditvā ‘‘bhuñjantānaṃ yāvadatthaṃ dātabba’’nti paññatte piṇḍe evāti attho. Bhuñjitabbanti kammasādhanaṃ vā bhāvasādhanaṃ vā. ‘‘Bhojana’’nti ajjhāharaṇīyaṃ. Sakinti ekavāraṃ. Tatthāti āvasathe.
๑๒๐๐. ตสฺส ปิณฺฑสฺสฯ อโชฺฌหาเรสุ สเพฺพสูติ สเพฺพสุ อโชฺฌหารปฺปโยเคสุ กเตสุฯ ตสฺส อโชฺฌหารกสฺสฯ ปาจิตฺติโย ปโยคคณนายฯ
1200.Tassa piṇḍassa. Ajjhohāresu sabbesūti sabbesu ajjhohārappayogesu katesu. Tassa ajjhohārakassa. Pācittiyo payogagaṇanāya.
๑๒๐๑. ‘‘เอเกน กุเลน นาเนกฎฺฐานเภเทสุ ปญฺญเตฺต’’ติ, ‘‘นานากุเลหิ วา นาเนกฎฺฐานเภเทสุ ปญฺญเตฺต’’ติ จาติ โยชนาฯ ‘‘ปิเณฺฑ’’ติ อธิกาโรฯ นานา จ เอโก จ นาเนกา, ฐานานํ เภทา ฐานเภทา, นาเนกา จ เต ฐานเภทา จาติ วิคฺคโห, เตสุฯ เอกโภโคติ เอกปิณฺฑปริโภโคฯ เอวกาเรน ทุติยทิวสาทิปริโภคํ นิวเตฺตติฯ
1201. ‘‘Ekena kulena nānekaṭṭhānabhedesu paññatte’’ti, ‘‘nānākulehi vā nānekaṭṭhānabhedesu paññatte’’ti cāti yojanā. ‘‘Piṇḍe’’ti adhikāro. Nānā ca eko ca nānekā, ṭhānānaṃ bhedā ṭhānabhedā, nānekā ca te ṭhānabhedā cāti viggaho, tesu. Ekabhogoti ekapiṇḍaparibhogo. Evakārena dutiyadivasādiparibhogaṃ nivatteti.
๑๒๐๔. คิลานสฺสาติ วุตฺตลกฺขเณน คิลาโน หุตฺวา ปุนปฺปุนํ ภุญฺชนฺตสฺส คจฺฉโต วา อาคจฺฉนฺตสฺส วา อนาปตฺตีติ โยชนา, อนฺตมโส อทฺธโยชนมฺปิ คจฺฉโต, คนฺตฺวา อาคจฺฉโต วา อนฺตรามเคฺค จ คตฎฺฐาเน จ เอกสฺมิํ ทิวเส ภุญฺชนฺตสฺส อนาปตฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘โย คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค เอกทิวสํ, คตฎฺฐาเน จ เอกทิวสํ ภุญฺชติ, ตสฺสาปิ อนาปตฺติฯ อาคจฺฉเนฺตปิ เอเสว นโย’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๐๘)ฯ โอทิสฺส ปญฺญเตฺตติ เอตฺถ ‘‘ภิกฺขู’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘ภิกฺขูนํเยว อตฺถาย อุทฺทิสิตฺวา ปญฺญโตฺต โหตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๐๘)ฯ ปริเตฺตติ อุทรปูรณาย อปฺปโหนเก โถเก โภชเนฯ ยถาห ‘‘ยาวทตฺถํ ปญฺญโตฺต น โหติ, โถกํ โถกํ ลพฺภติ, ตาทิสํ นิจฺจมฺปิ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๐๘)ฯ สกินฺติ ยาวทตฺถํ ปญฺญตฺตํ วุตฺตนเยน เอกวารํ ภุญฺชโต อนาปตฺติฯ
1204.Gilānassāti vuttalakkhaṇena gilāno hutvā punappunaṃ bhuñjantassa gacchato vā āgacchantassa vā anāpattīti yojanā, antamaso addhayojanampi gacchato, gantvā āgacchato vā antarāmagge ca gataṭṭhāne ca ekasmiṃ divase bhuñjantassa anāpattīti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘yo gacchanto antarāmagge ekadivasaṃ, gataṭṭhāne ca ekadivasaṃ bhuñjati, tassāpi anāpatti. Āgacchantepi eseva nayo’’ti (pāci. aṭṭha. 208). Odissa paññatteti ettha ‘‘bhikkhū’’ti seso. Yathāha ‘‘bhikkhūnaṃyeva atthāya uddisitvā paññatto hotī’’ti (pāci. aṭṭha. 208). Paritteti udarapūraṇāya appahonake thoke bhojane. Yathāha ‘‘yāvadatthaṃ paññatto na hoti, thokaṃ thokaṃ labbhati, tādisaṃ niccampi paribhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 208). Sakinti yāvadatthaṃ paññattaṃ vuttanayena ekavāraṃ bhuñjato anāpatti.
๑๒๐๕. ยาคุอาทีนีติ อาทิ-สเทฺทน ปญฺจโภชนโต อเญฺญสํ อโชฺฌหรณียานํ คหณํฯ
1205.Yāguādīnīti ādi-saddena pañcabhojanato aññesaṃ ajjhoharaṇīyānaṃ gahaṇaṃ.
อาวสถกถาวณฺณนาฯ
Āvasathakathāvaṇṇanā.
๑๒๐๖. วุตฺตา สมยา อญฺญตฺราติ โยชนา, ‘‘ตตฺถายํ สมโย, คิลานสมโย จีวรทานสมโย จีวรการสมโย อทฺธานคมนสมโย นาวาภิรุหนสมโย มหาสมโย สมณภตฺตสมโย’’ติ (ปาจิ. ๒๑๗) วุตฺตา สตฺตวิธกาลา อญฺญตฺรฯ
1206. Vuttā samayā aññatrāti yojanā, ‘‘tatthāyaṃ samayo, gilānasamayo cīvaradānasamayo cīvarakārasamayo addhānagamanasamayo nāvābhiruhanasamayo mahāsamayo samaṇabhattasamayo’’ti (pāci. 217) vuttā sattavidhakālā aññatra.
ตตฺถ ยทา ปาทานํ ผลิตตฺตา น สโกฺกติ ปิณฺฑาย จริตุํ, อยํ คิลานสมโยฯ อตฺถตกถินานํ ปญฺจ มาสา, อิตเรสํ กตฺติกมาโสติ อยํ จีวรทานสมโยฯ ยทา จีวเร กริยมาเน กิญฺจิเทว จีวเร กตฺตพฺพํ กโรติ, อยํ จีวรการสมโยฯ ยทา อทฺธโยชนมฺปิ คนฺตุกาโม วา โหติ, คจฺฉติ วา, คโต วา, อยํ อทฺธานคมนสมโยฯ นาวาภิรุหนสมเยปิ เอเสว นโยฯ ยทา โคจรคาเม จตฺตาโร ภิกฺขู ปิณฺฑาย จริตฺวา น ยาเปนฺติ, อยํ มหาสมโยฯ ยทา โย โกจิ ปพฺพชิโต ภเตฺตน นิมเนฺตติ, อยํ สมณภตฺตสมโยฯ คโณ กตโมติ อาห ‘‘คโณ’’ติอาทิฯ
Tattha yadā pādānaṃ phalitattā na sakkoti piṇḍāya carituṃ, ayaṃ gilānasamayo. Atthatakathinānaṃ pañca māsā, itaresaṃ kattikamāsoti ayaṃ cīvaradānasamayo. Yadā cīvare kariyamāne kiñcideva cīvare kattabbaṃ karoti, ayaṃ cīvarakārasamayo. Yadā addhayojanampi gantukāmo vā hoti, gacchati vā, gato vā, ayaṃ addhānagamanasamayo. Nāvābhiruhanasamayepi eseva nayo. Yadā gocaragāme cattāro bhikkhū piṇḍāya caritvā na yāpenti, ayaṃ mahāsamayo. Yadā yo koci pabbajito bhattena nimanteti, ayaṃ samaṇabhattasamayo. Gaṇo katamoti āha ‘‘gaṇo’’tiādi.
๑๒๐๗. คณโภชนํ นาม กินฺติ อาห ‘‘ย’’นฺติอาทิฯ ยํ ปญฺจนฺนํ อญฺญตรํ นิมนฺตนโต, วิญฺญตฺติโต วา ลทฺธํ, ตํ อิธ โภชนนฺติ อธิเปฺปตํ โหตีติ โยชนาฯ นิมนฺตนโตติ ‘‘โภชนาน’’นฺติอาทินา วกฺขมานปฺปกาเรน กตํ อกปฺปิยนิมนฺตนมาหฯ วิญฺญตฺติโตปิ วาติ ‘‘สเจปี’’ติอาทินา วกฺขมานนเยน กตมกปฺปิยวิญฺญตฺติมาหฯ
1207. Gaṇabhojanaṃ nāma kinti āha ‘‘ya’’ntiādi. Yaṃ pañcannaṃ aññataraṃ nimantanato, viññattito vā laddhaṃ, taṃ idha bhojananti adhippetaṃ hotīti yojanā. Nimantanatoti ‘‘bhojanāna’’ntiādinā vakkhamānappakārena kataṃ akappiyanimantanamāha. Viññattitopi vāti ‘‘sacepī’’tiādinā vakkhamānanayena katamakappiyaviññattimāha.
๑๒๐๘-๑๑. โภชนานนฺติ นิทฺธารเณ สามิวจนํ, ‘‘อญฺญตรสฺสา’’ติ เสโส, ‘‘โอทโน สตฺตุ กุมฺมาโส, มโจฺฉ มํสญฺจ โภชน’’นฺติ สงฺคหิตานํ ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตรสฺสฯ นามนฺติ วกฺขมานํ โอทนาทินามํฯ ภิกฺขู นิมเนฺตตีติ เอตฺถ ‘‘เอกโต, นานโต วา’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘เอกโต นิมนฺติตาฯ นานโต นิมนฺติตา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๑๗-๒๑๘)ฯ เอกโต นิมนฺตนํ นาม สเพฺพสํ ภิกฺขูนํ เอกโต ฐิตานํ นิมนฺตนํฯ นานโต นิมนฺตนํ นาม ภิกฺขูนํ วิสุํ วิสุํ วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา วา เอกโต ฐิตฎฺฐานํ คนฺตฺวา วา อเนเกหิ นิมนฺตนํฯ ยถาห ‘‘จตฺตาริ ปริเวณานิ วา วิหาเร วา คนฺตฺวา นานโต นิมนฺติตา, เอกฎฺฐาเน ฐิเตสุเยว วา เอโก ปุเตฺตน, เอโก ปิตราติ เอวมฺปิ นานโต นิมนฺติตา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๑๗-๒๑๘)ฯ
1208-11.Bhojanānanti niddhāraṇe sāmivacanaṃ, ‘‘aññatarassā’’ti seso, ‘‘odano sattu kummāso, maccho maṃsañca bhojana’’nti saṅgahitānaṃ pañcannaṃ bhojanānaṃ aññatarassa. Nāmanti vakkhamānaṃ odanādināmaṃ. Bhikkhū nimantetīti ettha ‘‘ekato, nānato vā’’ti seso. Yathāha ‘‘ekato nimantitā. Nānato nimantitā’’ti (pāci. aṭṭha. 217-218). Ekato nimantanaṃ nāma sabbesaṃ bhikkhūnaṃ ekato ṭhitānaṃ nimantanaṃ. Nānato nimantanaṃ nāma bhikkhūnaṃ visuṃ visuṃ vasanaṭṭhānaṃ gantvā vā ekato ṭhitaṭṭhānaṃ gantvā vā anekehi nimantanaṃ. Yathāha ‘‘cattāri pariveṇāni vā vihāre vā gantvā nānato nimantitā, ekaṭṭhāne ṭhitesuyeva vā eko puttena, eko pitarāti evampi nānato nimantitā’’ti (pāci. aṭṭha. 217-218).
เววจนํ นาม โอทนาทิสพฺพปทานํ, สมฺปฎิจฺฉถาติอาทิกิริยาปทานญฺจ ปริยายวจนํฯ ภาสนฺตรํ นาม มาคธวจนโต อญฺญํ สีหฬทมิฬาทิโวหารนฺตรํฯ เววจเนหิ เอว วา ภาสนฺตเรน วา นิมเนฺตตีติ สมฺพโนฺธฯ
Vevacanaṃ nāma odanādisabbapadānaṃ, sampaṭicchathātiādikiriyāpadānañca pariyāyavacanaṃ. Bhāsantaraṃ nāma māgadhavacanato aññaṃ sīhaḷadamiḷādivohārantaraṃ. Vevacanehi eva vā bhāsantarena vā nimantetīti sambandho.
ตโต นิมนฺตนานนฺตรํฯ นิมนฺตนนฺติ ยถาวุตฺตํ อกปฺปิยนิมนฺตนํฯ เอกโต คณฺหนฺตีติ อญฺญมญฺญสฺส ทฺวาทสหตฺถํ อมุญฺจิตฺวา ฐิตา วา นิสินฺนา วา เอกโต คณฺหนฺติฯ
Tato nimantanānantaraṃ. Nimantananti yathāvuttaṃ akappiyanimantanaṃ. Ekato gaṇhantīti aññamaññassa dvādasahatthaṃ amuñcitvā ṭhitā vā nisinnā vā ekato gaṇhanti.
‘‘คณโภชนการณ’’นฺติ อิทํ โภชนปจฺจยา ปาจิตฺติยํ เอวํ คหณมนฺตเรน น โหตีติ วุตฺตํฯ
‘‘Gaṇabhojanakāraṇa’’nti idaṃ bhojanapaccayā pācittiyaṃ evaṃ gahaṇamantarena na hotīti vuttaṃ.
๑๒๑๒. เอกโต, นานโต วาปิ ยํ คมนํ, โภชนมฺปิ วา, ตํ คณโภชเน น การณนฺติปิ วิญฺญู ภณนฺตีติ โยชนาฯ เอกโต นานโต วาปีติ เอตฺถ ‘‘ฐิตา วา นิสินฺนา วา’’ติ เสโสฯ
1212. Ekato, nānato vāpi yaṃ gamanaṃ, bhojanampi vā, taṃ gaṇabhojane na kāraṇantipi viññū bhaṇantīti yojanā. Ekato nānato vāpīti ettha ‘‘ṭhitā vā nisinnā vā’’ti seso.
๑๒๑๓-๔. วิญฺญาเปตฺวาติ ‘‘อมฺหากํ จตุนฺนมฺปิ ภตฺตํ เทหี’’ติอาทินา เอกโต วา ‘‘มยฺหํ เทหิ, มยฺหํ เทหี’’ติ ปาเฎกฺกํ วา วิญฺญาเปตฺวาฯ เอวมฺปีติ วิญฺญตฺติโตปิฯ
1213-4.Viññāpetvāti ‘‘amhākaṃ catunnampi bhattaṃ dehī’’tiādinā ekato vā ‘‘mayhaṃ dehi, mayhaṃ dehī’’ti pāṭekkaṃ vā viññāpetvā. Evampīti viññattitopi.
๑๒๑๕. ทุวิธสฺสาติ นิมนฺตกสฺส, วิญฺญาปกสฺส จฯ
1215.Duvidhassāti nimantakassa, viññāpakassa ca.
๑๒๑๖. สตฺตสุปิ สมเยสุ ภุญฺชตํ อนาปตฺตีติ โยชนา, ‘‘คณโภชน’’นฺติ ปกรณโต ลพฺภติ, ยถาวุเตฺตสุ คิลานาทีสุ สตฺตสุ กาเลสุ เลสํ วินา ภุญฺชนฺตานนฺติ อโตฺถฯ ‘‘เอกโต’’ติ อิทํ ‘‘คเหตฺวา’’ติ อิมินา โยเชตพฺพํฯ ภุญฺชตนฺติ ภุญฺชนฺตานํฯ ตถาติ ‘‘อนาปตฺตี’’ติ อิทํ ปจฺจามสติฯ
1216. Sattasupi samayesu bhuñjataṃ anāpattīti yojanā, ‘‘gaṇabhojana’’nti pakaraṇato labbhati, yathāvuttesu gilānādīsu sattasu kālesu lesaṃ vinā bhuñjantānanti attho. ‘‘Ekato’’ti idaṃ ‘‘gahetvā’’ti iminā yojetabbaṃ. Bhuñjatanti bhuñjantānaṃ. Tathāti ‘‘anāpattī’’ti idaṃ paccāmasati.
๑๒๑๗. อนุปสมฺปโนฺน จ จารี จ ปโตฺต จ อนิมนฺติโต จ อนุปสมฺปนฺน…เป.… นิมนฺติตา, เต จตุเตฺถ กตฺวาติ อโตฺถ , อนุปสมฺปนฺนํ วา ปิณฺฑจาริํ วา จตุตฺถสฺส ปตฺตํ วา อนิมนฺติตํ วา จตุตฺถํ กตฺวา เอกโต คเหตฺวา ภุญฺชนฺตานํ คณเภโท มุนินา ปกาสิโต, คณสฺส อปริปุณฺณตา ทีปิตาติ วุตฺตํ โหติฯ ปิณฺฑาย จรติ สีเลนาติ ปิณฺฑจารี, โส อิธ ปุพฺพปทโลเปน ‘‘จารี’’ติ วุโตฺต, ปิณฺฑปาติโกฯ โส หิ นิมนฺตนํ อสาทิยโนฺต คณโภชนโก คณขาทโก น โหตีติ อธิปฺปาโยฯ ปโตฺต นาม วิหาเร นิสีทิตฺวา จตุเตฺถน อตฺตนา ลทฺธพฺพโภชนตฺถาย เปสิโต ปโตฺตฯ อนิมนฺติโต นาม ปฐมํ อกปฺปิยนิมนฺตนาย นิมนฺติเต อนโนฺตคโธ อุปสมฺปโนฺนฯ เอตฺถาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ อปิ-สโทฺท เหฎฺฐา ทสฺสิตํ ทฺวินฺนํ, ติณฺณํ วา วเสน วุตฺตวินิจฺฉยํ อเปกฺขติฯ
1217. Anupasampanno ca cārī ca patto ca animantito ca anupasampanna…pe… nimantitā, te catutthe katvāti attho , anupasampannaṃ vā piṇḍacāriṃ vā catutthassa pattaṃ vā animantitaṃ vā catutthaṃ katvā ekato gahetvā bhuñjantānaṃ gaṇabhedo muninā pakāsito, gaṇassa aparipuṇṇatā dīpitāti vuttaṃ hoti. Piṇḍāya carati sīlenāti piṇḍacārī, so idha pubbapadalopena ‘‘cārī’’ti vutto, piṇḍapātiko. So hi nimantanaṃ asādiyanto gaṇabhojanako gaṇakhādako na hotīti adhippāyo. Patto nāma vihāre nisīditvā catutthena attanā laddhabbabhojanatthāya pesito patto. Animantito nāma paṭhamaṃ akappiyanimantanāya nimantite anantogadho upasampanno. Etthāti imasmiṃ sikkhāpade. Api-saddo heṭṭhā dassitaṃ dvinnaṃ, tiṇṇaṃ vā vasena vuttavinicchayaṃ apekkhati.
๑๒๑๘. สมยลทฺธานนฺติ คิลานาทโย สตฺตสมยา ลทฺธา เยหิ เต สมยลทฺธา, เตสํ, นิทฺธารเณ สามิวจนํฯ ‘‘อญฺญตรสฺสา’’ติ เสโส, ‘‘วเสนา’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ เนว คณเภโทติ โยชนาฯ สมยลทฺธกสฺส อตฺตโน อนาปตฺติภาวมนฺตเรน ตํ จตุตฺถํ กตฺวา คณโภชนํ คณฺหนฺตานํ ปน อาปตฺติสมฺภวโต อาห ‘‘อาปตฺติ ปน เวทิตพฺพา’’ติฯ ยถาห มหาปจฺจริยํ ‘‘สมยลทฺธโก สยเมว มุจฺจติ, เสสานํ คณปูรกตฺตา อาปตฺติกโร โหตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๒๐)ฯ
1218.Samayaladdhānanti gilānādayo sattasamayā laddhā yehi te samayaladdhā, tesaṃ, niddhāraṇe sāmivacanaṃ. ‘‘Aññatarassā’’ti seso, ‘‘vasenā’’ti iminā sambandho. Neva gaṇabhedoti yojanā. Samayaladdhakassa attano anāpattibhāvamantarena taṃ catutthaṃ katvā gaṇabhojanaṃ gaṇhantānaṃ pana āpattisambhavato āha ‘‘āpatti pana veditabbā’’ti. Yathāha mahāpaccariyaṃ ‘‘samayaladdhako sayameva muccati, sesānaṃ gaṇapūrakattā āpattikaro hotī’’ti (pāci. aṭṭha. 220).
๑๒๑๙. ปญฺจโภชเนสุ อญฺญตรสฺส นามํ คเหตฺวา นิมเนฺตตฺวา เตสุเยว อญฺญํ ทิยฺยมานํ คณฺหนฺตสฺส วิสเงฺกตาภาวํ ทเสฺสตุมาห ‘‘โภชนานญฺจา’’ติอาทิฯ โภชนานนฺติ นิทฺธารเณ สามิวจนํ, อญฺญตรสฺส วเสนาติ วุตฺตํ โหติฯ ตํ วิสเงฺกตํ, โอทนาทีนํ นาเมน นิมเนฺตตฺวา ทิยฺยมานํ ยาคุอาทิํ คณฺหนฺตสฺส คณโภชนํ น โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
1219. Pañcabhojanesu aññatarassa nāmaṃ gahetvā nimantetvā tesuyeva aññaṃ diyyamānaṃ gaṇhantassa visaṅketābhāvaṃ dassetumāha ‘‘bhojanānañcā’’tiādi. Bhojanānanti niddhāraṇe sāmivacanaṃ, aññatarassa vasenāti vuttaṃ hoti. Taṃ visaṅketaṃ, odanādīnaṃ nāmena nimantetvā diyyamānaṃ yāguādiṃ gaṇhantassa gaṇabhojanaṃ na hotīti vuttaṃ hoti.
๑๒๒๑. ‘‘นิจฺจภตฺต’’นฺติ ธุวภตฺตํ วุจฺจติฯ ‘‘นิจฺจภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วทนฺติ, พหูนมฺปิ เอกโต คเหตุํ วฎฺฎติฯ สลากภตฺตาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
1221.‘‘Niccabhatta’’nti dhuvabhattaṃ vuccati. ‘‘Niccabhattaṃ gaṇhathā’’ti vadanti, bahūnampi ekato gahetuṃ vaṭṭati. Salākabhattādīsupi eseva nayo.
คณโภชนกถาวณฺณนาฯ
Gaṇabhojanakathāvaṇṇanā.
๑๒๒๓-๔. พหูหิ มนุสฺสเกหีติ วิสุํ วิสุํ นิมนฺติเตหิ อเนเกหิ มนุเสฺสหิฯ ปญฺจสุ ยสฺส กสฺสาติ เอตฺถ ‘‘สหธมฺมิเกสู’’ติ เสโส, นิทฺธารเณ ภุมฺมํ, ปญฺจสุ สหธมฺมิเกสุ ยสฺส กสฺสจีติ อโตฺถฯ ‘‘หิตฺวา’’ติอาทินา กิมาหาติ? ยสฺส วิกเปฺปติ, ตสฺมิํ สนฺนิหิเต ‘‘มยฺหํ ภตฺตปจฺจาสํ ตุยฺหํ ทมฺมี’’ติ สมฺมุขา วิกปฺปนวเสน วา ตสฺมิํ อสนฺนิหิเต ตสฺส นามํ คเหตฺวา ‘‘มยฺหํ ภตฺตปจฺจาสํ อิตฺถนฺนามสฺส ทมฺมี’’ติ อสมฺมุขา วิกปฺปนวเสน วา ปฐมนิมนฺตนาย วิกปฺปนํ หิตฺวา, ตํ อวิกเปฺปตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ
1223-4.Bahūhi manussakehīti visuṃ visuṃ nimantitehi anekehi manussehi. Pañcasu yassa kassāti ettha ‘‘sahadhammikesū’’ti seso, niddhāraṇe bhummaṃ, pañcasu sahadhammikesu yassa kassacīti attho. ‘‘Hitvā’’tiādinā kimāhāti? Yassa vikappeti, tasmiṃ sannihite ‘‘mayhaṃ bhattapaccāsaṃ tuyhaṃ dammī’’ti sammukhā vikappanavasena vā tasmiṃ asannihite tassa nāmaṃ gahetvā ‘‘mayhaṃ bhattapaccāsaṃ itthannāmassa dammī’’ti asammukhā vikappanavasena vā paṭhamanimantanāya vikappanaṃ hitvā, taṃ avikappetvāti vuttaṃ hoti.
ภตฺตนฺติ เอตฺถ ‘‘โย ภุญฺชตี’’ติ เสโสฯ นิมนฺติโต โย ปจฺฉา นิมนฺติตํ ภตฺตํ ภุญฺชติ, ตสฺส ปาจิตฺติยนฺติ โยชนาฯ อุปฺปฎิปาฎิยา เอกสิตฺถมฺปิ ภุญฺชโต ตสฺส ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนาติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ปจฺฉา นิมนฺติตานํ โภชนํ ปฐมํ ภุญฺชิตฺวา ปฐมํ นิมนฺติตานํ โภชนํ ปจฺฉา ภุญฺชนฺตสฺส จ เอกปเตฺตเยว เหฎฺฐา ปฐมํ นิมนฺติตานํ โภชนํ ปกฺขิปิตฺวา อิตรํ อุปริ ปกฺขิปิตฺวา เหฎฺฐา หตฺถํ โอตาเรตฺวา เหฎฺฐา ฐิตโภชเน เอกสิตฺถมฺปิ ปฐมํ อภุญฺชิตฺวา อุปริ ฐิตํ ปฐมํ ภุญฺชนฺตสฺส จาติ วุตฺตํ โหติฯ เตเนว ยถา อุปฺปฎิปาฎิ น โหติ, ตถา มิสฺสีกตํ โภชนํ ภุญฺชนฺตสฺส น โทโสติ มหาปจฺจริยํ วินิจฺฉโย พฺยติเรกโต ทสฺสิโต โหติฯ ยถาห ‘‘เทฺว ตีณิ กุลานิ นิมเนฺตตฺวา เอกสฺมิํ ฐาเน นิสีทาเปตฺวา อิโต จิโต จ อาหริตฺวา ภตฺตํ อากิรนฺติ, สูปพฺยญฺชนํ อากิรนฺติ, เอกมิสฺสกํ โหติ, เอตฺถ อนาปตฺตีติ มหาปจฺจริยํ วุตฺต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๒๙)ฯ
Bhattanti ettha ‘‘yo bhuñjatī’’ti seso. Nimantito yo pacchā nimantitaṃ bhattaṃ bhuñjati, tassa pācittiyanti yojanā. Uppaṭipāṭiyā ekasitthampi bhuñjato tassa pācittiyaṃ siyāti yojanāti. Kiṃ vuttaṃ hoti? Pacchā nimantitānaṃ bhojanaṃ paṭhamaṃ bhuñjitvā paṭhamaṃ nimantitānaṃ bhojanaṃ pacchā bhuñjantassa ca ekapatteyeva heṭṭhā paṭhamaṃ nimantitānaṃ bhojanaṃ pakkhipitvā itaraṃ upari pakkhipitvā heṭṭhā hatthaṃ otāretvā heṭṭhā ṭhitabhojane ekasitthampi paṭhamaṃ abhuñjitvā upari ṭhitaṃ paṭhamaṃ bhuñjantassa cāti vuttaṃ hoti. Teneva yathā uppaṭipāṭi na hoti, tathā missīkataṃ bhojanaṃ bhuñjantassa na dosoti mahāpaccariyaṃ vinicchayo byatirekato dassito hoti. Yathāha ‘‘dve tīṇi kulāni nimantetvā ekasmiṃ ṭhāne nisīdāpetvā ito cito ca āharitvā bhattaṃ ākiranti, sūpabyañjanaṃ ākiranti, ekamissakaṃ hoti, ettha anāpattīti mahāpaccariyaṃ vutta’’nti (pāci. aṭṭha. 229).
๑๒๒๕-๖. ปรมฺปรโภชนสฺส สรูปํ ปทภาชเน วุตฺตนเยน ทเสฺสตุมาห ‘‘โภชนานมฺปี’’ติอาทิฯ เตสเมว ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตรํ โภชนํ ปริภุญฺชตีติ โยชนาฯ มเหสินา ปริทีปิตนฺติ ปทภาชเน ‘‘ปรมฺปรโภชนํ นาม ปญฺจนฺนํ โภชนาน’’นฺติอาทินา (ปาจิ. ๒๒๗) นเยน วุตฺตํฯ
1225-6. Paramparabhojanassa sarūpaṃ padabhājane vuttanayena dassetumāha ‘‘bhojanānampī’’tiādi. Tesameva pañcannaṃ bhojanānaṃ aññataraṃ bhojanaṃ paribhuñjatīti yojanā. Mahesinā paridīpitanti padabhājane ‘‘paramparabhojanaṃ nāma pañcannaṃ bhojanāna’’ntiādinā (pāci. 227) nayena vuttaṃ.
๑๒๒๗. ยตฺถาติ อเนเกหิ เอกภาชเน ปกฺขิเตฺต ยสฺมิํ โภชเนติ วุตฺตํ โหติ เอเกเนว ทิเนฺน วิจารณาภาวาฯ สพฺพเมกรสํ สิยาติ วิสุํ วิสุํ วิญฺญายมานรสํ อหุตฺวา เอกรสเมว โหติฯ
1227.Yatthāti anekehi ekabhājane pakkhitte yasmiṃ bhojaneti vuttaṃ hoti ekeneva dinne vicāraṇābhāvā. Sabbamekarasaṃ siyāti visuṃ visuṃ viññāyamānarasaṃ ahutvā ekarasameva hoti.
๑๒๓๐. ‘‘คาเมนา’’ติ อิมินา คามฎฺฐาเยว วุตฺตาฯ ‘‘นิมนฺติตสฺส โทโส น วิชฺชตี’’ติ อิทํ คามปูคนิคเมหิ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ คาม-สเทฺทน ‘‘คามา วา อรญฺญา วา’’ติ (ปารา. ๙๑) เอตฺถ วิย นครมฺปิ สงฺคหิตํฯ ปูโค นาม วิสุํ วิสุํ สมูหา หุตฺวา ปุญฺญการิโน ธมฺมิกมนุสฺสาฯ นิคโม นาม สาปโณ มหาคาโมฯ สกลคาเมน นิมนฺติโต หุตฺวา สมฺปเตฺต ยตฺถ กตฺถจิ เคเห ภุญฺชนฺตสฺส อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ ปูคาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ยถาห ‘‘สกเลน คาเมน เอกโต หุตฺวา นิมนฺติตเสฺสว ยตฺถ กตฺถจิ ภุญฺชโต อนาปตฺติฯ ปูเคปิ เอเสว นโย’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๒๙)ฯ นิจฺจภเตฺต โทโส น วิชฺชตีติ อเนกฎฺฐานโต ทิยฺยมานํ นิจฺจภตฺตมฺปิ อุปฺปฎิปาฎิยา ภุญฺชนฺตสฺส น โทโสติ วุตฺตํ โหติฯ
1230.‘‘Gāmenā’’ti iminā gāmaṭṭhāyeva vuttā. ‘‘Nimantitassa doso na vijjatī’’ti idaṃ gāmapūganigamehi paccekaṃ yojetabbaṃ. Gāma-saddena ‘‘gāmā vā araññā vā’’ti (pārā. 91) ettha viya nagarampi saṅgahitaṃ. Pūgo nāma visuṃ visuṃ samūhā hutvā puññakārino dhammikamanussā. Nigamo nāma sāpaṇo mahāgāmo. Sakalagāmena nimantito hutvā sampatte yattha katthaci gehe bhuñjantassa anāpattīti attho. Pūgādīsupi eseva nayo. Yathāha ‘‘sakalena gāmena ekato hutvā nimantitasseva yattha katthaci bhuñjato anāpatti. Pūgepi eseva nayo’’ti (pāci. aṭṭha. 229). Niccabhatte doso na vijjatīti anekaṭṭhānato diyyamānaṃ niccabhattampi uppaṭipāṭiyā bhuñjantassa na dosoti vuttaṃ hoti.
๑๒๓๑. กาโย วาจา กายวาจาจิตฺตนฺติ อิเมหิ อาปชฺชนํ กถินสมุฎฺฐานํ นามฯ อิธ กฺริยํ นาม โภชนํ, อกฺริยํ นาม ปฐมนิมนฺตนสฺส อวิกปฺปนํ, อิทํ ทฺวยเมวาห ‘‘โภชนญฺจาวิกปฺปน’’นฺติฯ
1231. Kāyo vācā kāyavācācittanti imehi āpajjanaṃ kathinasamuṭṭhānaṃ nāma. Idha kriyaṃ nāma bhojanaṃ, akriyaṃ nāma paṭhamanimantanassa avikappanaṃ, idaṃ dvayamevāha ‘‘bhojanañcāvikappana’’nti.
ปรมฺปรโภชนกถาวณฺณนาฯ
Paramparabhojanakathāvaṇṇanā.
๑๒๓๒-๓. ปูวาติ อติรสาทโย รสาฯ ปเหณกตฺถายาติ ปณฺณาการตฺถายฯ ปฎิยตฺตาติ สมฺปาทิตาฯ ปาเถยฺยตฺถายาติ คมิกสฺส สมฺพลตฺถายฯ ปฎิยตฺตา มนฺถา วาติ สมฺพโนฺธฯ มนฺถา นาม พทฺธสตฺตุอพทฺธสตฺตุติลตณฺฑุลาทโยฯ ยถาห ‘‘พทฺธสตฺตุอพทฺธสตฺตุติลตณฺฑุลาทิ สพฺพํ อิธ มโนฺถเตฺวว สงฺขํ คจฺฉตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๓)ฯ เย ปูวา, มนฺถา วาติ โยชนาฯ หีติ นิปาตมตฺตํฯ ตตฺถ ปฎิยเตฺตสุ เตสุ ปูเวสุ วา มเนฺถสุ วาฯ ภิกฺขุนาติ เอตฺถ ‘‘อากงฺขมาเนนา’’ติ เสโสฯ
1232-3.Pūvāti atirasādayo rasā. Paheṇakatthāyāti paṇṇākāratthāya. Paṭiyattāti sampāditā. Pātheyyatthāyāti gamikassa sambalatthāya. Paṭiyattā manthā vāti sambandho. Manthā nāma baddhasattuabaddhasattutilataṇḍulādayo. Yathāha ‘‘baddhasattuabaddhasattutilataṇḍulādi sabbaṃ idha manthotveva saṅkhaṃ gacchatī’’ti (pāci. aṭṭha. 233). Ye pūvā, manthā vāti yojanā. Hīti nipātamattaṃ. Tattha paṭiyattesu tesu pūvesu vā manthesu vā. Bhikkhunāti ettha ‘‘ākaṅkhamānenā’’ti seso.
ทฺวตฺติปตฺตาติ เทฺว วา ตโย วา ปตฺตาติ วิคฺคโหฯ ปูราติ มุขวฎฺฎิยา เหฎฺฐิมราชิสมํ ปุณฺณาฯ ยถาห ‘‘มุขวฎฺฎิยา เหฎฺฐิมเลขาย สมปูเร ปเตฺต คเหตฺวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๓)ฯ ‘‘ทฺวตฺติปตฺตา ปูรา’’ติ เจตฺถ ปริมาณํ ทสฺสิตํ, ปริมาณปริเมยฺยานํ อเภโทปจาเรน ปูวมนฺถา คเหตพฺพา ยถา ‘‘เทฺว ติโสฺส ตณฺฑุลนาฬิโย’’ติฯ ปูเวหิ วา สตฺตูหิ วาติ โยชนาฯ สตฺตูติ พทฺธสตฺตุอพทฺธสตฺตูนํ คหณํ, อิมินาว ติลาทีนิ อุปลกฺขิตานิฯ ตติยปตฺตสฺส มุขวฎฺฎิยา เหฎฺฐาราชิยา อุทฺธํ กตฺวา ปกฺขิตฺตเญฺจตํ ‘‘ตโต อุตฺตริ’’นฺติ อิมินา จ คยฺหติฯ ยถาห ‘‘สเจ ตติยํ ปตฺตํ ถูปีกตํ คณฺหาติ, ปูวคณนาย ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๓)ฯ
Dvattipattāti dve vā tayo vā pattāti viggaho. Pūrāti mukhavaṭṭiyā heṭṭhimarājisamaṃ puṇṇā. Yathāha ‘‘mukhavaṭṭiyā heṭṭhimalekhāya samapūre patte gahetvā’’ti (pāci. aṭṭha. 233). ‘‘Dvattipattā pūrā’’ti cettha parimāṇaṃ dassitaṃ, parimāṇaparimeyyānaṃ abhedopacārena pūvamanthā gahetabbā yathā ‘‘dve tisso taṇḍulanāḷiyo’’ti. Pūvehi vā sattūhi vāti yojanā. Sattūti baddhasattuabaddhasattūnaṃ gahaṇaṃ, imināva tilādīni upalakkhitāni. Tatiyapattassa mukhavaṭṭiyā heṭṭhārājiyā uddhaṃ katvā pakkhittañcetaṃ ‘‘tato uttari’’nti iminā ca gayhati. Yathāha ‘‘sace tatiyaṃ pattaṃ thūpīkataṃ gaṇhāti, pūvagaṇanāya pācittiya’’nti (pāci. aṭṭha. 233).
๑๒๓๗. ตตฺถ เตสุ ปูเวสุ วา มเนฺถสุ วา เทฺว เจ ปตฺตปูรา ลทฺธาติ โยชนาฯ เอโก ปตฺตปูโร ปทาตโพฺพติ โยชนาฯ เอกโตติ เอกปตฺตปูรโต น ปทาตโพฺพติ โยชนา, กิญฺจิปิ อกามา น ทาตพฺพนฺติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘เยน เอโก คหิโต, น เตน กิญฺจิ อกามา ทาตพฺพํฯ ยถารุจิ กาตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๓)ฯ เอวํ ททเนฺตน อาสนสาลาย วา อตฺตโน นิพทฺธวาสฎฺฐาเน วา ทิฎฺฐสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สาธารณํ กตฺวา ทานมนฺตเรน น มิตฺตานเมว ทาตพฺพํฯ ยถาห ‘‘ยถามิตฺตํ ปน ทาตุํ น ลพฺภตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๓)ฯ
1237.Tattha tesu pūvesu vā manthesu vā dve ce pattapūrā laddhāti yojanā. Eko pattapūro padātabboti yojanā. Ekatoti ekapattapūrato na padātabboti yojanā, kiñcipi akāmā na dātabbanti attho. Yathāha ‘‘yena eko gahito, na tena kiñci akāmā dātabbaṃ. Yathāruci kātabba’’nti (pāci. aṭṭha. 233). Evaṃ dadantena āsanasālāya vā attano nibaddhavāsaṭṭhāne vā diṭṭhassa bhikkhusaṅghassa sādhāraṇaṃ katvā dānamantarena na mittānameva dātabbaṃ. Yathāha ‘‘yathāmittaṃ pana dātuṃ na labbhatī’’ti (pāci. aṭṭha. 233).
๑๒๓๘-๙. อปเหณกํ อปาเถยฺยํ เทนฺตานนฺติ สมฺพโนฺธฯ ยถาห ‘‘น ปเหณกตฺถาย น ปาเถยฺยตฺถาย ปฎิยตฺตํ เทนฺตี’’ติ (ปาจิ. ๒๓๕)ฯ ตโตติ ปเหณกปาเถยฺยโตฯ วา-สเทฺทน อิธ อวุตฺตํ ‘‘คมเน ปฎิปฺปสฺสเทฺธ เทนฺตี’’ติ (ปาจิ. ๒๓๕) อนาปตฺติวาเร วุตฺตํ สงฺคณฺหาติฯ ตทูนกนฺติ ตโต ทฺวตฺติปตฺตโต อูนกํฯ ยถาห ‘‘อูนกทฺวตฺติปตฺตปูเร ปฎิคฺคณฺหาตี’’ติ (ปาจิ. ๒๓๕)ฯ อปาเถยฺยาทิอตฺถาย ปฎิยาทิตนฺติ สญฺญาย ปาเถยฺยาทิํ คณฺหนฺตสฺสาปิ อาปตฺติเยว อจิตฺตกตฺตา สิกฺขาปทสฺสฯ อตฺตโนเยว คหณตฺถํ ‘‘อิมสฺส หเตฺถ เทหี’’ติ วจเนนาปิ อาปชฺชนโต วจีกมฺมํฯ
1238-9. Apaheṇakaṃ apātheyyaṃ dentānanti sambandho. Yathāha ‘‘na paheṇakatthāya na pātheyyatthāya paṭiyattaṃ dentī’’ti (pāci. 235). Tatoti paheṇakapātheyyato. Vā-saddena idha avuttaṃ ‘‘gamane paṭippassaddhe dentī’’ti (pāci. 235) anāpattivāre vuttaṃ saṅgaṇhāti. Tadūnakanti tato dvattipattato ūnakaṃ. Yathāha ‘‘ūnakadvattipattapūre paṭiggaṇhātī’’ti (pāci. 235). Apātheyyādiatthāya paṭiyāditanti saññāya pātheyyādiṃ gaṇhantassāpi āpattiyeva acittakattā sikkhāpadassa. Attanoyeva gahaṇatthaṃ ‘‘imassa hatthe dehī’’ti vacanenāpi āpajjanato vacīkammaṃ.
กาณมาตุกถาวณฺณนาฯ
Kāṇamātukathāvaṇṇanā.
๑๒๔๐. อเญฺญนาติ ตทฺธิตโลเปน นิเทฺทโส, อญฺญตเรนาติ อโตฺถ, ปวาริโตติ สมฺพโนฺธฯ โภชนานนฺติ นิทฺธารเณ ภุมฺมํฯ ปวาริโตติ ‘‘คณฺหถ ภเนฺต ยาว อิจฺฉถา’ติ เอวํ ยาวทตฺถปวารณาย, สยญฺจ ‘อลํ อาวุโส โถกํ โถกํ เทหี’ติ เอวํ ปฎิเกฺขปปวารณายา’’ติ อฎฺฐกถาย วุตฺตปฺปการทฺวเยน ปวาริโตติ อโตฺถ ฯ วิกปฺปทฺวเย ปการทฺวเย ปวาริต-สเทฺท วร-ธาตุสฺส ปตฺถนวารณตฺถวเสนายมโตฺถ เวทิตโพฺพ, ‘‘ปาจิตฺติ อนติริตฺต’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ ‘‘อนติริตฺตํ โภชน’’นฺติ วิเสสิตพฺพมเปกฺขิตฺวา ‘‘อเญฺญนา’’ติ เอตฺถ วิภตฺติํ วิปริณาเมตฺวา ‘‘ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตรํ โภชน’’นฺติ โยเชตพฺพํ, วกฺขมาเน อนติริตฺตกตโภชนนิเทฺทเส วุเตฺตสุ ปญฺจสุ โภชเนสุ อญฺญตรํ โภชนนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ขาทนียํ วา โภชนียํ วา’’ติ (ปาจิ. ๒๓๖, ๒๓๘) สห เทสิตตฺตา เอกโยคญาเยน ‘‘ขาทนียํ วา’’ติ จ คเหตพฺพํฯ ปญฺจ โภชนานิ, กาลิกตฺตยญฺจ ฐเปตฺวา สพฺพํ ยาวกาลิกํ ขาทนียนฺติ วุตฺตํฯ
1240.Aññenāti taddhitalopena niddeso, aññatarenāti attho, pavāritoti sambandho. Bhojanānanti niddhāraṇe bhummaṃ. Pavāritoti ‘‘gaṇhatha bhante yāva icchathā’ti evaṃ yāvadatthapavāraṇāya, sayañca ‘alaṃ āvuso thokaṃ thokaṃ dehī’ti evaṃ paṭikkhepapavāraṇāyā’’ti aṭṭhakathāya vuttappakāradvayena pavāritoti attho . Vikappadvaye pakāradvaye pavārita-sadde vara-dhātussa patthanavāraṇatthavasenāyamattho veditabbo, ‘‘pācitti anatiritta’’nti padacchedo. ‘‘Anatirittaṃ bhojana’’nti visesitabbamapekkhitvā ‘‘aññenā’’ti ettha vibhattiṃ vipariṇāmetvā ‘‘pañcannaṃ bhojanānaṃ aññataraṃ bhojana’’nti yojetabbaṃ, vakkhamāne anatirittakatabhojananiddese vuttesu pañcasu bhojanesu aññataraṃ bhojananti attho. ‘‘Khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā’’ti (pāci. 236, 238) saha desitattā ekayogañāyena ‘‘khādanīyaṃ vā’’ti ca gahetabbaṃ. Pañca bhojanāni, kālikattayañca ṭhapetvā sabbaṃ yāvakālikaṃ khādanīyanti vuttaṃ.
๑๒๔๑. อสนนฺติ เอตฺถ วิปฺปกตโภชนํ ทิสฺสติ, ภุญฺชมาโน เจ ปุคฺคโล โหติ, โภชนกิริยานุปจฺฉินฺนา วตฺตตีติ อโตฺถฯ โภชนนฺติ ปวารณปโหนกโอทนาทิ หตฺถาทีสุ ทิสฺสติฯ หตฺถปาโสติ ปวารณปโหนกํ โภชนํ ทาตุํ อภิหริตฺวา ฐิโตกาโส อฑฺฒเตยฺยหตฺถปฺปมาโณ โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ อภิหรณํ อภิหาโร, โส เอว อภิหารตา, ตถา ทาตุํ ฐิตสฺส กาเยน กโต อภิหาโร ทิสฺสตีติ วุตฺตํ โหติฯ กายวาจาปฎิเกฺขโปติ ตถา อภิหเฎ โภชเน ปฎิคฺคาหกสฺส หตฺถวิการาทิโก กายิโก วา ‘‘อล’’นฺติอาทิโก วาจสิโก วา ปฎิเกฺขโป ปญฺญายตีติ อโตฺถฯ
1241.Asananti ettha vippakatabhojanaṃ dissati, bhuñjamāno ce puggalo hoti, bhojanakiriyānupacchinnā vattatīti attho. Bhojananti pavāraṇapahonakaodanādi hatthādīsu dissati. Hatthapāsoti pavāraṇapahonakaṃ bhojanaṃ dātuṃ abhiharitvā ṭhitokāso aḍḍhateyyahatthappamāṇo hotīti vuttaṃ hoti. Abhiharaṇaṃ abhihāro, so eva abhihāratā, tathā dātuṃ ṭhitassa kāyena kato abhihāro dissatīti vuttaṃ hoti. Kāyavācāpaṭikkhepoti tathā abhihaṭe bhojane paṭiggāhakassa hatthavikārādiko kāyiko vā ‘‘ala’’ntiādiko vācasiko vā paṭikkhepo paññāyatīti attho.
๑๒๔๒. นิปฺปปเญฺจนาติ สห วาสนาย ปหีนตณฺหาทิปปญฺจตฺตยรหิเตน ตถาคเตนฯ
1242.Nippapañcenāti saha vāsanāya pahīnataṇhādipapañcattayarahitena tathāgatena.
๑๒๔๓. ตตฺถาติ โอทนาทีสุฯ สตฺตนฺนนฺติ ‘‘สาลี’’ติอาทินา วกฺขมานานุรูปานํฯ
1243.Tatthāti odanādīsu. Sattannanti ‘‘sālī’’tiādinā vakkhamānānurūpānaṃ.
๑๒๔๔. โอทโกติ อุทเก ภโวฯ เอตฺถาติ ปญฺจงฺคปวารณายฯ อยํนิจฺฉโยติ วกฺขมานวิธิปฺปการํ วินิจฺฉยํ ทเสฺสติฯ
1244.Odakoti udake bhavo. Etthāti pañcaṅgapavāraṇāya. Ayaṃnicchayoti vakkhamānavidhippakāraṃ vinicchayaṃ dasseti.
๑๒๔๕. สาลีติ สพฺพสาลิชาติฯ วีหีติ สพฺพวีหิชาติฯ กงฺคูติ เสตรตฺตกาฬเภทา สพฺพา กงฺคุชาติฯ วรโก เสตวรโกฯ ธเญฺญน สมฺภตปุญฺญสมฺภาเรน ภควตาฯ
1245.Sālīti sabbasālijāti. Vīhīti sabbavīhijāti. Kaṅgūti setarattakāḷabhedā sabbā kaṅgujāti. Varako setavarako. Dhaññena sambhatapuññasambhārena bhagavatā.
๑๒๔๖. ติณนฺติ ติณพีชเมว วุตฺตํฯ ทีปิตํ สงฺคหิตํฯ วรกโจรโกติ สุขุมวรโกฯ
1246.Tiṇanti tiṇabījameva vuttaṃ. Dīpitaṃ saṅgahitaṃ. Varakacorakoti sukhumavarako.
๑๒๔๘. องฺคสมฺปตฺติํ ทเสฺสตุมาห ‘‘หเตฺถนา’’ติอาทิฯ
1248. Aṅgasampattiṃ dassetumāha ‘‘hatthenā’’tiādi.
๑๒๔๙. ตนูติ ตนุกาฯ
1249.Tanūti tanukā.
๑๒๕๐. น รกฺขติ ปวารณํฯ
1250.Na rakkhati pavāraṇaṃ.
๑๒๕๑-๒. ธญฺญรสาทีนีติ อาทิ-สเทฺทน ทธิอาทโย คหิตาฯ อาโรเปตฺวาติ อุทฺธนํ อาโรเปตฺวาฯ ผลนฺติ เอลาฬุกาทิผลํฯ ปณฺณนฺติ สูปสากํฯ กฬีรนฺติ เวฬุอาทีนํ กฬีรํฯ พหูนีติ เตสเมว วิเสสนํฯ ตตฺถ จาติ ปกฺขิตฺตปณฺณาทิมฺหิ ตกฺกาทิเกฯ โอธิํ ทเสฺสตีติ เอตฺถ ‘‘ปริโภคกาเล’’ติ เสโสฯ สญฺชเนตีติ เอตฺถ ‘‘ผลาทิยาคู’’ติ ลพฺภติฯ
1251-2.Dhaññarasādīnīti ādi-saddena dadhiādayo gahitā. Āropetvāti uddhanaṃ āropetvā. Phalanti elāḷukādiphalaṃ. Paṇṇanti sūpasākaṃ. Kaḷīranti veḷuādīnaṃ kaḷīraṃ. Bahūnīti tesameva visesanaṃ. Tattha cāti pakkhittapaṇṇādimhi takkādike. Odhiṃ dassetīti ettha ‘‘paribhogakāle’’ti seso. Sañjanetīti ettha ‘‘phalādiyāgū’’ti labbhati.
๑๒๕๓-๔. รเสติ มํสาทิรเสฯ ‘‘ยาคุํ คณฺหถา’’ติ วา ‘‘ยาคุ’’นฺติ วา วตฺวาติ โยเชตพฺพาฯ ยาคุ สงฺคหิตาติ เอตฺถ โอธิปญฺญายนอปญฺญายนวิกปฺปทฺวเย ยาคุยา สโม วินิจฺฉโยติ อธิปฺปาโยฯ
1253-4.Raseti maṃsādirase. ‘‘Yāguṃ gaṇhathā’’ti vā ‘‘yāgu’’nti vā vatvāti yojetabbā. Yāgu saṅgahitāti ettha odhipaññāyanaapaññāyanavikappadvaye yāguyā samo vinicchayoti adhippāyo.
๑๒๕๕. ฉุปนฺตีติ สมฺผุสนฺติฯ ฉุป สมฺผเสฺสติ ธาตุ, ปกฺขิปนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘ยตฺถ มจฺฉมํสํ ปกฺขิปนฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๘-๒๓๙)ฯ สาสปมตฺตมฺปิ มจฺฉมํสํ วา สเจ ปญฺญายตีติ โยชนาฯ ปวารณนฺติ เอตฺถ ‘‘ชเนตี’’ติ เสโสฯ ยาคุยาติ ปทํ ปจฺจตฺตวเสน วิปริณาเมตฺวา ยาคุ ชเนตีติ โยเชตพฺพํฯ
1255.Chupantīti samphusanti. Chupa samphasseti dhātu, pakkhipantīti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘yattha macchamaṃsaṃ pakkhipantī’’ti (pāci. aṭṭha. 238-239). Sāsapamattampi macchamaṃsaṃ vā sace paññāyatīti yojanā. Pavāraṇanti ettha ‘‘janetī’’ti seso. Yāguyāti padaṃ paccattavasena vipariṇāmetvā yāgu janetīti yojetabbaṃ.
๑๒๕๖. สํสโฎฺฐติ ปริสฺสาวิโต น สญฺชเนตีติ โยชนาฯ
1256.Saṃsaṭṭhoti parissāvito na sañjanetīti yojanā.
๑๒๕๗. สพฺพโส ฐเปตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ มํสาทิปกฺขิตฺตโอทนาทิปฺปกรณาวเสสโต องฺคํ ทเสฺสตุมาห ‘‘สพฺพโส’’ติฯ สพฺพโส น ปวาเรตีติ โยชนาฯ เวฬุตณฺฑุลนฺติ เวฬุวีหีนํ ตณฺฑุลํฯ อาทิ-สเทฺทน กนฺทมูลํ สงฺคหิตํฯ ยถาห ‘‘เวณุตณฺฑุลาทีหิ วา กนฺทมูลผเลหิ วา เยหิ เกหิจิ กตภตฺต’’นฺติฯ
1257. Sabbaso ṭhapetvāti sambandho. Maṃsādipakkhittaodanādippakaraṇāvasesato aṅgaṃ dassetumāha ‘‘sabbaso’’ti. Sabbaso na pavāretīti yojanā. Veḷutaṇḍulanti veḷuvīhīnaṃ taṇḍulaṃ. Ādi-saddena kandamūlaṃ saṅgahitaṃ. Yathāha ‘‘veṇutaṇḍulādīhi vā kandamūlaphalehi vā yehi kehici katabhatta’’nti.
๑๒๕๘. ตโตติ สาลิอาทิโต, เวฬุอาทิโต จ, ตโต นิพฺพตฺตา ปุถุกา วาติ อโตฺถฯ ตาหีติ ปุถุกาหิฯ สุทฺธาติ ปุถุกาทีหิ อมิสฺสา น ปวาเรนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ
1258.Tatoti sāliādito, veḷuādito ca, tato nibbattā puthukā vāti attho. Tāhīti puthukāhi. Suddhāti puthukādīhi amissā na pavārentīti sambandho.
๑๒๕๙. ภฎฺฐานนฺติ ภชฺชิตานํฯ สตฺตูหิ สงฺคหิตํ สตฺตุสงฺคหิตํฯ
1259.Bhaṭṭhānanti bhajjitānaṃ. Sattūhi saṅgahitaṃ sattusaṅgahitaṃ.
๑๒๖๑. สตฺตูนํ โมทโกติ สตฺตุพทฺธํ, พทฺธสตฺตูติ อโตฺถฯ
1261.Sattūnaṃ modakoti sattubaddhaṃ, baddhasattūti attho.
๑๒๖๓. เตเหวาติ ลาเชหิ เอวฯ สุทฺธํ ขชฺชกํ วาติ วกฺขมานนเยน มจฺฉาทีหิ อสมฺมิสฺสํ ขชฺชกํฯ
1263.Tehevāti lājehi eva. Suddhaṃ khajjakaṃ vāti vakkhamānanayena macchādīhi asammissaṃ khajjakaṃ.
๑๒๖๔. ‘‘ปูริต’’นฺติอาทินา ตพฺพิปริยายํ ทเสฺสติฯ ตนฺติ กุณฺฑกาทิฯ
1264.‘‘Pūrita’’ntiādinā tabbipariyāyaṃ dasseti. Tanti kuṇḍakādi.
๑๒๖๖. อกปฺปิยํ มํสํฯ อวตฺถุตฺตาติ อกปฺปิยมํสานํ วาเรตพฺพตฺตา ปวารณาย อวตฺถุตฺตาฯ
1266.Akappiyaṃ maṃsaṃ. Avatthuttāti akappiyamaṃsānaṃ vāretabbattā pavāraṇāya avatthuttā.
๑๒๖๗. วตฺถุกตฺตาติ กปฺปิยมํสสฺส ปวารณาย วตฺถุภูตตฺตาฯ ปวาเรตีติ เอตฺถ ‘‘ขาทิยมานสฺส จ มํสตฺตา’’ติ เสโส ทฎฺฐโพฺพฯ ยถาห ‘‘ยํ ปน ขาทติ, ตํ กิญฺจาปิ ปฎิกฺขิปิตพฺพฎฺฐาเน ฐิตํ, ขาทิยมานํ ปน มํสภาวํ น ชหตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๘-๒๓๙)ฯ
1267.Vatthukattāti kappiyamaṃsassa pavāraṇāya vatthubhūtattā. Pavāretīti ettha ‘‘khādiyamānassa ca maṃsattā’’ti seso daṭṭhabbo. Yathāha ‘‘yaṃ pana khādati, taṃ kiñcāpi paṭikkhipitabbaṭṭhāne ṭhitaṃ, khādiyamānaṃ pana maṃsabhāvaṃ na jahatī’’ti (pāci. aṭṭha. 238-239).
๑๒๖๘. กิญฺจิ กปฺปิยโภชนนฺติ ปญฺจสุ โภชเนสุ ยํ กิญฺจิ กปฺปิยโภชนํฯ
1268.Kiñci kappiyabhojananti pañcasu bhojanesu yaṃ kiñci kappiyabhojanaṃ.
๑๒๖๙. อกปฺปิยํ มํสํ อญฺญนฺติ อกปฺปิยมํสโต อวเสสํ กุลทูสนาทิวเสน อุปฺปนฺนโภชนํ คหิตํฯ ยถาห ‘‘กุลทูสนเวชฺชกมฺมอุตฺตริมนุสฺสธมฺมาโรจนสาทิตรูปิยาทีหิ นิพฺพตฺตํ พุทฺธปฎิกุฎฺฐํ อเนสนาย อุปฺปนฺนํ อกปฺปิยโภชนํ ปฎิกฺขิปติ, น ปวาเรตี’’ติฯ
1269.Akappiyaṃ maṃsaṃ aññanti akappiyamaṃsato avasesaṃ kuladūsanādivasena uppannabhojanaṃ gahitaṃ. Yathāha ‘‘kuladūsanavejjakammauttarimanussadhammārocanasāditarūpiyādīhi nibbattaṃ buddhapaṭikuṭṭhaṃ anesanāya uppannaṃ akappiyabhojanaṃ paṭikkhipati, na pavāretī’’ti.
๑๒๗๐-๑. อสนํ โภชนนฺติ องฺคทฺวเย วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘สเจ อโชฺฌหฎ’’นฺติอาทิฯ อโชฺฌหฎนฺติ ปรคลคตํ โหติฯ ‘‘ปเตฺต’’ติ อิมินา ถาลกาทิภาชนญฺจ คหิตํฯ กตฺถจิ โภชนํ นตฺถีติ โยชนาฯ ปเตฺต, หเตฺถ, มุเข วา ยตฺถ กตฺถจิ ปญฺจนฺนํ โภชนานํ กิญฺจิ น วิชฺชติ, คนฺธมตฺตํ ปญฺญายตีติ วุตฺตํ โหติฯ
1270-1. Asanaṃ bhojananti aṅgadvaye vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘sace ajjhohaṭa’’ntiādi. Ajjhohaṭanti paragalagataṃ hoti. ‘‘Patte’’ti iminā thālakādibhājanañca gahitaṃ. Katthaci bhojanaṃ natthīti yojanā. Patte, hatthe, mukhe vā yattha katthaci pañcannaṃ bhojanānaṃ kiñci na vijjati, gandhamattaṃ paññāyatīti vuttaṃ hoti.
๑๒๗๒. อาทายาติ เอตฺถ ‘‘อญฺญตฺร ภุญฺชิตุ’’นฺติ เสโสฯ ‘‘โยปิ อญฺญตฺร คนฺตฺวา ภุญฺชิตุกาโม มุเข ภตฺตํ คิลิตฺวา เสสํ อาทายา’’ติอาทินา (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๘-๒๓๙) มหาปจฺจริยฎฺฐกถายํ วุตฺตวจนสฺส ปมาณตฺตา อาห ‘‘น ปวาเรตี’’ติฯ
1272.Ādāyāti ettha ‘‘aññatra bhuñjitu’’nti seso. ‘‘Yopi aññatra gantvā bhuñjitukāmo mukhe bhattaṃ gilitvā sesaṃ ādāyā’’tiādinā (pāci. aṭṭha. 238-239) mahāpaccariyaṭṭhakathāyaṃ vuttavacanassa pamāṇattā āha ‘‘na pavāretī’’ti.
๑๒๗๓. ‘‘มุเข ภตฺตํ คิลิตํ, หเตฺถ ภตฺตํ วิฆาสาทสฺส ทาตุกาโม, ปเตฺต ภตฺตํ ภิกฺขุสฺส ทาตุกาโม, สเจ ตสฺมิํ ขเณ ปฎิกฺขิปติ, น ปวาเรตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๘-๒๓๙) เอวมาคตํ กุรุนฺทฎฺฐกถํ สงฺคเหตุํ ‘‘มุเข จ ภตฺต’’นฺติอาทิวจนโต จ ‘‘อสนสฺส อุปเจฺฉทา’’ติอาทินา วกฺขมานาย ยุตฺติยา อสนาวสาเน ยุชฺชมานตฺตา จ อิมิสฺสา คาถาย ‘‘โภตฺตุกาโม’’ติ ปาฐํ อคฺคเหตฺวา ‘‘ทาตุกาโม’’ติ ปาโฐ คเหตโพฺพฯ
1273. ‘‘Mukhe bhattaṃ gilitaṃ, hatthe bhattaṃ vighāsādassa dātukāmo, patte bhattaṃ bhikkhussa dātukāmo, sace tasmiṃ khaṇe paṭikkhipati, na pavāretī’’ti (pāci. aṭṭha. 238-239) evamāgataṃ kurundaṭṭhakathaṃ saṅgahetuṃ ‘‘mukhe ca bhatta’’ntiādivacanato ca ‘‘asanassa upacchedā’’tiādinā vakkhamānāya yuttiyā asanāvasāne yujjamānattā ca imissā gāthāya ‘‘bhottukāmo’’ti pāṭhaṃ aggahetvā ‘‘dātukāmo’’ti pāṭho gahetabbo.
๑๒๗๔. ‘‘อสนสฺส อุปเจฺฉทา’’ติ อิมินา ตสฺมิํเยว อาสเน ยถานิสิเนฺนเนว กาตเพฺพ อสเน อาสาวเจฺฉโท ทีปิโตฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ตสฺมิํ ปน อาสเน น ภุญฺชิตุกาโม, วิหารํ ปวิสิตฺวา ภุญฺชิตุกาโม, อญฺญสฺส วา ทาตุกาโม’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๘-๒๓๙)ฯ กุรุนฺทฎฺฐกถายํ ตสฺส วินิจฺฉยสฺส ทสฺสิตตฺตา ‘‘มหาปญฺญา’’ติ กุรุนฺทฎฺฐกถาจริยํ สนฺธายาหฯ การณาการณญฺญุโนติ ‘‘ปวารณสฺส อิทํ การณํ, อิทํ อการณ’’นฺติ ชานนฺตาฯ ‘‘การณาการณญฺญุนา’’ติ กตฺถจิ โปตฺถเก ลิขนฺติฯ ตตฺถ มหาปญฺญา การณาการณญฺญุโน อาจริยา อสนสฺส…เป.… โสติ หิ การณํ กถยนฺตีติ โยชนาฯ
1274.‘‘Asanassa upacchedā’’ti iminā tasmiṃyeva āsane yathānisinneneva kātabbe asane āsāvacchedo dīpito. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tasmiṃ pana āsane na bhuñjitukāmo, vihāraṃ pavisitvā bhuñjitukāmo, aññassa vā dātukāmo’’ti (pāci. aṭṭha. 238-239). Kurundaṭṭhakathāyaṃ tassa vinicchayassa dassitattā ‘‘mahāpaññā’’ti kurundaṭṭhakathācariyaṃ sandhāyāha. Kāraṇākāraṇaññunoti ‘‘pavāraṇassa idaṃ kāraṇaṃ, idaṃ akāraṇa’’nti jānantā. ‘‘Kāraṇākāraṇaññunā’’ti katthaci potthake likhanti. Tattha mahāpaññā kāraṇākāraṇaññuno ācariyā asanassa…pe… soti hi kāraṇaṃ kathayantīti yojanā.
๑๒๗๕. หตฺถปาสเงฺค วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘คณฺหโต…เป.… ปสาริต’’นฺติฯ คณฺหโตติ เยน อิริยาปเถน สมนฺนาคโต หุตฺวา คณฺหาติ, เอวํ คณฺหโตฯ ปจฺฉิมํ องฺคนฺติ ทายเกน ทินฺนสฺส ปฎิคฺคาหกสฺส โย อวยโว ปรภาเค โหติ , ตํ ฐานาทิอิริยาปถสมนฺนาคตสฺส ปฎิคฺคาหกสฺส ปณฺหิอาทิํ ปจฺฉิมํ องฺคํฯ ททโต ปสาริตํ หตฺถํ วินา ปุริมํ องฺคนฺติ โยชนาฯ ปสาริตํ หตฺถนฺติ เอตฺถ ‘‘ทาตุ’’นฺติ เสโสฯ อุภินฺนนฺติ เอตฺถ ‘‘อนฺตเร’’ติ เสโสฯ ปฎิคฺคาหกทายกานํ ปจฺฉิมปุริมานํ อุภินฺนํ องฺคานํ อนฺตเร โอกาเสฯ อฑฺฒํ อุปฑฺฒํ หตฺถํ เตยฺยํ ตติยํ ยสฺสาติ วิคฺคโห, อติเรกวิทตฺถิทฺวิรตนปฺปมาณนฺติ อโตฺถฯ
1275. Hatthapāsaṅge vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘gaṇhato…pe… pasārita’’nti. Gaṇhatoti yena iriyāpathena samannāgato hutvā gaṇhāti, evaṃ gaṇhato. Pacchimaṃ aṅganti dāyakena dinnassa paṭiggāhakassa yo avayavo parabhāge hoti , taṃ ṭhānādiiriyāpathasamannāgatassa paṭiggāhakassa paṇhiādiṃ pacchimaṃ aṅgaṃ. Dadato pasāritaṃ hatthaṃ vinā purimaṃ aṅganti yojanā. Pasāritaṃ hatthanti ettha ‘‘dātu’’nti seso. Ubhinnanti ettha ‘‘antare’’ti seso. Paṭiggāhakadāyakānaṃ pacchimapurimānaṃ ubhinnaṃ aṅgānaṃ antare okāse. Aḍḍhaṃ upaḍḍhaṃ hatthaṃ teyyaṃ tatiyaṃ yassāti viggaho, atirekavidatthidviratanappamāṇanti attho.
๑๒๗๖. อภิหารเงฺค วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ตสฺมิ’’นฺติอาทิฯ อฑฺฒเตเยฺย ตสฺมิํ ฐาเน ฐตฺวาติ โยชนา, ทฺวิรตนวิทตฺถิปมาเณ ตสฺมิํ ฐาเน ฐตฺวาติ อโตฺถฯ อภิหฎนฺติ อุปนีตํฯ ตาทิสนฺติ อภิหฎสทิสํ, ปวารณปโหนกานํ ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตรนฺติ อโตฺถฯ
1276. Abhihāraṅge vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘tasmi’’ntiādi. Aḍḍhateyye tasmiṃ ṭhāne ṭhatvāti yojanā, dviratanavidatthipamāṇe tasmiṃ ṭhāne ṭhatvāti attho. Abhihaṭanti upanītaṃ. Tādisanti abhihaṭasadisaṃ, pavāraṇapahonakānaṃ pañcannaṃ bhojanānaṃ aññataranti attho.
๑๒๗๗-๘. อาธารเก วาปีติ วลยาทิปตฺตาธารเกปิฯ อูรูสูติ ทฺวินฺนํ อูรูนํ มเชฺฌ, อเงฺกติ อโตฺถฯ อาหริตฺวาติ อภิหริตฺวาฯ ภตฺตํ คณฺหาตีติ เอตฺถ ‘‘อิโต’’ติ เสโส, ‘‘อิโต ภตฺตํ คณฺหา’’ติ อนนฺตเร นิสิโนฺน จ ภาสตีติ โยชนาฯ ภตฺตนฺติ อุปลกฺขณํ, ปญฺจสุ โภชเนสุ ยํ กิญฺจีติ อโตฺถฯ ตนฺติ ตถา คณฺหิตุํ วุตฺตภตฺตาทิโภชนํฯ อภิหารสฺส จาติ เอตฺถ จ-สโทฺท ปทปูรณโตฺถ, เอวการโตฺถ วา, อภาวา เอวาติ โยชนาฯ
1277-8.Ādhārake vāpīti valayādipattādhārakepi. Ūrūsūti dvinnaṃ ūrūnaṃ majjhe, aṅketi attho. Āharitvāti abhiharitvā. Bhattaṃ gaṇhātīti ettha ‘‘ito’’ti seso, ‘‘ito bhattaṃ gaṇhā’’ti anantare nisinno ca bhāsatīti yojanā. Bhattanti upalakkhaṇaṃ, pañcasu bhojanesu yaṃ kiñcīti attho. Tanti tathā gaṇhituṃ vuttabhattādibhojanaṃ. Abhihārassa cāti ettha ca-saddo padapūraṇattho, evakārattho vā, abhāvā evāti yojanā.
๑๒๗๙. ‘‘ภตฺตปจฺฉิ’’นฺติ อิทํ อุปลกฺขณํฯ
1279.‘‘Bhattapacchi’’nti idaṃ upalakkhaṇaṃ.
๑๒๘๐. ทียมาเนติ เอตฺถ ‘‘โภชเน’’ติ เสโสฯ อิตโรติ หตฺถปาเส นิสิโนฺนฯ อภิหารงฺคสฺส อภาวา โส น ปวาริโตติฯ
1280.Dīyamāneti ettha ‘‘bhojane’’ti seso. Itaroti hatthapāse nisinno. Abhihāraṅgassa abhāvā so na pavāritoti.
๑๒๘๑. ปฎิเกฺขปเงฺค วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘กาเยนา’’ติอาทิฯ วาจาภิหารสฺส อนงฺคตฺตา อาห ‘‘กาเยนาภิหฎ’’นฺติฯ ยถาห ‘‘วาจาย อภิหฎํ ปฎิกฺขิปโต ปวารณา นตฺถี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๘-๒๓๙)ฯ อภิหฎโภชนํ ปฎิกฺขิปิตุํ องฺคุลิโย วา หตฺถํ วา หตฺถคตสฺส กสฺสจิ จลนาทิํ ยํ กญฺจิ กายวิการํ กโรโนฺต, ภมุํ อุกฺขิปโนฺต, กุชฺฌิตฺวา โอโลเกโนฺต วา กาเยน ปฎิกฺขิปตีติ วุจฺจติฯ ‘‘อล’’นฺติ วา ‘‘น คณฺหามี’’ติ วา ‘‘อาคเมหี’’ติ วา ‘‘อธิวาเสหี’’ติ วา ‘‘มา อากิรา’’ติ วา ‘‘อปคจฺฉาหี’’ติ วา เอวมาทิกํ วทโนฺต วาจาย ปฎิกฺขิปตีติ วุจฺจติฯ
1281. Paṭikkhepaṅge vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘kāyenā’’tiādi. Vācābhihārassa anaṅgattā āha ‘‘kāyenābhihaṭa’’nti. Yathāha ‘‘vācāya abhihaṭaṃ paṭikkhipato pavāraṇā natthī’’ti (pāci. aṭṭha. 238-239). Abhihaṭabhojanaṃ paṭikkhipituṃ aṅguliyo vā hatthaṃ vā hatthagatassa kassaci calanādiṃ yaṃ kañci kāyavikāraṃ karonto, bhamuṃ ukkhipanto, kujjhitvā olokento vā kāyena paṭikkhipatīti vuccati. ‘‘Ala’’nti vā ‘‘na gaṇhāmī’’ti vā ‘‘āgamehī’’ti vā ‘‘adhivāsehī’’ti vā ‘‘mā ākirā’’ti vā ‘‘apagacchāhī’’ti vā evamādikaṃ vadanto vācāya paṭikkhipatīti vuccati.
๑๒๘๒-๓. อากิราติ เอตฺถาปิ ‘‘อิติ จา’’ติ โยเชตพฺพํฯ เอวํ วทนฺตสฺส นิวาเรตุกามตาจิเตฺต สติปิ นิวารณวจเนน โหนฺตํ ปวารณํ อากิราติอาทิวิธิวจเน น โหตีติ อาห ‘‘น ปน’นฺติ ปวารณา’’ติฯ ปวารณา ปน น อตฺถีติ โยชนาฯ
1282-3.Ākirāti etthāpi ‘‘iti cā’’ti yojetabbaṃ. Evaṃ vadantassa nivāretukāmatācitte satipi nivāraṇavacanena hontaṃ pavāraṇaṃ ākirātiādividhivacane na hotīti āha ‘‘na pana’nti pavāraṇā’’ti. Pavāraṇā pana na atthīti yojanā.
๑๒๘๔. ‘‘รสํ คณฺหถา’’ติ วเทติ สมฺพโนฺธฯ ตํ สุตฺวาติ ตํ วจนํ สุตฺวาฯ
1284. ‘‘Rasaṃ gaṇhathā’’ti vadeti sambandho. Taṃ sutvāti taṃ vacanaṃ sutvā.
๑๒๘๕. ‘‘สาร’’นฺติ อิทํ วณฺณภณนมตฺตํฯ ‘‘อิท’’นฺติ สามเญฺญน มจฺฉมํสํ วทติ, ปวารณงฺคํ โหติฯ มจฺฉรสํ มํสรสนฺติ เอตฺถ ทฺวนฺทสมาสสฺสปิ สมฺภวโต ‘‘มจฺฉํ, มํสํ คณฺหา’’ติ จ วุตฺตํ โหติ, ตญฺจ องฺคํ โหติฯ
1285.‘‘Sāra’’nti idaṃ vaṇṇabhaṇanamattaṃ. ‘‘Ida’’nti sāmaññena macchamaṃsaṃ vadati, pavāraṇaṅgaṃ hoti. Maccharasaṃ maṃsarasanti ettha dvandasamāsassapi sambhavato ‘‘macchaṃ, maṃsaṃ gaṇhā’’ti ca vuttaṃ hoti, tañca aṅgaṃ hoti.
๑๒๘๖. ‘‘รสํ คณฺหา’’ติ วุเตฺต ปนสฺส วิกปฺปสฺส อภาวา ปวารณสฺส องฺคํ น โหติฯ เตเนวาห ‘‘อตฺถิ จ มํสํ เจ’’ติฯ
1286. ‘‘Rasaṃ gaṇhā’’ti vutte panassa vikappassa abhāvā pavāraṇassa aṅgaṃ na hoti. Tenevāha ‘‘atthi ca maṃsaṃ ce’’ti.
๑๒๘๗. มุหุตฺตํ อาคเมหีติ กญฺจิ กาลํ โอโลเกหิฯ
1287.Muhuttaṃāgamehīti kañci kālaṃ olokehi.
๑๒๘๘. ปนสาทีหีติ อาทิ-สเทฺทน เวตฺตงฺคาทีนํ คหณํฯ
1288.Panasādīhīti ādi-saddena vettaṅgādīnaṃ gahaṇaṃ.
๑๒๙๐. มจฺฉสูปํ มํสสูปนฺติ เอตฺถ สมาสวิกปฺปา ‘‘มจฺฉรสํ มํสรส’’นฺติ เอตฺถ วิย ทฎฺฐพฺพาฯ
1290.Macchasūpaṃ maṃsasūpanti ettha samāsavikappā ‘‘maccharasaṃ maṃsarasa’’nti ettha viya daṭṭhabbā.
๑๒๙๑. กรมฺพกนฺติ มจฺฉมํเสน วา อเญฺญน วา มิสฺสเสฺสว สูปวิเสสสฺส นามํฯ เตเนว จ ‘‘มํสกรมฺพกํ คณฺหถ, มจฺฉกรมฺพกํ คณฺหถา’’ติ วุเตฺต นิเสเธน ปวารณา โหติ, ‘‘กรมฺพกํ คณฺหถา’’ติ วุเตฺต อนิยตวจนตฺตา น โหติฯ กฬีรสูปาทีหิ สมานวินิจฺฉยภาวํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอเสว นโย วุโตฺต’’ติฯ
1291.Karambakanti macchamaṃsena vā aññena vā missasseva sūpavisesassa nāmaṃ. Teneva ca ‘‘maṃsakarambakaṃ gaṇhatha, macchakarambakaṃ gaṇhathā’’ti vutte nisedhena pavāraṇā hoti, ‘‘karambakaṃ gaṇhathā’’ti vutte aniyatavacanattā na hoti. Kaḷīrasūpādīhi samānavinicchayabhāvaṃ dassetumāha ‘‘eseva nayo vutto’’ti.
๑๒๙๒. วุตฺตสฺมินฺติ วุเตฺตฯ
1292.Vuttasminti vutte.
๑๒๙๓. เยนาติ ภเตฺตนฯ อาปุจฺฉิโตติ ‘‘คณฺหถา’’ติ วุโตฺตฯ ตสฺส ภตฺตสฺสฯ อตฺถิตาย ยาคุยา วิชฺชมานตฺตาฯ อิติ การณนฺติ อิทํ ปวารณการณํฯ
1293.Yenāti bhattena. Āpucchitoti ‘‘gaṇhathā’’ti vutto. Tassa bhattassa. Atthitāya yāguyā vijjamānattā. Iti kāraṇanti idaṃ pavāraṇakāraṇaṃ.
๑๒๙๔. ‘‘ยาคุมิสฺสกํ คณฺหา’’ติ วุเตฺต สา ยาคุ ตตฺถ ตสฺมิํ อภิหเฎ ภาชเน ปกฺขิตฺตภเตฺตน สมา วา พหุตรา วา เจ โหติ, โส เอวํ วตฺวา อภิหฎํ ปฎิเกฺขปํ ภิกฺขุ น ปวาเรติ กิราติ โยชนาฯ กิราติ อรุจิํ สูเจติฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘การณํ ปน ทุทฺทส’’นฺติฯ
1294. ‘‘Yāgumissakaṃ gaṇhā’’ti vutte sā yāgu tattha tasmiṃ abhihaṭe bhājane pakkhittabhattena samā vā bahutarā vā ce hoti, so evaṃ vatvā abhihaṭaṃ paṭikkhepaṃ bhikkhu na pavāreti kirāti yojanā. Kirāti aruciṃ sūceti. Teneva vakkhati ‘‘kāraṇaṃ pana duddasa’’nti.
๑๒๙๕. สพฺพตฺถาติ สพฺพอฎฺฐกถาสุฯ
1295.Sabbatthāti sabbaaṭṭhakathāsu.
๑๒๙๖. วิสุํ กตฺวาติ เอกสิตฺถมฺปิ ยถา น โหติ, ตถา รสํ วา ขีรํ วา ภตฺตโต วิโยเชตฺวาฯ
1296.Visuṃ katvāti ekasitthampi yathā na hoti, tathā rasaṃ vā khīraṃ vā bhattato viyojetvā.
๑๒๙๗. คจฺฉเนฺตเนวาติ ยาว โภชนนิฎฺฐานํ, ตาว คจฺฉเนฺตเนวฯ ยถาห ‘‘คจฺฉเนฺตน นทิปูรํ ปเตฺตนปิ อฎฺฐตฺวา นทิตีเร คุมฺพํ ปริกฺขิปิตฺวา วิจรเนฺตน นาวํ วา เสตุํ วา อารุเฬฺหน อฎฺฐตฺวา วเฎฺฎตฺวา วิจรเนฺตนา’’ติฯ
1297.Gacchantenevāti yāva bhojananiṭṭhānaṃ, tāva gacchanteneva. Yathāha ‘‘gacchantena nadipūraṃ pattenapi aṭṭhatvā naditīre gumbaṃ parikkhipitvā vicarantena nāvaṃ vā setuṃ vā āruḷhena aṭṭhatvā vaṭṭetvā vicarantenā’’ti.
๑๒๙๘. โสติ คจฺฉโนฺตฯ ตโตติ ฐานโต, คมนอิริยาปถสฺส วิโกปิตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ
1298.Soti gacchanto. Tatoti ṭhānato, gamanairiyāpathassa vikopitattāti adhippāyo.
๑๒๙๙. อาสนํ อวิจาเลตฺวาติ นิสชฺชาวเสน ผุฎฺฐฎฺฐานํ อจาเลตฺวา, อนุฎฺฐหิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อทินฺนาทาเน วิย ฐานาจาวนํ คเหตพฺพ’’นฺติ คณฺฐิปเท วุตฺตํฯ
1299.Āsanaṃavicāletvāti nisajjāvasena phuṭṭhaṭṭhānaṃ acāletvā, anuṭṭhahitvāti vuttaṃ hoti. ‘‘Adinnādāne viya ṭhānācāvanaṃ gahetabba’’nti gaṇṭhipade vuttaṃ.
๑๓๐๐. ตโตติ ปวาริตกาลโต อุทฺธํ, ตโต นิสินฺนฎฺฐานโต วาฯ อิโต, เอโตฺต วาฯ อีสกมฺปิ สํสริตุนฺติ นิสินฺนฎฺฐานโต อิโต จิโต จ โถกมฺปิ สํสริตุํ, อปคนฺตุนฺติ อโตฺถฯ
1300.Tatoti pavāritakālato uddhaṃ, tato nisinnaṭṭhānato vā. Ito, etto vā. Īsakampi saṃsaritunti nisinnaṭṭhānato ito cito ca thokampi saṃsarituṃ, apagantunti attho.
๑๓๐๑. สพฺพตฺถาติ ปีฐกาทิสํหาริเม สพฺพสฺมิํ อาสเนฯ ‘‘วินยญฺญุนา’’ติ อิมินา ‘‘สเจ ปน นํ สห มเญฺจน อุกฺขิปิตฺวา อญฺญตฺร เนนฺติ, วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๘-๒๓๙) อฎฺฐกถายํ ‘‘ปีฐกาทีสุปิ อยเมว วินิจฺฉโย’’ติ วุตฺตภาวํ ชานเนฺตนาติ วุตฺตํ โหติฯ
1301.Sabbatthāti pīṭhakādisaṃhārime sabbasmiṃ āsane. ‘‘Vinayaññunā’’ti iminā ‘‘sace pana naṃ saha mañcena ukkhipitvā aññatra nenti, vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 238-239) aṭṭhakathāyaṃ ‘‘pīṭhakādīsupi ayameva vinicchayo’’ti vuttabhāvaṃ jānantenāti vuttaṃ hoti.
๑๓๐๒. นิปชฺชิตฺวาติ เอตฺถ ‘‘ปริวตฺตเนฺตน เยน ปเสฺสน นิปโนฺน, ตสฺส ฐานํ นาติกฺกเมตพฺพ’’นฺติ วจนโต ปุพฺพสยิตฎฺฐานํ อวิชหิตฺวา สยิตฺวาเยวาติ อโตฺถฯ ตเถวาติ อุกฺกุฎิโก หุตฺวาวาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ตสฺส ปน เหฎฺฐา ปลาลปีฐํ วา กิญฺจิ วา นิสีทนกํ ทาตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๘-๒๓๙) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ
1302.Nipajjitvāti ettha ‘‘parivattantena yena passena nipanno, tassa ṭhānaṃ nātikkametabba’’nti vacanato pubbasayitaṭṭhānaṃ avijahitvā sayitvāyevāti attho. Tathevāti ukkuṭiko hutvāvāti vuttaṃ hoti. ‘‘Tassa pana heṭṭhā palālapīṭhaṃ vā kiñci vā nisīdanakaṃ dātabba’’nti (pāci. aṭṭha. 238-239) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.
๑๓๐๓. อติริตฺตํ กโรเนฺตน สิกฺขุนา ภาชนํ โอนเมตฺวาน โภชเน ทสฺสิเต อถ ‘‘อลเมตํ สพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพนฺติ โยชนาฯ ตตฺถ อติริตฺตํ กโรเนฺตนาติ ‘‘อติริตฺตํ นาม กปฺปิยกตํ โหติ, ปฎิคฺคหิตกตํ โหติ, อุจฺจาริตกตํ โหติ, หตฺถปาเส กตํ โหติ, ภุตฺตาวินา กตํ โหติ, ภุตฺตาวินา ปวาริเตน อาสนา อวุฎฺฐิเตน กตํ โหติ, ‘อลเมตํ สพฺพ’นฺติ วุตฺตํ โหติ, คิลานาติริตฺตํ โหตี’’ติ (ปาจิ. ๒๓๙) วุเตฺตสุ อฎฺฐสุ อากาเรสุ อนฺตํ วินา ปุริเมหิ สตฺตหิ วินยกมฺมากาเรหิ อติริตฺตํ กโรเนฺตนาติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘อิเมหิ สตฺตหิ วินยกมฺมากาเรหิ ยํ อติริตฺต’’นฺติอาทิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๘-๒๓๙)ฯ
1303. Atirittaṃ karontena sikkhunā bhājanaṃ onametvāna bhojane dassite atha ‘‘alametaṃ sabba’’nti vattabbanti yojanā. Tattha atirittaṃ karontenāti ‘‘atirittaṃ nāma kappiyakataṃ hoti, paṭiggahitakataṃ hoti, uccāritakataṃ hoti, hatthapāse kataṃ hoti, bhuttāvinā kataṃ hoti, bhuttāvinā pavāritena āsanā avuṭṭhitena kataṃ hoti, ‘alametaṃ sabba’nti vuttaṃ hoti, gilānātirittaṃ hotī’’ti (pāci. 239) vuttesu aṭṭhasu ākāresu antaṃ vinā purimehi sattahi vinayakammākārehi atirittaṃ karontenāti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘imehi sattahi vinayakammākārehi yaṃ atiritta’’ntiādi (pāci. aṭṭha. 238-239).
อิธ อติริตฺตํ กาตุํ อภิหฎโภชนํ กปฺปิยญฺจ นาม โหติ, กปฺปิยกเตน สิงฺคิเวรลสุณาทิวตฺถุนา ยุตฺตตาย จ อกปฺปิยมํสาภาเวน จ กุลทูสนาทีหิ อนุปฺปนฺนภาเวน จ กตญฺจ นาม โหติฯ ‘‘อลเมตํ สพฺพ’’นฺติ อติริตฺตกตภาวโต เอวํ กปฺปิยญฺจ ตํ กตํ จาติ กปฺปิยกตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอวมุปริปิ กต-สทฺทสฺส อโตฺถ จ สมาสวิคฺคโห จ เวทิตโพฺพ ฯ อวสิฎฺฐปเทสุ ภิกฺขุนา ปฎิคฺคหิตํ ปฎิคฺคหิตํ นามฯ ตํ การาเปตฺวา อาคเตน ภิกฺขุนา โถกํ อุจฺจาเรตฺวา, โอตาเรตฺวา วา ทสฺสิตํ อุจฺจาริตกตํ นามฯ กปฺปิยํ การาเปตุมาคตสฺส อฑฺฒเตยฺยหตฺถปฺปมาณหตฺถปาสพฺภนฺตรคเตน อติริตฺตกตํ ‘‘หตฺถปาเส กต’’นฺติ วุจฺจติฯ อนฺตมโส ปวารณชนกํ ยํ กิญฺจิ โภชนํ กุสเคฺคนาปิ คเหตฺวา ภุตฺตตฺตา ภุตฺตาวินาฯ ยถาห ‘‘ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตรํ โภชนํ อนฺตมโส กุสเคฺคนาปิ ภุตฺตํ โหตี’’ติฯ ภุญฺชโนฺต ปวาริโต หุตฺวา โย อาสนํ น โกเปติ, โส ภุตฺตาวี ปวาริโต ‘‘อาสนา อวุฎฺฐิโต’’ติ วุจฺจติ, เตน กตํ ‘‘ภุตฺตาวินา…เป.… อวุฎฺฐิเตน กต’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘อลเมตํ สพฺพ’’นฺติ วจีเภทํ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘อลเมตํ สพฺพนฺติ วุตฺตํ โหตี’’ติ ทสฺสิตํฯ อยํ สตฺตวิโธ วินยกมฺมากาโร นามฯ
Idha atirittaṃ kātuṃ abhihaṭabhojanaṃ kappiyañca nāma hoti, kappiyakatena siṅgiveralasuṇādivatthunā yuttatāya ca akappiyamaṃsābhāvena ca kuladūsanādīhi anuppannabhāvena ca katañca nāma hoti. ‘‘Alametaṃ sabba’’nti atirittakatabhāvato evaṃ kappiyañca taṃ kataṃ cāti kappiyakatanti vuttaṃ hoti. Evamuparipi kata-saddassa attho ca samāsaviggaho ca veditabbo . Avasiṭṭhapadesu bhikkhunā paṭiggahitaṃ paṭiggahitaṃ nāma. Taṃ kārāpetvā āgatena bhikkhunā thokaṃ uccāretvā, otāretvā vā dassitaṃ uccāritakataṃ nāma. Kappiyaṃ kārāpetumāgatassa aḍḍhateyyahatthappamāṇahatthapāsabbhantaragatena atirittakataṃ ‘‘hatthapāse kata’’nti vuccati. Antamaso pavāraṇajanakaṃ yaṃ kiñci bhojanaṃ kusaggenāpi gahetvā bhuttattā bhuttāvinā. Yathāha ‘‘pañcannaṃ bhojanānaṃ aññataraṃ bhojanaṃ antamaso kusaggenāpi bhuttaṃ hotī’’ti. Bhuñjanto pavārito hutvā yo āsanaṃ na kopeti, so bhuttāvī pavārito ‘‘āsanā avuṭṭhito’’ti vuccati, tena kataṃ ‘‘bhuttāvinā…pe… avuṭṭhitena kata’’nti vuttaṃ. ‘‘Alametaṃ sabba’’nti vacībhedaṃ katvā vuttaṃ ‘‘alametaṃ sabbanti vuttaṃ hotī’’ti dassitaṃ. Ayaṃ sattavidho vinayakammākāro nāma.
คิลานาติริตฺตกํ ปน อิมิสฺสา คาถาย อวุตฺตมฺปิ อนติริตฺตสนฺทสฺสนตฺถํ วกฺขมานาย ‘‘กต’’นฺติอาทิคาถาย ‘‘น คิลานาติริตฺตญฺจา’’ติ อิมสฺส วิปริยายโต เวทิตพฺพํฯ คิลานโต อติริตฺตํ, ตสฺส อญฺญทิเนสุ ภุญฺชนตฺถาย อุปฎฺฐาปิตมฺปิ คิลานาติริตฺตํ นามฯ
Gilānātirittakaṃ pana imissā gāthāya avuttampi anatirittasandassanatthaṃ vakkhamānāya ‘‘kata’’ntiādigāthāya ‘‘na gilānātirittañcā’’ti imassa vipariyāyato veditabbaṃ. Gilānato atirittaṃ, tassa aññadinesu bhuñjanatthāya upaṭṭhāpitampi gilānātirittaṃ nāma.
‘‘เตน ภิกฺขุนา’’ติ อิมินา ‘‘ภุตฺตาวินา’’ติ จ ‘‘ภุตฺตาวินา ปวาริเตน อาสนา วุฎฺฐิเตนา’’ติ จ วุตฺตปฺปกาเรน วิสิฎฺฐํ เตเนว ปากฎํ ภิกฺขุํ ปรามสติ, ปวารณชนกานํ ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตรํ อปฺปมตฺตกมฺปิ ภุตฺตาวินา, ภุตฺตาวี ปวาริโตปิ หุตฺวา อาสนา อวุฎฺฐิเตน วา ภิกฺขุนาติ วุตฺตํ โหติฯ โอนมิตฺวาน ภาชเนติ เอตฺถ ‘‘ทสฺสิเต โภชเน’’ติ เสโส, ‘‘อถา’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ กปฺปิยกรณารหานิ สิงฺคิเวราทีนิ กปฺปิยํ กาเรตฺวา ปฎิคฺคหาเปตฺวา อาคนฺตฺวา หตฺถปาสพฺภนฺตเร ปตฺวา อติริตฺตํ การาเปเนฺตน ภิกฺขุนา ภาชนํ โถกํ โอนาเมตฺวา อุจฺจาเรตฺวา ทสฺสิตกาลานนฺตราติ วุตฺตํ โหติฯ อุตฺตริ กาตพฺพํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อล’’นฺติอาทิฯ
‘‘Tena bhikkhunā’’ti iminā ‘‘bhuttāvinā’’ti ca ‘‘bhuttāvinā pavāritena āsanā vuṭṭhitenā’’ti ca vuttappakārena visiṭṭhaṃ teneva pākaṭaṃ bhikkhuṃ parāmasati, pavāraṇajanakānaṃ pañcannaṃ bhojanānaṃ aññataraṃ appamattakampi bhuttāvinā, bhuttāvī pavāritopi hutvā āsanā avuṭṭhitena vā bhikkhunāti vuttaṃ hoti. Onamitvāna bhājaneti ettha ‘‘dassite bhojane’’ti seso, ‘‘athā’’ti iminā sambandho. Kappiyakaraṇārahāni siṅgiverādīni kappiyaṃ kāretvā paṭiggahāpetvā āgantvā hatthapāsabbhantare patvā atirittaṃ kārāpentena bhikkhunā bhājanaṃ thokaṃ onāmetvā uccāretvā dassitakālānantarāti vuttaṃ hoti. Uttari kātabbaṃ dassetumāha ‘‘ala’’ntiādi.
เอตฺตาวตา ‘‘เตน ภิกฺขุนา’’ติ อิมินา ‘‘ภุตฺตาวินา กตํ, ภุตฺตาวินา ปวาริเตน อาสนา อวุฎฺฐิเตน กต’’นฺติ องฺคทฺวยํ สงฺคหิตํฯ ‘‘โอนเมตฺวาน ภาชน’’นฺติ อิมินา ‘‘อุจฺจาริตกตํ โหตี’’ติ อิทํ สงฺคหิตํฯ ‘‘กปฺปิยกตํ, ปฎิคฺคหิตกตํ, หตฺถปาเสกต’’นฺติ อิทํ ตยํ อนนฺตริยวาจินา อถ-สเทฺทน สงฺคหิตํฯ ‘‘อลเมตํ สพฺพ’’นฺติ อิทํ ปเนตฺถ สรูเปเนว ทสฺสิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Ettāvatā ‘‘tena bhikkhunā’’ti iminā ‘‘bhuttāvinā kataṃ, bhuttāvinā pavāritena āsanā avuṭṭhitena kata’’nti aṅgadvayaṃ saṅgahitaṃ. ‘‘Onametvāna bhājana’’nti iminā ‘‘uccāritakataṃ hotī’’ti idaṃ saṅgahitaṃ. ‘‘Kappiyakataṃ, paṭiggahitakataṃ, hatthapāsekata’’nti idaṃ tayaṃ anantariyavācinā atha-saddena saṅgahitaṃ. ‘‘Alametaṃ sabba’’nti idaṃ panettha sarūpeneva dassitanti daṭṭhabbaṃ.
๑๓๐๔. ปเตฺต ฐิตโภชนเมว อติริตฺตํ กาตพฺพนฺติ นตฺถิ, ปจฺฉิอาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ ภาชเน ฐิตมฺปิ กาตพฺพนฺติ ทเสฺสตุมาห ‘‘กปฺปิยํ ปนา’’ติฯ กุเณฺฑติ ภณฺฑุกฺขลิยํฯ ภาชเนติ ยํ กิญฺจิ ภาชนํ คหิตํฯ
1304. Patte ṭhitabhojanameva atirittaṃ kātabbanti natthi, pacchiādīsu yattha katthaci bhājane ṭhitampi kātabbanti dassetumāha ‘‘kappiyaṃ panā’’ti. Kuṇḍeti bhaṇḍukkhaliyaṃ. Bhājaneti yaṃ kiñci bhājanaṃ gahitaṃ.
๑๓๐๕. เอตนฺติ อติริตฺตกตํ เอตํ โภชนํฯ ตํ เอกเมว ฐเปตฺวาติ โยชนาฯ ‘‘วฎฺฎเตวา’’ติ วุเตฺตปิ อพฺภงฺคาทีนมตฺถายาติ คเณฺหยฺยุนฺติ อาห ‘‘ภุญฺชิตพฺพ’’นฺติ, ตเมกํ วินา ปเรหิ ปริภุญฺชิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ
1305.Etanti atirittakataṃ etaṃ bhojanaṃ. Taṃ ekameva ṭhapetvāti yojanā. ‘‘Vaṭṭatevā’’ti vuttepi abbhaṅgādīnamatthāyāti gaṇheyyunti āha ‘‘bhuñjitabba’’nti, tamekaṃ vinā parehi paribhuñjitabbanti attho.
๑๓๐๖-๗. กปฺปิยํ กาเรตฺวาติ อติริตฺตํ กาเรตฺวาฯ อากิรนฺติ เจติ ยทิ ปกฺขิปนฺติฯ ปุน ตถา อติริตฺตํ กาเรตฺวา ภุญฺชิตพฺพนฺติ โยชนาฯ
1306-7.Kappiyaṃ kāretvāti atirittaṃ kāretvā. Ākiranti ceti yadi pakkhipanti. Puna tathā atirittaṃ kāretvā bhuñjitabbanti yojanā.
ตํ เกน อติริตฺตํ กาตพฺพนฺติ อาห ‘‘เยนา’’ติอาทิฯ ตนฺติ อติริตฺตกตํ โภชนํฯ เยน อกตนฺติ เยน ภิกฺขุนา ปฐมํ อติริตฺตํ น กตํ, เตน กาตพฺพนฺติ สมฺพโนฺธฯ ยถาห ‘‘เยน อกตนฺติ อเญฺญน ภิกฺขุนา เยน ปฐมํ น กตํ, เตน กาตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๘-๒๓๙)ฯ ยํ วา อกตํ, ตํ วิสุํ เตน วา กาตพฺพนฺติ โยชนาฯ ยํ วา อกตนฺติ ตสฺมิํ อติริตฺตกตโภชเน อปกฺขิตฺตํ ยํ โภชนํ อติริตฺตํ น กตํฯ ตํ วิสุํ เตน วา กาตพฺพนฺติ ปจฺฉา ปกฺขิตฺตํ โภชนํ อติริตฺตํ กเตน ยถา อมิสฺสํ โหติ, ตถา อญฺญสฺส ภาชนสฺส คหณวเสน วิสุํ กาเรตฺวา เตน ปฐมํ กตาติริเตฺตนาปิ อติริตฺตํ กาตพฺพํฯ ยถาห – ‘‘ยญฺจ อกตนฺติ เยน ปฐมํ กปฺปิยํ กตํ, เตนาปิ ยํ อกตํ, ตํ กาตพฺพํฯ ปฐมภาชเน ปน กาตุํ น ลพฺภติฯ ตตฺถ หิ กริยมานํ ปฐมํ กเตน สทฺธิํ กตํ โหติ, ตสฺมา อญฺญสฺมิํ ภาชเน กาตุํ วฎฺฎตีติ อธิปฺปาโย’’ติฯ
Taṃ kena atirittaṃ kātabbanti āha ‘‘yenā’’tiādi. Tanti atirittakataṃ bhojanaṃ. Yena akatanti yena bhikkhunā paṭhamaṃ atirittaṃ na kataṃ, tena kātabbanti sambandho. Yathāha ‘‘yena akatanti aññena bhikkhunā yena paṭhamaṃ na kataṃ, tena kātabba’’nti (pāci. aṭṭha. 238-239). Yaṃ vā akataṃ, taṃ visuṃ tena vā kātabbanti yojanā. Yaṃ vā akatanti tasmiṃ atirittakatabhojane apakkhittaṃ yaṃ bhojanaṃ atirittaṃ na kataṃ. Taṃ visuṃ tena vā kātabbanti pacchā pakkhittaṃ bhojanaṃ atirittaṃ katena yathā amissaṃ hoti, tathā aññassa bhājanassa gahaṇavasena visuṃ kāretvā tena paṭhamaṃ katātirittenāpi atirittaṃ kātabbaṃ. Yathāha – ‘‘yañca akatanti yena paṭhamaṃ kappiyaṃ kataṃ, tenāpi yaṃ akataṃ, taṃ kātabbaṃ. Paṭhamabhājane pana kātuṃ na labbhati. Tattha hi kariyamānaṃ paṭhamaṃ katena saddhiṃ kataṃ hoti, tasmā aññasmiṃ bhājane kātuṃ vaṭṭatīti adhippāyo’’ti.
๑๓๐๘. อกปฺปิยาทีหิ สตฺตหีติ ‘‘อนติริตฺตํ นาม อกปฺปิยกตํ โหติ, อปฺปฎิคฺคหิตกตํ โหติ, อนุจฺจาริตกตํ โหติ, อหตฺถปาเส กตํ โหติ, อภุตฺตาวินา กตํ โหติ, ภุตฺตาวินา จ ปวาริเตน อาสนา วุฎฺฐิเตน กตํ โหติ, ‘อลเมตํ สพฺพ’นฺติ อวุตฺตํ โหตี’’ติ (ปาจิ. ๒๓๙) วุเตฺตหิ สตฺตหิ วินยกมฺมากาเรหิฯ อติริตฺตํ กตนฺติ โยชนาฯ ‘‘โหติ อนติริตฺตก’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ
1308.Akappiyādīhisattahīti ‘‘anatirittaṃ nāma akappiyakataṃ hoti, appaṭiggahitakataṃ hoti, anuccāritakataṃ hoti, ahatthapāse kataṃ hoti, abhuttāvinā kataṃ hoti, bhuttāvinā ca pavāritena āsanā vuṭṭhitena kataṃ hoti, ‘alametaṃ sabba’nti avuttaṃ hotī’’ti (pāci. 239) vuttehi sattahi vinayakammākārehi. Atirittaṃ katanti yojanā. ‘‘Hoti anatirittaka’’nti padacchedo.
๑๓๐๙. อุปกฎฺฐเวลายปิ อติริตฺตํ กโรเนฺตน ‘‘อหํ ปาโตว ภุญฺชิ’’นฺติ วา ‘‘โถกํ ปริภุญฺชิ’’นฺติ วา อจิเนฺตตฺวา กาตพฺพนฺติ ทเสฺสตุมาห ‘‘โยปี’’ติอาทิฯ อุปกฎฺฐูปนีตมฺปีติ อุปกฎฺฐเวลาย อุปนีตมฺปิ โภชนํฯ
1309. Upakaṭṭhavelāyapi atirittaṃ karontena ‘‘ahaṃ pātova bhuñji’’nti vā ‘‘thokaṃ paribhuñji’’nti vā acintetvā kātabbanti dassetumāha ‘‘yopī’’tiādi. Upakaṭṭhūpanītampīti upakaṭṭhavelāya upanītampi bhojanaṃ.
๑๓๑๐. ยามาทิกาลิกนฺติ ยามสตฺตาหยาวชีวิกกาลิกํฯ อนามิสฺสนฺติ อามิเสน อมิสฺสํฯ ตํ ยามาทิกาลิกํ ปริภุญฺชโตติ สมฺพโนฺธฯ
1310.Yāmādikālikanti yāmasattāhayāvajīvikakālikaṃ. Anāmissanti āmisena amissaṃ. Taṃ yāmādikālikaṃ paribhuñjatoti sambandho.
๑๓๑๒. คิลานสฺส ภุตฺตาติริตฺตํ วิย กทาจิ ภุญฺชิสฺสตีติ อุทฺทิสฺส ฐปิตมฺปิ คิลานาติริตฺตํ นามาติ อฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๘-๒๓๙ อตฺถโต สมานํ) วุตฺตํฯ ‘‘วิหาราทีสุ คิลานสฺส ปาปุณนโกฎฺฐาสมฺปิ คิลานาติริตฺตํ นามา’’ติ วทนฺติฯ
1312. Gilānassa bhuttātirittaṃ viya kadāci bhuñjissatīti uddissa ṭhapitampi gilānātirittaṃ nāmāti aṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 238-239 atthato samānaṃ) vuttaṃ. ‘‘Vihārādīsu gilānassa pāpuṇanakoṭṭhāsampi gilānātirittaṃ nāmā’’ti vadanti.
๑๓๑๓. กถิเนนาติ ปฐมกถิเนนฯ
1313.Kathinenāti paṭhamakathinena.
ปฐมปวารณกถาวณฺณนาฯ
Paṭhamapavāraṇakathāvaṇṇanā.
๑๓๑๔. อนติริเตฺตนาติ เอตฺถ ‘‘ขาทนีเยน วา โภชนีเยน วา’’ติ เสโสฯ เอตฺถ ‘‘ขาทนียํ นาม ปญฺจโภชนานิ ยามกาลิกํ สตฺตาหกาลิกํ ยาวชีวิกํ ฐเปตฺวา อวเสส’’นฺติ (ปาจิ. ๒๓๙) วุตฺตํ ปญฺจโภชนโต อญฺญํ สพฺพํ ยาวกาลิกํ ขาทนียํ นามฯ ‘‘โภชนียํ นาม ปญฺจ โภชนานิ โอทโน กุมฺมาโส สตฺตุ มโจฺฉ มํส’’นฺติ (ปาจิ. ๒๓๙) วุตฺตํฯ เอตฺถ วินิจฺฉโย อนนฺตรสิกฺขาปเท วุโตฺตฯ ปวาเรยฺยาติ เอตฺถ ‘‘อภิหฎฺฐุ’’นฺติ เสโสฯ อภิหฎฺฐุํ ปวาเรยฺยาติ อภิหริตฺวา ‘‘หนฺท ภิกฺขุ ยาวตกํ อิจฺฉสิ, ตาวตกํ คเหตฺวา ขาท วา ภุญฺช วา’’ติ เอวํ ปวาเรยฺยฯ ‘‘ปวาริต’’นฺติปทํ วุตฺตตฺถเมวฯ ชานนฺติ สุตฺวา วา ทิสฺวา วา ตสฺส ปวาริตภาวํ ชานโนฺตฯ อาสาทนาเปโกฺขติ อาสาทนํ โจทนํ มงฺกุกรณภาวํ อเปกฺขมาโนฯ ภุเตฺตติ ตสฺส ปโยเคน อิตเรน ภุญฺชิตฺวา ปริโยสาปิเตฯ ตสฺสาติ โย ตสฺส ปวาริตภาวํ ญตฺวา ‘‘ภุญฺชา’’ติ นิโยเชสิ, ตสฺสฯ
1314.Anatirittenāti ettha ‘‘khādanīyena vā bhojanīyena vā’’ti seso. Ettha ‘‘khādanīyaṃ nāma pañcabhojanāni yāmakālikaṃ sattāhakālikaṃ yāvajīvikaṃ ṭhapetvā avasesa’’nti (pāci. 239) vuttaṃ pañcabhojanato aññaṃ sabbaṃ yāvakālikaṃ khādanīyaṃ nāma. ‘‘Bhojanīyaṃ nāma pañca bhojanāni odano kummāso sattu maccho maṃsa’’nti (pāci. 239) vuttaṃ. Ettha vinicchayo anantarasikkhāpade vutto. Pavāreyyāti ettha ‘‘abhihaṭṭhu’’nti seso. Abhihaṭṭhuṃ pavāreyyāti abhiharitvā ‘‘handa bhikkhu yāvatakaṃ icchasi, tāvatakaṃ gahetvā khāda vā bhuñja vā’’ti evaṃ pavāreyya. ‘‘Pavārita’’ntipadaṃ vuttatthameva. Jānanti sutvā vā disvā vā tassa pavāritabhāvaṃ jānanto. Āsādanāpekkhoti āsādanaṃ codanaṃ maṅkukaraṇabhāvaṃ apekkhamāno. Bhutteti tassa payogena itarena bhuñjitvā pariyosāpite. Tassāti yo tassa pavāritabhāvaṃ ñatvā ‘‘bhuñjā’’ti niyojesi, tassa.
๑๓๑๕-๖. เอกสฺส ภุญฺชเนน อญฺญสฺส ปาจิตฺติ โหตีติ กถเมตนฺติ อาสงฺกาย ตถา วุตฺตตฺตา ปริหริตุมาห ‘‘ทุกฺกฎํ…เป.… ทสฺสิต’’นฺติฯ อิตรสฺส คหเณติ ปวาริตภิกฺขุโน ภุญฺชนตฺถาย ปฎิคฺคหเณฯ อโชฺฌหารปโยเคสุ จาติ เอตฺถาปิ ‘‘อิตรสฺสา’’ติ สมฺพโนฺธฯ สพฺพํ ทุกฺกฎํ, ปาจิตฺติยญฺจฯ ทสฺสิตนฺติ ‘‘อภิหรติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ตสฺส วจเนน ‘ขาทิสฺสามิ ภุญฺชิสฺสามี’ติ ปฎิคฺคณฺหาติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อโชฺฌหาเร อโชฺฌหาเร อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ โภชนปริโยสาเน อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๒๔๔) เทสิตํ ภควตาติ อโตฺถฯ
1315-6. Ekassa bhuñjanena aññassa pācitti hotīti kathametanti āsaṅkāya tathā vuttattā pariharitumāha ‘‘dukkaṭaṃ…pe… dassita’’nti. Itarassa gahaṇeti pavāritabhikkhuno bhuñjanatthāya paṭiggahaṇe. Ajjhohārapayogesu cāti etthāpi ‘‘itarassā’’ti sambandho. Sabbaṃ dukkaṭaṃ, pācittiyañca. Dassitanti ‘‘abhiharati, āpatti dukkaṭassa. Tassa vacanena ‘khādissāmi bhuñjissāmī’ti paṭiggaṇhāti, āpatti dukkaṭassa. Ajjhohāre ajjhohāre āpatti dukkaṭassa. Bhojanapariyosāne āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 244) desitaṃ bhagavatāti attho.
๑๓๑๗. อุภยตฺถาปิ วิมติสฺสาติ ปวาริเต จ อปวาริเต จ วิมติสฺสฯ ทุกฺกฎํ ปริทีปิตนฺติ ‘‘ปวาริเต เวมติโกฯ อปฺปวาริเต เวมติโก, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๒๔๕) เทสิตํฯ
1317.Ubhayatthāpi vimatissāti pavārite ca apavārite ca vimatissa. Dukkaṭaṃ paridīpitanti ‘‘pavārite vematiko. Appavārite vematiko, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 245) desitaṃ.
๑๓๑๘. การาเปตฺวาติ เอตฺถ ‘‘ภุญฺชาหี’’ติ เสโสฯ อญฺญสฺสตฺถายาติ เอตฺถ ‘‘อภิหรโนฺต คจฺฉาหี’’ติ เสโสฯ
1318.Kārāpetvāti ettha ‘‘bhuñjāhī’’ti seso. Aññassatthāyāti ettha ‘‘abhiharanto gacchāhī’’ti seso.
๑๓๑๙. โอมสวาทตุลฺยาวาติ อิทํ อทินฺนาทานสมุฎฺฐานํ สนฺธายาหฯ
1319.Omasavādatulyāvāti idaṃ adinnādānasamuṭṭhānaṃ sandhāyāha.
ทุติยปวารณกถาวณฺณนาฯ
Dutiyapavāraṇakathāvaṇṇanā.
๑๓๒๐. ขาทนียํ วาติ ปญฺจ โภชนานิ จ กาลิกตฺตยญฺจ วินา อวเสเสสุ ยํ กิญฺจิ วาฯ โภชนียํ วาติ ปญฺจสุ โภชเนสุ อญฺญตรมฺปิฯ วิกาเลติ วิคเต กาเลฯ กาโล นาม อรุณุคฺคมนโต ยาว มชฺฌนฺติกา, ตทโญฺญ วิกาโลฯ ยถาห ‘‘วิกาโล นาม มชฺฌนฺติเก วีติวเตฺต ยาว อรุณุคฺคมนา’’ติ (ปาจิ. ๒๔๙)ฯ ฐิตมชฺฌนฺติโกปิ กาเลเยว สงฺคยฺหติฯ ยถาห ‘‘ฐิตมชฺฌนฺติโกปิ กาลสงฺคหํ คจฺฉติฯ ตโต ปฎฺฐาย ปน ขาทิตุํ วา ภุญฺชิตุํ วา น สกฺกา, สหสา ปิวิตุํ ปน สกฺกา ภเวยฺยฯ กุกฺกุจฺจเกน ปน น กาตพฺพํฯ กาลปริเจฺฉทชานนตฺถญฺจ กาลตฺถโมฺภ โยเชตโพฺพ, กาลพฺภนฺตเรว ภตฺตกิจฺจํ กาตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๔๘-๒๔๙)ฯ โทสนฺติ ปาจิตฺติยํฯ
1320.Khādanīyaṃ vāti pañca bhojanāni ca kālikattayañca vinā avasesesu yaṃ kiñci vā. Bhojanīyaṃ vāti pañcasu bhojanesu aññatarampi. Vikāleti vigate kāle. Kālo nāma aruṇuggamanato yāva majjhantikā, tadañño vikālo. Yathāha ‘‘vikālo nāma majjhantike vītivatte yāva aruṇuggamanā’’ti (pāci. 249). Ṭhitamajjhantikopi kāleyeva saṅgayhati. Yathāha ‘‘ṭhitamajjhantikopi kālasaṅgahaṃ gacchati. Tato paṭṭhāya pana khādituṃ vā bhuñjituṃ vā na sakkā, sahasā pivituṃ pana sakkā bhaveyya. Kukkuccakena pana na kātabbaṃ. Kālaparicchedajānanatthañca kālatthambho yojetabbo, kālabbhantareva bhattakiccaṃ kātabba’’nti (pāci. aṭṭha. 248-249). Dosanti pācittiyaṃ.
๑๓๒๑. ‘‘ขาทนียํ วา โภชนียํ วา’’ติ เอตฺถ โภชนียสฺส ปวารณสิกฺขาปเท ทสฺสิตสรูปตฺตา ขาทนียํ ตาว สรูปโต ทเสฺสตุมาห ‘‘ยมามิสคต’’นฺติอาทิฯ เอตฺถาติ เอเตสุ ขาทนียโภชนีเยสุฯ ยํ ปน วนมูลผลาทิกํ อามิสคตํ อามิเส ยาวกาลิเก ปริยาปนฺนํ, ตํ ขาทนียนฺติ โยชนาฯ กาลิเกสฺวสโมหตฺถนฺติ เอตฺถ คาถาพนฺธวเสน ม-การโลโป, อสโมฺมหตฺถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อิทนฺติ วกฺขมานํ สนฺธายาหฯ
1321. ‘‘Khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā’’ti ettha bhojanīyassa pavāraṇasikkhāpade dassitasarūpattā khādanīyaṃ tāva sarūpato dassetumāha ‘‘yamāmisagata’’ntiādi. Etthāti etesu khādanīyabhojanīyesu. Yaṃ pana vanamūlaphalādikaṃ āmisagataṃ āmise yāvakālike pariyāpannaṃ, taṃ khādanīyanti yojanā. Kālikesvasamohatthanti ettha gāthābandhavasena ma-kāralopo, asammohatthanti vuttaṃ hoti. Idanti vakkhamānaṃ sandhāyāha.
๑๓๒๒. มูลนฺติ ยํ กิญฺจิ รุกฺขลตานํ มูลํฯ กนฺทนฺติ รุกฺขลตานเมว กนฺทํฯ มุฬาลนฺติ ปทุมคจฺฉมูลกนฺทํฯ มตฺถกนฺติ ตาลนาฬิเกราทีนํ มตฺถกํ, เวฬุกฬีรปลฺลวงฺกุรานญฺจ เอเตฺถว สงฺคโหฯ ขนฺธกนฺติ อุจฺฉุอาทิขนฺธกํฯ ตจนฺติ ฉลฺลิฯ ปตฺตนฺติ ปณฺณํฯ ปุปฺผนฺติ กุสุมํฯ ผลนฺติ รุกฺขลตาทีนํ ผลํฯ อฎฺฐีติ รุกฺขลตาทิพีชํฯ ปิฎฺฐนฺติ ธญฺญาทิปิฎฺฐํฯ นิยฺยาสนฺติ สิเลสํฯ ‘‘ขาทนีย’’นฺติ สพฺพตฺถ ปกรณโต ลพฺภติฯ
1322.Mūlanti yaṃ kiñci rukkhalatānaṃ mūlaṃ. Kandanti rukkhalatānameva kandaṃ. Muḷālanti padumagacchamūlakandaṃ. Matthakanti tālanāḷikerādīnaṃ matthakaṃ, veḷukaḷīrapallavaṅkurānañca ettheva saṅgaho. Khandhakanti ucchuādikhandhakaṃ. Tacanti challi. Pattanti paṇṇaṃ. Pupphanti kusumaṃ. Phalanti rukkhalatādīnaṃ phalaṃ. Aṭṭhīti rukkhalatādibījaṃ. Piṭṭhanti dhaññādipiṭṭhaṃ. Niyyāsanti silesaṃ. ‘‘Khādanīya’’nti sabbattha pakaraṇato labbhati.
๑๓๒๓. เอวํ ขาทนียานํ มาติกํ นิกฺขิปิตฺวา เต สรูปโต ทเสฺสตุมาห ‘‘มูลขาทนียาทีน’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ รุกฺขมูลเมว ขาทนียํ, ตํ อาทิ เยสนฺติ วิคฺคโหฯ มุขมตฺตนิทสฺสนํ นิโพธถาติ เอตฺถ ‘‘มยา กริยมาน’’นฺติ เสโสฯ มุขมตฺตนฺติ ปเวสทฺวารมตฺตํ, นิรวเสสโต ทสฺสเน ปปญฺจภีรุกานํ ปุเพฺพ ภยํ โหตีติ สเงฺขปโต ขาทนียานิ ทสฺสิสฺสนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตถา ทสฺสเน ปโยชนมาห ‘‘นามเตฺถสุ ภิกฺขูนํ ปาฎวตฺถายา’’ติ, มูลขาทนียาทีนํ นาเมสุ จ ตทเตฺถสุ จ ภิกฺขูนํ ปาฎวุปฺปาทนตฺถนฺติ อโตฺถฯ
1323. Evaṃ khādanīyānaṃ mātikaṃ nikkhipitvā te sarūpato dassetumāha ‘‘mūlakhādanīyādīna’’ntiādi. Tattha rukkhamūlameva khādanīyaṃ, taṃ ādi yesanti viggaho. Mukhamattanidassanaṃ nibodhathāti ettha ‘‘mayā kariyamāna’’nti seso. Mukhamattanti pavesadvāramattaṃ, niravasesato dassane papañcabhīrukānaṃ pubbe bhayaṃ hotīti saṅkhepato khādanīyāni dassissanti vuttaṃ hoti. Tathā dassane payojanamāha ‘‘nāmatthesu bhikkhūnaṃ pāṭavatthāyā’’ti, mūlakhādanīyādīnaṃ nāmesu ca tadatthesu ca bhikkhūnaṃ pāṭavuppādanatthanti attho.
๑๓๒๔-๕. มูลกมูลาทีนิ อุปเทสโตเยว เวทิตพฺพานิฯ น หิ ตานิ ปริยายนฺตเรน วุจฺจมานานิปิ สกฺกา วิญฺญาตุํฯ ปริยายนฺตเรนปิ หิ วุจฺจมาเน ตํ ตํ นามํ อชานนฺตานํ สโมฺมโหเยว สิยา, ตสฺมา ตตฺถ น กิญฺจิ วกฺขามฯ สากานนฺติ สูเปยฺยปณฺณานํฯ อิธาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ อาหารตฺถนฺติ อาหาเรน กตฺตพฺพปโยชนํ, อาหารกิจฺจนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อามิสตฺถ’’นฺติปิ ลิขนฺติฯ ผรนฺตีติ วิตฺถาเรนฺติฯ
1324-5. Mūlakamūlādīni upadesatoyeva veditabbāni. Na hi tāni pariyāyantarena vuccamānānipi sakkā viññātuṃ. Pariyāyantarenapi hi vuccamāne taṃ taṃ nāmaṃ ajānantānaṃ sammohoyeva siyā, tasmā tattha na kiñci vakkhāma. Sākānanti sūpeyyapaṇṇānaṃ. Idhāti imasmiṃ sikkhāpade. Āhāratthanti āhārena kattabbapayojanaṃ, āhārakiccanti vuttaṃ hoti. ‘‘Āmisattha’’ntipi likhanti. Pharantīti vitthārenti.
๑๓๒๖. ชรฎฺฐนฺติ ปุราณกนฺทํฯ ยํ ตํ ชรฎฺฐนฺติ สมฺพโนฺธฯ เสสานํ ชรฎฺฐํ ยาวกาลิกนฺติ โยชนาฯ เสสานนฺติ มูลกาทีนิ วุตฺตานิฯ ยถาห ‘‘มูลกขารกชชฺฌรีมูลานํ ปน ชรฎฺฐานิปิ อามิสคติกาเนวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๔๘-๒๔๙)ฯ
1326.Jaraṭṭhanti purāṇakandaṃ. Yaṃ taṃ jaraṭṭhanti sambandho. Sesānaṃ jaraṭṭhaṃ yāvakālikanti yojanā. Sesānanti mūlakādīni vuttāni. Yathāha ‘‘mūlakakhārakajajjharīmūlānaṃ pana jaraṭṭhānipi āmisagatikānevā’’ti (pāci. aṭṭha. 248-249).
๑๓๓๑. โธโตติ นิพฺพตฺติตปิโฎฺฐฯ
1331.Dhototi nibbattitapiṭṭho.
๑๓๓๒. อโธโต ขีรวลฺลิยา กโนฺทติ โยชนาฯ วากฺยปถาตีตาติ ‘‘อสุโก วา อสุโก วา’’ติ วตฺวา ปริยนฺตํ ปาเปตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา วจนปถาตีตาฯ
1332. Adhoto khīravalliyā kandoti yojanā. Vākyapathātītāti ‘‘asuko vā asuko vā’’ti vatvā pariyantaṃ pāpetuṃ asakkuṇeyyattā vacanapathātītā.
๑๓๓๓. ปุณฺฑรีกํ เสตํฯ ปทุมํ รตฺตํฯ
1333.Puṇḍarīkaṃ setaṃ. Padumaṃ rattaṃ.
๑๓๓๔. สมฺภวํ ชาตํฯ
1334.Sambhavaṃ jātaṃ.
๑๓๓๘. ชรฎฺฐพุโนฺทติ กนฺทสฺส เหฎฺฐา อตีว ปริณตฎฺฐานํฯ
1338.Jaraṭṭhabundoti kandassa heṭṭhā atīva pariṇataṭṭhānaṃ.
๑๓๓๙. ปถวิยํ คโตติ อโนฺตปถวิยํ คโต, ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา คตตรุณทโณฺฑติ วุตฺตํ โหติฯ
1339.Pathaviyaṃ gatoti antopathaviyaṃ gato, pathaviyaṃ nimujjitvā gatataruṇadaṇḍoti vuttaṃ hoti.
๑๓๔๐. เอวํ อโนฺตภูมิยํ คโตฯ ‘‘ปณฺณทโณฺฑ อุปฺปลาทีน’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ สโพฺพติ ตรุโณปิ ปริณโตปิฯ อุปฺปลาทีนํ, ปทุมชาติยา จ สโพฺพ ปณฺณทโณฺฑ ยาวกาลิโกติ โยชนาฯ
1340. Evaṃ antobhūmiyaṃ gato. ‘‘Paṇṇadaṇḍo uppalādīna’’nti padacchedo. Sabboti taruṇopi pariṇatopi. Uppalādīnaṃ, padumajātiyā ca sabbo paṇṇadaṇḍo yāvakālikoti yojanā.
๑๓๔๕. ปตฺตขาทนียํนามาติ ปตฺตสงฺขาตํ ขาทนียํ นามฯ
1345.Pattakhādanīyaṃnāmāti pattasaṅkhātaṃ khādanīyaṃ nāma.
๑๓๔๘. มูลกาทีนนฺติ ‘‘มูลกํ ขารกเญฺจวา’’ติอาทิกาย คาถาย วุตฺตมูลกาทีนํฯ
1348.Mūlakādīnanti ‘‘mūlakaṃ khārakañcevā’’tiādikāya gāthāya vuttamūlakādīnaṃ.
๑๓๔๙. กณฺณิกาติ ปทุมกณฺณิกาฯ
1349.Kaṇṇikāti padumakaṇṇikā.
๑๓๖๐. เกตกาทีนนฺติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ติมฺพรุสกํ คหิตํฯ ตาลผลฎฺฐีติ ตรุณผลานํ อฎฺฐิฯ
1360.Ketakādīnanti ettha ādi-saddena timbarusakaṃ gahitaṃ. Tālaphalaṭṭhīti taruṇaphalānaṃ aṭṭhi.
๑๓๖๑. ‘‘ปุนฺนาคมธุกฎฺฐีนี’’ติ จ ‘‘ปุนฺนาคมธุกฎฺฐิจา’’ติ จ โปตฺถเกสุ อุภยถา ปาโฐ ทิสฺสติ, อโตฺถ ปน เอโกเยวฯ ‘‘เสลุ อฎฺฐี’’ติ ปทเจฺฉโทฯ อนามิเสติ ยาวชีวิเกฯ
1361.‘‘Punnāgamadhukaṭṭhīnī’’ti ca ‘‘punnāgamadhukaṭṭhicā’’ti ca potthakesu ubhayathā pāṭho dissati, attho pana ekoyeva. ‘‘Selu aṭṭhī’’ti padacchedo. Anāmiseti yāvajīvike.
๑๓๖๓. โธตํ ตาลปิฎฺฐนฺติ ตาลเผคฺคุํ โกเฎฺฎตฺวา อุทเก มทฺทิตฺวา ปริสฺสาเวตฺวา กลเล ภาชนตลํ โอติเณฺณ ปสโนฺนทกํ อปเนตฺวา คหิตตาลปิฎฺฐนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตถา ขีรวลฺลิยา ปิฎฺฐนฺติ โยชนา, ตเถว โกเฎฺฎตฺวา ปริสฺสาเวตฺวา คหิตขีรวลฺลิยา ปิฎฺฐนฺติ อโตฺถฯ
1363.Dhotaṃtālapiṭṭhanti tālaphegguṃ koṭṭetvā udake madditvā parissāvetvā kalale bhājanatalaṃ otiṇṇe pasannodakaṃ apanetvā gahitatālapiṭṭhanti vuttaṃ hoti. Tathā khīravalliyā piṭṭhanti yojanā, tatheva koṭṭetvā parissāvetvā gahitakhīravalliyā piṭṭhanti attho.
๑๓๖๔. อโธตํ วุตฺตวิปริยายโต คเหตพฺพํฯ ‘‘อาหารตฺถมสาเธนฺตํ, สพฺพํ ตํ ยาวชีวิก’’นฺติ วจนโต เตสุ เตสุ ชนปเทสุ มนุสฺสานํ อาหารกิจฺจํ อกโรนฺตํ มูลาทิ ยาวชีวิกํ, ตทญฺญํ ยาวกาลิกนฺติ สเงฺขปลกฺขณํ กาตพฺพนฺติฯ
1364.Adhotaṃ vuttavipariyāyato gahetabbaṃ. ‘‘Āhāratthamasādhentaṃ, sabbaṃ taṃ yāvajīvika’’nti vacanato tesu tesu janapadesu manussānaṃ āhārakiccaṃ akarontaṃ mūlādi yāvajīvikaṃ, tadaññaṃ yāvakālikanti saṅkhepalakkhaṇaṃ kātabbanti.
วิกาลโภชนกถาวณฺณนาฯ
Vikālabhojanakathāvaṇṇanā.
๑๓๖๙. โภชนํ สนฺนิธิํ กตฺวา ขาทนํ วาติ เอตฺถ โภชนขาทนียานิ ยถาวุตฺตเภทสรูปาเนวฯ สนฺนิธิํ กตฺวาติ ปฎิคฺคเหตฺวา เอกรตฺตมฺปิ อติกฺกาเมตฺวา, สนฺนิทหิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘ปฎิคฺคเหตฺวา เอกรตฺตมฺปิ วีตินามิตเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๕๓)ฯ ตเทว วกฺขติ ‘‘สย’’นฺติอาทินาฯ ขาทนนฺติ กมฺมสาธโนยํ, ‘‘ขชฺช’’นฺติ อิมินา สมานโตฺถฯ
1369.Bhojanaṃ sannidhiṃ katvā khādanaṃ vāti ettha bhojanakhādanīyāni yathāvuttabhedasarūpāneva. Sannidhiṃ katvāti paṭiggahetvā ekarattampi atikkāmetvā, sannidahitvāti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘paṭiggahetvā ekarattampi vītināmitassetaṃ adhivacana’’nti (pāci. aṭṭha. 253). Tadeva vakkhati ‘‘saya’’ntiādinā. Khādananti kammasādhanoyaṃ, ‘‘khajja’’nti iminā samānattho.
๑๓๗๑. ‘‘สนฺนิธิํ กตฺวา’’ติ เอตฺถ นิเทฺทสํ ทเสฺสตุมาห ‘‘สย’’นฺติอาทิฯ
1371. ‘‘Sannidhiṃ katvā’’ti ettha niddesaṃ dassetumāha ‘‘saya’’ntiādi.
๑๓๗๒. ‘‘ตํ น วฎฺฎตี’’ติ เอตฺถ อตฺถํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ตโต’’ติอาทิฯ ตโตติ สนฺนิธิกตโภชนโตฯ สุทฺธจิเตฺตนาติ สวาสนสกลกิเลสปฺปหานโต นิมฺมลจิเตฺตนฯ ตาทินาติ อฎฺฐสุ โลกธเมฺมสุ นิพฺพิการภาเวน ตาทินาฯ อถ วา ยาทิสา ปุริมกา สมฺมาสมฺพุทฺธา รูปารูปคุเณหิ อเหสุํ, ตาทิเสน ภควตาฯ
1372. ‘‘Taṃ na vaṭṭatī’’ti ettha atthaṃ dassetumāha ‘‘tato’’tiādi. Tatoti sannidhikatabhojanato. Suddhacittenāti savāsanasakalakilesappahānato nimmalacittena. Tādināti aṭṭhasu lokadhammesu nibbikārabhāvena tādinā. Atha vā yādisā purimakā sammāsambuddhā rūpārūpaguṇehi ahesuṃ, tādisena bhagavatā.
๑๓๗๓. โอทนาทีสุ ปญฺจสุ โภชเนสุ ตาว อกปฺปิยมํเสน สนฺนิธิวเสน ปาจิตฺติยญฺจ อาปตฺติวิเสสญฺจ ทเสฺสตุมาห ‘‘อกปฺปิเยสู’’ติอาทิฯ ปาจิตฺตีติ สนฺนิธิปาจิตฺติยมาหฯ อิตเรติ สีหาทิมํสมฺหิฯ ทุกฺกเฎน สห ปาจิตฺตีติ โยชนาฯ
1373. Odanādīsu pañcasu bhojanesu tāva akappiyamaṃsena sannidhivasena pācittiyañca āpattivisesañca dassetumāha ‘‘akappiyesū’’tiādi. Pācittīti sannidhipācittiyamāha. Itareti sīhādimaṃsamhi. Dukkaṭena saha pācittīti yojanā.
๑๓๗๔. ยามกาลิกสงฺขาตํ ปริภุญฺชโตติ เอตฺถ ‘‘สนฺนิธิํ กตฺวา’’ติ อธิการโต ลพฺภติ ฯ ‘‘ทุกฺกเฎน สหา’’ติ อวตฺวา ‘‘ปาจิตฺตี’’ติ วุตฺตตฺตา สติ ปจฺจเย ปริภุญฺชโตติ คเหตพฺพํฯ ยถาห ‘‘ยามกาลิกํ สติ ปจฺจเย อโชฺฌหารโต ปาจิตฺติยํฯ อาหารตฺถาย อโชฺฌหารโต ทุกฺกเฎน สทฺธิํ ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๕๓)ฯ
1374.Yāmakālikasaṅkhātaṃ paribhuñjatoti ettha ‘‘sannidhiṃ katvā’’ti adhikārato labbhati . ‘‘Dukkaṭena sahā’’ti avatvā ‘‘pācittī’’ti vuttattā sati paccaye paribhuñjatoti gahetabbaṃ. Yathāha ‘‘yāmakālikaṃ sati paccaye ajjhohārato pācittiyaṃ. Āhāratthāya ajjhohārato dukkaṭena saddhiṃ pācittiya’’nti (pāci. aṭṭha. 253).
๑๓๗๕. อนฺนนฺติ เอตฺถาปิ ‘‘สนฺนิธิกต’’นฺติ อิทํ ปุเร วิย ลพฺภติ, ‘‘ปกติ’’นฺติ อิทํ ‘‘อนฺน’’นฺติ เอตสฺส วิเสสนํ, มนุสฺสมํสาทีหิ อสมฺมิสฺสํ นาติริตฺตกตํ อนฺนมตฺตนฺติ อโตฺถฯ ปาจิตฺติยทฺวยนฺติ อนติริตฺตปจฺจยา จ สนฺนิธิปจฺจยา จ เทฺว ปาจิตฺติยานิฯ
1375. Annanti etthāpi ‘‘sannidhikata’’nti idaṃ pure viya labbhati, ‘‘pakati’’nti idaṃ ‘‘anna’’nti etassa visesanaṃ, manussamaṃsādīhi asammissaṃ nātirittakataṃ annamattanti attho. Pācittiyadvayanti anatirittapaccayā ca sannidhipaccayā ca dve pācittiyāni.
๑๓๗๖. ‘‘เทฺว , ทฺวย’’นฺติ อุภยตฺถาปิ อยเมวโตฺถฯ
1376. ‘‘Dve , dvaya’’nti ubhayatthāpi ayamevattho.
๑๓๗๗. สามิเสน มุเขน เทฺวติ เอตฺถ ‘‘ปญฺจ โภชนานิ ยามกาลิกํ สตฺตาหกาลิกํ ยาวชีวิกํ ฐเปตฺวา อวเสสํ ขาทนียํ นามา’’ติ (ปาจิ. ๒๕๔) วุตฺตตฺตา ขาทนียาสงฺคหิเตน ยามกาลิเกน จ เตน สมฺมิสฺสตฺตา สนฺนิธินาเมน มุขคตอามิสมูลเกน จ สนฺนิธิปาจิตฺติยานิ เทฺว โหนฺตีติ อโตฺถฯ สามิเสน มุเขนาติ อุปลกฺขณตฺตา ยถากถญฺจิ อามิเส มิสฺสีภูเต เอตฺตกา อาปตฺติโยติ ทฎฺฐพฺพํฯ นิรามิสํ ยามกาลิกํ ภุญฺชโต เอกเมว ปาจิตฺติยนฺติ โยชนา, เยน เกนจิ อากาเรน อสมฺมิสฺสํ ยามกาลิกํ ปริภุญฺชโต เอกเมว ปาจิตฺติยํ โหตีติ อโตฺถฯ
1377.Sāmisena mukhena dveti ettha ‘‘pañca bhojanāni yāmakālikaṃ sattāhakālikaṃ yāvajīvikaṃ ṭhapetvā avasesaṃ khādanīyaṃ nāmā’’ti (pāci. 254) vuttattā khādanīyāsaṅgahitena yāmakālikena ca tena sammissattā sannidhināmena mukhagataāmisamūlakena ca sannidhipācittiyāni dve hontīti attho. Sāmisena mukhenāti upalakkhaṇattā yathākathañci āmise missībhūte ettakā āpattiyoti daṭṭhabbaṃ. Nirāmisaṃ yāmakālikaṃ bhuñjato ekameva pācittiyanti yojanā, yena kenaci ākārena asammissaṃ yāmakālikaṃ paribhuñjato ekameva pācittiyaṃ hotīti attho.
๑๓๗๘. ตเมวาติ สนฺนิหิตเมว กาลิกํฯ เตสุ ทฺวีสุ วิกเปฺปสูติ สามิสนิรามิสวิกปฺปทฺวเยฯ เกวลํ ทุกฺกฎํ วฑฺฒตีติ ปฐมวิกเปฺป ทฺวีหิ ปาจิตฺติเยหิ สทฺธิํ ทุกฺกฎํ, ทุติยวิกเปฺป ปาจิตฺติเยน สทฺธิํ ทุกฺกฎํ โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
1378.Tamevāti sannihitameva kālikaṃ. Tesu dvīsu vikappesūti sāmisanirāmisavikappadvaye. Kevalaṃ dukkaṭaṃ vaḍḍhatīti paṭhamavikappe dvīhi pācittiyehi saddhiṃ dukkaṭaṃ, dutiyavikappe pācittiyena saddhiṃ dukkaṭaṃ hotīti vuttaṃ hoti.
๑๓๗๙. สุทฺธนฺติ เอตฺถ ‘‘สนฺนิธิกตํ โภชน’’นฺติ เสโสฯ อิทํ ‘‘ปกติโภชเน’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๕๓) อฎฺฐกถายํ, อิธ จ ‘‘น โทโส ยามกาลิเก’’ติ ยามกาลิกสฺส วิสุํ วกฺขมานตฺตา วิญฺญายติ, อกปฺปิยมํสยามกาลิเกหิ อมิสฺสํ โภชนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
1379.Suddhanti ettha ‘‘sannidhikataṃ bhojana’’nti seso. Idaṃ ‘‘pakatibhojane’’ti (pāci. aṭṭha. 253) aṭṭhakathāyaṃ, idha ca ‘‘na doso yāmakālike’’ti yāmakālikassa visuṃ vakkhamānattā viññāyati, akappiyamaṃsayāmakālikehi amissaṃ bhojananti vuttaṃ hoti.
๑๓๘๐. มํเสติ เอตฺถ ‘‘อกปฺปิเย’’ติ อิทํ ถุลฺลจฺจยาทิวจเนเนว ลพฺภติฯ วฑฺฒตีติ ปุเพฺพ วุเตฺตหิ ปาจิตฺติยทฺวเยหิ สทฺธิํ มนุสฺสมํเส ถุลฺลจฺจยญฺจ สีหาทิมํเส ทุกฺกฎญฺจ วฑฺฒติฯ มนุสฺสมํเส จ เสเส สีหมํสาทิเก อกปฺปิยมํเส จ ยถานุกฺกมโต ถุลฺลจฺจยเญฺจว ทุกฺกฎญฺจาติ ทฺวยํ วฑฺฒตีติ โยชนาฯ
1380.Maṃseti ettha ‘‘akappiye’’ti idaṃ thullaccayādivacaneneva labbhati. Vaḍḍhatīti pubbe vuttehi pācittiyadvayehi saddhiṃ manussamaṃse thullaccayañca sīhādimaṃse dukkaṭañca vaḍḍhati. Manussamaṃse ca sese sīhamaṃsādike akappiyamaṃse ca yathānukkamato thullaccayañceva dukkaṭañcāti dvayaṃ vaḍḍhatīti yojanā.
๑๓๘๑. อนติริตฺตมฺปิ โภชนํ วิกาเล ปริภุญฺชโต ภิกฺขุโน ตนฺนิมิตฺตโก โทโส ยถาวุเตฺตสุ สพฺพวิกเปฺปสุ นตฺถีติ โยชนาฯ ‘‘วิกาล…เป.… กาลิเก’’ติ ยามกาลิกสฺส วิสุํ วกฺขมานตฺตา จ อติริตฺตการาปนญฺจ โภชเนเยว สมฺภวตีติ อนติริตฺตนฺติ เอตฺถ ‘‘นิหิตโภชน’’นฺติ เสโสฯ ‘‘อนติริตฺตปจฺจยา ปน วิกาเล สพฺพวิกเปฺปสุ อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๕๓) อฎฺฐกถาวจนโต โทโสติ อนติริตฺตปจฺจยา ปาจิตฺติยมาหฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘ตนฺนิมิตฺตโก’’ติ, อนติริตฺตนิมิตฺตโกติ อโตฺถฯ สพฺพวิกเปฺปสูติ ‘‘สุทฺธํ วา มนุสฺสมํสมิสฺสํ วา สีหาทิมํสมิสฺสํ วา ยามกาลิกมิสฺสํ วา’’ติ สเพฺพสุ วิกเปฺปสุฯ ‘‘ตนฺนิมิตฺตโก’’ติ วจเนเนว วาริตวิกาลาทินิมิตฺตสฺส โทสสฺส สมฺภวํ ทเสฺสติฯ
1381.Anatirittampi bhojanaṃ vikāle paribhuñjato bhikkhuno tannimittako doso yathāvuttesu sabbavikappesu natthīti yojanā. ‘‘Vikāla…pe… kālike’’ti yāmakālikassa visuṃ vakkhamānattā ca atirittakārāpanañca bhojaneyeva sambhavatīti anatirittanti ettha ‘‘nihitabhojana’’nti seso. ‘‘Anatirittapaccayā pana vikāle sabbavikappesu anāpattī’’ti (pāci. aṭṭha. 253) aṭṭhakathāvacanato dosoti anatirittapaccayā pācittiyamāha. Teneva vakkhati ‘‘tannimittako’’ti, anatirittanimittakoti attho. Sabbavikappesūti ‘‘suddhaṃ vā manussamaṃsamissaṃ vā sīhādimaṃsamissaṃ vā yāmakālikamissaṃ vā’’ti sabbesu vikappesu. ‘‘Tannimittako’’ti vacaneneva vāritavikālādinimittassa dosassa sambhavaṃ dasseti.
๑๓๘๒-๓. วิกาลปจฺจยา วาติ เอตฺถ วา-สเทฺทน ‘‘อนติริตฺตปจฺจยา’’ติ อิทํ สมุจฺจิตํฯ อปิ-สโทฺท ‘‘ยามกาลิเกปี’’ติ โยเชตโพฺพฯ สตฺตาหกาลิกํ, ยาวชีวิกํ อาหารเสฺสว อตฺถาย ปฎิคฺคณฺหโต คหเณ, ยถาวุตฺตสฺส สตฺตาหกาลิกยาวชีวิกเภเทน ทุวิธสฺส ตุ อโชฺฌหารปโยเคสุ นิรามิเส วา ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ ตุ-สโทฺท เอว-การโตฺถฯ
1382-3.Vikālapaccayā vāti ettha vā-saddena ‘‘anatirittapaccayā’’ti idaṃ samuccitaṃ. Api-saddo ‘‘yāmakālikepī’’ti yojetabbo. Sattāhakālikaṃ, yāvajīvikaṃ āhārasseva atthāya paṭiggaṇhato gahaṇe, yathāvuttassa sattāhakālikayāvajīvikabhedena duvidhassa tu ajjhohārapayogesu nirāmise vā dukkaṭanti yojanā. Tu-saddo eva-kārattho.
๑๓๘๔. อถาติ วากฺยารเมฺภ นิปาโตฯ อามิสสํสฎฺฐํ สตฺตาหกาลิกํ, ยาวชีวิกํ วาติ โยชนาฯ คเหตฺวาติ ปฎิคฺคเหตฺวาฯ ฐปิตนฺติ อรุณํ อติกฺกาเมตฺวา ฐปิตํฯ ปาจิตฺตีติ สนฺนิธิปาจิตฺติฯ
1384.Athāti vākyārambhe nipāto. Āmisasaṃsaṭṭhaṃ sattāhakālikaṃ, yāvajīvikaṃ vāti yojanā. Gahetvāti paṭiggahetvā. Ṭhapitanti aruṇaṃ atikkāmetvā ṭhapitaṃ. Pācittīti sannidhipācitti.
๑๓๘๕. กาโลติ อรุณุคฺคมนาทิมชฺฌนฺติกาวสาโน กาโลฯ ยาโมติ มชฺฌนฺติกาทิทุติยอรุณุคฺคมนาวสาโนฯ ตํ ตํ กาลํ กาลิกํ อติกฺกามยโต ตุ โทโสติ โยชนาฯ ตุ-สโทฺท เอวการโตฺถฯ ตํ วา กาลิกนฺติ ยถากฺกมํ ยาวกาลิกํ ยามกาลิกํ สตฺตาหกาลิกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
1385.Kāloti aruṇuggamanādimajjhantikāvasāno kālo. Yāmoti majjhantikādidutiyaaruṇuggamanāvasāno. Taṃ taṃ kālaṃ kālikaṃ atikkāmayato tu dosoti yojanā. Tu-saddo evakārattho. Taṃ vā kālikanti yathākkamaṃ yāvakālikaṃ yāmakālikaṃ sattāhakālikanti vuttaṃ hoti.
๑๓๘๖. ยาวกาลิกํ อตฺตนา สมฺภินฺนานิ อิตรานิ ตีณิ กาลิกานิ อตฺตโนเยว สภาวํ อุปเนตีติ โยชนาฯ สโก ภาโว สภาโว, ตํฯ
1386. Yāvakālikaṃ attanā sambhinnāni itarāni tīṇi kālikāni attanoyeva sabhāvaṃ upanetīti yojanā. Sako bhāvo sabhāvo, taṃ.
๑๓๘๗-๘. เอวเมว วินิทฺทิเสติ ‘‘ปุริมํ ปุริมํ กาลิกํ อตฺตนา สมฺมิสฺสํ ปจฺฉิมํ ปจฺฉิมํ อตฺตโน สภาวเมว คาหาเปตี’’ติ กเถยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ
1387-8.Evamevaviniddiseti ‘‘purimaṃ purimaṃ kālikaṃ attanā sammissaṃ pacchimaṃ pacchimaṃ attano sabhāvameva gāhāpetī’’ti katheyyāti vuttaṃ hoti.
อิเมสูติอาทีสุ นิทฺธารเณ ภุมฺมํฯ อโนฺตวุตฺถํ โหตีติ อกปฺปิยกุฎิยํ ฐเปตฺวา อรุณุฎฺฐาปเนน อโนฺตวุตฺถํ นาม โหติฯ สนฺนิธิ จ โหตีติ ปฎิคฺคเหตฺวา ปฎิคฺคหณํ อวิชหิตฺวา อรุณุฎฺฐาปเนน สนฺนิธิ จ นาม โหติฯ โปตฺถเกสุ ‘‘สนฺนิธิ’’นฺติ สานุนาสิโก ปาโฐ ทิสฺสติ, ‘‘โหตี’’ติ กิริยาย สมฺพนฺธตฺตา สนฺนิธิ-สโทฺท ปฐเมกวจนโนฺตติ อนุนาสิโก อาคมสนฺธิโชติ เวทิตโพฺพฯ อุภยมฺปีติ ยถาวุตฺตํ อโนฺตวุตฺถํ, สนฺนิธิ จาติ อุภยมฺปิฯ น โหเตวาติ ปุริมกาลิกทฺวเยน อมิสฺสํ น โหเตวฯ
Imesūtiādīsu niddhāraṇe bhummaṃ. Antovutthaṃ hotīti akappiyakuṭiyaṃ ṭhapetvā aruṇuṭṭhāpanena antovutthaṃ nāma hoti. Sannidhi ca hotīti paṭiggahetvā paṭiggahaṇaṃ avijahitvā aruṇuṭṭhāpanena sannidhi ca nāma hoti. Potthakesu ‘‘sannidhi’’nti sānunāsiko pāṭho dissati, ‘‘hotī’’ti kiriyāya sambandhattā sannidhi-saddo paṭhamekavacanantoti anunāsiko āgamasandhijoti veditabbo. Ubhayampīti yathāvuttaṃ antovutthaṃ, sannidhi cāti ubhayampi. Na hotevāti purimakālikadvayena amissaṃ na hoteva.
๑๓๘๙. กปฺปิยกุฎินาเมน อกตํ, อสมฺมตํ, อปริคฺคหํ, ปาการาทีหิ ปริกฺขิตฺตํ เสนาสนํ อกปฺปิยกุฎิ นามาติ สเงฺขปโต คเหตพฺพํฯ อนฺตทฺวเยนาติ สตฺตาหกาลิกยาวชีวิเกน, สหเตฺถ กรณวจนํฯ ‘‘มิสฺสิต’’นฺติ เสโสฯ คหิตนฺติ ปฎิคฺคหิตํฯ ตํ ปุพฺพํ ทฺวยนฺติ ยาวกาลิกยามกาลิกทฺวยํฯ ปุริมกาลิกทฺวเย ยํ กิญฺจิ ตทหุปฎิคฺคหิตมฺปิ อกปฺปิยกุฎิยาเยว ฐเปตฺวา อรุณํ อุฎฺฐาปิเตน ปจฺฉิมกาลิกทฺวเย เยน เกนจิ สมฺมิสฺสํ อโนฺตวุตฺถํ นาม โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
1389. Kappiyakuṭināmena akataṃ, asammataṃ, apariggahaṃ, pākārādīhi parikkhittaṃ senāsanaṃ akappiyakuṭi nāmāti saṅkhepato gahetabbaṃ. Antadvayenāti sattāhakālikayāvajīvikena, sahatthe karaṇavacanaṃ. ‘‘Missita’’nti seso. Gahitanti paṭiggahitaṃ. Taṃ pubbaṃ dvayanti yāvakālikayāmakālikadvayaṃ. Purimakālikadvaye yaṃ kiñci tadahupaṭiggahitampi akappiyakuṭiyāyeva ṭhapetvā aruṇaṃ uṭṭhāpitena pacchimakālikadvaye yena kenaci sammissaṃ antovutthaṃ nāma hotīti vuttaṃ hoti.
๑๓๙๐. อโนฺตวุเตฺถน ปจฺฉิมกาลิกทฺวเยน สํสฎฺฐํ ยทิทํ ปุริมกาลิกทฺวยํ, อยํ มุขสนฺนิธิ นาม โหตีติ อฎฺฐกถายํ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๙๕ อตฺถโต สมานํ) วุตฺตํฯ มหาปจฺจริยํ ปน อโนฺตวุตฺถํ โหติ, น กปฺปติ อิติ ทฬฺหํ กตฺวา วุตฺตนฺติ โยชนาฯ
1390. Antovutthena pacchimakālikadvayena saṃsaṭṭhaṃ yadidaṃ purimakālikadvayaṃ, ayaṃ mukhasannidhi nāma hotīti aṭṭhakathāyaṃ (mahāva. aṭṭha. 295 atthato samānaṃ) vuttaṃ. Mahāpaccariyaṃ pana antovutthaṃ hoti, na kappati iti daḷhaṃ katvā vuttanti yojanā.
ตตฺถ ‘‘มุขสนฺนิธี’’ติ จ ‘‘อโนฺตวุตฺถ’’นฺติ จ นามมตฺตเมว นานากรณํ, โสเยวโตฺถติ อุภินฺนํ อฎฺฐกถาวจนานํ อนตฺถนฺตรตา เวทิตพฺพาฯ ตถา หิ มุข-สโทฺท อโนฺต-สทฺทปริยาโย, สนฺนิธิ-สโทฺท ปริวุตฺถ-สทฺทปริยาโยฯ มุเข สนฺนิธิ มุขสนฺนิธีติ กมฺมสาธนํฯ พหิ สนฺนิธินิวตฺตนตฺถํ อฎฺฐกถาสุ มุข-คฺคหณํ, อโนฺต-คหณญฺจ กตํฯ พหีติ จ ปฎิคฺคเหตฺวา อกปฺปิยกุฎิยา พหิ ยตฺถ กตฺถจิ ปริวุตฺถํ ปจฺฉิมกาลิกทฺวยํ ปุริเมน กาลิกทฺวเยน สํสฎฺฐํ อธิเปฺปตํฯ มุขสนฺนิธิอโนฺตวุตฺถปทานํ อนตฺถนฺตรภาโว สมนฺตปาสาทิกายํ วุโตฺตฯ
Tattha ‘‘mukhasannidhī’’ti ca ‘‘antovuttha’’nti ca nāmamattameva nānākaraṇaṃ, soyevatthoti ubhinnaṃ aṭṭhakathāvacanānaṃ anatthantaratā veditabbā. Tathā hi mukha-saddo anto-saddapariyāyo, sannidhi-saddo parivuttha-saddapariyāyo. Mukhe sannidhi mukhasannidhīti kammasādhanaṃ. Bahi sannidhinivattanatthaṃ aṭṭhakathāsu mukha-ggahaṇaṃ, anto-gahaṇañca kataṃ. Bahīti ca paṭiggahetvā akappiyakuṭiyā bahi yattha katthaci parivutthaṃ pacchimakālikadvayaṃ purimena kālikadvayena saṃsaṭṭhaṃ adhippetaṃ. Mukhasannidhiantovutthapadānaṃ anatthantarabhāvo samantapāsādikāyaṃ vutto.
ยถาห ‘‘สามเณโร ภิกฺขุสฺส ตณฺฑุลาทิกํ อามิสํ อาหริตฺวา กปฺปิยกุฎิยํ นิกฺขิปิตฺวา ปุนทิวเส ปจิตฺวา เทติ, อโนฺตวุตฺถํ น โหติฯ ตตฺถ อกปฺปิยกุฎิยํ นิกฺขิตฺตสปฺปิอาทีสุ ยํ กิญฺจิ ปกฺขิปิตฺวา เทติ, มุขสนฺนิธิ นาม โหติฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘อโนฺตวุตฺถํ โหตี’ติ วุตฺตํ, ตตฺถ นามมตฺตเมว นานากรณ’’นฺติ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๙๕)ฯ นิสฺสเนฺทเห ปน อญฺญถา วุโตฺต วิย วิญฺญายติ, ตตฺถปิ อยเมว นโย เวทิตโพฺพฯ
Yathāha ‘‘sāmaṇero bhikkhussa taṇḍulādikaṃ āmisaṃ āharitvā kappiyakuṭiyaṃ nikkhipitvā punadivase pacitvā deti, antovutthaṃ na hoti. Tattha akappiyakuṭiyaṃ nikkhittasappiādīsu yaṃ kiñci pakkhipitvā deti, mukhasannidhi nāma hoti. Mahāpaccariyaṃ pana ‘antovutthaṃ hotī’ti vuttaṃ, tattha nāmamattameva nānākaraṇa’’nti (mahāva. aṭṭha. 295). Nissandehe pana aññathā vutto viya viññāyati, tatthapi ayameva nayo veditabbo.
๑๓๙๑. น โทโสติ สนฺนิธิโทโส น โหติฯ นิทหิตฺวาติ ปฎิคฺคเหตฺวา ปฎิคฺคหณํ อวิชหิตฺวา สกสกกาลพฺภนฺตเรเยว นิทหิตฺวาฯ เอตฺถ จ เหฎฺฐิมนฺตโต สนฺนิธิํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปตฺตํ โธวิตฺวา ปุน ตตฺถ อโจฺฉทกํ วา อาสิญฺจิตฺวา องฺคุลิยา วา ฆํสิตฺวา นิเสฺนหภาโว ชานิตโพฺพ’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๕๓) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ เอเตน นิรเปเกฺขน ปฎิคฺคหณํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว สยํ วา อเญฺญน วา ตุจฺฉํ กตฺวาน สมฺมา โธวิตฺวา นิฎฺฐาปิเต ปเตฺต ลคฺคมฺปิ อวิชหิตปฎิคฺคหิตเมว โหตีติ ตตฺถ อาปตฺติ วุตฺตาติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ เอเตน นิรเปเกฺขน ปฎิคฺคหเณ วิสฺสเฎฺฐ ตาทิเสปิ ปเตฺต โทโส นตฺถีติ สิทฺธํฯ
1391.Nadosoti sannidhidoso na hoti. Nidahitvāti paṭiggahetvā paṭiggahaṇaṃ avijahitvā sakasakakālabbhantareyeva nidahitvā. Ettha ca heṭṭhimantato sannidhiṃ dassetuṃ ‘‘pattaṃ dhovitvā puna tattha acchodakaṃ vā āsiñcitvā aṅguliyā vā ghaṃsitvā nisnehabhāvo jānitabbo’’ti (pāci. aṭṭha. 253) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Etena nirapekkhena paṭiggahaṇaṃ avissajjetvāva sayaṃ vā aññena vā tucchaṃ katvāna sammā dhovitvā niṭṭhāpite patte laggampi avijahitapaṭiggahitameva hotīti tattha āpatti vuttāti gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Etena nirapekkhena paṭiggahaṇe vissaṭṭhe tādisepi patte doso natthīti siddhaṃ.
สนฺนิธิกถาวณฺณนาฯ
Sannidhikathāvaṇṇanā.
๑๓๙๓. ปณีตานิ โภชนานีติ ปาฬิยํ ‘‘เสยฺยถิทํ? สปฺปิ นวนีตํ เตลํ มธุ ผาณิตํ มโจฺฉ มํสํ ขีรํ ทธี’’ติ (ปาจิ. ๒๕๙) อุทฺทิสิตฺวา –
1393.Paṇītāni bhojanānīti pāḷiyaṃ ‘‘seyyathidaṃ? Sappi navanītaṃ telaṃ madhu phāṇitaṃ maccho maṃsaṃ khīraṃ dadhī’’ti (pāci. 259) uddisitvā –
‘‘สปฺปิ นาม โคสปฺปิ วา อชิกาสปฺปิ วา มหิํสสปฺปิ วา, เยสํ มํสํ กปฺปติ, เตสํ สปฺปิฯ นวนีตํ นาม เตสเญฺญว นวนีตํฯ เตลํ นาม ติลเตลํ สาสปเตลํ มธุกเตลํ เอรณฺฑกเตลํ วสาเตลํฯ มธุ นาม มกฺขิกามธุฯ ผาณิตํ นาม อุจฺฉุมฺหา นิพฺพตฺตํฯ มโจฺฉ นาม โอทโก วุจฺจติฯ มํสํ นาม เยสํ มํสํ กปฺปติ, เตสํ มํสํฯ ขีรํ นาม โคขีรํ วา อชิกาขีรํ วา มหิํสขีรํ วา, เยสํ มํสํ กปฺปติ, เตสํ ขีรํฯ ทธิ นาม เตสเญฺญว ทธี’’ติ (ปาจิ. ๒๖๐) –
‘‘Sappi nāma gosappi vā ajikāsappi vā mahiṃsasappi vā, yesaṃ maṃsaṃ kappati, tesaṃ sappi. Navanītaṃ nāma tesaññeva navanītaṃ. Telaṃ nāma tilatelaṃ sāsapatelaṃ madhukatelaṃ eraṇḍakatelaṃ vasātelaṃ. Madhu nāma makkhikāmadhu. Phāṇitaṃ nāma ucchumhā nibbattaṃ. Maccho nāma odako vuccati. Maṃsaṃ nāma yesaṃ maṃsaṃ kappati, tesaṃ maṃsaṃ. Khīraṃ nāma gokhīraṃ vā ajikākhīraṃ vā mahiṃsakhīraṃ vā, yesaṃ maṃsaṃ kappati, tesaṃ khīraṃ. Dadhi nāma tesaññeva dadhī’’ti (pāci. 260) –
นิทฺทิฎฺฐานิ นว ปณีตโภชนานีติ อโตฺถฯ อคิลาโนติ ‘‘อคิลาโน นาม ยสฺส วินา ปณีตโภชนานิ ผาสุ โหตี’’ติ (ปาจิ. ๒๖๐) วุโตฺตฯ อคิลาโนติ เอตฺถ ‘‘หุตฺวา’’ติ เสโสฯ
Niddiṭṭhāni nava paṇītabhojanānīti attho. Agilānoti ‘‘agilāno nāma yassa vinā paṇītabhojanāni phāsu hotī’’ti (pāci. 260) vutto. Agilānoti ettha ‘‘hutvā’’ti seso.
๑๓๙๔. สปฺปินา เทหีติอาทิ วิญฺญาปนปฺปกาโรฯ สปฺปิภตฺตนฺติ เอตฺถ กิญฺจาปิ สปฺปิสํสฎฺฐํ ภตฺตํ, สปฺปิ จ ภตฺตญฺจ สปฺปิภตฺตนฺติ วิญฺญายติ, อฎฺฐกถาสุ ปน ‘‘สาลิภตฺตํ วิย สปฺปิภตฺตํ นาม นตฺถี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๕๙) การณํ วตฺวา ทุกฺกฎเสฺสว ทฬฺหตรํ กตฺวา วุตฺตตฺตา น สกฺกา อญฺญํ วตฺตุํฯ อฎฺฐกถาจริยา เอว หิ อีทิเสสุ ฐาเนสุ ปมาณํฯ
1394.Sappinā dehītiādi viññāpanappakāro. Sappibhattanti ettha kiñcāpi sappisaṃsaṭṭhaṃ bhattaṃ, sappi ca bhattañca sappibhattanti viññāyati, aṭṭhakathāsu pana ‘‘sālibhattaṃ viya sappibhattaṃ nāma natthī’’ti (pāci. aṭṭha. 259) kāraṇaṃ vatvā dukkaṭasseva daḷhataraṃ katvā vuttattā na sakkā aññaṃ vattuṃ. Aṭṭhakathācariyā eva hi īdisesu ṭhānesu pamāṇaṃ.
๑๓๙๕. ปาจิตฺติ ปริยาปุตาติ ‘‘อโชฺฌหาเร อโชฺฌหาเร อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๒๖๐) เอวํ อโชฺฌหารคณนาย ปาจิตฺติ วุตฺตาฯ
1395.Pācitti pariyāputāti ‘‘ajjhohāre ajjhohāre āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 260) evaṃ ajjhohāragaṇanāya pācitti vuttā.
๑๓๙๖. สุทฺธานีติ อเนฺนน อมิสฺสานิฯ เสขิเยสูติ สิกฺขากรณีเย วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ
1396.Suddhānīti annena amissāni. Sekhiyesūti sikkhākaraṇīye vuttanti attho.
๑๓๙๗. ยสฺมา สุทฺธานํ ปณีตโภชนานํ วิญฺญาเปตฺวา ปริภุญฺชนํ ทุกฺกฎวิสยํ, ตสฺมาฯ สตฺตธญฺญมยนฺติ สาลิอาทีนํ สตฺตนฺนํ ธญฺญานํ อญฺญตรสฺส วิการภูตํฯ
1397. Yasmā suddhānaṃ paṇītabhojanānaṃ viññāpetvā paribhuñjanaṃ dukkaṭavisayaṃ, tasmā. Sattadhaññamayanti sāliādīnaṃ sattannaṃ dhaññānaṃ aññatarassa vikārabhūtaṃ.
๑๓๙๘. สเจ ททาตีติ โยชนาฯ วิสเงฺกตนฺติ อนาปตฺติ โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
1398. Sace dadātīti yojanā. Visaṅketanti anāpatti hotīti vuttaṃ hoti.
๑๓๙๙. เทติ เจติ สมฺพโนฺธฯ อญฺญตเรนาติ สหเตฺถ กรณวจนํฯ ‘‘ภตฺต’’นฺติ อธิการโต ลพฺภติฯ อสฺส ภิกฺขุสฺสฯ วิสเงฺกตนฺติ อญฺญํ ยาจิตสฺส อญฺญสฺส ทินฺนตฺตา สเงฺกตสฺส วิราธเนน อนาปตฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ
1399. Deti ceti sambandho. Aññatarenāti sahatthe karaṇavacanaṃ. ‘‘Bhatta’’nti adhikārato labbhati. Assa bhikkhussa. Visaṅketanti aññaṃ yācitassa aññassa dinnattā saṅketassa virādhanena anāpattīti vuttaṃ hoti.
๑๔๐๐. เยน เยน หีติ เอตฺถาปิ ตเถว กรณวจนํฯ ‘‘วิญฺญตฺต’’นฺติ อิทํ อธิกตสฺส ‘‘ภตฺต’’นฺติ เอตสฺส วิเสสนํฯ เยน เยนาติ อนิยเมน ปณีเตนฯ เตน สปฺปิอาทิ วิสุํ วิสุํ คหิตเมว, สปฺปิอาทีนํ โคสปฺปิอาทิเภโท จ สงฺคหิโตฯ ตสฺมิํ ลเทฺธปีติ ยาจิเตเยว ลเทฺธ สติฯ ตสฺส ตสฺส มูเลปิ ลเทฺธติ วิจฺฉาวเสน โยชนาฯ
1400.Yena yena hīti etthāpi tatheva karaṇavacanaṃ. ‘‘Viññatta’’nti idaṃ adhikatassa ‘‘bhatta’’nti etassa visesanaṃ. Yenayenāti aniyamena paṇītena. Tena sappiādi visuṃ visuṃ gahitameva, sappiādīnaṃ gosappiādibhedo ca saṅgahito. Tasmiṃ laddhepīti yāciteyeva laddhe sati. Tassa tassa mūlepi laddheti vicchāvasena yojanā.
กิํ วุตฺตํ โหติ? ‘‘สปฺปินา ภตฺตํ เทหี’’ติ สามเญฺญน วิญฺญาเปนฺตสฺส ตเมว วา ‘‘อิมินา สปฺปิํ กตฺวา คณฺหถา’’ติ นวนีตาทีสุ อญฺญตรํ วา เธนุํ วา มูลํ วา เทติ เจ, ‘‘โคสปฺปินา ภตฺตํ เทหี’’ติ วิเสสยุตฺตํ กตฺวา วิญฺญาเปนฺตสฺส ตเมว วา โคนวนีตาทีนิ วา คาวิํ วา ‘‘อิทํ ทตฺวา สปฺปิํ คณฺหถา’’ติ มูลํ วา สเจ เทติ, วิสเงฺกตํ น โหติ, ยถาวตฺถุกเมว อาปตฺติํ อาปชฺชตีติ วุตฺตํ โหติฯ
Kiṃ vuttaṃ hoti? ‘‘Sappinā bhattaṃ dehī’’ti sāmaññena viññāpentassa tameva vā ‘‘iminā sappiṃ katvā gaṇhathā’’ti navanītādīsu aññataraṃ vā dhenuṃ vā mūlaṃ vā deti ce, ‘‘gosappinā bhattaṃ dehī’’ti visesayuttaṃ katvā viññāpentassa tameva vā gonavanītādīni vā gāviṃ vā ‘‘idaṃ datvā sappiṃ gaṇhathā’’ti mūlaṃ vā sace deti, visaṅketaṃ na hoti, yathāvatthukameva āpattiṃ āpajjatīti vuttaṃ hoti.
น อญฺญถาติ สปฺปิํ ยาจิตวโต ‘‘อิมํ คเหตฺวา สปฺปิํ กตฺวา คณฺหถา’’ติ อวตฺวา ‘‘สปฺปิ นตฺถิ, อิทํ คณฺหถา’’ติ วตฺวา วา ตุณฺหีภูเตน วา นวนีตาทีสุ กิสฺมิญฺจิ ทิเนฺน วิเสสวิญฺญาปกสฺส ตทญฺญทาเนปิ วิสเงฺกตเมว โหตีติ อโตฺถฯ ปาฬิยา อนาคเตปิ ทิเนฺน วิสเงฺกตเมว โหติฯ ‘‘สเจ ปน อญฺญํ ปาฬิยา อาคตํ วา อนาคตํ วา เทติ, วิสเงฺกต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๕๙) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ
Na aññathāti sappiṃ yācitavato ‘‘imaṃ gahetvā sappiṃ katvā gaṇhathā’’ti avatvā ‘‘sappi natthi, idaṃ gaṇhathā’’ti vatvā vā tuṇhībhūtena vā navanītādīsu kismiñci dinne visesaviññāpakassa tadaññadānepi visaṅketameva hotīti attho. Pāḷiyā anāgatepi dinne visaṅketameva hoti. ‘‘Sace pana aññaṃ pāḷiyā āgataṃ vā anāgataṃ vā deti, visaṅketa’’nti (pāci. aṭṭha. 259) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.
๑๔๐๑. ปาฬิยนฺติ ปุเพฺพ ทสฺสิตํ ‘‘สปฺปิ นาม โคสปฺปี’’ติอาทิํ นิเทฺทสปาฬิมาหฯ ยถาห ‘‘ปาฬิยํ อาคตนวนีตาทีนิ ฐเปตฺวา’’ติอาทิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๕๙)ฯ อเญฺญหิ นวนีตาทีหิฯ สหเตฺถ กรณวจนํฯ
1401.Pāḷiyanti pubbe dassitaṃ ‘‘sappi nāma gosappī’’tiādiṃ niddesapāḷimāha. Yathāha ‘‘pāḷiyaṃ āgatanavanītādīni ṭhapetvā’’tiādi (pāci. aṭṭha. 259). Aññehi navanītādīhi. Sahatthe karaṇavacanaṃ.
๑๔๐๒. ‘‘วิญฺญาเปตฺวา’’ติ อิมสฺส กมฺมภูตํ ‘‘ภตฺต’’นฺติ อธิกตํฯ คาถาพนฺธวเสน วา-สทฺทสฺส รโสฺส กโตฯ เอกโต วาติ โยชนา, ‘‘นานโต’’ติปิ คหิตเมว, เอกฎฺฐานโต วา นานฎฺฐานโต วาติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘สเจ ปน สเพฺพหิปิ สปฺปิอาทีหิ เอกฎฺฐาเน วา นานฎฺฐาเน วา วิญฺญาเปตฺวา’’ติอาทิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๕๙)ฯ เตเนว ภุญฺชตีติ เอตฺถ ปริกปฺปสูจกํ ‘‘เจ’’ติ อิทญฺจ อวกํสสนฺทสฺสนตฺถํ ‘‘กุสเคฺคน เอกพินฺทุมฺปี’’ติ อิทญฺจ อชฺฌาหริตพฺพํฯ มตาติ อฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๕๙) วุตฺตํ สนฺธายาหฯ เอกโต วา นานโต วา ฐานา ภตฺตํ วิญฺญาเปตฺวา เอกรสํ กตฺวา อนฺตมโส กุสเคฺคน เอกพินฺทุมฺปิ ภุญฺชติ เจ, นว ปาจิตฺติโย มตาติ โยชนาฯ
1402.‘‘Viññāpetvā’’ti imassa kammabhūtaṃ ‘‘bhatta’’nti adhikataṃ. Gāthābandhavasena vā-saddassa rasso kato. Ekato vāti yojanā, ‘‘nānato’’tipi gahitameva, ekaṭṭhānato vā nānaṭṭhānato vāti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘sace pana sabbehipi sappiādīhi ekaṭṭhāne vā nānaṭṭhāne vā viññāpetvā’’tiādi (pāci. aṭṭha. 259). Teneva bhuñjatīti ettha parikappasūcakaṃ ‘‘ce’’ti idañca avakaṃsasandassanatthaṃ ‘‘kusaggena ekabindumpī’’ti idañca ajjhāharitabbaṃ. Matāti aṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 259) vuttaṃ sandhāyāha. Ekato vā nānato vā ṭhānā bhattaṃ viññāpetvā ekarasaṃ katvā antamaso kusaggena ekabindumpi bhuñjati ce, nava pācittiyo matāti yojanā.
๑๔๐๓. อกปฺปิเยน สปฺปินา เทหีติ วุเตฺตปีติ โยชนา, สหเตฺถ กรณวจนํฯ ‘‘ภตฺต’’นฺติ อธิกตํฯ ‘‘เยสํ มํสํ กปฺปติ, เตสํ สปฺปี’’ติ (ปาจิ. ๒๖๐) วุตฺตปฺปการสฺส วิปริยายโต อกปฺปิยํ ทฎฺฐพฺพํฯ เตน เจ เทตีติ ยทิ เตน ยาจิเตน เตเนว อกปฺปิเยน สทฺธิํ โอทนํ เทตีติฯ
1403. Akappiyena sappinā dehīti vuttepīti yojanā, sahatthe karaṇavacanaṃ. ‘‘Bhatta’’nti adhikataṃ. ‘‘Yesaṃ maṃsaṃ kappati, tesaṃ sappī’’ti (pāci. 260) vuttappakārassa vipariyāyato akappiyaṃ daṭṭhabbaṃ. Tena ce detīti yadi tena yācitena teneva akappiyena saddhiṃ odanaṃ detīti.
๑๔๐๔. ตถาสญฺญิสฺสาติ ตถาสญฺญิโน, คิลาโนมฺหีติสญฺญิโนติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘คิลาโน คิลานสญฺญี, อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. ๒๖๑)ฯ
1404.Tathāsaññissāti tathāsaññino, gilānomhītisaññinoti attho. Yathāha ‘‘gilāno gilānasaññī, anāpattī’’ti (pāci. 261).
๑๔๐๕. คิลานกาเล วิญฺญตฺตํ อคิลานสฺส ภุญฺชโต อนาปตฺติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ เอวมิตเรหิปิ ทฺวีหิ ปเทหิ โยเชตพฺพํฯ ยถาห ‘‘อนาปตฺติ คิลาโน หุตฺวา วิญฺญาเปตฺวา อคิลาโน ภุญฺชตี’’ติอาทิ (ปาจิ. ๒๖๒)ฯ ญาตกาทีนนฺติ เอตฺถ ‘‘อายตฺต’’นฺติ เสโสฯ อาทิ-สเทฺทน ‘‘ปวาริตานํ อญฺญสฺสตฺถาย อตฺตโน ธเนน อุมฺมตฺตกสฺส อาทิกมฺมิกสฺสา’’ติ อิทํ สงฺคณฺหาตีติฯ
1405. Gilānakāle viññattaṃ agilānassa bhuñjato anāpatti pakāsitāti yojanā. Evamitarehipi dvīhi padehi yojetabbaṃ. Yathāha ‘‘anāpatti gilāno hutvā viññāpetvā agilāno bhuñjatī’’tiādi (pāci. 262). Ñātakādīnanti ettha ‘‘āyatta’’nti seso. Ādi-saddena ‘‘pavāritānaṃ aññassatthāya attano dhanena ummattakassa ādikammikassā’’ti idaṃ saṅgaṇhātīti.
๑๔๐๖. จตฺตาริ สมุฎฺฐานานิ ทเสฺสตุมาห ‘‘กายโต’’ติอาทิฯ
1406. Cattāri samuṭṭhānāni dassetumāha ‘‘kāyato’’tiādi.
ปณีตโภชนกถาวณฺณนาฯ
Paṇītabhojanakathāvaṇṇanā.
๑๔๐๗. ‘‘อทินฺน’’นฺติ อิมินา อทินฺนาทานสิกฺขาปเท (ปารา. ๙๑ อาทโย) วิย ปรปริคฺคหิตํ อวตฺวา อปฺปฎิคฺคหิตเมว วตฺตพฺพํฯ ยถาห ‘‘อทินฺนํ นาม อปฺปฎิคฺคหิตกํ วุจฺจตี’’ติ (ปาจิ. ๒๖๖)ฯ มุขทฺวารนฺติ มุเข ทฺวารํ มุขทฺวารํ, คลนาฬิกา, อิมินา ปน วจเนน ยํ กิญฺจิ อโชฺฌหรณียํ, ตํ มุเขน วา ปวิสตุ นาสิกาย วา, คลพิลํ ปวิฎฺฐเมว อาปตฺติกรนฺติ ทีเปติฯ อาหารนฺติ อุทกทนฺตโปเนหิ อญฺญํ อโชฺฌหริตพฺพํ ยํ กิญฺจิ ยาวกาลิกาทิํฯ ยถาห ‘‘อาหาโร นาม อุทกทนฺตโปนํ ฐเปตฺวา ยํ กิญฺจิ อโชฺฌหรณีย’’นฺติ (ปาจิ. ๒๖๖)ฯ
1407.‘‘Adinna’’nti iminā adinnādānasikkhāpade (pārā. 91 ādayo) viya parapariggahitaṃ avatvā appaṭiggahitameva vattabbaṃ. Yathāha ‘‘adinnaṃ nāma appaṭiggahitakaṃ vuccatī’’ti (pāci. 266). Mukhadvāranti mukhe dvāraṃ mukhadvāraṃ, galanāḷikā, iminā pana vacanena yaṃ kiñci ajjhoharaṇīyaṃ, taṃ mukhena vā pavisatu nāsikāya vā, galabilaṃ paviṭṭhameva āpattikaranti dīpeti. Āhāranti udakadantaponehi aññaṃ ajjhoharitabbaṃ yaṃ kiñci yāvakālikādiṃ. Yathāha ‘‘āhāro nāma udakadantaponaṃ ṭhapetvā yaṃ kiñci ajjhoharaṇīya’’nti (pāci. 266).
อาหเรยฺยาติ มุขทฺวารํ ปเวเสยฺย, อิมินา ปรคลํ อกตฺวา มุเขน ปฎิคฺคหิตคฺคหเณปิ นตฺถิ โทโสติ สูจิตํฯ เตเนวาห ‘‘ทนฺตโปโนทกํ หิตฺวา’’ติฯ เตเนว วุตฺตํ คณฺฐิปเท ‘‘ภควโต ทนฺตกฎฺฐสฺส มุขทฺวารฐปเน อนาปตฺติวจเนเนว ยํ กิญฺจิ วตฺถุํ ปรคลํ อกตฺวา มุเข ฐปเน อนาปตฺติภาโว วุโตฺต’’ติฯ อุทกญฺหิ ยถาสุขํ ปาตุํ, ทนฺตกฎฺฐญฺจ ทนฺตโปนปริโภเคน ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติ, ตสฺส ปน รสํ คิลิตุํ น วฎฺฎติฯ สเจปิ ทนฺตกฎฺฐรโส อชานนฺตสฺส อโนฺต ปวิสติ, ปาจิตฺติยเมวฯ ทเนฺต ปุนนฺติ นิมฺมเล กโรนฺติ เอเตนาติ ทนฺตโปนํฯ
Āhareyyāti mukhadvāraṃ paveseyya, iminā paragalaṃ akatvā mukhena paṭiggahitaggahaṇepi natthi dosoti sūcitaṃ. Tenevāha ‘‘dantaponodakaṃ hitvā’’ti. Teneva vuttaṃ gaṇṭhipade ‘‘bhagavato dantakaṭṭhassa mukhadvāraṭhapane anāpattivacaneneva yaṃ kiñci vatthuṃ paragalaṃ akatvā mukhe ṭhapane anāpattibhāvo vutto’’ti. Udakañhi yathāsukhaṃ pātuṃ, dantakaṭṭhañca dantaponaparibhogena paribhuñjituṃ vaṭṭati, tassa pana rasaṃ gilituṃ na vaṭṭati. Sacepi dantakaṭṭharaso ajānantassa anto pavisati, pācittiyameva. Dante punanti nimmale karonti etenāti dantaponaṃ.
๑๔๐๘-๙. พฺยติเรกมุเขน อทินฺนลกฺขณํ, ปทภาชเน จ วุตฺตนเยน ปฐมํ ทินฺนลกฺขณํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘หตฺถปาโส’’ติอาทิฯ หตฺถปาโสติ ปวารณสิกฺขาปเท –
1408-9. Byatirekamukhena adinnalakkhaṇaṃ, padabhājane ca vuttanayena paṭhamaṃ dinnalakkhaṇaṃ dassento āha ‘‘hatthapāso’’tiādi. Hatthapāsoti pavāraṇasikkhāpade –
‘‘คณฺหโต ปจฺฉิมํ องฺคํ, ททโต ปุริมํ ปน;
‘‘Gaṇhato pacchimaṃ aṅgaṃ, dadato purimaṃ pana;
อุภินฺนํ อฑฺฒเตยฺยํ เจ, วินา หตฺถํ ปสาริต’’นฺติฯ (วิ. วิ. ๑๒๗๕) –
Ubhinnaṃ aḍḍhateyyaṃ ce, vinā hatthaṃ pasārita’’nti. (vi. vi. 1275) –
วุตฺตลกฺขโณ หตฺถปาโสฯ อภินีหาโรติ ตเตฺถว วุตฺตนเยน อภิมุขํ กตฺวา หรณญฺจฯ มชฺฌิมุจฺจารณกฺขโมติ ปฎิคฺคเหตพฺพภารสฺส อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉเทน ถามมชฺฌิเมน ปุริเสน อุกฺขิปนารหตาฯ ภาวปฺปธาโนยํ นิเทฺทโสฯ อวกํโส ปน ‘‘อนฺตมโส รถเรณุมตฺตมฺปี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๙) อฎฺฐกถาวจนโต เวทิตโพฺพฯ อุจฺจารณํ อุกฺขิปนํฯ ‘‘อมนุโสฺส’’ติ อิมินา ตทญฺญสตฺตสามเญฺญน ติรจฺฉานคตาปิ เวทิตพฺพาฯ ‘‘ปกฺขี วา’’ติอาทิวกฺขมาเนน วา เวทิตพฺพาฯ กายาทินาติ กายกายปฎิพทฺธนิสฺสคฺคิยานํ อญฺญตเรนฯ เตเนวาห ‘‘ติธา’’ติฯ
Vuttalakkhaṇo hatthapāso. Abhinīhāroti tattheva vuttanayena abhimukhaṃ katvā haraṇañca. Majjhimuccāraṇakkhamoti paṭiggahetabbabhārassa ukkaṭṭhaparicchedena thāmamajjhimena purisena ukkhipanārahatā. Bhāvappadhānoyaṃ niddeso. Avakaṃso pana ‘‘antamaso rathareṇumattampī’’ti (pāci. aṭṭha. 269) aṭṭhakathāvacanato veditabbo. Uccāraṇaṃ ukkhipanaṃ. ‘‘Amanusso’’ti iminā tadaññasattasāmaññena tiracchānagatāpi veditabbā. ‘‘Pakkhī vā’’tiādivakkhamānena vā veditabbā. Kāyādināti kāyakāyapaṭibaddhanissaggiyānaṃ aññatarena. Tenevāha ‘‘tidhā’’ti.
ทฺวิธาติ กาเยน วา กายปฎิพเทฺธน วาฯ ปญฺจงฺคสํโยเคติ เอตฺถ ‘‘หตฺถปาโส’’ติ ปฐมงฺคํ, ‘‘อภินีหาโร’’ติ ทุติยํ, ‘‘มชฺฌิมุจฺจารณกฺขโม’’ติ ตติยํ, ‘‘มนุโสฺส…เป.… ติธา’’ติ จตุตฺถํ, ‘‘ปฎิคฺคณฺหาติ…เป.… ทฺวิธา’’ติ ปญฺจมนฺติ อิมานิ ปญฺจ องฺคานิ, ปญฺจนฺนํ องฺคานํ สํโยโค สมาคโม สนฺนิปาโต ปญฺจงฺคสํโยโค, ตสฺมิํฯ คหณนฺติ ปฎิคฺคหณํฯ ตสฺส ภิกฺขุโนฯ รูหติ สมฺปชฺชติฯ
Dvidhāti kāyena vā kāyapaṭibaddhena vā. Pañcaṅgasaṃyogeti ettha ‘‘hatthapāso’’ti paṭhamaṅgaṃ, ‘‘abhinīhāro’’ti dutiyaṃ, ‘‘majjhimuccāraṇakkhamo’’ti tatiyaṃ, ‘‘manusso…pe… tidhā’’ti catutthaṃ, ‘‘paṭiggaṇhāti…pe… dvidhā’’ti pañcamanti imāni pañca aṅgāni, pañcannaṃ aṅgānaṃ saṃyogo samāgamo sannipāto pañcaṅgasaṃyogo, tasmiṃ. Gahaṇanti paṭiggahaṇaṃ. Tassa bhikkhuno. Rūhati sampajjati.
๑๔๑๐-๑๒. อิตโรติ ปฎิคฺคาหโกฯ ตสฺส องฺคสฺสฯ น คจฺฉตีติ นโค, ‘‘นโค’’ติ รุโกฺขปิ ปพฺพโตปิ วุจฺจติฯ เอวรูเปติ อีทิเส อุจฺจนีจฎฺฐาเนฯ
1410-12.Itaroti paṭiggāhako. Tassa aṅgassa. Na gacchatīti nago, ‘‘nago’’ti rukkhopi pabbatopi vuccati. Evarūpeti īdise uccanīcaṭṭhāne.
๑๔๑๓. โสณฺฑายาติ หเตฺถนฯ
1413.Soṇḍāyāti hatthena.
๑๔๑๕-๖. อีสกํ โอนตฺวา โถกํ นาเมตฺวา เตน ภิกฺขุนา ตํ เหฎฺฐิมํ ภาชนํ เอกเทเสนาปิ ปฎิจฺฉิตพฺพนฺติ โยชนาฯ
1415-6.Īsakaṃ onatvā thokaṃ nāmetvā tena bhikkhunā taṃ heṭṭhimaṃ bhājanaṃ ekadesenāpi paṭicchitabbanti yojanā.
๑๔๑๗. อุคฺฆาเฎตฺวา อุจฺจาเรตฺวา, ภาชนานิ วิสุํ วิสุํ โอโรเปตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ
1417.Ugghāṭetvā uccāretvā, bhājanāni visuṃ visuṃ oropetvāti vuttaṃ hoti.
๑๔๑๘. กาชภตฺตนฺติ ภตฺตกาชํ, ภตฺตภริตํ ปิฎกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โอนตฺวา เทตีติ สยํ โอนมิตฺวา พฺยาภงฺคิํ เทติฯ
1418.Kājabhattanti bhattakājaṃ, bhattabharitaṃ piṭakanti vuttaṃ hoti. Onatvā detīti sayaṃ onamitvā byābhaṅgiṃ deti.
๑๔๑๙. ‘‘ติํสหโตฺถ’’ติ อิทํ ติํสรตนมโตฺต เจ โหติ, ‘‘ทูร’’นฺติ น ปริสงฺกิตโพฺพติ ทสฺสนตฺถมาหฯ คหิเตกสฺมินฺติ อุภยโกฎีสุ ฐปิเต เทฺว ฆเฎ ปฎิคฺคหาเปตุํ หตฺถปาเส ฐิเตน ทายเกน ทิยฺยมานํ ติํสหตฺถเวณุํ ปฎิคฺคณฺหเนฺตน เยน เกนจิ กายปฺปเทเสน วา กายปฎิพเทฺธน วา ‘‘อิมํ คณฺหามี’’ติ อาโภคํ กตฺวา มญฺจาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ ผุสิตฺวา ปฎิคฺคหิเตติ วุตฺตํ โหติฯ ตํ สพฺพนฺติ เตสุ ทฺวีสุ ฆเฎสุ ปกฺขิตฺตํ สพฺพเมวฯ คหิตเมวาติ ปฎิคฺคหิตเมว โหติ, ทายกสฺส หตฺถปาสพฺภนฺตเร คตตฺตา อิทํ ตสฺส กายปฎิพทฺธนฺติ ‘‘ทูร’’นฺติ สงฺกา น กาตพฺพาติ เอวกาเรน ทีเปติฯ ‘‘ทฺวีสุ ฆเฎสุ ภูมิยํ ฐปิเตสุปิ ตตฺถ พนฺธนเวฬุยํ ปฎิคฺคณฺหนมเตฺตเนว ปฎิคฺคหิตํ โหตี’’ติ คณฺฐิปเท วุตฺตํฯ
1419.‘‘Tiṃsahattho’’ti idaṃ tiṃsaratanamatto ce hoti, ‘‘dūra’’nti na parisaṅkitabboti dassanatthamāha. Gahitekasminti ubhayakoṭīsu ṭhapite dve ghaṭe paṭiggahāpetuṃ hatthapāse ṭhitena dāyakena diyyamānaṃ tiṃsahatthaveṇuṃ paṭiggaṇhantena yena kenaci kāyappadesena vā kāyapaṭibaddhena vā ‘‘imaṃ gaṇhāmī’’ti ābhogaṃ katvā mañcādīsu yattha katthaci phusitvā paṭiggahiteti vuttaṃ hoti. Taṃ sabbanti tesu dvīsu ghaṭesu pakkhittaṃ sabbameva. Gahitamevāti paṭiggahitameva hoti, dāyakassa hatthapāsabbhantare gatattā idaṃ tassa kāyapaṭibaddhanti ‘‘dūra’’nti saṅkā na kātabbāti evakārena dīpeti. ‘‘Dvīsu ghaṭesu bhūmiyaṃ ṭhapitesupi tattha bandhanaveḷuyaṃ paṭiggaṇhanamatteneva paṭiggahitaṃ hotī’’ti gaṇṭhipade vuttaṃ.
๑๔๒๐-๒๔. ‘‘กฎสารเก’’ติ อิมินา โทณิผลกาทโย อุปลกฺขิตาฯ ‘‘นิสีทตี’’ติ อิทํ ‘‘ติฎฺฐตี’’ติอาทีนํ อุปลกฺขณํฯ มญฺจาทีนิ ผุสิตฺวาติ เอตฺถ ‘‘องฺคุลิยาปี’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘ปฎิคฺคหณสญฺญาย มญฺจาทีนิ องฺคุลิยาปิ ผุสิตฺวา ฐิเตน วา นิสิเนฺนน วา นิปเนฺนน วา’’ติอาทิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕)ฯ ปเตฺตสูติ ตถา ฐปิเตสุ สเพฺพสุ ปเตฺตสุเยวฯ ยญฺจ ทียตีติ เอตฺถ ‘‘ตถา ฐิเตนา’’ติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ
1420-24.‘‘Kaṭasārake’’ti iminā doṇiphalakādayo upalakkhitā. ‘‘Nisīdatī’’ti idaṃ ‘‘tiṭṭhatī’’tiādīnaṃ upalakkhaṇaṃ. Mañcādīni phusitvāti ettha ‘‘aṅguliyāpī’’ti seso. Yathāha ‘‘paṭiggahaṇasaññāya mañcādīni aṅguliyāpi phusitvā ṭhitena vā nisinnena vā nipannena vā’’tiādi (pāci. aṭṭha. 265). Pattesūti tathā ṭhapitesu sabbesu pattesuyeva. Yañca dīyatīti ettha ‘‘tathā ṭhitenā’’ti sāmatthiyā labbhati.
มญฺจาทีสุ องฺคุลิอาทินา เยน เกนจิ ผุฎฺฐมเตฺตปิ ปฎิคฺคหณสฺส รุหณภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตทาโรหเณนาปิ สิชฺฌตีติ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปฎิคฺคเหสฺสามี’’ติอาทิฯ สเจ ปน ปฎิคฺคเหสฺสามิเจฺจว มญฺจาทีนิ อารุหิตฺวา นิสีทติ, ทายโกปิ หตฺถปาเส ฐตฺวาน เทติ เจ, ตํ สพฺพํ คหิตํ โหตีติ โยชนาฯ
Mañcādīsu aṅguliādinā yena kenaci phuṭṭhamattepi paṭiggahaṇassa ruhaṇabhāvaṃ dassetvā idāni tadārohaṇenāpi sijjhatīti dassetumāha ‘‘paṭiggahessāmī’’tiādi. Sace pana paṭiggahessāmicceva mañcādīni āruhitvā nisīdati, dāyakopi hatthapāse ṭhatvāna deti ce, taṃ sabbaṃ gahitaṃ hotīti yojanā.
กุจฺฉิยา กุจฺฉิํ อาหจฺจ เย ปตฺตา ภูมิยํ ฐิตา, เตสุ ยํ ยํ ปตฺตํ องฺคุลิยาปิ วา สูจิยาปิ วา ผุสิตฺวา นิสิโนฺน, ตตฺถ ตเตฺถว ทียมานมฺปิ ปฎิคฺคณฺหาติ, วฎฺฎตีติ โยชนาฯ
Kucchiyā kucchiṃ āhacca ye pattā bhūmiyaṃ ṭhitā, tesu yaṃ yaṃ pattaṃ aṅguliyāpi vā sūciyāpi vā phusitvā nisinno, tattha tattheva dīyamānampi paṭiggaṇhāti, vaṭṭatīti yojanā.
๑๔๒๕. กฎสาราทโย สเจ มหนฺตา, ปฎิคฺคหณํ น รุเหยฺยาติ วิกโปฺป สิยาติ ตนฺนิวตฺตนตฺถมาห ‘‘กฎสารเก’’ติอาทิฯ ‘‘มหนฺตสฺมิ’’นฺติ อิมินา กฎสารกสฺส ปุน วจเน เหตุมาหฯ หตฺถตฺถรํ นาม หตฺถิปิเฎฺฐ อตฺถริตพฺพํ อตฺถรณํฯ อาทิ-สเทฺทน อสฺสตฺถรรถตฺถราทิํ สงฺคณฺหาติฯ ฐิตปเตฺตสุ ทิยฺยมานํ คณฺหโต ปฎิคฺคหณรุหณเหตุํ ทเสฺสติ ‘‘หตฺถปาสสฺมิํ วิชฺชมาเน ตู’’ติฯ ตุ-สโทฺท วุตฺตวิเสสเมว โชเตติฯ
1425. Kaṭasārādayo sace mahantā, paṭiggahaṇaṃ na ruheyyāti vikappo siyāti tannivattanatthamāha ‘‘kaṭasārake’’tiādi. ‘‘Mahantasmi’’nti iminā kaṭasārakassa puna vacane hetumāha. Hatthattharaṃ nāma hatthipiṭṭhe attharitabbaṃ attharaṇaṃ. Ādi-saddena assatthararathattharādiṃ saṅgaṇhāti. Ṭhitapattesu diyyamānaṃ gaṇhato paṭiggahaṇaruhaṇahetuṃ dasseti ‘‘hatthapāsasmiṃ vijjamāne tū’’ti. Tu-saddo vuttavisesameva joteti.
๑๔๒๖. ตตฺถชาตกปเณฺณสูติ รุเกฺขเยว ฐิเตสุ ปเณฺณสุฯ คเหตุนฺติ ปฎิคฺคเหตุํฯ ‘‘น ปเนตานี’’ติอาทิ เยน เหตุนา น วฎฺฎติ, ตสฺส ทสฺสนํฯ หิ-สโทฺท ปสิทฺธิํ สูเจติฯ
1426.Tatthajātakapaṇṇesūti rukkheyeva ṭhitesu paṇṇesu. Gahetunti paṭiggahetuṃ. ‘‘Na panetānī’’tiādi yena hetunā na vaṭṭati, tassa dassanaṃ. Hi-saddo pasiddhiṃ sūceti.
๑๔๒๗. ถามมชฺฌิเมน ปุริเสน อุกฺขิปิตุํ อสกฺกุเณยฺยํ อสํหาริยํฯ ตาทิเสติ ตถารูเป, อสํหาริเยติ วุตฺตํ โหติฯ ขาณุพเทฺธติ ภูมิยํ นิขาตขาณุเก พเทฺธฯ
1427. Thāmamajjhimena purisena ukkhipituṃ asakkuṇeyyaṃ asaṃhāriyaṃ. Tādiseti tathārūpe, asaṃhāriyeti vuttaṃ hoti. Khāṇubaddheti bhūmiyaṃ nikhātakhāṇuke baddhe.
๑๔๒๘. ตินฺติณิกาติ จิญฺจาฯ อาทิ-สเทฺทน ตถา ขุทฺทกานํ กทมฺพปุปฺผปณฺณาทีนํ คหณํฯ ‘‘ตินฺติณิกาทิปเณฺณสู’’ติ วจนโต สาขาสุ ปฎิคฺคหณํ รุหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ ภูมิยํ ปตฺถเฎสูติ โยเชตพฺพํฯ ยถาห ‘‘ภูมิยํ อตฺถเตสุ สุขุเมสุ ตินฺติณิกาทิปเณฺณสุปิ ปฎิคฺคหณํ น รุหตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕)ฯ
1428.Tintiṇikāti ciñcā. Ādi-saddena tathā khuddakānaṃ kadambapupphapaṇṇādīnaṃ gahaṇaṃ. ‘‘Tintiṇikādipaṇṇesū’’ti vacanato sākhāsu paṭiggahaṇaṃ ruhatīti daṭṭhabbaṃ. Bhūmiyaṃ patthaṭesūti yojetabbaṃ. Yathāha ‘‘bhūmiyaṃ atthatesu sukhumesu tintiṇikādipaṇṇesupi paṭiggahaṇaṃ na ruhatī’’ti (pāci. aṭṭha. 265).
๑๔๒๙. ปริเวสโกติ ทายโกฯ
1429.Parivesakoti dāyako.
๑๔๓๐. อเสสโต ปุญฺฉิตฺวาติ โยชนาฯ
1430. Asesato puñchitvāti yojanā.
๑๔๓๑. ปฎิคฺคเหตฺวาวาติ ปตฺตํ ปฎิคฺคเหตฺวาวฯ ภิกฺขา คเหตพฺพาติ สมฺพโนฺธฯ
1431.Paṭiggahetvāvāti pattaṃ paṭiggahetvāva. Bhikkhā gahetabbāti sambandho.
๑๔๓๒. อปฎิคฺคหิเตติ เอตฺถ ‘‘ปเตฺต’’ติ เสโสฯ ตํ ปจฺฉา ปฎิคฺคเหตฺวา ปริภุญฺชโต อนาปตฺตีติ โยชนาฯ
1432.Apaṭiggahiteti ettha ‘‘patte’’ti seso. Taṃ pacchā paṭiggahetvā paribhuñjato anāpattīti yojanā.
๑๔๓๓. อนาทิยิตฺวาติ อคฺคเหตฺวา, ตสฺมิํ วจเน อาทรํ อกตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ
1433.Anādiyitvāti aggahetvā, tasmiṃ vacane ādaraṃ akatvāti vuttaṃ hoti.
๑๔๓๕. อญฺญสฺส อนุปสมฺปนฺนสฺสฯ
1435.Aññassa anupasampannassa.
๑๔๓๖. ปุพฺพาโภคสฺส อนุรูปวเสน ‘‘สามเณรสฺส ตํ ทตฺวา…เป.… ปน วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน ตํ ‘‘อญฺญสฺส ทสฺสามี’’ติ จิตฺตุปฺปาทมเตฺตน ปรสนฺตกํ นาม น โหติ, ตสฺมา ตสฺส อทตฺวาปิ ปฎิคฺคเหตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ
1436. Pubbābhogassa anurūpavasena ‘‘sāmaṇerassa taṃ datvā…pe… pana vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Yasmā pana taṃ ‘‘aññassa dassāmī’’ti cittuppādamattena parasantakaṃ nāma na hoti, tasmā tassa adatvāpi paṭiggahetvā paribhuñjituṃ vaṭṭati.
๑๔๓๗-๙. ภิกฺขุโนติ อญฺญสฺส ภิกฺขุสฺสฯ ภตฺตสฺสาติ กญฺชิกาทิทฺรวมิสฺสภตฺตมาหฯ อุปฺลวตีติ อุปริ ปฺลวติฯ กญฺชิกนฺติ อารนาลํ, อิมสฺส อุปลกฺขณตฺตา ขีรตกฺกาทิทฺรวํ สงฺคหิตํฯ ปวาเหตฺวาติ มตฺถกโต ปลาเปตฺวาฯ อโนฺต ปวิฎฺฐํ สเจ ตนฺติ ตํ รชํ ยทิ ภตฺตสฺส อโนฺต ปวิฎฺฐํ โหติฯ ปฎิคฺคเหตพฺพนฺติ อนุปสมฺปเนฺน อสติ หตฺถโต อโมเจเนฺตเนว ยตฺถ อนุปสมฺปโนฺน อตฺถิ, ตํ ตตฺถ เนตฺวา ปฎิคฺคเหตพฺพํฯ
1437-9.Bhikkhunoti aññassa bhikkhussa. Bhattassāti kañjikādidravamissabhattamāha. Uplavatīti upari plavati. Kañjikanti āranālaṃ, imassa upalakkhaṇattā khīratakkādidravaṃ saṅgahitaṃ. Pavāhetvāti matthakato palāpetvā. Anto paviṭṭhaṃ sace tanti taṃ rajaṃ yadi bhattassa anto paviṭṭhaṃ hoti. Paṭiggahetabbanti anupasampanne asati hatthato amocenteneva yattha anupasampanno atthi, taṃ tattha netvā paṭiggahetabbaṃ.
๑๔๔๐. อปนียาวาติ เอตฺถ ‘‘ถูล’’นฺติ อิทํ ‘‘สุขุมํ เจ’’ติ วกฺขมานวิปริยายโต ลพฺภติฯ สภตฺตํ อปนียาติ สมฺพโนฺธฯ ยถาห ‘‘อุปริภเตฺตน สทฺธิํ อปเนตพฺพํ, ปฎิคฺคเหตฺวา วา ภุญฺชิตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕)ฯ
1440.Apanīyāvāti ettha ‘‘thūla’’nti idaṃ ‘‘sukhumaṃ ce’’ti vakkhamānavipariyāyato labbhati. Sabhattaṃ apanīyāti sambandho. Yathāha ‘‘uparibhattena saddhiṃ apanetabbaṃ, paṭiggahetvā vā bhuñjitabba’’nti (pāci. aṭṭha. 265).
๑๔๔๑. เถโวติ พินฺทุฯ เถโว…เป.… วฎฺฎตีติ เอตฺถ ยถา ปฐมตรํ ปติตเถเว โทโส นตฺถิ, ตถา อากิริตฺวา อปเนนฺตานํ ปจฺฉา ปติตเถเวปิ อภิหฎตฺตา เนวตฺถิ โทโสฯ
1441.Thevoti bindu. Thevo…pe… vaṭṭatīti ettha yathā paṭhamataraṃ patitatheve doso natthi, tathā ākiritvā apanentānaṃ pacchā patitathevepi abhihaṭattā nevatthi doso.
๑๔๔๒-๔. จรุเกนาติ ขุทฺทกอุกฺขลิยาฯ ตโต จรุกโตฯ มสีติ ชลฺลิกาอาทิกา ภสฺมาฯ ภาชเนติ ภาชนปตฺตาทิภาชเนฯ ตสฺส จาติ ตสฺส มสิอาทิโน จฯ
1442-4.Carukenāti khuddakaukkhaliyā. Tato carukato. Masīti jallikāādikā bhasmā. Bhājaneti bhājanapattādibhājane. Tassa cāti tassa masiādino ca.
อนนฺตรสฺส ภิกฺขุสฺส ทียมานํ ยํ ปตฺตโต อุปฺปติตฺวา อิตรสฺส ภิกฺขุโน ปเตฺต สเจ ปตติ, ตํ ปฎิคฺคหิตเมว โหติ, ตสฺมา วฎฺฎเตวาติ โยชนาฯ ‘‘ทียมาน’’นฺติ เอตฺถ ‘‘ภตฺตาทิกํ ยํ กิญฺจี’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ วฎฺฎเตวา ยนฺติ เอตฺถ ‘‘วฎฺฎเตว อย’’นฺติ ปทเจฺฉโท น กาตโพฺพ ‘‘อย’’นฺติ อิมินา สมฺพนฺธนียสฺส อภาวโตฯ ตสฺมา ว-กาโร คาถาฉนฺทวเสน ทีฆํ กตฺวา วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
Anantarassa bhikkhussa dīyamānaṃ yaṃ pattato uppatitvā itarassa bhikkhuno patte sace patati, taṃ paṭiggahitameva hoti, tasmā vaṭṭatevāti yojanā. ‘‘Dīyamāna’’nti ettha ‘‘bhattādikaṃ yaṃ kiñcī’’ti pakaraṇato labbhati. Vaṭṭatevā yanti ettha ‘‘vaṭṭateva aya’’nti padacchedo na kātabbo ‘‘aya’’nti iminā sambandhanīyassa abhāvato. Tasmā va-kāro gāthāchandavasena dīghaṃ katvā vuttoti veditabbo.
๑๔๔๕-๖. ปายาสสฺสาติ เอตฺถ ปูรณโยเค สามิวจนํ, ปายาเสนาติ วุตฺตํ โหติฯ อุณฺหโตติ อุณฺหตฺตาฯ น สกฺกตีติ น สโกฺกติฯ มุขวฎฺฎิยํ วฎฺฎตีติ มุขวฎฺฎิํ อุกฺขิปิตฺวา หเตฺถ ผุสาปิเต คณฺหิตุํ วฎฺฎติฯ ตถา มุขวฎฺฎิยา คเหตุํ น สกฺกา เจ, อาธารเกนปิ คเหตโพฺพติ โยชนาฯ
1445-6.Pāyāsassāti ettha pūraṇayoge sāmivacanaṃ, pāyāsenāti vuttaṃ hoti. Uṇhatoti uṇhattā. Na sakkatīti na sakkoti. Mukhavaṭṭiyaṃ vaṭṭatīti mukhavaṭṭiṃ ukkhipitvā hatthe phusāpite gaṇhituṃ vaṭṭati. Tathā mukhavaṭṭiyā gahetuṃ na sakkā ce, ādhārakenapi gahetabboti yojanā.
๑๔๔๗-๘. อาหริยมานํ วา เนว ชานาติ, ทียมานํ วา น ชานาตีติ โยชนาฯ คาถาพนฺธวเสน ‘‘ชานตี’’ติ รโสฺส กโตฯ อาโภคนฺติ ‘‘คณฺหามี’’ติ อาโภคํฯ ยถาห มหาปจฺจริยํ ‘‘อาโภคมตฺตเมว หิ เอตฺถ ปมาณ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕)ฯ ‘‘กาเยน วา กายปฎิพเทฺธน วา ปฎิคฺคณฺหาตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕) วุตฺตตฺตา ปตฺตํ คเหตฺวา นิสินฺนตฺตา ‘‘กายปฎิพเทฺธน คณฺหิสฺสามี’’ติ อาโภคํ กตฺวาติปิ ยุชฺชเตวฯ
1447-8. Āhariyamānaṃ vā neva jānāti, dīyamānaṃ vā na jānātīti yojanā. Gāthābandhavasena ‘‘jānatī’’ti rasso kato. Ābhoganti ‘‘gaṇhāmī’’ti ābhogaṃ. Yathāha mahāpaccariyaṃ ‘‘ābhogamattameva hi ettha pamāṇa’’nti (pāci. aṭṭha. 265). ‘‘Kāyena vā kāyapaṭibaddhena vā paṭiggaṇhātī’’ti (pāci. aṭṭha. 265) vuttattā pattaṃ gahetvā nisinnattā ‘‘kāyapaṭibaddhena gaṇhissāmī’’ti ābhogaṃ katvātipi yujjateva.
๑๔๔๙. ‘‘หเตฺถน มุญฺจิตฺวา’’ติ อิทํ ‘‘อาธารกมฺปิ วา’’ติ อิมินาปิ โยเชตพฺพํฯ ‘‘ปาเทน เปเลฺลตฺวา’’ติ อิมินา ปน ‘‘อาธารก’’นฺติ อิทเมว โยเชตพฺพํฯ ยถาห ‘‘หเตฺถน อาธารกํ มุญฺจิตฺวา ปาเทน เปเลฺลตฺวา นิทฺทายตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕)ฯ เปเลฺลตฺวาติ ปีเฬตฺวา, อกฺกมิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ
1449.‘‘Hatthena muñcitvā’’ti idaṃ ‘‘ādhārakampi vā’’ti imināpi yojetabbaṃ. ‘‘Pādena pelletvā’’ti iminā pana ‘‘ādhāraka’’nti idameva yojetabbaṃ. Yathāha ‘‘hatthena ādhārakaṃ muñcitvā pādena pelletvā niddāyatī’’ti (pāci. aṭṭha. 265). Pelletvāti pīḷetvā, akkamitvāti vuttaṃ hoti.
๑๔๕๐. กมิ-ธาตุสฺส มเชฺฌ ‘‘อกฺก’’อิติ ปทเจฺฉโท ยติหีนโทโสติฯ
1450. Kami-dhātussa majjhe ‘‘akka’’iti padacchedo yatihīnadosoti.
‘‘สิโลเก นิยตฎฺฐานํ, ปทเจฺฉทํ ยติํ วิทู;
‘‘Siloke niyataṭṭhānaṃ, padacchedaṃ yatiṃ vidū;
ตทเปตํ ยติพฺภฎฺฐํ, สวนุเพฺพชนํ ยถา’’ติฯ –
Tadapetaṃ yatibbhaṭṭhaṃ, savanubbejanaṃ yathā’’ti. –
ทณฺฑินา วุตฺตลกฺขณโต สิทฺธตาย โทโส ยถา น โหติ, ตถา วิจาเรตฺวา คเหตพฺพํฯ เกจิ ปเนตฺถ อิ-การาคมสฺส ปจฺจยภาวตฺตา ตํสหิโต ม-กาโร ตคฺคหเณน สงฺคยฺหตีติ อุภยปกฺขภาคีติ ธาตุปจฺจยานํ มเชฺฌ ยติยา อิจฺฉิตตฺตา น โทโสติ ปริหรนฺติฯ ชาครสฺสาปีติ อนิทฺทายนฺตสฺสาปิฯ อนาทโรติ อนาทรภาโวฯ
Daṇḍinā vuttalakkhaṇato siddhatāya doso yathā na hoti, tathā vicāretvā gahetabbaṃ. Keci panettha i-kārāgamassa paccayabhāvattā taṃsahito ma-kāro taggahaṇena saṅgayhatīti ubhayapakkhabhāgīti dhātupaccayānaṃ majjhe yatiyā icchitattā na dosoti pariharanti. Jāgarassāpīti aniddāyantassāpi. Anādaroti anādarabhāvo.
๑๔๕๑. ตสฺมาติ ตถา คหณสฺส อนาทรภาวโตฯ ตนฺติ ตํ อาธารกํ ปาเทน อกฺกมิตฺวา ปฎิคฺคหณญฺจฯ ทียมานนฺติ ทายเกน ปฎิคฺคหาปิยมานํฯ ปตตีติ ปฎิคฺคาหกสฺส หตฺถํ อผุสิตฺวา รโชรหิตาย สุทฺธภูมิยา วา ปทุมินิปณฺณาทีสุ วา ปตติฯ ยถาห ‘‘ยํ ทิยฺยมานํ ทายกสฺส หตฺถโต ปริคฬิตฺวา สุทฺธาย ภูมิยา วา ปทุมินิปณฺณวตฺถกฎสารกาทีสุ วา ปตติ, ตํ สามํ คเหตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕)ฯ สรชาย ภูมิยา ปติเต รชํ ปุญฺฉิตฺวา วา โธวิตฺวา วา ปฎิคฺคหาเปตฺวา วา ปริภุญฺชิตพฺพนฺติ อิทํ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘สรชาย ภูมิยํ ปตตี’’ติอาทินา ทสฺสิตํฯ คเหตุนฺติ เอตฺถ ‘‘ภุญฺชิตุ’’นฺติ จ วฎฺฎตีติ เอตฺถ ‘‘ปริจฺจตฺตํ ทายเกหี’’ติ จ เสโสฯ ยถาห ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว ยํ ทิยฺยมานํ ปตติ, ตํ สามํ คเหตฺวา ปริภุญฺชิตุํฯ ปริจฺจตฺตํ ตํ ภิกฺขเว ทายเกหี’’ติ (จูฬว. ๒๗๓)ฯ ‘‘ยํ ทิยฺยมานํ ปตตี’’ติ อวิเสเสน วุตฺตตฺตา จตูสุปิ กาลิเกสุ อยํ นโย เวทิตโพฺพฯ
1451.Tasmāti tathā gahaṇassa anādarabhāvato. Tanti taṃ ādhārakaṃ pādena akkamitvā paṭiggahaṇañca. Dīyamānanti dāyakena paṭiggahāpiyamānaṃ. Patatīti paṭiggāhakassa hatthaṃ aphusitvā rajorahitāya suddhabhūmiyā vā paduminipaṇṇādīsu vā patati. Yathāha ‘‘yaṃ diyyamānaṃ dāyakassa hatthato parigaḷitvā suddhāya bhūmiyā vā paduminipaṇṇavatthakaṭasārakādīsu vā patati, taṃ sāmaṃ gahetvā paribhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 265). Sarajāya bhūmiyā patite rajaṃ puñchitvā vā dhovitvā vā paṭiggahāpetvā vā paribhuñjitabbanti idaṃ aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘sarajāya bhūmiyaṃ patatī’’tiādinā dassitaṃ. Gahetunti ettha ‘‘bhuñjitu’’nti ca vaṭṭatīti ettha ‘‘pariccattaṃ dāyakehī’’ti ca seso. Yathāha ‘‘anujānāmi bhikkhave yaṃ diyyamānaṃ patati, taṃ sāmaṃ gahetvā paribhuñjituṃ. Pariccattaṃ taṃ bhikkhave dāyakehī’’ti (cūḷava. 273). ‘‘Yaṃ diyyamānaṃ patatī’’ti avisesena vuttattā catūsupi kālikesu ayaṃ nayo veditabbo.
๑๔๕๒. อโพฺพหาริกนยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ภุญฺชนฺตาน’’นฺติฯ
1452. Abbohārikanayaṃ dassetumāha ‘‘bhuñjantāna’’nti.
๑๔๕๓-๔. ตํ มลํฯ เตสูติ อุจฺฉุอาทีสุ วตฺถูสุฯ ตนฺติ มลมิสฺสกํ อุจฺฉุอาทิกํ วตฺถุฯ น ปญฺญายตีติ น ปน ปญฺญายติฯ ตสฺมินฺติ อุจฺฉุอาทิวตฺถุสฺมิํฯ
1453-4.Taṃ malaṃ. Tesūti ucchuādīsu vatthūsu. Tanti malamissakaṃ ucchuādikaṃ vatthu. Na paññāyatīti na pana paññāyati. Tasminti ucchuādivatthusmiṃ.
๑๔๕๕. นิสโททุกฺขลาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน นิสทโปตมุสลาทีนํ คหณํฯ
1455.Nisadodukkhalādīnanti ādi-saddena nisadapotamusalādīnaṃ gahaṇaṃ.
๑๔๕๖. วาสิยา อุปลกฺขณตฺตา ตชฺชาติกํ ยํ กิญฺจิ สตฺถมฺปิ คเหตพฺพํฯ ขีเรติ อนุปสมฺปเนฺนน ตาปิตขีเร, อิทํ อุปริ อามกสฺส วิสุํ คหเณน วิญฺญายติฯ นีลิกาติ นีลวณฺณํฯ สตฺถเก วิย นิจฺฉโยติ สเตฺถน อุฎฺฐิตมเล อุจฺฉุขเณฺฑ วิย ปฎิคฺคเหตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพนฺติ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
1456. Vāsiyā upalakkhaṇattā tajjātikaṃ yaṃ kiñci satthampi gahetabbaṃ. Khīreti anupasampannena tāpitakhīre, idaṃ upari āmakassa visuṃ gahaṇena viññāyati. Nīlikāti nīlavaṇṇaṃ. Satthake viya nicchayoti satthena uṭṭhitamale ucchukhaṇḍe viya paṭiggahetvā paribhuñjitabbanti vinicchayo veditabbo.
๑๔๕๗. ตนฺติ ตํ อคฺคิสนฺตตฺตวาสิอาทิํ, ตาปวตฺถุโต วาสิ คเหตพฺพาฯ
1457.Tanti taṃ aggisantattavāsiādiṃ, tāpavatthuto vāsi gahetabbā.
๑๔๕๙. ตนฺติ ตํ หตฺถาทิกายาวยวํ วา จีวรํ วา โธวิตฺวา ปติตกิลิฎฺฐชลมิสฺสโมทนํฯ รุกฺขมูลาทีสุ นิสีทิตฺวา ภุญฺชนฺตสฺส ปตฺตาทีสุ รุกฺขปณฺณาทิํ โธวิตฺวา ปติตกิลิโฎฺฐทเกปิ เอเสว วินิจฺฉโยติ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอเสวา’’ติอาทิฯ
1459.Tanti taṃ hatthādikāyāvayavaṃ vā cīvaraṃ vā dhovitvā patitakiliṭṭhajalamissamodanaṃ. Rukkhamūlādīsu nisīditvā bhuñjantassa pattādīsu rukkhapaṇṇādiṃ dhovitvā patitakiliṭṭhodakepi eseva vinicchayoti dassetumāha ‘‘esevā’’tiādi.
๑๔๖๐. ชลํ สเจ สุทฺธํ ปตติ, วฎฺฎตีติ โยชนา, ‘‘รุกฺขโต’’ติ ลพฺภติฯ อโพฺภกาเส จ สเจ สุทฺธํ โตยํ ปตติ, วฎฺฎตีติ เอตฺถ ‘‘อากาสโต’’ติ ลพฺภติฯ อุภยตฺถาปิ รุกฺขปเณฺณสุ, อากาเส จ รชสฺส ปฐมเมว วโสฺสทเกน โธวิตตฺตา อาห ‘‘สุทฺธ’’นฺติฯ
1460. Jalaṃ sace suddhaṃ patati, vaṭṭatīti yojanā, ‘‘rukkhato’’ti labbhati. Abbhokāse ca sace suddhaṃ toyaṃ patati, vaṭṭatīti ettha ‘‘ākāsato’’ti labbhati. Ubhayatthāpi rukkhapaṇṇesu, ākāse ca rajassa paṭhamameva vassodakena dhovitattā āha ‘‘suddha’’nti.
๑๔๖๑. อจฺฉุปเนฺตนาติ อผุสเนฺตนฯ ตสฺส สามเณรสฺสฯ
1461.Acchupantenāti aphusantena. Tassa sāmaṇerassa.
๑๔๖๒. ปตฺตนฺติ อนุปสมฺปนฺนสฺส ปตฺตํฯ ฉุปิตฺวาติ อนุปสมฺปนฺนปตฺตคโตทนํ ผุสิตฺวาฯ ตํ อตฺตโน ปเตฺต ภตฺตํฯ ยถาห ‘‘อปฺปฎิคฺคหิเต โอทนํ ฉุปิตฺวา ปุน อตฺตโน ปเตฺต โอทนํ คณฺหนฺตสฺส อุคฺคหิตโก โหตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕)ฯ
1462.Pattanti anupasampannassa pattaṃ. Chupitvāti anupasampannapattagatodanaṃ phusitvā. Taṃ attano patte bhattaṃ. Yathāha ‘‘appaṭiggahite odanaṃ chupitvā puna attano patte odanaṃ gaṇhantassa uggahitako hotī’’ti (pāci. aṭṭha. 265).
๑๔๖๔. ปจฺฉาติ ตสฺมิํ คหิเตปิ อคหิเตปิ ปจฺฉาฯ ตํ ปฎิคฺคหิตโภชนํฯ
1464.Pacchāti tasmiṃ gahitepi agahitepi pacchā. Taṃ paṭiggahitabhojanaṃ.
๑๔๖๗. ตสฺส อตฺตโน ปตฺตคตสฺส ภตฺตสฺสฯ
1467.Tassa attano pattagatassa bhattassa.
๑๔๖๘. ปเรนาติ อปฺปฎิคฺคหิตปเตฺตนฯ
1468.Parenāti appaṭiggahitapattena.
๑๔๖๙-๗๐. ‘‘ยาคุอาทีนํ ปจเน ภิกฺขูนํ ภาชเน’’ติ สมฺพโนฺธฯ ปจนฺติ เอตฺถาติ ปจนํ, ภาชนํฯ ภาชนูปริ หเตฺถสุ สามเณรสฺสาติ ภาชนสฺส อุปริ กเตสุ สามเณรสฺส หเตฺถสุฯ ปติตํ หตฺถโต ตสฺมินฺติ ตสฺส สามเณรสฺส หตฺถโต ปริคฬิตฺวา ตสฺมิํ ภาชเน ปติตํฯ
1469-70. ‘‘Yāguādīnaṃ pacane bhikkhūnaṃ bhājane’’ti sambandho. Pacanti etthāti pacanaṃ, bhājanaṃ. Bhājanūpari hatthesu sāmaṇerassāti bhājanassa upari katesu sāmaṇerassa hatthesu. Patitaṃ hatthato tasminti tassa sāmaṇerassa hatthato parigaḷitvā tasmiṃ bhājane patitaṃ.
๑๔๗๑. ‘‘น กโรติ อกปฺปิย’’นฺติ เอตฺถ การณมาห ‘‘ปริจฺจตฺตญฺหิ ต’’นฺติฯ ตญฺหิ ยสฺมา ปริจฺจตฺตํ, ตสฺมา อกปฺปิยํ น กโรตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ อกตฺวาติ ยถาวุตฺตปกาเรน อกตฺวาฯ อากิรเตว เจติ สเจ ภาชเน อากิรติ เอวฯ ตํ ตถา ปกฺขิตฺตํ ภตฺตภาชนํฯ นิรามิสํ กตฺวาติ ตตฺถ ปติตํ อามิสํ ยถา น ติฎฺฐติ, เอวํ โธวิตฺวา ภุญฺชิตพฺพนฺติ สมฺพโนฺธฯ
1471. ‘‘Na karoti akappiya’’nti ettha kāraṇamāha ‘‘pariccattañhi ta’’nti. Tañhi yasmā pariccattaṃ, tasmā akappiyaṃ na karotīti vuttaṃ hoti. Evaṃ akatvāti yathāvuttapakārena akatvā. Ākirateva ceti sace bhājane ākirati eva. Taṃ tathā pakkhittaṃ bhattabhājanaṃ. Nirāmisaṃ katvāti tattha patitaṃ āmisaṃ yathā na tiṭṭhati, evaṃ dhovitvā bhuñjitabbanti sambandho.
๑๔๗๒-๓. กุฎนฺติ ฆฎํฯ อาวเชฺชตีติ กุฎํ นาเมตฺวา ยาคุํ อาสิญฺจติฯ
1472-3.Kuṭanti ghaṭaṃ. Āvajjetīti kuṭaṃ nāmetvā yāguṃ āsiñcati.
๑๔๗๔. หเตฺถติ เทฺว หเตฺถฯ ตตฺถาติ ตตฺถ ภูมิยํ ฐปิเตสุ ทฺวีสุ หตฺถตเลสุฯ
1474.Hattheti dve hatthe. Tatthāti tattha bhūmiyaṃ ṭhapitesu dvīsu hatthatalesu.
๑๔๗๕-๖. เอกสฺส คหณูปคํ เจ ภารนฺติ ถามมชฺฌิเมน เอเกน ปุริเสน อุกฺขิปนปฺปมาณํ ภารํ สเจ ภเวยฺยฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘เอกสฺส คหณูปคํ ภาร’’นฺติ อิทํ ปจฺจามสติฯ
1475-6.Ekassa gahaṇūpagaṃ ce bhāranti thāmamajjhimena ekena purisena ukkhipanappamāṇaṃ bhāraṃ sace bhaveyya. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘ekassa gahaṇūpagaṃ bhāra’’nti idaṃ paccāmasati.
๑๔๗๗. ลเคฺคนฺตีติ โอลมฺพนฺติฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ มญฺจปีเฐฯ วฎฺฎเตวาติ อุคฺคหิตกํ น โหตีติ ทีเปติฯ
1477.Laggentīti olambanti. Tatthāti tasmiṃ mañcapīṭhe. Vaṭṭatevāti uggahitakaṃ na hotīti dīpeti.
๑๔๗๘. สมฺมุชฺชโนฺตติ สมฺมชฺชโนฺตฯ ฆเฎฺฎตีติ อสญฺจิจฺจ สมฺมชฺชนิยา ผุสติฯ
1478.Sammujjantoti sammajjanto. Ghaṭṭetīti asañcicca sammajjaniyā phusati.
๑๔๗๙. ตํ ญตฺวาติ ปฎิคฺคหิตภาวํ ญตฺวาฯ ฐเปตุํ วฎฺฎติ อุคฺคหิตกํ น โหตีติ อธิปฺปาโยฯ
1479.Taṃ ñatvāti paṭiggahitabhāvaṃ ñatvā. Ṭhapetuṃ vaṭṭati uggahitakaṃ na hotīti adhippāyo.
๑๔๘๐. ตนฺติ ปฎิคฺคหิตสญฺญาย คหิตํ ตํ อปฺปฎิคฺคหิตํฯ อญฺญถา ปน น กตฺตพฺพนฺติ อปิหิตํ ปิธาตุญฺจ ปิหิตํ วิวริตุญฺจ น วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ
1480.Tanti paṭiggahitasaññāya gahitaṃ taṃ appaṭiggahitaṃ. Aññathā pana na kattabbanti apihitaṃ pidhātuñca pihitaṃ vivarituñca na vaṭṭatīti attho.
๑๔๘๑. พหิ ฐเปติ เจติ ยทิ ปุเพฺพ ฐปิตฎฺฐานโต พหิ ฐเปติฯ เตนาติ พหิ ฐเปตฺวา มุตฺตหเตฺถน เตน ภิกฺขุนาฯ ตนฺติ พหิ ฐปิตํ หตฺถโต มุตฺตํฯ ญตฺวาติ อปฺปฎิคฺคหิตภาวํ ญตฺวาฯ ตํ ตถา ญตฺวา ฐปิตํฯ
1481.Bahiṭhapeti ceti yadi pubbe ṭhapitaṭṭhānato bahi ṭhapeti. Tenāti bahi ṭhapetvā muttahatthena tena bhikkhunā. Tanti bahi ṭhapitaṃ hatthato muttaṃ. Ñatvāti appaṭiggahitabhāvaṃ ñatvā. Taṃ tathā ñatvā ṭhapitaṃ.
๑๔๘๒-๓. อุเฎฺฐติ ยทิ กณฺณิกาติ สเจ กณฺณิกา สญฺชายติฯ สิงฺคิเวราทิเกติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ปิปฺผลิอาทีนํ คหณํฯ มูเลติ ปญฺจมูลาทิเก มูเลฯ ฆุณจุณฺณนฺติ ฆุณปาณเกหิ อุปฺปาทิตจุณฺณํฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘อุเฎฺฐตี’’ติ กิริยํ ปจฺจามสติฯ ตํสมุฎฺฐานโตติ ปฎิคฺคหิตเตลาทีสุ สมุปฺปนฺนตฺตาฯ ตเญฺญวาติ ปวุจฺจตีติ ปฐมปฎิคฺคหิตํ ตเมว เตลาทิกนฺติ วุจฺจติฯ เตนาห ‘‘ปฎิคฺคหณ…เป.… น วิชฺชตี’’ติฯ
1482-3.Uṭṭheti yadi kaṇṇikāti sace kaṇṇikā sañjāyati. Siṅgiverādiketi ettha ādi-saddena pipphaliādīnaṃ gahaṇaṃ. Mūleti pañcamūlādike mūle. Ghuṇacuṇṇanti ghuṇapāṇakehi uppāditacuṇṇaṃ. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘uṭṭhetī’’ti kiriyaṃ paccāmasati. Taṃsamuṭṭhānatoti paṭiggahitatelādīsu samuppannattā. Taññevāti pavuccatīti paṭhamapaṭiggahitaṃ tameva telādikanti vuccati. Tenāha ‘‘paṭiggahaṇa…pe… na vijjatī’’ti.
๑๔๘๔-๕. โกจิ ปุคฺคโลติ สามเณรคมิกาทีสุปิ โย โกจิ สโตฺตฯ ตาลปิณฺฑินฺติ ตาลกณฺณิกํ ผลํฯ อโญฺญ ภูมโฎฺฐติ ภูมิยํ ฐิโต อโญฺญ โกจิ ปุคฺคโล อิตฺถี วา ปุริโส วาฯ
1484-5.Kocipuggaloti sāmaṇeragamikādīsupi yo koci satto. Tālapiṇḍinti tālakaṇṇikaṃ phalaṃ. Añño bhūmaṭṭhoti bhūmiyaṃ ṭhito añño koci puggalo itthī vā puriso vā.
๑๔๘๖. ฉินฺทิตฺวาติ ฉินฺทํ กตฺวาฯ วตินฺติ หตฺถปาสปฺปโหนกพหลวติํฯ ยถาห ‘‘หตฺถปาเส สตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕)ฯ ทณฺฑเก อผุสิตฺวาวาติ ยตฺตเกน คมนเวโค นิพฺพายติ, เอตฺตกํ, ปหรณโต วติทณฺฑเก วา อปฺปหริตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ปหริตฺวา ฐตฺวา คจฺฉติ เจ, น วฎฺฎติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘มยํ ปน ‘ยํ ฐานํ ปหฎํ, ตโต สยํ ปติตมิว โหตี’ติ ตกฺกยามฯ ตสฺมิมฺปิ อฎฺฐตฺวา คจฺฉเนฺต ยุชฺชติ สุงฺกฆาตกโต ปวเฎฺฎตฺวา พหิ ปติตภณฺฑํ วิยา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕)ฯ
1486.Chinditvāti chindaṃ katvā. Vatinti hatthapāsappahonakabahalavatiṃ. Yathāha ‘‘hatthapāse satī’’ti (pāci. aṭṭha. 265). Daṇḍake aphusitvāvāti yattakena gamanavego nibbāyati, ettakaṃ, paharaṇato vatidaṇḍake vā appaharitvāti vuttaṃ hoti. Paharitvā ṭhatvā gacchati ce, na vaṭṭati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘mayaṃ pana ‘yaṃ ṭhānaṃ pahaṭaṃ, tato sayaṃ patitamiva hotī’ti takkayāma. Tasmimpi aṭṭhatvā gacchante yujjati suṅkaghātakato pavaṭṭetvā bahi patitabhaṇḍaṃ viyā’’ti (pāci. aṭṭha. 265).
๑๔๘๗-๘. ปากาโรติ เอตฺถ ‘‘วติํ วา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕) อฎฺฐกถายํ อาคตตฺตา อิทํ อธิการโต คเหตพฺพํฯ ‘‘น ปุถุโล’’ติ เอตฺถ อธิเปฺปตปฺปมาณํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อโนฺต…เป.… ปโหติ เจ’’ติฯ ‘‘อุทฺธํ หตฺถสตํ คนฺตฺวา’’ติ อิมินา ทายกสฺส ทาตุมิจฺฉาย อากาสํ ตํ อุกฺขิปิตฺวา วิสฺสฎฺฐภาวํ ญาเปติฯ สมฺปตฺตนฺติ หตฺถปฺปตฺตํฯ คณฺหโตติ ปฎิคฺคหณสญฺญาย คณฺหโตฯ
1487-8.Pākāroti ettha ‘‘vatiṃ vā’’ti (pāci. aṭṭha. 265) aṭṭhakathāyaṃ āgatattā idaṃ adhikārato gahetabbaṃ. ‘‘Na puthulo’’ti ettha adhippetappamāṇaṃ dassetumāha ‘‘anto…pe… pahoti ce’’ti. ‘‘Uddhaṃ hatthasataṃ gantvā’’ti iminā dāyakassa dātumicchāya ākāsaṃ taṃ ukkhipitvā vissaṭṭhabhāvaṃ ñāpeti. Sampattanti hatthappattaṃ. Gaṇhatoti paṭiggahaṇasaññāya gaṇhato.
๑๔๘๙. ‘‘สามเณร’’นฺติ อิทํ อุปลกฺขณนฺติ คิหิโนปิ คหณํฯ ตเตฺถวาติ ขเนฺธ เอวฯ นิสิโนฺน สามเณโรฯ
1489.‘‘Sāmaṇera’’nti idaṃ upalakkhaṇanti gihinopi gahaṇaṃ. Tatthevāti khandhe eva. Nisinno sāmaṇero.
๑๔๙๑-๒. ผลินิํ สาขนฺติ ผลวติํ สาขํฯ ‘‘ขาทิตุ’’นฺติ อิทํ ‘‘จิเตฺต สมุปฺปเนฺน’’ติ อิมินา โยเชตพฺพํฯ สเจ ผลํ ขาทติ, เอวํ ขาทิตุํ วฎฺฎตีติ โยชนาฯ มกฺขิกานํ นิวารตฺถนฺติ มกฺขิกานํ นิวาเรตุํฯ
1491-2.Phaliniṃ sākhanti phalavatiṃ sākhaṃ. ‘‘Khāditu’’nti idaṃ ‘‘citte samuppanne’’ti iminā yojetabbaṃ. Sace phalaṃ khādati, evaṃ khādituṃ vaṭṭatīti yojanā. Makkhikānaṃ nivāratthanti makkhikānaṃ nivāretuṃ.
๑๔๙๓. ฉายตฺถญฺจ มกฺขิกา นิวาเรตุญฺจ คยฺหมานา ผลสาขา สุขปริโภคตฺถาย กปฺปิยํ การาเปตฺวา ปฎิคฺคหิตา เจ, ขาทิตุมิจฺฉาย สติ ปุน อปฺปฎิคฺคหิตาปิ วฎฺฎตีติ ทเสฺสตุมาห ‘‘กปฺปิยํ ปน กาเรตฺวา’’ติอาทิฯ
1493. Chāyatthañca makkhikā nivāretuñca gayhamānā phalasākhā sukhaparibhogatthāya kappiyaṃ kārāpetvā paṭiggahitā ce, khāditumicchāya sati puna appaṭiggahitāpi vaṭṭatīti dassetumāha ‘‘kappiyaṃ pana kāretvā’’tiādi.
๑๔๙๔-๕. ‘‘ตํ โส ปฎิคฺคหาเปตฺวา’’ติ วกฺขมานตฺตา ‘‘คเหตฺวา’’ติ อิทํ อปฺปฎิคฺคหาเปตฺวา คหณํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ ตํ ปฎิคฺคหิตนฺติ เอตฺถ ‘‘เจ ปุพฺพเมวา’’ติ เสโสฯ
1494-5. ‘‘Taṃ so paṭiggahāpetvā’’ti vakkhamānattā ‘‘gahetvā’’ti idaṃ appaṭiggahāpetvā gahaṇaṃ sandhāya vuttanti gahetabbaṃ. Taṃ paṭiggahitanti ettha ‘‘ce pubbamevā’’ti seso.
๑๔๙๖-๙. ภิกฺขุสฺส ปาเถยฺยตณฺฑุเลติ สมฺพโนฺธฯ โสติ สามเณโรฯ อิตเรหีติ ภิกฺขุนา คหิเตหิ อตฺตโน ตณฺฑุเลหิฯ
1496-9. Bhikkhussa pātheyyataṇḍuleti sambandho. Soti sāmaṇero. Itarehīti bhikkhunā gahitehi attano taṇḍulehi.
ทฺวีสุ ปเตฺตสูติ อุปลกฺขณํฯ พหูสุปิ เอเสว นโยฯ อตฺตนา ลทฺธํ ภิกฺขูนํ ทตฺวา เตหิ ลทฺธํ อตฺตนา คเหตฺวา อเญฺญสํ ทานวเสน พหุนฺนมฺปิ ทาตุํ วฎฺฎตีติ อฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕ อตฺถโต สมานํ) วุตฺตํ ตเมว ทเสฺสตุมาห ‘‘ยาคุํ ภิกฺขุสฺสา’’ติอาทิฯ ‘‘อาวุโส ตุยฺหํ ยาคุํ มยฺหํ เทหี’ติ เอวํ เถเรหิ ปฎิปาฎิยา ยาจิตฺวาปิ ปิวิตุํ วฎฺฎติ, สเพฺพหิ สามเณรสฺส สนฺตกเมว ภุตฺตํ โหตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ สามเณรสฺส ปีตตฺตาติ เอตฺถ ‘‘ยาคุยา’’ติอิทํ อธิการโต ลพฺภติฯ
Dvīsu pattesūti upalakkhaṇaṃ. Bahūsupi eseva nayo. Attanā laddhaṃ bhikkhūnaṃ datvā tehi laddhaṃ attanā gahetvā aññesaṃ dānavasena bahunnampi dātuṃ vaṭṭatīti aṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 265 atthato samānaṃ) vuttaṃ tameva dassetumāha ‘‘yāguṃ bhikkhussā’’tiādi. ‘‘Āvuso tuyhaṃ yāguṃ mayhaṃ dehī’ti evaṃ therehi paṭipāṭiyā yācitvāpi pivituṃ vaṭṭati, sabbehi sāmaṇerassa santakameva bhuttaṃ hotī’’ti (pāci. aṭṭha. 265) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Sāmaṇerassa pītattāti ettha ‘‘yāguyā’’tiidaṃ adhikārato labbhati.
๑๕๐๐. อิมสฺสาติ ปาเถยฺยตณฺฑุลหารกสฺสฯ ‘‘น วิเสสตา’’ติ อิมินา วิสุํ อวตฺตพฺพตํ ทีเปติฯ
1500.Imassāti pātheyyataṇḍulahārakassa. ‘‘Na visesatā’’ti iminā visuṃ avattabbataṃ dīpeti.
๑๕๐๑. อสฺส วิเสสสฺสาติ ยถาวุตฺตวินิจฺฉยวิเสสสฺส วิสุํ วตฺตพฺพภาเวติ เสโสฯ ตสฺสาติ สามเณรตณฺฑุลหารกสฺส ภิกฺขุสฺสฯ สาลยภาวนฺติ อตฺตนา หฎตณฺฑุเลสุ ปริกฺขีเณสุ ‘‘อิทํ อมฺหากมฺปิ ปทสฺสตี’’ติ สาลยภาโวฯ ฉายาทีนมตฺถาย คยฺหมานาย สาขาย อิมิสฺสา ผลํ ขาทิตุกามตาย สติ ขาทนารหนฺติ อาลยสฺส กาตุํ สกฺกุเณยฺยตฺตา อยมฺปิ อวิเสโสติ วิญฺญายติ, ตตฺถ สมฺภวนฺตํ ปน วิเสสํ ทเสฺสตุมาหาติ วตฺตุํ ยุชฺชติฯ
1501.Assa visesassāti yathāvuttavinicchayavisesassa visuṃ vattabbabhāveti seso. Tassāti sāmaṇerataṇḍulahārakassa bhikkhussa. Sālayabhāvanti attanā haṭataṇḍulesu parikkhīṇesu ‘‘idaṃ amhākampi padassatī’’ti sālayabhāvo. Chāyādīnamatthāya gayhamānāya sākhāya imissā phalaṃ khāditukāmatāya sati khādanārahanti ālayassa kātuṃ sakkuṇeyyattā ayampi avisesoti viññāyati, tattha sambhavantaṃ pana visesaṃ dassetumāhāti vattuṃ yujjati.
๑๕๐๒-๔. นิจฺจาเลตุํ น สโกฺกตีติ นิจฺจาเลตฺวา สกฺขรา อปเนตุํ น สโกฺกติฯ เจลโกติ จูฬสามเณโรฯ ปกฺกกาลสฺมิํ วิวริตฺวา ปกฺกตา ญาตพฺพาติ โยชนาฯ ปิ-สโทฺท ปน-สทฺทเตฺถฯ โอโรเปตฺวาติ อุทฺธนโต โอโรเปตฺวาฯ ปุพฺพตณฺฑุลโธวนตฺถาย กตปฎิคฺคหณเสฺสว ปมาณตฺตา อาห ‘‘น ปจฺฉสฺส ปฎิคฺคหณการณ’’นฺติฯ อสฺสาติ โภชนสฺสฯ
1502-4.Niccāletuṃ na sakkotīti niccāletvā sakkharā apanetuṃ na sakkoti. Celakoti cūḷasāmaṇero. Pakkakālasmiṃ vivaritvā pakkatā ñātabbāti yojanā. Pi-saddo pana-saddatthe. Oropetvāti uddhanato oropetvā. Pubbataṇḍuladhovanatthāya katapaṭiggahaṇasseva pamāṇattā āha ‘‘na pacchassa paṭiggahaṇakāraṇa’’nti. Assāti bhojanassa.
๑๕๐๕. การิตนฺตสฺส ทฺวิกมฺมกตฺตา อาห ‘‘อุทฺธนํ สุทฺธภาชน’’นฺติ, อุทฺธเนติ วุตฺตํ โหติฯ
1505. Kāritantassa dvikammakattā āha ‘‘uddhanaṃ suddhabhājana’’nti, uddhaneti vuttaṃ hoti.
๑๕๐๖. โกจีติ อนุปสมฺปโนฺนฯ เตน ภิกฺขุนาติ อุทฺธนํ สุทฺธภาชนํ อาโรเปตฺวา เยน อคฺคิ กโต, เตน ภิกฺขุนาฯ อิทญฺจ อุปลกฺขณํ อเญฺญนปิ น กาตพฺพตฺตาฯ
1506.Kocīti anupasampanno. Tena bhikkhunāti uddhanaṃ suddhabhājanaṃ āropetvā yena aggi kato, tena bhikkhunā. Idañca upalakkhaṇaṃ aññenapi na kātabbattā.
๑๕๐๗. ปจฺฉาติ ตณฺฑุลปเกฺขปโต ปจฺฉาฯ ตํ ยาคุํฯ สเจ ปจตีติ อคฺคิํ กโรโนฺต ปจติฯ สามปากา น มุจฺจตีติ ตํ ยาคุํ ปิวโนฺต สามปากทุกฺกฎโต น มุจฺจติฯ
1507.Pacchāti taṇḍulapakkhepato pacchā. Taṃ yāguṃ. Sace pacatīti aggiṃ karonto pacati. Sāmapākā na muccatīti taṃ yāguṃ pivanto sāmapākadukkaṭato na muccati.
๑๕๐๘. วลฺลิยา สห ตตฺถ วลฺลิยํ ชาตํ ผลํ กิญฺจิ อีสกมฺปิ จาเลติ, ตโต ลทฺธํ กิญฺจิ ผลํ ตเสฺสว ภิกฺขุโน น วฎฺฎตีติ โยชนา, ตํ ปริภุญฺชโต ทุรุปจิณฺณทุกฺกฎํ โหตีติ อธิปฺปาโยฯ ตเสฺสวาติ เอวกาเรน อเญฺญสํ วฎฺฎตีติ ทีเปติฯ
1508. Valliyā saha tattha valliyaṃ jātaṃ phalaṃ kiñci īsakampi cāleti, tato laddhaṃ kiñci phalaṃ tasseva bhikkhuno na vaṭṭatīti yojanā, taṃ paribhuñjato durupaciṇṇadukkaṭaṃ hotīti adhippāyo. Tassevāti evakārena aññesaṃ vaṭṭatīti dīpeti.
๑๕๐๙. ปรามฎฺฐุนฺติ อามสิตุํฯ อปสฺสยิตุนฺติ อวลมฺพิตุํ, อปสฺสนํ วา กาตุํฯ ‘‘กิรา’’ติ อิมินา เกวลํ มหาปจฺจริยํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕) วุตฺตภาวํ สูเจติฯ
1509.Parāmaṭṭhunti āmasituṃ. Apassayitunti avalambituṃ, apassanaṃ vā kātuṃ. ‘‘Kirā’’ti iminā kevalaṃ mahāpaccariyaṃ (pāci. aṭṭha. 265) vuttabhāvaṃ sūceti.
๑๕๑๐-๑. ตตฺถาติ ตสฺมิํ เตเลฯ หเตฺถน สณฺฑาสคฺคหณํ อมุญฺจเนฺตนฯ ตํ เตลํฯ
1510-1.Tatthāti tasmiṃ tele. Hatthena saṇḍāsaggahaṇaṃ amuñcantena. Taṃ telaṃ.
๑๕๑๕-๖. โลณกิจฺจนฺติ อลวณฎฺฐาเน โลเณน กาตพฺพกิจฺจํฯ สนฺนิหิตเสสกาลิกสมฺมิสฺสํ ยาวชีวิกํ วิย สมุโทฺททกสฺส อสนฺนิธิภาวํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ยาวชีวิกสงฺขาต’’นฺติอาทิฯ กาลวินิมฺมุตฺตนฺติ อกาลิกํ, จตูสุ กาลิเกสุ อสงฺคหิตนฺติ อโตฺถฯ
1515-6.Loṇakiccanti alavaṇaṭṭhāne loṇena kātabbakiccaṃ. Sannihitasesakālikasammissaṃ yāvajīvikaṃ viya samuddodakassa asannidhibhāvaṃ dassetumāha ‘‘yāvajīvikasaṅkhāta’’ntiādi. Kālavinimmuttanti akālikaṃ, catūsu kālikesu asaṅgahitanti attho.
๑๕๑๗. หิมสฺส กรกาติ หิโมทกสฺส มุตฺตา วิย ปตฺถินสกฺขราฯ พหลมฺปิ จาติ ปกฺขิตฺตฎฺฐาเน มุเข วา กทฺทมวณฺณสฺส อปญฺญายนปฺปมาณพหลํ ปานียญฺจฯ อปฺปฎิคฺคหิตํ วฎฺฎติฯ สเจ กทฺทมวณฺณํ ปญฺญายติ, น วฎฺฎตีติฯ ยถาห ‘‘สเจ ปน มุเข จ หเตฺถ จ ลคฺคติ, น วฎฺฎติ, ปฎิคฺคเหตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕)ฯ
1517.Himassa karakāti himodakassa muttā viya patthinasakkharā. Bahalampi cāti pakkhittaṭṭhāne mukhe vā kaddamavaṇṇassa apaññāyanappamāṇabahalaṃ pānīyañca. Appaṭiggahitaṃ vaṭṭati. Sace kaddamavaṇṇaṃ paññāyati, na vaṭṭatīti. Yathāha ‘‘sace pana mukhe ca hatthe ca laggati, na vaṭṭati, paṭiggahetvā paribhuñjitabba’’nti (pāci. aṭṭha. 265).
๑๕๑๘. กสิตฎฺฐาเนติ กฎฺฐฎฺฐาเนฯ น วฎฺฎติ อปฺปฎิคฺคหิตํฯ เอวํ สพฺพตฺถฯ
1518.Kasitaṭṭhāneti kaṭṭhaṭṭhāne. Na vaṭṭati appaṭiggahitaṃ. Evaṃ sabbattha.
๑๕๑๙. โสโพฺภ ทุโกฺขคาหนชลาสโยฯ ‘‘อาวาโฎ’’ติ เกจิฯ กกุโธติ อชฺชุโนฯ
1519.Sobbho dukkhogāhanajalāsayo. ‘‘Āvāṭo’’ti keci. Kakudhoti ajjuno.
๑๕๒๐. ปานียสฺส ฆเฎติ ปานียฆเฎฯ ตํ ปานียฆฎํฯ
1520.Pānīyassa ghaṭeti pānīyaghaṭe. Taṃ pānīyaghaṭaṃ.
๑๕๒๑. วาสตฺถาย ปุปฺผานิ วาสปุปฺผานิฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ปานียฆเฎฯ กมลฺลิกาสูติ ปาฎลิกุสุมาทีหิปิ สห กณฺฎกมลฺลิกาสุฯ ทินฺนาสูติ ปานีเย ปกฺขิตฺตาสุฯ
1521. Vāsatthāya pupphāni vāsapupphāni. Tatthāti tasmiṃ pānīyaghaṭe. Kamallikāsūti pāṭalikusumādīhipi saha kaṇṭakamallikāsu. Dinnāsūti pānīye pakkhittāsu.
๑๕๒๒. วิสตีติ อโนฺตคลํ ปวิสติฯ เตเนว อฎฺฐกถายํ ‘‘อปฺปฎิคฺคเหตฺวา ฐปิตํ ปฎิคฺคเหตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕) วุตฺตํฯ อิทํ อฎฺฐกถาวจนํ ‘‘อญฺญตฺร อุทกทนฺตโปนา’’ติ (ปาจิ. ๒๖๖) ปาฬิยา วิรุชฺฌตีติ เจ? น วิรุชฺฌติฯ สา หิ เกวลํ ทนฺตกิจฺจํ สนฺธาย วุตฺตา, อิทํ รสํ สนฺธาย วุตฺตนฺติฯ เตเนว ตทนนฺตรํ ‘‘อชานนฺตสฺส รเส ปวิเฎฺฐปิ อาปตฺติเยวฯ อจิตฺตกญฺหิ อิทํ สิกฺขาปท’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕) วุตฺตํฯ ตสฺส สิกฺขาปทสฺส อจิตฺตกตา ‘‘อปฺปฎิคฺคหิตเก ปฎิคฺคหิตสญฺญี’’ติอาทิกาย ปาฬิยา กปฺปิยสญฺญิโนปิ ปาจิตฺติยสฺส วุตฺตตฺตา วิญฺญายติฯ ปสโนฺนทกสฺส ปน อปฺปฎิคฺคเหตฺวาปิ ปาตพฺพตาย ทนฺตกเฎฺฐน สทิสตฺตา เอกโยคนิทฺทิฎฺฐานํ สเหว ปวตฺตีติ วิญฺญายติฯ อุทกสฺส จ ทนฺตโปนสฺส จ ตุลฺยโทเสน ภวิตพฺพนฺติฯ
1522.Visatīti antogalaṃ pavisati. Teneva aṭṭhakathāyaṃ ‘‘appaṭiggahetvā ṭhapitaṃ paṭiggahetabba’’nti (pāci. aṭṭha. 265) vuttaṃ. Idaṃ aṭṭhakathāvacanaṃ ‘‘aññatra udakadantaponā’’ti (pāci. 266) pāḷiyā virujjhatīti ce? Na virujjhati. Sā hi kevalaṃ dantakiccaṃ sandhāya vuttā, idaṃ rasaṃ sandhāya vuttanti. Teneva tadanantaraṃ ‘‘ajānantassa rase paviṭṭhepi āpattiyeva. Acittakañhi idaṃ sikkhāpada’’nti (pāci. aṭṭha. 265) vuttaṃ. Tassa sikkhāpadassa acittakatā ‘‘appaṭiggahitake paṭiggahitasaññī’’tiādikāya pāḷiyā kappiyasaññinopi pācittiyassa vuttattā viññāyati. Pasannodakassa pana appaṭiggahetvāpi pātabbatāya dantakaṭṭhena sadisattā ekayoganiddiṭṭhānaṃ saheva pavattīti viññāyati. Udakassa ca dantaponassa ca tulyadosena bhavitabbanti.
๑๕๒๓. มุโตฺตทกสิงฺฆาณิกาทิทฺรวอสฺสุขีราทิทฺรวสฺส อาโปธาตุปฺปการตฺตา, กณฺณมลาทิโน ฆนทพฺพสฺส ปถวิธาตุปฺปการตฺตา ‘‘สรีรเฎฺฐสุ ภูเตสู’’ติ อิมินา ขีราทิมาหฯ ‘‘กิ’’นฺติ อิทํ น วฎฺฎตีติ ปเทนปิ โยเชตพฺพํฯ กปฺปากปฺปิยมํสานนฺติ เอตฺถ ‘‘สตฺตาน’’นฺติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ
1523. Muttodakasiṅghāṇikādidravaassukhīrādidravassa āpodhātuppakārattā, kaṇṇamalādino ghanadabbassa pathavidhātuppakārattā ‘‘sarīraṭṭhesu bhūtesū’’ti iminā khīrādimāha. ‘‘Ki’’nti idaṃ na vaṭṭatīti padenapi yojetabbaṃ. Kappākappiyamaṃsānanti ettha ‘‘sattāna’’nti sāmatthiyā labbhati.
๑๕๒๔. โลณนฺติ เอตฺถ ‘‘เอตํ สพฺพมฺปี’’ติ อิทํ อธิการโต ลพฺภติฯ
1524.Loṇanti ettha ‘‘etaṃ sabbampī’’ti idaṃ adhikārato labbhati.
๑๕๒๕. เอตฺถาติ เอเตสุ ยถาวุเตฺตสุ กณฺณมลาทีสุฯ
1525.Etthāti etesu yathāvuttesu kaṇṇamalādīsu.
๑๕๒๘. จตฺตาริ วิกฎานีติ มหาวิกฎํ นาม คูถํ, มตฺติกา, มุตฺตํ, ฉาริกา จาติ วุตฺตานิ จตฺตาริ วิกฎานิฯ ตานิ หิ วิรุทฺธานิ สปฺปวิสานิ กตานิ วิหตานีติ ‘‘วิกฎานี’’ติ วุจฺจนฺติฯ นตฺถิ ทายโก เอตฺถาติ นทายกํ, ฐานํ, ตสฺมิํฯ ‘‘น อ โน มา อลํ ปฎิเสเธ’’ติ วุตฺตตฺตา ปฎิเสธวาจินา น-สเทฺทน สมาโส, ‘‘อทายเก’’ติ อิมินา อนตฺถนฺตรํฯ อิธ ทุพฺพโจ จ อสมโตฺถ จ อสโนฺต นามาติ อฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๕; กงฺขา. อฎฺฐ. ทนฺตโปนสิกฺขาปทวณฺณนา, อตฺถโต สมานํ) วุตฺตํฯ อิทํ กาโลทิสฺสํ นามฯ
1528.Cattārivikaṭānīti mahāvikaṭaṃ nāma gūthaṃ, mattikā, muttaṃ, chārikā cāti vuttāni cattāri vikaṭāni. Tāni hi viruddhāni sappavisāni katāni vihatānīti ‘‘vikaṭānī’’ti vuccanti. Natthi dāyako etthāti nadāyakaṃ, ṭhānaṃ, tasmiṃ. ‘‘Na a no mā alaṃ paṭisedhe’’ti vuttattā paṭisedhavācinā na-saddena samāso, ‘‘adāyake’’ti iminā anatthantaraṃ. Idha dubbaco ca asamattho ca asanto nāmāti aṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 265; kaṅkhā. aṭṭha. dantaponasikkhāpadavaṇṇanā, atthato samānaṃ) vuttaṃ. Idaṃ kālodissaṃ nāma.
๑๕๒๙. ปถวินฺติ อกปฺปิยปถวิํฯ ตรุนฺติ อลฺลรุกฺขํฯ อิมินา สปฺปทฎฺฐกาเล อสติ กปฺปิยการเก วิกฎตฺถาย อตฺตนา จ กตฺตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ
1529.Pathavinti akappiyapathaviṃ. Tarunti allarukkhaṃ. Iminā sappadaṭṭhakāle asati kappiyakārake vikaṭatthāya attanā ca kattabbanti dasseti.
๑๕๓๐. อเจฺฉทคาหโตติ วิลุมฺปิตฺวา คณฺหนโตฯ ‘‘ตสฺสา’’ติ อิทํ สเพฺพหิ เหตุปเทหิ ยุชฺชติฯ ตสฺสาติ อปฺปฎิคฺคหิตสฺสาติ อโตฺถฯ อปรสฺส อภิกฺขุกสฺส ทาเนน จาติ โยชนาฯ ‘‘อภิกฺขุกสฺสา’’ติ ปน วิเสสเนน อุปสมฺปนฺนสฺส ทิเนฺน ปฎิคฺคหณํ น วิชหตีติ ทีเปติฯ สพฺพนฺติ ยถาวุตฺตํ กาเยน คหณาทิปฺปการสฺส กลฺยํ คหิตํฯ เอวนฺติ อิมินา นิยาเมนฯ
1530.Acchedagāhatoti vilumpitvā gaṇhanato. ‘‘Tassā’’ti idaṃ sabbehi hetupadehi yujjati. Tassāti appaṭiggahitassāti attho. Aparassa abhikkhukassa dānena cāti yojanā. ‘‘Abhikkhukassā’’ti pana visesanena upasampannassa dinne paṭiggahaṇaṃ na vijahatīti dīpeti. Sabbanti yathāvuttaṃ kāyena gahaṇādippakārassa kalyaṃ gahitaṃ. Evanti iminā niyāmena.
๑๕๓๑. ทุรุปจิเณฺณติ ทุฎฺฐุ อุปจิเณฺณ ทุรามเฎฺฐ, อปฺปฎิคฺคหิตสฺส อามิสภตฺตภาชนาทิโน กีฬาวเสน หเตฺถน ปรามสเน จ ตตฺถชาตกผลินิํ สาขาย วา วลฺลิยา วา คเหตฺวา จาลเน จาติ อโตฺถฯ อุคฺคหิตสฺส คหเณติ อปฺปฎิคฺคหิตภาวํ ญตฺวาว คหิตสฺส กสฺสจิ วตฺถุโน ปฎิคฺคหเณ จฯ อโนฺตวุเตฺถ จาติ อกปฺปิยกุฎิยา อโนฺต ฐเปตฺวา อรุณํ อุฎฺฐาปิเต จฯ สยํปเกฺก จาติ ยตฺถ กตฺถจิ อตฺตนา ปเกฺก จฯ อโนฺตปเกฺก จาติ อกปฺปิยกุฎิยา อโนฺตเยว ปเกฺก จฯ ทุกฺกฎํ นิทฺทิฎฺฐนฺติ สมฺพโนฺธฯ
1531.Durupaciṇṇeti duṭṭhu upaciṇṇe durāmaṭṭhe, appaṭiggahitassa āmisabhattabhājanādino kīḷāvasena hatthena parāmasane ca tatthajātakaphaliniṃ sākhāya vā valliyā vā gahetvā cālane cāti attho. Uggahitassa gahaṇeti appaṭiggahitabhāvaṃ ñatvāva gahitassa kassaci vatthuno paṭiggahaṇe ca. Antovutthe cāti akappiyakuṭiyā anto ṭhapetvā aruṇaṃ uṭṭhāpite ca. Sayaṃpakke cāti yattha katthaci attanā pakke ca. Antopakke cāti akappiyakuṭiyā antoyeva pakke ca. Dukkaṭaṃ niddiṭṭhanti sambandho.
๑๕๓๒-๓. ปฎิคฺคหิตเก ตสฺมิํ ปฎิคฺคหิตสญฺญิสฺสาติ สมฺพโนฺธฯ ทนฺตโปนํ ทนฺตกฎฺฐํฯ
1532-3. Paṭiggahitake tasmiṃ paṭiggahitasaññissāti sambandho. Dantaponaṃ dantakaṭṭhaṃ.
๑๕๓๔. ภิกฺขุนีนนฺติ ภิกฺขุโน จ ภิกฺขุนิยา จ ภิกฺขุนีนํ, เอกเทสสรูเปกเสโสฯ เอตฺถ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ วินิจฺฉโย นวมชฺฌิมเถรภิกฺขุนีนํ ยโต อวิเสเสน อิจฺฉิตพฺพโก, ตโต ตสฺมา เหตุนา สกโล อยํ วินิจฺฉโย อสมาสโต มยา กถิโตติ โยชนาฯ กุสลตฺติกาทีสุ วิย อตฺถสากลฺยสฺส อตฺถสเงฺขปโตว วตฺตุํ สกฺกุเณยฺยตฺตา ‘‘สกโล’’ติ วตฺวาปิ กถาย วิตฺถาริตภาวํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อสมาสโต’’ติฯ
1534.Bhikkhunīnanti bhikkhuno ca bhikkhuniyā ca bhikkhunīnaṃ, ekadesasarūpekaseso. Ettha imasmiṃ sikkhāpade. Vinicchayo navamajjhimatherabhikkhunīnaṃ yato avisesena icchitabbako, tato tasmā hetunā sakalo ayaṃ vinicchayo asamāsato mayā kathitoti yojanā. Kusalattikādīsu viya atthasākalyassa atthasaṅkhepatova vattuṃ sakkuṇeyyattā ‘‘sakalo’’ti vatvāpi kathāya vitthāritabhāvaṃ dassetumāha ‘‘asamāsato’’ti.
ทนฺตโปนกถาวณฺณนาฯ
Dantaponakathāvaṇṇanā.
โภชนวโคฺค จตุโตฺถฯ
Bhojanavaggo catuttho.
๑๕๓๕. ‘‘อเจลกาทีน’’นฺติอาทีสุ ‘‘อเจลโก นาม โย โกจิ ปริพฺพาชกสมาปโนฺน นโคฺค’’ติ (ปาจิ. ๒๗๑) ปทภาชเน วุตฺตํ, ตทฎฺฐกถาย ‘‘ปริพฺพาชกสมาปโนฺนติ ปพฺพชฺชํ สมาปโนฺน’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๖๙) วุตฺตํ, ตสฺมา อเจลกปพฺพชฺชมุปคโตเยเวตฺถ อเจลโก นามฯ อาทิ-สเทฺทน ‘‘ปริพฺพาชกสฺส วา ปริพฺพาชิกาย วา’’ติ (ปาจิ. ๒๗๐) มาติกา-คเต เทฺว สงฺคณฺหาติฯ อิเมสุ จ ทฺวีสุ ‘‘ปริพฺพาชโก นาม ภิกฺขุญฺจ สามเณรญฺจ ฐเปตฺวา โย โกจิ ปริพฺพาชกสมาปโนฺน’’ติ (ปาจิ. ๒๗๑) วุโตฺต ปริพฺพาชโก นามฯ ‘‘ภิกฺขุนิญฺจ สิกฺขมานญฺจ สามเณริญฺจ ฐเปตฺวา ยา กาจิ ปริพฺพาชิกสมาปนฺนา’’ติ (ปาจิ. ๒๗๑) วุตฺตา ปริพฺพาชิกา นามาติ คเหตพฺพาฯ ปริพฺพาชกา ปเนตฺถ ฉนฺนาเยว คเหตพฺพาฯ เทนฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘ภิกฺขุสฺสา’’ติ ปกรณโต ลพฺภติ, เอตฺถ ‘‘กายาทินา’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘ทเทยฺยาติ กาเยน วา กายปฎิพเทฺธน วา นิสฺสคฺคิเยน วา เทตี’’ติ (ปาจิ. ๒๗๑)ฯ
1535.‘‘Acelakādīna’’ntiādīsu ‘‘acelako nāma yo koci paribbājakasamāpanno naggo’’ti (pāci. 271) padabhājane vuttaṃ, tadaṭṭhakathāya ‘‘paribbājakasamāpannoti pabbajjaṃ samāpanno’’ti (pāci. aṭṭha. 269) vuttaṃ, tasmā acelakapabbajjamupagatoyevettha acelako nāma. Ādi-saddena ‘‘paribbājakassa vā paribbājikāya vā’’ti (pāci. 270) mātikā-gate dve saṅgaṇhāti. Imesu ca dvīsu ‘‘paribbājako nāma bhikkhuñca sāmaṇerañca ṭhapetvā yo koci paribbājakasamāpanno’’ti (pāci. 271) vutto paribbājako nāma. ‘‘Bhikkhuniñca sikkhamānañca sāmaṇeriñca ṭhapetvā yā kāci paribbājikasamāpannā’’ti (pāci. 271) vuttā paribbājikā nāmāti gahetabbā. Paribbājakā panettha channāyeva gahetabbā. Dentassāti ettha ‘‘bhikkhussā’’ti pakaraṇato labbhati, ettha ‘‘kāyādinā’’ti seso. Yathāha ‘‘dadeyyāti kāyena vā kāyapaṭibaddhena vā nissaggiyena vā detī’’ti (pāci. 271).
๑๕๓๖. ติกปาจิตฺติยนฺติ ติตฺถิเย ติตฺถิยสญฺญี, เวมติโก, อติตฺถิยสญฺญีติ ติเก ปาจิตฺติยตฺตยํฯ
1536.Tikapācittiyanti titthiye titthiyasaññī, vematiko, atitthiyasaññīti tike pācittiyattayaṃ.
๑๕๓๗. อติตฺถิเย ติตฺถิยสญฺญิสฺส, เวมติกสฺส จ ตสฺส ภิกฺขุโน ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ
1537. Atitthiye titthiyasaññissa, vematikassa ca tassa bhikkhuno dukkaṭanti yojanā.
๑๕๓๘-๙. เตสนฺติ ติตฺถิยานํฯ พหิเลปนนฺติ พหิสรีเร ลิมฺปิตพฺพํ กิญฺจิ เทนฺตสฺสฯ เตสํ ติตฺถิยานํ สนฺติเก สมีเป อตฺตโน ภตฺตปตฺตาทิกํ โภชนํ ฐเปตฺวา ‘‘โภชนํ คณฺหถา’’ติ วทนฺตสฺส จ อนาปตฺตีติ โยชนาฯ ‘‘สมุฎฺฐานํ เอฬกูปม’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ
1538-9.Tesanti titthiyānaṃ. Bahilepananti bahisarīre limpitabbaṃ kiñci dentassa. Tesaṃ titthiyānaṃ santike samīpe attano bhattapattādikaṃ bhojanaṃ ṭhapetvā ‘‘bhojanaṃ gaṇhathā’’ti vadantassa ca anāpattīti yojanā. ‘‘Samuṭṭhānaṃ eḷakūpama’’nti padacchedo.
อเจลกกถาวณฺณนาฯ
Acelakakathāvaṇṇanā.
๑๕๔๐-๒. ภิกฺขุ ภิกฺขุโน ยํ กิญฺจิ อามิสํ ทาเปตฺวา วา อทาเปตฺวา วาติ โยชนาฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ‘‘เอหาวุโส, คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย ปวิสิสฺสามา’’ติ (ปาจิ. ๒๗๕) สิกฺขาปเท วุตฺตนเยเนว วตฺวา เยน สทฺธิํ คามํ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ, ตสฺส ภิกฺขุสฺส ขาทนียาทิเภทํ ยํ กิญฺจิ อามิสํ ทาเปตฺวา วา อทาเปตฺวา วาติฯ
1540-2. Bhikkhu bhikkhuno yaṃ kiñci āmisaṃ dāpetvā vā adāpetvā vāti yojanā. Kiṃ vuttaṃ hoti? ‘‘Ehāvuso, gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya pavisissāmā’’ti (pāci. 275) sikkhāpade vuttanayeneva vatvā yena saddhiṃ gāmaṃ piṇḍāya paviṭṭho, tassa bhikkhussa khādanīyādibhedaṃ yaṃ kiñci āmisaṃ dāpetvā vā adāpetvā vāti.
ตํ ภิกฺขุํ ‘‘คจฺฉา’’ติ วตฺวา อุโยฺยเชตีติ โยชนาฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? เอวํ โย ภิกฺขุ เตน สทฺธิํ คามํ ปวิโฎฺฐ, ตํ ‘‘คจฺฉาวุโส, น เม ตยา สทฺธิํ กถา วา นิสชฺชา วา ผาสุ โหติ, เอกกสฺส เม กถา วา นิสชฺชา วา ผาสุ โหตี’’ติ (ปาจิ. ๒๗๕) วตฺวา ตปฺปจฺจยา เตสํ อิตฺถิยาสทฺธิํ วจนาทีนํ อนาจารานํ ปจฺจยา คนฺตุํ นิโยเชตีติฯ ตปฺปจฺจยาติ ‘‘อุโยฺยชนมตฺตสฺมิ’’นฺติ วิเสสนํฯ ปฐเมน จาติ เอตฺถ จ-สโทฺท อฎฺฐานปฺปยุโตฺต ‘‘อุโยฺยชนมตฺตสฺมิญฺจา’’ติ โยเชตโพฺพฯ ตสฺสาติ อุโยฺยชกสฺสฯ
Taṃ bhikkhuṃ ‘‘gacchā’’ti vatvā uyyojetīti yojanā. Kiṃ vuttaṃ hoti? Evaṃ yo bhikkhu tena saddhiṃ gāmaṃ paviṭṭho, taṃ ‘‘gacchāvuso, na me tayā saddhiṃ kathā vā nisajjā vā phāsu hoti, ekakassa me kathā vā nisajjā vā phāsu hotī’’ti (pāci. 275) vatvā tappaccayā tesaṃ itthiyāsaddhiṃ vacanādīnaṃ anācārānaṃ paccayā gantuṃ niyojetīti. Tappaccayāti ‘‘uyyojanamattasmi’’nti visesanaṃ. Paṭhamena cāti ettha ca-saddo aṭṭhānappayutto ‘‘uyyojanamattasmiñcā’’ti yojetabbo. Tassāti uyyojakassa.
อสฺสาติ อุโยฺยชิตสฺส, อวยวสมฺพเนฺธ สามิวจนํฯ อุปจารสฺมิํ อติกฺกเนฺตติ วกฺขมานลกฺขเณ ทสฺสนูปจาเร วา สวนูปจาเร วา อติกฺกเนฺตติ อโตฺถ, ภาวลกฺขเณ ภุมฺมํฯ ปุน อสฺสาติ อุปจารสฺสฯ ทฺวาทสรตนปริโยสานํ, ตทโนฺตคธํ ปาการาทิ เอว วา อุปจารสฺส สีมา นามฯ
Assāti uyyojitassa, avayavasambandhe sāmivacanaṃ. Upacārasmiṃ atikkanteti vakkhamānalakkhaṇe dassanūpacāre vā savanūpacāre vā atikkanteti attho, bhāvalakkhaṇe bhummaṃ. Puna assāti upacārassa. Dvādasaratanapariyosānaṃ, tadantogadhaṃ pākārādi eva vā upacārassa sīmā nāma.
๑๕๔๓. ตํ สรูปโต ทเสฺสตุมาห ‘‘ทสฺสเน’’ติอาทิฯ อโชฺฌกาเส ทสฺสเน อุปจารสฺส ทฺวาทส หตฺถา ปมาณํ เทสิตาติ โยชนาฯ สวเน จ อโชฺฌกาเส เอวํ สวนูปจารสฺส อโชฺฌกาเส ทฺวาทส หตฺถา ปมาณํ เทสิตาติ โยชนา, สวเน จ อุปจารสฺส อวธิ ทฺวาทสหตฺถปฺปมาณเมวาติ วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ น เจตเรติ อิตรสฺมิํ อนโชฺฌกาเส เอวํ อุปจารสฺส ปมาณํ ทฺวาทสหตฺถา น จ เทสิตา, กิํ นุ พฺยาวธากรา กุฎฺฎาทโย อุปจารสฺส ปมาณนฺติ เทสิตาติ วุตฺตํ โหติฯ วุตฺตเญฺจตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘สเจ ปน อนฺตรา กุฎฺฎทฺวารปาการาทโย โหนฺติ, เตหิ อนฺตริตภาโวเยว ทสฺสนูปจาราติกฺกโม, ตสฺส วเสน อาปตฺติ เวทิตพฺพา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๗๖)ฯ อิธ อุปจารทฺวเย สมาเนปิ อุโยฺยชิตมวธิอนฺตํ สนฺธาย อสวนูปจารํ วุตฺตนฺติ วิญฺญายติฯ
1543. Taṃ sarūpato dassetumāha ‘‘dassane’’tiādi. Ajjhokāse dassane upacārassa dvādasa hatthā pamāṇaṃ desitāti yojanā. Savane ca ajjhokāse evaṃ savanūpacārassa ajjhokāse dvādasa hatthā pamāṇaṃ desitāti yojanā, savane ca upacārassa avadhi dvādasahatthappamāṇamevāti vuttanti attho. Na cetareti itarasmiṃ anajjhokāse evaṃ upacārassa pamāṇaṃ dvādasahatthā na ca desitā, kiṃ nu byāvadhākarā kuṭṭādayo upacārassa pamāṇanti desitāti vuttaṃ hoti. Vuttañcetaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sace pana antarā kuṭṭadvārapākārādayo honti, tehi antaritabhāvoyeva dassanūpacārātikkamo, tassa vasena āpatti veditabbā’’ti (pāci. aṭṭha. 276). Idha upacāradvaye samānepi uyyojitamavadhiantaṃ sandhāya asavanūpacāraṃ vuttanti viññāyati.
๑๕๔๔. ‘‘ติกปาจิตฺตีติ อุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีหิ ติกปาจิตฺติยํ ฯ อิตเรติ อนุปสมฺปเนฺนฯ ติกทุกฺกฎนฺติ อนุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสน ติกทุกฺกฎํฯ ‘‘อิตเรติ สามเณเรเยวา’’ติ นิสฺสเนฺทเห ลิขิตํฯ เอตเสฺสวตฺถสฺส วชิรพุทฺธินาปิ วุตฺตภาโว ทสฺสิโตฯ ตถาทสฺสนํ ปญฺจสหธมฺมิเกสุ อิธาธิเปฺปตมนุปสมฺปนฺนํ สนฺธาย วุตฺตํ เจ, ยุชฺชติฯ อญฺญถา ปาฬิอฎฺฐกถาสุ ‘‘อนุปสมฺปเนฺน’’ติ สามเญฺญน นิทฺทิฎฺฐตฺตา คหฎฺฐานุปสมฺปนฺนมฺปิ ตถา อุโยฺยเชนฺตสฺส อนาปตฺติ น วตฺตพฺพาติ อมฺหากํ ขนฺติฯ
1544.‘‘Tikapācittīti upasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīhi tikapācittiyaṃ . Itareti anupasampanne. Tikadukkaṭanti anupasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena tikadukkaṭaṃ. ‘‘Itareti sāmaṇereyevā’’ti nissandehe likhitaṃ. Etassevatthassa vajirabuddhināpi vuttabhāvo dassito. Tathādassanaṃ pañcasahadhammikesu idhādhippetamanupasampannaṃ sandhāya vuttaṃ ce, yujjati. Aññathā pāḷiaṭṭhakathāsu ‘‘anupasampanne’’ti sāmaññena niddiṭṭhattā gahaṭṭhānupasampannampi tathā uyyojentassa anāpatti na vattabbāti amhākaṃ khanti.
อุภินฺนนฺติ อุปสมฺปนฺนานุปสมฺปนฺนานํฯ นิสฺสเนฺทเห ปน ‘‘ภิกฺขุสามเณราน’’นฺติ ลิขิตํฯ กลิสาสนาโรปเนติ เอตฺถ กลีติ โกโธ, ตสฺส สาสนํ อาณา กลิสาสนํ, ตสฺส อาโรปนํ ปวตฺตนํ กลิสาสนาโรปนํ, ตสฺมิํ, โกธวเสน ฐานนิสชฺชาทีสุ โทสํ ทเสฺสตฺวา ‘‘ปสฺสถ โภ อิมสฺส ฐานํ นิสชฺชํ อาโลกิตํ วิโลกิตํ, ขาณุโก วิย ติฎฺฐติ, สุนโข วิย นิสีทติ, มกฺกโฎ วิย อิโต จิโต จ วิโลเกตี’’ติ เอวํ ‘‘อเปฺปว นาม อิมินาปิ อุพฺพาโฬฺห ปกฺกเมยฺยา’’ติ อมนาปวจนสฺส ภณเนติ วุตฺตํ โหติฯ
Ubhinnanti upasampannānupasampannānaṃ. Nissandehe pana ‘‘bhikkhusāmaṇerāna’’nti likhitaṃ. Kalisāsanāropaneti ettha kalīti kodho, tassa sāsanaṃ āṇā kalisāsanaṃ, tassa āropanaṃ pavattanaṃ kalisāsanāropanaṃ, tasmiṃ, kodhavasena ṭhānanisajjādīsu dosaṃ dassetvā ‘‘passatha bho imassa ṭhānaṃ nisajjaṃ ālokitaṃ vilokitaṃ, khāṇuko viya tiṭṭhati, sunakho viya nisīdati, makkaṭo viya ito cito ca viloketī’’ti evaṃ ‘‘appeva nāma imināpi ubbāḷho pakkameyyā’’ti amanāpavacanassa bhaṇaneti vuttaṃ hoti.
๑๕๔๕. อุโยฺยเชนฺตสฺส กิเจฺจนาติ วิหารปาลกาทีนํ โภชนหรณาทิกิเจฺจน เปเสนฺตสฺส, อิมสฺส อุปลกฺขณตฺตา ‘‘อนาปตฺติ ‘อุโภ เอกโต น ยาเปสฺสามา’ติ อุโยฺยเชตี’’ติอาทินา (ปาจิ. ๒๗๘) อนาปตฺติวาราคตา สเพฺพปิ ปการา คเหตพฺพาฯ
1545.Uyyojentassakiccenāti vihārapālakādīnaṃ bhojanaharaṇādikiccena pesentassa, imassa upalakkhaṇattā ‘‘anāpatti ‘ubho ekato na yāpessāmā’ti uyyojetī’’tiādinā (pāci. 278) anāpattivārāgatā sabbepi pakārā gahetabbā.
อุโยฺยชนกถาวณฺณนาฯ
Uyyojanakathāvaṇṇanā.
๑๕๔๖. ขุทฺทเกติ เอตฺถ ‘‘สยนิฆเร’’ติ เสโส อุปริ ‘‘อสยนิฆเร ตสฺส, สยนิฆรสญฺญิโน’’ติ วกฺขมานตฺตา ลพฺภติฯ ‘‘มหลฺลเก’’ติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ปิฎฺฐิสงฺฆาฎโต อฑฺฒเตยฺยหตฺถปฺปมาณํ ยสฺส เวมเชฺฌ โหติ, อีทิเส ขุทฺทเก สยนิฆเรติ อโตฺถฯ ปิฎฺฐิวํสนฺติ ปิฎฺฐิวํเสน นิยมิตํ เคหมชฺฌํฯ เตนาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ปิฎฺฐิวํสํ อติกฺกมิตฺวา’ติ อิมินา มชฺฌาติกฺกมํ ทเสฺสตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๘๐)ฯ สโภชเนติ สห โภชเนหีติ สโภชนํ, ตสฺมิํ สโภชเนฯ อถ วา สโภชเนติ สโภเคฯ ราคปริยุฎฺฐิตสฺส ปุริสสฺส หิ อิตฺถี โภโค, อิตฺถิยา จ ปุริโส, เมถุนราเคน สารตฺตปุริสิตฺถิสหิเตติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ปทภาชเน ‘‘สโภชนํ นาม กุลํ อิตฺถี เจว โหติ ปุริโส จ, อิตฺถี จ ปุริโส จ อุโภ อนิกฺขนฺตา โหนฺติ, อุโภ อวีตราคา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๘๑)ฯ อิมินา ปริยุฎฺฐิตสฺส เมถุนราคคฺคิโน ตงฺขเณ นิพฺพตฺตภาโว ทีปิโตฯ กุเลติ ฆเรฯ
1546.Khuddaketi ettha ‘‘sayanighare’’ti seso upari ‘‘asayanighare tassa, sayanigharasaññino’’ti vakkhamānattā labbhati. ‘‘Mahallake’’ti etthāpi eseva nayo. Piṭṭhisaṅghāṭato aḍḍhateyyahatthappamāṇaṃ yassa vemajjhe hoti, īdise khuddake sayanighareti attho. Piṭṭhivaṃsanti piṭṭhivaṃsena niyamitaṃ gehamajjhaṃ. Tenāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘piṭṭhivaṃsaṃ atikkamitvā’ti iminā majjhātikkamaṃ dassetī’’ti (pāci. aṭṭha. 280). Sabhojaneti saha bhojanehīti sabhojanaṃ, tasmiṃ sabhojane. Atha vā sabhojaneti sabhoge. Rāgapariyuṭṭhitassa purisassa hi itthī bhogo, itthiyā ca puriso, methunarāgena sārattapurisitthisahiteti vuttaṃ hoti. Yathāha padabhājane ‘‘sabhojanaṃ nāma kulaṃ itthī ceva hoti puriso ca, itthī ca puriso ca ubho anikkhantā honti, ubho avītarāgā’’ti (pāci. aṭṭha. 281). Iminā pariyuṭṭhitassa methunarāgaggino taṅkhaṇe nibbattabhāvo dīpito. Kuleti ghare.
๑๕๔๗. หตฺถปาสนฺติ อฑฺฒเตยฺยรตนปฺปมาณเทสํฯ ปิฎฺฐิสงฺฆาฎกสฺส จาติ ทฺวารสพนฺธสฺส จฯ สยนสฺสาติ สยนฺติ เอตฺถาติ สยนํ, ตสฺส, อาสเนฺน ฐาเน โย นิสีทติ สโภชเน กุเล, ‘‘ตสฺสา’’ติ อิมินา โยเชตพฺพํ, สยนสฺส สมีเป ฐาเน โย นิสีทตีติ อโตฺถฯ มหลฺลเกติ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปมาณโต มหเนฺต สยนิฆเรฯ ‘‘อีทิสญฺจ สยนิฆรํ มหาจตุสาลาทีสุ โหตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๘๐) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ
1547.Hatthapāsanti aḍḍhateyyaratanappamāṇadesaṃ. Piṭṭhisaṅghāṭakassa cāti dvārasabandhassa ca. Sayanassāti sayanti etthāti sayanaṃ, tassa, āsanne ṭhāne yo nisīdati sabhojane kule, ‘‘tassā’’ti iminā yojetabbaṃ, sayanassa samīpe ṭhāne yo nisīdatīti attho. Mahallaketi pubbe vuttappamāṇato mahante sayanighare. ‘‘Īdisañca sayanigharaṃ mahācatusālādīsu hotī’’ti (pāci. aṭṭha. 280) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.
๑๕๔๘. สยนเมตสฺส อตฺถีติ สยนี, สยนี จ ตํ ฆรญฺจาติ วิคฺคโหฯ ตตฺถาติ สยนิฆเรฯ
1548. Sayanametassa atthīti sayanī, sayanī ca taṃ gharañcāti viggaho. Tatthāti sayanighare.
๑๕๔๙-๕๐. ทุติเย สตีติ ทุติเย ภิกฺขุมฺหิ สติฯ ยถาห อนาปตฺติวาเร ‘‘ภิกฺขุ ทุติโย โหตี’’ติ (ปาจิ. ๒๘๓)ฯ วีตราเคสูติ วีตราคปริยุฎฺฐาเนสุฯ วุตฺตลกฺขณํ ปเทสนฺติ ขุทฺทกมหนฺตเสนาสเน วุตฺตลกฺขณปเทสฯ อนติกฺกมฺม นิสินฺนสฺสาติ อนติกฺกมิตฺวา นิสีทโตฯ
1549-50.Dutiye satīti dutiye bhikkhumhi sati. Yathāha anāpattivāre ‘‘bhikkhu dutiyo hotī’’ti (pāci. 283). Vītarāgesūti vītarāgapariyuṭṭhānesu. Vuttalakkhaṇaṃ padesanti khuddakamahantasenāsane vuttalakkhaṇapadesa. Anatikkamma nisinnassāti anatikkamitvā nisīdato.
สโภชนกถาวณฺณนาฯ
Sabhojanakathāvaṇṇanā.
๑๕๕๒. เตสนฺติ ทฺวินฺนํ อนิยตสิกฺขาปทานํฯ เอสนฺติ อิเมสํ ทฺวินฺนํ รโหปฎิจฺฉนฺนรโหนิสชฺชสิกฺขาปทานํ, อยเมว วิเสโสติ อนนฺตรสิกฺขาปเทน สมุฎฺฐานภาวสงฺขาโต อยํ วิเสโส ทีปิโตติ โยชนาฯ
1552.Tesanti dvinnaṃ aniyatasikkhāpadānaṃ. Esanti imesaṃ dvinnaṃ rahopaṭicchannarahonisajjasikkhāpadānaṃ, ayameva visesoti anantarasikkhāpadena samuṭṭhānabhāvasaṅkhāto ayaṃ viseso dīpitoti yojanā.
รโหปฎิจฺฉนฺนรโหนิสชฺชกถาวณฺณนาฯ
Rahopaṭicchannarahonisajjakathāvaṇṇanā.
๑๕๕๓-๖. วุโตฺตติ นิมนฺติโตฯ สนฺตํ ภิกฺขุนฺติ ‘‘กุลํ อุปสงฺกมิสฺสามี’’ติ ยสฺมิํ ปเทเส จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ, ตสฺส สามนฺตา ทฺวาทสหตฺถพฺภนฺตเร ฐิตํ ภิกฺขุนฺติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘ยตฺถ ฐิตสฺส กุลานิ ปยิรุปาสนจิตฺตํ อุปฺปนฺนํ, ตโต ปฎฺฐาย ยํ ปเสฺส วา อภิมุเข วา ปสฺสติ, ยสฺส จ สกฺกา โหติ ปกติวจเนน อาโรเจตุํ, อยํ สโนฺต นามา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๙๘)ฯ เอตฺถ ยํ ทฺวาทสหตฺถพฺภนฺตเร ฐิเตน โสตุํ สกฺกา ภเวยฺย, ตํ ปกติวจนํ นามฯ อนาปุจฺฉาติ ‘‘อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ฆรํ คจฺฉามี’’ติ วา ‘‘จาริตฺตํ อาปุจฺฉามี’’ติ วา อีทิเสน วจเนน อนาปุจฺฉิตฺวาฯ จาริตฺตํ อาปเชฺชยฺย เจติ ยทิ สญฺจเรยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ อญฺญตฺร สมยาติ ‘‘ตตฺถายํ สมโย, จีวรทานสมโย จีวรการสมโย’’ติ (ปาจิ. ๒๙๙) สิกฺขาปเท อนุปญฺญตฺติวเสน วุตฺตา ทุวิธา สมยา อญฺญสฺมิํ กาเลฯ
1553-6.Vuttoti nimantito. Santaṃ bhikkhunti ‘‘kulaṃ upasaṅkamissāmī’’ti yasmiṃ padese cittaṃ uppannaṃ, tassa sāmantā dvādasahatthabbhantare ṭhitaṃ bhikkhunti attho. Yathāha ‘‘yattha ṭhitassa kulāni payirupāsanacittaṃ uppannaṃ, tato paṭṭhāya yaṃ passe vā abhimukhe vā passati, yassa ca sakkā hoti pakativacanena ārocetuṃ, ayaṃ santo nāmā’’ti (pāci. aṭṭha. 298). Ettha yaṃ dvādasahatthabbhantare ṭhitena sotuṃ sakkā bhaveyya, taṃ pakativacanaṃ nāma. Anāpucchāti ‘‘ahaṃ itthannāmassa gharaṃ gacchāmī’’ti vā ‘‘cārittaṃ āpucchāmī’’ti vā īdisena vacanena anāpucchitvā. Cārittaṃ āpajjeyya ceti yadi sañcareyyāti vuttaṃ hoti. Aññatra samayāti ‘‘tatthāyaṃ samayo, cīvaradānasamayo cīvarakārasamayo’’ti (pāci. 299) sikkhāpade anupaññattivasena vuttā duvidhā samayā aññasmiṃ kāle.
อาปตฺติเภทํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ฐเปตฺวา’’ติอาทิฯ ‘‘อวีติวเตฺต มชฺฌเนฺห’’ติ อิมินา ปุเรภตฺตํ, ปจฺฉาภตฺตญฺจ สงฺคหิตํฯ เอตฺถ จ ปุเรภตฺตํ ปจฺฉาภตฺตนฺติ เยน ภเตฺตน นิมนฺติโต, ตสฺมิํ อภุเตฺต วา ภุเตฺต วาติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘ปุเรภตฺตํ นาม เยน นิมนฺติโต, ตํ อภุตฺตาวีฯ ปจฺฉาภตฺตํ นาม เยน นิมนฺติโต, ตํ อนฺตมโส กุสเคฺคนปิ ภุตฺตํ โหตี’’ติ (ปาจิ. ๓๐๐) ปทภาชเน วุตฺตํฯ อญฺญสฺส ฆรนฺติ นิมนฺติตโต อญฺญสฺส เคหํฯ ฆรูปจาโรกฺกมเน ทุกฺกฎนฺติ สมฺพโนฺธ, อตฺตนา คตเคหสฺส อุปจาโรกฺกมเน ทุกฺกฎนฺติ อโตฺถฯ ปฐเมน ปาเทนาติ สมฺพโนฺธฯ
Āpattibhedaṃ dassetumāha ‘‘ṭhapetvā’’tiādi. ‘‘Avītivatte majjhanhe’’ti iminā purebhattaṃ, pacchābhattañca saṅgahitaṃ. Ettha ca purebhattaṃ pacchābhattanti yena bhattena nimantito, tasmiṃ abhutte vā bhutte vāti attho. Yathāha ‘‘purebhattaṃ nāma yena nimantito, taṃ abhuttāvī. Pacchābhattaṃ nāma yena nimantito, taṃ antamaso kusaggenapi bhuttaṃ hotī’’ti (pāci. 300) padabhājane vuttaṃ. Aññassa gharanti nimantitato aññassa gehaṃ. Gharūpacārokkamane dukkaṭanti sambandho, attanā gatagehassa upacārokkamane dukkaṭanti attho. Paṭhamena pādenāti sambandho.
ฆรุมฺมาเรติ อญฺญสฺส เคหุมฺมาเรฯ ฆรูปจาเร ทุกฺกฎํ สนฺธาย ‘‘อปรมฺปิ จา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘สมติกฺกเม’’ติ อิมินา สห ‘‘ฆรุมฺมาเร’’ติ ปทํ ‘‘ฆรุมฺมารสฺสา’’ติ วิภตฺติวิปริณาเมน โยเชตพฺพํฯ
Gharummāreti aññassa gehummāre. Gharūpacāre dukkaṭaṃ sandhāya ‘‘aparampi cā’’ti vuttaṃ. ‘‘Samatikkame’’ti iminā saha ‘‘gharummāre’’ti padaṃ ‘‘gharummārassā’’ti vibhattivipariṇāmena yojetabbaṃ.
๑๕๕๗. ฐิตฎฺฐาเนติ ยตฺถ ฐิตสฺส คมนจิตฺตํ อุปฺปนฺนํ, ตสฺมิํ ฐาเน ทฺวาทสหตฺถพฺภนฺตเรติ อิทํ ยถาวุตฺตนิยาเมเนว คเหตพฺพํฯ โอโลเกตฺวาติ อุภยปสฺสํ, อภิมุขญฺจ โอโลเกตฺวาฯ ‘‘ยํ ปเสฺส วา อภิมุเข วา ปสฺสตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๙๘) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ
1557.Ṭhitaṭṭhāneti yattha ṭhitassa gamanacittaṃ uppannaṃ, tasmiṃ ṭhāne dvādasahatthabbhantareti idaṃ yathāvuttaniyāmeneva gahetabbaṃ. Oloketvāti ubhayapassaṃ, abhimukhañca oloketvā. ‘‘Yaṃ passe vā abhimukhe vā passatī’’ti (pāci. aṭṭha. 298) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.
๑๕๕๘. ทูเรติ ทฺวาทสหตฺถโต ทูรเมวาหฯ อิโต จิโต จ คเวสิตฺวา อาโรจเน กิจฺจํ นตฺถีติ โยชนาฯ
1558.Dūreti dvādasahatthato dūramevāha. Ito cito ca gavesitvā ārocane kiccaṃ natthīti yojanā.
๑๕๕๙. น โทโสติ อนาปตฺติฯ สมเยติ เอตฺถ ‘‘อนาปุจฺฉโต’’ติ เสโสฯ เอตฺถ จ อุปริ จ ‘‘น โทโส’’ติ ปเจฺจกํ ยุชฺชติฯ สนฺตํ ภิกฺขุนฺติ สมฺพโนฺธฯ ฆเรนาติ อญฺญสฺส ฆเรน, เอตฺถ ‘‘ฆรูปจาเรน จา’’ติ เสโสฯ อารามํ คจฺฉโตติ เอตฺถ เตน มเคฺคนาติ วุตฺตํ โหติฯ
1559.Na dosoti anāpatti. Samayeti ettha ‘‘anāpucchato’’ti seso. Ettha ca upari ca ‘‘na doso’’ti paccekaṃ yujjati. Santaṃ bhikkhunti sambandho. Gharenāti aññassa gharena, ettha ‘‘gharūpacārena cā’’ti seso. Ārāmaṃ gacchatoti ettha tena maggenāti vuttaṃ hoti.
๑๕๖๐. ‘‘เตน มเคฺคนา’’ติ จ ‘‘คจฺฉโต’’ติ จ ปททฺวยํ ‘‘ติตฺถิยานํ ปสฺสย’’นฺติ จ ‘‘ภิกฺขุนิปสฺสย’’นฺติ จ อุภยตฺถ ตถา-สเทฺทน ลพฺภติฯ เตน ฆเรน, ฆรูปจาเรน วา คนฺตพฺพมเคฺคน ติตฺถิยารามํ วา ภิกฺขุนิปสฺสยํ วา คจฺฉโต อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ อาปทาย คจฺฉตีติ โยชนาฯ ชีวิตพฺรหฺมจริยนฺตรายา อาปทาฯ อาสนสาลํ วาติ สีหฬทีเป วิย ภิกฺขูนํ ภุญฺชนตฺถาย ยตฺถ ทานปตีหิ อาสนานิ ปญฺญาปียนฺติ, ตํ อาสนสาลํ วา, โภชนสาลนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อาปทายาสนสาล’’นฺติ วตฺตเพฺพ คาถาพนฺธวเสน ยการโลโปฯ ภตฺติยสฺส ฆรนฺติ นิมนฺติตฆรํ วา สลากภตฺตทายกานํ วา ฆรํฯ
1560. ‘‘Tena maggenā’’ti ca ‘‘gacchato’’ti ca padadvayaṃ ‘‘titthiyānaṃ passaya’’nti ca ‘‘bhikkhunipassaya’’nti ca ubhayattha tathā-saddena labbhati. Tena gharena, gharūpacārena vā gantabbamaggena titthiyārāmaṃ vā bhikkhunipassayaṃ vā gacchato anāpattīti attho. Āpadāya gacchatīti yojanā. Jīvitabrahmacariyantarāyā āpadā. Āsanasālaṃ vāti sīhaḷadīpe viya bhikkhūnaṃ bhuñjanatthāya yattha dānapatīhi āsanāni paññāpīyanti, taṃ āsanasālaṃ vā, bhojanasālanti attho. ‘‘Āpadāyāsanasāla’’nti vattabbe gāthābandhavasena yakāralopo. Bhattiyassa gharanti nimantitagharaṃ vā salākabhattadāyakānaṃ vā gharaṃ.
๑๕๖๑. ปเวสนํ กฺริยํฯ อนาปุจฺฉนํ อกฺริยํฯ อจิตฺตกสมุฎฺฐานมิสฺสกตฺตา ‘‘อจิตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ กุสลากุสลาพฺยากตานํ อญฺญตรจิตฺตสมงฺคินา อาปชฺชิตพฺพํ สนฺธาย ‘‘ติจิตฺตญฺจา’’ติ วุตฺตํฯ
1561. Pavesanaṃ kriyaṃ. Anāpucchanaṃ akriyaṃ. Acittakasamuṭṭhānamissakattā ‘‘acitta’’nti vuttaṃ. Kusalākusalābyākatānaṃ aññataracittasamaṅginā āpajjitabbaṃ sandhāya ‘‘ticittañcā’’ti vuttaṃ.
จาริตฺตกถาวณฺณนาฯ
Cārittakathāvaṇṇanā.
๑๕๖๒. ‘‘สพฺพา’’ติ อิทํ วิวรโนฺต ‘‘จตุมาสปวารณา ปุนปวารณา นิจฺจปวารณา’’ติ ปวารณตฺตยํ ทเสฺสติฯ เอตฺถ จ ‘‘จตุมาสปจฺจยปวารณา สาทิตพฺพาติ คิลานปจฺจยปวารณา สาทิตพฺพา’’ติ (ปาจิ. ๓๐๗) ปทภาชเน วุตฺตํฯ ปุนปวารณา จ จตฺตาโรเยว มาเส เภสเชฺชน ปวารณํฯ เตนาห อฎฺฐุปฺปตฺติยํ ‘‘เตน หิ ตฺวํ มหานาม สงฺฆํ อปรมฺปิ จตุมาสํ เภสเชฺชน ปวาเรหี’’ติฯ นิจฺจปวารณา นาม ยาวชีวํ เภสเชฺชเหว ปวารณาฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ภควตา อฎฺฐุปฺปตฺติยํ ‘‘เตน หิ ตฺวํ มหานาม สงฺฆํ ยาวชีวํ เภสเชฺชน ปวาเรหี’’ติ (ปาจิ. ๓๐๓)ฯ
1562.‘‘Sabbā’’ti idaṃ vivaranto ‘‘catumāsapavāraṇā punapavāraṇā niccapavāraṇā’’ti pavāraṇattayaṃ dasseti. Ettha ca ‘‘catumāsapaccayapavāraṇā sāditabbāti gilānapaccayapavāraṇā sāditabbā’’ti (pāci. 307) padabhājane vuttaṃ. Punapavāraṇā ca cattāroyeva māse bhesajjena pavāraṇaṃ. Tenāha aṭṭhuppattiyaṃ ‘‘tena hi tvaṃ mahānāma saṅghaṃ aparampi catumāsaṃ bhesajjena pavārehī’’ti. Niccapavāraṇā nāma yāvajīvaṃ bhesajjeheva pavāraṇā. Vuttampi cetaṃ bhagavatā aṭṭhuppattiyaṃ ‘‘tena hi tvaṃ mahānāma saṅghaṃ yāvajīvaṃ bhesajjena pavārehī’’ti (pāci. 303).
สพฺพา เจตา ปวารณา เภสชฺชปริยนฺตรตฺติปริยนฺตตทุภยปริยนฺตอปริยนฺตวเสน จตุพฺพิธา โหนฺติฯ ยถาห –
Sabbā cetā pavāraṇā bhesajjapariyantarattipariyantatadubhayapariyantaapariyantavasena catubbidhā honti. Yathāha –
‘‘เภสชฺชปริยนฺตา นาม เภสชฺชานิ ปริคฺคหิตานิ โหนฺติ ‘เอตฺตเกหิ เภสเชฺชหิ ปวาเรมี’ติฯ รตฺติปริยนฺตา นาม รตฺติโย ปริคฺคหิตาโย โหนฺติ ‘เอตฺตกาสุ รตฺตีสุ ปวาเรมี’ติฯ เภสชฺชปริยนฺตา จ รตฺติปริยนฺตา จ นาม เภสชฺชานิ จ ปริคฺคหิตานิ โหนฺติ รตฺติโย จ ปริคฺคหิตาโย โหนฺติ ‘เอตฺตเกหิ เภสเชฺชหิ เอตฺตกาสุ รตฺตีสุ ปวาเรมี’ติฯ เนวเภสชฺชปริยนฺตา นรตฺติปริยนฺตา นาม เภสชฺชานิ จ อปริคฺคหิตานิ โหนฺติ รตฺติโย จ อปริคฺคหิตาโย โหนฺตี’’ติ (ปาจิ. ๓๐๗)ฯ
‘‘Bhesajjapariyantā nāma bhesajjāni pariggahitāni honti ‘ettakehi bhesajjehi pavāremī’ti. Rattipariyantā nāma rattiyo pariggahitāyo honti ‘ettakāsu rattīsu pavāremī’ti. Bhesajjapariyantā ca rattipariyantā ca nāma bhesajjāni ca pariggahitāni honti rattiyo ca pariggahitāyo honti ‘ettakehi bhesajjehi ettakāsu rattīsu pavāremī’ti. Nevabhesajjapariyantā narattipariyantā nāma bhesajjāni ca apariggahitāni honti rattiyo ca apariggahitāyo hontī’’ti (pāci. 307).
๑๕๖๓. ‘‘สาทิตพฺพา’’ติ วุเตฺต สาทิยนปฺปกาเร ทเสฺสตุมาห ‘‘วิญฺญาเปสฺสามี’’ติอาทิฯ เภสชฺชมฺปิ สติ เม ปจฺจเย วิญฺญาเปสฺสามีติ โยชนา, ‘‘สาทิตพฺพา’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ตเทว พฺยติเรกโต ทเสฺสตุมาห ‘‘น ปฎิกฺขิปิตพฺพา’’ติฯ ปฎิเกฺขปการณํ ทเสฺสตุมาห ‘‘โรโคทานิ น เมติ จา’’ติฯ สา ติวิธา ปวารณาฯ
1563. ‘‘Sāditabbā’’ti vutte sādiyanappakāre dassetumāha ‘‘viññāpessāmī’’tiādi. Bhesajjampi sati me paccaye viññāpessāmīti yojanā, ‘‘sāditabbā’’ti iminā sambandho. Tadeva byatirekato dassetumāha ‘‘na paṭikkhipitabbā’’ti. Paṭikkhepakāraṇaṃ dassetumāha ‘‘rogodāni na meti cā’’ti. Sā tividhā pavāraṇā.
๑๕๖๔. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘ตตุตฺตริ ตตุตฺตริสญฺญี, เวมติโก, นตตุตฺตริสญฺญี เภสชฺชํ วิญฺญาเปติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๐๙) วุตฺตํ ปาจิตฺติยตฺตยํฯ อิธ ตตุตฺตรีติ เอตฺถ เยหิ เภสเชฺชหิ ปวาริโต, ยาสุ จ รตฺตีสุ ปวาริโต, ตโต เจ อุตฺตริ อธิกนฺติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘เภสชฺชปริยเนฺต เยหิ เภสเชฺชหิ ปวาริโต โหติ, ตานิ เภสชฺชานิ ฐเปตฺวา อญฺญานิ เภสชฺชานิ วิญฺญาเปติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ จ ‘‘รตฺติปริยเนฺต ยาสุ รตฺตีสุ ปวาริโต โหติ, ตา รตฺติโย ฐเปตฺวา อญฺญาสุ รตฺตีสุ วิญฺญาเปติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๐๘) จฯ ตตฺถ เวมติกสฺส จ ทุกฺกฎํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ
1564.Tikapācittiyaṃvuttanti ‘‘tatuttari tatuttarisaññī, vematiko, natatuttarisaññī bhesajjaṃ viññāpeti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 309) vuttaṃ pācittiyattayaṃ. Idha tatuttarīti ettha yehi bhesajjehi pavārito, yāsu ca rattīsu pavārito, tato ce uttari adhikanti attho. Yathāha ‘‘bhesajjapariyante yehi bhesajjehi pavārito hoti, tāni bhesajjāni ṭhapetvā aññāni bhesajjāni viññāpeti, āpatti pācittiyassā’’ti ca ‘‘rattipariyante yāsu rattīsu pavārito hoti, tā rattiyo ṭhapetvā aññāsu rattīsu viññāpeti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 308) ca. Tattha vematikassa ca dukkaṭaṃ vuttanti yojanā.
๑๕๖๕. ตโต จตุมาสโต อุตฺตริ อติเรกํ ตตุตฺตริ, ตตุตฺตริ น โหตีติ นตตุตฺตริ, นตตุตฺตรีติ สญฺญา อสฺส อตฺถีติ นตตุตฺตริสญฺญี, ภิกฺขุ, ตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ เยหิ เภสเชฺชหิ ปวาริโต, ตานิ วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ สห เสเสน โยเชตพฺพํฯ ยถาห ‘‘อนาปตฺติ เยหิ เภสเชฺชหิ ปวาริโต โหติ, ตานิ เภสชฺชานิ วิญฺญาเปตี’’ติ (ปาจิ. ๓๑๐)ฯ เยน วา เยหิ เภสเชฺชหิ ยาสุ วา รตฺตีสุ ปวาริโต, ตโต อญฺญมฺปิ ยถาตถํ อาจิกฺขิตฺวา ภิโยฺย วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ สห เสเสน โยเชตพฺพํฯ ยถาตถํ อาจิกฺขิตฺวา ภิโยฺย วิญฺญาเปนฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘อิเมหิ ตยา เภสเชฺชหิ ปวาริตมฺห, อมฺหากญฺจ อิมินา จ อิมินา จ เภสเชฺชน อโตฺถ’ติ อาจิกฺขิตฺวา วิญฺญาเปติ, ‘ยาสุ ตยา รตฺตีสุ ปวาริตมฺห, ตาโย จ รตฺติโย วีติวตฺตา, อมฺหากญฺจ เภสเชฺชน อโตฺถ’ติ อาจิกฺขิตฺวา วิญฺญาเปตี’’ติ (ปาจิ. ๓๑๐) วจนโต ยถาตถํ วตฺวา อธิกํ วิญฺญาเปนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ
1565. Tato catumāsato uttari atirekaṃ tatuttari, tatuttari na hotīti natatuttari, natatuttarīti saññā assa atthīti natatuttarisaññī, bhikkhu, tassa anāpattīti yojanā. Yehi bhesajjehi pavārito, tāni viññāpentassa anāpattīti saha sesena yojetabbaṃ. Yathāha ‘‘anāpatti yehi bhesajjehi pavārito hoti, tāni bhesajjāni viññāpetī’’ti (pāci. 310). Yena vā yehi bhesajjehi yāsu vā rattīsu pavārito, tato aññampi yathātathaṃ ācikkhitvā bhiyyo viññāpentassa anāpattīti saha sesena yojetabbaṃ. Yathātathaṃ ācikkhitvā bhiyyo viññāpentassāti ettha ‘‘imehi tayā bhesajjehi pavāritamha, amhākañca iminā ca iminā ca bhesajjena attho’ti ācikkhitvā viññāpeti, ‘yāsu tayā rattīsu pavāritamha, tāyo ca rattiyo vītivattā, amhākañca bhesajjena attho’ti ācikkhitvā viññāpetī’’ti (pāci. 310) vacanato yathātathaṃ vatvā adhikaṃ viññāpentassāti attho.
๑๕๖๖. อญฺญสฺส ภิกฺขุสฺส อตฺถาย วา วิญฺญาเปนฺตสฺส ภิกฺขุสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ ญาตกานํ วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ เอตฺถ ญาตกานํ สนฺตกํ วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ อตฺตโน วา ธเนน วิญฺญาเปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ เอตฺถ ธนํ นาม ตณฺฑุลาทิ กปฺปิยวตฺถุฯ
1566. Aññassa bhikkhussa atthāya vā viññāpentassa bhikkhussa anāpattīti yojanā. Ñātakānaṃ viññāpentassa anāpattīti ettha ñātakānaṃ santakaṃ viññāpentassa anāpattīti attho. Attano vā dhanena viññāpentassa anāpattīti yojanā. Ettha dhanaṃ nāma taṇḍulādi kappiyavatthu.
๑๕๖๗. ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘วิญฺญาเปนฺตสฺสา’’ติ อิทํ ปจฺจามสติฯ อุมฺมตฺตกาทีนนฺติ วิเสสิตพฺพมเปกฺขิตฺวา ‘‘วิญฺญาเปนฺตาน’’นฺติ พหุวจนํ กาตพฺพํฯ
1567.‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘viññāpentassā’’ti idaṃ paccāmasati. Ummattakādīnanti visesitabbamapekkhitvā ‘‘viññāpentāna’’nti bahuvacanaṃ kātabbaṃ.
เภสชฺชกถาวณฺณนาฯ
Bhesajjakathāvaṇṇanā.
๑๕๖๘. อุยฺยุตฺตนฺติ สงฺคามตฺถาย กตอุโยฺยคํ, คามโต นิกฺขมฺม คจฺฉนฺตํ วา เอกตฺถ สนฺนิวิฎฺฐํ วาฯ ยถาห ‘‘อุยฺยุตฺตา นาม เสนา คามโต นิกฺขมิตฺวา นิวิฎฺฐา วา โหติ ปยาตา วา’’ติ (ปาจิ. ๓๑๔)ฯ อญฺญตฺร ปจฺจยาติ ฐเปตฺวา ตถารูปปจฺจยํฯ
1568.Uyyuttanti saṅgāmatthāya katauyyogaṃ, gāmato nikkhamma gacchantaṃ vā ekattha sanniviṭṭhaṃ vā. Yathāha ‘‘uyyuttā nāma senā gāmato nikkhamitvā niviṭṭhā vā hoti payātā vā’’ti (pāci. 314). Aññatra paccayāti ṭhapetvā tathārūpapaccayaṃ.
๑๕๖๙. ทสฺสนสฺสุปจารสฺมินฺติ เอตฺถ ทสฺสนูปจารํ นาม ยสฺมิํ ฐาเน ฐิตสฺส เสนา ปญฺญายติ, ตํ ฐานํฯ ยถาห ‘‘ยตฺถ ฐิโต ปสฺสติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๑๔)ฯ อุปจารํ วิมุญฺจิตฺวา ปสฺสนฺตสฺสาติ ยถาวุตฺตทสฺสโนปจารฎฺฐานํ เอตฺถ ฐตฺวา โอโลเกตุํ น สุกรนฺติอาทินา การเณน ตํ ฐานํ ปหาย อญฺญตฺถ วิโลเกนฺตสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ เกนจิ ปฎิจฺฉนฺนํ หุตฺวา อทิสฺสมานมฺปิ นินฺนํ ฐานํ โอติณฺณํ อปญฺญายมานมฺปิ ปญฺญายนฺตมฺปิ โอโลเกตุํ น สกฺกา เอวเมว วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ ยถาห ‘‘เกนจิ อนฺตริตา วา นินฺนํ โอรุฬฺหา วา น ทิสฺสตี’’ติอาทิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๑๔)ฯ ปโยคโตติ ยถาวุตฺตทสฺสนปโยคคณนายฯ
1569.Dassanassupacārasminti ettha dassanūpacāraṃ nāma yasmiṃ ṭhāne ṭhitassa senā paññāyati, taṃ ṭhānaṃ. Yathāha ‘‘yattha ṭhito passati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 314). Upacāraṃ vimuñcitvā passantassāti yathāvuttadassanopacāraṭṭhānaṃ ettha ṭhatvā oloketuṃ na sukarantiādinā kāraṇena taṃ ṭhānaṃ pahāya aññattha vilokentassāti vuttaṃ hoti. Kenaci paṭicchannaṃ hutvā adissamānampi ninnaṃ ṭhānaṃ otiṇṇaṃ apaññāyamānampi paññāyantampi oloketuṃ na sakkā evameva vinicchayo veditabbo. Yathāha ‘‘kenaci antaritā vā ninnaṃ oruḷhā vā na dissatī’’tiādi (pāci. aṭṭha. 314). Payogatoti yathāvuttadassanapayogagaṇanāya.
๑๕๗๐. อิทานิ จตุรงฺคเสนาลกฺขณํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อาโรหา ปน จตฺตาโร’’ติอาทิฯ อาโรหาติ เอตฺถ หตฺถาโรหา ทฎฺฐพฺพาฯ ตปฺปาทรกฺขกาติ ตสฺส ปาทรกฺขกาติ วิคฺคโหฯ เทฺว เทฺวติ เอเกกํ ปาทํ รกฺขนฺตา เทฺว เทฺวฯ ทฺวาทสโปโสติ ทฺวาทส โปสา เอตสฺสาติ วิคฺคโหฯ ทฺวาทสปุริสยุโตฺต เอโก หตฺถี นามฯ
1570. Idāni caturaṅgasenālakkhaṇaṃ dassetumāha ‘‘ārohā pana cattāro’’tiādi. Ārohāti ettha hatthārohā daṭṭhabbā. Tappādarakkhakāti tassa pādarakkhakāti viggaho. Dve dveti ekekaṃ pādaṃ rakkhantā dve dve. Dvādasaposoti dvādasa posā etassāti viggaho. Dvādasapurisayutto eko hatthī nāma.
๑๕๗๑. อาโรโหติ เอตฺถ อสฺสาโรโห วุจฺจติฯ ติปุริโสติ ตโย ปุริสา อสฺสาติ วิคฺคโหฯ หโยติ อโสฺสฯ เอโก สารถีติ รถจาริโกฯ ‘‘โยโธ เอโก’’ติ ปทเจฺฉโทฯ อาณิรกฺขาติ รถจกฺกทฺวยสฺส อคฬนตฺถํ อกฺขกสฺส อุโภสุ โกฎีสุ อาโกฎิตา เทฺว อาณิโย รกฺขนกาฯ
1571.Ārohoti ettha assāroho vuccati. Tipurisoti tayo purisā assāti viggaho. Hayoti asso. Eko sārathīti rathacāriko. ‘‘Yodho eko’’ti padacchedo. Āṇirakkhāti rathacakkadvayassa agaḷanatthaṃ akkhakassa ubhosu koṭīsu ākoṭitā dve āṇiyo rakkhanakā.
๑๕๗๒. จตุโปโสติ จตฺตาโร โปสา ยสฺสาติ วิคฺคโหฯ จตุสจฺจวิภาวินาติ จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ เทสเกน ภควตาฯ ปทหตฺถาติ อาวุธหตฺถาฯ ปชฺชเต คมฺยเต อเนน ปเร หนิตุนฺติ ปทํ, อาวุธํ, ปทานิ หเตฺถสุ เยสํ เต ปทหตฺถาติ ภินฺนาธิกรโณ พาหิรตฺถสมาโส ยถา ‘‘วชิรปาณี’’ติฯ ปตฺติปทาติ-สโทฺท อนตฺถนฺตรา, มนุสฺสเสนาย อธิวจนํฯ
1572.Catuposoti cattāro posā yassāti viggaho. Catusaccavibhāvināti catunnaṃ ariyasaccānaṃ desakena bhagavatā. Padahatthāti āvudhahatthā. Pajjate gamyate anena pare hanitunti padaṃ, āvudhaṃ, padāni hatthesu yesaṃ te padahatthāti bhinnādhikaraṇo bāhiratthasamāso yathā ‘‘vajirapāṇī’’ti. Pattipadāti-saddo anatthantarā, manussasenāya adhivacanaṃ.
๑๕๗๓. จตุรงฺคสมายุตฺตาติ จตูหิ อเงฺคหิ อวยเวหิ สมายุตฺตาติ วิคฺคโหฯ
1573.Caturaṅgasamāyuttāti catūhi aṅgehi avayavehi samāyuttāti viggaho.
๑๕๗๔. หตฺถิอาทีสูติ ยถาวุตฺตลกฺขณหตฺถิอสฺสรถปทาตินามเกสุ จตูสุ อเงฺคสุ, นิทฺธารเณ ภุมฺมํฯ เอเกกนฺติ เอเกกํ องฺคํฯ เอเตสุ อวกํสโต เอกํ ปุริสารุฬฺหมปิ หตฺถิญฺจ ตถา อสฺสญฺจ เอกํ ปทหตฺถปุริสญฺจ เอกเมกํ กตฺวา อาห ‘‘เอเกกํ ทสฺสนตฺถาย คจฺฉโต’’ติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อนฺตมโส เอกปุริสารุฬฺหํ เอกมฺปิ หตฺถิมฺปี’’ติอาทิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๑๕)ฯ อนุยฺยุเตฺตปีติ สงฺคามํ วินา อเญฺญน การเณน นิกฺขเนฺตฯ ยถาห ‘‘อนุยฺยุตฺตา นาม ราชา อุยฺยานํ วา นทิํ วา คจฺฉติ, เอวํ อนุยฺยุตฺตา โหตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๑๕)ฯ
1574.Hatthiādīsūti yathāvuttalakkhaṇahatthiassarathapadātināmakesu catūsu aṅgesu, niddhāraṇe bhummaṃ. Ekekanti ekekaṃ aṅgaṃ. Etesu avakaṃsato ekaṃ purisāruḷhamapi hatthiñca tathā assañca ekaṃ padahatthapurisañca ekamekaṃ katvā āha ‘‘ekekaṃ dassanatthāya gacchato’’ti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘antamaso ekapurisāruḷhaṃ ekampi hatthimpī’’tiādi (pāci. aṭṭha. 315). Anuyyuttepīti saṅgāmaṃ vinā aññena kāraṇena nikkhante. Yathāha ‘‘anuyyuttā nāma rājā uyyānaṃ vā nadiṃ vā gacchati, evaṃ anuyyuttā hotī’’ti (pāci. aṭṭha. 315).
๑๕๗๕. สมฺปตฺตนฺติ เอตฺถ ‘‘เสน’’นฺติ ปกรณโต ลพฺภติฯ อาปทาสูติ ชีวิตพฺรหฺมจริยนฺตราเย สติ ‘‘เอตฺถ คโต มุจฺจิสฺสามี’’ติ คจฺฉโต อนาปตฺติฯ ตถารูเป ปจฺจเย คิลานาวโลกนาทิเก คมนานุรูปปจฺจเย สติ อนาปตฺตีติ โยชนาฯ
1575.Sampattanti ettha ‘‘sena’’nti pakaraṇato labbhati. Āpadāsūti jīvitabrahmacariyantarāye sati ‘‘ettha gato muccissāmī’’ti gacchato anāpatti. Tathārūpe paccaye gilānāvalokanādike gamanānurūpapaccaye sati anāpattīti yojanā.
อุยฺยุตฺตกถาวณฺณนาฯ
Uyyuttakathāvaṇṇanā.
๑๕๗๖-๗. ‘‘สิยา จ ตสฺส ภิกฺขุโน โกจิเทว ปจฺจโย เสนํ คมนาย, ทิรตฺตติรตฺตํ เตน ภิกฺขุนา เสนาย วสิตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. ๓๑๘) อนุญฺญาตตฺตา เกนจิ กรณีเยน สงฺคามตฺถํ อุยฺยุตฺตาย เสนาย ทิรตฺตติรตฺตํ ปฎิปาฎิยา วสิตฺวา จตุตฺถรตฺติยํ วสนฺตสฺส ปน ภิกฺขุโน อาปตฺติํ ทเสฺสตุมาห ‘‘จตุเตฺถ’’ติอาทิฯ อนาปตฺติวาเร ‘‘คิลาโน วสตี’’ติ (ปาจิ. ๓๒๑) วุตฺตตฺตา อาห ‘‘อโรควา’’ติฯ เสนายาติ เอตฺถ ปริเกฺขปารหฎฺฐาเนน วา สญฺจรณปริยเนฺตน วา เสนา ปริจฺฉินฺทิตพฺพา, เอวํ ปริจฺฉินฺนาย เสนาย อโนฺตวาติ อโตฺถฯ
1576-7. ‘‘Siyā ca tassa bhikkhuno kocideva paccayo senaṃ gamanāya, dirattatirattaṃ tena bhikkhunā senāya vasitabba’’nti (pāci. 318) anuññātattā kenaci karaṇīyena saṅgāmatthaṃ uyyuttāya senāya dirattatirattaṃ paṭipāṭiyā vasitvā catuttharattiyaṃ vasantassa pana bhikkhuno āpattiṃ dassetumāha ‘‘catutthe’’tiādi. Anāpattivāre ‘‘gilāno vasatī’’ti (pāci. 321) vuttattā āha ‘‘arogavā’’ti. Senāyāti ettha parikkhepārahaṭṭhānena vā sañcaraṇapariyantena vā senā paricchinditabbā, evaṃ paricchinnāya senāya antovāti attho.
ติกปาจิตฺติยนฺติ ‘‘อติเรกติรเตฺต อติเรกสญฺญี, เวมติโก, อูนกสญฺญี เสนาย วสติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๒๐) ปาจิตฺติยตฺตยํ วุตฺตํฯ
Tikapācittiyanti ‘‘atirekatiratte atirekasaññī, vematiko, ūnakasaññī senāya vasati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 320) pācittiyattayaṃ vuttaṃ.
เสนาวาสกถาวณฺณนาฯ
Senāvāsakathāvaṇṇanā.
๑๕๘๐. อุโยฺยธิกํ นาม สงฺคามฎฺฐานํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อุคฺคนฺตฺวา อุคฺคนฺตฺวา เอตฺถ ยุชฺฌนฺตีติ อุโยฺยธิกํ, สมฺปหารฎฺฐานเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๒๒)ฯ พลคฺคนฺติ ‘‘เอตฺตกา หตฺถี’’ติอาทินา (ปาจิ. ๓๒๔) ปทภาชนาคตนเยน พลสฺส คณนฎฺฐานํ พลคฺคํฯ ยถาห ‘‘พลสฺส อคฺคํ ชานนฺติ เอตฺถาติ พลคฺคํ, พลคณนฎฺฐานนฺติ อโตฺถ’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๒๒)ฯ เสนาพฺยูหนฺติ ‘‘อิโต หตฺถี โหนฺตุ, อิโต อสฺสา, อิโต รถา, อิโต ปตฺตี โหนฺตู’’ติ (ปาจิ. ๓๒๔) ปทภาชเน วุตฺตเสนาสนฺนิเวสฎฺฐานํ เสนาพฺยูหํฯ ยถาห ‘‘เสนาย วิยูหํ เสนาพฺยูหํ, เสนาสนฺนิเวสเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๒๒)ฯ
1580.Uyyodhikaṃ nāma saṅgāmaṭṭhānaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘uggantvā uggantvā ettha yujjhantīti uyyodhikaṃ, sampahāraṭṭhānassetaṃ adhivacana’’nti (pāci. aṭṭha. 322). Balagganti ‘‘ettakā hatthī’’tiādinā (pāci. 324) padabhājanāgatanayena balassa gaṇanaṭṭhānaṃ balaggaṃ. Yathāha ‘‘balassa aggaṃ jānanti etthāti balaggaṃ, balagaṇanaṭṭhānanti attho’’ti (pāci. aṭṭha. 322). Senābyūhanti ‘‘ito hatthī hontu, ito assā, ito rathā, ito pattī hontū’’ti (pāci. 324) padabhājane vuttasenāsannivesaṭṭhānaṃ senābyūhaṃ. Yathāha ‘‘senāya viyūhaṃ senābyūhaṃ, senāsannivesassetaṃ adhivacana’’nti (pāci. aṭṭha. 322).
๑๕๘๑. ปุริเมติ อนนฺตรสิกฺขาปเทฯ ‘‘ทฺวาทสปุริโส หตฺถี’’อิติ โย หตฺถี วุโตฺตติ โยชนาฯ เตนาติ เตน หตฺถินา เหตุภูเตนฯ
1581.Purimeti anantarasikkhāpade. ‘‘Dvādasapuriso hatthī’’iti yo hatthī vuttoti yojanā. Tenāti tena hatthinā hetubhūtena.
๑๕๘๒. ‘‘เสเสสู’’ติ อิมินา อสฺสานีกรถานีกปตฺตานีกา คหิตาฯ ปตฺตานีกํ นาม ‘‘จตฺตาโร ปุริสา ปทหตฺถา ปตฺตี ปจฺฉิมํ ปตฺตานีก’’นฺติ (ปาจิ. ๓๒๔) เสนเงฺคสุ ปฎินิเทฺทเสน นิพฺพิเสสํ กตฺวา วุตฺตํฯ ติณฺณนฺติ เอเตสํ อุยฺยุตฺตาทีนํฯ
1582.‘‘Sesesū’’ti iminā assānīkarathānīkapattānīkā gahitā. Pattānīkaṃ nāma ‘‘cattāro purisā padahatthā pattī pacchimaṃ pattānīka’’nti (pāci. 324) senaṅgesu paṭiniddesena nibbisesaṃ katvā vuttaṃ. Tiṇṇanti etesaṃ uyyuttādīnaṃ.
อุโยฺยธิกกถาวณฺณนาฯ
Uyyodhikakathāvaṇṇanā.
อเจลกวโคฺค ปญฺจโมฯ
Acelakavaggo pañcamo.
๑๕๘๓. ปิฎฺฐาทีหีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ปูวาทิํ สงฺคณฺหาติฯ ยถาห ‘‘สุรา นาม ปิฎฺฐสุรา ปูวสุรา โอทนสุรา กิณฺณปกฺขิตฺตา สมฺภารสํยุตฺตา’’ติ (ปาจิ. ๓๒๘)ฯ เอตฺถ จ ปิฎฺฐํ ภาชเน ปกฺขิปิตฺวา ตชฺชํ อุทกํ ทตฺวา ปกฺขิปิตฺวา กตา ปิฎฺฐสุราฯ เอวํ ปูเว, โอทเน จ ภาชเน ปกฺขิปิตฺวา ตชฺชํ อุทกํ ทตฺวา มทฺทิตฺวา กตา ‘‘ปูวสุรา, โอทนสุรา’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘กิณฺณา’’ติ ปน ตสฺสา สุราย พีชํ วุจฺจติ, เย ‘‘สุราโมทกา’’ติปิ วุจฺจนฺติ, เต ปกฺขิปิตฺวา กตา กิณฺณปกฺขิตฺตาฯ หรีตกิสาสปาทินานาสมฺภาเรหิ สํโยชิตา สมฺภารสํยุตฺตาฯ
1583.Piṭṭhādīhīti ettha ādi-saddena pūvādiṃ saṅgaṇhāti. Yathāha ‘‘surā nāma piṭṭhasurā pūvasurā odanasurā kiṇṇapakkhittā sambhārasaṃyuttā’’ti (pāci. 328). Ettha ca piṭṭhaṃ bhājane pakkhipitvā tajjaṃ udakaṃ datvā pakkhipitvā katā piṭṭhasurā. Evaṃ pūve, odane ca bhājane pakkhipitvā tajjaṃ udakaṃ datvā madditvā katā ‘‘pūvasurā, odanasurā’’ti vuccati. ‘‘Kiṇṇā’’ti pana tassā surāya bījaṃ vuccati, ye ‘‘surāmodakā’’tipi vuccanti, te pakkhipitvā katā kiṇṇapakkhittā. Harītakisāsapādinānāsambhārehi saṃyojitā sambhārasaṃyuttā.
ปุปฺผาทีหีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ผลาทีนํ คหณํฯ ยถาห ‘‘เมรโย นาม ปุปฺผาสโว ผลาสโว มธฺวาสโว คุฬาสโว สมฺภารสํยุโตฺต’’ติ (ปาจิ. ๓๒๘)ฯ ตตฺถ จ ปุปฺผาสโว นาม มธุกปุปฺผาทีนํ ชาติรสกโต เจว ตาลนาฬิเกรปุปฺผานญฺจ รโส จิรปริวาสิโตฯ ผลาสโว ปน มุทฺทิกาปนสผลาทีนิ มทฺทิตฺวา เตสํ รเสน กโตฯ มธฺวาสโว นาม มุทฺทิกานํ ชาติรเสน กโตฯ มกฺขิกามธุนาปิ กรียตีติ วทนฺติฯ อุจฺฉุรโส คุฬาสโวฯ หรีตกามลกกฎุกภณฺฑาทินานาสมฺภารานํ รโส จิรปริวาสิโต สมฺภารสํยุโตฺตฯ อาสโว เมรยํ โหตีติ โยชนาฯ
Pupphādīhīti ettha ādi-saddena phalādīnaṃ gahaṇaṃ. Yathāha ‘‘merayo nāma pupphāsavo phalāsavo madhvāsavo guḷāsavo sambhārasaṃyutto’’ti (pāci. 328). Tattha ca pupphāsavo nāma madhukapupphādīnaṃ jātirasakato ceva tālanāḷikerapupphānañca raso ciraparivāsito. Phalāsavo pana muddikāpanasaphalādīni madditvā tesaṃ rasena kato. Madhvāsavo nāma muddikānaṃ jātirasena kato. Makkhikāmadhunāpi karīyatīti vadanti. Ucchuraso guḷāsavo. Harītakāmalakakaṭukabhaṇḍādinānāsambhārānaṃ raso ciraparivāsito sambhārasaṃyutto. Āsavo merayaṃ hotīti yojanā.
๑๕๘๔. พีชโต ปฎฺฐายาติ สมฺภาเร ปฎิยาทิตฺวา จาฎิยํ ปกฺขิตฺตกาลโต ปฎฺฐาย ตาลนาฬิเกราทีนํ ปุปฺผรเส ปุปฺผโต คฬิตาภินวกาลโตเยว จ ปฎฺฐายฯ ปิวนฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘กุสเคฺคนา’’ติปิ เสโสฯ อุภยมฺปิ จาติ สุรํ, เมรยญฺจาติ อุภยมฺปิฯ พีชโต ปน ปฎฺฐาย กุสเคฺคน ปิวนฺตสฺสปิ ภิกฺขุโน ปาจิตฺติยํ โหตีติ โยเชตพฺพํฯ ปโยคพาหุเลฺลน อาปตฺติพาหุลฺลํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปโยเค จ ปโยเค จา’’ติฯ อิทญฺจ วิจฺฉินฺทิตฺวา วิจฺฉินฺทิตฺวา ปิวนฺตสฺส ภิกฺขุโน ปโยเค จ ปโยเค จ ปาจิตฺติยํ โหตีติ โยเชตพฺพํฯ ยถาห ‘‘วิจฺฉินฺทิตฺวา วิจฺฉินฺทิตฺวา ปิวโต ปโยคคณนาย อาปตฺติโย’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๒๘)ฯ เอเกเนว ปโยเคน พหุมฺปิ ปิวนฺตสฺส เอกํ เอว อาปตฺติํ พฺยติเรกโต ทีเปติฯ ยถาห ‘‘เอเกน ปน ปโยเคน พหุมฺปิ ปิวนฺตสฺส เอกา อาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๒๘)ฯ
1584.Bījato paṭṭhāyāti sambhāre paṭiyāditvā cāṭiyaṃ pakkhittakālato paṭṭhāya tālanāḷikerādīnaṃ puppharase pupphato gaḷitābhinavakālatoyeva ca paṭṭhāya. Pivantassāti ettha ‘‘kusaggenā’’tipi seso. Ubhayampi cāti suraṃ, merayañcāti ubhayampi. Bījato pana paṭṭhāya kusaggena pivantassapi bhikkhuno pācittiyaṃ hotīti yojetabbaṃ. Payogabāhullena āpattibāhullaṃ dassetumāha ‘‘payoge ca payoge cā’’ti. Idañca vicchinditvā vicchinditvā pivantassa bhikkhuno payoge ca payoge ca pācittiyaṃ hotīti yojetabbaṃ. Yathāha ‘‘vicchinditvā vicchinditvā pivato payogagaṇanāya āpattiyo’’ti (pāci. aṭṭha. 328). Ekeneva payogena bahumpi pivantassa ekaṃ eva āpattiṃ byatirekato dīpeti. Yathāha ‘‘ekena pana payogena bahumpi pivantassa ekā āpattī’’ti (pāci. aṭṭha. 328).
๑๕๘๕. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘มเชฺช มชฺชสญฺญี, มเชฺช เวมติโก, มเชฺช อมชฺชสญฺญี ปิวติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๒๘) ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ
1585.Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘majje majjasaññī, majje vematiko, majje amajjasaññī pivati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 328) tikapācittiyaṃ vuttaṃ.
๑๕๘๖. ‘‘อนาปตฺติ นมชฺชํ โหติ มชฺชวณฺณํ มชฺชคนฺธํ มชฺชรสํ, ตํ ปิวตี’’ติ (ปาจิ. ๓๒๘) วุตฺตตฺตา อาห ‘‘อมชฺชํ มชฺชวณฺณ’’นฺติอาทิฯ อริฎฺฐํ นาม อามลกผลรสาทีหิ กโต อาสววิเสโสฯ โลณโสวีรกํ นาม อฎฺฐกถายํ –
1586. ‘‘Anāpatti namajjaṃ hoti majjavaṇṇaṃ majjagandhaṃ majjarasaṃ, taṃ pivatī’’ti (pāci. 328) vuttattā āha ‘‘amajjaṃ majjavaṇṇa’’ntiādi. Ariṭṭhaṃ nāma āmalakaphalarasādīhi kato āsavaviseso. Loṇasovīrakaṃ nāma aṭṭhakathāyaṃ –
‘‘หรีตกามลกวิภีตกกสาเว, สพฺพธญฺญานิ, สพฺพอปรณฺณานิ, สตฺตนฺนมฺปิ ธญฺญานํ โอทนํ, กทลิผลาทีนิ สพฺพผลานิ, เวตฺตเกตกขชฺชูริกฬีราทโย สพฺพกฬีเร, มจฺฉมํสขณฺฑานิ, อเนกานิ จ มธุผาณิตสินฺธวโลณติกฎุกาทีนิ เภสชฺชานิ ปกฺขิปิตฺวา กุมฺภิมุขํ ลิมฺปิตฺวา เอกํ วา เทฺว วา ตีณิ วา สํวจฺฉรานิ ฐเปนฺติ, ตํ ปริปจฺจิตฺวา ชมฺพุรสวณฺณํ โหติฯ วาตกาสกุฎฺฐปณฺฑุภคนฺทลาทีนญฺจ สินิทฺธโภชนภุตฺตานญฺจ อุตฺตรปานํ ภตฺตชีรณกเภสชฺชํ ตาทิสํ นตฺถิฯ ตํ ปเนตํ ภิกฺขูนํ ปจฺฉาภตฺตมฺปิ วฎฺฎติ, คิลานานํ ปากติกเมวฯ อคิลานานํ ปน อุทกสมฺภินฺนํ ปานปริโภเคนา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๙๒) –
‘‘Harītakāmalakavibhītakakasāve, sabbadhaññāni, sabbaaparaṇṇāni, sattannampi dhaññānaṃ odanaṃ, kadaliphalādīni sabbaphalāni, vettaketakakhajjūrikaḷīrādayo sabbakaḷīre, macchamaṃsakhaṇḍāni, anekāni ca madhuphāṇitasindhavaloṇatikaṭukādīni bhesajjāni pakkhipitvā kumbhimukhaṃ limpitvā ekaṃ vā dve vā tīṇi vā saṃvaccharāni ṭhapenti, taṃ paripaccitvā jamburasavaṇṇaṃ hoti. Vātakāsakuṭṭhapaṇḍubhagandalādīnañca siniddhabhojanabhuttānañca uttarapānaṃ bhattajīraṇakabhesajjaṃ tādisaṃ natthi. Taṃ panetaṃ bhikkhūnaṃ pacchābhattampi vaṭṭati, gilānānaṃ pākatikameva. Agilānānaṃ pana udakasambhinnaṃ pānaparibhogenā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.192) –
วิภาวิโต เภสชฺชวิเสโสฯ สุตฺตํ นาม อเนเกหิ เภสเชฺชหิ อภิสงฺขโต อมชฺชภูโต อาสววิเสโสฯ
Vibhāvito bhesajjaviseso. Suttaṃ nāma anekehi bhesajjehi abhisaṅkhato amajjabhūto āsavaviseso.
๑๕๘๗. วาสคาหาปนตฺถายาติ สุคนฺธิภาวคาหาปนตฺถํฯ อีสกนฺติ มชฺชวณฺณคนฺธรสา ยถา น ปญฺญายนฺติ, เอวํ อปฺปมตฺตกํฯ ยถาห ‘‘อนติกฺขิตฺตมเชฺชเยว อนาปตฺติฯ ยํ ปน อติกฺขิตฺตมชฺชํ โหติ, ยตฺถ มชฺชสฺส วณฺณคนฺธรสา ปญฺญายนฺติ, ตสฺมิํ อาปตฺติเยวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๒๙)ฯ สูปาทีนํ ตุ ปาเกติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน มํสปากาทโย สงฺคหิตาฯ ยถาห ‘‘สูปสมฺปาเก มํสสมฺปาเก เตลสมฺปาเก’’ติ (ปาจิ. ๓๒๘)ฯ
1587.Vāsagāhāpanatthāyāti sugandhibhāvagāhāpanatthaṃ. Īsakanti majjavaṇṇagandharasā yathā na paññāyanti, evaṃ appamattakaṃ. Yathāha ‘‘anatikkhittamajjeyeva anāpatti. Yaṃ pana atikkhittamajjaṃ hoti, yattha majjassa vaṇṇagandharasā paññāyanti, tasmiṃ āpattiyevā’’ti (pāci. aṭṭha. 329). Sūpādīnaṃ tu pāketi ettha ādi-saddena maṃsapākādayo saṅgahitā. Yathāha ‘‘sūpasampāke maṃsasampāke telasampāke’’ti (pāci. 328).
๑๕๘๘. วตฺถุอชานนา อจิตฺตนฺติ สมฺพโนฺธฯ ยถาห ‘‘วตฺถุอชานนตาย เจตฺถ อจิตฺตกตา เวทิตพฺพา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๒๙)ฯ วตฺถุอชานนตา จ นาม ‘‘มชฺช’’นฺติ อชานนภาโวฯ อิทนฺติ อิทํ สิกฺขาปทํฯ จ-สเทฺทน อญฺญานิ จ คิรคฺคสมชฺชาทิสิกฺขาปทานิ สมุจฺจิโนติฯ อกุสเลเนวาติ อกุสลจิเตฺตเนวฯ ปานโตติ ปาตพฺพโตฯ โลกวชฺชกนฺติ สาธุโลเกน วเชฺชตพฺพนฺติ อโตฺถฯ โลกวชฺชเมว โลกวชฺชกํฯ
1588. Vatthuajānanā acittanti sambandho. Yathāha ‘‘vatthuajānanatāya cettha acittakatā veditabbā’’ti (pāci. aṭṭha. 329). Vatthuajānanatā ca nāma ‘‘majja’’nti ajānanabhāvo. Idanti idaṃ sikkhāpadaṃ. Ca-saddena aññāni ca giraggasamajjādisikkhāpadāni samuccinoti. Akusalenevāti akusalacitteneva. Pānatoti pātabbato. Lokavajjakanti sādhulokena vajjetabbanti attho. Lokavajjameva lokavajjakaṃ.
นนุ เจตฺถ วตฺถุอชานนตาย อจิตฺตกเตฺต ตํวตฺถุอชานนํ กุสลาพฺยากตจิตฺตสมงฺคิโนปิ สมฺภวติ, กสฺมา ‘‘อกุสเลเนว ปานโต โลกวชฺชก’’นฺติ วุตฺตนฺติ? วุจฺจเต – ยสฺมา อมชฺชสญฺญาย ปิวโต, มชฺชสญฺญาย จ ปิวโต มชฺชํ วตฺถุนิยาเมน กิเลสุปฺปตฺติยาว ปจฺจโย โหติ, ยถา มชฺชํ ปีตํ อชานนฺตสฺสาปิ อกุสลานเมว ปจฺจโย โหติ, น กุสลานํ, ตถา อโชฺฌหรณกาเลปิ วตฺถุนิยาเมน อกุสลเสฺสว ปจฺจโย โหตีติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘อกุสเลเนว ปานโต โลกวชฺชก’’นฺติฯ ยถา ตํ นิฬินิชาตเก (ชา. ๒.๑๘.๑ อาทโย; ชา. อฎฺฐ. ๕.๑๘.๑ อาทโย) เภสชฺชสญฺญาย อิตฺถิยา มเคฺค องฺคชาตํ ปเวเสนฺตสฺส กุมารสฺส ‘‘อิตฺถี’’ติ วา ‘‘ตสฺสา มเคฺค เมถุนํ ปฎิเสวามี’’ติ วา สญฺญาย อภาเวปิ กามราคุปฺปตฺติยา สีลาทิคุณปริหานิ วตฺถุนิยามโต จ อโหสิ, เอวมิธาปิ ทฎฺฐโพฺพฯ
Nanu cettha vatthuajānanatāya acittakatte taṃvatthuajānanaṃ kusalābyākatacittasamaṅginopi sambhavati, kasmā ‘‘akusaleneva pānato lokavajjaka’’nti vuttanti? Vuccate – yasmā amajjasaññāya pivato, majjasaññāya ca pivato majjaṃ vatthuniyāmena kilesuppattiyāva paccayo hoti, yathā majjaṃ pītaṃ ajānantassāpi akusalānameva paccayo hoti, na kusalānaṃ, tathā ajjhoharaṇakālepi vatthuniyāmena akusalasseva paccayo hotīti katvā vuttaṃ ‘‘akusaleneva pānato lokavajjaka’’nti. Yathā taṃ niḷinijātake (jā. 2.18.1 ādayo; jā. aṭṭha. 5.18.1 ādayo) bhesajjasaññāya itthiyā magge aṅgajātaṃ pavesentassa kumārassa ‘‘itthī’’ti vā ‘‘tassā magge methunaṃ paṭisevāmī’’ti vā saññāya abhāvepi kāmarāguppattiyā sīlādiguṇaparihāni vatthuniyāmato ca ahosi, evamidhāpi daṭṭhabbo.
เกจิ ปน ‘‘อกุสเลเนว ปานโต’’ติ อิทํ อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส สจิตฺตกปกฺขํ สนฺธาย วุตฺตํ, อญฺญถา ปาณาติปาตาทีสุปิ อติปฺปสโงฺคติ มญฺญมานา พหุการณํ, นิยมนญฺจ ทเสฺสสุํฯ วินยฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๒๙), ปน ขุทฺทกปาฐฎฺฐกถายํ (ขุ. ปา. อฎฺฐ. สิกฺขาปทวณฺณนา), วิภงฺคฎฺฐกถาทีสุ จ ‘‘ติจิตฺต’’นฺติ อวตฺวา ‘‘อกุสลจิตฺต’’มิเจฺจว วุตฺตตฺตา, สิกฺขาปทสฺส สามญฺญลกฺขณํ ทเสฺสเนฺตน ปกฺขนฺตรลกฺขณทสฺสนสฺส อยุตฺตตฺตา จ อฎฺฐกถาสุ ยถารุตวเสเนว อตฺถคฺคหเณ จ กสฺสจิ วิโรธสฺส อสมฺภวโต สจิตฺตกปกฺขเมว สนฺธาย อกุสลจิตฺตตา, โลกวชฺชตา เจตฺถ น วตฺตพฺพาฯ ‘‘วตฺถุํ ชานิตฺวาปิ อชานิตฺวาปิ มชฺชํ ปิวโต ภิกฺขุสฺส ปาจิตฺติยํฯ สามเณรสฺส ปน ชานิตฺวาว ปิวโต สีลเภโท, น อชานิตฺวา’’ติ (มาหาว. อฎฺฐ. ๑๐๘ อตฺถโต สมานํ) ยํ วุตฺตํ, ตตฺถ การณํ มคฺคิตพฺพํฯ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา พุทฺธานเมว วิสยตฺตา น ตํ มคฺคิตพฺพํ, ยถาปญฺญเตฺตเยว วตฺติตพฺพํฯ อิทํ ปน สิกฺขาปทํ อกุสลจิตฺตํ, สุโขเปกฺขาเวทนานํ วเสน ทุเวทนญฺจ โหติฯ วินยฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๒๙), ปน มาติกฎฺฐกถายญฺจ (กงฺขา. อฎฺฐ. สุราปานสิกฺขาปทวณฺณนา) ‘‘ติเวทน’’นฺติ ปาโฐ ทิสฺสติ, ขุทฺทกปาฐวณฺณนาย (ขุ. ปา. อฎฺฐ. สิกฺขาปทวณฺณนา), วิภงฺคฎฺฐกถาทีสุ (วิภ. อฎฺฐ. ๗๐๓ อาทโย) จ ‘‘สุขมชฺฌตฺตเวทนาวเสน ทุเวทน’’นฺติ จ ‘‘โลภโมหมูลวเสน ทฺวิมูลก’’นฺติ จ วุตฺตตฺตา โส ‘‘ปมาทปาโฐ’’ติ คเหตโพฺพฯ
Keci pana ‘‘akusaleneva pānato’’ti idaṃ imassa sikkhāpadassa sacittakapakkhaṃ sandhāya vuttaṃ, aññathā pāṇātipātādīsupi atippasaṅgoti maññamānā bahukāraṇaṃ, niyamanañca dassesuṃ. Vinayaṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 329), pana khuddakapāṭhaṭṭhakathāyaṃ (khu. pā. aṭṭha. sikkhāpadavaṇṇanā), vibhaṅgaṭṭhakathādīsu ca ‘‘ticitta’’nti avatvā ‘‘akusalacitta’’micceva vuttattā, sikkhāpadassa sāmaññalakkhaṇaṃ dassentena pakkhantaralakkhaṇadassanassa ayuttattā ca aṭṭhakathāsu yathārutavaseneva atthaggahaṇe ca kassaci virodhassa asambhavato sacittakapakkhameva sandhāya akusalacittatā, lokavajjatā cettha na vattabbā. ‘‘Vatthuṃ jānitvāpi ajānitvāpi majjaṃ pivato bhikkhussa pācittiyaṃ. Sāmaṇerassa pana jānitvāva pivato sīlabhedo, na ajānitvā’’ti (māhāva. aṭṭha. 108 atthato samānaṃ) yaṃ vuttaṃ, tattha kāraṇaṃ maggitabbaṃ. Sikkhāpadapaññattiyā buddhānameva visayattā na taṃ maggitabbaṃ, yathāpaññatteyeva vattitabbaṃ. Idaṃ pana sikkhāpadaṃ akusalacittaṃ, sukhopekkhāvedanānaṃ vasena duvedanañca hoti. Vinayaṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 329), pana mātikaṭṭhakathāyañca (kaṅkhā. aṭṭha. surāpānasikkhāpadavaṇṇanā) ‘‘tivedana’’nti pāṭho dissati, khuddakapāṭhavaṇṇanāya (khu. pā. aṭṭha. sikkhāpadavaṇṇanā), vibhaṅgaṭṭhakathādīsu (vibha. aṭṭha. 703 ādayo) ca ‘‘sukhamajjhattavedanāvasena duvedana’’nti ca ‘‘lobhamohamūlavasena dvimūlaka’’nti ca vuttattā so ‘‘pamādapāṭho’’ti gahetabbo.
สุราปานกถาวณฺณนาฯ
Surāpānakathāvaṇṇanā.
๑๕๘๙. เยน เกนจิ อเงฺคนาติ องฺคุลิอาทินา เยน เกนจิ สรีราวยเวนฯ หสาธิปฺปายิโนติ หเส อธิปฺปาโย หสาธิปฺปาโย, โส เอตสฺส อตฺถีติ วิคฺคโห, ตสฺส, อิมินา กีฬาธิปฺปายรหิตสฺส อนาปตฺติํ พฺยติเรกโต ทีเปติฯ วกฺขติ จ ‘‘อนาปตฺติ นหสาธิปฺปายสฺสา’’ติฯ ผุสโต ผุสนฺตสฺสฯ
1589.Yenakenaci aṅgenāti aṅguliādinā yena kenaci sarīrāvayavena. Hasādhippāyinoti hase adhippāyo hasādhippāyo, so etassa atthīti viggaho, tassa, iminā kīḷādhippāyarahitassa anāpattiṃ byatirekato dīpeti. Vakkhati ca ‘‘anāpatti nahasādhippāyassā’’ti. Phusato phusantassa.
๑๕๙๐. สพฺพตฺถาติ สเพฺพสุ อุปสมฺปนฺนานุปสมฺปเนฺนสุฯ กายปฎิพทฺธาทิเก นเยติ ‘‘กาเยน กายปฎิพทฺธํ อามสติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติเอวมาทินา (ปาจิ. ๓๓๒) ทสฺสิเต นเยฯ อนุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสน ตีณิ ทุกฺกฎานิ วุตฺตานีติ อาห ‘‘ตเถวานุปสมฺปเนฺน, ทีปิตํ ติกทุกฺกฎ’’นฺติฯ เอตฺถ จ ‘‘ตเถวา’’ติ อิมินา อุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสน ติกปาจิตฺติยสฺส วุตฺตภาโว ทีปิโต โหติฯ ยถา อุปสมฺปเนฺน ติกปาจิตฺติยํ ทีปิตํ, ตเถว อนุปสมฺปเนฺน ติกทุกฺกฎํ ทีปิตนฺติ โยชนาฯ
1590.Sabbatthāti sabbesu upasampannānupasampannesu. Kāyapaṭibaddhādike nayeti ‘‘kāyena kāyapaṭibaddhaṃ āmasati, āpatti dukkaṭassā’’tievamādinā (pāci. 332) dassite naye. Anupasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena tīṇi dukkaṭāni vuttānīti āha ‘‘tathevānupasampanne, dīpitaṃ tikadukkaṭa’’nti. Ettha ca ‘‘tathevā’’ti iminā upasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena tikapācittiyassa vuttabhāvo dīpito hoti. Yathā upasampanne tikapācittiyaṃ dīpitaṃ, tatheva anupasampanne tikadukkaṭaṃ dīpitanti yojanā.
๑๕๙๑. เอตฺถ…เป.… ภิกฺขุนีติ เอตฺถ ภิกฺขุปิ ภิกฺขุนิยา อนุปสมฺปนฺนฎฺฐาเน ฐิโตติ เวทิตโพฺพฯ
1591.Ettha…pe… bhikkhunīti ettha bhikkhupi bhikkhuniyā anupasampannaṭṭhāne ṭhitoti veditabbo.
๑๕๙๒. นหสาธิปฺปายสฺส ผุสโตติ หสาธิปฺปายํ วินา วนฺทนาทีสุ ปาทาทิสรีราวยเวน ปรํ ผุสนฺตสฺสฯ กิเจฺจ สตีติ ปิฎฺฐิปริกมฺมาทิกิเจฺจ สติฯ
1592.Nahasādhippāyassa phusatoti hasādhippāyaṃ vinā vandanādīsu pādādisarīrāvayavena paraṃ phusantassa. Kicce satīti piṭṭhiparikammādikicce sati.
องฺคุลิปโตทกกถาวณฺณนาฯ
Aṅgulipatodakakathāvaṇṇanā.
๑๕๙๓. ชเลติ เอตฺถ ‘‘อุปริโคปฺผเก’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘อุปริโคปฺผเก อุทเก’’ติ (ปาจิ. ๓๓๗)ฯ นิมุชฺชนาทีนนฺติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อุมฺมุชฺชนปฺลวนานิ คหิตานิฯ ยถาห ‘‘อุปริโคปฺผเก อุทเก หสาธิปฺปาโย นิมุชฺชติ วา อุมฺมุชฺชติ วา ปลวติ วา’’ติ (ปาจิ. ๓๓๗)ฯ ‘‘เกวล’’นฺติ อิมินา นหานาทิกิเจฺจน โอตรนฺตสฺส อนาปตฺตีติ ทีเปติฯ
1593.Jaleti ettha ‘‘uparigopphake’’ti seso. Yathāha ‘‘uparigopphake udake’’ti (pāci. 337). Nimujjanādīnanti ettha ādi-saddena ummujjanaplavanāni gahitāni. Yathāha ‘‘uparigopphake udake hasādhippāyo nimujjati vā ummujjati vā palavati vā’’ti (pāci. 337). ‘‘Kevala’’nti iminā nahānādikiccena otarantassa anāpattīti dīpeti.
๑๕๙๔. อุปริโคปฺผเก ชเลติ โคปฺผกานํ อุปริภาคปฺปมาเณ ชเลฯ นิมุเชฺชยฺยปิ วาติ อโนฺตชลํ ปวิสโนฺต นิมุเชฺชยฺย วาฯ ตเรยฺย วาติ ปฺลเวยฺย วาฯ
1594.Uparigopphake jaleti gopphakānaṃ uparibhāgappamāṇe jale. Nimujjeyyapi vāti antojalaṃ pavisanto nimujjeyya vā. Tareyya vāti plaveyya vā.
๑๕๙๕-๖. อโนฺตเยโวทเก นิมุชฺชิตฺวาน คจฺฉโต ตสฺส หตฺถปาทปโยเคหิ ปาจิตฺติํ ปริทีปเยติ โยชนาฯ
1595-6. Antoyevodake nimujjitvāna gacchato tassa hatthapādapayogehi pācittiṃ paridīpayeti yojanā.
๑๕๙๗. หตฺถาทิสกลสรีราวยวํ สงฺคณฺหิตุํ ‘‘เยน เยนา’’ติ อนิยมาเมฑิตมาหฯ ชลํ ตรโต ภิกฺขุโน เยน เยน ปน อเงฺคน ตรณํ โหตีติ โยชนาฯ
1597. Hatthādisakalasarīrāvayavaṃ saṅgaṇhituṃ ‘‘yena yenā’’ti aniyamāmeḍitamāha. Jalaṃ tarato bhikkhuno yena yena pana aṅgena taraṇaṃ hotīti yojanā.
๑๕๙๘. ตรุโต วาปีติ รุกฺขโตปิ วาฯ ติกปาจิตฺติยนฺติ อุทเก หสธเมฺม หสธมฺมสญฺญิเวมติกอหสธมฺมสญฺญีนํ วเสน ติกปาจิตฺติยํฯ ‘‘ติกทุกฺกฎ’’นฺติ ปาโฐ ทิสฺสติ, ‘‘อุทเก อหสธเมฺม หสธมฺมสญฺญี, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อุทเก อหสธเมฺม เวมติโก, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๓๘) วตฺวา ‘‘อุทเก อหสธเมฺม อหสธมฺมสญฺญี, อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. ๓๓๘) ตติยวิกเปฺป ปาฬิยํ อนาปตฺติ วุตฺตาติ โส ปมาทปาโฐ, ‘‘ทฺวิกทุกฺกฎ’’นฺติ ปาโฐเยว คเหตโพฺพฯ
1598.Taruto vāpīti rukkhatopi vā. Tikapācittiyanti udake hasadhamme hasadhammasaññivematikaahasadhammasaññīnaṃ vasena tikapācittiyaṃ. ‘‘Tikadukkaṭa’’nti pāṭho dissati, ‘‘udake ahasadhamme hasadhammasaññī, āpatti dukkaṭassa. Udake ahasadhamme vematiko, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 338) vatvā ‘‘udake ahasadhamme ahasadhammasaññī, anāpattī’’ti (pāci. 338) tatiyavikappe pāḷiyaṃ anāpatti vuttāti so pamādapāṭho, ‘‘dvikadukkaṭa’’nti pāṭhoyeva gahetabbo.
๑๕๙๙. นาวํ ตีเร อุสฺสาเรโนฺตปิ วาติ สมฺพโนฺธฯ อุสฺสาเรโนฺตติ ตีรมาโรเปโนฺตฯ ‘‘กีฬตี’’ติ อิทํ ‘‘ปาเชโนฺต’’ติ อิมินาปิ โยเชตพฺพํฯ
1599. Nāvaṃ tīre ussārentopi vāti sambandho. Ussārentoti tīramāropento. ‘‘Kīḷatī’’ti idaṃ ‘‘pājento’’ti imināpi yojetabbaṃ.
๑๖๐๐. กถลาย วาติ ขุทฺทกกปาลิกาย วาฯ อุทกนฺติ เอตฺถ ‘‘ภาชนคตํ วา’’ติ เสโสฯ ‘‘ภาชนคตํ อุทกํ วา’’ติ (ปาจิ. ๓๓๘) หิ ปทภาชเน วุตฺตํฯ
1600.Kathalāya vāti khuddakakapālikāya vā. Udakanti ettha ‘‘bhājanagataṃ vā’’ti seso. ‘‘Bhājanagataṃ udakaṃ vā’’ti (pāci. 338) hi padabhājane vuttaṃ.
๑๖๐๑. กญฺจิกํ วาติ ธญฺญรสํ วาฯ อปิ-สโทฺท ‘‘ขีรํ วา ตกฺกํ วา รชนํ วา ปสฺสาวํ วา’’ติ (ปาจิ. ๓๓๘) ปาฬิยํ อาคเต สมฺปิเณฺฑติฯ จิกฺขลฺลํ วาปีติ อุทกกทฺทมํ วาฯ เอตฺถ วิเสสโชตเกน อปิ-สเทฺทน ‘‘อปิจ อุปริโคปฺผเก วุตฺตานิ อุมฺมุชฺชนาทีนิ ฐเปตฺวา อเญฺญน เยน เกนจิ อากาเรน อุทกํ โอตริตฺวา วา อโนตริตฺวา วา ยตฺถ กตฺถจิ ฐิตํ อุทกํ อนฺตมโส พินฺทุํ คเหตฺวา ขิปนกีฬายปิ กีฬนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๓๖) อฎฺฐกถาคตํ วินิจฺฉยวิเสสํ สมฺปิเณฺฑติฯ วิกฺขิปนฺติ วิกฺขิปิตฺวาฯ
1601.Kañcikaṃvāti dhaññarasaṃ vā. Api-saddo ‘‘khīraṃ vā takkaṃ vā rajanaṃ vā passāvaṃ vā’’ti (pāci. 338) pāḷiyaṃ āgate sampiṇḍeti. Cikkhallaṃ vāpīti udakakaddamaṃ vā. Ettha visesajotakena api-saddena ‘‘apica uparigopphake vuttāni ummujjanādīni ṭhapetvā aññena yena kenaci ākārena udakaṃ otaritvā vā anotaritvā vā yattha katthaci ṭhitaṃ udakaṃ antamaso binduṃ gahetvā khipanakīḷāyapi kīḷantassa dukkaṭamevā’’ti (pāci. aṭṭha. 336) aṭṭhakathāgataṃ vinicchayavisesaṃ sampiṇḍeti. Vikkhipanti vikkhipitvā.
๑๖๐๒. สติ กิเจฺจ ชลํ วิคาหิตฺวา นิมุชฺชนาทิกํ กโรนฺตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ กิจฺจํ นาม นหานาทิกํฯ
1602. Sati kicce jalaṃ vigāhitvā nimujjanādikaṃ karontassa anāpattīti yojanā. Kiccaṃ nāma nahānādikaṃ.
๑๖๐๓. อนนฺตรสฺสาติ องฺคุลิปโตทกสิกฺขาปทสฺสฯ วิเสโสว วิเสสตา, โกจิ วิเสโส นตฺถีติ อโตฺถฯ
1603.Anantarassāti aṅgulipatodakasikkhāpadassa. Visesova visesatā, koci viseso natthīti attho.
หสธมฺมกถาวณฺณนาฯ
Hasadhammakathāvaṇṇanā.
๑๖๐๔-๕. โย ภิกฺขุ ภิกฺขุนา ปญฺญเตฺตน วุจฺจมาโน อสฺส วจนํ อกตฺตุกามตาย อาทรํ ปน สเจ น กโรติ, ตสฺส ตสฺมิํ อนาทริเย ปาจิตฺติยมุทีรเยติ โยชนา, อิมินา วาเกฺยน ปุคฺคลานาทรมูลกํ ปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ ยถาห ‘‘อนาทริยํ นาม เทฺว อนาทริยานิ ปุคฺคลานาทริยญฺจ ธมฺมานาทริยญฺจา’’ติ (ปาจิ. ๓๔๒), ‘‘ปุคฺคลานาทริยํ นาม อุปสมฺปเนฺนน ปญฺญเตฺตน วุจฺจมาโน ‘อยํ อุกฺขิตฺตโก วา วมฺภิโต วา ครหิโต วา อิมสฺส วจนํ อกตํ ภวิสฺสตี’ติ อนาทริยํ กโรติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๔๒) จฯ
1604-5. Yo bhikkhu bhikkhunā paññattena vuccamāno assa vacanaṃ akattukāmatāya ādaraṃ pana sace na karoti, tassa tasmiṃ anādariye pācittiyamudīrayeti yojanā, iminā vākyena puggalānādaramūlakaṃ pācittiyaṃ vuttaṃ. Yathāha ‘‘anādariyaṃ nāma dve anādariyāni puggalānādariyañca dhammānādariyañcā’’ti (pāci. 342), ‘‘puggalānādariyaṃ nāma upasampannena paññattena vuccamāno ‘ayaṃ ukkhittako vā vambhito vā garahito vā imassa vacanaṃ akataṃ bhavissatī’ti anādariyaṃ karoti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 342) ca.
ธมฺมเมว วา อสิกฺขิตุกาโม โย ภิกฺขุ ภิกฺขุนา ปญฺญเตฺตน วุจฺจมาโน อสฺส วจนํ อกตฺตุกามตาย อาทรํ ปน สเจ น กโรติ, ตสฺส ตสฺมิํ อนาทริเย ปาจิตฺติยมุทีรเยติ โยชนา, อิมินา ธมฺมานาทริยมูลกํ ปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ ยถาห ‘‘ธมฺมานาทริยํ นาม อุปสมฺปเนฺนน ปญฺญเตฺตน วุจฺจมาโน กถายํ นเสฺสยฺย วา วินเสฺสยฺย วา อนฺตรธาเยยฺย วา, ตํ นสิกฺขิตุกาโม อนาทริยํ กโรติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๔๒)ฯ อนาทริเยติ นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมํฯ
Dhammameva vā asikkhitukāmo yo bhikkhu bhikkhunā paññattena vuccamāno assa vacanaṃ akattukāmatāya ādaraṃ pana sace na karoti, tassa tasmiṃ anādariye pācittiyamudīrayeti yojanā, iminā dhammānādariyamūlakaṃ pācittiyaṃ vuttaṃ. Yathāha ‘‘dhammānādariyaṃ nāma upasampannena paññattena vuccamāno kathāyaṃ nasseyya vā vinasseyya vā antaradhāyeyya vā, taṃ nasikkhitukāmo anādariyaṃ karoti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 342). Anādariyeti nimittatthe bhummaṃ.
๑๖๐๖. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘อุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญี, เวมติโก, อนุปสมฺปนฺนสญฺญี อนาทริยํ กโรติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๔๓) ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ ติกาตีเตนาติ โลกตฺติกมติกฺกเนฺตนฯ อนุปสมฺปนฺนานาทเร ติกทุกฺกฎนฺติ อนุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสน ติกทุกฺกฎํฯ
1606.Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘upasampanne upasampannasaññī, vematiko, anupasampannasaññī anādariyaṃ karoti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 343) tikapācittiyaṃ vuttaṃ. Tikātītenāti lokattikamatikkantena. Anupasampannānādare tikadukkaṭanti anupasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena tikadukkaṭaṃ.
๑๖๐๗. สุเตฺตเนวาภิธเมฺมนาติ เอตฺถ เอวกาโร ‘‘ทุกฺกฎ’’นฺติ อิมินา โยเชตโพฺพฯ ‘‘สุเตฺตน อภิธเมฺมนา’’ติ ปททฺวเยน อเภโทปจารโต สุตฺตาภิธมฺมาคโต ปริยตฺติธโมฺม วุโตฺตฯ อปญฺญเตฺตนาติ ปญฺญตฺตสงฺขาตวินยโต อญฺญตฺตา อปญฺญเตฺตนฯ ‘‘อปญฺญเตฺตนา’’ติ อิทํ ‘‘สุเตฺตน อภิธเมฺมนา’’ติ ปททฺวยวิเสสนํฯ ภิกฺขุนา วุตฺตสฺส ตสฺมิํ ภิกฺขุมฺหิ วา ธเมฺม วา อนาทรํ กโรโต ทุกฺกฎเมวฯ สามเณเรน อุภเยนปิ ปญฺญเตฺตน วา อปญฺญเตฺตน วา วุตฺตสฺส ตสฺมิํ สามเณเร วา ปญฺญเตฺต วา อปญฺญเตฺต วา ธเมฺม อนาทรํ กโรโต ภิกฺขุสฺส ทุกฺกฎเมวาติ โยชนาฯ
1607.Suttenevābhidhammenāti ettha evakāro ‘‘dukkaṭa’’nti iminā yojetabbo. ‘‘Suttenaabhidhammenā’’ti padadvayena abhedopacārato suttābhidhammāgato pariyattidhammo vutto. Apaññattenāti paññattasaṅkhātavinayato aññattā apaññattena. ‘‘Apaññattenā’’ti idaṃ ‘‘suttena abhidhammenā’’ti padadvayavisesanaṃ. Bhikkhunā vuttassa tasmiṃ bhikkhumhi vā dhamme vā anādaraṃ karoto dukkaṭameva. Sāmaṇerena ubhayenapi paññattena vā apaññattena vā vuttassa tasmiṃ sāmaṇere vā paññatte vā apaññatte vā dhamme anādaraṃ karoto bhikkhussa dukkaṭamevāti yojanā.
๑๖๐๘. โทโสติ ปาจิตฺติยทุกฺกฎสงฺขาโต โกจิ โทโสฯ
1608.Dosoti pācittiyadukkaṭasaṅkhāto koci doso.
๑๖๐๙. เอตฺถาติ อิมสฺมิํ อาจริยานํ คาเหฯ คารโยฺห อาจริยุคฺคโห เนว คเหตโพฺพติ โยชนาฯ คารโยฺห อาจริยุคฺคโหติ เอตฺถ ‘‘ยสฺมา อุจฺฉุรโส สตฺตาหกาลิโก, ตสฺส กสโฎ ยาวชีวิโก, ทฺวินฺนํเยว สมวาโย อุจฺฉุยฎฺฐิ, ตสฺมา วิกาเล อุจฺฉุยฎฺฐิํ ขาทิตุํ วฎฺฎติ คุฬหรีตเก วิยา’’ติ เอวมาทิโก สมฺปติ นิพฺพโตฺต คารยฺหาจริยวาโทฯ กตโร ปน คเหตโพฺพติ? ปเวณิยา อาคโต อาจริยุคฺคโหว คเหตโพฺพฯ
1609.Etthāti imasmiṃ ācariyānaṃ gāhe. Gārayho ācariyuggaho neva gahetabboti yojanā. Gārayho ācariyuggahoti ettha ‘‘yasmā ucchuraso sattāhakāliko, tassa kasaṭo yāvajīviko, dvinnaṃyeva samavāyo ucchuyaṭṭhi, tasmā vikāle ucchuyaṭṭhiṃ khādituṃ vaṭṭati guḷaharītake viyā’’ti evamādiko sampati nibbatto gārayhācariyavādo. Kataro pana gahetabboti? Paveṇiyā āgato ācariyuggahova gahetabbo.
กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘โลกวเชฺช อาจริยุคฺคโห น วฎฺฎติ, ปณฺณตฺติวเชฺช ปน วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๔๔) วุตฺตํฯ มหาปจฺจริยํ ‘‘สุตฺตํ, สุตฺตานุโลมญฺจ อุคฺคหิตกานํเยว อาจริยานํ อุคฺคโห ปมาณํ, อชานนฺตานํ กถา อปฺปมาณ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๔๔) วุตฺตํฯ ‘‘ตํ สพฺพํ ปเวณิยา อาคเต สโมธานํ คจฺฉตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๔๔) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ เอตฺถ โลกวเชฺช อาจริยุคฺคโห น วฎฺฎตีติ โลกวชฺชสิกฺขาปเท อาปตฺติฎฺฐาเน โย อาจริยวาโท, โส น คเหตโพฺพ, โลกวชฺชมติกฺกมิตฺวา ‘‘อิทํ อมฺหากํ อาจริยุคฺคโห’’ติ วทนฺตสฺส อุคฺคโห น วฎฺฎตีติ อธิปฺปาโยฯ สุตฺตานุโลมํ นาม อฎฺฐกถาฯ ปเวณิยา อาคเต สโมธานํ คจฺฉตีติ ‘‘ปเวณิยา อาคโต อาจริยุคฺคโหว คเหตโพฺพ’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๔๔) เอวํ วุเตฺต มหาอฎฺฐกถาวาเทเยว สงฺคหํ คจฺฉตีติ อธิปฺปาโยฯ
Kurundiyaṃ pana ‘‘lokavajje ācariyuggaho na vaṭṭati, paṇṇattivajje pana vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 344) vuttaṃ. Mahāpaccariyaṃ ‘‘suttaṃ, suttānulomañca uggahitakānaṃyeva ācariyānaṃ uggaho pamāṇaṃ, ajānantānaṃ kathā appamāṇa’’nti (pāci. aṭṭha. 344) vuttaṃ. ‘‘Taṃ sabbaṃ paveṇiyā āgate samodhānaṃ gacchatī’’ti (pāci. aṭṭha. 344) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Ettha lokavajje ācariyuggaho na vaṭṭatīti lokavajjasikkhāpade āpattiṭṭhāne yo ācariyavādo, so na gahetabbo, lokavajjamatikkamitvā ‘‘idaṃ amhākaṃ ācariyuggaho’’ti vadantassa uggaho na vaṭṭatīti adhippāyo. Suttānulomaṃ nāma aṭṭhakathā. Paveṇiyā āgate samodhānaṃ gacchatīti ‘‘paveṇiyā āgato ācariyuggahova gahetabbo’’ti (pāci. aṭṭha. 344) evaṃ vutte mahāaṭṭhakathāvādeyeva saṅgahaṃ gacchatīti adhippāyo.
อนาทริยกถาวณฺณนาฯ
Anādariyakathāvaṇṇanā.
๑๖๑๐-๑. ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขุํ ภิํสาเปยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๓๔๖) มาติกาวจนโต ภยสญฺชนนตฺถายาติ เอตฺถ ‘‘ภิกฺขุสฺสา’’ติ เสโสฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘อิตรสฺส ตุ ภิกฺขุสฺสา’’ติฯ รูปาทินฺติ รูปสทฺทคนฺธาทิํฯ อุปสํหเรติ อุปฎฺฐเปติ , ทเสฺสตีติ วุตฺตํ โหติฯ ภยานกํ กถนฺติ โจรกนฺตาราทิกถํฯ ยถาห ‘‘โจรกนฺตารํ วา วาฬกนฺตารํ วา ปิสาจกนฺตารํ วา อาจิกฺขตี’’ติ (ปาจิ. ๓๔๘)ฯ ปรสนฺติเกติ เอตฺถ ‘‘ปโร’’ติ วุตฺตนเยน ลพฺภมาโน อุปสมฺปโนฺน คเหตโพฺพฯ
1610-1. ‘‘Yo pana bhikkhu bhikkhuṃ bhiṃsāpeyya, pācittiya’’nti (pāci. 346) mātikāvacanato bhayasañjananatthāyāti ettha ‘‘bhikkhussā’’ti seso. Teneva vakkhati ‘‘itarassa tu bhikkhussā’’ti. Rūpādinti rūpasaddagandhādiṃ. Upasaṃhareti upaṭṭhapeti , dassetīti vuttaṃ hoti. Bhayānakaṃ kathanti corakantārādikathaṃ. Yathāha ‘‘corakantāraṃ vā vāḷakantāraṃ vā pisācakantāraṃ vā ācikkhatī’’ti (pāci. 348). Parasantiketi ettha ‘‘paro’’ti vuttanayena labbhamāno upasampanno gahetabbo.
ทิสฺวา วาติ อุปฎฺฐาปิตํ ตํ รูปาทิํ ทิสฺวา วาฯ สุตฺวา วาติ ตํ ภยานกํ กถํ สุตฺวา วาฯ ยสฺส ภยทสฺสนตฺถาย ตํ อุปฎฺฐาเปสิ, โส ภายตุ วา มา วา ภายตุฯ อิตรสฺสาติ ตทุปฎฺฐาปกสฺส ภิกฺขุสฺสฯ ตงฺขเณติ อุปฎฺฐาปิตกฺขเณฯ
Disvā vāti upaṭṭhāpitaṃ taṃ rūpādiṃ disvā vā. Sutvā vāti taṃ bhayānakaṃ kathaṃ sutvā vā. Yassa bhayadassanatthāya taṃ upaṭṭhāpesi, so bhāyatu vā mā vā bhāyatu. Itarassāti tadupaṭṭhāpakassa bhikkhussa. Taṅkhaṇeti upaṭṭhāpitakkhaṇe.
๑๖๑๒. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘อุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญี, เวมติโก, อนุปสมฺปนฺนสญฺญี ภิํสาเปติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๔๘) ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ ติกทุกฺกฎนฺติ อนุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสน ติกทุกฺกฎํฯ ‘‘อนุปสมฺปนฺนํ ภิํสาเปตุกาโม’’ติอาทิเก ทุกฺกฎวาเร อนุปสมฺปนฺนคฺคหเณน คิหิโนปิ สงฺคยฺหมานตฺตา ‘‘สามเณรํ คหฎฺฐํ วา’’ติ อาหฯ สามเณรํ…เป.… ภิกฺขุโน ตเถว ภิํสาเปนฺตสฺส ติกทุกฺกฎํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ
1612.Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘upasampanne upasampannasaññī, vematiko, anupasampannasaññī bhiṃsāpeti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 348) tikapācittiyaṃ vuttaṃ. Tikadukkaṭanti anupasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena tikadukkaṭaṃ. ‘‘Anupasampannaṃ bhiṃsāpetukāmo’’tiādike dukkaṭavāre anupasampannaggahaṇena gihinopi saṅgayhamānattā ‘‘sāmaṇeraṃ gahaṭṭhaṃ vā’’ti āha. Sāmaṇeraṃ…pe… bhikkhuno tatheva bhiṃsāpentassa tikadukkaṭaṃ vuttanti yojanā.
ภิํสาปนกถาวณฺณนาฯ
Bhiṃsāpanakathāvaṇṇanā.
๑๖๑๔. โชตินฺติ อคฺคิํฯ ตเปฺปตุกาโมติ วิสิเพฺพตุกาโมฯ ‘‘เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขู ปทีเปปิ โชติเกปิ ชนฺตาฆเรปิ กุกฺกุจฺจายนฺตี’’ติ (ปาจิ. ๓๕๒) อุปฺปนฺนวตฺถุมฺหิ ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว ตถารูปปจฺจยา โชติํ สมาทหิตุํ สมาทหาเปตุ’’นฺติ (ปาจิ. ๓๕๒) วุตฺตตฺตา เอตฺถ ‘‘ตถารูปํ ปจฺจย’’นฺติ อิมินา ปทีปุชฺชลนญฺจ ปตฺตปจนสรีรเสทนาทิกมฺมญฺจ ชนฺตาฆรวตฺตญฺจ คเหตพฺพํฯ เอตฺถ จ โชติเกปีติ ปตฺตปจนเสทนกมฺมาทีสุ โชติกรเณติ อโตฺถฯ
1614.Jotinti aggiṃ. Tappetukāmoti visibbetukāmo. ‘‘Tena kho pana samayena bhikkhū padīpepi jotikepi jantāgharepi kukkuccāyantī’’ti (pāci. 352) uppannavatthumhi ‘‘anujānāmi bhikkhave tathārūpapaccayā jotiṃ samādahituṃ samādahāpetu’’nti (pāci. 352) vuttattā ettha ‘‘tathārūpaṃ paccaya’’nti iminā padīpujjalanañca pattapacanasarīrasedanādikammañca jantāgharavattañca gahetabbaṃ. Ettha ca jotikepīti pattapacanasedanakammādīsu jotikaraṇeti attho.
๑๖๑๕. สยํสมาทหนฺตสฺสาติ อตฺตนา ชาเลนฺตสฺสฯ
1615.Sayaṃsamādahantassāti attanā jālentassa.
๑๖๑๖. ชาลาเปนฺตสฺส …เป.… ทุกฺกฎนฺติ อาณตฺติยา อาปชฺชิตพฺพํ ทุกฺกฎํ สนฺธายาหฯ อาณตฺติยา ชลิเต อาปชฺชิตพฺพาปตฺติ ‘‘ชาลุฎฺฐาเน ปนาปตฺติ, ปาจิตฺติ ปริกิตฺติตา’’ติ อนุวตฺตมานตฺตา สิทฺธาติ วิสุํ น วุตฺตาฯ
1616.Jālāpentassa…pe… dukkaṭanti āṇattiyā āpajjitabbaṃ dukkaṭaṃ sandhāyāha. Āṇattiyā jalite āpajjitabbāpatti ‘‘jāluṭṭhāne panāpatti, pācitti parikittitā’’ti anuvattamānattā siddhāti visuṃ na vuttā.
๑๖๑๗. คิลานสฺสาติ ‘‘คิลาโน นาม ยสฺส วินา อคฺคินา น ผาสุ โหตี’’ติ (ปาจิ. ๓๕๔) วุตฺตสฺส คิลานสฺสฯ อวิชฺฌาตํ อลาตํ อุกฺขิปนฺตสฺสาติ คหเณน ภฎฺฐํ อนิพฺพุตาลาตํ อคฺคิโน สมีปํ กโรนฺตสฺส, ยถาฐาเน ฐเปนฺตสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ
1617.Gilānassāti ‘‘gilāno nāma yassa vinā agginā na phāsu hotī’’ti (pāci. 354) vuttassa gilānassa. Avijjhātaṃ alātaṃ ukkhipantassāti gahaṇena bhaṭṭhaṃ anibbutālātaṃ aggino samīpaṃ karontassa, yathāṭhāne ṭhapentassāti vuttaṃ hoti.
๑๖๑๘-๙. วิชฺฌาตํ อลาตนฺติ นิพฺพุตาลาตํฯ ยถาวตฺถุกํ ปาจิตฺติยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อเญฺญน วา กตํ วิสิเพฺพนฺตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ วิสิเพฺพนฺตสฺสาติ ตเปฺปนฺตสฺสฯ องฺคารนฺติ วีตจฺจิกํ องฺคารํฯ ปทีปุชฺชลนาทิเกติ อาทิ-สเทฺทน ‘‘โชติเก ชนฺตาฆเร ตถารูปปจฺจยา’’ติ (ปาจิ. ๓๕๒) อาคตํ สงฺคณฺหาติฯ เอตฺถ จ ตถารูปปจฺจยาติ ฐเปตฺวา ปทีปาทีนิ อเญฺญนปิ ตถารูเปน ปจฺจเยนฯ
1618-9.Vijjhātaṃ alātanti nibbutālātaṃ. Yathāvatthukaṃ pācittiyanti vuttaṃ hoti. Aññena vā kataṃ visibbentassa anāpattīti yojanā. Visibbentassāti tappentassa. Aṅgāranti vītaccikaṃ aṅgāraṃ. Padīpujjalanādiketi ādi-saddena ‘‘jotike jantāghare tathārūpapaccayā’’ti (pāci. 352) āgataṃ saṅgaṇhāti. Ettha ca tathārūpapaccayāti ṭhapetvā padīpādīni aññenapi tathārūpena paccayena.
โชติสมาทหนกถาวณฺณนาฯ
Jotisamādahanakathāvaṇṇanā.
๑๖๒๐-๑. มชฺฌิเม เทเสติ ชมฺพุทีเป ยตฺถ โพธิมณฺฑลํ โหติ, ตสฺมิํ นวโยชนสตาวเฎฺฎ มชฺฌิมมณฺฑเล, อิมินา อิทํ สิกฺขาปทํ ตเตฺถว เทโสทิสฺสกตาย นิยตนฺติ ทเสฺสติฯ เตเนว วกฺขติ อนาปตฺติวาเร ‘‘ปจฺจนฺติเมปิ วา เทเส’’ติฯ จุณฺณนฺติ สิรีสจุณฺณาทิกํ จุณฺณํฯ อภิสงฺขรโตติ ปฎิยาเทนฺตสฺสฯ
1620-1.Majjhime deseti jambudīpe yattha bodhimaṇḍalaṃ hoti, tasmiṃ navayojanasatāvaṭṭe majjhimamaṇḍale, iminā idaṃ sikkhāpadaṃ tattheva desodissakatāya niyatanti dasseti. Teneva vakkhati anāpattivāre ‘‘paccantimepi vā dese’’ti. Cuṇṇanti sirīsacuṇṇādikaṃ cuṇṇaṃ. Abhisaṅkharatoti paṭiyādentassa.
๑๖๒๒-๓. ‘‘มาเส อูนสญฺญิโน’’ติ ปทเจฺฉโทฯ อติเรกทฺธมาเส อูนสญฺญิโน วา อติเรกทฺธมาเส วิมติสฺส วา ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ อติเรกทฺธมาเส นฺหายนฺตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ สมเยสุ จ นฺหายนฺตสฺส อนาปตฺตีติ เอตฺถ ‘‘อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย คิลานสมโย กมฺมสมโย อทฺธานคมนสมโย วาตวุฎฺฐิสมโย’’ติ (ปาจิ. ๓๖๓) ทสฺสิเตสุ ฉสุ สมเยสุ อญฺญตเร สมฺปเตฺต สมเย สติํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา อูนมาเสปิ นหายนฺตสฺส อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ
1622-3. ‘‘Māse ūnasaññino’’ti padacchedo. Atirekaddhamāse ūnasaññino vā atirekaddhamāse vimatissa vā dukkaṭanti yojanā. Atirekaddhamāse nhāyantassa anāpattīti yojanā. Samayesu ca nhāyantassa anāpattīti ettha ‘‘uṇhasamayo pariḷāhasamayo gilānasamayo kammasamayo addhānagamanasamayo vātavuṭṭhisamayo’’ti (pāci. 363) dassitesu chasu samayesu aññatare sampatte samaye satiṃ paccupaṭṭhapetvā ūnamāsepi nahāyantassa anāpattīti attho.
ตตฺถ เชฎฺฐมาโส จ อาสาฬฺหิมาสสฺส ปุริมปโกฺข จาติ ทิยฑฺฒมาโส อุณฺหสมโย นามฯ ยถาห ‘‘อุณฺหสมโย นาม ทิยโฑฺฒ มาโส เสโส คิมฺหาน’’นฺติ (ปาจิ. ๓๖๔), วสฺสานสฺส ปฐโม มาโส ปริฬาหสมโย นามฯ ยถาห ‘‘ปริฬาหสมโย นาม วสฺสานสฺส ปฐโม มาโส’’ติ (ปาจิ. ๓๖๔)ฯ ‘‘ยสฺส วินา นหานา น ผาสุ โหตี’’ติ (ปาจิ. ๓๖๔) วุโตฺต สมโย คิลานสมโย นามฯ ‘‘อนฺตมโส ปริเวณมฺปิ สมฺมฎฺฐํ โหตี’’ติ (ปาจิ. ๓๖๔) วุโตฺต กมฺมสมโย นามฯ ‘‘อทฺธโยชนํ คจฺฉิสฺสามี’ติ นหายิตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. ๓๖๔) วุโตฺต อทฺธานคมนสมโย นามฯ ‘‘ภิกฺขู สรเชน วาเตน โอกิณฺณา โหนฺติ, เทฺว วา ตีณิ วา อุทกผุสิตานิ กาเย ปติตานิ โหนฺตี’’ติ (ปาจิ. ๓๖๔) วุโตฺต วาตวุฎฺฐิสมโย นามฯ
Tattha jeṭṭhamāso ca āsāḷhimāsassa purimapakkho cāti diyaḍḍhamāso uṇhasamayo nāma. Yathāha ‘‘uṇhasamayo nāma diyaḍḍho māso seso gimhāna’’nti (pāci. 364), vassānassa paṭhamo māso pariḷāhasamayo nāma. Yathāha ‘‘pariḷāhasamayo nāma vassānassa paṭhamo māso’’ti (pāci. 364). ‘‘Yassa vinā nahānā na phāsu hotī’’ti (pāci. 364) vutto samayo gilānasamayo nāma. ‘‘Antamaso pariveṇampi sammaṭṭhaṃ hotī’’ti (pāci. 364) vutto kammasamayo nāma. ‘‘Addhayojanaṃ gacchissāmī’ti nahāyitabba’’nti (pāci. 364) vutto addhānagamanasamayo nāma. ‘‘Bhikkhū sarajena vātena okiṇṇā honti, dve vā tīṇi vā udakaphusitāni kāye patitāni hontī’’ti (pāci. 364) vutto vātavuṭṭhisamayo nāma.
นทีปารํ คจฺฉโตปิ อูนกทฺธมาเส นฺหายนฺตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ วาลิกํ อุกฺกิริตฺวานาติ เอตฺถ สุกฺขาย นทิยา วาลิกํ อุกฺกิริตฺวาฯ กตาวาเฎสุปิ อูนกทฺธมาเส นฺหายนฺตสฺสปิ อนาปตฺตีติฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘นฺหายนฺตสฺส อนาปตฺตี’’ติ อิทํ ปจฺจามสติฯ
Nadīpāraṃ gacchatopi ūnakaddhamāse nhāyantassa anāpattīti yojanā. Vālikaṃ ukkiritvānāti ettha sukkhāya nadiyā vālikaṃ ukkiritvā. Katāvāṭesupi ūnakaddhamāse nhāyantassapi anāpattīti. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘nhāyantassa anāpattī’’ti idaṃ paccāmasati.
๑๖๒๔. ปจฺจนฺติเมปิ วา เทเสติ ชมฺพุทีเป ยถาวุตฺตมชฺฌิมเทสโต พหิ ปจฺจนฺติเมสุ ชนปเทสุ, ขุทฺทเกสุ จ ทีเปสุฯ สเพฺพสนฺติ ลทฺธสมยานํ, อลทฺธสมยานญฺจ สเพฺพสํ ภิกฺขูนํฯ อาปทาสูติ ภมรอนุพนฺธาทิอาปทาสุฯ ยถาห ‘‘ภมราทีหิ อนุพทฺธสฺส อุทเก นิมุชฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๖๖)ฯ กายจิตฺตสมุฎฺฐานํ เอฬกโลมสมุฎฺฐานํ นามฯ
1624.Paccantimepi vā deseti jambudīpe yathāvuttamajjhimadesato bahi paccantimesu janapadesu, khuddakesu ca dīpesu. Sabbesanti laddhasamayānaṃ, aladdhasamayānañca sabbesaṃ bhikkhūnaṃ. Āpadāsūti bhamaraanubandhādiāpadāsu. Yathāha ‘‘bhamarādīhi anubaddhassa udake nimujjituṃ vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 366). Kāyacittasamuṭṭhānaṃ eḷakalomasamuṭṭhānaṃ nāma.
นฺหานกถาวณฺณนาฯ
Nhānakathāvaṇṇanā.
๑๖๒๕-๗. ‘‘นวํ นาม อกตกปฺปํ วุจฺจตี’’ติ (ปาจิ. ๓๖๙) ปาฬิวจนโต จ ‘‘ปฎิลทฺธนวจีวเรนาติ อโตฺถ’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๖๘) อฎฺฐกถาวจนโต จ จีวรนฺติ เอตฺถ ‘‘นว’’นฺติ เสโสฯ กปฺปิยํ พินฺทุํ อทตฺวา นวํ จีวรํ ภิกฺขุ ปริภุญฺชติ, ตเสฺสวํ ปริภุญฺชโต ปาจิตฺตีติ สมฺพโนฺธฯ ฉนฺนนฺติ โขมาทีนํ, นิทฺธารเณ สามิวจนํฯ อญฺญตรํ นวํ จีวรนฺติ นิทฺธาเรตพฺพํฯ ยตฺถ กตฺถจีติ ‘‘จตูสุ วา โกเณสุ ตีสุ วา ทฺวีสุ วา เอกสฺมิํ วา โกเณ’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๖๘) อฎฺฐกถาวจนโต จีวรโกเณสุ ยตฺถ กตฺถจิฯ
1625-7. ‘‘Navaṃ nāma akatakappaṃ vuccatī’’ti (pāci. 369) pāḷivacanato ca ‘‘paṭiladdhanavacīvarenāti attho’’ti (pāci. aṭṭha. 368) aṭṭhakathāvacanato ca cīvaranti ettha ‘‘nava’’nti seso. Kappiyaṃ binduṃ adatvā navaṃ cīvaraṃ bhikkhu paribhuñjati, tassevaṃ paribhuñjato pācittīti sambandho. Channanti khomādīnaṃ, niddhāraṇe sāmivacanaṃ. Aññataraṃ navaṃ cīvaranti niddhāretabbaṃ. Yattha katthacīti ‘‘catūsu vā koṇesu tīsu vā dvīsu vā ekasmiṃ vā koṇe’’ti (pāci. aṭṭha. 368) aṭṭhakathāvacanato cīvarakoṇesu yattha katthaci.
กํสนีเลนาติ จมฺมการนีเลนฯ จมฺมการนีลํ นาม ปกตินีลํฯ คณฺฐิปเท ปน ‘‘จมฺมการา อุทเก ติผลํ, อโยคูถญฺจ ปกฺขิปิตฺวา จมฺมํ กาฬํ กโรนฺติ, ตํ จมฺมการนีล’’นฺติ วุตฺตํฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘อโยมลํ โลหมลํ, เอตํ กํสนีลํ นามา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๖๘) วุตฺตํฯ ปตฺตนีเลน วาติ ‘‘โย โกจิ นีลวโณฺณ ปณฺณรโส’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๖๘) อฎฺฐกถาย วุเตฺตน นีลปณฺณรเสนฯ เยน เกนจิ กาเฬนาติ องฺคารชลฺลิกาทีสุ อญฺญตเรน เยน เกนจิ กาฬวเณฺณนฯ ‘‘กทฺทโม นาม โอทโก วุจฺจตี’’ติ (ปาจิ. ๓๖๙) วุตฺตตฺตา กทฺทเมนาติ อุทกานุกทฺทมสุกฺขกทฺทมาทิํ สงฺคณฺหาติฯ
Kaṃsanīlenāti cammakāranīlena. Cammakāranīlaṃ nāma pakatinīlaṃ. Gaṇṭhipade pana ‘‘cammakārā udake tiphalaṃ, ayogūthañca pakkhipitvā cammaṃ kāḷaṃ karonti, taṃ cammakāranīla’’nti vuttaṃ. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘ayomalaṃ lohamalaṃ, etaṃ kaṃsanīlaṃ nāmā’’ti (pāci. aṭṭha. 368) vuttaṃ. Pattanīlena vāti ‘‘yo koci nīlavaṇṇo paṇṇaraso’’ti (pāci. aṭṭha. 368) aṭṭhakathāya vuttena nīlapaṇṇarasena. Yena kenaci kāḷenāti aṅgārajallikādīsu aññatarena yena kenaci kāḷavaṇṇena. ‘‘Kaddamo nāma odako vuccatī’’ti (pāci. 369) vuttattā kaddamenāti udakānukaddamasukkhakaddamādiṃ saṅgaṇhāti.
‘‘มงฺคุลสฺส ปิฎฺฐิปฺปมาณกํ มยูรสฺส อกฺขิปฺปมาณก’’นฺติ ยถากฺกเมน โยชนาฯ
‘‘Maṅgulassa piṭṭhippamāṇakaṃ mayūrassa akkhippamāṇaka’’nti yathākkamena yojanā.
๑๖๒๘. ‘‘ปาฬิกโปฺป กณฺณิกากโปฺป’’ติ โยชนา, มุตฺตาวลิ วิย ปาฬิํ กตฺวา อปฺปิตกโปฺป จ กณฺณิกากาเรน อปฺปิตกโปฺป จาติ อโตฺถฯ กตฺถจีติ เอตฺถ ‘‘ยถาวุตฺตปฺปเทเส’’ติ เสโสฯ ‘‘จตูสุ วา โกเณสุ ตีสุ วา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๖๘) วุตฺตตฺตา ‘‘อเนกํ วา’’ติ อาหฯ วฎฺฎเมว วฎฺฎกํ, อิมินา อญฺญํ วิการํ น วฎฺฎตีติ ทเสฺสติฯ ยถาห ‘‘ฐเปตฺวา เอกํ วฎฺฎพินฺทุํ อเญฺญน เกนจิปิ วิกาเรน กโปฺป น กาตโพฺพ’’ติ (ปาจิ. ๓๖๘)ฯ
1628. ‘‘Pāḷikappo kaṇṇikākappo’’ti yojanā, muttāvali viya pāḷiṃ katvā appitakappo ca kaṇṇikākārena appitakappo cāti attho. Katthacīti ettha ‘‘yathāvuttappadese’’ti seso. ‘‘Catūsu vā koṇesu tīsu vā’’ti (pāci. aṭṭha. 368) vuttattā ‘‘anekaṃ vā’’ti āha. Vaṭṭameva vaṭṭakaṃ, iminā aññaṃ vikāraṃ na vaṭṭatīti dasseti. Yathāha ‘‘ṭhapetvā ekaṃ vaṭṭabinduṃ aññena kenacipi vikārena kappo na kātabbo’’ti (pāci. 368).
๑๖๒๙. ‘‘อนาปตฺติ ปกาสิตา’’ติ อิทํ ‘‘วิมติสฺสจา’’ติ เอตฺถ จ-สเทฺทน สมุจฺจิตํ ‘‘อาทิเนฺน อาทินฺนสญฺญิโน’’ติ ตติยวิกปฺปํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ยถาห ‘‘อาทิเนฺน อาทินฺนสญฺญี, อนาปตฺตี’’ติฯ
1629.‘‘Anāpatti pakāsitā’’ti idaṃ ‘‘vimatissacā’’ti ettha ca-saddena samuccitaṃ ‘‘ādinne ādinnasaññino’’ti tatiyavikappaṃ sandhāya vuttaṃ. Yathāha ‘‘ādinne ādinnasaññī, anāpattī’’ti.
๑๖๓๐. ‘‘กเปฺป นเฎฺฐปิ วา’’ติอาทีหิ จ โยเชตพฺพํฯ ปิ-สเทฺทน ‘‘กปฺปกโตกาเส ชิเณฺณ’’ติ อิทํ สมฺปิเณฺฑติฯ ยถาห ‘‘กปฺปกโตกาโส ชิโณฺณ โหตี’’ติฯ เตน กปฺปกเตนาติ สหเตฺถ กรณวจนํฯ สํสิพฺพิเตสูติ เอตฺถ ‘‘อกปฺปกเตสู’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘กปฺปกเตน อกปฺปกตํ สํสิพฺพิตํ โหตี’’ติฯ นิวาสนปารุปนํ กฺริยํฯ กปฺปพินฺทุอนาทานํ อกฺริยํฯ
1630.‘‘Kappe naṭṭhepi vā’’tiādīhi ca yojetabbaṃ. Pi-saddena ‘‘kappakatokāse jiṇṇe’’ti idaṃ sampiṇḍeti. Yathāha ‘‘kappakatokāso jiṇṇo hotī’’ti. Tena kappakatenāti sahatthe karaṇavacanaṃ. Saṃsibbitesūti ettha ‘‘akappakatesū’’ti seso. Yathāha ‘‘kappakatena akappakataṃ saṃsibbitaṃ hotī’’ti. Nivāsanapārupanaṃ kriyaṃ. Kappabinduanādānaṃ akriyaṃ.
ทุพฺพณฺณกรณกถาวณฺณนาฯ
Dubbaṇṇakaraṇakathāvaṇṇanā.
๑๖๓๑-๔. ‘‘วิกปฺปนา นาม เทฺว วิกปฺปนา สมฺมุขาวิกปฺปนา จ ปรมฺมุขาวิกปฺปนา จา’’ติ (ปาจิ. ๓๗๔) วุตฺตตฺตา ‘‘วิกปฺปนา ทุเว’’ติอาทิมาหฯ อิตีติ นิทสฺสเน, เอวนฺติ อโตฺถฯ กถํ สมฺมุขาวิกปฺปนา โหตีติ อาห ‘‘สมฺมุขาย…เป.… นิทฺทิเส’’ติฯ เอกสฺสาติ เอตฺถ ‘‘พฺยตฺตสฺสา’’ติ เสโสฯ อิธ พฺยโตฺต นาม วิกปฺปนปจฺจุทฺธารณวิธิํ ชานโนฺตฯ
1631-4. ‘‘Vikappanā nāma dve vikappanā sammukhāvikappanā ca parammukhāvikappanā cā’’ti (pāci. 374) vuttattā ‘‘vikappanā duve’’tiādimāha. Itīti nidassane, evanti attho. Kathaṃ sammukhāvikappanā hotīti āha ‘‘sammukhāya…pe… niddise’’ti. Ekassāti ettha ‘‘byattassā’’ti seso. Idha byatto nāma vikappanapaccuddhāraṇavidhiṃ jānanto.
ยถาวจนโยคโตติ ‘‘อิมํ จีวร’นฺติ วา, ‘อิมานิ จีวรานี’ติ วา, ‘เอตํ จีวร’นฺติ วา, ‘เอตานิ จีวรานี’ติ วา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙) อฎฺฐกถาย วุตฺตํ อนติกฺกมฺม, วจนสมฺพนฺธกฺกเมนาติ อโตฺถฯ ตเทกเทสสรูปํ ทเสฺสติ ‘‘อิมํ จีวร’’นฺติฯ
Yathāvacanayogatoti ‘‘imaṃ cīvara’nti vā, ‘imāni cīvarānī’ti vā, ‘etaṃ cīvara’nti vā, ‘etāni cīvarānī’ti vā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.469) aṭṭhakathāya vuttaṃ anatikkamma, vacanasambandhakkamenāti attho. Tadekadesasarūpaṃ dasseti ‘‘imaṃ cīvara’’nti.
‘‘อปจฺจุทฺธฎโต’’ติ อิมินา ‘‘น กปฺปตี’’ติ เอตสฺส เหตุํ ทเสฺสติฯ
‘‘Apaccuddhaṭato’’ti iminā ‘‘na kappatī’’ti etassa hetuṃ dasseti.
๑๖๓๕. ‘‘สนฺตก’’มิจฺจาทิ ปจฺจุทฺธรณปฺปกาโรฯ ยถาปจฺจยํ กโรหีติ ตุยฺหํ รุจฺจนกํ กโรหีติ อโตฺถฯ
1635.‘‘Santaka’’miccādi paccuddharaṇappakāro. Yathāpaccayaṃ karohīti tuyhaṃ ruccanakaṃ karohīti attho.
๑๖๓๖. สมฺมุขาวิกปฺปนฺตรํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อปรา สมฺมุขา วุตฺตา’’ติอาทิฯ อตฺตนา อภิรุจิตสฺส ยสฺส กสฺสจิ นามํ คเหตฺวาติ โยชนาฯ สหธมฺมินนฺติ เอตฺถ ‘‘ปญฺจนฺน’’นฺติ เสโส, นิทฺธารเณ สามิวจนํฯ
1636. Sammukhāvikappantaraṃ dassetumāha ‘‘aparā sammukhā vuttā’’tiādi. Attanā abhirucitassa yassa kassaci nāmaṃ gahetvāti yojanā. Sahadhamminanti ettha ‘‘pañcanna’’nti seso, niddhāraṇe sāmivacanaṃ.
๑๖๓๙. เอวนฺติ วกฺขมานาเปกฺขํฯ อปิ-สโทฺท ปน สทฺทสฺสเตฺถฯ
1639.Evanti vakkhamānāpekkhaṃ. Api-saddo pana saddassatthe.
๑๖๔๐. มิโตฺตติ ทฬฺหมิโตฺต, ‘‘เตน วตฺตพฺพํ ‘โก เต มิโตฺต วา สนฺทิโฎฺฐ วา’’ติ (ปาจิ. ๓๗๔) วจนโต อิทํ อุปลกฺขณํฯ ปุน เตนปิ ภิกฺขุนา วตฺตพฺพนฺติ โยชนาฯ
1640.Mittoti daḷhamitto, ‘‘tena vattabbaṃ ‘ko te mitto vā sandiṭṭho vā’’ti (pāci. 374) vacanato idaṃ upalakkhaṇaṃ. Puna tenapi bhikkhunā vattabbanti yojanā.
๑๖๔๑-๒. ‘‘อหํ ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน ทมฺมี’ติ วา…เป.… ‘ติสฺสาย สามเณริยา ทมฺมี’ติ วา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙) เสสอฎฺฐกถาปาเฐน ‘‘อิท’’มิจฺจาทิปาโฐ โยเชตโพฺพฯ
1641-2. ‘‘Ahaṃ tissassa bhikkhuno dammī’ti vā…pe… ‘tissāya sāmaṇeriyā dammī’ti vā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.469) sesaaṭṭhakathāpāṭhena ‘‘ida’’miccādipāṭho yojetabbo.
๑๖๔๓. ทฺวีสูติ นิทฺธารเณ ภุมฺมํ, เอตฺถ ‘‘วิกปฺปนาสู’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ
1643.Dvīsūti niddhāraṇe bhummaṃ, ettha ‘‘vikappanāsū’’ti pakaraṇato labbhati.
๑๖๔๔-๕. อิธ ปน อิมสฺมิํ สาสเน เยน ปน ภิกฺขุนา สห จีวรสามิเกน ตํ วินยกมฺมํ กตํ, ตสฺส อวิสฺสาเสน วิสฺสาสภาวํ วินา โส วินยกมฺมกโต ภิกฺขุ ตํ จีวรํ ปริภุเญฺชยฺย, ตสฺส ภิกฺขุโน ปาจิตฺตีติ โยชนาฯ ฉนฺทานุรกฺขนตฺถํ ‘‘วินยํกมฺม’’นฺติ อนุสฺสาราคโม เวทิตโพฺพ, วินยกมฺมนฺติ อโตฺถฯ ตํ จีวรํ อธิฎฺฐหนฺตสฺส วา วิสฺสชฺชนฺตสฺส วา ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ
1644-5.Idhapana imasmiṃ sāsane yena pana bhikkhunā saha cīvarasāmikena taṃ vinayakammaṃ kataṃ, tassa avissāsena vissāsabhāvaṃ vinā so vinayakammakato bhikkhu taṃ cīvaraṃ paribhuñjeyya, tassa bhikkhuno pācittīti yojanā. Chandānurakkhanatthaṃ ‘‘vinayaṃkamma’’nti anussārāgamo veditabbo, vinayakammanti attho. Taṃ cīvaraṃ adhiṭṭhahantassa vā vissajjantassa vā dukkaṭanti yojanā.
๑๖๔๖. ปจฺจุทฺธารกวเตฺถสูติ ปจฺจุทฺธฎวเตฺถสุฯ อปจฺจุทฺธารสญฺญิโนติ อปจฺจุทฺธฎสญฺญิโนฯ ตตฺถาติ อปจฺจุทฺธฎวเตฺถสุฯ เวมติกสฺสาติ ‘‘ปจฺจุทฺธฎานิ นุ โข มยา, อปจฺจุทฺธฎานี’’ติ สํสยาปนฺนสฺสฯ
1646.Paccuddhārakavatthesūti paccuddhaṭavatthesu. Apaccuddhārasaññinoti apaccuddhaṭasaññino. Tatthāti apaccuddhaṭavatthesu. Vematikassāti ‘‘paccuddhaṭāni nu kho mayā, apaccuddhaṭānī’’ti saṃsayāpannassa.
๑๖๔๗. ปจฺจุทฺธารณสญฺญิสฺสาติ ปจฺจุทฺธฎมิทนฺติ สญฺญิสฺสฯ วิสฺสาสาติ ยสฺส วา จีวรํ วิกเปฺปสิ, เตน อปจฺจุทฺธฎมฺปิ ตสฺส วิสฺสาสา ปริภุญฺชโต จฯ ยถาห ‘‘ตสฺส วา วิสฺสสโนฺต ปริภุญฺชตี’’ติ (ปาจิ. ๓๗๖)ฯ
1647.Paccuddhāraṇasaññissāti paccuddhaṭamidanti saññissa. Vissāsāti yassa vā cīvaraṃ vikappesi, tena apaccuddhaṭampi tassa vissāsā paribhuñjato ca. Yathāha ‘‘tassa vā vissasanto paribhuñjatī’’ti (pāci. 376).
วิกปฺปนกถาวณฺณนาฯ
Vikappanakathāvaṇṇanā.
๑๖๔๘-๙. ‘‘ปโตฺต นาม เทฺว ปตฺตา อโยปโตฺต มตฺติกาปโตฺต’’ติ (ปาจิ. ๓๗๙) ชาติยา กปฺปิยปตฺตานํ วุตฺตตฺตา อาห ‘‘อธิฎฺฐานุปคํ ปตฺต’’นฺติฯ ตาทิสนฺติ อธิฎฺฐานุปคํฯ สูจิฆรํ นาม สสูจิกํ วา อสูจิกํ วาฯ กายพนฺธนํ นาม ปฎฺฎิกา วา สูกรนฺตกํ วาฯ นิสีทนํ นาม สทสํ วุจฺจติฯ
1648-9. ‘‘Patto nāma dve pattā ayopatto mattikāpatto’’ti (pāci. 379) jātiyā kappiyapattānaṃ vuttattā āha ‘‘adhiṭṭhānupagaṃ patta’’nti. Tādisanti adhiṭṭhānupagaṃ. Sūcigharaṃ nāma sasūcikaṃ vā asūcikaṃ vā. Kāyabandhanaṃ nāma paṭṭikā vā sūkarantakaṃ vā. Nisīdanaṃ nāma sadasaṃ vuccati.
‘‘ปตฺตํ วา’’ติอาทีหิ อุปโยคนฺตปเทหิ ‘‘อปเนตฺวา นิเธนฺตสฺสา’’ติ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ นิเธนฺตสฺสาติ เอตสฺส ‘‘หสาเปกฺขสฺสา’’ติ วิเสสนํฯ ยถาห ‘‘หสาเปโกฺขปีติ กีฬาธิปฺปาโย’’ติ (ปาจิ. ๓๗๙)ฯ ‘‘เกวล’’นฺติ อิมินา ทุนฺนิกฺขิตฺตสฺส ปฎิสามนาธิปฺปายาทิอญฺญาธิปฺปายาภาวํ ทีเปติฯ วกฺขติ จ ‘‘ทุนฺนิกฺขิตฺตมนาปตฺติ, ปฎิสามยโต ปนา’’ติฯ
‘‘Pattaṃ vā’’tiādīhi upayogantapadehi ‘‘apanetvā nidhentassā’’ti paccekaṃ yojetabbaṃ. Nidhentassāti etassa ‘‘hasāpekkhassā’’ti visesanaṃ. Yathāha ‘‘hasāpekkhopīti kīḷādhippāyo’’ti (pāci. 379). ‘‘Kevala’’nti iminā dunnikkhittassa paṭisāmanādhippāyādiaññādhippāyābhāvaṃ dīpeti. Vakkhati ca ‘‘dunnikkhittamanāpatti, paṭisāmayato panā’’ti.
๑๖๕๐. เตนาปีติ อาณเตฺตนฯ ตสฺสาติ อาณาปกสฺสฯ ติกทุกฺกฎํ วุตฺตนฺติ อนุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสน ติกทุกฺกฎํ วุตฺตํ, อิมินา จ อุปสมฺปนฺนสนฺตเก ติกปาจิตฺติยนฺติ อิทญฺจ วุตฺตเมว โหติฯ
1650.Tenāpīti āṇattena. Tassāti āṇāpakassa. Tikadukkaṭaṃ vuttanti anupasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena tikadukkaṭaṃ vuttaṃ, iminā ca upasampannasantake tikapācittiyanti idañca vuttameva hoti.
๑๖๕๑. อญฺญนฺติ ปาฬิยํ อนาคตํ ปตฺตตฺถวิกาทิปริกฺขารํฯ
1651.Aññanti pāḷiyaṃ anāgataṃ pattatthavikādiparikkhāraṃ.
๑๖๕๒. สเพฺพสูติ ปาฬิยํ อาคเตสุ จ อนาคเตสุ จ สเพฺพสุ ปริกฺขาเรสุฯ
1652.Sabbesūti pāḷiyaṃ āgatesu ca anāgatesu ca sabbesu parikkhāresu.
๑๖๕๓. ธมฺมกถํ กตฺวาติ ‘‘สมเณน นาม อนิหิตปริกฺขาเรน ภวิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๗๗) อฎฺฐกถาคตนเยน ธมฺมกถํ กตฺวาฯ อนิหิตปริกฺขาเรนาติ อปฺปฎิสามิตปริกฺขาเรนฯ นิเธติ เจ, ตถา อนาปตฺตีติ โยชนาฯ อวิเหเสตุกามสฺสาติ วิเหสาธิปฺปายรหิตสฺสฯ อกีฬสฺสาติ กีฬาธิปฺปายรหิตสฺส เกวลํ วตฺตสีเสน ‘‘ปฎิสาเมตฺวา ทสฺสามี’’ติ อปนิเธนฺตสฺสฯ
1653.Dhammakathaṃ katvāti ‘‘samaṇena nāma anihitaparikkhārena bhavituṃ na vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 377) aṭṭhakathāgatanayena dhammakathaṃ katvā. Anihitaparikkhārenāti appaṭisāmitaparikkhārena. Nidheti ce, tathā anāpattīti yojanā. Avihesetukāmassāti vihesādhippāyarahitassa. Akīḷassāti kīḷādhippāyarahitassa kevalaṃ vattasīsena ‘‘paṭisāmetvā dassāmī’’ti apanidhentassa.
๑๖๕๔. อทินฺนาทานสมุฎฺฐานาปตฺตีนํ อกุสลาทิวเสนปิ สจิตฺตกตฺตา อาห ‘‘อิทํ อกุสเลเนว สจิตฺต’’นฺติฯ
1654. Adinnādānasamuṭṭhānāpattīnaṃ akusalādivasenapi sacittakattā āha ‘‘idaṃ akusaleneva sacitta’’nti.
จีวราปนิธานกถาวณฺณนาฯ
Cīvarāpanidhānakathāvaṇṇanā.
สุราปานวโคฺค ฉโฎฺฐฯ
Surāpānavaggo chaṭṭho.
๑๖๕๕. ‘‘ติรจฺฉานคตํ ปาณ’’นฺติ อิมินา ‘‘โย ปน ภิกฺขุ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๓๘๓) อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท อธิเปฺปตํ ปาณํ ทเสฺสติฯ อาปตฺตินานตฺตาภาวา อาห ‘‘มหนฺตํ ขุทฺทกมฺปิ วา’’ติฯ ยถาห ‘‘อิมสฺมิญฺจ สิกฺขาปเท ติรจฺฉานคโตเยว ‘ปาโณ’ติ เวทิตโพฺพ, ตํ ขุทฺทกมฺปิ มหนฺตมฺปิ มาเรนฺตสฺส อาปตฺตินานากรณํ นตฺถิ, มหเนฺต ปน อุปกฺกมมหนฺตตฺตา อกุสลํ มหนฺตํ โหตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๘๒)ฯ ‘‘มาเรนฺตสฺส อสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ‘‘ขุทฺทกมฺปิ วา มาเรนฺตสฺสา’’ติ อิมินา อฎฺฐกถายํ ‘‘อนฺตมโส มญฺจปีฐํ โสเธโนฺต มงฺคุลพีชเกปิ ปาณสญฺญี นิกฺการุณิกตาย ตํ ภินฺทโนฺต อปเนติ, ปาจิตฺติยํฯ ตสฺมา เอวรูเปสุ ฐาเนสุ การุญฺญํ อุปฎฺฐเปตฺวา อปฺปมเตฺตน วตฺตํ กาตพฺพ’’นฺติ วุตฺตวินิจฺฉโยปิ สงฺคหิโตฯ
1655.‘‘Tiracchānagataṃ pāṇa’’nti iminā ‘‘yo pana bhikkhu sañcicca pāṇaṃ jīvitā voropeyya, pācittiya’’nti (pāci. 383) imasmiṃ sikkhāpade adhippetaṃ pāṇaṃ dasseti. Āpattinānattābhāvā āha ‘‘mahantaṃ khuddakampi vā’’ti. Yathāha ‘‘imasmiñca sikkhāpade tiracchānagatoyeva ‘pāṇo’ti veditabbo, taṃ khuddakampi mahantampi mārentassa āpattinānākaraṇaṃ natthi, mahante pana upakkamamahantattā akusalaṃ mahantaṃ hotī’’ti (pāci. aṭṭha. 382). ‘‘Mārentassa assā’’ti padacchedo. ‘‘Khuddakampi vā mārentassā’’ti iminā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘antamaso mañcapīṭhaṃ sodhento maṅgulabījakepi pāṇasaññī nikkāruṇikatāya taṃ bhindanto apaneti, pācittiyaṃ. Tasmā evarūpesu ṭhānesu kāruññaṃ upaṭṭhapetvā appamattena vattaṃ kātabba’’nti vuttavinicchayopi saṅgahito.
๑๖๕๖. อุภยตฺถ จาติ ปาเณ วา อปาเณ วาติ อุภยตฺถาปิฯ อวเสสวินิจฺฉโย ปเนตฺถ มนุสฺสวิคฺคเห วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
1656.Ubhayatthacāti pāṇe vā apāṇe vāti ubhayatthāpi. Avasesavinicchayo panettha manussaviggahe vuttanayeneva veditabbo.
สญฺจิจฺจปาณกถาวณฺณนาฯ
Sañciccapāṇakathāvaṇṇanā.
๑๖๕๘. สปฺปาณกนฺติ สห ปาณเกหีติ สปฺปาณกํฯ เย ปริโภเคน มรนฺติ, เอวรูปา อิธ ‘‘ปาณกา’’ติ อธิเปฺปตาฯ อสฺสาติ ภิกฺขุโนฯ
1658.Sappāṇakanti saha pāṇakehīti sappāṇakaṃ. Ye paribhogena maranti, evarūpā idha ‘‘pāṇakā’’ti adhippetā. Assāti bhikkhuno.
๑๖๕๙. ‘‘อวิจฺฉิชฺชา’’ติ อิมินา วิเจฺฉเทเนว ปโยคนานตฺตํ โหตีติ ทีเปติฯ ปตฺตปูรมฺปีติ เอตฺถ ปิ-สโทฺท พฺยติเรเกฯ
1659.‘‘Avicchijjā’’ti iminā vicchedeneva payoganānattaṃ hotīti dīpeti. Pattapūrampīti ettha pi-saddo byatireke.
๑๖๖๐-๑. อสฺส ปาจิตฺติ ปริทีปิตาติ สมฺพโนฺธฯ ตาทิเสนาติ สปฺปาณเกนฯ อาวิญฺฉิตฺวานาติ ปริพฺภมิตฺวาฯ ยาคุโยติ เอตฺถ ‘‘อุณฺหา’’ติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ อิทญฺจ ปาณีนํ มารณตฺถํ ยํ กิญฺจิ อุณฺหวตฺถุํ สปฺปาณเกน อุทเกน อนิพฺพาเปตุํ อุปลกฺขณํฯ ตํ สปฺปาณกํ อุทกํฯ นฺหายโตปิ วาติ เอตฺถ ปิ-สเทฺทน อฎฺฐกถายํ –
1660-1. Assa pācitti paridīpitāti sambandho. Tādisenāti sappāṇakena. Āviñchitvānāti paribbhamitvā. Yāguyoti ettha ‘‘uṇhā’’ti sāmatthiyā labbhati. Idañca pāṇīnaṃ māraṇatthaṃ yaṃ kiñci uṇhavatthuṃ sappāṇakena udakena anibbāpetuṃ upalakkhaṇaṃ. Taṃ sappāṇakaṃ udakaṃ. Nhāyatopi vāti ettha pi-saddena aṭṭhakathāyaṃ –
‘‘อุทกโสณฺฑิํ วา โปกฺขรณิํ วา ปวิสิตฺวา พหิ นิกฺขมนตฺถาย วีจิํ อุฎฺฐาปยโตปิฯ โสณฺฑิํ วา โปกฺขรณิํ วา โสเธเนฺตหิ ตโต คหิตอุทกํ อุทเกเยว อาสิญฺจิตพฺพํฯ สมีปมฺหิ อุทเก อสติ กปฺปิยอุทกสฺส อฎฺฐ วา ทส วา ฆเฎ อุทกสณฺฐานกปฺปเทเส อาสิญฺจิตฺวา ตตฺถ อาสิญฺจิตพฺพํฯ ‘ปวฎฺฎิตฺวา อุทเก ปติสฺสตี’ติ อุณฺหปาสาเณ อุทกํ นาสิญฺจิตพฺพํฯ กปฺปิยอุทเกน ปน ปาสาณํ นิพฺพาเปตฺวา อาสิญฺจิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๘๗) –
‘‘Udakasoṇḍiṃ vā pokkharaṇiṃ vā pavisitvā bahi nikkhamanatthāya vīciṃ uṭṭhāpayatopi. Soṇḍiṃ vā pokkharaṇiṃ vā sodhentehi tato gahitaudakaṃ udakeyeva āsiñcitabbaṃ. Samīpamhi udake asati kappiyaudakassa aṭṭha vā dasa vā ghaṭe udakasaṇṭhānakappadese āsiñcitvā tattha āsiñcitabbaṃ. ‘Pavaṭṭitvā udake patissatī’ti uṇhapāsāṇe udakaṃ nāsiñcitabbaṃ. Kappiyaudakena pana pāsāṇaṃ nibbāpetvā āsiñcituṃ vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 387) –
วุตฺตวินิจฺฉยํ สมฺปิเณฺฑติฯ
Vuttavinicchayaṃ sampiṇḍeti.
๑๖๖๒. อุภยตฺถปีติ สปฺปาณเกปิ อปฺปาณเกปีติ อุภยเตฺถวฯ
1662.Ubhayatthapīti sappāṇakepi appāṇakepīti ubhayattheva.
๑๖๖๔-๖. ปาณปฎิพทฺธตาย การณํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปตน’’นฺติอาทิฯ สลภาทีนนฺติ ปฎงฺคาทีนํ ฯ ญตฺวาติ เอตฺถ ปิ-สโทฺท ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐฯ เอวมุปริปิฯ ปทีปุชฺชลนนฺติ เอตฺถ ‘‘วิยา’’ติ เสโสฯ เอตฺถาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ สปฺปาณภาโวว สปฺปาณภาวตา, ตํฯ ภุญฺชโตติ ภุญฺชิตพฺพโตฯ
1664-6. Pāṇapaṭibaddhatāya kāraṇaṃ dassetumāha ‘‘patana’’ntiādi. Salabhādīnanti paṭaṅgādīnaṃ . Ñatvāti ettha pi-saddo luttaniddiṭṭho. Evamuparipi. Padīpujjalananti ettha ‘‘viyā’’ti seso. Etthāti imasmiṃ sikkhāpade. Sappāṇabhāvova sappāṇabhāvatā, taṃ. Bhuñjatoti bhuñjitabbato.
สลภาทีนํ ปตนํ ญตฺวาปิ สุเทฺธน เจตสา ปทีปุชฺชลนํ วิย สปาณภาวํ ญตฺวาปิ ชลสญฺญาย ภุญฺชิตพฺพโต เอตฺถ ปณฺณตฺติวชฺชตา เญยฺยาติ โยชนาฯ
Salabhādīnaṃ patanaṃ ñatvāpi suddhena cetasā padīpujjalanaṃ viya sapāṇabhāvaṃ ñatvāpi jalasaññāya bhuñjitabbato ettha paṇṇattivajjatā ñeyyāti yojanā.
เอวํ สเนฺต สิญฺจนสปฺปาณกสิกฺขาปทานํ อุภินฺนมฺปิ โก วิเสโสติ อาห ‘‘สิญฺจเน’’ติอาทิฯ สิญฺจนํ สิญฺจนสิกฺขาปทํ สิญฺจเน วุตฺตํ สิญฺจนวิสเย ปญฺญตฺตํ, อิทํ ปน สปฺปาณกสิกฺขาปทํ ปริโภเค วุตฺตํ อโชฺฌหารวิสเย ปญฺญตฺตนฺติ อยเมว ตสฺส เจว อสฺส จ วิเสโสติ โยชนาฯ
Evaṃ sante siñcanasappāṇakasikkhāpadānaṃ ubhinnampi ko visesoti āha ‘‘siñcane’’tiādi. Siñcanaṃ siñcanasikkhāpadaṃ siñcane vuttaṃ siñcanavisaye paññattaṃ, idaṃ pana sappāṇakasikkhāpadaṃ paribhoge vuttaṃ ajjhohāravisaye paññattanti ayameva tassa ceva assa ca visesoti yojanā.
สปฺปาณกกถาวณฺณนาฯ
Sappāṇakakathāvaṇṇanā.
๑๖๖๗. ยถาธมฺมนฺติ โย ยสฺส อธิกรณสฺส วูปสมนาย ธโมฺม วุโตฺต, เตเนว ธเมฺมนาติ อโตฺถฯ ‘‘กิจฺจาธิกรณ’’นฺติ อิมินา อิตรานิ อธิกรณานิ อุปลกฺขิตานิฯ ยถาห ‘‘อธิกรณํ นาม จตฺตาริ อธิกรณานิ วิวาทาธิกรณํ อนุวาทาธิกรณํ อาปตฺตาธิกรณํ กิจฺจาธิกรณ’’นฺติ (ปาจิ. ๓๙๔)ฯ อปโลกนกมฺมาทีนิ จตฺตาริ สงฺฆกิจฺจํ นาม, ตเทว สมเถหิ อธิกรณียตฺตา วูปสเมตพฺพตฺตา อธิกรณนฺติ กิจฺจาธิกรณํฯ ปุน นีหาตพฺพนฺติ ปุน นีหริตพฺพํ, วูปสเมตพฺพนฺติ อโตฺถฯ อิมินา ‘‘อกตํ กมฺม’’นฺติอาทินา ปาฬิยํ ทสฺสิตา ทฺวาทส อุโกฺกฎา อุปลกฺขิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ อุโกฺกเฎนฺตสฺสาติ ตสฺส ตสฺส ภิกฺขุโน สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อกตํ กมฺม’’นฺติอาทีนิ วตฺวา อุจฺจาเลนฺตสฺส ยถาปติฎฺฐิตภาเวน ปติฎฺฐาตุํ น เทนฺตสฺสฯ เอตฺถ จ ปติฎฺฐาตุํ น เทนฺตสฺสาติ ตสฺส ปวตฺติอาการทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ยํ ปน ธเมฺมน อธิกรณํ นิหฎํ, ตํ สุนิหฎเมวฯ
1667.Yathādhammanti yo yassa adhikaraṇassa vūpasamanāya dhammo vutto, teneva dhammenāti attho. ‘‘Kiccādhikaraṇa’’nti iminā itarāni adhikaraṇāni upalakkhitāni. Yathāha ‘‘adhikaraṇaṃ nāma cattāri adhikaraṇāni vivādādhikaraṇaṃ anuvādādhikaraṇaṃ āpattādhikaraṇaṃ kiccādhikaraṇa’’nti (pāci. 394). Apalokanakammādīni cattāri saṅghakiccaṃ nāma, tadeva samathehi adhikaraṇīyattā vūpasametabbattā adhikaraṇanti kiccādhikaraṇaṃ. Puna nīhātabbanti puna nīharitabbaṃ, vūpasametabbanti attho. Iminā ‘‘akataṃ kamma’’ntiādinā pāḷiyaṃ dassitā dvādasa ukkoṭā upalakkhitāti daṭṭhabbā. Ukkoṭentassāti tassa tassa bhikkhuno santikaṃ gantvā ‘‘akataṃ kamma’’ntiādīni vatvā uccālentassa yathāpatiṭṭhitabhāvena patiṭṭhātuṃ na dentassa. Ettha ca patiṭṭhātuṃ na dentassāti tassa pavattiākāradassanatthaṃ vuttaṃ. Yaṃ pana dhammena adhikaraṇaṃ nihaṭaṃ, taṃ sunihaṭameva.
๑๖๖๘. ‘‘อกตํ กมฺมํ, ทุกฺกฎํ กมฺมํ, ปุน กาตพฺพํ กมฺม’’นฺติ วทตา วทเนฺตน ภิกฺขุนา ตํ กมฺมํ อุจฺจาเลตุํ น วฎฺฎตีติ โยชนาฯ
1668. ‘‘Akataṃ kammaṃ, dukkaṭaṃ kammaṃ, puna kātabbaṃ kamma’’nti vadatā vadantena bhikkhunā taṃ kammaṃ uccāletuṃ na vaṭṭatīti yojanā.
๑๖๖๙. วิปฺปกเตติ อารทฺธานิฎฺฐิเตฯ ตนฺติ ปฎิโกฺกสนฺตํฯ สญฺญาเปตฺวาติ กตกมฺมสฺส อนวชฺชภาวํ ญาเปตฺวาฯ น ปนญฺญถาติ ตถา อสญฺญาเปตฺวาฯ
1669.Vippakateti āraddhāniṭṭhite. Tanti paṭikkosantaṃ. Saññāpetvāti katakammassa anavajjabhāvaṃ ñāpetvā. Na panaññathāti tathā asaññāpetvā.
๑๖๗๐. อธเมฺม ปน กมฺมสฺมินฺติ ยถาปาฬิอาคเต กมฺมสฺมิํฯ อุภยตฺถาปีติ ธมฺมกเมฺม, อธมฺมกเมฺม วาติ อุภยตฺถฯ
1670.Adhamme pana kammasminti yathāpāḷiāgate kammasmiṃ. Ubhayatthāpīti dhammakamme, adhammakamme vāti ubhayattha.
๑๖๗๑. น จ กมฺมารหสฺส วาติ เอตฺถ จ-สโทฺท ‘‘วเคฺคน จา’’ติ โยเชตโพฺพฯ จ-สโทฺท วา-สทฺทเตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘อธเมฺมน, วเคฺคน วา น กมฺมารหสฺส วา กต’’นฺติ ชานโต อุโกฺกฎเน โทโส นตฺถีติ โยชนาฯ
1671.Na ca kammārahassa vāti ettha ca-saddo ‘‘vaggena cā’’ti yojetabbo. Ca-saddo vā-saddatthe daṭṭhabbo. ‘‘Adhammena, vaggena vā na kammārahassa vā kata’’nti jānato ukkoṭane doso natthīti yojanā.
อุโกฺกฎนกถาวณฺณนาฯ
Ukkoṭanakathāvaṇṇanā.
๑๖๗๓. ‘‘ทุฎฺฐุลฺลา นาม อาปตฺติ จตฺตาริ จ ปาราชิกานิ เตรส จ สงฺฆาทิเสสา’’ติ (ปาจิ. ๓๙๙) วจนโต ปาราชิกานมฺปิ ทุฎฺฐุลฺลตฺตา, อิธ จ ปาราชิกสฺส อนธิเปฺปตตฺตา อิธาธิเปฺปตเมว ทเสฺสตุํ ‘‘สงฺฆาทิเสส’’นฺติ อิมินา ทุฎฺฐุลฺล-ปทํ วิเสสิตํฯ ยถาห ‘‘เอตฺถ จตฺตาริ ปาราชิกานิ อตฺถุทฺธารวเสน ทสฺสิตานิ, สงฺฆาทิเสสาปตฺติ ปน อธิเปฺปตา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๓๙๙)ฯ ญตฺวาติ สามํ วา อญฺญโต วา ชานิตฺวาฯ ฉาทยโต ตสฺส ปริยาปุตาติ ‘‘อิมํ ชานิตฺวา โจเทสฺสนฺติ, สาเรสฺสนฺติ, นาโรเจสฺสามี’’ติ ปฎิจฺฉาเทนฺตสฺส ตสฺส ปริยาปุตา เทสิตาฯ
1673. ‘‘Duṭṭhullā nāma āpatti cattāri ca pārājikāni terasa ca saṅghādisesā’’ti (pāci. 399) vacanato pārājikānampi duṭṭhullattā, idha ca pārājikassa anadhippetattā idhādhippetameva dassetuṃ ‘‘saṅghādisesa’’nti iminā duṭṭhulla-padaṃ visesitaṃ. Yathāha ‘‘ettha cattāri pārājikāni atthuddhāravasena dassitāni, saṅghādisesāpatti pana adhippetā’’ti (pāci. aṭṭha. 399). Ñatvāti sāmaṃ vā aññato vā jānitvā. Chādayato tassa pariyāputāti ‘‘imaṃ jānitvā codessanti, sāressanti, nārocessāmī’’ti paṭicchādentassa tassa pariyāputā desitā.
๑๖๗๔-๕. ธุรํ นิกฺขิปิตฺวาติ ‘‘อญฺญสฺส น อาโรเจสฺสามี’’ติ ธุรนิเกฺขปํ กตฺวาฯ ตสฺสาติ ทุฎฺฐุลฺลสฺสฯ ปฎิจฺฉาทนํ เหตุ การณํ ยสฺส อาโรจนสฺสาติ วิคฺคโหฯ ปฎิจฺฉาทนเหตุกนฺติ อาโรจนกิริยาย วิเสสนํ, ‘‘อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ สงฺฆาทิเสสํ อาปโนฺน, อญฺญสฺส น อาโรเจหี’’ติ วตฺวา อาโรจนํ กโรตีติ วุตฺตํ โหติฯ อิตีติ วุตฺตนิทสฺสเน, หีติ เอวการเตฺถ, เอวเมว วทตีติ อโตฺถฯ
1674-5.Dhuraṃ nikkhipitvāti ‘‘aññassa na ārocessāmī’’ti dhuranikkhepaṃ katvā. Tassāti duṭṭhullassa. Paṭicchādanaṃ hetu kāraṇaṃ yassa ārocanassāti viggaho. Paṭicchādanahetukanti ārocanakiriyāya visesanaṃ, ‘‘itthannāmo itthannāmaṃ saṅghādisesaṃ āpanno, aññassa na ārocehī’’ti vatvā ārocanaṃ karotīti vuttaṃ hoti. Itīti vuttanidassane, hīti evakāratthe, evameva vadatīti attho.
ยาว โกฎิ น ฉิชฺชติ, ตาว เอวํ ภิกฺขูนํ สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ ตํ อาปตฺติํ อาปชฺชติ เอวาติ โยชนาฯ
Yāva koṭi na chijjati, tāva evaṃ bhikkhūnaṃ satampi sahassampi taṃ āpattiṃ āpajjati evāti yojanā.
๑๖๗๖. มูเลนาติ สงฺฆาทิเสสํ อาปนฺนปุคฺคเลนฯ อาโรจิตสฺส ทุติยสฺสาติ สมานาธิกรณํฯ มูเลน ‘‘มม อาปตฺติํ อาปนฺนภาวํ อญฺญสฺส น อาโรเจหี’’ติ อาโรจิตสฺส ทุติยภิกฺขุสฺส สนฺติกา สุณเนฺตน ตติเยน นิวตฺติตฺวา ตเสฺสว ทุติยสฺส ปกาสิเต อาโรจนสฺส โกฎิ ฉินฺนาติ วุจฺจตีติ โยชนาฯ โกฎีติ อาโรจนกิริยาวสานํ วุจฺจติฯ
1676.Mūlenāti saṅghādisesaṃ āpannapuggalena. Ārocitassa dutiyassāti samānādhikaraṇaṃ. Mūlena ‘‘mama āpattiṃ āpannabhāvaṃ aññassa na ārocehī’’ti ārocitassa dutiyabhikkhussa santikā suṇantena tatiyena nivattitvā tasseva dutiyassa pakāsite ārocanassa koṭi chinnāti vuccatīti yojanā. Koṭīti ārocanakiriyāvasānaṃ vuccati.
๑๖๗๗. ทุฎฺฐุลฺลาย จ ทุฎฺฐุลฺลสญฺญีติ เอตฺถ ‘‘อาโรเจโนฺต’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ อิตเรสุ ปน ทฺวีสูติ ทุฎฺฐุลฺลาย เวมติโก, อทุฎฺฐุลฺลสญฺญีติ ทฺวีสุฯ
1677.Duṭṭhullāya ca duṭṭhullasaññīti ettha ‘‘ārocento’’ti pakaraṇato labbhati. Itaresu pana dvīsūti duṭṭhullāya vematiko, aduṭṭhullasaññīti dvīsu.
๑๖๗๘. อทุฎฺฐุลฺลายาติ ปญฺจวิธาย ลหุกาปตฺติยาฯ สพฺพตฺถาติ สเพฺพสุ วิกเปฺปสุฯ ติกทุกฺกฎํ นิทฺทิฎฺฐนฺติ อทุฎฺฐุลฺลาย ทุฎฺฐุลฺลสญฺญิเวมติกอทุฎฺฐุลฺลสญฺญีนํ วเสน ทุกฺกฎตฺตยํ ปาฬิยํ (ปาจิ. ๔๐๐) ทสฺสิตนฺติ อโตฺถฯ สพฺพตฺถาติ สเพฺพสุฯ อนุปสมฺปนฺนวาเรสูติ ตีสุ อนุปสมฺปนฺนวิกเปฺปสุฯ ทุกฺกฎนฺติ อนุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสน ติกทุกฺกฎนฺติ อโตฺถฯ
1678.Aduṭṭhullāyāti pañcavidhāya lahukāpattiyā. Sabbatthāti sabbesu vikappesu. Tikadukkaṭaṃ niddiṭṭhanti aduṭṭhullāya duṭṭhullasaññivematikaaduṭṭhullasaññīnaṃ vasena dukkaṭattayaṃ pāḷiyaṃ (pāci. 400) dassitanti attho. Sabbatthāti sabbesu. Anupasampannavāresūti tīsu anupasampannavikappesu. Dukkaṭanti anupasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena tikadukkaṭanti attho.
๑๖๗๙-๘๐. ‘‘สงฺฆสฺส เภทนาทีนิ ภวิสฺสนฺตี’’ติอาทีหิ สเพฺพหิ ปเทหิ ‘‘น อาโรเจติ เจ, โทโส นตฺถี’’ติ อิทํ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ สภาคํ วา น ปสฺสตีติ ตถา อปสฺสโนฺต น อาโรเจติ เจ, โทโส นตฺถิฯ กกฺขโฬ อยนฺติ น อาโรเจติ เจ, โทโส นตฺถิฯ
1679-80. ‘‘Saṅghassa bhedanādīni bhavissantī’’tiādīhi sabbehi padehi ‘‘na āroceti ce, doso natthī’’ti idaṃ paccekaṃ yojetabbaṃ. Sabhāgaṃ vā na passatīti tathā apassanto na āroceti ce, doso natthi. Kakkhaḷo ayanti na āroceti ce, doso natthi.
๑๖๘๑. อญฺญสฺส อนาโรจเนน อาปชฺชิตพฺพโต ‘‘อกฺริย’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘อาโรเจตพฺพ’’นฺติ อนุญฺญาตสฺส อนาโรจนํ อนาทรมนฺตเรน น โหตีติ อาห ‘‘ทุกฺขเวทน’’นฺติฯ เอตฺถ จ มาติกฎฺฐกถายํ ‘‘สมนุภาสนสทิสาเนวา’’ติ (กงฺขา. อฎฺฐ. ทุฎฺฐลฺลสิกฺขาปทวณฺณนา) วุตฺตํ, อิธ ‘‘ธุรนิเกฺขปตุลฺยาวา’’ติ, อุภยตฺถ นามมตฺตเมว วิเสโส, เอกเมว สมุฎฺฐานนฺติ เวทิตพฺพํฯ
1681. Aññassa anārocanena āpajjitabbato ‘‘akriya’’nti vuttaṃ. ‘‘Ārocetabba’’nti anuññātassa anārocanaṃ anādaramantarena na hotīti āha ‘‘dukkhavedana’’nti. Ettha ca mātikaṭṭhakathāyaṃ ‘‘samanubhāsanasadisānevā’’ti (kaṅkhā. aṭṭha. duṭṭhallasikkhāpadavaṇṇanā) vuttaṃ, idha ‘‘dhuranikkhepatulyāvā’’ti, ubhayattha nāmamattameva viseso, ekameva samuṭṭhānanti veditabbaṃ.
ทุฎฺฐุลฺลกถาวณฺณนาฯ
Duṭṭhullakathāvaṇṇanā.
๑๖๘๒. อูนวีสติวสฺสนฺติ เอตฺถ ‘‘ชาน’’นฺติ เสโส, ‘‘อูนวีสติวโสฺส’’ติ ชานโนฺตติ อโตฺถฯ อูนวีสติวโสฺส นาม ปฎิสนฺธิโต ปฎฺฐาย อปริปุณฺณวีสติสํวจฺฉโรฯ โยติ โย ภิกฺขุ อุปชฺฌาโย หุตฺวาฯ กเรยฺยาติ การาเปยฺยฯ อุปสมฺปชฺชตีติ อุปสมฺปโท, ตํฯ โย ชานํ อูนวีสติวสฺสํ ปุคฺคลํ อุปสมฺปทํ อุปสมฺปนฺนํ กเรยฺย, ตสฺส เอวํ อุปสมฺปาเทนฺตสฺส ภิกฺขุโน ปาจิตฺติยํ โหตีติ โยชนาฯ เสสานนฺติ ‘‘คณสฺส จ อาจริยสฺส จ อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๐๔) ปาฬิยํ ทสฺสิตานํ คหณํฯ
1682.Ūnavīsativassanti ettha ‘‘jāna’’nti seso, ‘‘ūnavīsativasso’’ti jānantoti attho. Ūnavīsativasso nāma paṭisandhito paṭṭhāya aparipuṇṇavīsatisaṃvaccharo. Yoti yo bhikkhu upajjhāyo hutvā. Kareyyāti kārāpeyya. Upasampajjatīti upasampado, taṃ. Yo jānaṃ ūnavīsativassaṃ puggalaṃ upasampadaṃ upasampannaṃ kareyya, tassa evaṃ upasampādentassa bhikkhuno pācittiyaṃ hotīti yojanā. Sesānanti ‘‘gaṇassa ca ācariyassa ca āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 404) pāḷiyaṃ dassitānaṃ gahaṇaṃ.
๑๖๘๓. อูนวีสติวสฺสภาวํ ชานตา วา อชานตา วา ภิกฺขุนา โย ปุคฺคโล เจ อุปสมฺปาทิโต, โส อนุปสมฺปโนฺนว โหติ, ปุน โส ปริปุณฺณวีสติวโสฺส สมาโน อุปสมฺปโนฺน กาตโพฺพ อุปสมฺปาเทตโพฺพเยวาติ โยชนาฯ
1683. Ūnavīsativassabhāvaṃ jānatā vā ajānatā vā bhikkhunā yo puggalo ce upasampādito, so anupasampannova hoti, puna so paripuṇṇavīsativasso samāno upasampanno kātabbo upasampādetabboyevāti yojanā.
๑๖๘๔. ทสวสฺสจฺจเยน ปริปุณฺณทสวโสฺส หุตฺวา อุปชฺฌายสฺส สโต อสฺส ภิกฺขุปฎิญฺญสฺส อเญฺญสํ อุปสมฺปาทเน โกจิ โทโส เจ เอกํเสน นตฺถิ น วิชฺชตีติ โยชนาฯ
1684.Dasavassaccayena paripuṇṇadasavasso hutvā upajjhāyassa sato assa bhikkhupaṭiññassa aññesaṃ upasampādane koci doso ce ekaṃsena natthi na vijjatīti yojanā.
๑๖๘๕. ตํ ภิกฺขุนฺติ อูนวีสติวโสฺส หุตฺวา อุปสมฺปชฺชิตฺวา ปริปุณฺณทสวโสฺส อุปชฺฌาโย หุตฺวา อุปสมฺปาเทนฺตํ ตํ ภิกฺขุปฎิญฺญํฯ คโณ เจ ปริปูรตีติ มชฺฌิมเทเส ทสวโคฺค, ปจฺจนฺติเมสุ ชนปเทสุ ปญฺจวโคฺค คโณ สเจ อนูโน โหติฯ เตติ อุปสมฺปาทิตาฯ สูปสมฺปนฺนาติ สุฎฺฐุ อุปสมฺปนฺนาฯ
1685.Taṃ bhikkhunti ūnavīsativasso hutvā upasampajjitvā paripuṇṇadasavasso upajjhāyo hutvā upasampādentaṃ taṃ bhikkhupaṭiññaṃ. Gaṇo ce paripūratīti majjhimadese dasavaggo, paccantimesu janapadesu pañcavaggo gaṇo sace anūno hoti. Teti upasampāditā. Sūpasampannāti suṭṭhu upasampannā.
๑๖๘๖-๗. โย ภิกฺขุ อุปชฺฌาโย หุตฺวา ‘‘อูนวีสติวสฺสปุคฺคลํ อุปสมฺปาทยิสฺสามิ’’อิติ คณมฺปิ วา อาจริยมฺปิ วา ปตฺตมฺปิ วา ปริเยสติ, มาฬกญฺจ สมฺมนฺนติ พทฺธสีมํ พนฺธติ, ตสฺส สเพฺพสุ ปโยเคสุ ทุกฺกฎํฯ ตถา ญตฺติยา ทุกฺกฎํฯ ตถา ทฺวีสุ กมฺมวาจาสุปิ ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ
1686-7. Yo bhikkhu upajjhāyo hutvā ‘‘ūnavīsativassapuggalaṃ upasampādayissāmi’’iti gaṇampi vā ācariyampi vā pattampi vā pariyesati, māḷakañca sammannati baddhasīmaṃ bandhati, tassa sabbesu payogesu dukkaṭaṃ. Tathā ñattiyā dukkaṭaṃ. Tathā dvīsu kammavācāsupi dukkaṭanti yojanā.
๑๖๘๘-๙. วีสติ จ ตานิ วสฺสานิ จาติ วีสติวสฺสานิ, อูนานิ วีสติวสฺสานิ ยสฺส โส อูนวีสติวโสฺส, อูนวีสติวโสฺสติ สญฺญา อูนวีสติวสฺสสญฺญา, สา เอตสฺส อตฺถีติ ‘‘อูนวีสติวสฺสสญฺญี’’อิติ วตฺตเพฺพ นิปาตนลกฺขเณน วสฺส-สทฺทโลปํ กตฺวา ‘‘อูนวีสติสญฺญี’’ติ วุตฺตํ, ตสฺส อูนวีสติสญฺญิสฺสฯ ปริปุณฺณานิ วีสติวสฺสานิ เอตสฺสาติ ‘‘ปริปุณฺณวีสติวโสฺส’’ติ วตฺตเพฺพ นิปาตนลกฺขเณน วีสติวสฺส-สทฺทโลปํ กตฺวา ‘‘ปริปุโณฺณ’’ติ ปุคฺคโล วุจฺจติ, ตสฺมิํ ปริปุเณฺณ, ปริปุณฺณวีสติวเสฺส ปุคฺคเลติ อโตฺถฯ อุภยตฺถาติ อูนวีสติปริปุณฺณวีสติวเสฺสสุ อุโภสุ ปุคฺคเลสุฯ
1688-9. Vīsati ca tāni vassāni cāti vīsativassāni, ūnāni vīsativassāni yassa so ūnavīsativasso, ūnavīsativassoti saññā ūnavīsativassasaññā, sā etassa atthīti ‘‘ūnavīsativassasaññī’’iti vattabbe nipātanalakkhaṇena vassa-saddalopaṃ katvā ‘‘ūnavīsatisaññī’’ti vuttaṃ, tassa ūnavīsatisaññissa. Paripuṇṇāni vīsativassāni etassāti ‘‘paripuṇṇavīsativasso’’ti vattabbe nipātanalakkhaṇena vīsativassa-saddalopaṃ katvā ‘‘paripuṇṇo’’ti puggalo vuccati, tasmiṃ paripuṇṇe, paripuṇṇavīsativasse puggaleti attho. Ubhayatthāti ūnavīsatiparipuṇṇavīsativassesu ubhosu puggalesu.
อูนวีสติวสฺสกถาวณฺณนาฯ
Ūnavīsativassakathāvaṇṇanā.
๑๖๙๑. เถยฺยสเตฺถน สทฺธินฺติ ‘‘เถยฺยสโตฺถ นาม โจรา กตกมฺมา วา โหนฺติ อกตกมฺมา วา’’ติอาทินา (ปาจิ. ๔๐๙) ปทภาชเน วุตฺตสรูเปน สตฺถสงฺขาเตน ชนสมูเหน สหาติ วุตฺตํ โหติฯ สหาทิโยเค กรณวจนํฯ ชานโนฺตติ ‘‘เถยฺยสโตฺถ’’ติ ชานโนฺตฯ สํวิธายาติ ‘‘คจฺฉามาวุโส, คจฺฉาม ภเนฺต, คจฺฉามาวุโส, อชฺช วา หิโยฺย วา ปเร วา อปเร วา คจฺฉามา’’ติ ปทภาชเน วุตฺตนเยน สํวิทหิตฺวาติ อโตฺถฯ มคฺคนฺติ เอกทฺธานมคฺคํ, เอตฺถ ‘‘อนฺตมโส คามนฺตรมฺปี’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘เอกทฺธานมคฺคํ ปฎิปเชฺชยฺย อนฺตมโส คามนฺตรมฺปี’’ติฯ ปาจิตฺติยํ สิยาติ ‘‘คาเม คามนฺตเร คามนฺตเร อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ อคามเก อรเญฺญ อทฺธโยชเน อทฺธโยชเน อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ วุตฺตปฺปการํ ปาจิตฺติยํ ภเวยฺยฯ
1691.Theyyasatthenasaddhinti ‘‘theyyasattho nāma corā katakammā vā honti akatakammā vā’’tiādinā (pāci. 409) padabhājane vuttasarūpena satthasaṅkhātena janasamūhena sahāti vuttaṃ hoti. Sahādiyoge karaṇavacanaṃ. Jānantoti ‘‘theyyasattho’’ti jānanto. Saṃvidhāyāti ‘‘gacchāmāvuso, gacchāma bhante, gacchāmāvuso, ajja vā hiyyo vā pare vā apare vā gacchāmā’’ti padabhājane vuttanayena saṃvidahitvāti attho. Magganti ekaddhānamaggaṃ, ettha ‘‘antamaso gāmantarampī’’ti seso. Yathāha ‘‘ekaddhānamaggaṃ paṭipajjeyya antamaso gāmantarampī’’ti. Pācittiyaṃ siyāti ‘‘gāme gāmantare gāmantare āpatti pācittiyassa. Agāmake araññe addhayojane addhayojane āpatti pācittiyassā’’ti vuttappakāraṃ pācittiyaṃ bhaveyya.
๑๖๙๒. น อุทฺธโฎติ อิธ น วุโตฺตฯ
1692.Na uddhaṭoti idha na vutto.
๑๖๙๓-๔. มคฺคาฎวิวิสเงฺกเตติ มคฺควิสเงฺกเต, อฎวิวิสเงฺกเต จฯ ยถาวตฺถุกเมวาติ ปาจิตฺติยเมวฯ เตสูติ สตฺถิเกสุฯ อสํวิทหเนฺตสูติ สํวิธานํ อกโรเนฺตสุฯ สยํ วิทหโตปิ จาติ อตฺตนา สํวิทหนฺตสฺส จฯ อุภยตฺถาติ เถยฺยสเตฺถ วา อเถยฺยสเตฺถ วาติ ทฺวีสุฯ
1693-4.Maggāṭavivisaṅketeti maggavisaṅkete, aṭavivisaṅkete ca. Yathāvatthukamevāti pācittiyameva. Tesūti satthikesu. Asaṃvidahantesūti saṃvidhānaṃ akarontesu. Sayaṃ vidahatopi cāti attanā saṃvidahantassa ca. Ubhayatthāti theyyasatthe vā atheyyasatthe vāti dvīsu.
๑๖๙๕. อเถยฺยสตฺถสญฺญิสฺสาติ เอตฺถ ‘‘อุภยตฺถา’’ติ อนุวเตฺตตพฺพํฯ กาลสฺสายนฺติ กาลิโก, วิสเงฺกโต, ตสฺมิํ, กาลสมฺพนฺธินิ วิสเงฺกเต จ อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ ‘‘กาลิเก’’ติ อิมินา วิสเงฺกตวิเสสเนน มคฺคาฎวิวิสเงฺกเตปิ อาปตฺติเยวาติ ทีเปติฯ
1695.Atheyyasatthasaññissāti ettha ‘‘ubhayatthā’’ti anuvattetabbaṃ. Kālassāyanti kāliko, visaṅketo, tasmiṃ, kālasambandhini visaṅkete ca anāpattīti attho. ‘‘Kālike’’ti iminā visaṅketavisesanena maggāṭavivisaṅketepi āpattiyevāti dīpeti.
๑๖๙๖. กายจิตฺตโต , กายวาจาจิตฺตโต จ สมุฎฺฐานโต อิทํ สิกฺขาปทํ เถยฺยสตฺถสมุฎฺฐานํ กถิตนฺติ โยชนาฯ
1696. Kāyacittato , kāyavācācittato ca samuṭṭhānato idaṃ sikkhāpadaṃ theyyasatthasamuṭṭhānaṃ kathitanti yojanā.
เถยฺยสตฺถกถาวณฺณนาฯ
Theyyasatthakathāvaṇṇanā.
๑๖๙๗. สตฺตมนฺติ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ มาตุคาเมน สทฺธิํ สํวิธายา’’ติอาทินา (ปาจิ. ๔๑๓) อุทฺทิฎฺฐํ สตฺตมสิกฺขาปทํฯ ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ สํวิธาเนนาติ ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ สํวิธานสิกฺขาปเทนฯ สมุฎฺฐานาทินาติ สมุฎฺฐานาทินา วินิจฺฉเยนฯ ตุลฺยนฺติ สทิสํฯ โกจิปีติ อปฺปมตฺตโกปิฯ
1697.Sattamanti ‘‘yo pana bhikkhu mātugāmena saddhiṃ saṃvidhāyā’’tiādinā (pāci. 413) uddiṭṭhaṃ sattamasikkhāpadaṃ. Bhikkhuniyā saddhiṃ saṃvidhānenāti bhikkhuniyā saddhiṃ saṃvidhānasikkhāpadena. Samuṭṭhānādināti samuṭṭhānādinā vinicchayena. Tulyanti sadisaṃ. Kocipīti appamattakopi.
สํวิธานกถาวณฺณนาฯ
Saṃvidhānakathāvaṇṇanā.
๑๖๙๘. เอเต ปญฺจ ธมฺมา อนฺตรายกราติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ อิธ อยํ อนฺตรายกร-สโทฺท ปาฬิยํ อาคเตน อนฺตรายิก-สเทฺทน สมานโตฺถฯ ตสฺมา กมฺมนฺตรายิกา, กิเลสนฺตรายิกา, วิปากนฺตรายิกา, อุปวาทนฺตรายิกา, อาณาวีติกฺกมนฺตรายิกาติ อิเม ปญฺจ อนฺตรายิกา ธมฺมา ภควตา ปกาสิตาติ วุตฺตํ โหติฯ
1698. Ete pañca dhammā antarāyakarāti pakāsitāti yojanā. Idha ayaṃ antarāyakara-saddo pāḷiyaṃ āgatena antarāyika-saddena samānattho. Tasmā kammantarāyikā, kilesantarāyikā, vipākantarāyikā, upavādantarāyikā, āṇāvītikkamantarāyikāti ime pañca antarāyikā dhammā bhagavatā pakāsitāti vuttaṃ hoti.
ตตฺถ ตํตํสมฺปตฺติยา วิพนฺธนวเสน สตฺตสนฺตานสฺส อนฺตเร เวมเชฺฌ เอติ อาคจฺฉตีติ อนฺตราโย, ทิฎฺฐธมฺมิกาทิอนโตฺถ, อนติกฺกมนเฎฺฐน ตสฺมิํ อนฺตราเย นิยุตฺตา, อนฺตรายํ วา ผลํ อรหนฺติ, อนฺตรายสฺส วา กรณสีลาติ อนฺตรายิกา (สารตฺถ. ฎี. ปาจิตฺติย ๓.๔๑๗; กงฺขา. อภิ. ฎี. อริฎฺฐสิกฺขาปทวณฺณนา)ฯ
Tattha taṃtaṃsampattiyā vibandhanavasena sattasantānassa antare vemajjhe eti āgacchatīti antarāyo, diṭṭhadhammikādianattho, anatikkamanaṭṭhena tasmiṃ antarāye niyuttā, antarāyaṃ vā phalaṃ arahanti, antarāyassa vā karaṇasīlāti antarāyikā (sārattha. ṭī. pācittiya 3.417; kaṅkhā. abhi. ṭī. ariṭṭhasikkhāpadavaṇṇanā).
ปญฺจานนฺตริยกมฺมาเนว กมฺมนฺตรายิกา, ตถา ภิกฺขุนิทูสกกมฺมํฯ ตํ ปน โมกฺขเสฺสว อนฺตรายํ กโรติ, น สคฺคสฺสฯ อิทญฺจ มิจฺฉาจารลกฺขณสฺส อภาวโต วุตฺตํฯ น หิ ภิกฺขุนิยา ธมฺมรกฺขิตภาโว อตฺถิฯ ปากติกภิกฺขุนิวเสน เจตํ วุตฺตํฯ อริยาย ปน ปวตฺตํ อปายสํวตฺตนิกเมวฯ นนฺทมาณวโก (ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๗; ธ. ป. อฎฺฐ. ๑.๖๘ อุปฺปลวณฺณเตฺถรีวตฺถุ; อ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓.๓๔) เจตฺถ นิทสฺสนํฯ อุภินฺนํ สมานจฺฉนฺทตาวเสน วา น สคฺคนฺตรายิกตา, โมกฺขนฺตรายิกตา ปน โมกฺขตฺถาย ปฎิปตฺติยา วิทูสนโตฯ อภิภวิตฺวา ปน ปวตฺติยา สคฺคนฺตรายิกตาปิ น สกฺกา นิวาเรตุนฺติ วทนฺติฯ
Pañcānantariyakammāneva kammantarāyikā, tathā bhikkhunidūsakakammaṃ. Taṃ pana mokkhasseva antarāyaṃ karoti, na saggassa. Idañca micchācāralakkhaṇassa abhāvato vuttaṃ. Na hi bhikkhuniyā dhammarakkhitabhāvo atthi. Pākatikabhikkhunivasena cetaṃ vuttaṃ. Ariyāya pana pavattaṃ apāyasaṃvattanikameva. Nandamāṇavako (ma. ni. aṭṭha. 3.7; dha. pa. aṭṭha. 1.68 uppalavaṇṇattherīvatthu; a. ni. aṭṭha. 2.3.34) cettha nidassanaṃ. Ubhinnaṃ samānacchandatāvasena vā na saggantarāyikatā, mokkhantarāyikatā pana mokkhatthāya paṭipattiyā vidūsanato. Abhibhavitvā pana pavattiyā saggantarāyikatāpi na sakkā nivāretunti vadanti.
อเหตุกทิฎฺฐิอกิริยทิฎฺฐินตฺถิกทิฎฺฐิสงฺขาตา มิจฺฉาทิฎฺฐิธมฺมา นิยตภาวปฺปตฺตา กิเลสนฺตรายิกา นามฯ ปณฺฑกติรจฺฉานคตอุภโตพฺยญฺชนกานํ ปฎิสนฺธิจิตฺตุปฺปาทธมฺมา วิปากนฺตรายิกา นามฯ ปณฺฑกาทิคฺคหณเญฺจตฺถ นิทสฺสนมตฺตํ สพฺพายปิ อเหตุกปฎิสนฺธิยา วิปากนฺตรายิกภาวโต ฯ อริยูปวาทา อุปวาทนฺตรายิกา นามฯ เต ปน ยาว อริเย น ขมาเปนฺติ, ตาวเทว, น ตโต ปรํฯ สญฺจิจฺจ อาปนฺนา สตฺตาปตฺติกฺขนฺธา อาณาวีติกฺกมนฺตรายิกา นามฯ เตปิ ยาว ภิกฺขุภาวํ วา ปฎิชานาติ, น วุฎฺฐาติ วา น เทเสติ วา, ตาวเทว, น ตโต ปรํฯ
Ahetukadiṭṭhiakiriyadiṭṭhinatthikadiṭṭhisaṅkhātā micchādiṭṭhidhammā niyatabhāvappattā kilesantarāyikā nāma. Paṇḍakatiracchānagataubhatobyañjanakānaṃ paṭisandhicittuppādadhammā vipākantarāyikā nāma. Paṇḍakādiggahaṇañcettha nidassanamattaṃ sabbāyapi ahetukapaṭisandhiyā vipākantarāyikabhāvato . Ariyūpavādā upavādantarāyikā nāma. Te pana yāva ariye na khamāpenti, tāvadeva, na tato paraṃ. Sañcicca āpannā sattāpattikkhandhā āṇāvītikkamantarāyikā nāma. Tepi yāva bhikkhubhāvaṃ vā paṭijānāti, na vuṭṭhāti vā na deseti vā, tāvadeva, na tato paraṃ.
๑๖๙๙-๗๐๐.
1699-700.
‘‘อนนฺตรายิกา เอเต;
‘‘Anantarāyikā ete;
ยถา โหนฺติ ตถา อหํ;
Yathā honti tathā ahaṃ;
เทสิตํ มุนินา ธมฺมํ;
Desitaṃ muninā dhammaṃ;
อาชานามีติ โย วเท’’ติฯ –
Ājānāmīti yo vade’’ti. –
เอวํ ทุติยคาถา วตฺตพฺพาฯ ตถา อวุเตฺต ‘‘ติกฺขตฺตุ’’นฺติอาทิคาถา ปฐมคาถาย สทฺธิํ ฆฎนา เอว น สิยาฯ ตสฺมา เอตฺถายํ คาถา ปริหีนาติ วิญฺญายติฯ
Evaṃ dutiyagāthā vattabbā. Tathā avutte ‘‘tikkhattu’’ntiādigāthā paṭhamagāthāya saddhiṃ ghaṭanā eva na siyā. Tasmā etthāyaṃ gāthā parihīnāti viññāyati.
เอเตติ ‘‘อนฺตรายิกา’’ติ ภควตา ปกาสิตา ปญฺจ ธมฺมา ‘‘ยถา อนนฺตรายิกา โหนฺติ, ตถา อหํ มุนินา เทสิตํ ธมฺมํ อาชานามี’’ติ โย ภิกฺขุ วเทยฺย, โส ปน ภิกฺขุ ติกฺขตฺตุํ วตฺตโพฺพติ สมฺพโนฺธฯ เกหิ กถํ วตฺตโพฺพติ อาห ‘‘เย ปสฺสนฺตี’’ติอาทิฯ เย ตถาวาทิตํ ภิกฺขุํ ปสฺสนฺติ, ‘‘อสุโก อายสฺมา เอวํวาที’’ติ ปรโต สุณนฺติ จ, เตหิฯ โส ปน ภิกฺขุ ‘‘มา อายสฺมา เอวํ อวจา’’ติ ติกฺขตฺตุํ วตฺตโพฺพติ โยชนาฯ
Eteti ‘‘antarāyikā’’ti bhagavatā pakāsitā pañca dhammā ‘‘yathā anantarāyikā honti, tathā ahaṃ muninā desitaṃ dhammaṃ ājānāmī’’ti yo bhikkhu vadeyya, so pana bhikkhu tikkhattuṃ vattabboti sambandho. Kehi kathaṃ vattabboti āha ‘‘ye passantī’’tiādi. Ye tathāvāditaṃ bhikkhuṃ passanti, ‘‘asuko āyasmā evaṃvādī’’ti parato suṇanti ca, tehi. So pana bhikkhu ‘‘mā āyasmā evaṃ avacā’’ti tikkhattuṃ vattabboti yojanā.
๑๗๐๑. อวทนฺตสฺสาติ ตํ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา ยถาวุตฺตนเยน อวทนฺตสฺสฯ ทุกฺกฎนฺติ ญาตทุกฺกฎํฯ ตํ ทุลทฺธิํฯ อนิสฺสชโตติ ภิกฺขูหิ เอวํ วุเตฺตปิ อนิสฺสชนฺตสฺสฯ ตถา ทุกฺกฎนฺติ อติทิสติฯ
1701.Avadantassāti taṃ disvā vā sutvā vā yathāvuttanayena avadantassa. Dukkaṭanti ñātadukkaṭaṃ. Taṃ duladdhiṃ. Anissajatoti bhikkhūhi evaṃ vuttepi anissajantassa. Tathā dukkaṭanti atidisati.
๑๗๐๒. กมฺมวาจายาติ ตติยาย กมฺมวาจายฯ โอสาเนติ ปริโยสาเน, ยฺยกาเร ปเตฺตติ อธิปฺปาโยฯ ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘ธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญี น ปฎินิสฺสชฺชติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ ธมฺมกเมฺม เวมติโก น ปฎินิสฺสชฺชติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ ธมฺมกเมฺม อธมฺมกมฺมสญฺญี น ปฎินิสฺสชฺชติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๒๑) ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ อธเมฺม ติกทุกฺกฎํ วุตฺตนฺติ อธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญิเวมติกอธมฺมกมฺมสญฺญีนํ วเสน ติกทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ
1702.Kammavācāyāti tatiyāya kammavācāya. Osāneti pariyosāne, yyakāre patteti adhippāyo. Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘dhammakamme dhammakammasaññī na paṭinissajjati, āpatti pācittiyassa. Dhammakamme vematiko na paṭinissajjati, āpatti pācittiyassa. Dhammakamme adhammakammasaññī na paṭinissajjati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 421) tikapācittiyaṃ vuttaṃ. Adhamme tikadukkaṭaṃ vuttanti adhammakamme dhammakammasaññivematikaadhammakammasaññīnaṃ vasena tikadukkaṭaṃ vuttaṃ.
๑๗๐๓. ‘‘อนาปตฺติ อกตกมฺมสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ กมฺมํ นาม สมนุภาสนกมฺมํฯ ยถาห ‘‘อนาปตฺติ อสมนุภาสนฺตสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๒๒)ฯ
1703. ‘‘Anāpatti akatakammassā’’ti padacchedo. Kammaṃ nāma samanubhāsanakammaṃ. Yathāha ‘‘anāpatti asamanubhāsantassā’’ti (pāci. 422).
อริฎฺฐกถาวณฺณนาฯ
Ariṭṭhakathāvaṇṇanā.
๑๗๐๔. ญตฺวาติ อโนสาริตภาวํ สยเมว วา ปรโต วา ตสฺส วา สนฺติกา ญตฺวาฯ อกตานุธเมฺมนาติ อกโต โอสารณสงฺขาโต อนุธโมฺม ยสฺส โส อกตานุธโมฺม, เตน, สหโยเค กรณวจนํฯ ตถาวาทิกภิกฺขุนาติ ‘‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามี’’ติอาทิํ วทเนฺตน ภิกฺขุนาฯ ‘‘อกตานุธเมฺมนา’’ติ อิมินา สมานาธิกรณํฯ สํวเสยฺยาติ อุโปสถาทิกํ สงฺฆกมฺมํ กเรยฺยฯ ภุเญฺชยฺย จาติ อามิสสโมฺภคํ วา ธมฺมสโมฺภคํ วา กเรยฺยฯ สห เสยฺย วาติ นานูปจาเรปิ เอกจฺฉเนฺน นิปเชฺชยฺยฯ
1704.Ñatvāti anosāritabhāvaṃ sayameva vā parato vā tassa vā santikā ñatvā. Akatānudhammenāti akato osāraṇasaṅkhāto anudhammo yassa so akatānudhammo, tena, sahayoge karaṇavacanaṃ. Tathāvādikabhikkhunāti ‘‘tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmī’’tiādiṃ vadantena bhikkhunā. ‘‘Akatānudhammenā’’ti iminā samānādhikaraṇaṃ. Saṃvaseyyāti uposathādikaṃ saṅghakammaṃ kareyya. Bhuñjeyya cāti āmisasambhogaṃ vā dhammasambhogaṃ vā kareyya. Saha seyya vāti nānūpacārepi ekacchanne nipajjeyya.
๑๗๐๕. อิทานิ ยถาวุตฺตปาจิตฺติยสฺส เขตฺตนิยมํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อุโปสถาทิกํ กมฺม’’นฺติอาทิฯ อาทิ-สเทฺทน ปวารณํ คหิตํฯ ยถาห ‘‘อุโปสถํ วา ปวารณํ วา’’ติ (ปาจิ. ๔๒๕)ฯ เตน สหาติ อุกฺขิตฺตเกน สหฯ ‘‘กมฺมสฺส ปริโยสาเน’’ติ อิทํ สํวาเสน อาปตฺติเขตฺตนิทสฺสนํฯ
1705. Idāni yathāvuttapācittiyassa khettaniyamaṃ dassetumāha ‘‘uposathādikaṃ kamma’’ntiādi. Ādi-saddena pavāraṇaṃ gahitaṃ. Yathāha ‘‘uposathaṃ vā pavāraṇaṃ vā’’ti (pāci. 425). Tena sahāti ukkhittakena saha. ‘‘Kammassa pariyosāne’’ti idaṃ saṃvāsena āpattikhettanidassanaṃ.
๑๗๐๖. เอเกเนว ปโยเคน พหุํ ยามกาลิกาทิอามิสํ คณฺหโต เอกํ ปาจิตฺติยํฯ ตถา เอเกเนว ปโยเคน พหุํ อามิสํ ททโตปิ เอกํ ปาจิตฺติยํฯ พหูสุ ปโยเคสุ พหูนิ ปาจิตฺติยานีติ โยชนาฯ อิมินา จ อามิสสโมฺภเคน ตุลฺยผลํ ธมฺมสโมฺภคมฺปิ สหจริเยน อาหาติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ปน ปทาทีหิ อุทฺทิสนฺตสฺส วา อุทฺทิสาเปนฺตสฺส วา ปทโสธเมฺม วุตฺตนเยน อาปตฺติ เวทิตพฺพาฯ
1706. Ekeneva payogena bahuṃ yāmakālikādiāmisaṃ gaṇhato ekaṃ pācittiyaṃ. Tathā ekeneva payogena bahuṃ āmisaṃ dadatopi ekaṃ pācittiyaṃ. Bahūsu payogesu bahūni pācittiyānīti yojanā. Iminā ca āmisasambhogena tulyaphalaṃ dhammasambhogampi sahacariyena āhāti veditabbaṃ. Tattha pana padādīhi uddisantassa vā uddisāpentassa vā padasodhamme vuttanayena āpatti veditabbā.
๑๗๐๗. อิตโรติ ปกตโตฺตฯ อิตรสฺมินฺติ อุกฺขิตฺตเกฯ ปโรติ ปกตโตฺตฯ อุโภปิ วาติ ปกตตฺตอุกฺขิตฺตา เทฺวปิ วาฯ ‘‘เอกตฺถ เอกโต นิปชฺชนฺตี’’ติ เสโสฯ อิเมสุ ตีสุปิ ฐาเนสุ ‘‘ปาจิตฺตี’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ
1707.Itaroti pakatatto. Itarasminti ukkhittake. Paroti pakatatto. Ubhopi vāti pakatattaukkhittā dvepi vā. ‘‘Ekattha ekato nipajjantī’’ti seso. Imesu tīsupi ṭhānesu ‘‘pācittī’’ti pakaraṇato labbhati.
๑๗๐๘. อุฎฺฐหิตฺวา ปุนปฺปุนํ นิปชฺชนฺตสฺส นิปชฺชนปโยคานํ วเสน อาปตฺติโย สิยุนฺติ อชฺฌาหารโยชนา กาตพฺพาฯ ‘‘อุกฺขิตฺตเก นิปนฺนสฺมิ’’นฺติอาทินา วุตฺตาปตฺติวินิจฺฉโย กตฺถ โหตีติ อาห ‘‘เอกนานูปจาเรสุ, เอกจฺฉเนฺน วินิจฺฉโย’’ติฯ นานูปจาเรสูติ เอตฺถ ปิ-สโทฺท จ ‘‘วินิจฺฉโย’’ติ เอตฺถ อยนฺติ จ โยเชตโพฺพฯ เอโก อุปจาโร อสฺสาติ เอกูปจารํ, นานา อุปจาโร อสฺสาติ นานูปจารํ, เอกูปจารญฺจ นานูปจารญฺจ เอกนานูปจารานิ เอกเทสสรูเปกเสเสน, เตสุฯ เอกโต ฉนฺนานิ เอกจฺฉนฺนานิ, เตสุ เอกจฺฉเนฺนสูติ วตฺตเพฺพ วณฺณโลเปน วา วจนวิปลฺลาเสน วา ‘‘เอกจฺฉเนฺน’’ติ วุตฺตํฯ เอกนานูปจาเรสุปิ เสนาสเนสุ เอกจฺฉเนฺนสุ อยํ ยถาวุตฺตอาปตฺติวินิจฺฉโย ทฎฺฐโพฺพติ อโตฺถฯ
1708. Uṭṭhahitvā punappunaṃ nipajjantassa nipajjanapayogānaṃ vasena āpattiyo siyunti ajjhāhārayojanā kātabbā. ‘‘Ukkhittake nipannasmi’’ntiādinā vuttāpattivinicchayo kattha hotīti āha ‘‘ekanānūpacāresu, ekacchanne vinicchayo’’ti. Nānūpacāresūti ettha pi-saddo ca ‘‘vinicchayo’’ti ettha ayanti ca yojetabbo. Eko upacāro assāti ekūpacāraṃ, nānā upacāro assāti nānūpacāraṃ, ekūpacārañca nānūpacārañca ekanānūpacārāni ekadesasarūpekasesena, tesu. Ekato channāni ekacchannāni, tesu ekacchannesūti vattabbe vaṇṇalopena vā vacanavipallāsena vā ‘‘ekacchanne’’ti vuttaṃ. Ekanānūpacāresupi senāsanesu ekacchannesu ayaṃ yathāvuttaāpattivinicchayo daṭṭhabboti attho.
๑๗๐๙. อุภยตฺถาปีติ อุกฺขิตฺตานุกฺขิเตฺตสุ ทฺวีสุปิฯ
1709.Ubhayatthāpīti ukkhittānukkhittesu dvīsupi.
๑๗๑๐. ‘‘สญฺญิสฺส โอสาริโตติ จา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ
1710. ‘‘Saññissa osāritoti cā’’ti padacchedo.
อุกฺขิตฺตกถาวณฺณนาฯ
Ukkhittakathāvaṇṇanā.
๑๗๑๒. ตถา วินาสิตนฺติ ‘‘อชฺชตเคฺค เต อาวุโส สมณุเทฺทส น เจว โส ภควา สตฺถา อปทิสิตโพฺพ, ยมฺปิ จเญฺญ สมณุเทฺทสา ลภนฺติ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ทิรตฺตติรตฺตํ สหเสยฺยํ, สาปิ เต นตฺถิ, จร ปิเร วินสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๒๙) วุตฺตนเยน นาสิตํฯ ‘‘ตถา นาสิตํ สมณุเทฺทส’’นฺติ (ปาจิ. ๔๒๘) วจนโต ‘‘สมณุเทฺทส’’นฺติ เสโสฯ ชานนฺติ วุตฺตนเยน ‘‘นาสิโต อย’’นฺติ ชานโนฺตฯ อุปลาเปยฺยาติ ‘‘อุปลาเปยฺย วาติ ตสฺส ปตฺตํ วา จีวรํ วา อุเทฺทสํ วา ปริปุจฺฉํ วา ทสฺสามี’’ติ (ปาจิ. ๔๓๐) ปทภาชเน อาคตนเยน สงฺคเณฺหยฺยฯ เตนาติ นาสิเตนฯ อุปฎฺฐาเปยฺย วาติ เตน ทิยฺยมานานิ จุณฺณมตฺติกาทีนิ สาทิยโนฺต เตน อตฺตโน อุปฎฺฐานํ การาเปยฺย วาฯ ‘‘เตนา’’ติ อิทํ สหเตฺถ กรณวเสน ‘‘สมฺภุเญฺชยฺยา’’ติอาทีหิ จ โยเชตพฺพํฯ วาติ เอตฺถ คาถาพนฺธวเสน รโสฺสฯ สโมฺภคสหเสยฺยา อนนฺตรสิกฺขาปเท วุตฺตนยา เอวฯ ตสฺมา อาปตฺติปริเจฺฉโทเปตฺถ ตสฺมิํ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
1712.Tathā vināsitanti ‘‘ajjatagge te āvuso samaṇuddesa na ceva so bhagavā satthā apadisitabbo, yampi caññe samaṇuddesā labhanti bhikkhūhi saddhiṃ dirattatirattaṃ sahaseyyaṃ, sāpi te natthi, cara pire vinassā’’ti (pāci. 429) vuttanayena nāsitaṃ. ‘‘Tathā nāsitaṃ samaṇuddesa’’nti (pāci. 428) vacanato ‘‘samaṇuddesa’’nti seso. Jānanti vuttanayena ‘‘nāsito aya’’nti jānanto. Upalāpeyyāti ‘‘upalāpeyya vāti tassa pattaṃ vā cīvaraṃ vā uddesaṃ vā paripucchaṃ vā dassāmī’’ti (pāci. 430) padabhājane āgatanayena saṅgaṇheyya. Tenāti nāsitena. Upaṭṭhāpeyya vāti tena diyyamānāni cuṇṇamattikādīni sādiyanto tena attano upaṭṭhānaṃ kārāpeyya vā. ‘‘Tenā’’ti idaṃ sahatthe karaṇavasena ‘‘sambhuñjeyyā’’tiādīhi ca yojetabbaṃ. Vāti ettha gāthābandhavasena rasso. Sambhogasahaseyyā anantarasikkhāpade vuttanayā eva. Tasmā āpattiparicchedopettha tasmiṃ vuttanayeneva veditabbo.
๑๗๑๓. อตฺถุทฺธารวเสน อฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๔๒๘) วุตฺตา ติโสฺส นาสนา ทเสฺสตุมาห ‘‘สํวาเสน…เป.… ติโสฺส’’ติฯ ตตฺถ ตีสุ กตมา อธิเปฺปตาติ อาห ‘‘เอตฺถา’’ติอาทิฯ ทณฺฑกเมฺมน นาสนา เอตฺถ อธิเปฺปตาติ โยชนาฯ เอตาสํ วิภาโค จ ‘‘ตตฺถ อาปตฺติยา อทสฺสนาทีสุ อุเกฺขปนา สํวาสนาสนา นามฯ ‘ทูสโก นาเสตโพฺพ, เมตฺติยํ ภิกฺขุนิํ นาเสถา’ติ อยํ ลิงฺคนาสนา นามฯ ‘อชฺชตเคฺค เต อาวุโส สมณุเทฺทส น เจว โส ภควา สตฺถา อปทิสิตโพฺพ’ติ อยํ ทณฺฑกมฺมนาสนา นามา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๔๒๘) อฎฺฐกถาย วุโตฺตฯ
1713. Atthuddhāravasena aṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 428) vuttā tisso nāsanā dassetumāha ‘‘saṃvāsena…pe… tisso’’ti. Tattha tīsu katamā adhippetāti āha ‘‘etthā’’tiādi. Daṇḍakammena nāsanā ettha adhippetāti yojanā. Etāsaṃ vibhāgo ca ‘‘tattha āpattiyā adassanādīsu ukkhepanā saṃvāsanāsanā nāma. ‘Dūsako nāsetabbo, mettiyaṃ bhikkhuniṃ nāsethā’ti ayaṃ liṅganāsanā nāma. ‘Ajjatagge te āvuso samaṇuddesa na ceva so bhagavā satthā apadisitabbo’ti ayaṃ daṇḍakammanāsanā nāmā’’ti (pāci. aṭṭha. 428) aṭṭhakathāya vutto.
๑๗๑๕. ‘‘วุตฺตา สมนุภาสเน’’ติ (วิ. วิ. ๑๗๐๓) ตตฺถ วุตฺตตฺตา อาห ‘‘อริเฎฺฐน สมา มตา’’ติฯ
1715. ‘‘Vuttā samanubhāsane’’ti (vi. vi. 1703) tattha vuttattā āha ‘‘ariṭṭhena samā matā’’ti.
กณฺฎกกถาวณฺณนาฯ
Kaṇṭakakathāvaṇṇanā.
สปฺปาณกวโคฺค สตฺตโมฯ
Sappāṇakavaggo sattamo.
๑๗๑๖-๗. โย ภิกฺขุ สิกฺขาปทํ วีติกฺกมโนฺต ตํ วีติกฺกมํ เย ปสฺสนฺติ, สุณนฺติ จ, เตหิ ภิกฺขูหิ สิกฺขาปเทน วุจฺจมาโน ‘‘มาวุโส เอวํ อกาสิ, น กปฺปติ เอตํ ภิกฺขุสฺสา’’ติ สิกฺขาปเท วุตฺตนเยน วุจฺจมาโน ‘‘เอตสฺมิํ สิกฺขาปเท เยน มํ ตุเมฺห วเทถ, เอตสฺมิํ สิกฺขาปทเตฺถ ยาว อญฺญํ วิยตฺตํ พหุสฺสุตํ ปกตญฺญุํ วินยธรํ น ปุจฺฉามิ, ตาว อหํ น สิกฺขิสฺสามี’’ติ ภณติ, ตสฺส เอวํ ภณนฺตสฺส ปาจิตฺติยํ สิยาติ สาธิปฺปายโยชนาฯ
1716-7.Yo bhikkhu sikkhāpadaṃ vītikkamanto taṃ vītikkamaṃ ye passanti, suṇanti ca, tehi bhikkhūhi sikkhāpadena vuccamāno ‘‘māvuso evaṃ akāsi, na kappati etaṃ bhikkhussā’’ti sikkhāpade vuttanayena vuccamāno ‘‘etasmiṃ sikkhāpade yena maṃ tumhe vadetha, etasmiṃ sikkhāpadatthe yāva aññaṃ viyattaṃ bahussutaṃ pakataññuṃ vinayadharaṃ na pucchāmi, tāva ahaṃ na sikkhissāmī’’ti bhaṇati, tassa evaṃ bhaṇantassa pācittiyaṃ siyāti sādhippāyayojanā.
๑๗๑๘-๙. อนุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสน อนุปสมฺปเนฺน สตฺถุนา ติกทุกฺกฎํ ทีปิตนฺติ โยชนา, อิมินา จ อุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสน อุปสมฺปเนฺน ติกปาจิตฺติยํ ทีปิตํ โหติฯ อปญฺญเตฺตน โอวทนปฺปการํ ทเสฺสตุมาห ‘‘น สเลฺลขายิทํ โหตี’’ติฯ อุโภหิปิ อุปสมฺปนฺนานุปสมฺปเนฺนหิ ฯ ‘‘อิทํ สเลฺลขาย น โหตี’’ติ อปญฺญเตฺตน วุจฺจมานสฺส ‘‘น ตาวาห’’นฺติอาทีนิ วทโต ตสฺส ภิกฺขุโน ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ ‘‘น โทโส อุมฺมตฺตกาทีน’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ
1718-9. Anupasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena anupasampanne satthunā tikadukkaṭaṃ dīpitanti yojanā, iminā ca upasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena upasampanne tikapācittiyaṃ dīpitaṃ hoti. Apaññattena ovadanappakāraṃ dassetumāha ‘‘na sallekhāyidaṃ hotī’’ti. Ubhohipi upasampannānupasampannehi . ‘‘Idaṃ sallekhāya na hotī’’ti apaññattena vuccamānassa ‘‘na tāvāha’’ntiādīni vadato tassa bhikkhuno dukkaṭaṃ hotīti yojanā. ‘‘Na doso ummattakādīna’’nti padacchedo.
สหธมฺมิกกถาวณฺณนาฯ
Sahadhammikakathāvaṇṇanā.
๑๗๒๐. ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ปาติโมเกฺข อุทฺทิสฺสมาเน เอวํ วเทยฺยา’’ติอาทิสิกฺขาปทปาฐโต (ปาจิ. ๔๓๙) อุทฺทิเฎฺฐหีติ เอตฺถ ‘‘ขุทฺทานุขุทฺทเกหิ สิกฺขาปเทหี’’ติ เสโสฯ ปาราชิกํ ฐเปตฺวา อวเสสา อุปาทายุปาทาย ขุทฺทานุขุทฺทกาติ นิทฺทิฎฺฐาฯ เอตฺถ กินฺติ ปฎิเกฺขเป, เอเตหิ กิํ, ปโยชนํ นตฺถีติ วุตฺตํ โหติฯ เอเตหีติ สมีปเตฺถ วจนสามเญฺญน ‘‘อิเมหี’’ติ เอตสฺส ปริยาโยฯ ‘‘กิํ ปนิเมหี’’ติ (ปาจิ. ๔๓๙) สิกฺขาปทปาเฐ ปฎิเกฺขปสฺส การณํ ทเสฺสติ ‘‘กุกฺกุจฺจาทินิทานโต’’ติฯ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน วิเหสาวิเลขา คหิตาฯ เอตฺถ กุกฺกุจฺจํ นาม ‘‘กปฺปติ นุ โข, น กปฺปติ นุ โข’’ติ กุกฺกุจฺจกรณํฯ วิเหสา นาม วิปฺปฎิสาโรฯ วิเลขา นาม วิจิกิจฺฉาสงฺขาตา มโนวิเลขตา มโนวิเลขา, อิเมหิ สกเลหิ ปเทหิ สิกฺขาปทวิวณฺณกปฺปกาโร ทสฺสิโตฯ ‘‘อิติ สิกฺขาปทวิวณฺณเน’’ติ อิติ-สโทฺท อชฺฌาหริตฺวา โยเชตโพฺพฯ วิวณฺณเนติ นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมํฯ
1720. ‘‘Yo pana bhikkhu pātimokkhe uddissamāne evaṃ vadeyyā’’tiādisikkhāpadapāṭhato (pāci. 439) uddiṭṭhehīti ettha ‘‘khuddānukhuddakehi sikkhāpadehī’’ti seso. Pārājikaṃ ṭhapetvā avasesā upādāyupādāya khuddānukhuddakāti niddiṭṭhā. Ettha kinti paṭikkhepe, etehi kiṃ, payojanaṃ natthīti vuttaṃ hoti. Etehīti samīpatthe vacanasāmaññena ‘‘imehī’’ti etassa pariyāyo. ‘‘Kiṃ panimehī’’ti (pāci. 439) sikkhāpadapāṭhe paṭikkhepassa kāraṇaṃ dasseti ‘‘kukkuccādinidānato’’ti. Ettha ādi-saddena vihesāvilekhā gahitā. Ettha kukkuccaṃ nāma ‘‘kappati nu kho, na kappati nu kho’’ti kukkuccakaraṇaṃ. Vihesā nāma vippaṭisāro. Vilekhā nāma vicikicchāsaṅkhātā manovilekhatā manovilekhā, imehi sakalehi padehi sikkhāpadavivaṇṇakappakāro dassito. ‘‘Iti sikkhāpadavivaṇṇane’’ti iti-saddo ajjhāharitvā yojetabbo. Vivaṇṇaneti nimittatthe bhummaṃ.
กุกฺกุจฺจาทินิทานโต เอเตหิ ขุทฺทานุขุทฺทเกหิ สิกฺขาปเทหิ อุทฺทิเฎฺฐหิ กิํ อิติ สิกฺขาปทวิวณฺณเน ปาจิตฺติยาปตฺติ โหตีติ โยชนาฯ
Kukkuccādinidānato etehi khuddānukhuddakehi sikkhāpadehi uddiṭṭhehi kiṃ iti sikkhāpadavivaṇṇane pācittiyāpatti hotīti yojanā.
๑๗๒๑. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘อุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญี วินยํ วิวเณฺณติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ อุปสมฺปเนฺน เวมติโก…เป.… อนุปสมฺปนฺนสญฺญี…เป.… ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๔๑) ตีณิ ปาจิตฺติยานิ วุตฺตานิฯ ตํ วินยํ สเจ ปน อนุปสมฺปนฺนสฺส สนฺติเก วิวเณฺณติ, ติกทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ
1721.Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘upasampanne upasampannasaññī vinayaṃ vivaṇṇeti, āpatti pācittiyassa. Upasampanne vematiko…pe… anupasampannasaññī…pe… pācittiyassā’’ti (pāci. 441) tīṇi pācittiyāni vuttāni. Taṃ vinayaṃ sace pana anupasampannassa santike vivaṇṇeti, tikadukkaṭanti yojanā.
๑๗๒๒-๔. อุภินฺนมฺปีติ อุปสมฺปนฺนานํ, อนุปสมฺปนฺนานํ อุภินฺนมฺปิ, ‘‘สนฺติเก’’ติ เสโสฯ อญฺญธมฺมวิวณฺณเนติ วินยโต อเญฺญสํ สุตฺตาภิธมฺมานํ วิวณฺณเนฯ
1722-4.Ubhinnampīti upasampannānaṃ, anupasampannānaṃ ubhinnampi, ‘‘santike’’ti seso. Aññadhammavivaṇṇaneti vinayato aññesaṃ suttābhidhammānaṃ vivaṇṇane.
อนาปตฺติวิสยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘นวิวเณฺณตุกามสฺสา’’ติอาทิฯ นวิวเณฺณตุกามสฺส ‘‘หนฺท สุตฺตนฺตํ ปริยาปุณ, ปจฺฉาปิ วินยํ ปริยาปุณิสฺสสิ’’ อิติ เอวํ วทนฺตสฺส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ สทิสา เอว สาทิสาฯ
Anāpattivisayaṃ dassetumāha ‘‘navivaṇṇetukāmassā’’tiādi. Navivaṇṇetukāmassa ‘‘handa suttantaṃ pariyāpuṇa, pacchāpi vinayaṃ pariyāpuṇissasi’’ iti evaṃ vadantassa anāpattīti yojanā. Sadisā eva sādisā.
วิเลขนกถาวณฺณนาฯ
Vilekhanakathāvaṇṇanā.
๑๗๒๕. โมหนกถายํ ตาว –
1725. Mohanakathāyaṃ tāva –
‘‘อนฺวฑฺฒมาสํ โย ภิกฺขุ;
‘‘Anvaḍḍhamāsaṃ yo bhikkhu;
ปาติโมเกฺข อเสสโต;
Pātimokkhe asesato;
อุทฺทิสฺสมาเน อญฺญาณ-
Uddissamāne aññāṇa-
ตาย ปุจฺฉติ อตฺตโน’’ติฯ –
Tāya pucchati attano’’ti. –
ปฐมคาถาย ภวิตพฺพํฯ เอวญฺหิ สติ ‘‘อญฺญาเณนา’’ติอาทิคาถา ปริปุณฺณสมฺพนฺธา สิยาติ วิญฺญายติฯ
Paṭhamagāthāya bhavitabbaṃ. Evañhi sati ‘‘aññāṇenā’’tiādigāthā paripuṇṇasambandhā siyāti viññāyati.
อญฺญาเณนาติ เอตฺถ วา ‘‘อาปนฺนตฺตา’’ติ เสโสฯ อาปตฺติโมโกฺขติ อาปตฺติยา โมโกฺขฯ อญฺญาเณน อาปนฺนตฺตา อาปตฺติโมโกฺข เนว วิชฺชตีติ โยชนาฯ กิํ กาตพฺพนฺติ อาห ‘‘กาเรตโพฺพ’’ติอาทิฯ ยถา ธโมฺม ฐิโต, ตถา ภิกฺขุ กาเรตโพฺพติ สมฺพโนฺธฯ ธมฺม-สโทฺท ปาฬิวาจโก, ปาฬิยํ ยถา วุตฺตํ, ตถา กาเรตโพฺพติ อโตฺถ, เทสนาคามินี อาปตฺติ เจ, เทสาเปตโพฺพ, วุฎฺฐานคามินี เจ, วุฎฺฐาเปตโพฺพติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘ยถาธโมฺม กาเรตโพฺพ’’ติ (ปาจิ. ๔๔๔)ฯ อญฺญาเณน อาปนฺนตฺตา ตสฺส อาปตฺติยา โมโกฺข นตฺถิฯ ยถา ปน ธโมฺม จ วินโย จ ฐิโต, ตถา ภิกฺขุ กาเรตโพฺพ, เทสนาคามินิํ เจ อาปโนฺน โหติ, เทสาเปตโพฺพ, วุฎฺฐานคามินิํ เจ, วุฎฺฐาเปตโพฺพติ อโตฺถฯ
Aññāṇenāti ettha vā ‘‘āpannattā’’ti seso. Āpattimokkhoti āpattiyā mokkho. Aññāṇena āpannattā āpattimokkho neva vijjatīti yojanā. Kiṃ kātabbanti āha ‘‘kāretabbo’’tiādi. Yathā dhammo ṭhito, tathā bhikkhu kāretabboti sambandho. Dhamma-saddo pāḷivācako, pāḷiyaṃ yathā vuttaṃ, tathā kāretabboti attho, desanāgāminī āpatti ce, desāpetabbo, vuṭṭhānagāminī ce, vuṭṭhāpetabboti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘yathādhammo kāretabbo’’ti (pāci. 444). Aññāṇena āpannattā tassa āpattiyā mokkho natthi. Yathā pana dhammo ca vinayo ca ṭhito, tathā bhikkhu kāretabbo, desanāgāminiṃ ce āpanno hoti, desāpetabbo, vuṭṭhānagāminiṃ ce, vuṭṭhāpetabboti attho.
๑๗๒๖. อุตฺตรินฺติ ยถาธมฺมกรณโต อุตฺตริํฯ ทุติเยเนวาติ ญตฺติทุติเยเนวฯ นินฺทิตฺวาติ ‘‘ตสฺส เต อาวุโส อลาภา’’ติอาทินา ครหิตฺวาฯ
1726.Uttarinti yathādhammakaraṇato uttariṃ. Dutiyenevāti ñattidutiyeneva. Ninditvāti ‘‘tassa te āvuso alābhā’’tiādinā garahitvā.
๑๗๒๗. เอวํ อาโรปิเต โมเหติ ยถาธมฺมกรณโต อุปริ ยถาวุตฺตนเยน ตํ ปุคฺคลํ ครหิตฺวา ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย ตสฺส เอวํ โมเห อาโรปิเตฯ ปุน ยทิ โมเหตีติ โยชนาฯ ตสฺมิํ โมหนเก ปุคฺคเล ปาจิตฺติ วุตฺตาติ โยชนาฯ
1727.Evaṃāropite moheti yathādhammakaraṇato upari yathāvuttanayena taṃ puggalaṃ garahitvā ñattidutiyāya kammavācāya tassa evaṃ mohe āropite. Puna yadi mohetīti yojanā. Tasmiṃ mohanake puggale pācitti vuttāti yojanā.
๑๗๒๘. ทีปิตํ ติกทุกฺกฎนฺติ ‘‘อธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญี โมเหติ, เวมติโก, อธมฺมกมฺมสญฺญี โมเหติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๔๗) ติกทุกฺกฎํ ทสฺสิตํฯ เอตสฺส วิปริยายโต ติกปาจิตฺติยํ เวทิตพฺพํฯ ยถาห ‘‘ธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญี โมเหติ, เวมติโก, อธมฺมกมฺมสญฺญี โมเหติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๔๗)ฯ เอตฺถ กมฺมนฺติ โมหาโรปนกมฺมํ อธิเปฺปตํฯ ยถาห ‘‘ธมฺมกเมฺมติอาทีสุ โมหาโรปนกมฺมํ อธิเปฺปต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๔๔๗)ฯ
1728.Dīpitaṃ tikadukkaṭanti ‘‘adhammakamme dhammakammasaññī moheti, vematiko, adhammakammasaññī moheti, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 447) tikadukkaṭaṃ dassitaṃ. Etassa vipariyāyato tikapācittiyaṃ veditabbaṃ. Yathāha ‘‘dhammakamme dhammakammasaññī moheti, vematiko, adhammakammasaññī moheti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 447). Ettha kammanti mohāropanakammaṃ adhippetaṃ. Yathāha ‘‘dhammakammetiādīsu mohāropanakammaṃ adhippeta’’nti (pāci. aṭṭha. 447).
๑๗๒๙-๓๐. ‘‘น จ โมเหตุกามสฺสา’’ติอาทีหิ ‘‘อนาปตฺตีติ วิเญฺญยฺย’’นฺติ อิทํ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ ‘‘วิตฺถาเรน อสุตสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ เอตฺถ ‘‘ปาติโมกฺข’’นฺติ กมฺมปทํ อเปกฺขิตพฺพํฯ วิตฺถาเรน อูนกทฺวตฺติกฺขตฺตุํ สุตสฺส จาติ โยชนาฯ ตถาติ อิมินา ‘‘อนาปตฺตีติ วิเญฺญยฺย’’นฺติ อิทํ ปจฺจามสติฯ
1729-30.‘‘Na ca mohetukāmassā’’tiādīhi ‘‘anāpattīti viññeyya’’nti idaṃ paccekaṃ yojetabbaṃ. ‘‘Vitthārena asutassā’’ti padacchedo. Ettha ‘‘pātimokkha’’nti kammapadaṃ apekkhitabbaṃ. Vitthārena ūnakadvattikkhattuṃ sutassa cāti yojanā. Tathāti iminā ‘‘anāpattīti viññeyya’’nti idaṃ paccāmasati.
โมหนกถาวณฺณนาฯ
Mohanakathāvaṇṇanā.
๑๗๓๑-๒. กุโทฺธติ กุปิโตฯ ปหารํ เทตีติ กาเยน วา กายปฎิพเทฺธน วา นิสฺสคฺคิเยน วา อนฺตมโส อุปฺปลปเตฺตนาปิ ปหารํ เทติฯ ยถาห ‘‘ปหารํ ทเทยฺยาติ กาเยน วา กายปฎิพเทฺธน วา นิสฺสคฺคิเยน วา อนฺตมโส อุปฺปลปเตฺตนาปิ ปหารํ เทตี’’ติ (ปาจิ. ๔๕๑)ฯ เอตฺถ ‘‘อญฺญสฺส ภิกฺขุสฺสา’’ติ เสโสฯ ตสฺสาติ อเปกฺขิตฺวา ‘‘โย’’ติ ลพฺภติฯ
1731-2.Kuddhoti kupito. Pahāraṃ detīti kāyena vā kāyapaṭibaddhena vā nissaggiyena vā antamaso uppalapattenāpi pahāraṃ deti. Yathāha ‘‘pahāraṃ dadeyyāti kāyena vā kāyapaṭibaddhena vā nissaggiyena vā antamaso uppalapattenāpi pahāraṃ detī’’ti (pāci. 451). Ettha ‘‘aññassa bhikkhussā’’ti seso. Tassāti apekkhitvā ‘‘yo’’ti labbhati.
อฎฺฐกถาคตํ วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘สมฺปหริตุกาเมนา’’ติอาทิ, อิมินา มรณาธิปฺปาเยน ปหเฎ ปาราชิกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
Aṭṭhakathāgataṃ vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘sampaharitukāmenā’’tiādi, iminā maraṇādhippāyena pahaṭe pārājikanti vuttaṃ hoti.
๑๗๓๓. ‘‘อิติ เอวํ กเต อยํ สงฺฆมเชฺฌน วิโรจตี’’ติ วิรูปกรณาเปโกฺข วิรูปกรเณ อเปกฺขวา ตสฺส จ อเปกฺขิตสฺส ภิกฺขุสฺส กณฺณํ วา นาสํ วา ยทิ ฉินฺทติ, ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ
1733. ‘‘Iti evaṃ kate ayaṃ saṅghamajjhena virocatī’’ti virūpakaraṇāpekkho virūpakaraṇe apekkhavā tassa ca apekkhitassa bhikkhussa kaṇṇaṃ vā nāsaṃ vā yadi chindati, dukkaṭanti yojanā.
๑๗๓๔. อนุปสมฺปเนฺนติ สามิวจนเตฺถ ภุมฺมํฯ ‘‘อิตฺถิยา’’ติอาทีหิ ปเทหิ ยถารหํ โยเชตพฺพํ ‘‘อนุปสมฺปนฺนาย อิตฺถิยา อนุปสมฺปนฺนสฺส ปุริสสฺสา’’ติฯ ติรจฺฉานคตสฺสปีติ เอตฺถ ‘‘อนฺตมโส’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘อนฺตมโส ติรจฺฉานคตสฺสปี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๔๕๒)ฯ
1734.Anupasampanneti sāmivacanatthe bhummaṃ. ‘‘Itthiyā’’tiādīhi padehi yathārahaṃ yojetabbaṃ ‘‘anupasampannāya itthiyā anupasampannassa purisassā’’ti. Tiracchānagatassapīti ettha ‘‘antamaso’’ti seso. Yathāha ‘‘antamaso tiracchānagatassapī’’ti (pāci. aṭṭha. 452).
๑๗๓๕. ‘‘สเจ ปหรติ อิตฺถิญฺจา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ รเตฺตน เจตสาติ กายสํสคฺคราเคน รเตฺตน จิเตฺตนฯ วินิทฺทิฎฺฐาติ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ โอติโณฺณ วิปริณเตน จิเตฺตน มาตุคาเมน สทฺธิํ กายสํสคฺคํ สมาปเชฺชยฺยา’’ติอาทินา (ปารา. ๒๗๐) ทสฺสิตาฯ
1735. ‘‘Sace paharati itthiñcā’’ti padacchedo. Rattena cetasāti kāyasaṃsaggarāgena rattena cittena. Viniddiṭṭhāti ‘‘yo pana bhikkhu otiṇṇo vipariṇatena cittena mātugāmena saddhiṃ kāyasaṃsaggaṃ samāpajjeyyā’’tiādinā (pārā. 270) dassitā.
๑๗๓๖. โมกฺขาธิปฺปาโยติ ตโต อตฺตโน โมกฺขํ ปเตฺถโนฺตฯ โทโส น วิชฺชตีติ ทุกฺกฎาทิโกปิ โทโส นตฺถิฯ
1736.Mokkhādhippāyoti tato attano mokkhaṃ patthento. Doso na vijjatīti dukkaṭādikopi doso natthi.
๑๗๓๗-๙. เหเฐตุกามมายนฺตํ โจรมฺปิ วา ปจฺจตฺถิกมฺปิ วา อนฺตรามเคฺค ปสฺสิตฺวาติ โยชนาฯ ทิสฺวา กถํ ปฎิปชฺชิตพฺพนฺติ อาห ‘‘มา อิธาคจฺฉุปาสกา’’ติอาทิ, อาคมนปฎิเกฺขเปน ตเตฺถว ติฎฺฐาติ วุตฺตํ โหติฯ อายนฺตนฺติ เอวํ วุเตฺต ตํ อนาทิยิตฺวา อาคจฺฉนฺตํฯ ยถาห ‘‘วจนํ อนาทิยิตฺวา อาคจฺฉนฺต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๔๕๓)ฯ
1737-9. Heṭhetukāmamāyantaṃ corampi vā paccatthikampi vā antarāmagge passitvāti yojanā. Disvā kathaṃ paṭipajjitabbanti āha ‘‘mā idhāgacchupāsakā’’tiādi, āgamanapaṭikkhepena tattheva tiṭṭhāti vuttaṃ hoti. Āyantanti evaṃ vutte taṃ anādiyitvā āgacchantaṃ. Yathāha ‘‘vacanaṃ anādiyitvā āgacchanta’’nti (pāci. aṭṭha. 453).
เอเสว นโยติ ‘‘มา อาคจฺฉา’ติ วุเตฺตปิ อาคจฺฉนฺตํ ปหเฎ มเตปิ อนาปตฺตี’’ติ อยํ นโยฯ
Eseva nayoti ‘‘mā āgacchā’ti vuttepi āgacchantaṃ pahaṭe matepi anāpattī’’ti ayaṃ nayo.
๑๗๔๐. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘อุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญี, เวมติโก, อนุปสมฺปนฺนสญฺญี ปหารํ เทติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๕๒) ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ เสเสติ อนุปสมฺปเนฺนฯ ติกทุกฺกฎนฺติ ‘‘อนุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญี, เวมติโก , อนุปสมฺปนฺนสญฺญี ปหารํ เทติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๕๒) ติกทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ อนาณตฺติกตฺตา อาห ‘‘กายจิตฺตสมุฎฺฐาน’’นฺติฯ กายจิตฺตานํ สุโขเปกฺขาปิ สมฺภวนฺตีติ ตโต วิเสเสตุมาห ‘‘ทุกฺขเวทน’’นฺติฯ
1740.Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘upasampanne upasampannasaññī, vematiko, anupasampannasaññī pahāraṃ deti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 452) tikapācittiyaṃ vuttaṃ. Seseti anupasampanne. Tikadukkaṭanti ‘‘anupasampanne upasampannasaññī, vematiko , anupasampannasaññī pahāraṃ deti, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 452) tikadukkaṭaṃ vuttaṃ. Anāṇattikattā āha ‘‘kāyacittasamuṭṭhāna’’nti. Kāyacittānaṃ sukhopekkhāpi sambhavantīti tato visesetumāha ‘‘dukkhavedana’’nti.
ปหารกถาวณฺณนาฯ
Pahārakathāvaṇṇanā.
๑๗๔๑. กายนฺติ กาเยกเทสํ หตฺถาทิอวยวมาหฯ วาติ ทุติยตฺถสมฺปิณฺฑเนฯ กายพทฺธนฺติ กายปฎิพทฺธํ ปหรณโยคฺคาโยเคฺคสุ กตฺตรยฎฺฐิสตฺถาทีสุ อญฺญตรํฯ สเจ อุจฺจาเรยฺยาติ สเจ ปหรณาการํ ทเสฺสตฺวา อุกฺขิเปยฺย, อิทํ ‘‘กายํ วา กายปฎิพทฺธํ วา’’ติ อิเมหิ ปเทหิ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ ตสฺสาติ อุจฺจาริตกายาทิกสฺสฯ อุคฺคิรณปจฺจยาติ อุกฺขิปนการณาฯ
1741.Kāyanti kāyekadesaṃ hatthādiavayavamāha. Vāti dutiyatthasampiṇḍane. Kāyabaddhanti kāyapaṭibaddhaṃ paharaṇayoggāyoggesu kattarayaṭṭhisatthādīsu aññataraṃ. Sace uccāreyyāti sace paharaṇākāraṃ dassetvā ukkhipeyya, idaṃ ‘‘kāyaṃ vā kāyapaṭibaddhaṃ vā’’ti imehi padehi paccekaṃ yojetabbaṃ. Tassāti uccāritakāyādikassa. Uggiraṇapaccayāti ukkhipanakāraṇā.
๑๗๔๒. อสมฺปหริตุกาเมนาติ ปหารทานํ อนิจฺฉเนฺตนฯ ทินฺนตฺตาติ ปหารสฺส ทินฺนตฺตาฯ อปฺปหริตุกามตฺตา ปุริมสิกฺขาปเทน ปาจิตฺติยํ น โหติ, อุคฺคิริตุกามตาย กตปโยคสฺส อุคฺคิรณมเตฺต อฎฺฐตฺวา ปหารสฺส ทินฺนตฺตา อิมินาปิ ปาจิตฺติยํ น โหติ, อชฺฌาสยสฺส, ปโยคสฺส จ อสุทฺธตฺตา อนาปตฺติยาปิ น ภวิตพฺพนฺติ ทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ
1742.Asampaharitukāmenāti pahāradānaṃ anicchantena. Dinnattāti pahārassa dinnattā. Appaharitukāmattā purimasikkhāpadena pācittiyaṃ na hoti, uggiritukāmatāya katapayogassa uggiraṇamatte aṭṭhatvā pahārassa dinnattā imināpi pācittiyaṃ na hoti, ajjhāsayassa, payogassa ca asuddhattā anāpattiyāpi na bhavitabbanti dukkaṭaṃ vuttaṃ.
๑๗๔๓. สเจ เตน ปหาเรน ภิกฺขุโน หตฺถาทีสุปิ ยํ กิญฺจิ องฺคํ ภิชฺชติ, ปหฎสฺส ปหารทายกสฺส ทุกฺกฎนฺติ สมฺพโนฺธฯ
1743. Sace tena pahārena bhikkhuno hatthādīsupi yaṃ kiñci aṅgaṃ bhijjati, pahaṭassa pahāradāyakassa dukkaṭanti sambandho.
๑๗๔๔. เสโส วินิจฺฉโย ‘‘โมกฺขาธิปฺปาโย’’ติอาทิโก อิธ อวุโตฺต วินิจฺฉโย สมุฎฺฐานาทินา สทฺธิํ อนนฺตเร วุตฺตนเยน วินยญฺญุนา เวทิตโพฺพติ โยชนาฯ ‘‘ติรจฺฉานาทีนํ วจฺจกรณาทิํ ทิสฺวาน ปลาเปตุกามตาย กุชฺฌิตฺวาปิ อุคฺคิรนฺตสฺส โมกฺขาธิปฺปาโย เอวา’’ติ วทนฺติฯ
1744.Seso vinicchayo ‘‘mokkhādhippāyo’’tiādiko idha avutto vinicchayo samuṭṭhānādinā saddhiṃ anantare vuttanayena vinayaññunā veditabboti yojanā. ‘‘Tiracchānādīnaṃ vaccakaraṇādiṃ disvāna palāpetukāmatāya kujjhitvāpi uggirantassa mokkhādhippāyo evā’’ti vadanti.
ตลสตฺติกถาวณฺณนาฯ
Talasattikathāvaṇṇanā.
๑๗๔๕. อมูลเกนาติ ทิฎฺฐาทิมูลวิรหิเตน, เอตฺถ ‘‘ภิกฺขุ’’นฺติ เสโสฯ สงฺฆาทิเสเสนาติ เตรสนฺนํ อญฺญตเรนฯ ตสฺสาติ โจทกสฺส, โจทาปกสฺส วา ปาปภิกฺขุโนฯ สเจ จุทิตโก ตสฺมิํ ขเณ ‘‘เอส มํ โจเทตี’’ติ ชานาติ, ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนา, อิมินา ‘‘สเจ เอวํ น ชานาติ, จิเรน วา ชานาติ, ทุกฺกฎํ โหตี’’ติ สิทฺธํฯ
1745.Amūlakenāti diṭṭhādimūlavirahitena, ettha ‘‘bhikkhu’’nti seso. Saṅghādisesenāti terasannaṃ aññatarena. Tassāti codakassa, codāpakassa vā pāpabhikkhuno. Sace cuditako tasmiṃ khaṇe ‘‘esa maṃ codetī’’ti jānāti, pācittiyaṃ siyāti yojanā, iminā ‘‘sace evaṃ na jānāti, cirena vā jānāti, dukkaṭaṃ hotī’’ti siddhaṃ.
๑๗๔๖. ตตฺถาติ อุปสมฺปเนฺนฯ ติกปาจิตฺติยนฺติ ‘‘อุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญี อมูลเกน สงฺฆาทิเสเสน อนุทฺธํเสติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ เวมติโก…เป.… อนุปสมฺปนฺนสญฺญี อมูลเกน สงฺฆาทิเสเสน อนุทฺธํเสติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๖๒) ติกปาจิตฺติยํ ฯ ทิฎฺฐาจารวิปตฺติยา โจทโก ทุกฺกฎาปตฺตีติ อมูลิกาย ทิฎฺฐิวิปตฺติยา วา อาจารวิปตฺติยา วา อนุทฺธํเสนฺตสฺส ทุกฺกฎาปตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ เสเส จาติ อนุปสมฺปเนฺนฯ ติกทุกฺกฎนฺติ อนุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสน ตีณิ ทุกฺกฎานิ โหนฺตีติ อโตฺถฯ
1746.Tatthāti upasampanne. Tikapācittiyanti ‘‘upasampanne upasampannasaññī amūlakena saṅghādisesena anuddhaṃseti, āpatti pācittiyassa. Vematiko…pe… anupasampannasaññī amūlakena saṅghādisesena anuddhaṃseti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 462) tikapācittiyaṃ . Diṭṭhācāravipattiyā codako dukkaṭāpattīti amūlikāya diṭṭhivipattiyā vā ācāravipattiyā vā anuddhaṃsentassa dukkaṭāpatti hotīti attho. Sese cāti anupasampanne. Tikadukkaṭanti anupasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena tīṇi dukkaṭāni hontīti attho.
๑๗๔๗. ‘‘ตถาสญฺญิสฺส อนาปตฺตี’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ตถาสญฺญิสฺสาติ สมูลกสญฺญิสฺสฯ
1747. ‘‘Tathāsaññissa anāpattī’’ti padacchedo. Tathāsaññissāti samūlakasaññissa.
อมูลกกถาวณฺณนาฯ
Amūlakakathāvaṇṇanā.
๑๗๔๘-๙. สญฺจิจฺจาติ ตสฺส ปริปุณฺณวีสติวสฺสาทิภาวํ ชานโนฺตเยวฯ ภิกฺขุโนติ เอตฺถ ‘‘อญฺญสฺสา’’ติ เสโส ฯ อูนวีสติวโสฺส ตฺวํ มเญฺญติ เอตฺถ ‘‘มเญฺญ’’ติ อิมินา ปริกปฺปตฺถวาจินา นิปาเตน ‘‘อุทกํ มเญฺญ อาทิตฺต’’นฺติอาทีสุ (ปารา. ๓๘๓) วิย มุสาวาทาปตฺติยา อวิสยตํ ทีเปติฯ หิเตสิตาย อนุสิฎฺฐิทานาทิเก ตถารูเป อญฺญสฺมิํ ปจฺจเย การเณ อสติ ‘‘อูนวีสติวโสฺส ตฺวํ มเญฺญ’’ อิติ เอวมาทินา อญฺญสฺส ภิกฺขุโน โย ภิกฺขุ สเจ สญฺจิจฺจ กุกฺกุจฺจํ อุปฺปาเทยฺย, ตสฺส เอวํ กุกฺกุจฺจํ อุปฺปาเทนฺตสฺส ภิกฺขุโน วาจาย วาจาย ปาจิตฺติ โหตีติ โยชนาฯ
1748-9.Sañciccāti tassa paripuṇṇavīsativassādibhāvaṃ jānantoyeva. Bhikkhunoti ettha ‘‘aññassā’’ti seso . Ūnavīsativasso tvaṃ maññeti ettha ‘‘maññe’’ti iminā parikappatthavācinā nipātena ‘‘udakaṃ maññe āditta’’ntiādīsu (pārā. 383) viya musāvādāpattiyā avisayataṃ dīpeti. Hitesitāya anusiṭṭhidānādike tathārūpe aññasmiṃ paccaye kāraṇe asati ‘‘ūnavīsativasso tvaṃ maññe’’ iti evamādinā aññassa bhikkhuno yo bhikkhu sace sañcicca kukkuccaṃ uppādeyya, tassa evaṃ kukkuccaṃ uppādentassa bhikkhuno vācāya vācāya pācitti hotīti yojanā.
๑๗๕๐. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘อุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญี สญฺจิจฺจ กุกฺกุจฺจํ อุปทหติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ เวมติโก…เป.… อนุปสมฺปนฺนสญฺญี สญฺจิจฺจ กุกฺกุจฺจํ อุปทหติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๖๗) ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ เสเส จาติ อนุปสมฺปเนฺน จฯ ติกทุกฺกฎนฺติ อนุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสน ติกทุกฺกฎํฯ วชฺชเมว วชฺชตาฯ
1750.Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘upasampanne upasampannasaññī sañcicca kukkuccaṃ upadahati, āpatti pācittiyassa. Vematiko…pe… anupasampannasaññī sañcicca kukkuccaṃ upadahati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 467) tikapācittiyaṃ vuttaṃ. Sese cāti anupasampanne ca. Tikadukkaṭanti anupasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena tikadukkaṭaṃ. Vajjameva vajjatā.
๑๗๕๑. หิเตสิตาย ภาสโตติ สมฺพโนฺธฯ มา เอวนฺติ เอตฺถ ‘‘กโรหี’’ติ เสโส, ปุนปิ มา เอวํ กโรหีติ อโตฺถฯ ‘‘อหํ ตํ อิตฺถิยา สห นิสินฺนํ มเญฺญ, ตยา วิกาเล ภุตฺตํ มเญฺญ, ปุน มา เอวํ กโรหิ’’ อิติ หิเตสิตาย ภาสโต อนาปตฺติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ
1751. Hitesitāya bhāsatoti sambandho. Mā evanti ettha ‘‘karohī’’ti seso, punapi mā evaṃ karohīti attho. ‘‘Ahaṃ taṃ itthiyā saha nisinnaṃ maññe, tayā vikāle bhuttaṃ maññe, puna mā evaṃ karohi’’ iti hitesitāya bhāsato anāpatti pakāsitāti yojanā.
สญฺจิจฺจกถาวณฺณนาฯ
Sañciccakathāvaṇṇanā.
๑๗๕๓. ภณฺฑนํ นาม กลโห, ภณฺฑนํ ชาตํ เยสนฺติ วิคฺคโห, ชาตภณฺฑนานนฺติ อโตฺถ, ‘‘วจน’’นฺติ เสโสฯ โสตุํ อุปสฺสุติํ ติเฎฺฐยฺยาติ โยชนาฯ อุเปจฺจ สุยฺยติ เอตฺถาติ หิ อุปสฺสุติ, ฐานํ, ยํ ฐานํ อุปคเตน สกฺกา โหติ กเถนฺตานํ สทฺทํ โสตุํ, ตตฺถาติ อโตฺถฯ โย ปน ภิกฺขุ ภณฺฑนชาตานํ ภิกฺขูนํ วจนํ โสตุํ อุปสฺสุติํ สเจ ติเฎฺฐยฺย, ตสฺส ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนาฯ
1753.Bhaṇḍanaṃ nāma kalaho, bhaṇḍanaṃ jātaṃ yesanti viggaho, jātabhaṇḍanānanti attho, ‘‘vacana’’nti seso. Sotuṃ upassutiṃ tiṭṭheyyāti yojanā. Upecca suyyati etthāti hi upassuti, ṭhānaṃ, yaṃ ṭhānaṃ upagatena sakkā hoti kathentānaṃ saddaṃ sotuṃ, tatthāti attho. Yo pana bhikkhu bhaṇḍanajātānaṃ bhikkhūnaṃ vacanaṃ sotuṃ upassutiṃ sace tiṭṭheyya, tassa pācittiyaṃ siyāti yojanā.
๑๗๕๔. โจเทตุกามตาย คจฺฉโต อสฺสาติ โยชนาฯ
1754. Codetukāmatāya gacchato assāti yojanā.
๑๗๕๕. โสตุนฺติ ปจฺฉโต คจฺฉนฺตานํ ภณฺฑนชาตานํ วจนํ โสตุํฯ โอหียนฺตสฺสาติ ปกติคมนํ หาเปตฺวา โอสกฺกนฺตสฺสฯ ปุรโต คจฺฉโต ภิกฺขุสฺส ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ คจฺฉโต ตุริตํ วาปีติ ปุรโต คจฺฉนฺตานํ ภณฺฑนชาตานํ วจนํ โสตุํ ปจฺฉโต สีฆํ คจฺฉนฺตสฺสาปิฯ อยเมว วินิจฺฉโยติ ปเท ปเท อยํ เอว วินิจฺฉโยฯ
1755.Sotunti pacchato gacchantānaṃ bhaṇḍanajātānaṃ vacanaṃ sotuṃ. Ohīyantassāti pakatigamanaṃ hāpetvā osakkantassa. Purato gacchato bhikkhussa dukkaṭanti yojanā. Gacchato turitaṃ vāpīti purato gacchantānaṃ bhaṇḍanajātānaṃ vacanaṃ sotuṃ pacchato sīghaṃ gacchantassāpi. Ayameva vinicchayoti pade pade ayaṃ eva vinicchayo.
๑๗๕๖. อตฺตโน ฐิโตกาสนฺติ สมฺพโนฺธฯ อุกฺกาสิตฺวาปิ วาติ อุกฺกาสิตสทฺทํ กตฺวา วาฯ เอตฺถ อหนฺติ วา วตฺวา ญาเปตพฺพนฺติ โยชนาฯ
1756. Attano ṭhitokāsanti sambandho. Ukkāsitvāpi vāti ukkāsitasaddaṃ katvā vā. Ettha ahanti vā vatvā ñāpetabbanti yojanā.
๑๗๕๗. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํ อุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสนฯ เสเส จาติ อนุปสมฺปเนฺนฯ ติกทุกฺกฎํ อนุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญิเวมติกอนุปสมฺปนฺนสญฺญีนํ วเสนฯ
1757.Tikapācittiyaṃ vuttaṃ upasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena. Sese cāti anupasampanne. Tikadukkaṭaṃ anupasampanne upasampannasaññivematikaanupasampannasaññīnaṃ vasena.
๑๗๕๘. โอรมิสฺสนฺติ มยา คหิตทุคฺคาหโต วิรมิสฺสามิฯ
1758.Oramissanti mayā gahitaduggāhato viramissāmi.
๑๗๕๙. กายจิตฺตโต จ กายวาจาจิตฺตโต จ สมุฎฺฐานโต เถยฺยสตฺถสมุฎฺฐานํฯ สิยา กิริยํ โสตุกามตาย คมนวเสน, สิยา อกิริยํ ฐิตฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา มนฺตยมานํ อชานาปนวเสน, เตนาห ‘‘อิทํ โหติ กฺริยากฺริย’’นฺติฯ คมเนน สิชฺฌนโต กายกมฺมํ ฯ ตุณฺหีภาเวน สิชฺฌนโต วจีกมฺมํฯ สโทสนฺติ สาวชฺชํ, อกุสลจิตฺตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
1759. Kāyacittato ca kāyavācācittato ca samuṭṭhānato theyyasatthasamuṭṭhānaṃ. Siyā kiriyaṃ sotukāmatāya gamanavasena, siyā akiriyaṃ ṭhitaṭṭhānaṃ āgantvā mantayamānaṃ ajānāpanavasena, tenāha ‘‘idaṃ hoti kriyākriya’’nti. Gamanena sijjhanato kāyakammaṃ. Tuṇhībhāvena sijjhanato vacīkammaṃ. Sadosanti sāvajjaṃ, akusalacittanti vuttaṃ hoti.
อุปสฺสุติกถาวณฺณนาฯ
Upassutikathāvaṇṇanā.
๑๗๖๐. ธมฺมิกานนฺติ ธเมฺมน วินเยน สตฺถุสาสเนน กตานํฯ กมฺมานนฺติ อปโลกนกมฺมํ, ญตฺติกมฺมํ, ญตฺติทุติยกมฺมํ, ญตฺติจตุตฺถกมฺมนฺติ อิเมสํ จตุนฺนํ กมฺมานํฯ ขียตีติ อรุจิํ ปกาเสติฯ
1760.Dhammikānanti dhammena vinayena satthusāsanena katānaṃ. Kammānanti apalokanakammaṃ, ñattikammaṃ, ñattidutiyakammaṃ, ñatticatutthakammanti imesaṃ catunnaṃ kammānaṃ. Khīyatīti aruciṃ pakāseti.
๑๗๖๑. อุภยตฺถาติ อธเมฺม, ธเมฺม จฯ
1761.Ubhayatthāti adhamme, dhamme ca.
๑๗๖๒. อธเมฺมนาติ เอตฺถ ‘‘กเมฺมนา’’ติ เสโส, ธมฺมวิรุเทฺธน กเมฺมนาติ อโตฺถฯ ‘‘กมฺมสฺมิ’’นฺติ อิทํ วิภตฺติํ วิปริณาเมตฺวา ‘‘กเมฺมนา’’ติ อนุวเตฺตตพฺพํฯ วเคฺคนาติ ‘‘ฉนฺทารหานํ ฉโนฺท อาหโฎ โหติ, สมฺมุขีภูตา น ปฎิโกฺกสนฺตี’’ติ (มหาว. ๓๘๗) วุตฺตสามคฺคิลกฺขณสฺส วิรุทฺธตฺตา อสมเคฺคน, เอตฺถ ‘‘สเงฺฆนา’’ติ เสโสฯ ‘‘ตถา อกมฺมารหสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ‘‘อธเมฺมน กเมฺมน อิเม กมฺมํ กโรนฺตี’’ติ จ ‘‘อสมเคฺคน สเงฺฆน อิเม กมฺมํ กโรนฺตี’’ติ จ ‘‘อธเมฺมน กเมฺมน วเคฺคน สเงฺฆน อิเม กมฺมํ กโรนฺตี’’ติ จ ตถา ‘‘อกมฺมารหสฺส อิเม กมฺมํ กโรนฺตี’’ติ จ ญตฺวา โย ขียติ, ตสฺส จ อนาปตฺติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ
1762.Adhammenāti ettha ‘‘kammenā’’ti seso, dhammaviruddhena kammenāti attho. ‘‘Kammasmi’’nti idaṃ vibhattiṃ vipariṇāmetvā ‘‘kammenā’’ti anuvattetabbaṃ. Vaggenāti ‘‘chandārahānaṃ chando āhaṭo hoti, sammukhībhūtā na paṭikkosantī’’ti (mahāva. 387) vuttasāmaggilakkhaṇassa viruddhattā asamaggena, ettha ‘‘saṅghenā’’ti seso. ‘‘Tathā akammārahassā’’ti padacchedo. ‘‘Adhammena kammena ime kammaṃ karontī’’ti ca ‘‘asamaggena saṅghena ime kammaṃ karontī’’ti ca ‘‘adhammena kammena vaggena saṅghena ime kammaṃ karontī’’ti ca tathā ‘‘akammārahassa ime kammaṃ karontī’’ti ca ñatvā yo khīyati, tassa ca anāpatti pakāsitāti yojanā.
กมฺมปฎิพาหนกถาวณฺณนาฯ
Kammapaṭibāhanakathāvaṇṇanā.
๑๗๖๔-๕. อาโรจิตํ วตฺถุ ยาว น วินิจฺฉิตํ วาติ โยชนา, ‘‘โจทเกน จ จุทิตเกน จ อตฺตโน กถา กถิตา, อนุวิชฺชโก สมฺมโต, เอตฺตาวตาปิ วตฺถุเมว อาโรจิตํ โหตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๔๘๑) อฎฺฐกถาย วุตฺตตฺตา อาโรจิตํ วตฺถุ ยาว น วินิจฺฉิตํ โหตีติ อโตฺถฯ ญตฺติ วา ฐปิตา , กมฺมวาจา นิฎฺฐํ ยาว น คจฺฉติ, เอตสฺมิํ…เป.…โหติ อาปตฺติ ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ
1764-5. Ārocitaṃ vatthu yāva na vinicchitaṃ vāti yojanā, ‘‘codakena ca cuditakena ca attano kathā kathitā, anuvijjako sammato, ettāvatāpi vatthumeva ārocitaṃ hotī’’ti (pāci. aṭṭha. 481) aṭṭhakathāya vuttattā ārocitaṃ vatthu yāva na vinicchitaṃ hotīti attho. Ñatti vā ṭhapitā , kammavācā niṭṭhaṃ yāva na gacchati, etasmiṃ…pe…hoti āpatti dukkaṭanti yojanā.
๑๗๖๖. ฉนฺทํ อทตฺวา หตฺถปาเส ชหิเต ตสฺส ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนาฯ
1766. Chandaṃ adatvā hatthapāse jahite tassa pācittiyaṃ siyāti yojanā.
๑๗๖๗-๙. อธเมฺมปิ กมฺมสฺมิํ ธมฺมกมฺมนฺติ สญฺญิโน ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ ธมฺมกเมฺม จ อธมฺมกมฺมสญฺญิโน อนาปตฺติ อิธ น วุตฺตา, ปาฬิยํ ปน วุตฺตตฺตา อิธาปิ โยเชตพฺพาฯ ‘‘สงฺฆสฺส ภณฺฑนาทีนิ ภวิสฺสนฺตี’’ติ สญฺญิโน คจฺฉโต จ โย วา คิลาโน โหติ, ตสฺส คจฺฉโต จ คิลานสฺส กรณีเย สติ คจฺฉโต จ กมฺมํ นโกเปตุกามสฺส คจฺฉโต จ ปสฺสาวนาทินา ปีฬิตสฺส คจฺฉโต จ ‘‘อาคมิสฺสามิ’’อิติ เอวํ คจฺฉโตปิ น โทสตาติ โยชนาฯ ตตฺถ โทโส เอว โทสตา, อาปตฺติ, นโทสตา อนาปตฺติฯ หตฺถปาสํ วิชหิตฺวา คมเนน, ฉนฺทสฺส อทาเนน จ อาปชฺชนโต กฺริยากฺริยํฯ
1767-9. Adhammepi kammasmiṃ dhammakammanti saññino dukkaṭanti yojanā. Dhammakamme ca adhammakammasaññino anāpatti idha na vuttā, pāḷiyaṃ pana vuttattā idhāpi yojetabbā. ‘‘Saṅghassa bhaṇḍanādīni bhavissantī’’ti saññino gacchato ca yo vā gilāno hoti, tassa gacchato ca gilānassa karaṇīye sati gacchato ca kammaṃ nakopetukāmassa gacchato ca passāvanādinā pīḷitassa gacchato ca ‘‘āgamissāmi’’iti evaṃ gacchatopi na dosatāti yojanā. Tattha doso eva dosatā, āpatti, nadosatā anāpatti. Hatthapāsaṃ vijahitvā gamanena, chandassa adānena ca āpajjanato kriyākriyaṃ.
ฉนฺทํอทตฺวาคมนกถาวณฺณนาฯ
Chandaṃadatvāgamanakathāvaṇṇanā.
๑๗๗๐-๑. สมเคฺคน สเงฺฆน สทฺธินฺติ สมานสํวาสเกน สมานสีมายํ ฐิเตน สเงฺฆน สทฺธิํฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘สมโคฺค นาม สโงฺฆ สมานสํวาสโก สมานสีมายํ ฐิโต’’ติ (ปาจิ. ๔๘๖)ฯ จีวรนฺติ วิกปฺปนุปคมาหฯ ยถาห ‘‘จีวรํ นาม ฉนฺนํ จีวรานํ อญฺญตรํ จีวรํ วิกปฺปนุปคํ ปจฺฉิม’’นฺติ (ปาจิ. ๔๘๖)ฯ สมฺมตสฺสาติ เสนาสนปญฺญาปกาทิสมฺมุติํ ปเตฺตสุ อญฺญตรสฺสฯ ขียตีติ ‘‘โย โย มิโตฺต, ตสฺส ตสฺส เทนฺตี’’ติอาทินา นเยน อวณฺณํ ภณติฯ
1770-1.Samaggena saṅghena saddhinti samānasaṃvāsakena samānasīmāyaṃ ṭhitena saṅghena saddhiṃ. Vuttañhi ‘‘samaggo nāma saṅgho samānasaṃvāsako samānasīmāyaṃ ṭhito’’ti (pāci. 486). Cīvaranti vikappanupagamāha. Yathāha ‘‘cīvaraṃ nāma channaṃ cīvarānaṃ aññataraṃ cīvaraṃ vikappanupagaṃ pacchima’’nti (pāci. 486). Sammatassāti senāsanapaññāpakādisammutiṃ pattesu aññatarassa. Khīyatīti ‘‘yo yo mitto, tassa tassa dentī’’tiādinā nayena avaṇṇaṃ bhaṇati.
ธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญิเวมติกอธมฺมกมฺมสญฺญีนํ วเสน ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ
Dhammakamme dhammakammasaññivematikaadhammakammasaññīnaṃ vasena tikapācittiyaṃ vuttaṃ.
๑๗๗๒-๔. สเงฺฆนาสมฺมตสฺสาปิ จีวรํ, อญฺญเมว วา ตเถว สมเคฺคน สเงฺฆน ทตฺวา ขียติ, ตสฺส ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ อนุปสมฺปเนฺน ตเถว สมเคฺคน สเงฺฆน ทิเนฺน สพฺพตฺถ จีวเร, อญฺญปริกฺขาเร จ ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ อนุปสมฺปเนฺนติ สมฺปทานเตฺถ ภุมฺมํ, อนุปสมฺปนฺนสฺสาติ อโตฺถฯ
1772-4. Saṅghenāsammatassāpi cīvaraṃ, aññameva vā tatheva samaggena saṅghena datvā khīyati, tassa dukkaṭanti yojanā. Anupasampanne tatheva samaggena saṅghena dinne sabbattha cīvare, aññaparikkhāre ca dukkaṭanti yojanā. Anupasampanneti sampadānatthe bhummaṃ, anupasampannassāti attho.
สภาวโต ฉนฺทาทีนํ วเสเนว กโรนฺตํ ขียนฺตสฺส จ อนาปตฺตีติ โยชนาฯ นยา วินิจฺฉยกฺกมาฯ
Sabhāvato chandādīnaṃ vaseneva karontaṃ khīyantassa ca anāpattīti yojanā. Nayā vinicchayakkamā.
ทุพฺพลกถาวณฺณนาฯ
Dubbalakathāvaṇṇanā.
๑๗๗๕. อิทํ ทฺวาทสมนฺติ สมฺพโนฺธ, ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ชานํ สงฺฆิกํ ลาภํ ปริณตํ ปุคฺคลสฺส ปริณาเมยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๔๙๐) อิมํ ทฺวาทสมํ สิกฺขาปทนฺติ อโตฺถฯ ติํสกกณฺฑสฺมิํ นิสฺสคฺคิยกเณฺฑฯ อนฺติเมนาติ เอตฺถ ‘‘สิกฺขาปเทนา’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ จ-สโทฺท เอวการโตฺถฯ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ชานํ สงฺฆิกํ ลาภํ ปริณตํ อตฺตโน ปริณาเมยฺย, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปารา. ๖๕๘) อิมินา อนฺติเมเนว สิกฺขาปเทน สพฺพถา สพฺพํ วตฺตพฺพํ ตุลฺยนฺติ โยชนาฯ อยเมว วิเสสตาติ เอตฺถ วิเสโสเยว วิเสสตา, อยเมว วิเสโสติ อโตฺถฯ
1775. Idaṃ dvādasamanti sambandho, ‘‘yo pana bhikkhu jānaṃ saṅghikaṃ lābhaṃ pariṇataṃ puggalassa pariṇāmeyya, pācittiya’’nti (pāci. 490) imaṃ dvādasamaṃ sikkhāpadanti attho. Tiṃsakakaṇḍasmiṃ nissaggiyakaṇḍe. Antimenāti ettha ‘‘sikkhāpadenā’’ti pakaraṇato labbhati. Ca-saddo evakārattho. ‘‘Yo pana bhikkhu jānaṃ saṅghikaṃ lābhaṃ pariṇataṃ attano pariṇāmeyya, nissaggiyaṃ pācittiya’’nti (pārā. 658) iminā antimeneva sikkhāpadena sabbathā sabbaṃ vattabbaṃ tulyanti yojanā. Ayameva visesatāti ettha visesoyeva visesatā, ayameva visesoti attho.
๑๗๗๖. ตตฺถาติ ตสฺมิํ นิสฺสคฺคิยาวสาเน สิกฺขาปเทฯ อตฺตโน ปริณามนาติ อตฺตโน ปริณามนเหตุฯ
1776.Tatthāti tasmiṃ nissaggiyāvasāne sikkhāpade. Attano pariṇāmanāti attano pariṇāmanahetu.
ปริณามนกถาวณฺณนาฯ
Pariṇāmanakathāvaṇṇanā.
สหธมฺมิกวโคฺค อฎฺฐโมฯ
Sahadhammikavaggo aṭṭhamo.
๑๗๗๗-๘. โย ปน ภิกฺขุ เทวิยา วาปิ รโญฺญ วาปิ อวิทิตาคมโน อปฺปฎิสํวิทิตาคมโน สยนียฆรา ราชสฺมิํ อนิกฺขเนฺต, เทวิยา อนิกฺขนฺตาย ตสฺส สยนียฆรสฺส อุมฺมารํ อินฺทขีลํ สเจ อติกฺกเมยฺย, ตสฺส ภิกฺขุโน ปฐเม ปาเท ทุกฺกฎํ สิยา, ทุติเย ปาเท ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนาฯ
1777-8.Yo pana bhikkhu deviyā vāpi rañño vāpi aviditāgamano appaṭisaṃviditāgamano sayanīyagharā rājasmiṃ anikkhante, deviyā anikkhantāya tassa sayanīyagharassa ummāraṃ indakhīlaṃ sace atikkameyya, tassa bhikkhuno paṭhame pāde dukkaṭaṃ siyā, dutiye pāde pācittiyaṃ siyāti yojanā.
๑๗๗๙. ปฎิสํวิทิเตติ อตฺตโน อาคมเน นิเวทิเตฯ เนวปฎิสํวิทิตสญฺญิโนติ อนิเวทิตสญฺญิโนฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ปฎิสํวิทิตาคมเนฯ เวมติกสฺสาติ ‘‘ปฎิสํวิทิตํ นุ โข, น ปฎิสํวิทิตํ นุ โข’’ติ สํสยมาปนฺนสฺสฯ
1779.Paṭisaṃviditeti attano āgamane nivedite. Nevapaṭisaṃviditasaññinoti aniveditasaññino. Tatthāti tasmiṃ paṭisaṃviditāgamane. Vematikassāti ‘‘paṭisaṃviditaṃ nu kho, na paṭisaṃviditaṃ nu kho’’ti saṃsayamāpannassa.
๑๗๘๐-๑. เนว ขตฺติยสฺส อปฺปฎิสํวิทิเตปิ วา น ขตฺติยาภิเสเกน อภิสิตฺตสฺส อปฺปฎิสํวิทิเตปิ วา ปวิสโต น โทโสติ โยชนา, เอวรูปานํ อนิเวทิเตปิ ปวิสนฺตสฺส อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ
1780-1. Neva khattiyassa appaṭisaṃviditepi vā na khattiyābhisekena abhisittassa appaṭisaṃviditepi vā pavisato na dosoti yojanā, evarūpānaṃ aniveditepi pavisantassa anāpattīti attho.
อุโภสุ ราชินิ จ เทวิยา จ สยนิฆรโต พหิ นิกฺขเนฺตสุ ปวิสโตปิ วา อุภินฺนํ อญฺญตรสฺมิํ นิกฺขเนฺต ปวิสโตปิ วา น โทโสติ โยชนาฯ กถิเนนาติ เอตฺถ ‘‘สมุฎฺฐานาทินา สม’’นฺติ เสโส, อิทํ สิกฺขาปทํ สมุฎฺฐานาทิวเสน กถินสิกฺขาปเทน สมานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สยนียฆรปฺปเวโส กฺริยํฯ อปฺปฎิสํเวทนํ อกฺริยํฯ
Ubhosu rājini ca deviyā ca sayanigharato bahi nikkhantesu pavisatopi vā ubhinnaṃ aññatarasmiṃ nikkhante pavisatopi vā na dosoti yojanā. Kathinenāti ettha ‘‘samuṭṭhānādinā sama’’nti seso, idaṃ sikkhāpadaṃ samuṭṭhānādivasena kathinasikkhāpadena samānanti vuttaṃ hoti. Sayanīyagharappaveso kriyaṃ. Appaṭisaṃvedanaṃ akriyaṃ.
อเนฺตปุรกถาวณฺณนาฯ
Antepurakathāvaṇṇanā.
๑๗๘๒. รชตํ , ชาตรูปํ วา อตฺตโน อตฺถาย อุคฺคณฺหนฺตสฺส, อุคฺคณฺหาปยโตปิ วา ตสฺส นิสฺสคฺคิยาปตฺตีติ โยชนาฯ
1782. Rajataṃ , jātarūpaṃ vā attano atthāya uggaṇhantassa, uggaṇhāpayatopi vā tassa nissaggiyāpattīti yojanā.
๑๗๘๓. คณปุคฺคลสงฺฆานํ อตฺถาย เจติเย นวกมฺมสฺส อตฺถาย อุคฺคณฺหาปยโต, อุคฺคณฺหโตปิ วา ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ ชาตรูปรชตานํ สรูปํ นิสฺสคฺคิเย วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
1783. Gaṇapuggalasaṅghānaṃ atthāya cetiye navakammassa atthāya uggaṇhāpayato, uggaṇhatopi vā dukkaṭaṃ hotīti yojanā. Jātarūparajatānaṃ sarūpaṃ nissaggiye vuttanayeneva veditabbaṃ.
๑๗๘๔. มุตฺตาทิรตนมฺปิ วุตฺตสรูปเมวฯ สงฺฆาทีนมฺปีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน คณปุคฺคลเจติยานํ สงฺคโหฯ
1784. Muttādiratanampi vuttasarūpameva. Saṅghādīnampīti ettha ādi-saddena gaṇapuggalacetiyānaṃ saṅgaho.
๑๗๘๕-๖. ยํ กิญฺจิ คิหิสนฺตกํ สเจ กปฺปิยวตฺถุ วา โหตุ, อกปฺปิยวตฺถุ วาปิ โหตุ, มาตุกณฺณปิฬนฺธนํ ตาลปณฺณมฺปิ วา โหตุ, ภณฺฑาคาริกสีเสน ปฎิสามยโต ตสฺส ปาจิตฺติยาปตฺติ โหตีติ โยชนาฯ
1785-6. Yaṃ kiñci gihisantakaṃ sace kappiyavatthu vā hotu, akappiyavatthu vāpi hotu, mātukaṇṇapiḷandhanaṃ tālapaṇṇampi vā hotu, bhaṇḍāgārikasīsena paṭisāmayato tassa pācittiyāpatti hotīti yojanā.
๑๗๘๗. น นิเธตพฺพเมวาติ น ปฎิสาเมตพฺพเมวฯ
1787.Na nidhetabbamevāti na paṭisāmetabbameva.
๑๗๘๘. เอโส หิ ยสฺมา ปลิโพโธ นาม, ตสฺมา ฐเปตุํ ปน วฎฺฎตีติ โยชนาฯ
1788. Eso hi yasmā palibodho nāma, tasmā ṭhapetuṃ pana vaṭṭatīti yojanā.
๑๗๘๙. อนุญฺญาเต ฐาเนติ เอตฺถ ‘‘ปติต’’นฺติ เสโสฯ เอตฺถ อนุญฺญาตฎฺฐานํ นาม อชฺฌาราโม วา อชฺฌาวสโถ วาฯ ยถาห ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว รตนํ วา รตนสมฺมตํ วา อชฺฌาราเม วา อชฺฌาวสเถ วา อุคฺคเหตฺวา วา อุคฺคหาเปตฺวา วา นิกฺขิปิตุํ ‘ยสฺส ภวิสฺสติ, โส หริสฺสตี’’ติ (ปาจิ. ๕๐๔)ฯ เอตฺถ จ อชฺฌาราโม นาม ปริกฺขิตฺตสฺส อโนฺตปริเกฺขโป, อปริกฺขิตฺตสฺส ทฺวินฺนํ เลฑฺฑุปาตานํ อโนฺตฯ อชฺฌาวสโถ นาม ปริกฺขิตฺตสฺส อโนฺตปริเกฺขโป, อปริกฺขิตฺตสฺส มุสลปาตพฺภนฺตรํฯ ‘‘อุคฺคเหตฺวา’’ติ อิทํ อุปลกฺขณํ, อุคฺคหาเปตฺวาติปิ วุตฺตํ โหติฯ
1789.Anuññāte ṭhāneti ettha ‘‘patita’’nti seso. Ettha anuññātaṭṭhānaṃ nāma ajjhārāmo vā ajjhāvasatho vā. Yathāha ‘‘anujānāmi bhikkhave ratanaṃ vā ratanasammataṃ vā ajjhārāme vā ajjhāvasathe vā uggahetvā vā uggahāpetvā vā nikkhipituṃ ‘yassa bhavissati, so harissatī’’ti (pāci. 504). Ettha ca ajjhārāmo nāma parikkhittassa antoparikkhepo, aparikkhittassa dvinnaṃ leḍḍupātānaṃ anto. Ajjhāvasatho nāma parikkhittassa antoparikkhepo, aparikkhittassa musalapātabbhantaraṃ. ‘‘Uggahetvā’’ti idaṃ upalakkhaṇaṃ, uggahāpetvātipi vuttaṃ hoti.
๑๗๙๐-๑. อนุญฺญาเต ปน ฐาเน ยถาวุตฺตอชฺฌารามาทิเก ฐาเน รตนํ วา รตนสมฺมตํ วา มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภคํ วา สยนภณฺฑํ วา คเหตฺวา นิกฺขิปนฺตสฺส, รตนสมฺมตํ วิสฺสาสํ คณฺหนฺตสฺส จ ตาวกาลิกเมว วา คณฺหนฺตสฺส อุภยตฺถ อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ น โทโสติ โยชนาฯ
1790-1.Anuññāte pana ṭhāne yathāvuttaajjhārāmādike ṭhāne ratanaṃ vā ratanasammataṃ vā manussānaṃ upabhogaparibhogaṃ vā sayanabhaṇḍaṃ vā gahetvā nikkhipantassa, ratanasammataṃ vissāsaṃ gaṇhantassa ca tāvakālikameva vā gaṇhantassa ubhayattha ummattakādīnañca na dosoti yojanā.
สญฺจริตฺตสโมทยนฺติ เอตฺถ ‘‘สมุฎฺฐานาทินา อิทํ สิกฺขาปท’’นฺติ วตฺตพฺพํ, อิทํ สิกฺขาปทํ สมุฎฺฐานาทินา สญฺจริตฺตสมชาติกนฺติ อโตฺถฯ
Sañcarittasamodayanti ettha ‘‘samuṭṭhānādinā idaṃ sikkhāpada’’nti vattabbaṃ, idaṃ sikkhāpadaṃ samuṭṭhānādinā sañcarittasamajātikanti attho.
รตนกถาวณฺณนาฯ
Ratanakathāvaṇṇanā.
๑๗๙๒. ปุเรติ ปุพฺพภาเคฯ
1792.Pureti pubbabhāge.
๑๗๙๓-๔. สนฺตนฺติ จาริตฺตสิกฺขาปเท วุตฺตสรูปํฯ อนาปุจฺฉาติ ‘‘วิกาเล คามปฺปเวสนํ อาปุจฺฉามี’’ติ อนาปุจฺฉิตฺวาฯ ปจฺจยํ วินาติ ตาทิสํ อจฺจายิกํ กรณียํ วินาฯ ปริเกฺขโปกฺกเมติ ปริเกฺขปสฺส อโนฺตปเวเสฯ อุปจาโรกฺกเมติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ
1793-4.Santanti cārittasikkhāpade vuttasarūpaṃ. Anāpucchāti ‘‘vikāle gāmappavesanaṃ āpucchāmī’’ti anāpucchitvā. Paccayaṃ vināti tādisaṃ accāyikaṃ karaṇīyaṃ vinā. Parikkhepokkameti parikkhepassa antopavese. Upacārokkameti etthāpi eseva nayo.
๑๗๙๕. อถาติ วากฺยนฺตรารเมฺภฯ
1795.Athāti vākyantarārambhe.
๑๗๙๖. ตโต อญฺญนฺติ ปฐมํ วิกาเล คามปฺปเวสนํ อาปุจฺฉิตฺวา ตโต ปวิฎฺฐคามโต อญฺญํ คามํฯ ปุน ตโตติ ทุติยคามมาหฯ กตฺถจิ โปตฺถเก ‘‘อาปุจฺฉเน กิจฺจ’’นฺติ ปาโฐ ทิสฺสติ, ‘‘อาปุจฺฉนกิจฺจ’’นฺติ ปาโฐเยว ปน ยุตฺตตโรฯ ยถาอากงฺขิตปมาณํ ทเสฺสตุมาห ‘‘คามสเตปิ วา’’ติฯ
1796.Tato aññanti paṭhamaṃ vikāle gāmappavesanaṃ āpucchitvā tato paviṭṭhagāmato aññaṃ gāmaṃ. Puna tatoti dutiyagāmamāha. Katthaci potthake ‘‘āpucchane kicca’’nti pāṭho dissati, ‘‘āpucchanakicca’’nti pāṭhoyeva pana yuttataro. Yathāākaṅkhitapamāṇaṃ dassetumāha ‘‘gāmasatepi vā’’ti.
๑๗๙๗. ปสฺสเมฺภตฺวานาติ ปฎิวิโนเทตฺวาฯ อนฺตรา อญฺญํ คามํ ปวิสนฺติ เจติ โยชนาฯ
1797.Passambhetvānāti paṭivinodetvā. Antarā aññaṃ gāmaṃ pavisanti ceti yojanā.
๑๗๙๘-๙. กุลฆเร วา อญฺญตฺถ อาสนสาลาย วา ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา โย ภิกฺขุ สปฺปิภิกฺขาย วา เตลภิกฺขาย วา สเจ จริตุกาโม สิยาติ โยชนาฯ
1798-9. Kulaghare vā aññattha āsanasālāya vā bhattakiccaṃ katvā yo bhikkhu sappibhikkhāya vā telabhikkhāya vā sace caritukāmo siyāti yojanā.
ปเสฺสติ ปกติวจนสวนารเห อตฺตโน สมีเป, เอเตเนว เอตฺตกา ฐานา ทูรีภูโต อสโนฺต นาม โหตีติ พฺยติเรกโต ลพฺภตีติ ทเสฺสติฯ อสเนฺตติ อวิชฺชมาเน วา วุตฺตปฺปมาณโต ทูรีภูเต วาฯ นตฺถีติ เอตฺถ ‘‘จิเนฺตตฺวา’’ติ เสโสฯ
Passeti pakativacanasavanārahe attano samīpe, eteneva ettakā ṭhānā dūrībhūto asanto nāma hotīti byatirekato labbhatīti dasseti. Asanteti avijjamāne vā vuttappamāṇato dūrībhūte vā. Natthīti ettha ‘‘cintetvā’’ti seso.
๑๘๐๒. อโนกฺกมฺมาติ อนุปสกฺกิตฺวาฯ มคฺคาติ คนฺตพฺพมคฺคาฯ
1802.Anokkammāti anupasakkitvā. Maggāti gantabbamaggā.
๑๘๐๓. ติกปาจิตฺติยนฺติ วิกาเล วิกาลสญฺญิเวมติกกาลสญฺญีนํ วเสน ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ
1803.Tikapācittiyanti vikāle vikālasaññivematikakālasaññīnaṃ vasena tikapācittiyaṃ vuttaṃ.
๑๘๐๔. อจฺจายิเก กิเจฺจ วาปีติ สปฺปทฎฺฐาทีนํ เภสชฺชปริเยสนาทิเก อจิรายิตพฺพกิเจฺจ สติ คจฺฉโตฯ
1804.Accāyike kicce vāpīti sappadaṭṭhādīnaṃ bhesajjapariyesanādike acirāyitabbakicce sati gacchato.
๑๘๐๕. อนฺตรารามนฺติ คามพฺภนฺตเร สงฺฆารามํฯ ภิกฺขุนีนํ อุปสฺสยนฺติ ภิกฺขุนิวิหารํฯ ติตฺถิยานํ อุปสฺสยนฺติ ติตฺถิยารามํฯ
1805.Antarārāmanti gāmabbhantare saṅghārāmaṃ. Bhikkhunīnaṃ upassayanti bhikkhunivihāraṃ. Titthiyānaṃ upassayanti titthiyārāmaṃ.
๑๘๐๖-๗. อนฺตรารามาทิคมเน น เกวลํ อนาปุจฺฉา คจฺฉโตเยว, กายพนฺธนํ อพนฺธิตฺวา, สงฺฆาฎิํ อปารุปิตฺวา คจฺฉนฺตสฺสาปิ อนาปตฺติฯ
1806-7. Antarārāmādigamane na kevalaṃ anāpucchā gacchatoyeva, kāyabandhanaṃ abandhitvā, saṅghāṭiṃ apārupitvā gacchantassāpi anāpatti.
อาปทาสุปีติ สีโห วา พฺยโคฺฆ วา อาคจฺฉติ, เมโฆ วา อุเฎฺฐติ, อโญฺญ วา โกจิ อุปทฺทโว อุปฺปชฺชติ, เอวรูปาสุ อาปทาสุปิ พหิคามโต อโนฺตคามํ คจฺฉโต อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ
Āpadāsupīti sīho vā byaggho vā āgacchati, megho vā uṭṭheti, añño vā koci upaddavo uppajjati, evarūpāsu āpadāsupi bahigāmato antogāmaṃ gacchato anāpattīti attho.
วิกาลคามปฺปเวสนกถาวณฺณนาฯ
Vikālagāmappavesanakathāvaṇṇanā.
๑๘๐๘. อฎฺฐิทนฺตมยํ วาปิ วิสาณชํ วาปิ สูจิฆรนฺติ โยชนาฯ อฎฺฐิ นาม ยํ กิญฺจิ อฎฺฐิฯ ทโนฺตติ หตฺถิทโนฺตฯ วิสาณํ นาม ยํ กิญฺจิ วิสาณํฯ
1808. Aṭṭhidantamayaṃ vāpi visāṇajaṃ vāpi sūcigharanti yojanā. Aṭṭhi nāma yaṃ kiñci aṭṭhi. Dantoti hatthidanto. Visāṇaṃ nāma yaṃ kiñci visāṇaṃ.
๑๘๐๙. ลาเภติ ปฎิลาเภฯ เภทนกนฺติ เภทนเมว เภทนกํ, ตํ อสฺส อตฺถีติ เภทนกํ, ปฐมํ ภินฺทิตฺวา ปจฺฉา เทเสตพฺพตฺตา ตํ เภทนกํ อสฺส ปาจิตฺติยสฺส อตฺถีติ เภทนกํ, ปาจิตฺติยํ, อสฺสตฺถิอเตฺถ อ-การปจฺจโยฯ
1809.Lābheti paṭilābhe. Bhedanakanti bhedanameva bhedanakaṃ, taṃ assa atthīti bhedanakaṃ, paṭhamaṃ bhinditvā pacchā desetabbattā taṃ bhedanakaṃ assa pācittiyassa atthīti bhedanakaṃ, pācittiyaṃ, assatthiatthe a-kārapaccayo.
๑๘๑๐-๑. ‘‘อนาปตฺติ อรณิเก’’ติ ปทเจฺฉโทฯ อรณิเกติ อรณิธนุเกฯ วิเธติ กายพนฺธนสฺส วิธเกฯ อญฺชนิกาติ อญฺชนินาฬิกาฯ ทกปุญฺฉนิยาติ นหาตสฺส คเตฺต อุทกปุญฺฉนเปสิกายฯ วาสิชเฎติ วาสิทณฺฑเกฯ
1810-1. ‘‘Anāpatti araṇike’’ti padacchedo. Araṇiketi araṇidhanuke. Vidheti kāyabandhanassa vidhake. Añjanikāti añjanināḷikā. Dakapuñchaniyāti nahātassa gatte udakapuñchanapesikāya. Vāsijaṭeti vāsidaṇḍake.
สูจิฆรกถาวณฺณนาฯ
Sūcigharakathāvaṇṇanā.
๑๘๑๒-๓. มญฺจปีฐสรูปํ ทุติเย ภูตคามวเคฺค จตุตฺถสิกฺขาปเท วุตฺตเมวฯ ‘‘สุคตงฺคุเลน อฎฺฐงฺคุลปาทก’’นฺติ อฎฺฐงฺคุลปาทกสฺส อาคตตฺตา ‘‘อฎฺฐงฺคุลปฺปมาเณนา’’ติ เอตฺถ ‘‘ปาเทนา’’ติ เสโสฯ
1812-3. Mañcapīṭhasarūpaṃ dutiye bhūtagāmavagge catutthasikkhāpade vuttameva. ‘‘Sugataṅgulena aṭṭhaṅgulapādaka’’nti aṭṭhaṅgulapādakassa āgatattā ‘‘aṭṭhaṅgulappamāṇenā’’ti ettha ‘‘pādenā’’ti seso.
เหฎฺฐิมาฎนินฺติ อฎนิยา เหฎฺฐิมตลํฯ อฎนิยา เหฎฺฐิมํ เหฎฺฐิมาฎนี, ตํ ฐเปตฺวา, อญฺญตฺร เหฎฺฐิมาย อฎนิยาติ วุตฺตํ โหติฯ เทสนาปุพฺพภาคิเยน มญฺจปาทเจฺฉเทน สห วตฺตตีติ สเจฺฉทาฯ ตํ ปมาณํฯ อติกฺกมโตติ อติกฺกามยโต, คาถาพนฺธวเสน ย-การโลโปฯ
Heṭṭhimāṭaninti aṭaniyā heṭṭhimatalaṃ. Aṭaniyā heṭṭhimaṃ heṭṭhimāṭanī, taṃ ṭhapetvā, aññatra heṭṭhimāya aṭaniyāti vuttaṃ hoti. Desanāpubbabhāgiyena mañcapādacchedena saha vattatīti sacchedā. Taṃ pamāṇaṃ. Atikkamatoti atikkāmayato, gāthābandhavasena ya-kāralopo.
๑๘๑๕. ปมาเณน กโรนฺตสฺสาติ อฎนิยา เหฎฺฐา วฑฺฒกิรตนปฺปมาเณน ปาเทน โยเชตฺวา กโรนฺตสฺส, เอเตเนว ‘‘อูนกํ กโรนฺตสฺสา’’ติ อิทํ อุปลกฺขิตํฯ ตสฺสาติ ตสฺส อปฺปมาณิกสฺสฯ ฉินฺทิตฺวาติ อฎนิโต เหฎฺฐา วฑฺฒกิรตนาติริตฺตํ ฐานํ ฉินฺทิตฺวาฯ
1815.Pamāṇena karontassāti aṭaniyā heṭṭhā vaḍḍhakiratanappamāṇena pādena yojetvā karontassa, eteneva ‘‘ūnakaṃ karontassā’’ti idaṃ upalakkhitaṃ. Tassāti tassa appamāṇikassa. Chinditvāti aṭanito heṭṭhā vaḍḍhakiratanātirittaṃ ṭhānaṃ chinditvā.
๑๘๑๖. ปมาณโต นิขณิตฺวาติ เอตฺถ ‘‘อธิก’’นฺติ สามตฺถิยา ลพฺภติ, ปมาณโต อธิกํ ฐานํ นิขณิตฺวา, อโนฺตภูมิํ ปเวเสตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ อุตฺตานํ วาปีติ อุทฺธํ ปาทํ กตฺวา ภูมิยํ วา ทารุฆฎิกาสุ วา ฐเปตฺวาฯ อฎฺฎํ วา พนฺธิตฺวา ปริภุญฺชโตติ อุกฺขิปิตฺวา ตุลาสงฺฆาเฎ ฐเปตฺวา อฎฺฎํ พนฺธิตฺวา ปริภุญฺชนฺตสฺส อนาปตฺติฯ
1816.Pamāṇato nikhaṇitvāti ettha ‘‘adhika’’nti sāmatthiyā labbhati, pamāṇato adhikaṃ ṭhānaṃ nikhaṇitvā, antobhūmiṃ pavesetvāti vuttaṃ hoti. Uttānaṃ vāpīti uddhaṃ pādaṃ katvā bhūmiyaṃ vā dārughaṭikāsu vā ṭhapetvā. Aṭṭaṃ vā bandhitvā paribhuñjatoti ukkhipitvā tulāsaṅghāṭe ṭhapetvā aṭṭaṃ bandhitvā paribhuñjantassa anāpatti.
มญฺจกถาวณฺณนาฯ
Mañcakathāvaṇṇanā.
๑๘๑๗. ตูลํ โอนทฺธเมตฺถาติ ตูโลนทฺธํ, ตูลํ ปกฺขิปิตฺวา อุปริ จิมิลิกาย โอนทฺธํ, ‘‘ตูลํ นาม ตีณิ ตูลานิ รุกฺขตูลํ ลตาตูลํ โปฎกิตูล’’นฺติ (ปาจิ. ๕๒๘) วุตฺตตูลานํ อญฺญตรํ ปกฺขิปิตฺวา อุปริ ปิโลติกาย สิพฺพิตฺวา กตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โปฎกิตูลนฺติ เอรกตูลาทิ ยํ กิญฺจิ ติณชาตีนํ ตูลํฯ อุทฺทาลนเมว อุทฺทาลนกํ, ตํ อสฺส อตฺถีติ อุทฺทาลนกนฺติ วุตฺตนยเมวฯ อติกฺกนฺตา อีติ อุปทฺทโว เยน โส อนีติ, ภควา, เตน อนีตินาฯ
1817. Tūlaṃ onaddhametthāti tūlonaddhaṃ, tūlaṃ pakkhipitvā upari cimilikāya onaddhaṃ, ‘‘tūlaṃ nāma tīṇi tūlāni rukkhatūlaṃ latātūlaṃ poṭakitūla’’nti (pāci. 528) vuttatūlānaṃ aññataraṃ pakkhipitvā upari pilotikāya sibbitvā katanti vuttaṃ hoti. Poṭakitūlanti erakatūlādi yaṃ kiñci tiṇajātīnaṃ tūlaṃ. Uddālanameva uddālanakaṃ, taṃ assa atthīti uddālanakanti vuttanayameva. Atikkantā īti upaddavo yena so anīti, bhagavā, tena anītinā.
๑๘๑๘. อาโยเคติ อาโยคปเตฺตฯ พนฺธเนติ กายพนฺธเนฯ อํสพทฺธเกติ อํสพนฺธนเกฯ พิโพฺพหเนติ อุปธาเนฯ ถวิกาติ ปตฺตถวิกาฯ ถวิกาทีสูติ อาทิ-สเทฺทน สิปาฎิกาทีนํ สงฺคโหฯ ถวิกาทีสุ ตูโลนเทฺธสุ ปริภุเตฺตสุ ภิกฺขุโน อนาปตฺตีติ โยชนาฯ
1818.Āyogeti āyogapatte. Bandhaneti kāyabandhane. Aṃsabaddhaketi aṃsabandhanake. Bibbohaneti upadhāne. Thavikāti pattathavikā. Thavikādīsūti ādi-saddena sipāṭikādīnaṃ saṅgaho. Thavikādīsu tūlonaddhesu paribhuttesu bhikkhuno anāpattīti yojanā.
๑๘๑๙. อเญฺญน จ กตนฺติ เอตฺถ ‘‘มญฺจํ วา ปีฐํ วา’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ อุทฺทาเลตฺวาติ ปิโลติกํ อุปฺปาเฎตฺวา ตูลํ อปเนตฺวาฯ นยาติ สมุฎฺฐานาทโยฯ
1819.Aññena ca katanti ettha ‘‘mañcaṃ vā pīṭhaṃ vā’’ti pakaraṇato labbhati. Uddāletvāti pilotikaṃ uppāṭetvā tūlaṃ apanetvā. Nayāti samuṭṭhānādayo.
ตูโลนทฺธกถาวณฺณนาฯ
Tūlonaddhakathāvaṇṇanā.
๑๘๒๐. นิสีทนนฺติ นิสีทนจีวรํฯ ปมาณโตติ ‘‘ตตฺริทํ ปมาณํ, ทีฆโส เทฺว วิทตฺถิโย สุคตวิทตฺถิยา, ติริยํ ทิยฑฺฒํ , ทสา วิทตฺถี’’ติ (ปาจิ. ๕๓๑) วุตฺตปมาณโตฯ ปมาณาติกฺกเม ปโยเค ตสฺส ทุกฺกฎํ สิยาติ โยชนาฯ
1820.Nisīdananti nisīdanacīvaraṃ. Pamāṇatoti ‘‘tatridaṃ pamāṇaṃ, dīghaso dve vidatthiyo sugatavidatthiyā, tiriyaṃ diyaḍḍhaṃ , dasā vidatthī’’ti (pāci. 531) vuttapamāṇato. Pamāṇātikkame payoge tassa dukkaṭaṃ siyāti yojanā.
๑๘๒๑. สเจฺฉทนฺติ ปมาณโต อติริตฺตปเทสสฺส เฉทนกิริยาสหิตปฎิกมฺมํ ปาจิตฺติยมุทีริตนฺติ อโตฺถฯ ตสฺสาติ นิสีทนสฺสฯ ทฺวีสุ ฐาเนสุ ผาเลตฺวา ติโสฺส ทสา กาตพฺพา สิยุนฺติ โยชนาฯ
1821.Sacchedanti pamāṇato atirittapadesassa chedanakiriyāsahitapaṭikammaṃ pācittiyamudīritanti attho. Tassāti nisīdanassa. Dvīsu ṭhānesu phāletvā tisso dasā kātabbā siyunti yojanā.
๑๘๒๒. ตทูนกนฺติ ตโต ปมาณโต อูนกํฯ วิตานาทิํ กโรนฺตสฺสาติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อตฺถรณสาณิปาการภิสิพิโพฺพหนานํ สงฺคโหฯ ‘‘สญฺจริตฺตสมา นยา’’ติ อิทํ วุตฺตตฺถเมวฯ
1822.Tadūnakanti tato pamāṇato ūnakaṃ. Vitānādiṃ karontassāti ettha ādi-saddena attharaṇasāṇipākārabhisibibbohanānaṃ saṅgaho. ‘‘Sañcarittasamā nayā’’ti idaṃ vuttatthameva.
นิสีทนกถาวณฺณนาฯ
Nisīdanakathāvaṇṇanā.
๑๘๒๓. โรเคติ กณฺฑุปิฬกาทิโรเค สติฯ ยถาห ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว ยสฺส กณฺฑุ วา ปิฬกาวา อสฺสาโว วา ถุลฺลกจฺฉุ วา อาพาโธ, ตสฺส กณฺฑุปฎิจฺฉาทิ’’นฺติ (มหาว. ๓๕๔)ฯ เอตฺถ กณฺฑูติ กจฺฉุฯ ปิฬกาติ โลหิตตุณฺฑิกา สุขุมปิฬกาฯ อสฺสาโวติ อริสภคนฺทลมธุเมหาทิวเสน อสุจิปคฺฆรณํฯ ถุลฺลกจฺฉุ วา อาพาโธติ มหาปิฬกาพาโธ วุจฺจติฯ ปมาณโตติ ‘‘ตตฺริทํ ปมาณํ, ทีฆโส จตโสฺส วิทตฺถิโย สุคตวิทตฺถิยา, ติริยํ เทฺว วิทตฺถิโย’’ติ (ปาจิ. ๕๓๘) วุตฺตปฺปมาณโตฯ
1823.Rogeti kaṇḍupiḷakādiroge sati. Yathāha ‘‘anujānāmi bhikkhave yassa kaṇḍu vā piḷakāvā assāvo vā thullakacchu vā ābādho, tassa kaṇḍupaṭicchādi’’nti (mahāva. 354). Ettha kaṇḍūti kacchu. Piḷakāti lohitatuṇḍikā sukhumapiḷakā. Assāvoti arisabhagandalamadhumehādivasena asucipaggharaṇaṃ. Thullakacchu vā ābādhoti mahāpiḷakābādho vuccati. Pamāṇatoti ‘‘tatridaṃ pamāṇaṃ, dīghaso catasso vidatthiyo sugatavidatthiyā, tiriyaṃ dve vidatthiyo’’ti (pāci. 538) vuttappamāṇato.
กณฺฑุปฎิจฺฉาทิกถาวณฺณนาฯ
Kaṇḍupaṭicchādikathāvaṇṇanā.
๑๘๒๕. ปมาเณเนวาติ ‘‘ตตฺริทํ ปมาณํ, ทีฆโส ฉ วิทตฺถิโย สุคตวิทตฺถิยา, ติริยํ อฑฺฒเตยฺยา’’ติ (ปาจิ. ๕๔๓) วุตฺตปฺปมาเณเนวฯ ปมาณาติกฺกเมติ วสฺสิกสาฎิกาย ยถาวุตฺตปมาณโต อติกฺกมเน, นิมิตฺตเตฺถ เจตํ ภุมฺมํฯ ตสฺส ภิกฺขุสฺสฯ นโยติ เฉทนปาจิตฺติยาทิโก วินิจฺฉยนโยฯ
1825.Pamāṇenevāti ‘‘tatridaṃ pamāṇaṃ, dīghaso cha vidatthiyo sugatavidatthiyā, tiriyaṃ aḍḍhateyyā’’ti (pāci. 543) vuttappamāṇeneva. Pamāṇātikkameti vassikasāṭikāya yathāvuttapamāṇato atikkamane, nimittatthe cetaṃ bhummaṃ. Tassa bhikkhussa. Nayoti chedanapācittiyādiko vinicchayanayo.
วสฺสิกสาฎิกกถาวณฺณนาฯ
Vassikasāṭikakathāvaṇṇanā.
๑๘๒๖. สุคตสฺส จีวเรน ตุลฺยปฺปมาณํ จีวรํ โย ภิกฺขุ สเจ กาเรยฺย, ตสฺส จีวรสฺส กรเณ ตสฺส ภิกฺขุสฺส ทุกฺกฎํ สิยาติ โยชนาฯ ตุลฺยํ ปมาณํ ยสฺสาติ วิคฺคโหฯ
1826. Sugatassa cīvarena tulyappamāṇaṃ cīvaraṃ yo bhikkhu sace kāreyya, tassa cīvarassa karaṇe tassa bhikkhussa dukkaṭaṃ siyāti yojanā. Tulyaṃ pamāṇaṃ yassāti viggaho.
๑๘๒๗. อตฺตโน วตฺถานํ กรณการาปนํ วินา อญฺญโต ปฎิลาโภ นาม นตฺถิ, สูจิกมฺมปริโยสาเน จีวรสรูปสฺส ปฎิลาโภเยเวตฺถ ปฎิลาโภติ วิญฺญายติฯ
1827. Attano vatthānaṃ karaṇakārāpanaṃ vinā aññato paṭilābho nāma natthi, sūcikammapariyosāne cīvarasarūpassa paṭilābhoyevettha paṭilābhoti viññāyati.
๑๘๒๘. ตสฺสาติ ยํ ‘‘สุคตสฺส จีวเรนา’’ติ วุตฺตํ, ตสฺส สุคตจีวรสฺสฯ ทีฆโส ปมาเณน สุคตสฺส วิทตฺถิยา นว วิทตฺถิโย, ติริยํ ปมาเณน ฉ วิทตฺถิโย วินิทฺทิฎฺฐา สิกฺขาปเทเยว กถิตาติ โยชนาฯ
1828.Tassāti yaṃ ‘‘sugatassa cīvarenā’’ti vuttaṃ, tassa sugatacīvarassa. Dīghaso pamāṇena sugatassa vidatthiyā nava vidatthiyo, tiriyaṃ pamāṇena cha vidatthiyo viniddiṭṭhā sikkhāpadeyeva kathitāti yojanā.
นนฺทกถาวณฺณนาฯ
Nandakathāvaṇṇanā.
ราชวโคฺค นวโมฯ
Rājavaggo navamo.
อิติ วินยตฺถสารสนฺทีปนิยา วินยวินิจฺฉยวณฺณนาย
Iti vinayatthasārasandīpaniyā vinayavinicchayavaṇṇanāya
ปาจิตฺติยกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pācittiyakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
ปฐโม ภาโค นิฎฺฐิโตฯ
Paṭhamo bhāgo niṭṭhito.