Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā |
ปาจิตฺติยกถาวณฺณนา
Pācittiyakathāvaṇṇanā
๒๑๒๙-๓๐. เอวํ ติํส นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยานิ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สุทฺธปาจิตฺติยานิ ทเสฺสตุมาห ‘‘ลสุณ’’นฺติอาทิฯ ลสุณนฺติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐฯ ‘‘ลสุณํ’’อิติ ภณฺฑิกํ วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๗๙๓-๗๙๕)ฯ จตุปญฺจมิญฺชาทิปฺปเภทํ ภณฺฑิกํ ลสุณํ นาม, น ตโต อูนํฯ เตนาห ‘‘น เอกทฺวิติมิญฺชก’’นฺติฯ ปกฺกลสุณโต, สีหฬทีปสมฺภวโต จ วิเสสมาห ‘‘อามกํ มาคธํเยวา’’ติฯ มคเธสุ ชาตํ มาคธํ, ‘‘วุตฺต’’นฺติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ยถาห ‘‘มคธรเฎฺฐ ชาตลสุณเมว หิ อิธ ลสุณนฺติ อธิเปฺปต’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๗๙๕)ฯ ตํ ‘‘ขาทิสฺสามี’’ติ คณฺหตีติ สมฺพโนฺธฯ วุตฺตปฺปการํ ปาจิตฺติยญฺจ อโชฺฌหารวเสนาติ ทเสฺสตุมาห ‘‘อโชฺฌหารวเสเนว, ปาจิตฺติํ ปริทีปเย’’ติฯ
2129-30. Evaṃ tiṃsa nissaggiyapācittiyāni dassetvā idāni suddhapācittiyāni dassetumāha ‘‘lasuṇa’’ntiādi. Lasuṇanti ettha iti-saddo luttaniddiṭṭho. ‘‘Lasuṇaṃ’’iti bhaṇḍikaṃ vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 793-795). Catupañcamiñjādippabhedaṃ bhaṇḍikaṃ lasuṇaṃ nāma, na tato ūnaṃ. Tenāha ‘‘na ekadvitimiñjaka’’nti. Pakkalasuṇato, sīhaḷadīpasambhavato ca visesamāha ‘‘āmakaṃ māgadhaṃyevā’’ti. Magadhesu jātaṃ māgadhaṃ, ‘‘vutta’’nti iminā sambandho. Yathāha ‘‘magadharaṭṭhe jātalasuṇameva hi idha lasuṇanti adhippeta’’nti (pāci. aṭṭha. 795). Taṃ ‘‘khādissāmī’’ti gaṇhatīti sambandho. Vuttappakāraṃ pācittiyañca ajjhohāravasenāti dassetumāha ‘‘ajjhohāravaseneva, pācittiṃ paridīpaye’’ti.
๒๑๓๑. ตเทว วกฺขติ ‘‘เทฺว ตโย’’ติอาทินาฯ สทฺธินฺติ เอกโตฯ สงฺขาทิตฺวาติ คลพิลํ อปฺปเวเสตฺวา ทเนฺตหิ สํจุณฺณิยนฺตี ขาทิตฺวาฯ อโชฺฌหรติ ปรคลํ กโรติฯ
2131. Tadeva vakkhati ‘‘dve tayo’’tiādinā. Saddhinti ekato. Saṅkhāditvāti galabilaṃ appavesetvā dantehi saṃcuṇṇiyantī khāditvā. Ajjhoharati paragalaṃ karoti.
๒๑๓๒. ตตฺถาติ ตสฺมิํ ภณฺฑิกลสุเณฯ ‘‘มิญฺชานํ คณนายา’’ติ อิมินา อโชฺฌหารปโยคคณนาเยว ทีปิตาฯ ยถาห ‘‘ภินฺทิตฺวา เอเกกํ มิญฺชํ ขาทนฺติยา ปน ปโยคคณนาย ปาจิตฺติยานี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๗๙๕)ฯ
2132.Tatthāti tasmiṃ bhaṇḍikalasuṇe. ‘‘Miñjānaṃ gaṇanāyā’’ti iminā ajjhohārapayogagaṇanāyeva dīpitā. Yathāha ‘‘bhinditvā ekekaṃ miñjaṃ khādantiyā pana payogagaṇanāya pācittiyānī’’ti (pāci. aṭṭha. 795).
๒๑๓๓. สภาวโต วฎฺฎเนฺตวาติ โยชนาฯ
2133. Sabhāvato vaṭṭantevāti yojanā.
๒๑๓๕. ยถาวุตฺตปลณฺฑุกาทีนํ นานตฺตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอกา มิญฺชา’’ติอาทิฯ อิธ มิญฺชานํ วเสเนว นานตฺตํ ทสฺสิตํฯ อฎฺฐกถายํ ปน วณฺณวเสนาปิฯ ยถาห ‘‘ปลณฺฑุโก ปณฺฑุวโณฺณ โหติฯ ภญฺชนโก โลหิตวโณฺณฯ หริตโก หริตปณฺณวโณฺณ’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๗๙๗)ฯ
2135. Yathāvuttapalaṇḍukādīnaṃ nānattaṃ dassetumāha ‘‘ekā miñjā’’tiādi. Idha miñjānaṃ vaseneva nānattaṃ dassitaṃ. Aṭṭhakathāyaṃ pana vaṇṇavasenāpi. Yathāha ‘‘palaṇḍuko paṇḍuvaṇṇo hoti. Bhañjanako lohitavaṇṇo. Haritako haritapaṇṇavaṇṇo’’ti (pāci. aṭṭha. 797).
๒๑๓๖. ‘‘สาฬเว อุตฺตริภงฺคเก’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ‘‘พทรสาฬวาทีสู’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๗๙๗) อฎฺฐกถาวจนโต เอตฺถ พทร-สโทฺท เสโสฯ พทรสาฬวํ นาม พทรผลานิ สุกฺขาเปตฺวา จุเณฺณตฺวา กาตพฺพา ขาทนียวิกติฯ อุมฺมตฺติกาทีนนฺติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อาทิกมฺมิกา คหิตาฯ ยถาห ‘‘อุมฺมตฺติกาย อาทิกมฺมิกายา’’ติ (ปาจิ. ๗๙๗)ฯ
2136. ‘‘Sāḷave uttaribhaṅgake’’ti padacchedo. ‘‘Badarasāḷavādīsū’’ti (pāci. aṭṭha. 797) aṭṭhakathāvacanato ettha badara-saddo seso. Badarasāḷavaṃ nāma badaraphalāni sukkhāpetvā cuṇṇetvā kātabbā khādanīyavikati. Ummattikādīnanti ettha ādi-saddena ādikammikā gahitā. Yathāha ‘‘ummattikāya ādikammikāyā’’ti (pāci. 797).
ปฐมํฯ
Paṭhamaṃ.
๒๑๓๗. สมฺพาเธติ ปฎิจฺฉโนฺนกาเสฯ ตสฺส วิภาคํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อุปกเจฺฉสุ มุตฺตสฺส กรเณปิ วา’’ติฯ
2137.Sambādheti paṭicchannokāse. Tassa vibhāgaṃ dassetumāha ‘‘upakacchesu muttassa karaṇepi vā’’ti.
๒๑๓๘. อสฺสา ตถา ปาจิตฺตีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘น โลมคณนายา’’ติ อิมินา ‘‘ปโยคคณนายา’’ติ อิทเมว สมตฺถยติฯ
2138. Assā tathā pācittīti sambandho. ‘‘Na lomagaṇanāyā’’ti iminā ‘‘payogagaṇanāyā’’ti idameva samatthayati.
๒๑๓๙. อาพาเธติ กณฺฑุอาทิเก โรเคฯ ยถาห – ‘‘อาพาธปจฺจยาติ กณฺฑุกจฺฉุอาทิอาพาธปจฺจยา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๐๑)ฯ มคฺคสํวิธานสมา มตาติ ภิกฺขุนิยา สํวิธาย เอกทฺธานสิกฺขาปเทน สทิสา มตา ญาตาติ อโตฺถฯ
2139.Ābādheti kaṇḍuādike roge. Yathāha – ‘‘ābādhapaccayāti kaṇḍukacchuādiābādhapaccayā’’ti (pāci. aṭṭha. 801). Maggasaṃvidhānasamā matāti bhikkhuniyā saṃvidhāya ekaddhānasikkhāpadena sadisā matā ñātāti attho.
ทุติยํฯ
Dutiyaṃ.
๒๑๔๐. ปทุมสฺส วา ปุณฺฑรีกสฺส วา อนฺตมโส เกสเรนาปิ กามราเคน มุตฺตกรณสฺส ตลฆาตเน มุตฺตกรณมฺปิ ปหารทาเน ปาจิตฺติ โหตีติ โยชนาฯ เกสเรนาปีติ อปิ-สเทฺทน มหาปทุมปเณฺณหิ วตฺตพฺพเมว นตฺถีติ ทีเปติฯ ยถาห – ‘‘อนฺตมโส อุปฺปลปเตฺตนาปีติ เอตฺถ ปตฺตํ ตาว มหนฺตํ, เกสเรนาปิ ปหารํ เทนฺติยา อาปตฺติเยวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๐๓)ฯ
2140. Padumassa vā puṇḍarīkassa vā antamaso kesarenāpi kāmarāgena muttakaraṇassa talaghātane muttakaraṇampi pahāradāne pācitti hotīti yojanā. Kesarenāpīti api-saddena mahāpadumapaṇṇehi vattabbameva natthīti dīpeti. Yathāha – ‘‘antamaso uppalapattenāpīti ettha pattaṃ tāva mahantaṃ, kesarenāpi pahāraṃ dentiyā āpattiyevā’’ti (pāci. aṭṭha. 803).
๒๑๔๑. ตตฺถาติ ตสฺมิํ มุตฺตกรณตเลฯ
2141.Tatthāti tasmiṃ muttakaraṇatale.
ตติยํฯ
Tatiyaṃ.
๒๑๔๒. ยา ปน ภิกฺขุนี กามราคปเรตา กามราเคน ปีฬิตา อตฺตโน พฺยญฺชเน มุตฺตปเถ อุปฺปลปตฺตมฺปิ ปเวเสติ, น วฎฺฎติ ปาจิตฺติ โหตีติ โยชนาฯ ปิ-สเทฺทน ‘‘เกสรมตฺตมฺปิ ปน ปเวเสนฺติยา อาปตฺติเยวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๑๒) อฎฺฐกถา อุลฺลิงฺคิตาฯ
2142. Yā pana bhikkhunī kāmarāgaparetā kāmarāgena pīḷitā attano byañjane muttapathe uppalapattampi paveseti, na vaṭṭati pācitti hotīti yojanā. Pi-saddena ‘‘kesaramattampi pana pavesentiyā āpattiyevā’’ti (pāci. aṭṭha. 812) aṭṭhakathā ulliṅgitā.
๒๑๔๓-๔. ยเทฺยวํ ‘‘ชตุมฎฺฐเก ปาจิตฺติย’’นฺติ กสฺมา วุตฺตนฺติ อาห ‘‘อิทํ…เป.… ชตุมฎฺฐก’’นฺติฯ อิทํ ชตุมฎฺฐกํ วตฺถุวเสเนว วุตฺตนฺติ ‘‘อถ โข สา ภิกฺขุนี ชตุมฎฺฐกํ อาทิยิตฺวา โธวิตุํ วิสฺสริตฺวา เอกมนฺตํ ฉเฑฺฑสิฯ ภิกฺขุนิโย มกฺขิกาหิ สมฺปริกิณฺณํ ปสฺสิตฺวา เอวมาหํสุ ‘กสฺสิทํ กมฺม’นฺติฯ สา เอวมาห ‘มยฺหิทํ กมฺม’นฺติฯ ยา ตา ภิกฺขุนิโย อปฺปิจฺฉา, ตา อุชฺฌายนฺติ ขิยฺยนฺติ วิปาเจนฺติ ‘กถญฺหิ นาม ภิกฺขุนี ชตุมฎฺฐกํ อาทิยิสฺสตี’’ติ (ปาจิ. ๘๐๖) อาคตวตฺถุวเสเนว วุตฺตํ, น ตํ วินา อญฺญสฺส วฎฺฎกสฺส สมฺภวโตติ อธิปฺปาโยฯ ชตุมฎฺฐกํ นาม ชตุนา กโต มฎฺฐทณฺฑโกฯ
2143-4. Yadyevaṃ ‘‘jatumaṭṭhake pācittiya’’nti kasmā vuttanti āha ‘‘idaṃ…pe… jatumaṭṭhaka’’nti. Idaṃ jatumaṭṭhakaṃ vatthuvaseneva vuttanti ‘‘atha kho sā bhikkhunī jatumaṭṭhakaṃ ādiyitvā dhovituṃ vissaritvā ekamantaṃ chaḍḍesi. Bhikkhuniyo makkhikāhi samparikiṇṇaṃ passitvā evamāhaṃsu ‘kassidaṃ kamma’nti. Sā evamāha ‘mayhidaṃ kamma’nti. Yā tā bhikkhuniyo appicchā, tā ujjhāyanti khiyyanti vipācenti ‘kathañhi nāma bhikkhunī jatumaṭṭhakaṃ ādiyissatī’’ti (pāci. 806) āgatavatthuvaseneva vuttaṃ, na taṃ vinā aññassa vaṭṭakassa sambhavatoti adhippāyo. Jatumaṭṭhakaṃ nāma jatunā kato maṭṭhadaṇḍako.
ทณฺฑนฺติ เอตฺถ ‘‘ยํ กิญฺจี’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘อนฺตมโส อุปฺปลปตฺตมฺปิ มุตฺตกรณํ ปเวเสตี’’ติ (ปาจิ. ๘๐๘)ฯ เอตมฺปิ จ อติมหนฺตํ, เกสรมตฺตมฺปิ ปน ปเวเสนฺติยา อาปตฺติ เอวฯ เอฬาลุกนฺติ กกฺการิผลํ วาฯ ตสฺมินฺติ อตฺตโน มุตฺตกรเณฯ
Daṇḍanti ettha ‘‘yaṃ kiñcī’’ti seso. Yathāha ‘‘antamaso uppalapattampi muttakaraṇaṃ pavesetī’’ti (pāci. 808). Etampi ca atimahantaṃ, kesaramattampi pana pavesentiyā āpatti eva. Eḷālukanti kakkāriphalaṃ vā. Tasminti attano muttakaraṇe.
๒๑๔๕. อาพาธปจฺจยาติ มุตฺตกรณปฺปเทเส ชาตวณาทิมฺหิ วณฎฺฐานนิรุปนาทิปจฺจยาฯ
2145.Ābādhapaccayāti muttakaraṇappadese jātavaṇādimhi vaṇaṭṭhānanirupanādipaccayā.
จตุตฺถํฯ
Catutthaṃ.
๒๑๔๖. อคฺคปพฺพทฺวยาธิกนฺติ อคฺคปพฺพทฺวยโต เกสคฺคมตฺตมฺปิ อธิกํฯ ยถาห ‘‘อนฺตมโส เกสคฺคมตฺตมฺปิ อติกฺกาเมติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๘๑๒)ฯ ทกสุทฺธิํ กโรนฺติยาติ มุตฺตกรณฎฺฐาเน โธวนํ กโรนฺติยาฯ ยถาห ‘‘อุทกสุทฺธิกํ นาม มุตฺตกรณสฺส โธวนา วุจฺจตี’’ติ (ปาจิ. ๘๑๒)ฯ
2146.Aggapabbadvayādhikanti aggapabbadvayato kesaggamattampi adhikaṃ. Yathāha ‘‘antamaso kesaggamattampi atikkāmeti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 812). Dakasuddhiṃ karontiyāti muttakaraṇaṭṭhāne dhovanaṃ karontiyā. Yathāha ‘‘udakasuddhikaṃ nāma muttakaraṇassa dhovanā vuccatī’’ti (pāci. 812).
๒๑๔๗. ‘‘ตีณี’’ติ อิมินา เอกงฺคุลิยา ปพฺพทฺวยสฺส ปเวเสตฺวา โธวเน โทสาภาวํ ทีเปติฯ ทีฆโตติ องฺคุลิยา ทีฆโตฯ ตีณิ ปพฺพานิ คมฺภีรโต มุตฺตกรเณ ปเวเสตฺวา อุทกสุทฺธิํ อาทิยนฺติยา ปาจิตฺติยํ ภเวติ โยชนาฯ
2147.‘‘Tīṇī’’ti iminā ekaṅguliyā pabbadvayassa pavesetvā dhovane dosābhāvaṃ dīpeti. Dīghatoti aṅguliyā dīghato. Tīṇi pabbāni gambhīrato muttakaraṇe pavesetvā udakasuddhiṃ ādiyantiyā pācittiyaṃ bhaveti yojanā.
๒๑๔๘. ติโสฺส, จตโสฺส วา องฺคุลิโย เอกโต กตฺวา วิตฺถาเรน ปเวสเน เอกปเพฺพปิ ปวิเฎฺฐ ‘‘ทฺวงฺคุลปพฺพปรม’’นฺติ นิยมิตปฺปมาณาติกฺกมโต อาห ‘‘เอกปพฺพมฺปิ ยา ปนา’’ติฯ ยา ปน ภิกฺขุนี จตุนฺนํ วาปิ องฺคุลีนํ ติสฺสนฺนํ วาปิ องฺคุลีนํ เอกปพฺพมฺปิ วิตฺถารโต ปเวเสติ, ตสฺสา ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนาฯ
2148. Tisso, catasso vā aṅguliyo ekato katvā vitthārena pavesane ekapabbepi paviṭṭhe ‘‘dvaṅgulapabbaparama’’nti niyamitappamāṇātikkamato āha ‘‘ekapabbampi yā panā’’ti. Yā pana bhikkhunī catunnaṃ vāpi aṅgulīnaṃ tissannaṃ vāpi aṅgulīnaṃ ekapabbampi vitthārato paveseti, tassā pācittiyaṃ siyāti yojanā.
๒๑๔๙. อิตีติ เอวํฯ สพฺพปฺปกาเรนาติ คมฺภีรปเวสนาทินา สเพฺพน ปกาเรนฯ อภิพฺยตฺตตรํ กตฺวาติ สุปากฎตรํ กตฺวาฯ อยมโตฺถติ ‘‘เอกิสฺสงฺคุลิยา ตีณี’’ติอาทินา วุโตฺต อยมโตฺถฯ
2149.Itīti evaṃ. Sabbappakārenāti gambhīrapavesanādinā sabbena pakārena. Abhibyattataraṃ katvāti supākaṭataraṃ katvā. Ayamatthoti ‘‘ekissaṅguliyā tīṇī’’tiādinā vutto ayamattho.
๒๑๕๐. ทฺวงฺคุลปเพฺพ โทโส นตฺถีติ โยชนาฯ อุทกสุทฺธิปจฺจเย ปน สติปิ ผสฺสสาทิยเน ยถาวุตฺตปริเจฺฉเท อนาปตฺติฯ อธิกมฺปีติ ทฺวงฺคุลปพฺพโต อธิกมฺปิฯ อุทกสุทฺธิํ กโรนฺติยา โทโส นตฺถีติ โยชนาฯ
2150. Dvaṅgulapabbe doso natthīti yojanā. Udakasuddhipaccaye pana satipi phassasādiyane yathāvuttaparicchede anāpatti. Adhikampīti dvaṅgulapabbato adhikampi. Udakasuddhiṃ karontiyā doso natthīti yojanā.
๒๑๕๑. ตถา อุทกสุทฺธิํ กโรนฺตีนํ อุมฺมตฺติกาทีนํ อนาปตฺติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ
2151. Tathā udakasuddhiṃ karontīnaṃ ummattikādīnaṃ anāpatti pakāsitāti yojanā.
ปญฺจมํฯ
Pañcamaṃ.
๒๑๕๒. ภุญฺชโต ปน ภิกฺขุสฺสาติ ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตรํ ภุญฺชโต ภิกฺขุสฺสฯ ยถาห ‘‘ภุญฺชนฺตสฺสาติ ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตรํ โภชนํ ภุญฺชนฺตสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๘๑๗)ฯ ปานียํ วา วิธูปนํ วาติ วกฺขมานํ ปานียํ, พีชนียญฺจฯ อุปติเฎฺฐยฺยาติ ‘‘หตฺถปาเส ติฎฺฐตี’’ติ (ปาจิ. ๘๑๗) วจนโต เอตฺถ อุป-สโทฺท หตฺถปาสสงฺขาตํ สมีปํ วทตีติ เวทิตพฺพํฯ
2152.Bhuñjato pana bhikkhussāti pañcannaṃ bhojanānaṃ aññataraṃ bhuñjato bhikkhussa. Yathāha ‘‘bhuñjantassāti pañcannaṃ bhojanānaṃ aññataraṃ bhojanaṃ bhuñjantassā’’ti (pāci. 817). Pānīyaṃ vā vidhūpanaṃvāti vakkhamānaṃ pānīyaṃ, bījanīyañca. Upatiṭṭheyyāti ‘‘hatthapāse tiṭṭhatī’’ti (pāci. 817) vacanato ettha upa-saddo hatthapāsasaṅkhātaṃ samīpaṃ vadatīti veditabbaṃ.
๒๑๕๓. วตฺถโกณาทิ ยา กาจิ ‘‘พีชนี’’ติ วุจฺจตีติ โยชนา, อิมินา ‘‘พีชนิกิจฺจํ สมฺปาเทสฺสามี’’ติ อธิฎฺฐาย คหิตจีวรโกณปฺปการํ ยํ กิญฺจิ ‘‘พีชนี’’ติ วุจฺจตีติ อโตฺถฯ
2153. Vatthakoṇādi yā kāci ‘‘bījanī’’ti vuccatīti yojanā, iminā ‘‘bījanikiccaṃ sampādessāmī’’ti adhiṭṭhāya gahitacīvarakoṇappakāraṃ yaṃ kiñci ‘‘bījanī’’ti vuccatīti attho.
๒๑๕๔. ‘‘อถ โข สา ภิกฺขุนี ตสฺส ภิกฺขุโน ภุญฺชนฺตสฺส ปานีเยน จ วิธูปเนน จ อุปติฎฺฐิตฺวา อจฺจาวทติฯ อถ โข โส ภิกฺขุ ตํ ภิกฺขุนิํ อปสาเทติ ‘มา, ภคินิ, เอวรูปํ อกาสิ, เนตํ กปฺปตี’ติฯ ‘ปุเพฺพ มํ ตฺวํ เอวญฺจ เอวญฺจ กโรสิ, อิทานิ เอตฺตกํ น สหสี’ติ ปานียถาลกํ มตฺถเก อาสุมฺภิตฺวา วิธูปเนน ปหารํ อทาสี’’ติ (ปาจิ. ๘๑๕) อิมสฺมิํ วตฺถุมฺหิ ภิกฺขูหิ อาโรจิเต ‘‘กถญฺหิ นาม, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนี ภิกฺขุสฺส ปหารํ ทสฺสตี’’ติอาทีนิ (ปาจิ. ๘๑๕) วตฺวา ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี ภิกฺขุสฺส ภุญฺชนฺตสฺส ปานีเยน วา วิธูปเนน วา อุปติเฎฺฐยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๘๑๖) วุตฺตตฺตา ปหารปจฺจยา นุ โขติ อาสงฺกํ นิวเตฺตตุมาห ‘‘หตฺถปาเส อิธ ฐานปจฺจยาปตฺติ ทีปิตา’’ติฯ เอตฺถ จ อาสุมฺภิตฺวาติ ปาเตตฺวาฯ อิธาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนิยา ภิกฺขุสฺส ปหาโร ทาตโพฺพฯ ยา ทเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๔๒๐) ภิกฺขุนิกฺขนฺธเก วุตฺตํ คเหตฺวา อาห ‘‘ปหารปจฺจยา วุตฺตํ, ขนฺธเก ทุกฺกฎํ วิสุ’’นฺติฯ อิมินา วุตฺตเสฺสวตฺถสฺส การณํ ทสฺสิตํ โหติฯ
2154. ‘‘Atha kho sā bhikkhunī tassa bhikkhuno bhuñjantassa pānīyena ca vidhūpanena ca upatiṭṭhitvā accāvadati. Atha kho so bhikkhu taṃ bhikkhuniṃ apasādeti ‘mā, bhagini, evarūpaṃ akāsi, netaṃ kappatī’ti. ‘Pubbe maṃ tvaṃ evañca evañca karosi, idāni ettakaṃ na sahasī’ti pānīyathālakaṃ matthake āsumbhitvā vidhūpanena pahāraṃ adāsī’’ti (pāci. 815) imasmiṃ vatthumhi bhikkhūhi ārocite ‘‘kathañhi nāma, bhikkhave, bhikkhunī bhikkhussa pahāraṃ dassatī’’tiādīni (pāci. 815) vatvā ‘‘yā pana bhikkhunī bhikkhussa bhuñjantassa pānīyena vā vidhūpanena vā upatiṭṭheyya, pācittiya’’nti (pāci. 816) vuttattā pahārapaccayā nu khoti āsaṅkaṃ nivattetumāha ‘‘hatthapāse idha ṭhānapaccayāpatti dīpitā’’ti. Ettha ca āsumbhitvāti pātetvā. Idhāti imasmiṃ sikkhāpade. ‘‘Na, bhikkhave, bhikkhuniyā bhikkhussa pahāro dātabbo. Yā dadeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 420) bhikkhunikkhandhake vuttaṃ gahetvā āha ‘‘pahārapaccayā vuttaṃ, khandhake dukkaṭaṃ visu’’nti. Iminā vuttassevatthassa kāraṇaṃ dassitaṃ hoti.
๒๑๕๕. หตฺถปาสํ ชหิตฺวาติ เอตฺถ ‘‘โภชนํ ภุญฺชโต’’ติ จ ขาทนํ ขาทโตติ เอตฺถ ‘‘หตฺถปาเส’’ติ จ วตฺตพฺพํ ฯ โภชนํ ภุญฺชโต หตฺถปาสํ ชหิตฺวา อุปติฎฺฐนฺติยา วา ขาทนํ ขาทโต หตฺถปาเส อุปติฎฺฐนฺติยา วา โหติ อาปตฺติ ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ
2155.Hatthapāsaṃ jahitvāti ettha ‘‘bhojanaṃ bhuñjato’’ti ca khādanaṃ khādatoti ettha ‘‘hatthapāse’’ti ca vattabbaṃ . Bhojanaṃ bhuñjato hatthapāsaṃ jahitvā upatiṭṭhantiyā vā khādanaṃ khādato hatthapāse upatiṭṭhantiyā vā hoti āpatti dukkaṭanti yojanā.
๒๑๕๖. เทตีติ ปานียํ วา สูปาทิํ วา ‘‘อิมํ ปิวถ, อิมินา ภุญฺชถา’’ติ เทติฯ ตาลวณฺฎํ ‘‘อิมินา พีชนฺตา ภุญฺชถา’’ติ เทติฯ ทาเปตีติ อเญฺญน อุภยมฺปิ ทาเปติฯ อิทํ สิกฺขาปทํ สมุฎฺฐานโต เอฬกโลเมน สมํ มตนฺติ โยชนาฯ
2156.Detīti pānīyaṃ vā sūpādiṃ vā ‘‘imaṃ pivatha, iminā bhuñjathā’’ti deti. Tālavaṇṭaṃ ‘‘iminā bījantā bhuñjathā’’ti deti. Dāpetīti aññena ubhayampi dāpeti. Idaṃ sikkhāpadaṃ samuṭṭhānato eḷakalomena samaṃ matanti yojanā.
ฉฎฺฐํฯ
Chaṭṭhaṃ.
๒๑๕๗. วิญฺญตฺวาติ สยํ วิญฺญตฺวา, อญฺญาย วา วิญฺญาเปตฺวาฯ ‘‘วิญฺญตฺวา วา วิญฺญาเปตฺวา วา’’ติ (ปาจิ. ๘๒๑) หิ สิกฺขาปทํฯ อามกํ ธญฺญนฺติ อปกฺกํ อภฎฺฐํ สาลิอาทิกํ สตฺตวิธํ ธญฺญํฯ ยถาห – ‘‘อามกธญฺญํ นาม สาลิ วีหิ ยโว โคธุโม กงฺคุ วรโก กุทฺรูสโก’’ติ (ปาจิ. ๘๒๒)ฯ โกเฎฺฎตฺวาติ มุสเลหิ โกเฎฺฎตฺวาฯ ยทิ ปริภุญฺชตีติ โยชนาฯ
2157.Viññatvāti sayaṃ viññatvā, aññāya vā viññāpetvā. ‘‘Viññatvā vā viññāpetvā vā’’ti (pāci. 821) hi sikkhāpadaṃ. Āmakaṃ dhaññanti apakkaṃ abhaṭṭhaṃ sāliādikaṃ sattavidhaṃ dhaññaṃ. Yathāha – ‘‘āmakadhaññaṃ nāma sāli vīhi yavo godhumo kaṅgu varako kudrūsako’’ti (pāci. 822). Koṭṭetvāti musalehi koṭṭetvā. Yadi paribhuñjatīti yojanā.
๒๑๕๘-๖๐. ‘‘ภุญฺชิสฺสามีติ ปฎิคฺคณฺหาติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ อิทํ ปโยคทุกฺกฎํ นาม, ตสฺมา น เกวลํ ปฎิคฺคหเณเยว ทุกฺกฎํ โหตี’’ติอาทินา (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๒๒) อฎฺฐกถาคตํ วิภาคํ ทเสฺสตุมาห ‘‘น เกวลํ ตุ ธญฺญาน’’นฺติอาทิฯ ปนาติ อปิ-สทฺทเตฺถ, สุกฺขาปเนปีติ อโตฺถฯ ภชฺชนตฺถายาติ เอตฺถ ‘‘วทฺทลิทิวเส’’ติ เสโสฯ ‘‘กปลฺลสชฺชเน อุทฺธนสชฺชเน’’ติ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ ทพฺพิสชฺชเนติ กฎจฺฉุสมฺปาทเนฯ ตตฺถ กปลฺลเก ธญฺญปกฺขิปเนติ โยชนาฯ ‘‘ฆฎฺฎนโกฎฺฎเน’’ติ วตฺตเพฺพ คาถาพนฺธวเสน น-การโลปํ กตฺวา ‘‘ฆฎฺฎโกฎฺฎเน’’ติ วุตฺตํฯ
2158-60. ‘‘Bhuñjissāmīti paṭiggaṇhāti, āpatti dukkaṭassāti idaṃ payogadukkaṭaṃ nāma, tasmā na kevalaṃ paṭiggahaṇeyeva dukkaṭaṃ hotī’’tiādinā (pāci. aṭṭha. 822) aṭṭhakathāgataṃ vibhāgaṃ dassetumāha ‘‘na kevalaṃ tu dhaññāna’’ntiādi. Panāti api-saddatthe, sukkhāpanepīti attho. Bhajjanatthāyāti ettha ‘‘vaddalidivase’’ti seso. ‘‘Kapallasajjane uddhanasajjane’’ti paccekaṃ yojetabbaṃ. Dabbisajjaneti kaṭacchusampādane. Tattha kapallake dhaññapakkhipaneti yojanā. ‘‘Ghaṭṭanakoṭṭane’’ti vattabbe gāthābandhavasena na-kāralopaṃ katvā ‘‘ghaṭṭakoṭṭane’’ti vuttaṃ.
๒๑๖๑-๓. ปมาณ-สทฺทสฺส อาวตฺตลิงฺคสงฺขฺยตฺตา อาห ‘‘โภชนเญฺจว วิญฺญตฺติปมาณ’’นฺติ ฯ อาวตฺตลิงฺคสงฺขฺยตฺตํ นาม นิยตลิเงฺคกตฺตพหุตฺตํฯ ตถา เหตฺถ ปมาณ-สโทฺท นิยตนปุํสกลิเงฺค นิยเตกตฺตํ วุจฺจติฯ เอตฺถ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท โภชนเญฺจว วิญฺญตฺติ จาติ อิทํ ทฺวยํ หิ ยสฺมา ปมาณํ, ตสฺมา สยํ วิญฺญตฺวา วา อญฺญโต ภชฺชนาทีนิ การาเปตฺวา วา อญฺญาย ปน วิญฺญาเปตฺวา สยํ ภชฺชนาทีนิ กตฺวา วา ยา ปน ภิกฺขุนี อโชฺฌหรติ, ตสฺสา อโชฺฌหารปโยเคสุ ปาจิตฺติโย สิยุนฺติ โยชนาฯ
2161-3. Pamāṇa-saddassa āvattaliṅgasaṅkhyattā āha ‘‘bhojanañceva viññattipamāṇa’’nti . Āvattaliṅgasaṅkhyattaṃ nāma niyataliṅgekattabahuttaṃ. Tathā hettha pamāṇa-saddo niyatanapuṃsakaliṅge niyatekattaṃ vuccati. Ettha imasmiṃ sikkhāpade bhojanañceva viññatti cāti idaṃ dvayaṃ hi yasmā pamāṇaṃ, tasmā sayaṃ viññatvā vā aññato bhajjanādīni kārāpetvā vā aññāya pana viññāpetvā sayaṃ bhajjanādīni katvā vā yā pana bhikkhunī ajjhoharati, tassā ajjhohārapayogesu pācittiyo siyunti yojanā.
มหาปจฺจริยํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๒๓) วุตฺตํ วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘มาตรํ วา’’ติอาทิฯ มาตรํ วาปิ ยาจิตฺวาติ เอตฺถ วา-สโทฺท อตฺถนฺตรวิกปฺปเนฯ ปิ-สโทฺท สมฺภาวเนฯ มาตรํ วา ปิตรํ วา อญฺญํ วา ญาตกํ วา ปวาริตํ วา อามกธญฺญํ ยาจิตฺวา วา อญฺญาย การาเปตฺวา วา ยา ปริภุญฺชติ, ตสฺสา ปาจิตฺตีติ โยชนาฯ
Mahāpaccariyaṃ (pāci. aṭṭha. 823) vuttaṃ vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘mātaraṃ vā’’tiādi. Mātaraṃ vāpi yācitvāti ettha vā-saddo atthantaravikappane. Pi-saddo sambhāvane. Mātaraṃ vā pitaraṃ vā aññaṃ vā ñātakaṃ vā pavāritaṃ vā āmakadhaññaṃ yācitvā vā aññāya kārāpetvā vā yā paribhuñjati, tassā pācittīti yojanā.
๒๑๖๔. อวิญฺญตฺติยา ลทฺธํ สยํ วา ภชฺชนาทีนิ กตฺวา วา อญฺญาย การาเปตฺวา วา ยา ปริภุญฺชติ, ตสฺสา ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ
2164. Aviññattiyā laddhaṃ sayaṃ vā bhajjanādīni katvā vā aññāya kārāpetvā vā yā paribhuñjati, tassā dukkaṭanti yojanā.
๒๑๖๕. อญฺญาย ปน วิญฺญตฺติยา ลทฺธํ ตาย การาเปตฺวาปิ สยํ กตฺวา วา อโชฺฌหรนฺติยา ตถา อาปตฺติ ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ อิทญฺจ มหาปจฺจริยาคตนยํ คเหตฺวา วุตฺตํฯ มหาอฎฺฐกถายํ ปน ‘‘อญฺญาย วิญฺญตฺตํ ภุญฺชนฺติยา ทุกฺกฎ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๒๒) วุตฺตตฺตา วิญฺญตฺติยาปิ อญฺญาย ลทฺธํ อามกํ ธญฺญํ ตาย การาเปตฺวา วา สยํ กตฺวา วา ปริภุญฺชนฺตสฺสาปิ ทุกฺกฎเมว วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
2165. Aññāya pana viññattiyā laddhaṃ tāya kārāpetvāpi sayaṃ katvā vā ajjhoharantiyā tathā āpatti dukkaṭanti yojanā. Idañca mahāpaccariyāgatanayaṃ gahetvā vuttaṃ. Mahāaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘aññāya viññattaṃ bhuñjantiyā dukkaṭa’’nti (pāci. aṭṭha. 822) vuttattā viññattiyāpi aññāya laddhaṃ āmakaṃ dhaññaṃ tāya kārāpetvā vā sayaṃ katvā vā paribhuñjantassāpi dukkaṭameva vuttanti veditabbaṃ.
๒๑๖๖-๗. เสทกมฺมาทิอตฺถายาติ วาตโรคาทินา อาตุรานํ เสทนาทิปฎิการตฺถายฯ อิธ ‘‘อญฺญาตกอปฺปวาริตฎฺฐาเนปี’’ติ เสโสฯ ภิกฺขูนมฺปิ เอเสว นโยฯ ฐเปตฺวา สตฺต ธญฺญานิ ญาตกปวาริตฎฺฐาเน เสสวิญฺญตฺติยาปิ อนาปตฺตีติ ญาตพฺพนฺติ โยชนาฯ เสสวิญฺญตฺติยาติ มุคฺคมาสอลาพุกุมฺภณฺฑกาทีนํ วุตฺตธญฺญาวเสสานํ วิญฺญตฺติยาฯ
2166-7.Sedakammādiatthāyāti vātarogādinā āturānaṃ sedanādipaṭikāratthāya. Idha ‘‘aññātakaappavāritaṭṭhānepī’’ti seso. Bhikkhūnampi eseva nayo. Ṭhapetvā satta dhaññāni ñātakapavāritaṭṭhāne sesaviññattiyāpi anāpattīti ñātabbanti yojanā. Sesaviññattiyāti muggamāsaalābukumbhaṇḍakādīnaṃ vuttadhaññāvasesānaṃ viññattiyā.
สาลิอาทีนํ สตฺตนฺนํ ธญฺญานํ ทุกฺกฎสฺส วุตฺตตฺตา, อนามาสตฺตา จ สเพฺพน สพฺพํ น วฎฺฎนฺตีติ ทเสฺสตุมาห ‘‘ญาตกานมฺปี’’ติอาทิฯ
Sāliādīnaṃ sattannaṃ dhaññānaṃ dukkaṭassa vuttattā, anāmāsattā ca sabbena sabbaṃ na vaṭṭantīti dassetumāha ‘‘ñātakānampī’’tiādi.
๒๑๖๘. ลทฺธนฺติ ลพฺภมานํฯ นวกเมฺมสูติ นวกมฺมตฺถาย, นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมํฯ เอตฺถ ‘‘สมฺปฎิจฺฉิตุ’’นฺติ เสโสฯ ‘‘อวิญฺญตฺติยา ลพฺภมานํ ปน นวกมฺมตฺถาย สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๒๓) มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ
2168.Laddhanti labbhamānaṃ. Navakammesūti navakammatthāya, nimittatthe bhummaṃ. Ettha ‘‘sampaṭicchitu’’nti seso. ‘‘Aviññattiyā labbhamānaṃ pana navakammatthāya sampaṭicchituṃ vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 823) mahāpaccariyaṃ vuttaṃ.
สตฺตมํฯ
Sattamaṃ.
๒๑๖๙. สงฺการนฺติ กจวรํฯ วิฆาสกํ วาติ อุจฺฉิฎฺฐกมจฺฉกณฺฎกมํสฎฺฐิจลกมุขโธวนาทิกํ ยํ กิญฺจิฯ ฉเฑฺฑยฺย วาติ เอตฺถ ‘‘สย’’นฺติ เสโส ‘‘ฉฑฺฑาเปยฺย ปเรหี’’ติ วกฺขมานตฺตาฯ กุฎฺฎสฺส ติโร ติโรกุฎฺฎํ, ตสฺมิํ, กุฎฺฎสฺส ปรภาเคติ อโตฺถฯ ‘‘ปากาเรปิ อยํ นโย’’ติ วกฺขมานตฺตา กุฎฺฎนฺติ วา พฺยติริตฺตา ภิตฺติ คเหตพฺพาฯ
2169.Saṅkāranti kacavaraṃ. Vighāsakaṃ vāti ucchiṭṭhakamacchakaṇṭakamaṃsaṭṭhicalakamukhadhovanādikaṃ yaṃ kiñci. Chaḍḍeyya vāti ettha ‘‘saya’’nti seso ‘‘chaḍḍāpeyya parehī’’ti vakkhamānattā. Kuṭṭassa tiro tirokuṭṭaṃ, tasmiṃ, kuṭṭassa parabhāgeti attho. ‘‘Pākārepi ayaṃ nayo’’ti vakkhamānattā kuṭṭanti vā byatirittā bhitti gahetabbā.
๒๑๗๑. เอกาติ เอตฺถ อาปตฺตีติ เสโสฯ ‘‘ตสฺสา’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ
2171.Ekāti ettha āpattīti seso. ‘‘Tassā’’ti iminā sambandho.
๒๑๗๒. ฉฑฺฑเนติ เอตฺถ ปิ-สโทฺท ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐฯ ทนฺตกฎฺฐสฺส ฉฑฺฑเนปิ ภิกฺขุนิยา ปาจิตฺติ ปริทีปิตาติ โยชนาฯ
2172.Chaḍḍaneti ettha pi-saddo luttaniddiṭṭho. Dantakaṭṭhassa chaḍḍanepi bhikkhuniyā pācitti paridīpitāti yojanā.
๒๑๗๓-๔. สพฺพตฺถาติ วุตฺตปฺปกาเรสุ สเพฺพสุ วิกเปฺปสุฯ อนาปตฺติวิสยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อวลเญฺชปี’’ติอาทิฯ อวลเญฺช ฐาเน อโนโลเกตฺวา ฉเฑฺฑนฺติยาปิ วา วลเญฺช ฐาเน โอโลเกตฺวาปิ วา ปน ฉเฑฺฑนฺติยา อนาปตฺตีติ โยชนาฯ ฉฑฺฑนํ กฺริยํฯ อโนโลกนํ อกฺริยํฯ
2173-4.Sabbatthāti vuttappakāresu sabbesu vikappesu. Anāpattivisayaṃ dassetumāha ‘‘avalañjepī’’tiādi. Avalañje ṭhāne anoloketvā chaḍḍentiyāpi vā valañje ṭhāne oloketvāpi vā pana chaḍḍentiyā anāpattīti yojanā. Chaḍḍanaṃ kriyaṃ. Anolokanaṃ akriyaṃ.
อฎฺฐมํฯ
Aṭṭhamaṃ.
๒๑๗๕-๖. ยา ปน ภิกฺขุนี เขเตฺต วา นาฬิเกราทิอาราเม วา ยตฺถ กตฺถจิ โรปิเม หริตฎฺฐาเน ตานิ วิฆาสุจฺจารสงฺการมุตฺตสงฺขาตานิ จตฺตาริ วตฺถูนิ สเจ สยํ ฉเฑฺฑติ วา, ตถา ปเร ฉฑฺฑาเปติ วา, ตสฺสา ภิกฺขุนิยา อาปตฺติวินิจฺฉโย วุตฺตนโย ‘‘เอเกก’’มิจฺจาทินา ยถาวุตฺตปกาโรติ โยชนาฯ
2175-6. Yā pana bhikkhunī khette vā nāḷikerādiārāme vā yattha katthaci ropime haritaṭṭhāne tāni vighāsuccārasaṅkāramuttasaṅkhātāni cattāri vatthūni sace sayaṃ chaḍḍeti vā, tathā pare chaḍḍāpeti vā, tassā bhikkhuniyā āpattivinicchayo vuttanayo ‘‘ekeka’’miccādinā yathāvuttapakāroti yojanā.
๒๑๗๗-๘. ยา ปน ภิกฺขุนี หริเต เขเตฺต นิสีทิตฺวา ภุญฺชมานา วา ตถา หริเต ตตฺถ เขเตฺต อุจฺฉุอาทีนิ ขาทนฺติ ขาทมานา คจฺฉนฺตี วา ยทิ อุจฺฉิฎฺฐํ อุทกํ วา จลกาทิํ วา ฉเฑฺฑติ, ตสฺสา ปาจิตฺติยํ โหตีติ โยชนาฯ จลกํ นาม วมิกรํฯ
2177-8.Yā pana bhikkhunī harite khette nisīditvā bhuñjamānā vā tathā harite tattha khette ucchuādīni khādanti khādamānā gacchantī vā yadi ucchiṭṭhaṃ udakaṃ vā calakādiṃ vā chaḍḍeti, tassā pācittiyaṃ hotīti yojanā. Calakaṃ nāma vamikaraṃ.
๒๑๗๙. ตาทิเส หริเต ฐาเน อนฺตมโส มตฺถกฉินฺนํ นาฬิเกรมฺปิ ชลํ ปิวิตฺวา ฉเฑฺฑนฺติยา อาปตฺติ สิยาติ โยชนาฯ
2179.Tādise harite ṭhāne antamaso matthakachinnaṃ nāḷikerampi jalaṃ pivitvā chaḍḍentiyā āpatti siyāti yojanā.
๒๑๘๐. สเพฺพสนฺติ ภิกฺขุภิกฺขุนีนํฯ
2180.Sabbesanti bhikkhubhikkhunīnaṃ.
๒๑๘๑. ลายิตมฺปิ เขตฺตํ ปุน โรหณตฺถาย มนุสฺสา รกฺขนฺติ เจ, ตตฺถ ตสฺมิํ เขเตฺต วิฆาสุจฺจาราทีนิ ฉเฑฺฑนฺติยา อสฺสา ภิกฺขุนิยา ยถาวตฺถุกเมว หิ ปาจิตฺติยเมวาติ โยชนาฯ ‘‘อสฺสา ยถาวตฺถุก’’นฺติ อิมินา ภิกฺขุสฺส ทุกฺกฎนฺติ วุตฺตเมว โหติฯ
2181. Lāyitampi khettaṃ puna rohaṇatthāya manussā rakkhanti ce, tattha tasmiṃ khette vighāsuccārādīni chaḍḍentiyā assā bhikkhuniyā yathāvatthukameva hi pācittiyamevāti yojanā. ‘‘Assā yathāvatthuka’’nti iminā bhikkhussa dukkaṭanti vuttameva hoti.
๒๑๘๒. ฉฑฺฑิเต เขเตฺตติ มนุเสฺสหิ อุทฺธฎสเสฺส เขเตฺตฯ ยถาห – ‘‘มนุเสฺสสุ สสฺสํ อุทฺธริตฺวา คเตสุ ฉฑฺฑิตเขตฺตํ นาม โหติ, ตตฺถ วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๓๐)ฯ เอวํ อกเตปิ เขเตฺต สามิเก อาปุจฺฉิตฺวา กาตุํ วฎฺฎติฯ ยถาห ‘‘สามิเก อปโลเกตฺวา ฉเฑฺฑตี’’ติ (ปาจิ. ๘๓๒)ฯ อิธ เขตฺตปาลกา, อารามาทิโคปกา จ สามิกา เอวฯ สงฺฆสฺส เขเตฺต, อาราเม จ สเจ ‘‘ตตฺถ กจวรํ น ฉเฑฺฑตพฺพ’’นฺติ กติกา นตฺถิ, ภิกฺขุสฺส ฉเฑฺฑตุํ วฎฺฎติ สงฺฆปริยาปนฺนตฺตา, น ภิกฺขุนีนํฯ ตาสํ ปน ภิกฺขุสเงฺฆ วุตฺตนเยน น วฎฺฎติ, น ตสฺส ภิกฺขุสฺส, เอวํ สเนฺตปิ สารุปฺปวเสน กาตพฺพนฺติฯ สพฺพนฺติ อุจฺจาราทิ จตุพฺพิธํฯ
2182.Chaḍḍite khetteti manussehi uddhaṭasasse khette. Yathāha – ‘‘manussesu sassaṃ uddharitvā gatesu chaḍḍitakhettaṃ nāma hoti, tattha vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 830). Evaṃ akatepi khette sāmike āpucchitvā kātuṃ vaṭṭati. Yathāha ‘‘sāmike apaloketvā chaḍḍetī’’ti (pāci. 832). Idha khettapālakā, ārāmādigopakā ca sāmikā eva. Saṅghassa khette, ārāme ca sace ‘‘tattha kacavaraṃ na chaḍḍetabba’’nti katikā natthi, bhikkhussa chaḍḍetuṃ vaṭṭati saṅghapariyāpannattā, na bhikkhunīnaṃ. Tāsaṃ pana bhikkhusaṅghe vuttanayena na vaṭṭati, na tassa bhikkhussa, evaṃ santepi sāruppavasena kātabbanti. Sabbanti uccārādi catubbidhaṃ.
นวมํฯ
Navamaṃ.
๒๑๘๓. เอตฺถ ‘‘นจฺจํ นาม ยํ กิญฺจิ นจฺจํฯ คีตํ นาม ยํ กิญฺจิ คีตํฯ วาทิตํ นาม ยํ กิญฺจิ วาทิต’’นฺติ (ปาจิ. ๘๓๕) วจนโต ‘‘ยํ กิญฺจี’’ติ เสโสฯ ยา ปน ภิกฺขุนี ยํ กิญฺจิ นจฺจํ วา ยํ กิญฺจิ คีตํ วา ยํ กิญฺจิ วาทิตํ วา ทสฺสนตฺถาย คเจฺฉยฺยาติ โยชนาฯ ตตฺถ ยํ กิญฺจิ นจฺจนฺติ นฎาทโย วา นจฺจนฺตุ โสณฺฑา วา, อนฺตมโส โมรสุกมกฺกฎาทโยปิ, สพฺพเมฺปตํ นจฺจเมวฯ ยํ กิญฺจิ คีตนฺติ นฎาทีนํ วา คีตํ โหตุ อริยานํ ปรินิพฺพานกาเล รตนตฺตยคุณูปสํหิตํ สาธุกีฬิตคีตํ วา อสญฺญตภิกฺขูนํ ธมฺมภาณกคีตํ วา, สพฺพเมฺปตํ คีตเมวฯ ยํ กิญฺจิ วาทิตนฺติ ฆนาทิวาทนียภณฺฑวาทิตํ วา โหตุ กุฎเภริวาทิตํ วา อนฺตมโส อุทรเภริวาทิตมฺปิ , สพฺพเมฺปตํ วาทิตเมวฯ ‘‘ทสฺสนสวนตฺถายา’’ติ วตฺตเพฺพ วิรูเปกเสสนเยน ‘‘ทสฺสนตฺถายา’’ติ วุตฺตํฯ ปญฺจนฺนํ วิญฺญาณานํ ยถาสกํ วิสยสฺส อาโลจนสภาวตาย วา ‘‘ทสฺสนตฺถาย’’ อิเจฺจว วุตฺตํฯ
2183. Ettha ‘‘naccaṃ nāma yaṃ kiñci naccaṃ. Gītaṃ nāma yaṃ kiñci gītaṃ. Vāditaṃ nāma yaṃ kiñci vādita’’nti (pāci. 835) vacanato ‘‘yaṃ kiñcī’’ti seso. Yā pana bhikkhunī yaṃ kiñci naccaṃ vā yaṃ kiñci gītaṃ vā yaṃ kiñci vāditaṃ vā dassanatthāya gaccheyyāti yojanā. Tattha yaṃ kiñci naccanti naṭādayo vā naccantu soṇḍā vā, antamaso morasukamakkaṭādayopi, sabbampetaṃ naccameva. Yaṃ kiñci gītanti naṭādīnaṃ vā gītaṃ hotu ariyānaṃ parinibbānakāle ratanattayaguṇūpasaṃhitaṃ sādhukīḷitagītaṃ vā asaññatabhikkhūnaṃ dhammabhāṇakagītaṃ vā, sabbampetaṃ gītameva. Yaṃ kiñci vāditanti ghanādivādanīyabhaṇḍavāditaṃ vā hotu kuṭabherivāditaṃ vā antamaso udarabherivāditampi , sabbampetaṃ vāditameva. ‘‘Dassanasavanatthāyā’’ti vattabbe virūpekasesanayena ‘‘dassanatthāyā’’ti vuttaṃ. Pañcannaṃ viññāṇānaṃ yathāsakaṃ visayassa ālocanasabhāvatāya vā ‘‘dassanatthāya’’ icceva vuttaṃ.
๒๑๘๔. ปุพฺพปโยคทุกฺกเฎน สห ปาจิตฺติยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ทสฺสนตฺถาย นจฺจสฺสา’’ติอาทิฯ คีตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘วาทิตสฺสา’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ
2184. Pubbapayogadukkaṭena saha pācittiyaṃ dassetumāha ‘‘dassanatthāya naccassā’’tiādi. Gītassāti ettha ‘‘vāditassā’’ti pakaraṇato labbhati.
๒๑๘๕. เอกปโยเคนาติ เอกทิสาวโลกนปโยเคนฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘อญฺญสฺมิมฺปิ…เป.… สิยุ’’นฺติฯ ปสฺสตีติ เอตฺถ ‘‘นจฺจ’’นฺติ เสโสฯ เตสนฺติ เยสํ นจฺจํ ปสฺสติฯ ปิ-สเทฺทน วาทิตมฺปิ สมฺปิเณฺฑติฯ ยถาห ‘‘เตสํเยว คีตวาทิตํ สุณาติ, เอกเมว ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๓๖)ฯ
2185.Ekapayogenāti ekadisāvalokanapayogena. Teneva vakkhati ‘‘aññasmimpi…pe… siyu’’nti. Passatīti ettha ‘‘nacca’’nti seso. Tesanti yesaṃ naccaṃ passati. Pi-saddena vāditampi sampiṇḍeti. Yathāha ‘‘tesaṃyeva gītavāditaṃ suṇāti, ekameva pācittiya’’nti (pāci. aṭṭha. 836).
๒๑๘๖. อญฺญโตติ อญฺญสฺมิํ ทิสาภาเคฯ
2186.Aññatoti aññasmiṃ disābhāge.
๒๑๘๗. ‘‘วิสุํ ปาจิตฺติโย สิยุ’’นฺติ อิทเมว ปกาเสตุมาห ‘‘ปโยคคณนาเยตฺถ, อาปตฺติคณนา สิยา’’ติฯ เอตฺถาติ อิมสฺมิํ นานาทิสาภาเคฯ นจฺจคีตวาทิตานํ ทสฺสนสวเน อฎฺฐกถาคตํ วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘นจฺจิตุ’’นฺติอาทิฯ
2187. ‘‘Visuṃ pācittiyo siyu’’nti idameva pakāsetumāha ‘‘payogagaṇanāyettha, āpattigaṇanā siyā’’ti. Etthāti imasmiṃ nānādisābhāge. Naccagītavāditānaṃ dassanasavane aṭṭhakathāgataṃ vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘naccitu’’ntiādi.
๒๑๘๘. ‘‘นจฺจ อิตี’’ติ ปทเจฺฉโท, ‘‘นจฺจาหี’’ติปิ ปาโฐฯ อุปฎฺฐานนฺติ เภริสทฺทปูชํฯ สมฺปฎิจฺฉิตุนฺติ ‘‘สาธู’’ติ อธิวาเสตุํฯ อิมสฺส อุปลกฺขณวเสน วุตฺตตฺตา นจฺจคีเตปิ เอเสว นโยฯ
2188. ‘‘Nacca itī’’ti padacchedo, ‘‘naccāhī’’tipi pāṭho. Upaṭṭhānanti bherisaddapūjaṃ. Sampaṭicchitunti ‘‘sādhū’’ti adhivāsetuṃ. Imassa upalakkhaṇavasena vuttattā naccagītepi eseva nayo.
๒๑๘๙-๙๐. สพฺพตฺถาติ นจฺจนาทีสุ สพฺพตฺถฯ อุปฎฺฐานํ กโรมาติ ตุมฺหากํ เจติยสฺส นจฺจาทีหิ อุปหารํ กโรมาติฯ อุปฎฺฐานํ ปสตฺถนฺติ อุปฎฺฐานกรณํ นาม สุนฺทรนฺติฯ
2189-90.Sabbatthāti naccanādīsu sabbattha. Upaṭṭhānaṃ karomāti tumhākaṃ cetiyassa naccādīhi upahāraṃ karomāti. Upaṭṭhānaṃ pasatthanti upaṭṭhānakaraṇaṃ nāma sundaranti.
ยา อาราเมเยว จ ฐตฺวา ปสฺสติ วา สุณาติ วาติ โยชนา, อิธ ‘‘อนฺตราราเม วา’’ติอาทิ เสโสฯ ‘‘อาราเม ฐตฺวา อนฺตราราเม วา พหิอาราเม วา นจฺจาทีนิ ปสฺสติ วา สุณาติ วา, อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๓๗) อฎฺฐกถาย วุตฺตํฯ ‘‘ฐตฺวา’’ติ วุเตฺตปิ สเพฺพสุปิ อิริยาปเถสุ ลพฺภติฯ อาราเม ฐตฺวาติ น เกวลํ ฐตฺวาว, ตโต คนฺตฺวาปิ สพฺพิริยาปเถหิปิ ลภติฯ ‘‘อาราเม ฐิตา’’ติ (ปาจิ. ๘๓๗) ปน อารามปริยาปนฺนทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ อิตรถา นิสินฺนาปิ น ลเภยฺยาติ คณฺฐิปทาทีสุ วุตฺตํฯ ภิกฺขูนมฺปิ เอเสว นโยฯ
Yā ārāmeyeva ca ṭhatvā passati vā suṇāti vāti yojanā, idha ‘‘antarārāme vā’’tiādi seso. ‘‘Ārāme ṭhatvā antarārāme vā bahiārāme vā naccādīni passati vā suṇāti vā, anāpattī’’ti (pāci. aṭṭha. 837) aṭṭhakathāya vuttaṃ. ‘‘Ṭhatvā’’ti vuttepi sabbesupi iriyāpathesu labbhati. Ārāme ṭhatvāti na kevalaṃ ṭhatvāva, tato gantvāpi sabbiriyāpathehipi labhati. ‘‘Ārāme ṭhitā’’ti (pāci. 837) pana ārāmapariyāpannadassanatthaṃ vuttaṃ. Itarathā nisinnāpi na labheyyāti gaṇṭhipadādīsu vuttaṃ. Bhikkhūnampi eseva nayo.
๒๑๙๑. ยา อตฺตโน ฐิโตกาสํ อาคนฺตฺวา ปโยชิตํ ปสฺสติ วา สุณาติ วาติ โยชนาฯ ฐิโตกาสนฺติ เอตฺถ คตินิวตฺติสามเญฺญน สยิตนิสินฺนมฺปิ คยฺหติฯ ตถารูปา หิ การณา คนฺตฺวา ปสฺสนฺติยา วาปีติ โยชนาฯ การณํ นาม สลากภตฺตาทิการณํฯ ยถาห ‘‘สติ กรณีเยติ สลากภตฺตาทีนํ วา อตฺถาย อเญฺญน วา เกนจิ กรณีเยน คนฺตฺวา คตฎฺฐาเน ปสฺสติ วา สุณาติ วา, อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๓๗)ฯ
2191. Yā attano ṭhitokāsaṃ āgantvā payojitaṃ passati vā suṇāti vāti yojanā. Ṭhitokāsanti ettha gatinivattisāmaññena sayitanisinnampi gayhati. Tathārūpā hi kāraṇā gantvā passantiyā vāpīti yojanā. Kāraṇaṃ nāma salākabhattādikāraṇaṃ. Yathāha ‘‘sati karaṇīyeti salākabhattādīnaṃ vā atthāya aññena vā kenaci karaṇīyena gantvā gataṭṭhāne passati vā suṇāti vā, anāpattī’’ti (pāci. aṭṭha. 837).
๒๑๙๒. มคฺคํ คจฺฉนฺตี ปฎิปเถ นจฺจํ อฎฺฐตฺวา ปสฺสตีติ เอวํ ปสฺสนฺติยาปิ จ ตถา อนาปตฺตีติ อชฺฌาหารโยชนาฯ ปฎิปเถติ คมนมคฺคาภิมุเขฯ อาปทาสุปีติ ตาทิเสน อุปทฺทเวน อุปทฺทุตา สมชฺชฎฺฐานํ ปวิสติ, เอวํ ปวิสิตฺวา ปสฺสนฺติยา วา สุณนฺติยา วา อนาปตฺติฯ
2192. Maggaṃ gacchantī paṭipathe naccaṃ aṭṭhatvā passatīti evaṃ passantiyāpi ca tathā anāpattīti ajjhāhārayojanā. Paṭipatheti gamanamaggābhimukhe. Āpadāsupīti tādisena upaddavena upaddutā samajjaṭṭhānaṃ pavisati, evaṃ pavisitvā passantiyā vā suṇantiyā vā anāpatti.
๒๑๙๓. อิทํ สิกฺขาปทํ สมุฎฺฐานโต เอฬกโลมสิกฺขาปเทน สมํ มตํ ‘‘สมาน’’นฺติ วิญฺญาตํฯ
2193.Idaṃ sikkhāpadaṃ samuṭṭhānato eḷakalomasikkhāpadena samaṃ mataṃ ‘‘samāna’’nti viññātaṃ.
ทสมํฯ
Dasamaṃ.
ลสุณวโคฺค ปฐโมฯ
Lasuṇavaggo paṭhamo.
๒๑๙๔-๕. อิธ อิมสฺมิํ สาสเน ยา ปน ภิกฺขุนี รตฺตนฺธการสฺมิํ อปฺปทีเป ปุริเสน สทฺธิํ เอกิกา สเจ สนฺติฎฺฐติ, ตสฺสา ปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ รตฺตนฺธการสฺมินฺติ รตฺติยํฯ รตฺติปริยาโย หิ รตฺตนฺธการ-สโทฺทฯ ยถาห ปทภาชเน ‘‘รตฺตนฺธกาเรติ โอคฺคเต สูริเย’’ติ (ปาจิ. ๘๔๐)ฯ อปฺปทีเปติ ปโชฺชตจนฺทสูริยอคฺคีสุ เอเกนาปิ อโนภาสิเต, อิมินา รตฺติเกฺขตฺตํ ทเสฺสติฯ ‘‘สนฺติฎฺฐตี’’ติ อิมินา คมนนิสินฺนสยนสงฺขาตํ อิริยาปถตฺติกญฺจ อุปลกฺขิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ วุตฺตญฺหิ วชิรพุทฺธินา ‘‘สนฺติเฎฺฐยฺยาติ เอตฺถ ฐานาปเทเสน จตุพฺพิโธปิ อิริยาปโถ สงฺคหิโต, ตสฺมา ปุริเสน สทฺธิํ จงฺกมนาทีนิ กโรนฺติยาปิ ปาจิตฺติยญฺจ อุปลพฺภตี’’ติ (วชิร. ฎี. ปาจิตฺติย ๘๓๙ โถกํ วิสทิสํ)ฯ ปุริเสน สทฺธินฺติ สนฺติฎฺฐิตุํ, สลฺลปิตุญฺจ วิญฺญุนา มนุสฺสปุริเสน สทฺธิํฯ
2194-5.Idha imasmiṃ sāsane yā pana bhikkhunī rattandhakārasmiṃ appadīpe purisena saddhiṃ ekikā sace santiṭṭhati, tassā pācittiyaṃ vuttanti yojanā. Rattandhakārasminti rattiyaṃ. Rattipariyāyo hi rattandhakāra-saddo. Yathāha padabhājane ‘‘rattandhakāreti oggate sūriye’’ti (pāci. 840). Appadīpeti pajjotacandasūriyaaggīsu ekenāpi anobhāsite, iminā rattikkhettaṃ dasseti. ‘‘Santiṭṭhatī’’ti iminā gamananisinnasayanasaṅkhātaṃ iriyāpathattikañca upalakkhitanti daṭṭhabbaṃ. Vuttañhi vajirabuddhinā ‘‘santiṭṭheyyāti ettha ṭhānāpadesena catubbidhopi iriyāpatho saṅgahito, tasmā purisena saddhiṃ caṅkamanādīni karontiyāpi pācittiyañca upalabbhatī’’ti (vajira. ṭī. pācittiya 839 thokaṃ visadisaṃ). Purisena saddhinti santiṭṭhituṃ, sallapituñca viññunā manussapurisena saddhiṃ.
รหสฺสาทวเสน ปุริสสฺส หตฺถปาสํ สมาคนฺตฺวา เตน สทฺธิํ สลฺลปนฺติยา วา ปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ
Rahassādavasena purisassa hatthapāsaṃ samāgantvā tena saddhiṃ sallapantiyā vā pācittiyaṃ vuttanti yojanā.
๒๑๙๖-๗. ยา ปน ภิกฺขุนี สเจ มนุสฺสปุริสสฺส หตฺถปาสํ วิชหิตฺวา สนฺติฎฺฐติ วา สลฺลปติ วา, ยกฺขเปตติรจฺฉานคตานํ หตฺถปาสํ อวิชหิตฺวา สนฺติฎฺฐติ วา สลฺลปติ วา, ตสฺสา ทุกฺกฎํ ปริทีปิตนฺติ โยชนาฯ
2196-7. Yā pana bhikkhunī sace manussapurisassa hatthapāsaṃ vijahitvā santiṭṭhati vā sallapati vā, yakkhapetatiracchānagatānaṃ hatthapāsaṃ avijahitvā santiṭṭhati vā sallapati vā, tassā dukkaṭaṃ paridīpitanti yojanā.
วิญฺญุคฺคหเณน อวิญฺญู ปุริโส อนาปตฺติํ น กโรตีติ ทีเปติฯ
Viññuggahaṇena aviññū puriso anāpattiṃ na karotīti dīpeti.
๒๑๙๘. อญฺญวิหิตายาติ รโหอสฺสาทโต อญฺญํ จิเนฺตนฺติยาฯ ยถาห ‘‘รโหอสฺสาทโต อญฺญวิหิตาว หุตฺวา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๔๑)ฯ จตุเตฺถน, ฉเฎฺฐน จ สมุฎฺฐาเนน สมุฎฺฐานโต เถยฺยสตฺถสมุฎฺฐานํฯ สนฺติฎฺฐนสลฺลปนวเสน กฺริยํฯ สญฺญาย วิโมโกฺข เอตสฺมินฺติ สญฺญาวิโมกฺขกํฯ
2198.Aññavihitāyāti rahoassādato aññaṃ cintentiyā. Yathāha ‘‘rahoassādato aññavihitāva hutvā’’ti (pāci. aṭṭha. 841). Catutthena, chaṭṭhena ca samuṭṭhānena samuṭṭhānato theyyasatthasamuṭṭhānaṃ. Santiṭṭhanasallapanavasena kriyaṃ. Saññāya vimokkho etasminti saññāvimokkhakaṃ.
ปฐมํฯ
Paṭhamaṃ.
๒๑๙๙. ปฎิจฺฉเนฺน โอกาเสติ กุฎฺฎาทีสุ เยน เกนจิ ปฎิจฺฉเนฺน โอกาเสฯ อิทํ วจนํฯ
2199.Paṭicchanne okāseti kuṭṭādīsu yena kenaci paṭicchanne okāse. Idaṃ vacanaṃ.
ทุติยํฯ
Dutiyaṃ.
๒๒๐๐. ตติเย ‘‘อโชฺฌกาเส’’ติ จ จตุเตฺถ ‘‘รถิกาย, พฺยูเห, สิงฺฆาฎเก’’ติ ปทานิ จ วเชฺชตฺวา อวเสสํ สนฺธายาห ‘‘อปุพฺพํ นตฺถิ กิญฺจิปี’’ติฯ เอตฺถ ‘‘วตฺตพฺพ’’นฺติ เสโสฯ เอตฺถ จ รถิกายาติ รจฺฉายฯ พฺยูเหติ อนิพฺพิทฺธรจฺฉายฯ สิงฺฆาฎเกติ จจฺจเร โอกาเส, ติโกณํ วา จตุโกณํ วา มคฺคสโมธานฎฺฐาเนติ วุตฺตํ โหติฯ
2200. Tatiye ‘‘ajjhokāse’’ti ca catutthe ‘‘rathikāya, byūhe, siṅghāṭake’’ti padāni ca vajjetvā avasesaṃ sandhāyāha ‘‘apubbaṃ natthi kiñcipī’’ti. Ettha ‘‘vattabba’’nti seso. Ettha ca rathikāyāti racchāya. Byūheti anibbiddharacchāya. Siṅghāṭaketi caccare okāse, tikoṇaṃ vā catukoṇaṃ vā maggasamodhānaṭṭhāneti vuttaṃ hoti.
ตติยจตุตฺถานิฯ
Tatiyacatutthāni.
๒๒๐๑-๒. ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี ปุเรภตฺตํ กุลานิ อุปสงฺกมิตฺวา อาสเน นิสีทิตฺวา สามิเก อนาปุจฺฉา ปกฺกเมยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๘๕๕) วจนโต ยา ปน ภิกฺขุนี ปุเรภตฺตํ กุลานิ อุปสงฺกมิตฺวา ฉทนโนฺต อาสเน นิสีทิตฺวา สามิเก อนาปุจฺฉา อโนวสฺสกปฺปเทสํ อติกฺกเมติ, ยา จ อโชฺฌกาเส วา นิสีทิตฺวา สเจ อุปจารํ อติกฺกเมติ, ตสฺสา ปฐเม ปเท ทุกฺกฎํ โหติ, ทุติเย ปเท ปาจิตฺติ ปริยาปุตาติ โยชนาฯ ‘‘อาสเน’’ติ อิมินา ปลฺลงฺกมาภุชิตฺวา นิสีทนารหมาสนํ อธิเปฺปตํฯ ยถาห – ‘‘อาสนํ นาม ปลฺลงฺกสฺส โอกาโส วุจฺจตี’’ติ (ปาจิ. ๘๕๖)ฯ อโนวสฺสปฺปเทสนฺติ นิพฺพโกสพฺภนฺตรํฯ อโพฺภกาเส อาปตฺติเขตฺตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อุปจารมฺปิ วา สเจ’’ติฯ อุปจารนฺติ ทฺวาทสหตฺถปฺปมาณํ ปเทสํฯ ยถาห คณฺฐิปเท ‘‘อุปจาโร ทฺวาทสหโตฺถ’’ติฯ
2201-2. ‘‘Yā pana bhikkhunī purebhattaṃ kulāni upasaṅkamitvā āsane nisīditvā sāmike anāpucchā pakkameyya, pācittiya’’nti (pāci. 855) vacanato yā pana bhikkhunī purebhattaṃ kulāni upasaṅkamitvā chadananto āsane nisīditvā sāmike anāpucchā anovassakappadesaṃ atikkameti, yā ca ajjhokāse vā nisīditvā sace upacāraṃ atikkameti, tassā paṭhame pade dukkaṭaṃ hoti, dutiye pade pācitti pariyāputāti yojanā. ‘‘Āsane’’ti iminā pallaṅkamābhujitvā nisīdanārahamāsanaṃ adhippetaṃ. Yathāha – ‘‘āsanaṃ nāma pallaṅkassa okāso vuccatī’’ti (pāci. 856). Anovassappadesanti nibbakosabbhantaraṃ. Abbhokāse āpattikhettaṃ dassetumāha ‘‘upacārampi vā sace’’ti. Upacāranti dvādasahatthappamāṇaṃ padesaṃ. Yathāha gaṇṭhipade ‘‘upacāro dvādasahattho’’ti.
๒๒๐๓. ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘ทุกฺกฎํ สมุทีริต’’นฺติ อิทํ ปจฺจามสติฯ อาปุเฎฺฐ อนาปุฎฺฐสญฺญาย อาปุเฎฺฐ วิจิกิจฺฉโต ปกฺกมนฺติยา ตถา ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ เอตฺถ จ ‘‘ภิกฺขุนิยา’’ติ สมฺพนฺธินิยา สมานตฺตา ‘‘วิจิกิจฺฉนฺติยา’’ติ วตฺตเพฺพ ลิงฺควิปลฺลาสวเสน ‘‘วิจิกิจฺฉโต’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
2203.‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘dukkaṭaṃ samudīrita’’nti idaṃ paccāmasati. Āpuṭṭhe anāpuṭṭhasaññāya āpuṭṭhe vicikicchato pakkamantiyā tathā dukkaṭanti yojanā. Ettha ca ‘‘bhikkhuniyā’’ti sambandhiniyā samānattā ‘‘vicikicchantiyā’’ti vattabbe liṅgavipallāsavasena ‘‘vicikicchato’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ.
๒๒๐๔. คิลานายาติ ยา ตาทิเสน เคลเญฺญน อาปุจฺฉิตุํ น สโกฺกติฯ อาปทาสูติ ฆเร อคฺคิ อุฎฺฐิโต โหติ โจรา วา, เอวรูเป อุปทฺทเว อนาปุจฺฉา ปกฺกมนฺติยา อนาปตฺติฯ
2204.Gilānāyāti yā tādisena gelaññena āpucchituṃ na sakkoti. Āpadāsūti ghare aggi uṭṭhito hoti corā vā, evarūpe upaddave anāpucchā pakkamantiyā anāpatti.
ปญฺจมํฯ
Pañcamaṃ.
๒๒๐๕-๖. ‘‘คจฺฉนฺติยา วชนฺติยา’’ติ จ นิสีทนนิปชฺชนาวสานทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ปาจิตฺติยํ ปน ปจฺฉาภตฺตํ สามิเก ‘‘อิธ นิสีทาม วา สยาม วา’’ติ อนาปุจฺฉิตฺวา นิสินฺนนิปนฺนปจฺจยา โหตีติ เวทิตพฺพํฯ ปจฺฉาภตฺตํ สามิเก อนาปุจฺฉา อาสเน นิสีทิตฺวา คจฺฉนฺติยา เอกา ปาจิตฺติ โหตีติ โยชนาฯ เอส นโย ‘‘นิปชฺชิตฺวา’’ติอาทีสุปิฯ
2205-6.‘‘Gacchantiyā vajantiyā’’ti ca nisīdananipajjanāvasānadassanatthaṃ vuttaṃ. Pācittiyaṃ pana pacchābhattaṃ sāmike ‘‘idha nisīdāma vā sayāma vā’’ti anāpucchitvā nisinnanipannapaccayā hotīti veditabbaṃ. Pacchābhattaṃ sāmike anāpucchā āsane nisīditvā gacchantiyā ekā pācitti hotīti yojanā. Esa nayo ‘‘nipajjitvā’’tiādīsupi.
ยถา ปน ตตฺถ อสํหาริเม อนาปตฺติ, เอวมิธ ธุวปญฺญเตฺต วา อนาปตฺตีติฯ
Yathā pana tattha asaṃhārime anāpatti, evamidha dhuvapaññatte vā anāpattīti.
ฉฎฺฐํฯ
Chaṭṭhaṃ.
๒๒๐๗. ติสมุฎฺฐานนฺติ สจิตฺตเกหิ ตีหิ สมุฎฺฐาเนหิ สมุฎฺฐานโตฯ
2207.Tisamuṭṭhānanti sacittakehi tīhi samuṭṭhānehi samuṭṭhānato.
อฎฺฐมํฯ
Aṭṭhamaṃ.
๒๒๐๘. ยา ปน ภิกฺขุนี อตฺตานมฺปิ วา ปรมฺปิ วา นิรยพฺรหฺมจริเยหิ อภิสเปยฺย, ตสฺสา วาจโต วาจโต สิยา ปาจิตฺตีติ โยชนาฯ ตตฺถ อภิสเปยฺยาติ สปถํ กเรยฺย, ‘‘นิรเย นิพฺพตฺตามิ, อวีจิมฺหิ นิพฺพตฺตามี’’ติ อตฺตานํ วา ‘‘นิรเย นิพฺพตฺตตุ, อวีจิมฺหิ นิพฺพตฺตตู’’ติ ปรํ วา ‘‘คิหินี โหมิ, โอทาตวตฺถา โหมี’’ติ อตฺตานํ วา ‘‘คิหินี โหตุ, โอทาตวตฺถา โหตู’’ติ ปรํ วา อภิสเปยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ
2208. Yā pana bhikkhunī attānampi vā parampi vā nirayabrahmacariyehi abhisapeyya, tassā vācato vācato siyā pācittīti yojanā. Tattha abhisapeyyāti sapathaṃ kareyya, ‘‘niraye nibbattāmi, avīcimhi nibbattāmī’’ti attānaṃ vā ‘‘niraye nibbattatu, avīcimhi nibbattatū’’ti paraṃ vā ‘‘gihinī homi, odātavatthā homī’’ti attānaṃ vā ‘‘gihinī hotu, odātavatthā hotū’’ti paraṃ vā abhisapeyyāti vuttaṃ hoti.
๒๒๑๐. อโกฺกสติ อตฺตานํ วา ปรํ วาติ สมฺพโนฺธฯ ติกปาจิตฺติยนฺติ อุปสมฺปนฺนาย อุปสมฺปนฺนสญฺญาเวมติกาอนุปสมฺปนฺนสญฺญาวเสนฯ เสสายาติ อนุปสมฺปนฺนายฯ อนุปสมฺปนฺนาย อุปสมฺปนฺนสญฺญา, เวมติกา, อนุปสมฺปนฺนสญฺญา อโกฺกสติ, ทุกฺกฎนฺติ เอวํ ติกทุกฺกฎํฯ
2210. Akkosati attānaṃ vā paraṃ vāti sambandho. Tikapācittiyanti upasampannāya upasampannasaññāvematikāanupasampannasaññāvasena. Sesāyāti anupasampannāya. Anupasampannāya upasampannasaññā, vematikā, anupasampannasaññā akkosati, dukkaṭanti evaṃ tikadukkaṭaṃ.
๒๒๑๑. อตฺถธมฺมานุสาสนิํ ปุรกฺขตฺวา วทนฺตีนํ อนาปตฺตีติ โยชนาฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อตฺถปุเรกฺขารายาติ อฎฺฐกถํ กเถนฺติยาฯ ธมฺมปุเรกฺขารายาติ ปาฬิํ วาเจนฺติยาฯ อนุสาสนิปุเรกฺขารายาติ ‘อิทานิปิ ตฺวํ เอทิสา, สาธุ วิรมสฺสุ, โน เจ วิรมสิ, อทฺธา ปุน เอวรูปานิ กมฺมานิ กตฺวา นิรเย อุปฺปชฺชิสฺสสิ, ติรจฺฉานโยนิยา อุปฺปชฺชิสฺสสี’ติ เอวํ อนุสาสนิยํ ฐตฺวา วทนฺติยา อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๗๘)ฯ
2211. Atthadhammānusāsaniṃ purakkhatvā vadantīnaṃ anāpattīti yojanā. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘atthapurekkhārāyāti aṭṭhakathaṃ kathentiyā. Dhammapurekkhārāyāti pāḷiṃ vācentiyā. Anusāsanipurekkhārāyāti ‘idānipi tvaṃ edisā, sādhu viramassu, no ce viramasi, addhā puna evarūpāni kammāni katvā niraye uppajjissasi, tiracchānayoniyā uppajjissasī’ti evaṃ anusāsaniyaṃ ṭhatvā vadantiyā anāpattī’’ti (pāci. aṭṭha. 878).
นวมํฯ
Navamaṃ.
๒๒๑๒. วธิตฺวาติ สตฺถาทีหิ ปหริตฺวาฯ วธิตฺวา วาติ เอตฺถ วา-สโทฺท ปาฬิยํ ‘‘วธิตฺวา วธิตฺวา’’ติ (ปาจิ. ๘๘๐) วุตฺตํ อาเมฑิตํ สูเจติฯ
2212.Vadhitvāti satthādīhi paharitvā. Vadhitvā vāti ettha vā-saddo pāḷiyaṃ ‘‘vadhitvā vadhitvā’’ti (pāci. 880) vuttaṃ āmeḍitaṃ sūceti.
๒๒๑๓. เอตฺถาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ กายวาจาจิตฺตสมุฎฺฐานํ ธุรนิเกฺขปสมุฎฺฐานํ นาม, สมนุภาสนสมุฎฺฐานนฺติปิ เอตเสฺสว นามํฯ
2213.Etthāti imasmiṃ sikkhāpade. Kāyavācācittasamuṭṭhānaṃ dhuranikkhepasamuṭṭhānaṃ nāma, samanubhāsanasamuṭṭhānantipi etasseva nāmaṃ.
ทสมํฯ
Dasamaṃ.
อนฺธการวโคฺค ทุติโยฯ
Andhakāravaggo dutiyo.
๒๒๑๔. ยา ปน ภิกฺขุนี นคฺคา อนิวตฺถา อปารุตา หุตฺวา นหายติ, อสฺสา สพฺพปโยเค ทุกฺกฎํฯ ตสฺส นหานสฺส โวสาเน ปริโยสาเน สา ภิกฺขุนี ชินวุตฺตํ ชิเนน ภควตา ภิกฺขุนีนํ ปญฺญตฺตํ โทสํ ปาจิตฺติยาปตฺติํ สมุเปติ อาปชฺชตีติ โยชนาฯ ภิกฺขุนิ โทสนฺติ เอตฺถ คาถาพนฺธวเสน รโสฺส กโตฯ
2214. Yā pana bhikkhunī naggā anivatthā apārutā hutvā nahāyati, assā sabbapayoge dukkaṭaṃ. Tassa nahānassa vosāne pariyosāne sā bhikkhunī jinavuttaṃ jinena bhagavatā bhikkhunīnaṃ paññattaṃ dosaṃ pācittiyāpattiṃ samupeti āpajjatīti yojanā. Bhikkhuni dosanti ettha gāthābandhavasena rasso kato.
๒๒๑๕. อจฺฉินฺนจีวราติ อจฺฉินฺนอุทกสาฎิกจีวราฯ นฎฺฐจีวราติ โจราทีหิ นฎฺฐอุทกสาฎิกจีวราฯ อาปทาสุ วาติ ‘‘มหคฺฆํ อิมํ ทิสฺวา โจราปิ หเรยฺยุ’’นฺติ เอวรูปาสุ อาปทาสุ วา นคฺคาย นหายนฺติยา น โทโสฯ
2215.Acchinnacīvarāti acchinnaudakasāṭikacīvarā. Naṭṭhacīvarāti corādīhi naṭṭhaudakasāṭikacīvarā. Āpadāsu vāti ‘‘mahagghaṃ imaṃ disvā corāpi hareyyu’’nti evarūpāsu āpadāsu vā naggāya nahāyantiyā na doso.
ปฐมํฯ
Paṭhamaṃ.
๒๒๑๖. ทุติเยติ ‘‘อุทกสาฎิกํ ปน ภิกฺขุนิยา การยมานายา’’ติอาทิสิกฺขาปเท (ปาจิ. ๘๘๘)ฯ
2216.Dutiyeti ‘‘udakasāṭikaṃ pana bhikkhuniyā kārayamānāyā’’tiādisikkhāpade (pāci. 888).
ทุติยํฯ
Dutiyaṃ.
๒๒๑๗-๘. ทุสฺสิพฺพิตํ จีวรนฺติ อสกฺกจฺจสิพฺพิตํ จีวรํฯ วิสิเพฺพตฺวาติ ทุสฺสิพฺพิตํ ปุน สิพฺพนตฺถาย สยํ วา วิคตสิพฺพนํ กตฺวาฯ ‘‘วิสิพฺพาเปตฺวา’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘วิสิเพฺพตฺวา วา วิสิพฺพาเปตฺวา วา’’ติ (ปาจิ. ๘๙๓)ฯ อนนฺตรายาติ ทสสุ อนฺตราเยสุ อญฺญตรนฺตรายรหิตาฯ ตํ วิสิพฺพิตํ, วิสิพฺพาปิตํ วา จีวรํฯ ‘‘อนนฺตรายา ตํ ปจฺฉา’’ติ วตฺตเพฺพ คาถาพนฺธวเสน รโสฺส กโตฯ น สิเพฺพยฺยาติ เอตฺถาปิ ‘‘น สิพฺพาเปยฺยา’’ติ เสโสฯ ยถาห ‘‘เนว สิเพฺพยฺย, น สิพฺพาปนาย อุสฺสุกฺกํ กเรยฺยา’’ติ (ปาจิ. ๘๙๓)ฯ
2217-8.Dussibbitaṃ cīvaranti asakkaccasibbitaṃ cīvaraṃ. Visibbetvāti dussibbitaṃ puna sibbanatthāya sayaṃ vā vigatasibbanaṃ katvā. ‘‘Visibbāpetvā’’ti seso. Yathāha ‘‘visibbetvā vā visibbāpetvā vā’’ti (pāci. 893). Anantarāyāti dasasu antarāyesu aññatarantarāyarahitā. Taṃ visibbitaṃ, visibbāpitaṃ vā cīvaraṃ. ‘‘Anantarāyā taṃ pacchā’’ti vattabbe gāthābandhavasena rasso kato. Na sibbeyyāti etthāpi ‘‘na sibbāpeyyā’’ti seso. Yathāha ‘‘neva sibbeyya, na sibbāpanāya ussukkaṃ kareyyā’’ti (pāci. 893).
จตุปญฺจาหนฺติ เอตฺถ ‘‘อุตฺตริฉปฺปญฺจวาจาหิ (ปาจิ. ๖๒-๖๔), อุตฺตริทิรตฺตติรตฺต’’นฺติอาทีสุ (ปาจิ. ๕๑-๕๒) วิย อปฺปสงฺขฺยาย พหุสงฺขฺยายํ อโนฺตคธเตฺตปิ อุภยวจนํ โลกโวหารวเสน วจนสิลิฎฺฐตายาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ธุเรติ สิพฺพนุสฺสาเหฯ นิกฺขิตฺตมเตฺตติ วิสฺสฎฺฐมเตฺตฯ
Catupañcāhanti ettha ‘‘uttarichappañcavācāhi (pāci. 62-64), uttaridirattatiratta’’ntiādīsu (pāci. 51-52) viya appasaṅkhyāya bahusaṅkhyāyaṃ antogadhattepi ubhayavacanaṃ lokavohāravasena vacanasiliṭṭhatāyāti daṭṭhabbaṃ. Dhureti sibbanussāhe. Nikkhittamatteti vissaṭṭhamatte.
๒๒๑๙. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ อุปสมฺปนฺนาย อุปสมฺปนฺนสญฺญา, เวมติกา, อนุปสมฺปนฺนสญฺญาติ ตีสุ วาเรสุ ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ เสสายาติ อนุปสมฺปนฺนายฯ ติกทุกฺกฎนฺติ วารตฺตเย ทุกฺกฎตฺตยํฯ
2219.Tikapācittiyaṃ vuttanti upasampannāya upasampannasaññā, vematikā, anupasampannasaññāti tīsu vāresu tikapācittiyaṃ vuttaṃ. Sesāyāti anupasampannāya. Tikadukkaṭanti vārattaye dukkaṭattayaṃ.
๒๒๒๐. อุภินฺนนฺติ อุปสมฺปนฺนานุปสมฺปนฺนานํฯ อญฺญสฺมินฺติ จีวรโต อญฺญสฺมิํฯ อนฺตราเยปิ วา สตีติ ราชโจราทิอนฺตรายานํ ทสนฺนํ อญฺญตเร สติฯ
2220.Ubhinnanti upasampannānupasampannānaṃ. Aññasminti cīvarato aññasmiṃ. Antarāyepi vā satīti rājacorādiantarāyānaṃ dasannaṃ aññatare sati.
๒๒๒๑. ‘‘ธุรนิเกฺขปนํ นาม, สมุฎฺฐานมิทํ มต’’นฺติ อิทํ อฎฺฐกถาย ‘‘ธุรนิเกฺขปสมุฎฺฐาน’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๙๓) วุตฺตเมว คเหตฺวา วุตฺตํ, เตรสสุ สมุฎฺฐานสีเสสุ ‘‘ธุรนิเกฺขปสมุฎฺฐาน’’นฺติ วิสุํ สมุฎฺฐานสีสํ นาม นตฺถิฯ มาติกฎฺฐกถายญฺจ ‘‘สมนุภาสนสมุฎฺฐาน’’นฺติ (กงฺขา. อฎฺฐ. จีวรสิพฺพนสิกฺขาปทวณฺณนา, อตฺถโต สมานํ) วุตฺตํ, ตํ สมุฎฺฐานสีเสสุ อโนฺตคธเมวฯ ตสฺมา ‘‘ธุรนิเกฺขปสมุฎฺฐาน’’นฺติ อิทํ สมนุภาสนสมุฎฺฐานเสฺสว ปริยาโยติ คเหตพฺพํฯ
2221.‘‘Dhuranikkhepanaṃ nāma, samuṭṭhānamidaṃ mata’’nti idaṃ aṭṭhakathāya ‘‘dhuranikkhepasamuṭṭhāna’’nti (pāci. aṭṭha. 893) vuttameva gahetvā vuttaṃ, terasasu samuṭṭhānasīsesu ‘‘dhuranikkhepasamuṭṭhāna’’nti visuṃ samuṭṭhānasīsaṃ nāma natthi. Mātikaṭṭhakathāyañca ‘‘samanubhāsanasamuṭṭhāna’’nti (kaṅkhā. aṭṭha. cīvarasibbanasikkhāpadavaṇṇanā, atthato samānaṃ) vuttaṃ, taṃ samuṭṭhānasīsesu antogadhameva. Tasmā ‘‘dhuranikkhepasamuṭṭhāna’’nti idaṃ samanubhāsanasamuṭṭhānasseva pariyāyoti gahetabbaṃ.
ตติยํฯ
Tatiyaṃ.
๒๒๒๒. ปญฺจ อหานิ ปญฺจาหํ, ปญฺจาหเมว ปญฺจาหิกํฯ ‘‘อติกฺกเมยฺยา’’ติ กิริยาย ทฺวิกมฺมกตฺตา ‘‘ปญฺจาหิก’’นฺติ จ ‘‘สงฺฆาฎิจาร’’นฺติ จ อุปโยคเตฺถ เอว อุปโยควจนํฯ สงฺฆฎิตเฎฺฐน สงฺฆาฎิ, อิติ วกฺขมานานํ ปญฺจนฺนํ จีวรานเมวาธิวจนํ, สงฺฆาฎีนํ จาโร สงฺฆาฎิจาโร, ปริโภควเสน วา โอตาปนวเสน วา ปริวตฺตนนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ปญฺจาหิกํ สงฺฆาฎิจารํ อติกฺกเมยฺยาติ ปญฺจมํ ทิวสํ ปญฺจ จีวรานิ เนว นิวาเสติ น ปารุปติ น โอตาเปติ ปญฺจมํ ทิวสํ อติกฺกาเมติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๘๙๙) วจนโต ปญฺจทิวสพฺภนฺตเร ยํ กิญฺจิ อกตฺวา อติกฺกาเมนฺติยา จีวรคณนาย ปาจิตฺติ โหตีติ ทเสฺสตุมาห ‘‘ยาติกฺกเมยฺยา’’ติอาทิฯ
2222. Pañca ahāni pañcāhaṃ, pañcāhameva pañcāhikaṃ. ‘‘Atikkameyyā’’ti kiriyāya dvikammakattā ‘‘pañcāhika’’nti ca ‘‘saṅghāṭicāra’’nti ca upayogatthe eva upayogavacanaṃ. Saṅghaṭitaṭṭhena saṅghāṭi, iti vakkhamānānaṃ pañcannaṃ cīvarānamevādhivacanaṃ, saṅghāṭīnaṃ cāro saṅghāṭicāro, paribhogavasena vā otāpanavasena vā parivattananti attho. ‘‘Pañcāhikaṃ saṅghāṭicāraṃ atikkameyyāti pañcamaṃ divasaṃ pañca cīvarāni neva nivāseti na pārupati na otāpeti pañcamaṃ divasaṃ atikkāmeti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 899) vacanato pañcadivasabbhantare yaṃ kiñci akatvā atikkāmentiyā cīvaragaṇanāya pācitti hotīti dassetumāha ‘‘yātikkameyyā’’tiādi.
๒๒๒๓. ติจีวรนฺติ อนฺตรวาสกอุตฺตราสงฺคสงฺฆาฎิสงฺขาตํ ติจีวรญฺจฯ สํกจฺจีติ ถนเวฐนสงฺขาตํ จีวรญฺจฯ ทกสาฎีติ อุตุนิกาเล นิวาเสตพฺพอุทกสาฎิจีวรญฺจฯ อิติ อิเม ปญฺจฯ ปญฺจ ตูติ ปญฺจ จีวรานิ นามฯ
2223.Ticīvaranti antaravāsakauttarāsaṅgasaṅghāṭisaṅkhātaṃ ticīvarañca. Saṃkaccīti thanaveṭhanasaṅkhātaṃ cīvarañca. Dakasāṭīti utunikāle nivāsetabbaudakasāṭicīvarañca. Iti ime pañca. Pañca tūti pañca cīvarāni nāma.
๒๒๒๔-๕. ติกปาจิตฺตีติ ปญฺจาหาติกฺกนฺตสญฺญา, เวมติกา, อนติกฺกนฺตสญฺญาติ วิกปฺปตฺตเย ปาจิตฺติยตฺตยํ โหติฯ ปญฺจาหานติกฺกเนฺต อติกฺกนฺตสญฺญาเวมติกานํ วเสน ทฺวิกทุกฺกฎํฯ
2224-5.Tikapācittīti pañcāhātikkantasaññā, vematikā, anatikkantasaññāti vikappattaye pācittiyattayaṃ hoti. Pañcāhānatikkante atikkantasaññāvematikānaṃ vasena dvikadukkaṭaṃ.
‘‘ปญฺจเม ทิวเส’’ติอาทิ อนาปตฺติวารสนฺทสฺสนํฯ นิเสวตีติ นิวาเสติ วา ปารุปติ วาฯ โอตาเปตีติ เอตฺถ วา-สโทฺท ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐ, โอตาเปติ วาติ อโตฺถฯ อาปทาสุปีติ มหคฺฆํ จีวรํ, น สกฺกา โหติ โจรภยาทีสุ ปริภุญฺชิตุํ, เอวรูเป อุปทฺทเว อนาปตฺติฯ
‘‘Pañcame divase’’tiādi anāpattivārasandassanaṃ. Nisevatīti nivāseti vā pārupati vā. Otāpetīti ettha vā-saddo luttaniddiṭṭho, otāpeti vāti attho. Āpadāsupīti mahagghaṃ cīvaraṃ, na sakkā hoti corabhayādīsu paribhuñjituṃ, evarūpe upaddave anāpatti.
จตุตฺถํฯ
Catutthaṃ.
๒๒๒๖. อญฺญิสฺสา สงฺกเมตพฺพจีวรํ อนาปุจฺฉา คเหตฺวา ยา ปริภุญฺชติ, ตสฺสา ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนา, อญฺญิสฺสา อุปสมฺปนฺนาย สนฺตกํ ปญฺจนฺนํ จีวรานํ อญฺญตรํ ตสฺสา อวตฺวา อาทาย ปุน ตสฺสา ทาตพฺพํ, อทตฺวา ยา ภิกฺขุนี ปฎิเสวติ, ตสฺสา ปาจิตฺติยํ โหตีติ อโตฺถฯ ‘‘สงฺกเมตพฺพจีวรํ สงฺกมนีย’’นฺติ ปริยายสทฺทา เอเตฯ ยถาห ‘‘จีวรสงฺกมนียนฺติ สงฺกเมตพฺพจีวรํ, อญฺญิสฺสา สนฺตกํ อนาปุจฺฉา คหิตํ ปุน ปฎิทาตพฺพจีวรนฺติ อโตฺถ’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๐๓)ฯ
2226. Aññissā saṅkametabbacīvaraṃ anāpucchā gahetvā yā paribhuñjati, tassā pācittiyaṃ siyāti yojanā, aññissā upasampannāya santakaṃ pañcannaṃ cīvarānaṃ aññataraṃ tassā avatvā ādāya puna tassā dātabbaṃ, adatvā yā bhikkhunī paṭisevati, tassā pācittiyaṃ hotīti attho. ‘‘Saṅkametabbacīvaraṃ saṅkamanīya’’nti pariyāyasaddā ete. Yathāha ‘‘cīvarasaṅkamanīyanti saṅkametabbacīvaraṃ, aññissā santakaṃ anāpucchā gahitaṃ puna paṭidātabbacīvaranti attho’’ti (pāci. aṭṭha. 903).
๒๒๒๗. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘อุปสมฺปนฺนาย อุปสมฺปนฺนสญฺญา…เป.… เวมติกา …เป.… อนุปสมฺปนฺนสญฺญา จีวรสงฺกมนียํ ธาเรติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๙๐๕) เอวํ ติกปาจิตฺติยํ ปาฬิยํ วุตฺตํฯ เสสายาติ อนุปสมฺปนฺนายฯ ‘‘ติกทุกฺกฎ’’นฺติ อิทญฺจ วุตฺตนยเมวฯ อาปทาสูติ สเจ อปารุตํ วา อนิวตฺถํ วา โจรา หรนฺติ, เอวรูปาสุ อาปทาสุ วาฯ
2227.Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘upasampannāya upasampannasaññā…pe… vematikā …pe… anupasampannasaññā cīvarasaṅkamanīyaṃ dhāreti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 905) evaṃ tikapācittiyaṃ pāḷiyaṃ vuttaṃ. Sesāyāti anupasampannāya. ‘‘Tikadukkaṭa’’nti idañca vuttanayameva. Āpadāsūti sace apārutaṃ vā anivatthaṃ vā corā haranti, evarūpāsu āpadāsu vā.
๒๒๒๘. เอตํ สมุฎฺฐานํ กถิเนน ตุลฺยนฺติ โยชนาฯ คหณํ, ปริโภโค จ กฺริยํฯ อนาปุจฺฉนํ อกฺริยํฯ
2228. Etaṃ samuṭṭhānaṃ kathinena tulyanti yojanā. Gahaṇaṃ, paribhogo ca kriyaṃ. Anāpucchanaṃ akriyaṃ.
ปญฺจมํฯ
Pañcamaṃ.
๒๒๒๙. ลภิตพฺพํ ตุ จีวรนฺติ ลภิตพฺพํ วิกปฺปนุปคํ จีวรํฯ นิวาเรตีติ ยถา เต ทาตุกามา น เทนฺติ, เอวํ อนฺตรายํ ปรกฺกมติฯ ปาจิตฺติํ ปริทีปเยติ สเจ ตสฺสา วจเนน เต น เทนฺติ, ภิกฺขุนิยา ปาจิตฺติยํ วเทยฺยาติ อโตฺถฯ
2229.Labhitabbaṃ tu cīvaranti labhitabbaṃ vikappanupagaṃ cīvaraṃ. Nivāretīti yathā te dātukāmā na denti, evaṃ antarāyaṃ parakkamati. Pācittiṃ paridīpayeti sace tassā vacanena te na denti, bhikkhuniyā pācittiyaṃ vadeyyāti attho.
๒๒๓๐. เอตฺถ ปฐมํ ‘‘สงฺฆสฺสา’’ติ วุตฺตตฺตา คณสฺสาติ เทฺว ตโยว คเหตพฺพาฯ ลาเภติ เอตฺถ ‘‘นิวาริเต’’ติ เสโสฯ สเจ อญฺญํ ปริกฺขารํ นิวาเรติ, ตเถว ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ อญฺญนฺติ วิกปฺปนุปคจีวรโต อญฺญํฯ ปริกฺขารนฺติ ยํ กิญฺจิ ถาลกาทีนํ วา สปฺปิเตลาทีนํ วา อญฺญตรํฯ
2230. Ettha paṭhamaṃ ‘‘saṅghassā’’ti vuttattā gaṇassāti dve tayova gahetabbā. Lābheti ettha ‘‘nivārite’’ti seso. Sace aññaṃ parikkhāraṃ nivāreti, tatheva dukkaṭanti yojanā. Aññanti vikappanupagacīvarato aññaṃ. Parikkhāranti yaṃ kiñci thālakādīnaṃ vā sappitelādīnaṃ vā aññataraṃ.
๒๒๓๑. อานิสํสํ นิทเสฺสตฺวาติ ‘‘กิตฺตกํ อคฺฆนกํ ทาตุกามตฺถาติ ปุจฺฉติ, ‘เอตฺตกํ นามา’ติ วทนฺติ, ‘อาคเมถ ตาว, อิทานิ วตฺถุ มหคฺฆํ, กติปาเหน กปฺปาเส อาคเต สมคฺฆํ ภวิสฺสตี’’ติ เอวํ อานิสํสํ ทเสฺสตฺวาฯ น โทสตาติ น โทโส, อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ
2231.Ānisaṃsaṃ nidassetvāti ‘‘kittakaṃ agghanakaṃ dātukāmatthāti pucchati, ‘ettakaṃ nāmā’ti vadanti, ‘āgametha tāva, idāni vatthu mahagghaṃ, katipāhena kappāse āgate samagghaṃ bhavissatī’’ti evaṃ ānisaṃsaṃ dassetvā. Na dosatāti na doso, anāpattīti attho.
ฉฎฺฐํฯ
Chaṭṭhaṃ.
๒๒๓๒-๓. ธมฺมิกํ สมเคฺคน สเงฺฆน สนฺนิปติตฺวา กริยมานํ จีวรานํ วิภงฺคํ ภาชนํ ยา ภิกฺขุนี ปฎิเสเธยฺย ปฎิพาเหยฺย, ตสฺสา เอวํ ปฎิเสเธนฺติยา ปาจิตฺติยํ โหตีติ โยชนาฯ อธเมฺม ธมฺมสญฺญาย ทุกฺกฎํ ปริทีปิตนฺติ โยชนาฯ อุโภ เวมติกาย วาติ อุโภสุ เวมติกายฯ คาถาพนฺธวเสน สุ-สทฺทโลโปฯ ธมฺมิเก อธมฺมิเก จีวรวิภเงฺค เวมติกาย ปฎิพาหนฺติยา ทุกฺกฎํ ปริทีปิตนฺติ โยชนาฯ ยถาห ‘‘ธมฺมิเก เวมติกา ปฎิพาหติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อธมฺมิเก เวมติกา ปฎิพาหติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติฯ อานิสํสํ นิทเสฺสตฺวาติ ‘‘เอกิสฺสา เอกํ สาฎกํ นปฺปโหติ, อาคเมถ ตาว, กติปาเหเนว อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตโต ภาเชสฺสามี’’ติ (ปาจิ. ๙๑๔) เอวํ อานิสํสํ ทเสฺสตฺวาฯ
2232-3.Dhammikaṃ samaggena saṅghena sannipatitvā kariyamānaṃ cīvarānaṃ vibhaṅgaṃ bhājanaṃ yā bhikkhunī paṭisedheyya paṭibāheyya, tassā evaṃ paṭisedhentiyā pācittiyaṃ hotīti yojanā. Adhamme dhammasaññāya dukkaṭaṃ paridīpitanti yojanā. Ubho vematikāya vāti ubhosu vematikāya. Gāthābandhavasena su-saddalopo. Dhammike adhammike cīvaravibhaṅge vematikāya paṭibāhantiyā dukkaṭaṃ paridīpitanti yojanā. Yathāha ‘‘dhammike vematikā paṭibāhati, āpatti dukkaṭassa. Adhammike vematikā paṭibāhati, āpatti dukkaṭassā’’ti. Ānisaṃsaṃ nidassetvāti ‘‘ekissā ekaṃ sāṭakaṃ nappahoti, āgametha tāva, katipāheneva uppajjissati, tato bhājessāmī’’ti (pāci. 914) evaṃ ānisaṃsaṃ dassetvā.
สตฺตมํฯ
Sattamaṃ.
๒๒๓๕-๖. นิวาสนุปคํ วา ตถา ปารุปนุปคํ วา กปฺปพินฺทุกตํ วา ยํ กิญฺจิ จีวรํ ปญฺจ สหธมฺมิเก จ มาตาปิตโรปิ มุญฺจิตฺวา อญฺญสฺส ยสฺส กสฺสจิ คหฎฺฐสฺส วา ปริพฺพาชกสฺส วา ยทิ ทเทยฺย, ตสฺสาปิ ปาจิตฺติยํ ปริยาปุตนฺติ โยชนาฯ เอตฺถ จ ‘‘ปิตโร’’ติ มาตา จ ปิตา จ มาตาปิตโรติ วตฺตเพฺพ วิรูเปกเสสวเสน นิเทฺทโส ทฎฺฐโพฺพฯ
2235-6. Nivāsanupagaṃ vā tathā pārupanupagaṃ vā kappabindukataṃ vā yaṃ kiñci cīvaraṃ pañca sahadhammike ca mātāpitaropi muñcitvā aññassa yassa kassaci gahaṭṭhassa vā paribbājakassa vā yadi dadeyya, tassāpi pācittiyaṃ pariyāputanti yojanā. Ettha ca ‘‘pitaro’’ti mātā ca pitā ca mātāpitaroti vattabbe virūpekasesavasena niddeso daṭṭhabbo.
๒๒๓๗. เอตฺถ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท ตา ปน ปาจิตฺติโย จีวรานํ คณนาย วเสน คเณตพฺพาติ โยชนาฯ
2237.Ettha imasmiṃ sikkhāpade tā pana pācittiyo cīvarānaṃ gaṇanāya vasena gaṇetabbāti yojanā.
๒๒๓๘. ตาว สมฺปฎิจฺฉิโต กาโล เอตสฺสาติ ตาวกาลิกํ, จีวรํฯ ‘‘อญฺญสฺสา’’ติ ปุเพฺพ วุตฺตสฺส ทูรตฺตา ปุนปิ ‘‘อเญฺญส’’นฺติ อาห, โสเยวโตฺถฯ
2238. Tāva sampaṭicchito kālo etassāti tāvakālikaṃ, cīvaraṃ. ‘‘Aññassā’’ti pubbe vuttassa dūrattā punapi ‘‘aññesa’’nti āha, soyevattho.
อฎฺฐมํฯ
Aṭṭhamaṃ.
๒๒๓๙. ยา ปน ภิกฺขุนี ‘‘สเจ มยํ สโกฺกม, ทสฺสาม กริสฺสามาติ เอวํ วาจา ภินฺนา โหตี’’ติ วุตฺตาย ทุพฺพลาย จีวรปจฺจาสาย จีวรสฺส วิภงฺคํ นิเสเธตฺวา จีวเร กาลํ อติกฺกเมยฺย, อสฺสา โทสตา ปาจิตฺติยาปตฺติ โหตีติ โยชนาฯ จีวเร กาลนฺติ ‘‘จีวรกาลสมโย นาม อนตฺถเต กถิเน วสฺสานสฺส ปจฺฉิโม มาโส, อตฺถเต กถิเน ปญฺจมาสา’’ติ (ปาจิ. ๙๒๒) ปทภาชเน วุตฺตํ จีวรกาลํฯ อติกฺกเมยฺยาติ ‘‘อนตฺถเต กถิเน วสฺสานสฺส ปจฺฉิมํ ทิวสํ, อตฺถเต กถิเน กถินุทฺธารทิวสํ อติกฺกาเมตี’’ติ วุตฺตวิธิํ อติกฺกาเมยฺยฯ
2239. Yā pana bhikkhunī ‘‘sace mayaṃ sakkoma, dassāma karissāmāti evaṃ vācā bhinnā hotī’’ti vuttāya dubbalāya cīvarapaccāsāya cīvarassa vibhaṅgaṃ nisedhetvā cīvare kālaṃ atikkameyya, assā dosatā pācittiyāpatti hotīti yojanā. Cīvare kālanti ‘‘cīvarakālasamayo nāma anatthate kathine vassānassa pacchimo māso, atthate kathine pañcamāsā’’ti (pāci. 922) padabhājane vuttaṃ cīvarakālaṃ. Atikkameyyāti ‘‘anatthate kathine vassānassa pacchimaṃ divasaṃ, atthate kathine kathinuddhāradivasaṃ atikkāmetī’’ti vuttavidhiṃ atikkāmeyya.
๒๒๔๐. ‘‘อทุพฺพลจีวเร ทุพฺพลจีวรสญฺญา, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ วจนโต สุทุพฺพลนฺติ เจตสาติ เอตฺถ สุ-สโทฺท ปทปูรเณฯ อุโภสูติ ทุพฺพเล, อทุพฺพเล จฯ กงฺขิตาย วาติ เวมติกาย วาฯ
2240. ‘‘Adubbalacīvare dubbalacīvarasaññā, āpatti dukkaṭassā’’ti vacanato sudubbalanti cetasāti ettha su-saddo padapūraṇe. Ubhosūti dubbale, adubbale ca. Kaṅkhitāya vāti vematikāya vā.
๒๒๔๑. อานิสํสํ นิทเสฺสตฺวาติ ‘‘กิญฺจาปิ ‘น มยํ อเยฺย สโกฺกมา’ติ วทนฺติ, อิทานิ ปน เตสํ กปฺปาโส อาคมิสฺสติ, สโทฺธ ปสโนฺน ปุริโส อาคมิสฺสติ , อทฺธา ทสฺสตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๒๑) เอวํ อฎฺฐกถาย วุตฺตนเยน อานิสํสํ ทเสฺสตฺวาฯ
2241.Ānisaṃsaṃ nidassetvāti ‘‘kiñcāpi ‘na mayaṃ ayye sakkomā’ti vadanti, idāni pana tesaṃ kappāso āgamissati, saddho pasanno puriso āgamissati , addhā dassatī’’ti (pāci. aṭṭha. 921) evaṃ aṭṭhakathāya vuttanayena ānisaṃsaṃ dassetvā.
นวมํฯ
Navamaṃ.
๒๒๔๒. ธมฺมิกํ กถินุทฺธารนฺติ ‘‘ธมฺมิโก นาม กถินุทฺธาโร สมโคฺค ภิกฺขุนิสโงฺฆ สนฺนิปติตฺวา อุทฺธรตี’’ติ (ปาจิ. ๙๒๙) วุตฺตํ กถินุทฺธารํฯ
2242.Dhammikaṃ kathinuddhāranti ‘‘dhammiko nāma kathinuddhāro samaggo bhikkhunisaṅgho sannipatitvā uddharatī’’ti (pāci. 929) vuttaṃ kathinuddhāraṃ.
๒๒๔๓. ยสฺสาติ ยสฺส กถินสฺสฯ อตฺถารมูลโก อานิสํโส นาม ‘‘โย จ ตตฺถ จีวรุปฺปาโท, โส เนสํ ภวิสฺสตี’’ติ (มหาว. ๓๐๖) อนุญฺญาโต ตสฺมิํ วิหาเร อุปฺปชฺชนกจีวรวตฺถานิสํโสฯ อุทฺธารมูลโก นาม อนฺตรุพฺภารํ การาเปเนฺตหิ อุปาสเกหิ ทิยฺยมานจีวรวตฺถานิสํโสฯ
2243.Yassāti yassa kathinassa. Atthāramūlako ānisaṃso nāma ‘‘yo ca tattha cīvaruppādo, so nesaṃ bhavissatī’’ti (mahāva. 306) anuññāto tasmiṃ vihāre uppajjanakacīvaravatthānisaṃso. Uddhāramūlako nāma antarubbhāraṃ kārāpentehi upāsakehi diyyamānacīvaravatthānisaṃso.
๒๒๔๕. สมานิสํโสปีติ อตฺถารอานิสํเสน สมานิสํโสปิ อุพฺภาโรฯ สทฺธาปาลนกอารณาติ ปสาทานุรกฺขนตฺถาย ทาตโพฺพติ โยชนาฯ อานิสํสํ นิทเสฺสตฺวาติ ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ ชิณฺณจีวโร, กถินานิสํสมูลโก มหาลาโภ’’ติ เอวรูปํ อานิสํสํ ทเสฺสตฺวาฯ
2245.Samānisaṃsopīti atthāraānisaṃsena samānisaṃsopi ubbhāro. Saddhāpālanakaāraṇāti pasādānurakkhanatthāya dātabboti yojanā. Ānisaṃsaṃ nidassetvāti ‘‘bhikkhunisaṅgho jiṇṇacīvaro, kathinānisaṃsamūlako mahālābho’’ti evarūpaṃ ānisaṃsaṃ dassetvā.
๒๒๔๖. สมุฎฺฐานาทินา สทฺธิํ เสสํ ปน วินิจฺฉยชาตํ อเสเสน สพฺพากาเรน สตฺตเมน สิกฺขาปเทน สมํ มตํ ‘‘สทิส’’นฺติ วิญฺญาตํฯ กิญฺจิปิ อปฺปกมฺปิ อปุพฺพํ ตตฺถ วุตฺตนยโต อญฺญํ นตฺถีติ โยชนาฯ
2246. Samuṭṭhānādinā saddhiṃ sesaṃ pana vinicchayajātaṃ asesena sabbākārena sattamena sikkhāpadena samaṃ mataṃ ‘‘sadisa’’nti viññātaṃ. Kiñcipi appakampi apubbaṃ tattha vuttanayato aññaṃ natthīti yojanā.
ทสมํฯ
Dasamaṃ.
นคฺควโคฺค ตติโยฯ
Naggavaggo tatiyo.
๒๒๔๗. ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนิโย เทฺว เอกมเญฺจ ตุวเฎฺฎยฺยุํ, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๙๓๓) ปญฺญตฺตสิกฺขาปเท วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอกายา’’ติอาทิฯ เอกายาติ เอกาย ภิกฺขุนิยาฯ อปราติ อญฺญา อุปสมฺปนฺนาฯ นิปเชฺชยฺยุนฺติ เอตฺถ ‘‘เอกมเญฺจ’’ติ เสโสฯ เทฺวติ เทฺว ภิกฺขุนิโยฯ
2247. ‘‘Yā pana bhikkhuniyo dve ekamañce tuvaṭṭeyyuṃ, pācittiya’’nti (pāci. 933) paññattasikkhāpade vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘ekāyā’’tiādi. Ekāyāti ekāya bhikkhuniyā. Aparāti aññā upasampannā. Nipajjeyyunti ettha ‘‘ekamañce’’ti seso. Dveti dve bhikkhuniyo.
๒๒๔๘-๙. ‘‘เอกาย จา’’ติอาทิ อนาปตฺติวารนิเทฺทโสฯ อุโภ วาปิ สมํ นิสีทนฺตีติ โยชนาฯ เอฬเกนาติ เอฬกโลมสิกฺขาปเทนฯ
2248-9.‘‘Ekāya cā’’tiādi anāpattivāraniddeso. Ubho vāpi samaṃ nisīdantīti yojanā. Eḷakenāti eḷakalomasikkhāpadena.
ปฐมํฯ
Paṭhamaṃ.
๒๒๕๐-๑. ปาวารกฎสาราทินฺติ เอตฺถ ภุเมฺมกวจนํฯ ‘‘สํหาริเมสู’’ติ อิมินา สมานาธิกรณตฺตา พหุวจนปฺปสเงฺค วจนวิปลฺลาเสเนตฺถ เอกวจนนิเทฺทโสติ ทฎฺฐโพฺพฯ ปาวาโร จ กฎสาโร จ เต อาทิ ยสฺสาติ วิคฺคโห, นิทฺธารเณ เจตํ ภุมฺมํฯ เอกกนฺติ นิทฺธาริตพฺพนิทสฺสนํฯ เอกเมว เอกกํฯ สํหาริเมสุ ปาวาราทีสุ อญฺญตรนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ปาวาโรติ โกชวาทโย’’ติ วทนฺติฯ กฎสาโรติ กโฎเยวฯ อาทิ-สเทฺทน อตฺถริตฺวา สยนารหํ สพฺพํ สงฺคณฺหาติฯ เตเนวาติ ยํ อตฺถตํ, เตเนวฯ ปารุปิตฺวา สเจ ยา ปน เทฺว สเหว นิปชฺชนฺติ, ตาสํ ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนาฯ เอตฺถ จ อตฺถรณปาวุรณกิเจฺจ เอกเสฺสว นิทฺทิฎฺฐตฺตา เอกสฺส อนฺตสฺส อตฺถรณญฺจ เอกสฺส อนฺตสฺส ปารุปนญฺจ วิญฺญายติฯ ยถาห ‘‘สํหาริมานํ ปาวารตฺถรณกฎสารกาทีนํ เอกํ อนฺตํ อตฺถริตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา ตุวเฎฺฎนฺตีนเมตํ อธิวจน’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๓๗)ฯ
2250-1.Pāvārakaṭasārādinti ettha bhummekavacanaṃ. ‘‘Saṃhārimesū’’ti iminā samānādhikaraṇattā bahuvacanappasaṅge vacanavipallāsenettha ekavacananiddesoti daṭṭhabbo. Pāvāro ca kaṭasāro ca te ādi yassāti viggaho, niddhāraṇe cetaṃ bhummaṃ. Ekakanti niddhāritabbanidassanaṃ. Ekameva ekakaṃ. Saṃhārimesu pāvārādīsu aññataranti attho. ‘‘Pāvāroti kojavādayo’’ti vadanti. Kaṭasāroti kaṭoyeva. Ādi-saddena attharitvā sayanārahaṃ sabbaṃ saṅgaṇhāti. Tenevāti yaṃ atthataṃ, teneva. Pārupitvā sace yā pana dve saheva nipajjanti, tāsaṃ pācittiyaṃ siyāti yojanā. Ettha ca attharaṇapāvuraṇakicce ekasseva niddiṭṭhattā ekassa antassa attharaṇañca ekassa antassa pārupanañca viññāyati. Yathāha ‘‘saṃhārimānaṃ pāvārattharaṇakaṭasārakādīnaṃ ekaṃ antaṃ attharitvā ekaṃ pārupitvā tuvaṭṭentīnametaṃ adhivacana’’nti (pāci. aṭṭha. 937).
เอกสฺมิํ เอกตฺถรเณ วา เอกปาวุรเณ วา นิปชฺชเน สติ ตาสํ ทฺวินฺนํ ภิกฺขุนีนํ ทุกฺกฎนฺติ สมฺพโนฺธฯ ทฺวิกทุกฺกฎํ วุตฺตนฺติ ‘‘นานตฺถรณปาวุรเณ เอกตฺถรณปาวุรณสญฺญา…เป.… เวมติกา, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๙๓๙) วุตฺตํ ทุกฺกฎทฺวยํฯ
Ekasmiṃ ekattharaṇe vā ekapāvuraṇe vā nipajjane sati tāsaṃ dvinnaṃ bhikkhunīnaṃ dukkaṭanti sambandho. Dvikadukkaṭaṃ vuttanti ‘‘nānattharaṇapāvuraṇe ekattharaṇapāvuraṇasaññā…pe… vematikā, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 939) vuttaṃ dukkaṭadvayaṃ.
๒๒๕๒. ววตฺถานํ นิทเสฺสตฺวาติ มเชฺฌ กาสาวํ วา กตฺตรยฎฺฐิํ วา อนฺตมโส กายพนฺธนมฺปิ ฐเปตฺวา นิปชฺชนฺติ, อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ เสสํ สมุฎฺฐานาทิวิธานํฯ อาทินาติ อิมสฺมิํเยว วเคฺค ปฐมสิกฺขาปเทนฯ ตุลฺยนฺติ สมานํฯ
2252.Vavatthānaṃ nidassetvāti majjhe kāsāvaṃ vā kattarayaṭṭhiṃ vā antamaso kāyabandhanampi ṭhapetvā nipajjanti, anāpattīti attho. Sesaṃ samuṭṭhānādividhānaṃ. Ādināti imasmiṃyeva vagge paṭhamasikkhāpadena. Tulyanti samānaṃ.
ทุติยํฯ
Dutiyaṃ.
๒๒๕๓. อญฺญิสฺสา ภิกฺขุนิยาฯ อผาสุการณาติ อผาสุกรณเหตุฯ อนาปุจฺฉาติ อนาปุจฺฉิตฺวาฯ ตสฺสา ปุรโต จ จงฺกมนาทโย ยทิ กเรยฺย, เอวํ กโรนฺติยา ปาจิตฺติยาปตฺติ โหตีติ โยชนาฯ จงฺกมนาทโยติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ‘‘ติฎฺฐติ วา นิสีทติ วา เสยฺยํ วา กเปฺปติ อุทฺทิสติ วา อุทฺทิสาเปติ วา สชฺฌายํ วา กโรตี’’ติ (ปาจิ. ๙๔๓) ปทภาชเน วุตฺตานํ สงฺคโหฯ
2253.Aññissā bhikkhuniyā. Aphāsukāraṇāti aphāsukaraṇahetu. Anāpucchāti anāpucchitvā. Tassā purato ca caṅkamanādayo yadi kareyya, evaṃ karontiyā pācittiyāpatti hotīti yojanā. Caṅkamanādayoti ettha ādi-saddena ‘‘tiṭṭhati vā nisīdati vā seyyaṃ vā kappeti uddisati vā uddisāpeti vā sajjhāyaṃ vā karotī’’ti (pāci. 943) padabhājane vuttānaṃ saṅgaho.
๒๒๕๔. นิวตฺตนานํ คณนายาติ จงฺกมนฺติยา จงฺกมสฺส อุภยโกฎิํ ปตฺวา นิวตฺตนฺติยา นิวตฺตนคณนายฯ ปโยคโตเยวาติ ปโยคคณนาเยว, อิริยาปถปริวตฺตนคณนาเยวาติ วุตฺตํ โหติฯ โทสาติ ปาจิตฺติยาปตฺติโยฯ
2254.Nivattanānaṃ gaṇanāyāti caṅkamantiyā caṅkamassa ubhayakoṭiṃ patvā nivattantiyā nivattanagaṇanāya. Payogatoyevāti payogagaṇanāyeva, iriyāpathaparivattanagaṇanāyevāti vuttaṃ hoti. Dosāti pācittiyāpattiyo.
๒๒๕๕. ปทานํ คณนาวสาติ เอตฺถ อาทิ-สโทฺท ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐฯ ยถาห ‘‘ปทาทิคณนายา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๔๓)ฯ ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ อุปสมฺปนฺนาย อุปสมฺปนฺนสญฺญา, เวมติกา, อนุปสมฺปนฺนสญฺญาติ วิกปฺปตฺตยสฺส วเสน ปาจิตฺติยตฺตยํ วุตฺตํฯ เสสายาติ อนุปสมฺปนฺนายฯ
2255.Padānaṃ gaṇanāvasāti ettha ādi-saddo luttaniddiṭṭho. Yathāha ‘‘padādigaṇanāyā’’ti (pāci. aṭṭha. 943). Tikapācittiyaṃ vuttanti upasampannāya upasampannasaññā, vematikā, anupasampannasaññāti vikappattayassa vasena pācittiyattayaṃ vuttaṃ. Sesāyāti anupasampannāya.
๒๒๕๖. น จ อผาสุกามายาติ อาปุจฺฉิตฺวา ตสฺสา ภิกฺขุนิยา ปุรโต จงฺกมนาทีนิ กโรนฺติยา อนาปตฺตีติ โยชนาฯ
2256.Naca aphāsukāmāyāti āpucchitvā tassā bhikkhuniyā purato caṅkamanādīni karontiyā anāpattīti yojanā.
๒๒๕๗. กฺริยากฺริยนฺติ จงฺกมนาทิกรณํ กิริยํฯ อาปุจฺฉาย อกรณํ อกิริยํฯ ปาปมานสนฺติ อกุสลจิตฺตํฯ
2257.Kriyākriyanti caṅkamanādikaraṇaṃ kiriyaṃ. Āpucchāya akaraṇaṃ akiriyaṃ. Pāpamānasanti akusalacittaṃ.
ตติยํฯ
Tatiyaṃ.
๒๒๕๘-๙. อนนฺตรายาติ วกฺขมาเนสุ ราชนฺตรายาทีสุ ทสสุ อนฺตราเยสุ อญฺญตรรหิตา ภิกฺขุนีฯ ทุกฺขิตนฺติ คิลานํฯ ยถาห ‘‘ทุกฺขิตา นาม คิลานา วุจฺจตี’’ติ (ปาจิ. ๙๔๘)ฯ สหชีวินินฺติ สทฺธิวิหารินิํฯ ยถาห ‘‘สหชีวินี นาม สทฺธิวิหารินี วุจฺจตี’’ติฯ อญฺญาย วา นุปฎฺฐาเปยฺยาติ อญฺญาย ภิกฺขุนิยา, สิกฺขมานาย, สามเณริยา วา คิหินิยา วา อุปฎฺฐานํ น การาเปยฺยฯ นุปเฎฺฐยฺย สยมฺปิ วาติ ยา อุปฎฺฐานํ น กเรยฺยฯ ธุเร นิกฺขิตฺตมเตฺต วาติ ‘‘เนว อุปเฎฺฐสฺสามิ, น อุปฎฺฐาปนาย อุสฺสุกฺกํ กริสฺสามี’’ติ ธุเร อุสฺสาเห นิกฺขิตฺตมเตฺตเยวฯ ตสฺสาติ อุปชฺฌายายฯ
2258-9.Anantarāyāti vakkhamānesu rājantarāyādīsu dasasu antarāyesu aññatararahitā bhikkhunī. Dukkhitanti gilānaṃ. Yathāha ‘‘dukkhitā nāma gilānā vuccatī’’ti (pāci. 948). Sahajīvininti saddhivihāriniṃ. Yathāha ‘‘sahajīvinī nāma saddhivihārinī vuccatī’’ti. Aññāya vā nupaṭṭhāpeyyāti aññāya bhikkhuniyā, sikkhamānāya, sāmaṇeriyā vā gihiniyā vā upaṭṭhānaṃ na kārāpeyya. Nupaṭṭheyya sayampi vāti yā upaṭṭhānaṃ na kareyya. Dhure nikkhittamatte vāti ‘‘neva upaṭṭhessāmi, na upaṭṭhāpanāya ussukkaṃ karissāmī’’ti dhure ussāhe nikkhittamatteyeva. Tassāti upajjhāyāya.
อเนฺตวาสินิยา วาปีติ ปพฺพชฺชาอุปสมฺปทาธมฺมนิสฺสยวเสน จตุพฺพิธาสุ อเนฺตวาสินีสุ อญฺญตรายฯ อิตรายาติ อนุปสมฺปนฺนายฯ
Antevāsiniyā vāpīti pabbajjāupasampadādhammanissayavasena catubbidhāsu antevāsinīsu aññatarāya. Itarāyāti anupasampannāya.
๒๒๖๐. คิลานายาติ สยํ คิลานายฯ ‘‘คเวสิตฺวา อลภนฺติยา’’ติ ปทเจฺฉโท, อญฺญํ อุปฎฺฐายิกํ ปริเยสิตฺวา อลภมานายาติ อโตฺถฯ ‘‘อาปทาสุ อุมฺมตฺติกาทีน’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ คาถาพนฺธวเสน วณฺณโลโปปิ ทฎฺฐโพฺพฯ อาปทาสูติ ตถารูเป อุปทฺทเว สติฯ ธุรนิเกฺขปโนทยนฺติ ธุรนิเกฺขปสมุฎฺฐานํฯ ยเทตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ
2260.Gilānāyāti sayaṃ gilānāya. ‘‘Gavesitvā alabhantiyā’’ti padacchedo, aññaṃ upaṭṭhāyikaṃ pariyesitvā alabhamānāyāti attho. ‘‘Āpadāsu ummattikādīna’’nti padacchedo. Gāthābandhavasena vaṇṇalopopi daṭṭhabbo. Āpadāsūti tathārūpe upaddave sati. Dhuranikkhepanodayanti dhuranikkhepasamuṭṭhānaṃ. Yadettha vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttameva.
จตุตฺถํฯ
Catutthaṃ.
๒๒๖๑-๒. ปุคฺคลิกสฺส อตฺตายตฺตปรายตฺตวเสน อนิยมิตตฺตา ‘‘สก’’นฺติ อิมินา นิยเมติฯ สกํ ปุคฺคลิกนฺติ อตฺตโน ปุคฺคลิกํฯ ทตฺวาติ เอตฺถ ‘‘ภิกฺขุนิยา’’ติ เสโสฯ สกวาฎนฺติ ปริวตฺตกทฺวารกวาฎสหิตํฯ อุปสฺสยนฺติ เคหํฯ ทฺวาราทีสูติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน คพฺภปมุขานํ สงฺคโห, นิทฺธารเณ เจตํ ภุมฺมํฯ พหูนิปีติ นิทฺธาเรตพฺพนิทสฺสนํฯ พหูนิปิ ทฺวารานิ วา พหู คเพฺภ วา พหูนิ ปมุขานิ วาฯ ตนฺติ ยสฺสา อุปสฺสโย ทิโนฺน, ตํ ภิกฺขุนิํฯ นิกฺกฑฺฒนฺติยาติ อติกฺกาเมนฺติยาฯ ตสฺสาติ ยา นิกฺกฑฺฒติ, ตสฺสาฯ
2261-2. Puggalikassa attāyattaparāyattavasena aniyamitattā ‘‘saka’’nti iminā niyameti. Sakaṃ puggalikanti attano puggalikaṃ. Datvāti ettha ‘‘bhikkhuniyā’’ti seso. Sakavāṭanti parivattakadvārakavāṭasahitaṃ. Upassayanti gehaṃ. Dvārādīsūti ettha ādi-saddena gabbhapamukhānaṃ saṅgaho, niddhāraṇe cetaṃ bhummaṃ. Bahūnipīti niddhāretabbanidassanaṃ. Bahūnipi dvārāni vā bahū gabbhe vā bahūni pamukhāni vā. Tanti yassā upassayo dinno, taṃ bhikkhuniṃ. Nikkaḍḍhantiyāti atikkāmentiyā. Tassāti yā nikkaḍḍhati, tassā.
๒๒๖๓. เอตฺถาติ นิกฺกฑฺฒเนฯ เอเสว นโยติ ‘‘ปโยคคณนาย อาปตฺตี’’ติ ทสฺสิตนโยฯ เอตฺถ ปโยโค นาม อาณาปนํ, อิมินา ‘‘เอกายาณตฺติยา อเนเกสุ ทฺวาเรสุ อติกฺกามิเตสุปิ เอกาว อาปตฺติ โหตี’’ติ เอวมาทิกํ อฎฺฐกถาคตวินิจฺฉยํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๔๓, ๙๕๒ อตฺถโต สมานํ) สงฺคณฺหาติฯ
2263.Etthāti nikkaḍḍhane. Eseva nayoti ‘‘payogagaṇanāya āpattī’’ti dassitanayo. Ettha payogo nāma āṇāpanaṃ, iminā ‘‘ekāyāṇattiyā anekesu dvāresu atikkāmitesupi ekāva āpatti hotī’’ti evamādikaṃ aṭṭhakathāgatavinicchayaṃ (pāci. aṭṭha. 943, 952 atthato samānaṃ) saṅgaṇhāti.
๒๒๖๔. เตสุ วินิจฺฉเยสุ เอกํ วินิจฺฉยวิเสสํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอตฺตกาว อิมํ ทฺวารา’’ติอาทิฯ ทฺวารคณนาย อาปตฺติโย ทฺวารคณนาปตฺติโยฯ
2264. Tesu vinicchayesu ekaṃ vinicchayavisesaṃ dassetumāha ‘‘ettakāva imaṃ dvārā’’tiādi. Dvāragaṇanāya āpattiyo dvāragaṇanāpattiyo.
๒๒๖๕. อกวาฎมฺหาติ อกวาฎพนฺธโต อุปสฺสยา นิกฺกฑฺฒนฺติยา ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ เสสายาติ อนุปสมฺปนฺนายฯ ติกทุกฺกฎนฺติ อนุปสมฺปนฺนาย อุปสมฺปนฺนสญฺญาย, เวมติกาย, อนุปสมฺปนฺนสญฺญาย จ วเสน ติกทุกฺกฎํฯ อุภินฺนนฺติ อุปสมฺปนฺนานุปสมฺปนฺนานํฯ ปริกฺขาเรสูติ ปตฺตจีวราทีสุ ปริกฺขาเรสุ ฯ สพฺพตฺถาติ สเพฺพสุ ปโยเคสุ, นิกฺกฑฺฒิยมาเนสุ, นิกฺกฑฺฒาปิยมาเนสุ จาติ วุตฺตํ โหติฯ
2265.Akavāṭamhāti akavāṭabandhato upassayā nikkaḍḍhantiyā dukkaṭanti yojanā. Sesāyāti anupasampannāya. Tikadukkaṭanti anupasampannāya upasampannasaññāya, vematikāya, anupasampannasaññāya ca vasena tikadukkaṭaṃ. Ubhinnanti upasampannānupasampannānaṃ. Parikkhāresūti pattacīvarādīsu parikkhāresu . Sabbatthāti sabbesu payogesu, nikkaḍḍhiyamānesu, nikkaḍḍhāpiyamānesu cāti vuttaṃ hoti.
๒๒๖๖. เอตฺถ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท สมุฎฺฐานาทิวินิจฺฉเยน สห เสสํ วินิจฺฉยชาตํ อเสเสน สพฺพปฺปกาเรน สงฺฆิกา วิหารสฺมา นิกฺกฑฺฒนสิกฺขาปเทน สมํ มตํ ‘‘สทิส’’นฺติ สลฺลกฺขิตนฺติ โยชนาฯ
2266.Ettha imasmiṃ sikkhāpade samuṭṭhānādivinicchayena saha sesaṃ vinicchayajātaṃ asesena sabbappakārena saṅghikā vihārasmā nikkaḍḍhanasikkhāpadena samaṃ mataṃ ‘‘sadisa’’nti sallakkhitanti yojanā.
ปญฺจมํฯ
Pañcamaṃ.
๒๒๖๗. ฉเฎฺฐติ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี สํสฎฺฐา วิหเรยฺย คหปตินา วา คหปติปุเตฺตน วา’’ติอาทิมาติกาย (ปาจิ. ๙๕๖) นิทฺทิเฎฺฐ ฉฎฺฐสิกฺขาปเทฯ อิธ วตฺตพฺพนฺติ อิมสฺมิํ วินยวินิจฺฉเย กเถตพฺพํฯ อริฎฺฐสฺส สิกฺขาปเทนาติ อริฎฺฐสิกฺขาปเทนฯ วินิจฺฉโยติ สมุฎฺฐานาทิโกฯ
2267.Chaṭṭheti ‘‘yā pana bhikkhunī saṃsaṭṭhā vihareyya gahapatinā vā gahapatiputtena vā’’tiādimātikāya (pāci. 956) niddiṭṭhe chaṭṭhasikkhāpade. Idha vattabbanti imasmiṃ vinayavinicchaye kathetabbaṃ. Ariṭṭhassa sikkhāpadenāti ariṭṭhasikkhāpadena. Vinicchayoti samuṭṭhānādiko.
ฉฎฺฐํฯ
Chaṭṭhaṃ.
๒๒๖๘. สาสงฺกสมฺมเตติ เอตฺถ ‘‘สปฺปฎิภเย’’ติ เสโสฯ อุภยมฺปิ เหฎฺฐา วุตฺตตฺถเมวฯ อโนฺตรเฎฺฐติ ยสฺส วิชิเต วิหรติ, ตเสฺสว รเฎฺฐฯ สาสงฺกสมฺมเต สปฺปฎิภเย อโนฺตรเฎฺฐ สเตฺถน วินา จาริกํ จรนฺติยา ภิกฺขุนิยา อาปตฺติ สิยาติ โยชนาฯ
2268.Sāsaṅkasammateti ettha ‘‘sappaṭibhaye’’ti seso. Ubhayampi heṭṭhā vuttatthameva. Antoraṭṭheti yassa vijite viharati, tasseva raṭṭhe. Sāsaṅkasammate sappaṭibhaye antoraṭṭhe satthena vinā cārikaṃ carantiyā bhikkhuniyā āpatti siyāti yojanā.
๒๒๖๙. เอวํ จรนฺติยา สคามกฎฺฐาเน คามนฺตรปฺปเวเส จ อคามเก อรเญฺญ อทฺธโยชเน จ วินยญฺญุนา ภิกฺขุนา ปาจิตฺติยนโย ปาจิตฺติยาปตฺติวิธานกฺกโม เญโยฺย ญาตโพฺพติ โยชนาฯ
2269. Evaṃ carantiyā sagāmakaṭṭhāne gāmantarappavese ca agāmake araññe addhayojane ca vinayaññunā bhikkhunā pācittiyanayo pācittiyāpattividhānakkamo ñeyyo ñātabboti yojanā.
๒๒๗๐. สห สเตฺถน จรนฺติยา น โทโสติ โยชนาฯ เขมฎฺฐาเน จรนฺติยา, อาปทาสุ วา จรนฺติยา น โทโสติ โยชนาฯ
2270. Saha satthena carantiyā na dosoti yojanā. Khemaṭṭhāne carantiyā, āpadāsu vā carantiyā na dosoti yojanā.
สตฺตมํฯ
Sattamaṃ.
๒๒๗๑. อฎฺฐเม นวเม วาปีติ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี ติโรรเฎฺฐ’’ติอาทิเก (ปาจิ. ๙๖๖) อฎฺฐมสิกฺขาปเท จ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี อโนฺตวสฺสํ จาริกํ จเรยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๙๗๐) วุตฺตนวมสิกฺขาปเท จฯ อนุตฺตานํ น วิชฺชติ, สพฺพํ อุตฺตานเมว, ตสฺมา เอตฺถ มยา น วิจารียตีติ อธิปฺปาโยฯ
2271.Aṭṭhamenavame vāpīti ‘‘yā pana bhikkhunī tiroraṭṭhe’’tiādike (pāci. 966) aṭṭhamasikkhāpade ca ‘‘yā pana bhikkhunī antovassaṃ cārikaṃ careyya, pācittiya’’nti (pāci. 970) vuttanavamasikkhāpade ca. Anuttānaṃ na vijjati, sabbaṃ uttānameva, tasmā ettha mayā na vicārīyatīti adhippāyo.
อฎฺฐมนวมานิฯ
Aṭṭhamanavamāni.
๒๒๗๒. ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี วสฺสํวุตฺถา จาริกํ น ปกฺกเมยฺย อนฺตมโส ฉปฺปญฺจโยชนานิปิ, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๙๗๔) วุตฺตสิกฺขาปเท วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปาจิตฺตี’’ติอาทิฯ อหํ น คมิสฺสามิ น ปกฺกมิสฺสามีติ ธุรนิเกฺขเป กเต ปาจิตฺตีติ โยชนาฯ ตถาติ ปาจิตฺติฯ
2272. ‘‘Yā pana bhikkhunī vassaṃvutthā cārikaṃ na pakkameyya antamaso chappañcayojanānipi, pācittiya’’nti (pāci. 974) vuttasikkhāpade vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘pācittī’’tiādi. Ahaṃ na gamissāmi na pakkamissāmīti dhuranikkhepe kate pācittīti yojanā. Tathāti pācitti.
๒๒๗๓. วสฺสํวุตฺถาย ปวาเรตฺวา อนฺตมโส ปญฺจ โยชนานิ คนฺตุํ วฎฺฎติฯ เอตฺถ อปิ-สทฺทสฺส สมฺภาวนตฺถตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ฉสู’’ติอาทิฯ อิธ อิมสฺมิํ อนาปตฺติวาเร ฉสุ โยชเนสุ ยทตฺถิ วตฺตพฺพํ, ตํ กินฺนุ นาม สิยา, นตฺถิ กิญฺจิ วตฺตพฺพนฺติ อโตฺถฯ ปวาเรตฺวา ฉ โยชนานิ คจฺฉนฺติยา อนาปตฺติภาโว อวุตฺตสิโทฺธวาติ ทีเปติฯ
2273. Vassaṃvutthāya pavāretvā antamaso pañca yojanāni gantuṃ vaṭṭati. Ettha api-saddassa sambhāvanatthataṃ dassetumāha ‘‘chasū’’tiādi. Idha imasmiṃ anāpattivāre chasu yojanesu yadatthi vattabbaṃ, taṃ kinnu nāma siyā, natthi kiñci vattabbanti attho. Pavāretvā cha yojanāni gacchantiyā anāpattibhāvo avuttasiddhovāti dīpeti.
๒๒๗๔. ตีณิ โยชนานิฯ เตเนวาติ เยน คตา, เตเนว มเคฺคนฯ อเญฺญน มเคฺคนาติ คตมคฺคโต อเญฺญน ปเถนฯ
2274.Tīṇi yojanāni. Tenevāti yena gatā, teneva maggena. Aññena maggenāti gatamaggato aññena pathena.
๒๒๗๕. ทสวิเธ อนฺตรายสฺมิํ สตีติ วกฺขมาเนสุ อนฺตราเยสุ อญฺญตรสฺมิํ สติฯ ตสฺสา อนาปตฺตีติ โยชนาฯ อาปทาสูติ อฎฺฎาทิการเณน เกนจิ ปลิพุทฺธาทิภาวสงฺขาตาสุ อาปทาสุฯ คิลานายาติ สยํ คิลานายฯ ทุติยาย ภิกฺขุนิยา อลาเภ วา อปกฺกมนฺติยา อนาปตฺติฯ
2275.Dasavidhe antarāyasmiṃ satīti vakkhamānesu antarāyesu aññatarasmiṃ sati. Tassā anāpattīti yojanā. Āpadāsūti aṭṭādikāraṇena kenaci palibuddhādibhāvasaṅkhātāsu āpadāsu. Gilānāyāti sayaṃ gilānāya. Dutiyāya bhikkhuniyā alābhe vā apakkamantiyā anāpatti.
๒๒๗๖. ราชา จ โจรา จ อมนุสฺสา จ อคฺคิ จ โตยญฺจ วาฬา จ สรีสปา จาติ วิคฺคโหฯ มนุโสฺสติ เอตฺถ คาถาพนฺธวเสน ปุพฺพปทโลโป ‘‘ลาพูนิ สีทนฺตี’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๑.๗๗) วิยฯ ชีวิตญฺจ พฺรหฺมจริยา จ ชีวิตพฺรหฺมจริยนฺติ สมาหารทฺวเนฺท สมาโส, ตสฺส ชีวิตพฺรหฺมจริยสฺสฯ อนฺตรายา เอว อนฺตรายิกาฯ เอเตสํ ทสนฺนํ อญฺญตรสฺมิํ อปกฺกมนฺติยา อนาปตฺติฯ ยถาห ‘‘อนฺตราเยติ ทสวิเธ อนฺตราเยฯ ‘ปรํ คจฺฉิสฺสามี’ติ นิกฺขนฺตา, นทิปูโร ปน อาคโต, โจรา วา มเคฺค โหนฺติ, เมโฆ วา อุฎฺฐาติ, นิวตฺติตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๗๖)ฯ
2276. Rājā ca corā ca amanussā ca aggi ca toyañca vāḷā ca sarīsapā cāti viggaho. Manussoti ettha gāthābandhavasena pubbapadalopo ‘‘lābūni sīdantī’’tiādīsu (jā. 1.1.77) viya. Jīvitañca brahmacariyā ca jīvitabrahmacariyanti samāhāradvande samāso, tassa jīvitabrahmacariyassa. Antarāyā eva antarāyikā. Etesaṃ dasannaṃ aññatarasmiṃ apakkamantiyā anāpatti. Yathāha ‘‘antarāyeti dasavidhe antarāye. ‘Paraṃ gacchissāmī’ti nikkhantā, nadipūro pana āgato, corā vā magge honti, megho vā uṭṭhāti, nivattituṃ vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 976).
๒๒๗๗. อปกฺกมนํ อกฺริยํฯ อนาทริเยน อาปชฺชนโต อาห ‘‘ทุกฺขเวทน’’นฺติฯ
2277. Apakkamanaṃ akriyaṃ. Anādariyena āpajjanato āha ‘‘dukkhavedana’’nti.
ทสมํฯ
Dasamaṃ.
ตุวฎฺฎวโคฺค จตุโตฺถฯ
Tuvaṭṭavaggo catuttho.
๒๒๗๘-๘๐. ราชาคารนฺติ รโญฺญ กีฬนฆรํฯ จิตฺตาคารนฺติ กีฬนจิตฺตสาลํฯ อารามนฺติ กีฬนอุปวนํฯ กีฬุยฺยานนฺติ กีฬนตฺถาย กตํ อุยฺยานํฯ กีฬาวาปินฺติ เอตฺถ กิญฺจาปิ ปาฬิยํ (ปาจิ. ๙๗๙) โปกฺขรณี วุตฺตา, สา ปน สพฺพชลาสยานํ กีฬาย กตานํ อุปลกฺขณวเสน วุตฺตาติ อาห ‘‘กีฬาวาปิ’’นฺติ, กีฬนตฺถาย กตวาปินฺติ อโตฺถฯ ‘‘นานาการ’’นฺติ อิทํ ยถาวุตฺตปเทหิ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ สพฺพสงฺคาหิกวเสน ‘‘ตานี’’ติ วุตฺตํฯ นานาการํ ราชาคารํ จิตฺตาคารํ อารามํ กีฬุยฺยานํ วา กีฬาวาปิํ ทฎฺฐุํ คจฺฉนฺตีนํ ตานิ สพฺพานิ เอกโต ทฎฺฐุํ คจฺฉนฺตีนํ ตาสํ ภิกฺขุนีนํ ปเท ปเท ทุกฺกฎํ มุนินา นิทฺทิฎฺฐนฺติ โยชนาฯ
2278-80.Rājāgāranti rañño kīḷanagharaṃ. Cittāgāranti kīḷanacittasālaṃ. Ārāmanti kīḷanaupavanaṃ. Kīḷuyyānanti kīḷanatthāya kataṃ uyyānaṃ. Kīḷāvāpinti ettha kiñcāpi pāḷiyaṃ (pāci. 979) pokkharaṇī vuttā, sā pana sabbajalāsayānaṃ kīḷāya katānaṃ upalakkhaṇavasena vuttāti āha ‘‘kīḷāvāpi’’nti, kīḷanatthāya katavāpinti attho. ‘‘Nānākāra’’nti idaṃ yathāvuttapadehi paccekaṃ yojetabbaṃ. Sabbasaṅgāhikavasena ‘‘tānī’’ti vuttaṃ. Nānākāraṃ rājāgāraṃ cittāgāraṃ ārāmaṃ kīḷuyyānaṃ vā kīḷāvāpiṃ daṭṭhuṃ gacchantīnaṃ tāni sabbāni ekato daṭṭhuṃ gacchantīnaṃ tāsaṃ bhikkhunīnaṃ pade pade dukkaṭaṃ muninā niddiṭṭhanti yojanā.
ปญฺจปีติ ราชาคาราทีนิ ปญฺจปิฯ เอกาเยว ปาจิตฺติ อาปตฺติ ปริทีปิตาติ โยชนาฯ ตํ ตํ ทิสาภาคํ คนฺตฺวา ปสฺสนฺติ เจ, ปาเฎกฺกาปตฺติโย ปโยคคณนาย สิยุนฺติ โยชนาฯ
Pañcapīti rājāgārādīni pañcapi. Ekāyeva pācitti āpatti paridīpitāti yojanā. Taṃ taṃ disābhāgaṃ gantvā passanti ce, pāṭekkāpattiyo payogagaṇanāya siyunti yojanā.
๒๒๘๑. คมนพาหุเลฺลน อาปตฺติพาหุลฺลํ ปกาเสตฺวา คีวาปริวตฺตนสงฺขาเตน ปโยคพาหุเลฺลนาปิ อาปตฺติพาหุลฺลํ ปกาเสตุมาห ‘‘ปโยคพหุตายาปิ, ปาจิตฺติพหุตา สิยา’’ติฯ สพฺพตฺถาติ ยตฺถ ภิกฺขุนิยา ปาจิตฺติยํ วุตฺตํ, ตตฺถ สพฺพตฺถฯ
2281. Gamanabāhullena āpattibāhullaṃ pakāsetvā gīvāparivattanasaṅkhātena payogabāhullenāpi āpattibāhullaṃ pakāsetumāha ‘‘payogabahutāyāpi, pācittibahutā siyā’’ti. Sabbatthāti yattha bhikkhuniyā pācittiyaṃ vuttaṃ, tattha sabbattha.
๒๒๘๒. ‘‘อวเสโสปิ อนาปตฺตี’’ติ ปทเจฺฉโทฯ อนาปตฺติ จ กถามโคฺค จ อนาปตฺติกถามโคฺค, เตสํ วินิจฺฉโย อนาปตฺติกถามคฺควินิจฺฉโย, ‘‘อนาปตฺติ อาราเม ฐิตา ปสฺสตี’’ติอาทิโก (ปาจิ. ๙๘๑) อนาปตฺติวินิจฺฉโย จ อฎฺฐกถาคโต (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๘๑) อวเสสวินิจฺฉโย จาติ อโตฺถฯ ‘‘อาราเม ฐิตา’’ติ เอเตน อชฺฌาราเม ราชาคาราทีนิ กโรนฺติ, ตานิ ปสฺสนฺติยา อนาปตฺตีติ อยมนาปตฺติวาโร ทสฺสิโตฯ เอเตเนว อโนฺตอาราเม ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา นจฺจาทีนิ วิย ราชาคาราทีนิปิ ปสฺสิตุํ ลภตีติปิ สิทฺธํฯ อาทิ-สเทฺทน ‘‘ปิณฺฑปาตาทีนํ อตฺถาย คจฺฉนฺติยา มเคฺค โหนฺติ, ตานิ ปสฺสติ, อนาปตฺติฯ รโญฺญ สนฺติกํ เกนจิ กรณีเยน คนฺตฺวา ปสฺสติ, อนาปตฺติฯ เกนจิ อุปทฺทุตา ปวิสิตฺวา ปสฺสติ, อนาปตฺตี’’ติ เอเต อนาปตฺติวารา สงฺคหิตาฯ นจฺจทสฺสน…เป.… สหาติ สมุฎฺฐานาทินา วินิจฺฉเยน สห นจฺจทสฺสนสิกฺขาปทสทิโสวฯ
2282. ‘‘Avasesopi anāpattī’’ti padacchedo. Anāpatti ca kathāmaggo ca anāpattikathāmaggo, tesaṃ vinicchayo anāpattikathāmaggavinicchayo, ‘‘anāpatti ārāme ṭhitā passatī’’tiādiko (pāci. 981) anāpattivinicchayo ca aṭṭhakathāgato (pāci. aṭṭha. 981) avasesavinicchayo cāti attho. ‘‘Ārāme ṭhitā’’ti etena ajjhārāme rājāgārādīni karonti, tāni passantiyā anāpattīti ayamanāpattivāro dassito. Eteneva antoārāme tattha tattha gantvā naccādīni viya rājāgārādīnipi passituṃ labhatītipi siddhaṃ. Ādi-saddena ‘‘piṇḍapātādīnaṃ atthāya gacchantiyā magge honti, tāni passati, anāpatti. Rañño santikaṃ kenaci karaṇīyena gantvā passati, anāpatti. Kenaci upaddutā pavisitvā passati, anāpattī’’ti ete anāpattivārā saṅgahitā. Naccadassana…pe… sahāti samuṭṭhānādinā vinicchayena saha naccadassanasikkhāpadasadisova.
ปฐมํฯ
Paṭhamaṃ.
๒๒๘๓. มานโต ปมาณโต อตีตา อเปตา มานาตีตา, อาสนฺที, ตํฯ วาเฬหิ อุเปโต วาฬูเปโต, ปลฺลโงฺก, ตํฯ ‘‘อาสนฺที นาม อติกฺกนฺตปฺปมาณา วุจฺจตี’’ติ วจนโต เหฎฺฐา อฎฺฎนิยา วฑฺฒกิหตฺถโต อุจฺจตรปาโท อายามจตุรโสฺส มญฺจปีฐวิเสโส อาสนฺที นาม สมจตุรสฺสานํ อติกฺกนฺตปฺปมาณานมฺปิ อนุญฺญาตตฺตาฯ ‘‘ปลฺลโงฺก นาม อาหริเมหิ วาเฬหิ กโต’’ติ (ปาจิ. ๙๘๔) วจนโต ปมาณยุโตฺตปิ เอวรูโป น วฎฺฎติฯ อาหริตฺวา ยถานุรูปฎฺฐาเน ฐเปตพฺพวาฬรูปานิ อาหริมวาฬา นาม, สํหริมวาฬรูปยุโตฺตติ วุตฺตํ โหติฯ มานาตีตํ อาสนฺทิํ วา วาฬูเปตํ ปลฺลงฺกํ วา เสวนฺตีนํ อภินิสีทนฺตีนํ, อภินิปชฺชนฺตีนญฺจ ยาสํ ภิกฺขุนีนํ สตฺถา ปาจิตฺติยาปตฺติํ อาหฯ
2283. Mānato pamāṇato atītā apetā mānātītā, āsandī, taṃ. Vāḷehi upeto vāḷūpeto, pallaṅko, taṃ. ‘‘Āsandī nāma atikkantappamāṇā vuccatī’’ti vacanato heṭṭhā aṭṭaniyā vaḍḍhakihatthato uccatarapādo āyāmacaturasso mañcapīṭhaviseso āsandī nāma samacaturassānaṃ atikkantappamāṇānampi anuññātattā. ‘‘Pallaṅko nāma āharimehi vāḷehi kato’’ti (pāci. 984) vacanato pamāṇayuttopi evarūpo na vaṭṭati. Āharitvā yathānurūpaṭṭhāne ṭhapetabbavāḷarūpāni āharimavāḷā nāma, saṃharimavāḷarūpayuttoti vuttaṃ hoti. Mānātītaṃ āsandiṃ vā vāḷūpetaṃ pallaṅkaṃ vā sevantīnaṃ abhinisīdantīnaṃ, abhinipajjantīnañca yāsaṃ bhikkhunīnaṃ satthā pācittiyāpattiṃ āha.
๒๒๘๔. ตาสํ นิสีทนสฺสาปิ นิปชฺชนสฺสาปิ ปโยคพาหุลฺลวเสน ปาจิตฺติยานํ คณนา โหติ อิติ เอวํ นิทฺทิฎฺฐา เอวํ อยํ คณนา อจฺจนฺตยเสน อนนฺตปริวาเรน ภควตา วุตฺตาติ โยชนาฯ เอตฺถ จ อิเจฺจวนฺติ นิปาตสมุทาโย, อิติ-สโทฺท นิทสฺสเน, เอวํ-สโทฺท อิทมเตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
2284. Tāsaṃ nisīdanassāpi nipajjanassāpi payogabāhullavasena pācittiyānaṃ gaṇanā hoti iti evaṃ niddiṭṭhā evaṃ ayaṃ gaṇanā accantayasena anantaparivārena bhagavatā vuttāti yojanā. Ettha ca iccevanti nipātasamudāyo, iti-saddo nidassane, evaṃ-saddo idamatthe daṭṭhabbo.
๒๒๘๕. ปาเท อาสนฺทิยา เฉตฺวาติ อาสนฺทิยา ปาเท ปมาณโต อธิกฎฺฐานฉินฺทเนน เฉตฺวาฯ ปลฺลงฺกสฺส ปาเท วาฬกา ปลฺลงฺกวาฬกา, เต หิตฺวา อปเนตฺวา, อนาปตฺตีติ เสวนฺตีนํ อนาปตฺติฯ
2285.Pāde āsandiyā chetvāti āsandiyā pāde pamāṇato adhikaṭṭhānachindanena chetvā. Pallaṅkassa pāde vāḷakā pallaṅkavāḷakā, te hitvā apanetvā, anāpattīti sevantīnaṃ anāpatti.
ทุติยํฯ
Dutiyaṃ.
๒๒๘๖-๗. ฉนฺนนฺติ โขมาทีนํ ฉนฺนํ, นิทฺธารเณ สามิวจนํฯ อญฺญตรํ สุตฺตนฺติ นิทฺธาริตพฺพนิทสฺสนํฯ หตฺถาติ หเตฺถน, กรณเตฺถ เจตํ นิสฺสกฺกวจนํฯ อญฺจิตนฺติ หตฺถายาเมน อากฑฺฒิตํ ฯ ตสฺมินฺติ ตสฺมิํ อญฺฉิเต สุตฺตปฺปเทเสฯ ตกฺกมฺหีติ กนฺตนสูจิมฺหิฯ เวฐิเตติ ปลิเวฐิเตฯ
2286-7.Channanti khomādīnaṃ channaṃ, niddhāraṇe sāmivacanaṃ. Aññataraṃ suttanti niddhāritabbanidassanaṃ. Hatthāti hatthena, karaṇatthe cetaṃ nissakkavacanaṃ. Añcitanti hatthāyāmena ākaḍḍhitaṃ . Tasminti tasmiṃ añchite suttappadese. Takkamhīti kantanasūcimhi. Veṭhiteti paliveṭhite.
สุตฺตกนฺตนโต สพฺพปุพฺพปโยเคสูติ สุตฺตกนฺตนโต ปุเพฺพสุ กปฺปาสวิจินนาทิสพฺพปโยเคสุฯ หตฺถวารโตติ หตฺถวารคณนายฯ ยถาห ‘‘กปฺปาสวิจินนํ อาทิํ กตฺวา สพฺพปุพฺพปโยเคสุ หตฺถวารคณนาย ทุกฺกฎ’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๘๘)ฯ
Suttakantanato sabbapubbapayogesūti suttakantanato pubbesu kappāsavicinanādisabbapayogesu. Hatthavāratoti hatthavāragaṇanāya. Yathāha ‘‘kappāsavicinanaṃ ādiṃ katvā sabbapubbapayogesu hatthavāragaṇanāya dukkaṭa’’nti (pāci. aṭṭha. 988).
๒๒๘๘. กนฺติตํ สุตฺตนฺติ ปฐมเมว กนฺติตํ ทสิกสุตฺตาทิํฯ ปุน กนฺตนฺติยาติ โกฎิยา โกฎิํ สงฺฆาเฎตฺวา ปุน กนฺตนฺติยาฯ
2288.Kantitaṃ suttanti paṭhamameva kantitaṃ dasikasuttādiṃ. Puna kantantiyāti koṭiyā koṭiṃ saṅghāṭetvā puna kantantiyā.
ตติยํฯ
Tatiyaṃ.
๒๒๘๙. ตณฺฑุลานํ โกฎฺฎนํ ตุ อาทิํ กตฺวา คิหีนํ เวยฺยาวจฺจํ กโรนฺติยา สพฺพปุพฺพปโยเคสุ ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ
2289. Taṇḍulānaṃ koṭṭanaṃ tu ādiṃ katvā gihīnaṃ veyyāvaccaṃ karontiyā sabbapubbapayogesu dukkaṭanti yojanā.
๒๒๙๐. ยาคุอาทิสุ นิปฺผาเทตเพฺพสุ ตทาธารานิ ภาชนานิ คเณตฺวาว ปาจิตฺติํ ปริทีปเย, ขชฺชกาทีสุ รูปานํ คณนาย ปาจิตฺติํ ปริทีปเยติ โยชนาฯ ยาคุอาทิสูติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ภตฺตสูปาทีนํ สงฺคโหฯ ขชฺชกาทีสูติ อาทิ-สเทฺทน มจฺฉมํสาทิอุตฺตริภงฺคานํ สงฺคโหฯ
2290.Yāguādisu nipphādetabbesu tadādhārāni bhājanāni gaṇetvāva pācittiṃ paridīpaye, khajjakādīsu rūpānaṃ gaṇanāya pācittiṃ paridīpayeti yojanā. Yāguādisūti ettha ādi-saddena bhattasūpādīnaṃ saṅgaho. Khajjakādīsūti ādi-saddena macchamaṃsādiuttaribhaṅgānaṃ saṅgaho.
๒๒๙๑. ‘‘สเจปิ มาตาปิตโร อาคจฺฉนฺติ, ยํกิญฺจิ พีชนิํ วา สมฺมชฺชนิทณฺฑํ วา การาเปตฺวา เวยฺยาวจฺจกรฎฺฐาเน ฐเปตฺวาว ยํ กิญฺจิ ปจิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อฎฺฐกถาคตํ วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘สเจ’’ติอาทิฯ สเจติ เอตฺถ ‘‘มาตาปิตโร อาคจฺฉนฺตี’’ติ เสโสฯ อตฺตโน เอวมาคตานํ มาตาปิตูนมฺปิ กิญฺจิ กมฺมํ อกาเรตฺวา กิญฺจิ กมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎตีติ โยชนาฯ อปิ-สโทฺท สมฺภาวเน, เตน อเญฺญสํ กถาเยว นตฺถีติ ทีเปติฯ
2291. ‘‘Sacepi mātāpitaro āgacchanti, yaṃkiñci bījaniṃ vā sammajjanidaṇḍaṃ vā kārāpetvā veyyāvaccakaraṭṭhāne ṭhapetvāva yaṃ kiñci pacituṃ vaṭṭatī’’ti aṭṭhakathāgataṃ vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘sace’’tiādi. Saceti ettha ‘‘mātāpitaro āgacchantī’’ti seso. Attano evamāgatānaṃ mātāpitūnampi kiñci kammaṃ akāretvā kiñci kammaṃ kātuṃ na vaṭṭatīti yojanā. Api-saddo sambhāvane, tena aññesaṃ kathāyeva natthīti dīpeti.
๒๒๙๒-๓. สงฺฆสฺส ยาคุปาเน เวยฺยาวจฺจํ กโรนฺติยา อนาปตฺตีติ โยชนาฯ ‘‘สงฺฆภเตฺตปี’’ติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อตฺตโน เวยฺยาวจฺจกรสฺส วาติ สมฺพโนฺธฯ ยถาห ‘‘ยาคุปาเนติ มนุเสฺสหิ สงฺฆสฺสตฺถาย กริยมาเน ยาคุปาเน วา สงฺฆภเตฺต วา เตสํ สหายิกภาเวน ยํ กิญฺจิ ปจนฺติยา อนาปตฺติฯ เจติยปูชาย สหายิกา หุตฺวา คนฺธมาลาทีนิ ปูเชติ, วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๙๓)ฯ
2292-3. Saṅghassa yāgupāne veyyāvaccaṃ karontiyā anāpattīti yojanā. ‘‘Saṅghabhattepī’’tiādīsupi eseva nayo. Attano veyyāvaccakarassa vāti sambandho. Yathāha ‘‘yāgupāneti manussehi saṅghassatthāya kariyamāne yāgupāne vā saṅghabhatte vā tesaṃ sahāyikabhāvena yaṃ kiñci pacantiyā anāpatti. Cetiyapūjāya sahāyikā hutvā gandhamālādīni pūjeti, vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 993).
จตุตฺถํฯ
Catutthaṃ.
๒๒๙๔. ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี ‘เอหาเยฺย อิมํ อธิกรณํ วูปสเมหี’ติ วุจฺจมานา ‘สาธู’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา สา ปจฺฉา อนนฺตรายิกินี เนว วูปสเมยฺย น วูปสมาย อุสฺสุกฺกํ กเรยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๙๙๕) สิกฺขาปทสฺส วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปาจิตฺติ ธุรนิเกฺขเป’’ติอาทิฯ ธุรนิเกฺขเปติ น ทานิ ตํ วูปสเมสฺสามิ, อญฺญาหิ วา น วูปสมาเปสฺสามี’’ติ เอวํ ธุรสฺส อุสฺสาหสฺส นิเกฺขเป ปาจิตฺตีติ โยชนาฯ จีวรสิพฺพเน ยถา ปญฺจาหปริหาโร ลพฺภติ, อิธ ปน ตถา เอกาหมฺปิ ปริหาโร น ลพฺภตีติ โยชนาฯ
2294. ‘‘Yā pana bhikkhunī ‘ehāyye imaṃ adhikaraṇaṃ vūpasamehī’ti vuccamānā ‘sādhū’ti paṭissuṇitvā sā pacchā anantarāyikinī neva vūpasameyya na vūpasamāya ussukkaṃ kareyya, pācittiya’’nti (pāci. 995) sikkhāpadassa vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘pācitti dhuranikkhepe’’tiādi. Dhuranikkhepeti na dāni taṃ vūpasamessāmi, aññāhi vā na vūpasamāpessāmī’’ti evaṃ dhurassa ussāhassa nikkhepe pācittīti yojanā. Cīvarasibbane yathā pañcāhaparihāro labbhati, idha pana tathā ekāhampi parihāro na labbhatīti yojanā.
๒๒๙๕. เสสนฺติ ‘‘ธุรํ นิกฺขิปิตฺวา ปจฺฉา วินิจฺฉินนฺตี อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวาว วินิจฺฉินาตี’’ติอาทิกํ วินิจฺฉยชาตํฯ ตตฺถ จีวรสิพฺพเน วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติ โยชนาฯ
2295.Sesanti ‘‘dhuraṃ nikkhipitvā pacchā vinicchinantī āpattiṃ āpajjitvāva vinicchinātī’’tiādikaṃ vinicchayajātaṃ. Tattha cīvarasibbane vuttanayeneva veditabbanti yojanā.
ปญฺจมํฯ
Pañcamaṃ.
๒๒๙๖-๗. ยา ปน ภิกฺขุนี คิหีนํ วา สหธมฺมิเก ฐเปตฺวา อเญฺญสํ ปริพฺพาชกปริพฺพาชิกานํ วา ทนฺตโปโนทกํ วินา อญฺญํ ยํ กิญฺจิ อโชฺฌหรณียํ ขาทนียํ, โภชนียํ วา กาเยน วา กายปฎิพเทฺธน วา นิสฺสคฺคิเยน วา ททาติ, ตสฺสา ปาจิตฺติยํ โหตีติ โยชนาฯ
2296-7.Yāpana bhikkhunī gihīnaṃ vā sahadhammike ṭhapetvā aññesaṃ paribbājakaparibbājikānaṃ vā dantaponodakaṃ vinā aññaṃ yaṃ kiñci ajjhoharaṇīyaṃ khādanīyaṃ, bhojanīyaṃ vā kāyena vā kāyapaṭibaddhena vā nissaggiyena vā dadāti, tassā pācittiyaṃ hotīti yojanā.
๒๒๙๘-๙. อิธ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท มุนินา ทนฺตกโฎฺฐทเก ทุกฺกฎํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ ยา ปน ภิกฺขุนี กายาทีหิ สยํ น เทติ อเญฺญน ทาเปติ, ตสฺสา จ กายาทีหิ อทตฺวา ภูมิยํ นิกฺขิปิตฺวา เทนฺติยาปิ ยา พาหิรเลปํ วา เทติ, ตสฺสาปิ อุมฺมตฺติกาย จ น โทโส อนาปตฺตีติ โยชนาฯ
2298-9.Idha imasmiṃ sikkhāpade muninā dantakaṭṭhodake dukkaṭaṃ vuttanti yojanā. Yā pana bhikkhunī kāyādīhi sayaṃ na deti aññena dāpeti, tassā ca kāyādīhi adatvā bhūmiyaṃ nikkhipitvā dentiyāpi yā bāhiralepaṃ vā deti, tassāpi ummattikāya ca na doso anāpattīti yojanā.
ฉฎฺฐํฯ
Chaṭṭhaṃ.
๒๓๐๐-๑. อาวสถจีวรนฺติ ‘‘อุตุนิโย ภิกฺขุนิโย ปริภุญฺชนฺตู’’ติ ทินฺนํ จีวรํฯ ยา ภิกฺขุนี ยํ ‘‘อาวสถจีวร’’นฺติ นิยมิตํ จีวรํ, ตํ จตุเตฺถ ทิวเส โธวิตฺวา อนฺตมโส อุตุนิยา สามเณราย วา อทตฺวา สเจ ปริภุเญฺชยฺย, ตสฺสา ปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ ติกปาจิตฺติยํ สิยาติ ‘‘อนิสฺสชฺชิเต อนิสฺสชฺชิตสญฺญา…เป.… เวมติกา…เป.… นิสฺสชฺชิตสญฺญา ปริภุญฺชติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๐๐๖) วุตฺตํ ปาจิตฺติยํ โหตีติ โยชนาฯ
2300-1.Āvasathacīvaranti ‘‘utuniyo bhikkhuniyo paribhuñjantū’’ti dinnaṃ cīvaraṃ. Yā bhikkhunī yaṃ ‘‘āvasathacīvara’’nti niyamitaṃ cīvaraṃ, taṃ catutthe divase dhovitvā antamaso utuniyā sāmaṇerāya vā adatvā sace paribhuñjeyya, tassā pācittiyaṃ vuttanti yojanā. Tikapācittiyaṃ siyāti ‘‘anissajjite anissajjitasaññā…pe… vematikā…pe… nissajjitasaññā paribhuñjati, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 1006) vuttaṃ pācittiyaṃ hotīti yojanā.
๒๓๐๒-๓. ตสฺมิํ จีวเร นิสฺสชฺชิเต อนิสฺสชฺชิตสญฺญาย วา เวมติกาย วา ตสฺสา ภิกฺขุนิยา ทฺวิกทุกฺกฎํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ อญฺญาสํ อุตุนีนํ อภาเว อทตฺวาปิ ปริภุญฺชนฺติยา อนาปตฺติฯ ปุน ปริยเยติ ปุน อุตุนิวาเร ยถากาลํ ปริภุญฺชนฺติยา อนาปตฺติฯ อจฺฉินฺนจีวราทีนญฺจ อนาปตฺตีติ โยชนาฯ ปริยเยติ คาถาพนฺธวเสน รสฺสตฺตํ ฯ อจฺฉินฺนจีวราทีนนฺติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน นฎฺฐจีวราทีนํ สงฺคโหฯ อาปทาสุปีติ มหคฺฆจีวรํ สรีรโต โมเจตฺวา สุปฺปฎิสามิตมฺปิ โจรา หรนฺติ, เอวรูปาสุ อาปทาสุ ปริภุญฺชนฺติยา อนาปตฺตีติ โยชนาฯ
2302-3.Tasmiṃ cīvare nissajjite anissajjitasaññāya vā vematikāya vā tassā bhikkhuniyā dvikadukkaṭaṃ vuttanti yojanā. Aññāsaṃ utunīnaṃ abhāve adatvāpi paribhuñjantiyā anāpatti. Puna pariyayeti puna utunivāre yathākālaṃ paribhuñjantiyā anāpatti. Acchinnacīvarādīnañca anāpattīti yojanā. Pariyayeti gāthābandhavasena rassattaṃ . Acchinnacīvarādīnanti ettha ādi-saddena naṭṭhacīvarādīnaṃ saṅgaho. Āpadāsupīti mahagghacīvaraṃ sarīrato mocetvā suppaṭisāmitampi corā haranti, evarūpāsu āpadāsu paribhuñjantiyā anāpattīti yojanā.
สตฺตมํฯ
Sattamaṃ.
๒๓๐๔. สกวาฎกํ วิหารนฺติ กวาฎพนฺธวิหารํ, ทฺวารกวาฎยุตฺตํ สุคุตฺตเสนาสนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ รกฺขนตฺถาย อทตฺวาติ ‘‘อิมํ ชเคฺคยฺยาสี’’ติ เอวํ อนาปุจฺฉิตฺวาฯ
2304.Sakavāṭakaṃvihāranti kavāṭabandhavihāraṃ, dvārakavāṭayuttaṃ suguttasenāsananti vuttaṃ hoti. Rakkhanatthāya adatvāti ‘‘imaṃ jaggeyyāsī’’ti evaṃ anāpucchitvā.
๒๓๐๕-๖. ‘‘โหติ ปาจิตฺติยํ ตสฺสา, จาริกํ ปกฺกมนฺติยา’’ติ วุตฺตเมว ปกาเสตุมาห ‘‘อตฺตโน คามโต’’ติอาทิฯ อตฺตโน คามโตติ อตฺตโน วสนกคามโตฯ ตถา อิตรสฺสาติ อปริกฺขิตฺตสฺส วิหารสฺส ปริเกฺขปํ อุปจารํฯ ตนฺติอาทิปทตฺตเย ภุมฺมเตฺถ อุปโยควจนํ เวทิตพฺพํฯ ปริกฺขิตฺตสฺส วิหารสฺส ปริเกฺขเป ปฐเมน ปเทน สมติกฺกเนฺต ทุกฺกฎํ, ตถา อิตรสฺส อปริกฺขิตฺตสฺส วิหารสฺส ตสฺมิํ อุปจาเร อติกฺกเนฺต ทุกฺกฎํฯ ทุติเยน ปเทน ปริเกฺขเป, อุปจาเร สมติกฺกนฺตมเตฺต ปาจิตฺตีติ โยชนาฯ
2305-6. ‘‘Hoti pācittiyaṃ tassā, cārikaṃ pakkamantiyā’’ti vuttameva pakāsetumāha ‘‘attano gāmato’’tiādi. Attano gāmatoti attano vasanakagāmato. Tathā itarassāti aparikkhittassa vihārassa parikkhepaṃ upacāraṃ. Tantiādipadattaye bhummatthe upayogavacanaṃ veditabbaṃ. Parikkhittassa vihārassa parikkhepe paṭhamena padena samatikkante dukkaṭaṃ, tathā itarassa aparikkhittassa vihārassa tasmiṃ upacāre atikkante dukkaṭaṃ. Dutiyena padena parikkhepe, upacāre samatikkantamatte pācittīti yojanā.
๒๓๐๗. อกวาฎพนฺธนสฺมิํ กวาฎพนฺธรหิเต วิหาเร ตถา อนิสฺสชฺชนฺติยา ทุกฺกฎํ ปริทีปิตํฯ ชคฺคิกํ อลภนฺติยาติ เอตฺถ ‘‘ปริเยสิตฺวา’’ติ เสโสฯ ชคฺคิกนฺติ วิหารปฎิชคฺคิกํฯ
2307.Akavāṭabandhanasmiṃ kavāṭabandharahite vihāre tathā anissajjantiyā dukkaṭaṃ paridīpitaṃ. Jaggikaṃ alabhantiyāti ettha ‘‘pariyesitvā’’ti seso. Jaggikanti vihārapaṭijaggikaṃ.
๒๓๐๘. อาปทาสูติ รเฎฺฐ ภิชฺชเนฺต อาวาเส ฉเฑฺฑตฺวา คจฺฉนฺติ, เอวรูปาสุ อาปทาสุฯ คิลานายาติ วจีเภทํ กาตุํ อสมตฺถายาติฯ
2308.Āpadāsūti raṭṭhe bhijjante āvāse chaḍḍetvā gacchanti, evarūpāsu āpadāsu. Gilānāyāti vacībhedaṃ kātuṃ asamatthāyāti.
อฎฺฐมํฯ
Aṭṭhamaṃ.
๒๓๐๙-๑๐. หตฺถี จ อโสฺส จ รโถ จ หตฺถิอสฺสรถา, เต อาทิ เยสํ เต หตฺถิอสฺสรถาทโย, เตหิฯ อาทิ-สเทฺทน ธนุ ถรูติ ปททฺวยํ คหิตํฯ สํยุตฺตนฺติ ยถาวุเตฺตหิ หตฺถิอสฺสาทิปเทหิ สํโยชิตํ, ‘‘หตฺถีนํ สิปฺปํ หตฺถิสิปฺป’’นฺติอาทินา กตสมาสนฺติ อโตฺถ, ‘‘หตฺถิสิปฺปํ อสฺสสิปฺปํ รถสิปฺปํ ธนุสิปฺปํ ถรุสิปฺป’’นฺติ เอวํ วุตฺตํ ยํ กิญฺจิ สิปฺปนฺติ วุตฺตํ โหติฯ หตฺถิสิกฺขาทิสิปฺปํ สนฺทีปโก คโนฺถ วจฺจวาจกานํ อเภโทปจาเรน เอวํ วุโตฺตติ คเหตพฺพํฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘ปทาทีนํ วเสนิธา’’ติฯ ปรูปฆาตกํ มนฺตาคทโยคปฺปเภทกํ กิญฺจีติ ปเรสํ อนฺตรายกรํ ขิลนวสีกรณโสสาปนาทิเภทํ อาถพฺพณมนฺตญฺจ วิสโยคาทิปฺปเภทกญฺจ ยํ กิญฺจิ สิปฺปนฺติ อโตฺถฯ
2309-10. Hatthī ca asso ca ratho ca hatthiassarathā, te ādi yesaṃ te hatthiassarathādayo, tehi. Ādi-saddena dhanu tharūti padadvayaṃ gahitaṃ. Saṃyuttanti yathāvuttehi hatthiassādipadehi saṃyojitaṃ, ‘‘hatthīnaṃ sippaṃ hatthisippa’’ntiādinā katasamāsanti attho, ‘‘hatthisippaṃ assasippaṃ rathasippaṃ dhanusippaṃ tharusippa’’nti evaṃ vuttaṃ yaṃ kiñci sippanti vuttaṃ hoti. Hatthisikkhādisippaṃ sandīpako gantho vaccavācakānaṃ abhedopacārena evaṃ vuttoti gahetabbaṃ. Teneva vakkhati ‘‘padādīnaṃ vasenidhā’’ti. Parūpaghātakaṃ mantāgadayogappabhedakaṃ kiñcīti paresaṃ antarāyakaraṃ khilanavasīkaraṇasosāpanādibhedaṃ āthabbaṇamantañca visayogādippabhedakañca yaṃ kiñci sippanti attho.
เอตฺถ จ ขิลนมโนฺต นาม ทารุสารขิลํ มเนฺตตฺวา ปถวิยํ ปเวเสตฺวา มารณมโนฺตฯ วสีกรณมโนฺต นาม ปรํ อตฺตโน วเส วตฺตาปนกมโนฺตฯ โสสาปนกมโนฺต นาม ปรสรีรํ รสาทิธาตุกฺขเยน สุกฺขภาวํ ปาปนกมโนฺตฯ อาทิ-สเทฺทน วิเทสฺสนาทิมนฺตานํ สงฺคโหฯ วิเทสฺสนํ นาม มิตฺตานํ อญฺญมญฺญสฺส เวริภาวาปาทนํฯ อิธ อิมสฺมิํ สาสเน ยา ภิกฺขุนี หตฺถิ…เป.… กิญฺจิ ยสฺส กสฺสจิ สนฺติเก ปทาทีนํ วเสน ปริยาปุเณยฺย อธีเยยฺย เจ, ตสฺสา ปาจิตฺติยํ โหตีติ โยชนาฯ
Ettha ca khilanamanto nāma dārusārakhilaṃ mantetvā pathaviyaṃ pavesetvā māraṇamanto. Vasīkaraṇamanto nāma paraṃ attano vase vattāpanakamanto. Sosāpanakamanto nāma parasarīraṃ rasādidhātukkhayena sukkhabhāvaṃ pāpanakamanto. Ādi-saddena videssanādimantānaṃ saṅgaho. Videssanaṃ nāma mittānaṃ aññamaññassa veribhāvāpādanaṃ. Idha imasmiṃ sāsane yā bhikkhunī hatthi…pe… kiñci yassa kassaci santike padādīnaṃ vasena pariyāpuṇeyya adhīyeyya ce, tassā pācittiyaṃ hotīti yojanā.
๒๓๑๑. เลเขติ ลิขิตสิเปฺปฯ ธารณาย จาติ ธารณสเตฺถ, ยสฺมิํ วุตฺตนเยน ปฎิปชฺชนฺตา พหูนิปิ คนฺถานิ ธาเรนฺติฯ คุตฺติยาติ อตฺตโน วา ปเรสํ วา คุตฺตตฺถายฯ ปริเตฺตสุ จ สเพฺพสูติ ยกฺขปริตฺตโจรวาฬาทิสเพฺพสุ ปริเตฺตสุ จฯ
2311.Lekheti likhitasippe. Dhāraṇāya cāti dhāraṇasatthe, yasmiṃ vuttanayena paṭipajjantā bahūnipi ganthāni dhārenti. Guttiyāti attano vā paresaṃ vā guttatthāya. Parittesu ca sabbesūti yakkhaparittacoravāḷādisabbesu parittesu ca.
นวมํฯ
Navamaṃ.
๒๓๑๒. ทสเมติ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี ติรจฺฉานวิชฺชํ วาเจยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๐๑๘) สมุทฺทิเฎฺฐ ทสมสิกฺขาปเทฯ อิทํ ทสมสิกฺขาปทํฯ
2312.Dasameti ‘‘yā pana bhikkhunī tiracchānavijjaṃ vāceyya, pācittiya’’nti (pāci. 1018) samuddiṭṭhe dasamasikkhāpade. Idaṃ dasamasikkhāpadaṃ.
ทสมํฯ
Dasamaṃ.
จิตฺตาคารวโคฺค ปญฺจโมฯ
Cittāgāravaggo pañcamo.
๒๓๑๓. สภิกฺขุกํ อารามนฺติ ยตฺถ ภิกฺขู รุกฺขมูเลปิ วสนฺติ, ตํ ปเทสํฯ ชานิตฺวาติ ‘‘สภิกฺขุก’’นฺติ ชานิตฺวาฯ ยํ กิญฺจีติ ภิกฺขุํ วา สามเณรํ วา อารามิกํ วา ยํ กิญฺจิฯ
2313.Sabhikkhukaṃ ārāmanti yattha bhikkhū rukkhamūlepi vasanti, taṃ padesaṃ. Jānitvāti ‘‘sabhikkhuka’’nti jānitvā. Yaṃ kiñcīti bhikkhuṃ vā sāmaṇeraṃ vā ārāmikaṃ vā yaṃ kiñci.
๒๓๑๔-๕. ‘‘สภิกฺขุโก นาม อาราโม ยตฺถ ภิกฺขู รุกฺขมูเลปิ วสนฺตี’’ติ (ปาจิ. ๑๐๒๕) วจนโต อาห ‘‘สเจ อนฺตมโส’’ติอาทิฯ ยา ปน ภิกฺขุนี อนฺตมโส รุกฺขมูลสฺสปิ อนาปุจฺฉา สเจ ปริเกฺขปํ อติกฺกาเมติ, ตสฺสา ปฐเม ปาเท ทุกฺกฎํ, อปริกฺขิเตฺต ตสฺส วิหารสฺส อุปจาโรกฺกเม วาปิ ภิกฺขุนิยา ทุกฺกฎํ, ทุติเย ปาเท อติกฺกามิเต ปาจิตฺติ สิยาติ โยชนาฯ
2314-5. ‘‘Sabhikkhuko nāma ārāmo yattha bhikkhū rukkhamūlepi vasantī’’ti (pāci. 1025) vacanato āha ‘‘sace antamaso’’tiādi. Yā pana bhikkhunī antamaso rukkhamūlassapi anāpucchā sace parikkhepaṃ atikkāmeti, tassā paṭhame pāde dukkaṭaṃ, aparikkhitte tassa vihārassa upacārokkame vāpi bhikkhuniyā dukkaṭaṃ, dutiye pāde atikkāmite pācitti siyāti yojanā.
๒๓๑๖. อภิกฺขุเก อาราเม สภิกฺขูติ สญฺญาย อุโภสุปิ สภิกฺขุกาภิกฺขุเกสุ อาราเมสุ ชาตกงฺขาย สญฺชาตวิจิกิจฺฉาย, เวมติกายาติ อโตฺถฯ ตสฺสา อาปตฺติ ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ
2316.Abhikkhuke ārāme sabhikkhūti saññāya ubhosupi sabhikkhukābhikkhukesu ārāmesu jātakaṅkhāya sañjātavicikicchāya, vematikāyāti attho. Tassā āpatti dukkaṭaṃ hotīti yojanā.
๒๓๑๗. สีสานุโลกิกา ยา ภิกฺขุนี คจฺฉติ, ตสฺสา จ อนาปตฺติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ เอวมุปริปิฯ ตา ภิกฺขุนิโย ยตฺถ สนฺนิปติตา โหนฺติ, ตาสํ สนฺติกํ ‘‘คจฺฉามี’’ติ คจฺฉติฯ ยถาห ‘‘ยตฺถ ภิกฺขุนิโย ปฐมตรํ ปวิสิตฺวา สชฺฌายํ วา เจติยวนฺทนาทีนิ วา กโรนฺติ, ตตฺถ ตาสํ สนฺติกํ คจฺฉามีติ คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๐๒๗)ฯ
2317. Sīsānulokikā yā bhikkhunī gacchati, tassā ca anāpatti pakāsitāti yojanā. Evamuparipi. Tā bhikkhuniyo yattha sannipatitā honti, tāsaṃ santikaṃ ‘‘gacchāmī’’ti gacchati. Yathāha ‘‘yattha bhikkhuniyo paṭhamataraṃ pavisitvā sajjhāyaṃ vā cetiyavandanādīni vā karonti, tattha tāsaṃ santikaṃ gacchāmīti gantuṃ vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 1027).
๒๓๑๘. ‘‘สนฺตํ ภิกฺขุํ อนาปุจฺฉา’’ติ วจเนเนว อภิกฺขุกํ อารามํ กิญฺจิ อนาปุจฺฉา ปวิสนฺติยา อนาปตฺตีติ ทีปิตํ โหติฯ อารามมชฺฌโต วา มโคฺค โหติ, เตน คจฺฉนฺติยาปิฯ อาปทาสูติ เยน เกนจิ อุปทฺทุตา โหติ, เอวรูปาสุ อาปทาสุ ปวิสนฺติยาฯ
2318.‘‘Santaṃ bhikkhuṃ anāpucchā’’ti vacaneneva abhikkhukaṃ ārāmaṃ kiñci anāpucchā pavisantiyā anāpattīti dīpitaṃ hoti. Ārāmamajjhato vā maggo hoti, tena gacchantiyāpi. Āpadāsūti yena kenaci upaddutā hoti, evarūpāsu āpadāsu pavisantiyā.
ปฐมํฯ
Paṭhamaṃ.
๒๓๒๐. อโกฺกเสยฺยาติ ทสนฺนํ อโกฺกสวตฺถูนํ อญฺญตเรน สมฺมุขา, ปรมฺมุขา วา อโกฺกเสยฺย วาฯ ปริภาเสยฺย วาติ ภย’มสฺส อุปทํเสยฺย วาฯ ติกปาจิตฺติยนฺติ ‘‘อุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญา…เป.… เวมติกา…เป.… อนุปสมฺปนฺนสญฺญา อโกฺกสติ วา ปริภาสติ วา, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๐๓๑) ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ เสเสติ อนุปสมฺปเนฺนฯ ติกทุกฺกฎํ ตสฺสา โหตีติ โยชนาฯ
2320.Akkoseyyāti dasannaṃ akkosavatthūnaṃ aññatarena sammukhā, parammukhā vā akkoseyya vā. Paribhāseyya vāti bhaya’massa upadaṃseyya vā. Tikapācittiyanti ‘‘upasampanne upasampannasaññā…pe… vematikā…pe… anupasampannasaññā akkosati vā paribhāsati vā, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 1031) tikapācittiyaṃ vuttaṃ. Seseti anupasampanne. Tikadukkaṭaṃ tassā hotīti yojanā.
๒๓๒๑. ‘‘ปุรกฺขตฺวา’’ติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ ‘‘อภิสเปยฺยา’’ติ (ปาจิ. ๘๗๕) วุตฺตสิกฺขาปเท วุตฺตนยเมวฯ
2321.‘‘Purakkhatvā’’tiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ ‘‘abhisapeyyā’’ti (pāci. 875) vuttasikkhāpade vuttanayameva.
ทุติยํฯ
Dutiyaṃ.
๒๓๒๒-๓. สงฺฆนฺติ ภิกฺขุนิสงฺฆํฯ ปริภาเสยฺยาติ ‘‘พาลา เอตา, อพฺยตฺตา เอตา, เนตา ชานนฺติ กมฺมํ วา กมฺมโทสํ วา กมฺมวิปตฺติํ วา กมฺมสมฺปตฺติํ วา’’ติ (ปาจิ. ๑๐๓๕) อาคตนเยน ปริภาเสยฺยาติ อโตฺถฯ อิตรายาติ เอตฺถ อุปโยคเตฺถ กรณวจนํฯ เอกํ ภิกฺขุนิํ วา สมฺพหุลา ภิกฺขุนิโย วา ตเถว อิตรํ อนุปสมฺปนฺนํ วา ปริภาสนฺติยา ตสฺสา ทุกฺกฎํ ปริทีปิตนฺติ โยชนาฯ
2322-3.Saṅghanti bhikkhunisaṅghaṃ. Paribhāseyyāti ‘‘bālā etā, abyattā etā, netā jānanti kammaṃ vā kammadosaṃ vā kammavipattiṃ vā kammasampattiṃ vā’’ti (pāci. 1035) āgatanayena paribhāseyyāti attho. Itarāyāti ettha upayogatthe karaṇavacanaṃ. Ekaṃ bhikkhuniṃ vā sambahulā bhikkhuniyo vā tatheva itaraṃ anupasampannaṃ vā paribhāsantiyā tassā dukkaṭaṃ paridīpitanti yojanā.
ตติยํฯ
Tatiyaṃ.
๒๓๒๔-๖. ยา นิมนฺตนปวารณา อุโภปิ คณโภชนสิกฺขาปเท (ปาจิ. ๒๑๗-๒๑๙), ปวารณสิกฺขาปเท (ปาจิ. ๒๓๘-๒๓๙) จ วุตฺตลกฺขณา, ตาหิ อุโภหิ นิมนฺตนปวารณาหิ ยา จ ภิกฺขุนี สเจ นิมนฺติตาปิ วา ปวาริตาปิ วา ภเวยฺย, สา ปุเรภตฺตํ ยาคุญฺจ ยามกาลิกาทิกาลิกตฺตยญฺจ ฐเปตฺวา ยํ กิญฺจิ อามิสํ ยาวกาลิกํ อโชฺฌหรณตฺถาย ปฎิคฺคณฺหาติ เจ, ตสฺสา คหเณ ทุกฺกฎํ สิยา, อโชฺฌหารวเสน เอตฺถ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท ปาจิตฺติ ปริทีปิตาติ โยชนาฯ
2324-6. Yā nimantanapavāraṇā ubhopi gaṇabhojanasikkhāpade (pāci. 217-219), pavāraṇasikkhāpade (pāci. 238-239) ca vuttalakkhaṇā, tāhi ubhohi nimantanapavāraṇāhi yā ca bhikkhunī sace nimantitāpi vā pavāritāpi vā bhaveyya, sā purebhattaṃ yāguñca yāmakālikādikālikattayañca ṭhapetvā yaṃ kiñci āmisaṃ yāvakālikaṃ ajjhoharaṇatthāya paṭiggaṇhāti ce, tassā gahaṇe dukkaṭaṃ siyā, ajjhohāravasena ettha imasmiṃ sikkhāpade pācitti paridīpitāti yojanā.
เอตฺถ จ นิมนฺติตา นาม ‘‘ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตเรน โภชเนน นิมนฺติตา’’ติ คณโภชนสิกฺขาปเท วุตฺตลกฺขณาฯ ปวารณา จ ‘‘ปวาริโต นาม อสนํ ปญฺญายติ, โภชนํ ปญฺญายติ, หตฺถปาเส ฐิโต อภิหรติ, ปฎิเกฺขโป ปญฺญายตี’’ติ ปวารณสิกฺขาปเท วุตฺตลกฺขณาติ เวทิตพฺพาฯ
Ettha ca nimantitā nāma ‘‘pañcannaṃ bhojanānaṃ aññatarena bhojanena nimantitā’’ti gaṇabhojanasikkhāpade vuttalakkhaṇā. Pavāraṇā ca ‘‘pavārito nāma asanaṃ paññāyati, bhojanaṃ paññāyati, hatthapāse ṭhito abhiharati, paṭikkhepo paññāyatī’’ti pavāraṇasikkhāpade vuttalakkhaṇāti veditabbā.
๒๓๒๗. กาลิกานิ จ ตีเณวาติ ยามกาลิกาทีนิ ตีณิ กาลิกานิ เอวฯ
2327.Kālikāni ca tīṇevāti yāmakālikādīni tīṇi kālikāni eva.
๒๓๒๘-๙. นิมนฺติตปวาริตานํ ทฺวินฺนํ สาธารณาปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อนาปตฺติํ ทเสฺสตุมาห ‘‘นิมนฺติตา’’ติอาทิฯ อิธ อิมสฺมิํ สาสเน ยา ปน ภิกฺขุนี นิมนฺติตา อปฺปวาริตา สเจ ยาคุํ ปิวติ, วฎฺฎติ อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ สามิกสฺสาติ เยน นิมนฺติตา, ตสฺส นิมนฺตนสามิกเสฺสวฯ อญฺญโภชนนฺติ เยน นิมนฺติตา, ตโต อญฺญสฺส โภชนํฯ สเจ สา ภุญฺชติ, ตถา วฎฺฎตีติ โยชนาฯ
2328-9. Nimantitapavāritānaṃ dvinnaṃ sādhāraṇāpattiṃ dassetvā anāpattiṃ dassetumāha ‘‘nimantitā’’tiādi. Idha imasmiṃ sāsane yā pana bhikkhunī nimantitā appavāritā sace yāguṃ pivati, vaṭṭati anāpattīti attho. Sāmikassāti yena nimantitā, tassa nimantanasāmikasseva. Aññabhojananti yena nimantitā, tato aññassa bhojanaṃ. Sace sā bhuñjati, tathā vaṭṭatīti yojanā.
กาลิกานิ จ ตีเณวาติ ยามกาลิกาทีนิ ตีณิ กาลิกาเนวฯ ปจฺจเย สตีติ ปิปาสาทิปจฺจเย สติฯ
Kālikāni ca tīṇevāti yāmakālikādīni tīṇi kālikāneva. Paccaye satīti pipāsādipaccaye sati.
๒๓๓๐. อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส อิทํ สมุฎฺฐานํ อทฺธาเนน ตุลฺยนฺติ โยชนาฯ ปวาริตาย, อปฺปวาริตาย วา นิมนฺติตาย วเสน กิริยากิริยตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘นิมนฺติตา’’ติอาทิฯ นิมนฺติตา ปน สามิกํ อนาปุจฺฉา ภุญฺชติ เจ, ตสฺสา วเสน อิทํ สิกฺขาปทํ กิริยากิริยํ โหติฯ เอตฺถ ภุญฺชนํ กฺริยํฯ สามิกสฺส อนาปุจฺฉนํ อกฺริยํฯ
2330. Imassa sikkhāpadassa idaṃ samuṭṭhānaṃ addhānena tulyanti yojanā. Pavāritāya, appavāritāya vā nimantitāya vasena kiriyākiriyataṃ dassetumāha ‘‘nimantitā’’tiādi. Nimantitā pana sāmikaṃ anāpucchā bhuñjati ce, tassā vasena idaṃ sikkhāpadaṃ kiriyākiriyaṃ hoti. Ettha bhuñjanaṃ kriyaṃ. Sāmikassa anāpucchanaṃ akriyaṃ.
๒๓๓๑. ‘‘กปฺปิยํ การาเปตฺวา’’ติอาทิํ ปวาริตเมว สนฺธายาหฯ ยา ยทิ ปริภุญฺชติ, ตสฺสา จ ปาจิตฺติ สิยา กิริยโต โหตีติ โยชนาฯ สิยาติ อวสฺสํฯ ปวารณสิกฺขาปเท วุตฺตนเยน กปฺปิยํ กาเรตฺวา วา อการาเปตฺวา วา ปริภุญฺชนฺติยา ตสฺสา ปริโภเคเนว อิมินา สิกฺขาปเทน อวสฺสํ อาปตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ
2331.‘‘Kappiyaṃ kārāpetvā’’tiādiṃ pavāritameva sandhāyāha. Yā yadi paribhuñjati, tassā ca pācitti siyā kiriyato hotīti yojanā. Siyāti avassaṃ. Pavāraṇasikkhāpade vuttanayena kappiyaṃ kāretvā vā akārāpetvā vā paribhuñjantiyā tassā paribhogeneva iminā sikkhāpadena avassaṃ āpatti hotīti attho.
จตุตฺถํฯ
Catutthaṃ.
๒๓๓๒. ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี กุลมจฺฉรินี อสฺส, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๐๔๓) อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ภิกฺขุนีน’’นฺติอาทิฯ กุลสนฺติเก ภิกฺขุนีนํ อวณฺณํ วทนฺติยา ปาจิตฺตีติ สมฺพโนฺธ, กุลสฺส สนฺติเก ‘‘ภิกฺขุนิโย ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา’’ติ ภิกฺขุนีนํ อวณฺณํ ภาสนฺติยาติ อโตฺถฯ กุลสฺสาวณฺณนํ วาปีติ ‘‘ตํ กุลํ อสฺสทฺธํ อปฺปสนฺน’’นฺติ ภิกฺขุนีนํ สนฺติเก กุลสฺส อวณฺณํ อคุณํ วทนฺติยา ปาจิตฺตีติ สมฺพโนฺธฯ
2332. ‘‘Yā pana bhikkhunī kulamaccharinī assa, pācittiya’’nti (pāci. 1043) imasmiṃ sikkhāpade vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘bhikkhunīna’’ntiādi. Kulasantike bhikkhunīnaṃ avaṇṇaṃ vadantiyā pācittīti sambandho, kulassa santike ‘‘bhikkhuniyo dussīlā pāpadhammā’’ti bhikkhunīnaṃ avaṇṇaṃ bhāsantiyāti attho. Kulassāvaṇṇanaṃ vāpīti ‘‘taṃ kulaṃ assaddhaṃ appasanna’’nti bhikkhunīnaṃ santike kulassa avaṇṇaṃ aguṇaṃ vadantiyā pācittīti sambandho.
๒๓๓๓. สนฺตํ ภาสนฺติยา โทสนฺติ อมจฺฉรายิตฺวา กุลสฺส วา ภิกฺขุนีนํ วา สนฺตํ โทสํ อาทีนวํ กเถนฺติยาฯ
2333.Santaṃbhāsantiyā dosanti amaccharāyitvā kulassa vā bhikkhunīnaṃ vā santaṃ dosaṃ ādīnavaṃ kathentiyā.
ปญฺจมํฯ
Pañcamaṃ.
๒๓๓๔-๕. โอวาททายโกติ อฎฺฐหิ ครุธเมฺมหิ โอวาทํ เทโนฺตฯ วสฺสํ อุปคจฺฉนฺติยาติ วสฺสํ วสนฺติยาฯ
2334-5.Ovādadāyakoti aṭṭhahi garudhammehi ovādaṃ dento. Vassaṃ upagacchantiyāti vassaṃ vasantiyā.
๒๓๓๖. ภิกฺขูติ โอวาททายกา ภิกฺขูฯ
2336.Bhikkhūti ovādadāyakā bhikkhū.
ฉฎฺฐํฯ
Chaṭṭhaṃ.
๒๓๓๘. ยา สา ภิกฺขุนี วสฺสํ วุตฺถา ปุริมํ วา ปจฺฉิมํ วา เตมาสํ วุตฺถา ตโต อนนฺตรํ อุภโตสเงฺฆ ภิกฺขุนิสเงฺฆ จ ภิกฺขุสเงฺฆ จ ‘‘นาหํ ปวาเรสฺสามี’’ติ ธุรํ นิกฺขิปติ เจติ โยชนาฯ
2338. Yā sā bhikkhunī vassaṃ vutthā purimaṃ vā pacchimaṃ vā temāsaṃ vutthā tato anantaraṃ ubhatosaṅghe bhikkhunisaṅghe ca bhikkhusaṅghe ca ‘‘nāhaṃ pavāressāmī’’ti dhuraṃ nikkhipati ceti yojanā.
สตฺตมํฯ
Sattamaṃ.
๒๓๔๑. โอวาทาทีนมตฺถายาติ อฎฺฐครุธมฺมสฺสวนาทีนมตฺถายฯ อาทิ-สเทฺทน อุโปสถปุจฺฉนปวารณานํ คหณํฯ
2341.Ovādādīnamatthāyāti aṭṭhagarudhammassavanādīnamatthāya. Ādi-saddena uposathapucchanapavāraṇānaṃ gahaṇaṃ.
๒๓๔๒. โอวาทาทีนมตฺถาย อคมเนน อกฺริยํฯ กายิกนฺติ กายกมฺมํฯ
2342. Ovādādīnamatthāya agamanena akriyaṃ. Kāyikanti kāyakammaṃ.
อฎฺฐมํฯ
Aṭṭhamaṃ.
๒๓๔๓. ‘‘อนฺวทฺธมาสํ ภิกฺขุนิยา ภิกฺขุสงฺฆโต เทฺว ธมฺมา ปจฺจาสีสิตพฺพา อุโปสถปุจฺฉนญฺจ โอวาทูปสงฺกมนญฺจ, ตํ อติกฺกาเมนฺติยา ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๐๕๙) อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘น ยาจิสฺสามี’’ติอาทิฯ ตํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
2343. ‘‘Anvaddhamāsaṃ bhikkhuniyā bhikkhusaṅghato dve dhammā paccāsīsitabbā uposathapucchanañca ovādūpasaṅkamanañca, taṃ atikkāmentiyā pācittiya’’nti (pāci. 1059) imasmiṃ sikkhāpade vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘na yācissāmī’’tiādi. Taṃ uttānatthameva.
นวมํฯ
Navamaṃ.
๒๓๔๖-๗. ปสาโข นาม นาภิยา เหฎฺฐา, ชาณุมณฺฑลานํ อุปริ ปเทโสฯ ตถา หิ ยสฺมา รุกฺขสฺส สาขา วิย อุโภ อูรู ปภิชฺชิตฺวา คตา, ตสฺมา โส ปสาโขติ วุจฺจติ, ตสฺมิํ ปสาเขฯ สญฺชาตนฺติ อุฎฺฐิตํฯ คณฺฑนฺติ ยํ กิญฺจิ คณฺฑํฯ รุธิตนฺติ ยํ กิญฺจิ วณํฯ สงฺฆํ วาติ ภิกฺขุนิสงฺฆํ วาฯ คณํ วาติ สมฺพหุลา ภิกฺขุนิโย วาฯ เอเกนาติ เอตฺถ ‘‘ปุริเสนา’’ติ เสโส, สหเตฺถ อิทํ กรณวจนํฯ ยถาห ‘‘ปุริเสน สทฺธิํ เอเกเนกา’’ติฯ ปุริโสติ จ มนุสฺสปุริโสว คเหตโพฺพฯ
2346-7.Pasākho nāma nābhiyā heṭṭhā, jāṇumaṇḍalānaṃ upari padeso. Tathā hi yasmā rukkhassa sākhā viya ubho ūrū pabhijjitvā gatā, tasmā so pasākhoti vuccati, tasmiṃ pasākhe. Sañjātanti uṭṭhitaṃ. Gaṇḍanti yaṃ kiñci gaṇḍaṃ. Rudhitanti yaṃ kiñci vaṇaṃ. Saṅghaṃ vāti bhikkhunisaṅghaṃ vā. Gaṇaṃ vāti sambahulā bhikkhuniyo vā. Ekenāti ettha ‘‘purisenā’’ti seso, sahatthe idaṃ karaṇavacanaṃ. Yathāha ‘‘purisena saddhiṃ ekenekā’’ti. Purisoti ca manussapurisova gahetabbo.
โธวาติ เอตฺถ อาทิ-อเตฺถ วตฺตมาเนน อิติ-สเทฺทน ‘‘อาลิมฺปาเปยฺย วา พนฺธาเปยฺย วา โมจาเปยฺย วา’’ติ (ปาจิ. ๑๐๖๓) สิกฺขาปทาคตานํ อิตเรสํ ติณฺณํ สงฺคณฺหนโต ‘‘อาลิมฺป พนฺธ โมเจหี’’ติ อาณตฺติตฺตยํ สงฺคหิตํฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘ทุกฺกฎานิจฺฉ ปาจิตฺติโย ฉ จา’’ติฯ
Dhovāti ettha ādi-atthe vattamānena iti-saddena ‘‘ālimpāpeyya vā bandhāpeyya vā mocāpeyya vā’’ti (pāci. 1063) sikkhāpadāgatānaṃ itaresaṃ tiṇṇaṃ saṅgaṇhanato ‘‘ālimpa bandha mocehī’’ti āṇattittayaṃ saṅgahitaṃ. Teneva vakkhati ‘‘dukkaṭāniccha pācittiyo cha cā’’ti.
ยา ปน ภิกฺขุนี ปสาเข ชาตํ คณฺฑํ วา รุธิตํ วา สงฺฆํ วา คณํ วา อนาปุจฺฉิตฺวา เอเกน ปุริเสน เอกิกา ‘‘ภินฺท ผาเลหิ โธว อาลิมฺป พนฺธ โมเจหี’’ติ สพฺพานิ กาตพฺพานิ อาณาเปติ, ตสฺสา ฉ ทุกฺกฎานิ, กเตสุ ภินฺทนาทีสุ ฉสุ กิเจฺจสุ ตสฺสา ฉ ปาจิตฺติโย โหนฺตีติ โยชนาฯ
Yā pana bhikkhunī pasākhe jātaṃ gaṇḍaṃ vā rudhitaṃ vā saṅghaṃ vā gaṇaṃ vā anāpucchitvā ekena purisena ekikā ‘‘bhinda phālehi dhova ālimpa bandha mocehī’’ti sabbāni kātabbāni āṇāpeti, tassā cha dukkaṭāni, katesu bhindanādīsu chasu kiccesu tassā cha pācittiyo hontīti yojanā.
๒๓๔๘-๙. เอตฺถาติ คเณฺฑ วา วเณ วาฯ ‘‘ยํ กาตพฺพํ อตฺถิ, ตํ สพฺพํ ตฺวํ กโรหิ’’อิติ สเจ เอวํ ยา อาณาเปตีติ โยชนาฯ ตสฺสา เอกาย อาณาปนวาจาย ฉ ทุกฺกฎานิ จ ปาจิตฺติยจฺฉกฺกเญฺจติ ทฺวาทสาปตฺติโย สิยุนฺติ โยชนาฯ
2348-9.Etthāti gaṇḍe vā vaṇe vā. ‘‘Yaṃ kātabbaṃ atthi, taṃ sabbaṃ tvaṃ karohi’’iti sace evaṃ yā āṇāpetīti yojanā. Tassā ekāya āṇāpanavācāya cha dukkaṭāni ca pācittiyacchakkañceti dvādasāpattiyo siyunti yojanā.
๒๓๕๑. อาปุจฺฉิตฺวา วาติ สงฺฆํ วา คณํ วา อาปุจฺฉิตฺวาฯ ทุติยนฺติ ทุติยิกํฯ วิญฺญุํ ทุติยํ คเหตฺวาปิ วาติ โยชนาฯ
2351.Āpucchitvāvāti saṅghaṃ vā gaṇaṃ vā āpucchitvā. Dutiyanti dutiyikaṃ. Viññuṃ dutiyaṃ gahetvāpi vāti yojanā.
ทสมํฯ
Dasamaṃ.
อารามวโคฺค ฉโฎฺฐฯ
Ārāmavaggo chaṭṭho.
๒๓๕๓. ‘‘คณปริเยสนาทิสฺมิ’’นฺติ วตฺตเพฺพ ฉนฺทานุรกฺขนตฺถํ นิคฺคหิตาคโมฯ คพฺภินินฺติ อาปนฺนสตฺตํ, กุจฺฉิปวิฎฺฐสตฺตนฺติ อโตฺถฯ วุฎฺฐาเปนฺติยาติ อุปสมฺปาเทนฺติยาฯ กมฺมวาจาหีติ ทฺวีหิ กมฺมวาจาหิฯ
2353. ‘‘Gaṇapariyesanādismi’’nti vattabbe chandānurakkhanatthaṃ niggahitāgamo. Gabbhininti āpannasattaṃ, kucchipaviṭṭhasattanti attho. Vuṭṭhāpentiyāti upasampādentiyā. Kammavācāhīti dvīhi kammavācāhi.
๒๓๕๔-๕. กมฺมวาจาย โอสาเนติ ตติยกมฺมวาจาย ปริโยสาเน, ยฺยการปฺปเตฺตติ อโตฺถฯ คพฺภินิสญฺญาย น จ คพฺภินิยาติ อคพฺภินิยา คพฺภินิสญฺญาย จฯ อุโภ สญฺชาตกงฺขายาติ อุโภสุ สมุปฺปนฺนสํสยาย, คพฺภินิยา, อคพฺภินิยา จ เวมติกายาติ อโตฺถฯ คาถาพนฺธวเสเนตฺถ สุ-สทฺทโลโปฯ ตถา วุฎฺฐาเปนฺติยา อุปชฺฌายาย อาปตฺติ ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ อาจรินิยา ตสฺสาติ อุปชฺฌายา คพฺภินิํ วุฎฺฐาเปติ, ตสฺสา กมฺมวาจํ สาเวนฺติยา อาจรินิยา จฯ คณสฺสาติ อุปชฺฌายาจรินีหิ อญฺญสฺส ภิกฺขุนิคณสฺส จฯ ตถา ทุกฺกฎํ ทีปิตนฺติ โยชนาฯ
2354-5.Kammavācāya osāneti tatiyakammavācāya pariyosāne, yyakārappatteti attho. Gabbhinisaññāya na ca gabbhiniyāti agabbhiniyā gabbhinisaññāya ca. Ubho sañjātakaṅkhāyāti ubhosu samuppannasaṃsayāya, gabbhiniyā, agabbhiniyā ca vematikāyāti attho. Gāthābandhavasenettha su-saddalopo. Tathā vuṭṭhāpentiyā upajjhāyāya āpatti dukkaṭaṃ hotīti yojanā. Ācariniyā tassāti upajjhāyā gabbhiniṃ vuṭṭhāpeti, tassā kammavācaṃ sāventiyā ācariniyā ca. Gaṇassāti upajjhāyācarinīhi aññassa bhikkhunigaṇassa ca. Tathā dukkaṭaṃ dīpitanti yojanā.
๒๓๕๖. ‘‘ทฺวีสุ อคพฺภินิสญฺญายา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ทฺวีสูติ คพฺภินิยา, อคพฺภินิยา จฯ
2356. ‘‘Dvīsu agabbhinisaññāyā’’ti padacchedo. Dvīsūti gabbhiniyā, agabbhiniyā ca.
ปฐมํฯ
Paṭhamaṃ.
๒๓๕๗. ทุติเยติ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี ปายนฺติํ วุฎฺฐาเปยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๐๗๓) สิกฺขาปเทฯ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท ปายนฺตี นาม มาตา วา โหติ ธาติ วาติ อยํ วิเสโสฯ
2357.Dutiyeti ‘‘yā pana bhikkhunī pāyantiṃ vuṭṭhāpeyya, pācittiya’’nti (pāci. 1073) sikkhāpade. Imasmiṃ sikkhāpade pāyantī nāma mātā vā hoti dhāti vāti ayaṃ viseso.
ทุติยํฯ
Dutiyaṃ.
๒๓๕๘. ยา ปน ภิกฺขุนี เทฺว วสฺสานิ ฉสุ ธเมฺมสุ อสิกฺขิตสิกฺขํ สิกฺขมานํ สเจ วุฎฺฐาเปยฺย, ปาจิตฺติ สิยาติ โยชนาฯ ตตฺถ เทฺว วสฺสานีติ ปวารณวเสน เทฺว สํวจฺฉรานิฯ ฉสุ ธเมฺมสูติ ปาณาติปาตาเวรมณิอาทีสุ วิกาลโภชนาเวรมณิปริโยสาเนสุ ฉสุ ธเมฺมสุฯ อสิกฺขิตสิกฺขนฺติ ‘‘ปาณาติปาตาเวรมณิํ เทฺว วสฺสานิ อวีติกฺกมฺม สมาทานํ สมาทิยามี’’ติอาทินา (ปาจิ. ๑๐๗๙) นเยน อนาทินฺนสิกฺขาปทํ วา เอวํ สมาทิยิตฺวาปิ กุปิตสิกฺขํ วาฯ สิกฺขมานํ เตสุ ฉสุ ธเมฺมสุ สิกฺขนโต วา เต วา สิกฺขาสงฺขาเต ธเมฺม มานนโต เอวํ ลทฺธนามํ อนุปสมฺปนฺนํฯ วุฎฺฐาเปยฺยาติ อุปสมฺปาเทยฺยฯ อาปตฺติ สิยาติ ปฐมสิกฺขาปเท วุตฺตนเยเนว กมฺมวาจาปริโยสาเน ปาจิตฺติ อาปตฺติ สิยา, ปาจิตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ
2358. Yā pana bhikkhunī dve vassāni chasu dhammesu asikkhitasikkhaṃ sikkhamānaṃ sace vuṭṭhāpeyya, pācitti siyāti yojanā. Tattha dve vassānīti pavāraṇavasena dve saṃvaccharāni. Chasu dhammesūti pāṇātipātāveramaṇiādīsu vikālabhojanāveramaṇipariyosānesu chasu dhammesu. Asikkhitasikkhanti ‘‘pāṇātipātāveramaṇiṃ dve vassāni avītikkamma samādānaṃ samādiyāmī’’tiādinā (pāci. 1079) nayena anādinnasikkhāpadaṃ vā evaṃ samādiyitvāpi kupitasikkhaṃ vā. Sikkhamānaṃ tesu chasu dhammesu sikkhanato vā te vā sikkhāsaṅkhāte dhamme mānanato evaṃ laddhanāmaṃ anupasampannaṃ. Vuṭṭhāpeyyāti upasampādeyya. Āpatti siyāti paṭhamasikkhāpade vuttanayeneva kammavācāpariyosāne pācitti āpatti siyā, pācitti hotīti attho.
๒๓๕๙. ‘‘ธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญา วุฎฺฐาเปติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ ธมฺมกเมฺม เวมติกา วุฎฺฐาเปติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ ธมฺมกเมฺม อธมฺมกมฺมสญฺญา วุฎฺฐาเปติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ เอวํ ธมฺมกเมฺม สตฺถุนา ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ ‘‘อธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญา, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อธมฺมกเมฺม เวมติกา อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อธมฺมกเมฺม อธมฺมกมฺมสญฺญา วุฎฺฐาเปติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๐๘๒) เอวํ อธเมฺม ปน กมฺมสฺมิํ สตฺถุนา ติกทุกฺกฎํ ทีปิตํฯ
2359. ‘‘Dhammakamme dhammakammasaññā vuṭṭhāpeti, āpatti pācittiyassa. Dhammakamme vematikā vuṭṭhāpeti, āpatti pācittiyassa. Dhammakamme adhammakammasaññā vuṭṭhāpeti, āpatti pācittiyassā’’ti evaṃ dhammakamme satthunā tikapācittiyaṃ vuttaṃ. ‘‘Adhammakamme dhammakammasaññā, āpatti dukkaṭassa. Adhammakamme vematikā āpatti dukkaṭassa. Adhammakamme adhammakammasaññā vuṭṭhāpeti, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 1082) evaṃ adhamme pana kammasmiṃ satthunā tikadukkaṭaṃ dīpitaṃ.
๒๓๖๐. อขณฺฑโต ขณฺฑํ อกตฺวาฯ
2360.Akhaṇḍato khaṇḍaṃ akatvā.
๒๓๖๑. สเจ อุปสมฺปทาเปกฺขา ปพฺพชฺชาย สฎฺฐิวสฺสาปิ โหติ, ตสฺสา อิมา ฉ สิกฺขาโย เทฺว วสฺสานิ อวีติกฺกมนียา ปทาตพฺพา, อิมา อทตฺวา น การเย เนว วุฎฺฐาเปยฺยาติ โยชนาฯ
2361. Sace upasampadāpekkhā pabbajjāya saṭṭhivassāpi hoti, tassā imā cha sikkhāyo dve vassāni avītikkamanīyā padātabbā, imā adatvā na kāraye neva vuṭṭhāpeyyāti yojanā.
ตติยํฯ
Tatiyaṃ.
๒๓๖๒. จตุเตฺถ นตฺถิ วตฺตพฺพนฺติ วกฺขมานวิเสสโต อญฺญํ วตฺตพฺพํ นตฺถีติ ยถาวุตฺตนยเมวาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘อิธา’’ติอาทินา อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท ลพฺภมานวิเสสํ ทเสฺสติฯ อิธ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท สเงฺฆน สมฺมตํ ตํ สิกฺขมานํ วุฎฺฐาเปนฺติยา ภิกฺขุนิยา อนาปตฺติ โหตีติ โยชนาฯ
2362.Catutthe natthi vattabbanti vakkhamānavisesato aññaṃ vattabbaṃ natthīti yathāvuttanayamevāti adhippāyo. ‘‘Idhā’’tiādinā imasmiṃ sikkhāpade labbhamānavisesaṃ dasseti. Idha imasmiṃ sikkhāpade saṅghena sammataṃ taṃ sikkhamānaṃ vuṭṭhāpentiyā bhikkhuniyā anāpatti hotīti yojanā.
๒๓๖๓. เทฺว วสฺสานิ ฉสุ ธเมฺมสุ สิกฺขิตสิกฺขาย สิกฺขมานาย ภิกฺขุนิสเงฺฆน อุปสมฺปทโต ปฐมํ ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย ยา วุฎฺฐานสมฺมุติ ทาตพฺพา โหติ, สา วุฎฺฐานสมฺมุติ สเจ ปฐมํ อทินฺนา โหติฯ ตตฺถ ตสฺมิํ อุปสมฺปทมาฬเกปิ ปทาตพฺพาเยวาติ โยชนาฯ
2363. Dve vassāni chasu dhammesu sikkhitasikkhāya sikkhamānāya bhikkhunisaṅghena upasampadato paṭhamaṃ ñattidutiyāya kammavācāya yā vuṭṭhānasammuti dātabbā hoti, sā vuṭṭhānasammuti sace paṭhamaṃ adinnā hoti. Tattha tasmiṃ upasampadamāḷakepi padātabbāyevāti yojanā.
๒๓๖๔. ตติยญฺจาติ ตติยสิกฺขาปทญฺจฯ จตุตฺถญฺจาติ อิทํ จตุตฺถสิกฺขาปทญฺจฯ ปฐเมน สมํ เญยฺยนฺติ ปฐเมน สิกฺขาปเทน สมุฎฺฐานาทินา วินิจฺฉเยน สมานนฺติ ญาตพฺพํฯ จตุตฺถํ ปน สิกฺขาปทํ วุฎฺฐาปนสมฺมุติํ อทาเปตฺวา วุฎฺฐาปนวเสน กฺริยากฺริยํ โหติฯ
2364.Tatiyañcāti tatiyasikkhāpadañca. Catutthañcāti idaṃ catutthasikkhāpadañca. Paṭhamena samaṃ ñeyyanti paṭhamena sikkhāpadena samuṭṭhānādinā vinicchayena samānanti ñātabbaṃ. Catutthaṃ pana sikkhāpadaṃ vuṭṭhāpanasammutiṃ adāpetvā vuṭṭhāpanavasena kriyākriyaṃ hoti.
จตุตฺถํฯ
Catutthaṃ.
๒๓๖๕. คิหิคตนฺติ ปุริสนฺตรคตํ, ปุริสสมาคมปฺปตฺตนฺติ อโตฺถฯ ปริปุณฺณทฺวาทสวสฺสา ปริปุณฺณา อุตฺตรปทโลเปนฯ กิญฺจาปิ น โทโสติ โยชนาฯ วุฎฺฐาเปนฺติยาติ อุปชฺฌายา หุตฺวา อุปสมฺปาเทนฺติยาฯ
2365.Gihigatanti purisantaragataṃ, purisasamāgamappattanti attho. Paripuṇṇadvādasavassā paripuṇṇā uttarapadalopena. Kiñcāpi na dosoti yojanā. Vuṭṭhāpentiyāti upajjhāyā hutvā upasampādentiyā.
๒๓๖๖. เสสนฺติ วุตฺตํฯ อเสเสน สพฺพโสฯ
2366.Sesanti vuttaṃ. Asesena sabbaso.
ปญฺจมํฯ
Pañcamaṃ.
๒๓๖๘. ทุกฺขิตํ สหชีวินินฺติ เอตฺถ ‘‘สิกฺขาปท’’นฺติ เสโสฯ ตุวฎฺฎกวคฺคสฺมิํ ‘‘ทุกฺขิตํ สหชีวินิ’’นฺติ อิเมหิ ปเทหิ ยุตฺตํ ยํ สิกฺขาปทํ วุตฺตํ, เตน สิกฺขาปเทน อฎฺฐมํ สมํ เญยฺยํ, น วิเสสตา วิเสโส นตฺถีติ โยชนาฯ อฎฺฐมนฺติ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี สหชีวินิํ วุฎฺฐาเปตฺวา เทฺว วสฺสานิ เนว อนุคฺคเณฺหยฺย น อนุคฺคณฺหาเปยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๑๐๘) วุตฺตสิกฺขาปทํฯ ตตฺถ สหชีวินินฺติ สทฺธิวิหารินิํฯ เนว อนุคฺคเณฺหยฺยาติ สยํ อุเทฺทสาทีหิ นานุคฺคเณฺหยฺยฯ น อนุคฺคณฺหาเปยฺยาติ ‘‘อิมิสฺสา อเยฺย อุเทฺทสาทีนิ เทหี’’ติ เอวํ น อญฺญาย อนุคฺคณฺหาเปยฺยฯ ปาจิตฺติยนฺติ ธุเร นิกฺขิตฺตมเตฺต ปาจิตฺติยํฯ
2368.Dukkhitaṃ sahajīvininti ettha ‘‘sikkhāpada’’nti seso. Tuvaṭṭakavaggasmiṃ ‘‘dukkhitaṃ sahajīvini’’nti imehi padehi yuttaṃ yaṃ sikkhāpadaṃ vuttaṃ, tena sikkhāpadena aṭṭhamaṃ samaṃ ñeyyaṃ, na visesatā viseso natthīti yojanā. Aṭṭhamanti ‘‘yā pana bhikkhunī sahajīviniṃ vuṭṭhāpetvā dve vassāni neva anuggaṇheyya na anuggaṇhāpeyya, pācittiya’’nti (pāci. 1108) vuttasikkhāpadaṃ. Tattha sahajīvininti saddhivihāriniṃ. Neva anuggaṇheyyāti sayaṃ uddesādīhi nānuggaṇheyya. Na anuggaṇhāpeyyāti ‘‘imissā ayye uddesādīni dehī’’ti evaṃ na aññāya anuggaṇhāpeyya. Pācittiyanti dhure nikkhittamatte pācittiyaṃ.
อฎฺฐมํฯ
Aṭṭhamaṃ.
๒๓๖๙. ยา กาจิ ภิกฺขุนี วุฎฺฐาปิตปวตฺตินิํ เทฺว วสฺสานิ นานุพเนฺธยฺย เจ, ตสฺสา ปาจิตฺติ ปริยาปุตา กถิตาติ โยชนาฯ วุฎฺฐาเปตีติ วุฎฺฐาปิตา, ปวเตฺตติ สุสิกฺขาเปตีติ ปวตฺตินี, วุฎฺฐาปิตา จ สา ปวตฺตินี จาติ วุฎฺฐาปิตปวตฺตินี, อุปชฺฌายาเยตํ อธิวจนํ, ตํ, อุปชฺฌายํฯ นานุพเนฺธยฺยาติ จุเณฺณน, มตฺติกาย, ทนฺตกเฎฺฐน, มุโขทเกนาติ เอวํ เตน เตน กรณีเยน อุปฎฺฐเหยฺยฯ
2369.Yā kāci bhikkhunī vuṭṭhāpitapavattiniṃ dve vassāni nānubandheyya ce, tassā pācitti pariyāputā kathitāti yojanā. Vuṭṭhāpetīti vuṭṭhāpitā, pavatteti susikkhāpetīti pavattinī, vuṭṭhāpitā ca sā pavattinī cāti vuṭṭhāpitapavattinī, upajjhāyāyetaṃ adhivacanaṃ, taṃ, upajjhāyaṃ. Nānubandheyyāti cuṇṇena, mattikāya, dantakaṭṭhena, mukhodakenāti evaṃ tena tena karaṇīyena upaṭṭhaheyya.
๒๓๗๐. ‘‘เทฺว วสฺสานิ อหํ นานุพนฺธิสฺสามี’’ติ ธุรํ นิกฺขิปติ เจ, เอวํ ธุเร นิกฺขิตฺตมตฺตสฺมิํ ปน ตสฺสา ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนาฯ
2370. ‘‘Dve vassāni ahaṃ nānubandhissāmī’’ti dhuraṃ nikkhipati ce, evaṃ dhure nikkhittamattasmiṃ pana tassā pācittiyaṃ siyāti yojanā.
๒๓๗๑. ยา ปน ภิกฺขุนี อุปชฺฌายํ พาลํ วา อลชฺชิํ วา นานุพนฺธติ, ตสฺสา, คิลานาย วา อาปทาสุ วา อุมฺมตฺติกาย วา นานุพนฺธนฺติยา น โทโสติ โยชนาฯ
2371. Yā pana bhikkhunī upajjhāyaṃ bālaṃ vā alajjiṃ vā nānubandhati, tassā, gilānāya vā āpadāsu vā ummattikāya vā nānubandhantiyā na dosoti yojanā.
๒๓๗๒. อนุปฎฺฐาเนน โหตีติ อาห ‘‘อกฺริยํ วุตฺต’’นฺติฯ
2372. Anupaṭṭhānena hotīti āha ‘‘akriyaṃ vutta’’nti.
นวมํฯ
Navamaṃ.
๒๓๗๓-๕. ยา กาจิ ภิกฺขุนี สหชีวินิํ สทฺธิวิหารินิํ วุฎฺฐาเปตฺวา อุปสมฺปาเทตฺวา ตํ คเหตฺวา อนฺตมโส ฉปฺปญฺจโยชนานิปิ น คเจฺฉยฺย น จญฺญํ อาณาเปยฺย ‘‘อิมํ, อเยฺย, คเหตฺวา คจฺฉา’’ติ อญฺญญฺจ น นิโยเชยฺย เจ, ธุเร นิกฺขิตฺตมตฺตสฺมิํ ‘‘น ทานิ คจฺฉิสฺสามิ, อญฺญญฺจ คเหตฺวา คนฺตุํ น นิโยเชสฺสามี’’ติ อุสฺสาเห วิสฺสฎฺฐมเตฺต ตสฺสา ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนาฯ
2373-5. Yā kāci bhikkhunī sahajīviniṃ saddhivihāriniṃ vuṭṭhāpetvā upasampādetvā taṃ gahetvā antamaso chappañcayojanānipi na gaccheyya na caññaṃ āṇāpeyya ‘‘imaṃ, ayye, gahetvā gacchā’’ti aññañca na niyojeyya ce, dhure nikkhittamattasmiṃ ‘‘na dāni gacchissāmi, aññañca gahetvā gantuṃ na niyojessāmī’’ti ussāhe vissaṭṭhamatte tassā pācittiyaṃ siyāti yojanā.
อนฺตรายสฺมิํ สติ วา ทุติยํ อลภนฺติยา วา อาปทาสุ วา คิลานาย วา อุมฺมตฺติกาย วา น โทโสติ โยชนาฯ
Antarāyasmiṃ sati vā dutiyaṃ alabhantiyā vā āpadāsu vā gilānāya vā ummattikāya vā na dosoti yojanā.
ทสมํฯ
Dasamaṃ.
คพฺภินิวโคฺค สตฺตโมฯ
Gabbhinivaggo sattamo.
๒๓๗๖. คิหิคเตหิ ตีเหวาติ อนนฺตเร คพฺภินิวเคฺค คิหิคตปทยุเตฺตหิ ปญฺจมฉฎฺฐสตฺตเมหิ ตีเหว สิกฺขาปเทหิฯ สทิสานีติ อิธ วีสติวสฺสวจนญฺจ กุมาริภูตวจนญฺจ ตตฺถ ทฺวาทสวสฺสวจนญฺจ คิหิคตวจนญฺจ ฐเปตฺวา อวเสเสหิ วินิจฺฉเยหิ ยถากฺกมํ สทิสาเนวาติฯ
2376.Gihigatehi tīhevāti anantare gabbhinivagge gihigatapadayuttehi pañcamachaṭṭhasattamehi tīheva sikkhāpadehi. Sadisānīti idha vīsativassavacanañca kumāribhūtavacanañca tattha dvādasavassavacanañca gihigatavacanañca ṭhapetvā avasesehi vinicchayehi yathākkamaṃ sadisānevāti.
๒๓๗๗. มหูปปทาติ มหา อุปปโท ยาสํ สิกฺขมานานํ ตา มหูปปทาฯ อุปปทํ นาม ปทานเมว ยุชฺชติ, น อตฺถานนฺติ ‘‘ยาส’’นฺติ อญฺญปเทน สิกฺขมานาทิปทานํ คหณํ, สทฺทตฺถานมเภโทปจารสฺส ปน อิจฺฉิตตฺตา สิกฺขมานปทคหิตานเมตฺถ คหณํ เวทิตพฺพํ, มหาสิกฺขมานาติ วุตฺตํ โหติฯ อาทิโตติ เอตฺถ ‘‘วุตฺตา’’ติ เสโส, คพฺภินิวเคฺค ติสฺสนฺนํ คิหิคตานํ ปุริเมสุ ตติยจตุตฺถสิกฺขาปเทสุ อาคตา เทฺว สิกฺขมานาติ อโตฺถฯ คิหิคตาย ‘‘ปริปุณฺณทฺวาทสวสฺสา’’ติ จ กุมาริภูตาย ‘‘ปริปุณฺณวีสติวสฺสา’’ติ จ วสฺสวเสน นานากรณสฺส วุตฺตตฺตา ตาหิ ทฺวีหิ มหาสิกฺขมานาย วสฺสวเสเนว นานากรณํ ทเสฺสตุมาห ‘‘คตา วีสติวสฺสาติ, วิญฺญาตพฺพา วิภาวินา’’ติ, อติกฺกนฺตวีสติวสฺสา มหาสิกฺขมานา นาม โหตีติ อโตฺถฯ
2377.Mahūpapadāti mahā upapado yāsaṃ sikkhamānānaṃ tā mahūpapadā. Upapadaṃ nāma padānameva yujjati, na atthānanti ‘‘yāsa’’nti aññapadena sikkhamānādipadānaṃ gahaṇaṃ, saddatthānamabhedopacārassa pana icchitattā sikkhamānapadagahitānamettha gahaṇaṃ veditabbaṃ, mahāsikkhamānāti vuttaṃ hoti. Āditoti ettha ‘‘vuttā’’ti seso, gabbhinivagge tissannaṃ gihigatānaṃ purimesu tatiyacatutthasikkhāpadesu āgatā dve sikkhamānāti attho. Gihigatāya ‘‘paripuṇṇadvādasavassā’’ti ca kumāribhūtāya ‘‘paripuṇṇavīsativassā’’ti ca vassavasena nānākaraṇassa vuttattā tāhi dvīhi mahāsikkhamānāya vassavaseneva nānākaraṇaṃ dassetumāha ‘‘gatā vīsativassāti, viññātabbā vibhāvinā’’ti, atikkantavīsativassā mahāsikkhamānā nāma hotīti attho.
๒๓๗๘. ตา เทฺว มหาสิกฺขมานา สเจ คิหิคตา วา โหนฺตุ, น จ ปุริสคตา วา โหนฺตุ , สมฺมุติอาทิสุ กมฺมวาจาย ‘‘สิกฺขมานา’’ติ วตฺตพฺพาติ โยชนาฯ เอตฺถ จ สมฺมุติ นาม ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย กาตพฺพาย สิกฺขาย สมฺมุติ เจว วุฎฺฐานสมฺมุติ จฯ อาทิ-สเทฺทน อุปสมฺปทากมฺมํ คหิตํฯ
2378.Tā dve mahāsikkhamānā sace gihigatā vā hontu, na ca purisagatā vā hontu , sammutiādisu kammavācāya ‘‘sikkhamānā’’ti vattabbāti yojanā. Ettha ca sammuti nāma ñattidutiyāya kammavācāya kātabbāya sikkhāya sammuti ceva vuṭṭhānasammuti ca. Ādi-saddena upasampadākammaṃ gahitaṃ.
๒๓๗๙. อิมาสํ ทฺวินฺนํ สมฺมุติทานาทีสุ ญตฺติยา จ กมฺมวาจาย จ วตฺตพฺพํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อวตฺตพฺพํ ทเสฺสตุมาห ‘‘น ตา’’ติอาทิฯ ตา เอตา อุโภปิ มหาสิกฺขมานา ‘‘กุมาริภูตา’’ติ วา ตถา ‘‘คิหิคตา’’ติ วา กมฺมวาจาย น วตฺตพฺพา ยสฺมา, ตสฺมา เอวํ วตฺตุํ น วฎฺฎตีติ โยชนาฯ ‘‘น วตฺตพฺพา’’ติ อิมินา ตถา เจ กมฺมวาจา วุเจฺจยฺย, ตํ กมฺมํ กุปฺปตีติ ทีเปติฯ อิธ ปน-สโทฺท ยสฺมา-ปทโตฺถติ ตทตฺถวเสน โยชนา ทสฺสิตาฯ
2379. Imāsaṃ dvinnaṃ sammutidānādīsu ñattiyā ca kammavācāya ca vattabbaṃ dassetvā idāni avattabbaṃ dassetumāha ‘‘na tā’’tiādi. Tā etā ubhopi mahāsikkhamānā ‘‘kumāribhūtā’’ti vā tathā ‘‘gihigatā’’ti vā kammavācāya na vattabbā yasmā, tasmā evaṃ vattuṃ na vaṭṭatīti yojanā. ‘‘Na vattabbā’’ti iminā tathā ce kammavācā vucceyya, taṃ kammaṃ kuppatīti dīpeti. Idha pana-saddo yasmā-padatthoti tadatthavasena yojanā dassitā.
๒๓๘๐. สมฺมุตินฺติ สิกฺขมานสมฺมุติํฯ ทสวสฺสายาติ เอตฺถ ‘‘คิหิคตายา’’ติ เสโสฯ ยถาห – ‘‘คิหิคตาย ทสวสฺสกาเล สิกฺขาสมฺมุติํ ทตฺวา ทฺวาทสวสฺสกาเล อุปสมฺปทา กาตพฺพา’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๑๙)ฯ เสสาสุปีติ เอกาทสวสฺสกาเล ทตฺวา เตรสวสฺสกาเล กาตพฺพา, ทฺวาทส, เตรส, จุทฺทส, ปนฺนรส, โสฬส, สตฺตรส, อฎฺฐารสวสฺสกาเล สิกฺขาสมฺมุติํ ทตฺวา วีสติวสฺสกาเล กาตพฺพาติ เอวํ อฎฺฐารสวสฺสปริยนฺตาสุ เสสาสุปิ สิกฺขมานาสุฯ อยํ นโยติ ‘‘สมฺมุติยา ทินฺนสํวจฺฉรโต อาคามินิ ทุติเย สํวจฺฉเร อุปสมฺปาเทตพฺพา’’ติ อยํ นโยฯ เตเนว วุตฺตํ ‘‘เอกาทสวสฺสกาเล ทตฺวา เตรสวสฺสกาเล กาตพฺพา’’ติอาทิฯ
2380.Sammutinti sikkhamānasammutiṃ. Dasavassāyāti ettha ‘‘gihigatāyā’’ti seso. Yathāha – ‘‘gihigatāya dasavassakāle sikkhāsammutiṃ datvā dvādasavassakāle upasampadā kātabbā’’ti (pāci. aṭṭha. 1119). Sesāsupīti ekādasavassakāle datvā terasavassakāle kātabbā, dvādasa, terasa, cuddasa, pannarasa, soḷasa, sattarasa, aṭṭhārasavassakāle sikkhāsammutiṃ datvā vīsativassakāle kātabbāti evaṃ aṭṭhārasavassapariyantāsu sesāsupi sikkhamānāsu. Ayaṃ nayoti ‘‘sammutiyā dinnasaṃvaccharato āgāmini dutiye saṃvacchare upasampādetabbā’’ti ayaṃ nayo. Teneva vuttaṃ ‘‘ekādasavassakāle datvā terasavassakāle kātabbā’’tiādi.
๒๓๘๑. ‘‘กุมาริภูตา’’ติปิ ‘‘คิหิคตา’’ติปิ วตฺตุํ วฎฺฎตีติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตาติ โยชนาฯ
2381. ‘‘Kumāribhūtā’’tipi ‘‘gihigatā’’tipi vattuṃ vaṭṭatīti aṭṭhakathāyaṃ vuttāti yojanā.
๒๓๘๒. ยา ปน ปริปุณฺณวีสติวสฺสา สามเณรี ‘‘กุมาริภูตา’’ติ วุตฺตา, สา กมฺมวาจาย ‘‘กุมาริภูตา’’อิเจฺจว วตฺตพฺพา, อญฺญถา ปน น วตฺตพฺพา ‘‘คิหิคตา’’ติ วา ‘‘ปุริสนฺตรคตา’’ติ วา น วตฺตพฺพาติ โยชนาฯ ยถาห ‘‘กุมาริภูตา ปน ‘คิหิคตา’ติ น วตฺตพฺพา, ‘กุมาริภูตา’อิเจฺจว วตฺตพฺพา’’ติฯ
2382.Yā pana paripuṇṇavīsativassā sāmaṇerī ‘‘kumāribhūtā’’ti vuttā, sā kammavācāya ‘‘kumāribhūtā’’icceva vattabbā, aññathā pana na vattabbā ‘‘gihigatā’’ti vā ‘‘purisantaragatā’’ti vā na vattabbāti yojanā. Yathāha ‘‘kumāribhūtā pana ‘gihigatā’ti na vattabbā, ‘kumāribhūtā’icceva vattabbā’’ti.
๒๓๘๓. เอตา ตุ ปน ติโสฺสปีติ มหาสิกฺขมานา คิหิคตา, กุมาริภูตาติ วุตฺตา ปน เอตา ติโสฺสปิฯ อปิ-สเทฺทน คิหิคตา กุมาริภูตา เทฺว สกสกนาเมนาปิ วตฺตุํ วฎฺฎนฺตีติ ทีเปติฯ ‘‘กุมาริภูตสิกฺขมานายา’’ติ ปาฬิยํ อวุตฺตตฺตา น วฎฺฎตีติ โกจิ มเญฺญยฺยาติ อาห ‘‘น สํสโย’’ติฯ ตถา วตฺตพฺพตาเหตุทสฺสนตฺถมาห ‘‘สิกฺขาสมฺมุติทานโต’’ติฯ
2383.Etā tu pana tissopīti mahāsikkhamānā gihigatā, kumāribhūtāti vuttā pana etā tissopi. Api-saddena gihigatā kumāribhūtā dve sakasakanāmenāpi vattuṃ vaṭṭantīti dīpeti. ‘‘Kumāribhūtasikkhamānāyā’’ti pāḷiyaṃ avuttattā na vaṭṭatīti koci maññeyyāti āha ‘‘na saṃsayo’’ti. Tathā vattabbatāhetudassanatthamāha ‘‘sikkhāsammutidānato’’ti.
ปฐมทุติยตติยานิฯ
Paṭhamadutiyatatiyāni.
๒๓๘๔-๕. ยา ปน ภิกฺขุนี อูนทฺวาทสวสฺสาว อุปสมฺปทาวเสน อปริปุณฺณทฺวาทสวสฺสา เอว สยํ อุปชฺฌายา หุตฺวา ปรํ สิกฺขมานํ สเจ วุฎฺฐาเปติ, ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว คณปริเยสนาทิทุติยานุสฺสาวนปริโยสาเนสุ อาปนฺนานํ ทุกฺกฎานํ อนนฺตรํ กมฺมวาจานํ โอสาเน ตติยานุสฺสาวนาย ยฺยตารปฺปตฺตาย ตสฺสา ปาจิตฺติ ปริทีปิตาติ โยชนาฯ
2384-5. Yā pana bhikkhunī ūnadvādasavassāva upasampadāvasena aparipuṇṇadvādasavassā eva sayaṃ upajjhāyā hutvā paraṃ sikkhamānaṃ sace vuṭṭhāpeti, pubbe vuttanayeneva gaṇapariyesanādidutiyānussāvanapariyosānesu āpannānaṃ dukkaṭānaṃ anantaraṃ kammavācānaṃ osāne tatiyānussāvanāya yyatārappattāya tassā pācitti paridīpitāti yojanā.
จตุตฺถํฯ
Catutthaṃ.
๒๓๘๖. ปญฺจเมติ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี ปริปุณฺณทฺวาทสวสฺสา สเงฺฆน อสมฺมตา วุฎฺฐาเปยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๑๔๒) สิกฺขาปเทฯ กายจิตฺตวาจาจิตฺตกายวาจาจิตฺตวเสน ติสมุฎฺฐานํฯ กฺริยากฺริยนฺติ วุฎฺฐาปนํ กิริยํ, สงฺฆสมฺมุติยา อคฺคหณํ อกิริยํฯ
2386.Pañcameti ‘‘yā pana bhikkhunī paripuṇṇadvādasavassā saṅghena asammatā vuṭṭhāpeyya, pācittiya’’nti (pāci. 1142) sikkhāpade. Kāyacittavācācittakāyavācācittavasena tisamuṭṭhānaṃ. Kriyākriyanti vuṭṭhāpanaṃ kiriyaṃ, saṅghasammutiyā aggahaṇaṃ akiriyaṃ.
ปญฺจมํฯ
Pañcamaṃ.
๒๓๘๗. สเงฺฆนาติ ภิกฺขุนิสเงฺฆนฯ อุปปริกฺขิตฺวาติ อลชฺชิภาวาทิํ อุปปริกฺขิตฺวาฯ อลํ ตาวาติ เอตฺถ ‘‘เต อเยฺย’’ติ เสโสฯ วาริตาติ เอตฺถ ‘‘สาธูติ ปฎิสฺสุณิตฺวา’’ติ เสโสฯ ‘‘อลํ ตาว เต, อเยฺย, อุปสมฺปาทิเตนา’’ติ วาริตา ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา เอตฺถ เอตสฺมิํ ปวารเณ ปจฺฉา ขียติ ‘‘อหเมว นูน พาลา, อหเมว นูน อลชฺชินี’’ติอาทินา อวณฺณํ ปกาเสติ, โทสตา ปาจิตฺติยาปตฺติ โหตีติ โยชนาฯ
2387.Saṅghenāti bhikkhunisaṅghena. Upaparikkhitvāti alajjibhāvādiṃ upaparikkhitvā. Alaṃ tāvāti ettha ‘‘te ayye’’ti seso. Vāritāti ettha ‘‘sādhūti paṭissuṇitvā’’ti seso. ‘‘Alaṃ tāva te, ayye, upasampāditenā’’ti vāritā ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā ettha etasmiṃ pavāraṇe pacchā khīyati ‘‘ahameva nūna bālā, ahameva nūna alajjinī’’tiādinā avaṇṇaṃ pakāseti, dosatā pācittiyāpatti hotīti yojanā.
๒๓๘๘. ฉนฺทโทสาทีหิ กโรนฺติยาติ เอตฺถ ‘‘ปกติยา’’ติ เสโสฯ ปกติยา ฉนฺทโทสาทีหิ อคติคมเนหิ นิวารณํ กโรนฺติยา สเจ อุชฺฌายติ, น โทโสติ โยชนาฯ
2388.Chandadosādīhikarontiyāti ettha ‘‘pakatiyā’’ti seso. Pakatiyā chandadosādīhi agatigamanehi nivāraṇaṃ karontiyā sace ujjhāyati, na dosoti yojanā.
ฉฎฺฐํฯ
Chaṭṭhaṃ.
๒๓๘๙-๙๐. ลเทฺธ จีวเรติ สิกฺขามานาย ‘‘สเจ เม ตฺวํ, อเยฺย, จีวรํ ทสฺสสิ, เอวาหํ ตํ วุฎฺฐาเปสฺสามี’’ติ วตฺวา ยาจิเต ตสฺมิํ จีวเร ลเทฺธฯ ปจฺฉาติ จีวรลาภโต ปจฺฉาฯ อสเนฺต อนฺตรายิเกติ ทสนฺนํ อนฺตรายานํ อญฺญตรสฺมิํ อนฺตราเย อวิชฺชมาเนฯ วุฎฺฐาเปสฺสามินาหนฺติ อหํ ตํ น สมุฎฺฐาเปสฺสามีติ ธุรนิเกฺขปเน ตสฺสา ปาจิตฺติยํ โหตีติ โยชนาฯ
2389-90.Laddhecīvareti sikkhāmānāya ‘‘sace me tvaṃ, ayye, cīvaraṃ dassasi, evāhaṃ taṃ vuṭṭhāpessāmī’’ti vatvā yācite tasmiṃ cīvare laddhe. Pacchāti cīvaralābhato pacchā. Asante antarāyiketi dasannaṃ antarāyānaṃ aññatarasmiṃ antarāye avijjamāne. Vuṭṭhāpessāmināhanti ahaṃ taṃ na samuṭṭhāpessāmīti dhuranikkhepane tassā pācittiyaṃ hotīti yojanā.
๒๓๙๑. อิทนฺติ อิทํ สิกฺขาปทํฯ อวุฎฺฐาปเนน อกฺริยํฯ
2391.Idanti idaṃ sikkhāpadaṃ. Avuṭṭhāpanena akriyaṃ.
สตฺตมํฯ
Sattamaṃ.
๒๓๙๒. อฎฺฐมนฺติ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี สิกฺขมานํ ‘สเจ มํ ตฺวํ, อเยฺย, เทฺว วสฺสานิ อนุพนฺธิสฺสสิ, เอวาหํ ตํ วุฎฺฐาเปสฺสามี’’ติอาทิ (ปาจิ. ๑๑๕๕) สิกฺขาปทํฯ นวเมติ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี ปุริสสํสฎฺฐํ กุมารกสํสฎฺฐํ จณฺฑิํ โสกาวาสํ สิกฺขมานํ วุฎฺฐาเปยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๑๕๙) วุตฺตสิกฺขาปเทฯ ‘‘วตฺตพฺพํ นตฺถี’’ติ อิทํ สทฺทตฺถวิเสสมนฺตเรน วินิจฺฉยสฺส สุวิเญฺญยฺยตฺตา วุตฺตํฯ เตเนวาห ‘‘อุตฺตานเมวิท’’นฺติฯ
2392.Aṭṭhamanti ‘‘yā pana bhikkhunī sikkhamānaṃ ‘sace maṃ tvaṃ, ayye, dve vassāni anubandhissasi, evāhaṃ taṃ vuṭṭhāpessāmī’’tiādi (pāci. 1155) sikkhāpadaṃ. Navameti ‘‘yā pana bhikkhunī purisasaṃsaṭṭhaṃ kumārakasaṃsaṭṭhaṃ caṇḍiṃ sokāvāsaṃ sikkhamānaṃ vuṭṭhāpeyya, pācittiya’’nti (pāci. 1159) vuttasikkhāpade. ‘‘Vattabbaṃ natthī’’ti idaṃ saddatthavisesamantarena vinicchayassa suviññeyyattā vuttaṃ. Tenevāha ‘‘uttānamevida’’nti.
สทฺทโตฺถ ปน เอวํ เวทิตโพฺพ – ปุริสสํสฎฺฐนฺติ ปริปุณฺณวีสติวเสฺสน ปุริเสน อนนุโลมิเกน กายวจีกเมฺมน สํสฎฺฐํฯ กุมารกสํสฎฺฐนฺติ อูนวีสติวเสฺสน กุมาเรน ตเถว สํสฎฺฐํฯ จณฺฑินฺติ โกธนํฯ โสกาวาสนฺติ สเงฺกตํ กตฺวา อาคจฺฉมานา ปุริสานํ อโนฺต โสกํ ปเวเสตีติ โสกาวาสา, ตํ โสกาวาสํฯ อถ วา ฆรํ วิย ฆรสามิกา, อยมฺปิ ปุริสสมาคมํ อลภมานา โสกํ อาวิสติ, อิติ ยํ อาวิสติ, สฺวาสฺสา อาวาโส โหตีติ โสกาวาสาฯ เตเนวสฺส ปทภาชเน ‘‘โสกาวาสา นาม ปเรสํ ทุกฺขํ อุปฺปาเทติ, โสกํ อาวิสตี’’ติ (ปาจิ. ๑๑๖๐) เทฺวธา อโตฺถ วุโตฺตฯ ปาจิตฺติยนฺติ เอวรูปํ วุฎฺฐาเปนฺติยา วุตฺตนเยเนว กมฺมวาจาปริโยสาเน อุปชฺฌายาย ปาจิตฺติยํฯ
Saddattho pana evaṃ veditabbo – purisasaṃsaṭṭhanti paripuṇṇavīsativassena purisena ananulomikena kāyavacīkammena saṃsaṭṭhaṃ. Kumārakasaṃsaṭṭhanti ūnavīsativassena kumārena tatheva saṃsaṭṭhaṃ. Caṇḍinti kodhanaṃ. Sokāvāsanti saṅketaṃ katvā āgacchamānā purisānaṃ anto sokaṃ pavesetīti sokāvāsā, taṃ sokāvāsaṃ. Atha vā gharaṃ viya gharasāmikā, ayampi purisasamāgamaṃ alabhamānā sokaṃ āvisati, iti yaṃ āvisati, svāssā āvāso hotīti sokāvāsā. Tenevassa padabhājane ‘‘sokāvāsā nāma paresaṃ dukkhaṃ uppādeti, sokaṃ āvisatī’’ti (pāci. 1160) dvedhā attho vutto. Pācittiyanti evarūpaṃ vuṭṭhāpentiyā vuttanayeneva kammavācāpariyosāne upajjhāyāya pācittiyaṃ.
๒๓๙๓. ‘‘นตฺถิ อชานนฺติยา’’ติ ปเจฺฉโท, สิกฺขมานาย ปุริสสํสฎฺฐาทิภาวํ อชานนฺติยาติ อโตฺถฯ
2393. ‘‘Natthi ajānantiyā’’ti pacchedo, sikkhamānāya purisasaṃsaṭṭhādibhāvaṃ ajānantiyāti attho.
อฎฺฐมนวมานิฯ
Aṭṭhamanavamāni.
๒๓๙๔. วิชาตมาตรา วา ชนกปิตรา วา สามินา ปริคฺคาหกสามินา วา นานุญฺญาตํ อุปสมฺปทตฺถาย อนนุญฺญาตํ ตํ สิกฺขมานํ วุฎฺฐาเปนฺติยา ตสฺสา ปาจิตฺติยาปตฺติ สิยาติ โยชนาฯ
2394. Vijātamātarāvā janakapitarā vā sāminā pariggāhakasāminā vā nānuññātaṃ upasampadatthāya ananuññātaṃ taṃ sikkhamānaṃ vuṭṭhāpentiyā tassā pācittiyāpatti siyāti yojanā.
๒๓๙๕. น ภิกฺขุนาติ ภิกฺขุนา ทฺวิกฺขตฺตุํ น ปุจฺฉิตพฺพํ, สกิเมว ปุจฺฉิตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘ภิกฺขุนีหิ ทฺวิกฺขตฺตุํ อาปุจฺฉิตพฺพํ ปพฺพชฺชากาเล จ อุปสมฺปทากาเล จ, ภิกฺขูนํ ปน สกิํ อาปุจฺฉิเตปิ วฎฺฎตี’’ติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๑๖๒)ฯ
2395.Na bhikkhunāti bhikkhunā dvikkhattuṃ na pucchitabbaṃ, sakimeva pucchitabbanti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘bhikkhunīhi dvikkhattuṃ āpucchitabbaṃ pabbajjākāle ca upasampadākāle ca, bhikkhūnaṃ pana sakiṃ āpucchitepi vaṭṭatī’’ti (pāci. aṭṭha. 1162).
๒๓๙๖-๗. อตฺถิตนฺติ อตฺถิภาวํฯ จตูหิ สมุฎฺฐาติ, จตฺตาริ วา สมุฎฺฐานานิ เอตสฺสาติ จตุสมุฎฺฐานํฯ กตเมหิ จตูหิ สมุฎฺฐาตีติ อาห ‘‘วาจโต…เป.… กายวาจาทิโตปิ จา’’ติฯ กถํ วาจาทีหิ จตูหิ สมุฎฺฐาติ? อพฺภานกมฺมาทีสุ เกนจิเทว กรณีเยน ขณฺฑสีมายํ นิสินฺนา ‘‘ปโกฺกสถ สิกฺขมานํ, อิเธว นํ อุปสมฺปาเทสฺสามา’’ติ อุปสมฺปาเทติ, เอวํ วาจโต สมุฎฺฐาติฯ ‘‘อุปสฺสยโต ปฎฺฐาย อุปสมฺปาเทสฺสามี’’ติ วตฺวา ขณฺฑสีมํ คจฺฉนฺติยา กายวาจโต สมุฎฺฐาติฯ ทฺวีสุปิ ฐาเนสุ ปณฺณตฺติํ ชานิตฺวา วีติกฺกมํ กโรนฺติยา วาจาจิตฺตโต, กายวาจาจิตฺตโต จ สมุฎฺฐาติฯ อุปสมฺปาทนํ กฺริยํ, อนาปุจฺฉนํ อกฺริยํฯ
2396-7.Atthitanti atthibhāvaṃ. Catūhi samuṭṭhāti, cattāri vā samuṭṭhānāni etassāti catusamuṭṭhānaṃ. Katamehi catūhi samuṭṭhātīti āha ‘‘vācato…pe… kāyavācāditopi cā’’ti. Kathaṃ vācādīhi catūhi samuṭṭhāti? Abbhānakammādīsu kenacideva karaṇīyena khaṇḍasīmāyaṃ nisinnā ‘‘pakkosatha sikkhamānaṃ, idheva naṃ upasampādessāmā’’ti upasampādeti, evaṃ vācato samuṭṭhāti. ‘‘Upassayato paṭṭhāya upasampādessāmī’’ti vatvā khaṇḍasīmaṃ gacchantiyā kāyavācato samuṭṭhāti. Dvīsupi ṭhānesu paṇṇattiṃ jānitvā vītikkamaṃ karontiyā vācācittato, kāyavācācittato ca samuṭṭhāti. Upasampādanaṃ kriyaṃ, anāpucchanaṃ akriyaṃ.
ทสมํฯ
Dasamaṃ.
๒๓๙๘. เอตฺถ อิมสฺมิํ สาสเน ยา ภิกฺขุนี ปาริวาสิเกน ฉนฺททาเนน สิกฺขมานํ สเจ วุฎฺฐาเปติ, ตสฺสา ปาจิตฺติยํ สิยาติ โยชนาฯ ตตฺถ ปาริวาสิเกน ฉนฺททาเนนาติ จตุพฺพิธํ ปาริวาสิยํ ปริสปาริวาสิยํ, รตฺติปาริวาสิยํ, ฉนฺทปาริวาสิยํ, อชฺฌาสยปาริวาสิยนฺติฯ
2398.Ettha imasmiṃ sāsane yā bhikkhunī pārivāsikena chandadānena sikkhamānaṃ sace vuṭṭhāpeti, tassā pācittiyaṃ siyāti yojanā. Tattha pārivāsikena chandadānenāti catubbidhaṃ pārivāsiyaṃ parisapārivāsiyaṃ, rattipārivāsiyaṃ, chandapārivāsiyaṃ, ajjhāsayapārivāsiyanti.
ตตฺถ ปริสปาริวาสิยํ นาม ภิกฺขู เกนจิเทว กรณีเยน สนฺนิปติตา โหนฺติ, อถ เมโฆ วา อุฎฺฐหติ, อุสฺสารณา วา กรียติ, มนุสฺสา วา อโชฺฌตฺถรนฺตา อาคจฺฉนฺติ, ภิกฺขู ‘‘อโนกาโส อยํ, อญฺญตฺร คจฺฉามา’’ติ ฉนฺทํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว อุฎฺฐหนฺติฯ อิทํ ปริสปาริวาสิยํฯ กิญฺจาปิ ปริสปาริวาสิยํ, ฉนฺทสฺส ปน อวิสฺสฎฺฐตฺตา กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติฯ
Tattha parisapārivāsiyaṃ nāma bhikkhū kenacideva karaṇīyena sannipatitā honti, atha megho vā uṭṭhahati, ussāraṇā vā karīyati, manussā vā ajjhottharantā āgacchanti, bhikkhū ‘‘anokāso ayaṃ, aññatra gacchāmā’’ti chandaṃ avissajjetvāva uṭṭhahanti. Idaṃ parisapārivāsiyaṃ. Kiñcāpi parisapārivāsiyaṃ, chandassa pana avissaṭṭhattā kammaṃ kātuṃ vaṭṭati.
ปุน ภิกฺขู ‘‘อุโปสถาทีนิ กริสฺสามา’’ติ รตฺติํ สนฺนิปติตฺวา ‘‘ยาว สเพฺพ สนฺนิปตนฺติ, ตาว ธมฺมํ สุณิสฺสามา’’ติ เอกํ อเชฺฌสนฺติ, ตสฺมิํ ธมฺมกถํ กเถเนฺตเยว อรุโณ อุคฺคจฺฉติฯ สเจ ‘‘จาตุทฺทสิกํ อุโปสถํ กริสฺสามา’’ติ นิสินฺนา, ‘‘ปนฺนรโส’’ติ กาตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปนฺนรสิกํ กาตุํ นิสินฺนา, ปาฎิปเท อนุโปสเถ อุโปสถํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ อญฺญํ ปน สงฺฆกิจฺจํ กาตุํ วฎฺฎติฯ อิทํ ปน รตฺติปาริวาสิยํ นามฯ
Puna bhikkhū ‘‘uposathādīni karissāmā’’ti rattiṃ sannipatitvā ‘‘yāva sabbe sannipatanti, tāva dhammaṃ suṇissāmā’’ti ekaṃ ajjhesanti, tasmiṃ dhammakathaṃ kathenteyeva aruṇo uggacchati. Sace ‘‘cātuddasikaṃ uposathaṃ karissāmā’’ti nisinnā, ‘‘pannaraso’’ti kātuṃ vaṭṭati. Sace pannarasikaṃ kātuṃ nisinnā, pāṭipade anuposathe uposathaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Aññaṃ pana saṅghakiccaṃ kātuṃ vaṭṭati. Idaṃ pana rattipārivāsiyaṃ nāma.
ปุน ภิกฺขู ‘‘กิญฺจิเทว อพฺภานาทิสงฺฆกมฺมํ กริสฺสามา’’ติ นิสินฺนา โหนฺติ, ตเตฺรโก นกฺขตฺตปาฐโก ภิกฺขุ เอวํ วทติ ‘‘อชฺช นกฺขตฺตํ ทารุณํ, มา อิทํ กมฺมํ กโรถา’’ติ, เต ตสฺส วจเนน ฉนฺทํ วิสฺสเชฺชตฺวา ตเตฺถว นิสินฺนา โหนฺติ, อถโญฺญ อาคนฺตฺวา –
Puna bhikkhū ‘‘kiñcideva abbhānādisaṅghakammaṃ karissāmā’’ti nisinnā honti, tatreko nakkhattapāṭhako bhikkhu evaṃ vadati ‘‘ajja nakkhattaṃ dāruṇaṃ, mā idaṃ kammaṃ karothā’’ti, te tassa vacanena chandaṃ vissajjetvā tattheva nisinnā honti, athañño āgantvā –
‘‘นกฺขตฺตํ ปฎิมาเนนฺตํ, อโตฺถ พาลํ อุปจฺจคา’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๔๙) –
‘‘Nakkhattaṃ paṭimānentaṃ, attho bālaṃ upaccagā’’ti. (jā. 1.1.49) –
วตฺวา ‘‘กิํ นกฺขเตฺตน, กโรถา’’ติ วทติฯ อิทํ ฉนฺทปาริวาสิยเญฺจว อชฺฌาสยปาริวาสิยญฺจฯ เอตสฺมิํ ปาริวาสิเย ปุน ฉนฺทปาริสุทฺธิํ อนาหริตฺวา กมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ อิทํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ปาริวาสิเกน ฉนฺททาเนนา’’ติฯ
Vatvā ‘‘kiṃ nakkhattena, karothā’’ti vadati. Idaṃ chandapārivāsiyañceva ajjhāsayapārivāsiyañca. Etasmiṃ pārivāsiye puna chandapārisuddhiṃ anāharitvā kammaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Idaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘pārivāsikena chandadānenā’’ti.
ปาจิตฺติยํ สิยาติ เอวํ วุฎฺฐาเปนฺติยา วุตฺตนเยเนว กมฺมวาจาปริโยสาเน ปาจิตฺติยํ สิยาติ อโตฺถฯ
Pācittiyaṃ siyāti evaṃ vuṭṭhāpentiyā vuttanayeneva kammavācāpariyosāne pācittiyaṃ siyāti attho.
๒๓๙๙. ฉนฺทํ อวิหาย วา อวิสฺสเชฺชตฺวาว อวุฎฺฐิตาย ปริสาย ตุ ยถานิสินฺนาย ปริสาย วุฎฺฐาเปนฺติยา อนาปตฺตีติ โยชนาฯ วา-สโทฺท เอวการโตฺถฯ
2399. Chandaṃ avihāya vā avissajjetvāva avuṭṭhitāya parisāya tu yathānisinnāya parisāya vuṭṭhāpentiyā anāpattīti yojanā. Vā-saddo evakārattho.
เอกาทสมํฯ
Ekādasamaṃ.
๒๔๐๐. ทฺวาทเสติ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี อนุวสฺสํ วุฎฺฐาเปยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๑๗๑) สิกฺขาปเทฯ เตรเสติ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี เอกํ วสฺสํ เทฺว วุฎฺฐาเปยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๑๗๕) สิกฺขาปเทฯ
2400.Dvādaseti ‘‘yā pana bhikkhunī anuvassaṃ vuṭṭhāpeyya, pācittiya’’nti (pāci. 1171) sikkhāpade. Teraseti ‘‘yā pana bhikkhunī ekaṃ vassaṃ dve vuṭṭhāpeyya, pācittiya’’nti (pāci. 1175) sikkhāpade.
ทฺวาทสมเตรสมานิฯ
Dvādasamaterasamāni.
กุมาริภูตวโคฺค อฎฺฐโมฯ
Kumāribhūtavaggo aṭṭhamo.
๒๔๐๑. อคิลานาติ ฉตฺตุปาหเนน วูปสเมตพฺพโรครหิตาฯ ยถาห ‘‘อคิลานา นาม ยสฺสา วินา ฉตฺตุปาหนา ผาสุ โหตี’’ติฯ ฉตฺตญฺจ อุปาหนา จ ฉตฺตุปาหนํฯ ตตฺถ ฉตฺตํ วุตฺตลกฺขณํ, อุปาหนา วกฺขมานลกฺขณาฯ ธาเรยฺยาติ อุภยํ เอกโต ธาเรยฺยฯ วิสุํ ธาเรนฺติยา หิ ทุกฺกฎํ วกฺขติฯ
2401.Agilānāti chattupāhanena vūpasametabbarogarahitā. Yathāha ‘‘agilānā nāma yassā vinā chattupāhanā phāsu hotī’’ti. Chattañca upāhanā ca chattupāhanaṃ. Tattha chattaṃ vuttalakkhaṇaṃ, upāhanā vakkhamānalakkhaṇā. Dhāreyyāti ubhayaṃ ekato dhāreyya. Visuṃ dhārentiyā hi dukkaṭaṃ vakkhati.
๒๔๐๒. ทิวสนฺติ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ สเจ ธาเรตีติ โยชนาฯ
2402.Divasanti accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Sace dhāretīti yojanā.
๒๔๐๓. กทฺทมาทีนีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน มหาวาลุกาทีนํ คหณํฯ
2403.Kaddamādīnīti ettha ādi-saddena mahāvālukādīnaṃ gahaṇaṃ.
๒๔๐๔. สเจ คจฺฉตีติ สมฺพโนฺธฯ ทิสฺวา คจฺฉาทิกนฺติ ฉเตฺต ลคฺคนโยคฺคํ นีจตรํ คจฺฉาทิกํ ทิสฺวาฯ อาทิ-สเทฺทน คุมฺพาทีนํ คหณํฯ ทุกฺกฎนฺติ อุปาหนมตฺตเสฺสว ธารเณ ทุกฺกฎํฯ
2404. Sace gacchatīti sambandho. Disvā gacchādikanti chatte lagganayoggaṃ nīcataraṃ gacchādikaṃ disvā. Ādi-saddena gumbādīnaṃ gahaṇaṃ. Dukkaṭanti upāhanamattasseva dhāraṇe dukkaṭaṃ.
๒๔๐๕. อปนาเมตฺวาติ สีสโต อปนาเมตฺวาฯ โอมุญฺจิตฺวาติ ปาทโต โอมุญฺจิตฺวาฯ โหติ ปาจิตฺติยนฺติ ปุน ปาจิตฺติยํ โหติฯ
2405.Apanāmetvāti sīsato apanāmetvā. Omuñcitvāti pādato omuñcitvā. Hoti pācittiyanti puna pācittiyaṃ hoti.
๒๔๐๖. ปโยคคณนาเยวาติ ฉตฺตุปาหนสฺส อปเนตฺวา อปเนตฺวา เอกโต ธารณปโยคคณนายฯ ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ ‘‘อคิลานา อคิลานสญฺญา, เวมติกา, คิลานสญฺญา ฉตฺตุปาหนํ ธาเรติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๑๘๑) เอวํ ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ ‘‘คิลานา อคิลานสญฺญา, คิลานา เวมติกา, ฉตฺตุปาหนํ ธาเรติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๑๘๒) เอวํ ทฺวิกทุกฺกฎํ ตเถว วุตฺตนฺติ สมฺพโนฺธฯ
2406.Payogagaṇanāyevāti chattupāhanassa apanetvā apanetvā ekato dhāraṇapayogagaṇanāya. Tikapācittiyaṃ vuttanti ‘‘agilānā agilānasaññā, vematikā, gilānasaññā chattupāhanaṃ dhāreti, āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 1181) evaṃ tikapācittiyaṃ vuttaṃ. ‘‘Gilānā agilānasaññā, gilānā vematikā, chattupāhanaṃ dhāreti, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 1182) evaṃ dvikadukkaṭaṃ tatheva vuttanti sambandho.
๒๔๐๗. ยตฺถ ภิกฺขู วา ภิกฺขุนิโย วา นิวสนฺติ, ตสฺมิํ อาราเม วา อุปจาเร วา อปริกฺขิตฺตสฺส อารามสฺส อุปจาเร วาฯ อาปทาสูติ รฎฺฐเภทาทิอาปทาสุฯ
2407. Yattha bhikkhū vā bhikkhuniyo vā nivasanti, tasmiṃ ārāme vā upacāre vā aparikkhittassa ārāmassa upacāre vā. Āpadāsūti raṭṭhabhedādiāpadāsu.
ปฐมํฯ
Paṭhamaṃ.
๒๔๐๘. ภิกฺขุนิยาติ เอตฺถ ‘‘อคิลานายา’’ติ เสโส, ปาเทน คนฺตุํ สมตฺถาย อคิลานาย ภิกฺขุนิยาติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘อคิลานา นาม สโกฺกติ ปทสา คนฺตุ’’นฺติ (ปาจิ. ๑๑๘๗)ฯ ยานํ นาม รถาทิ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตสรูปเมวฯ
2408.Bhikkhuniyāti ettha ‘‘agilānāyā’’ti seso, pādena gantuṃ samatthāya agilānāya bhikkhuniyāti attho. Yathāha ‘‘agilānā nāma sakkoti padasā gantu’’nti (pāci. 1187). Yānaṃ nāma rathādi, taṃ heṭṭhā vuttasarūpameva.
๒๔๐๙. อาปทาสูติ รฎฺฐเภทาทิอาปทาสุฯ ฉตฺตุปาหนสิกฺขาปเท อาราเม, อารามูปจาเร จ อนาปตฺติ วุตฺตา, อิธ ตถา อวุตฺตตฺตา สพฺพตฺถาปิ อาปตฺติเยว เวทิตพฺพาฯ
2409.Āpadāsūti raṭṭhabhedādiāpadāsu. Chattupāhanasikkhāpade ārāme, ārāmūpacāre ca anāpatti vuttā, idha tathā avuttattā sabbatthāpi āpattiyeva veditabbā.
ทุติยํฯ
Dutiyaṃ.
๒๔๑๐. ‘‘ยํ กิญฺจิปิ กฎูปิย’’นฺติ อิทํ ‘‘สงฺฆาณิ’’นฺติ เอตสฺส อตฺถปทํฯ ยถาห – ‘‘สงฺฆาณิ นาม ยา กาจิ กฎูปคา’’ติฯ สงฺฆาณิ นาม เมขลาทิกฎิปิฬนฺธนํฯ กฎูปิยนฺติ กฎิปฺปเทโสปคํฯ
2410.‘‘Yaṃ kiñcipi kaṭūpiya’’nti idaṃ ‘‘saṅghāṇi’’nti etassa atthapadaṃ. Yathāha – ‘‘saṅghāṇi nāma yā kāci kaṭūpagā’’ti. Saṅghāṇi nāma mekhalādikaṭipiḷandhanaṃ. Kaṭūpiyanti kaṭippadesopagaṃ.
๒๔๑๒. กฎิสุตฺตํ นาม กฎิยํ ปิฬนฺธนรชฺชุสุตฺตกํฯ
2412.Kaṭisuttaṃ nāma kaṭiyaṃ piḷandhanarajjusuttakaṃ.
๒๔๑๓. อิธ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท จิตฺตํ อกุสลํ, อิทํ ปน สิกฺขาปทํ โลกวชฺชํ, อิติ อิทํ อุภยเมว วิเสสตา ปุริมสิกฺขาปทโต อิมสฺส นานากรณํฯ
2413.Idha imasmiṃ sikkhāpade cittaṃ akusalaṃ, idaṃ pana sikkhāpadaṃ lokavajjaṃ, iti idaṃ ubhayameva visesatā purimasikkhāpadato imassa nānākaraṇaṃ.
ตติยํฯ
Tatiyaṃ.
๒๔๑๔. สีสูปคาทิสุ ยํ กิญฺจิ สเจ ยา ธาเรติ, ตสฺสา ตสฺส วตฺถุสฺส คณนาย อาปตฺติโย สิยุนฺติ โยชนาฯ สีสํ อุปคจฺฉตีติ สีสูปคํ, สีเส ปิฬนฺธนารหนฺติ อโตฺถฯ อาทิ-สเทฺทน คีวูปคาทีนํ คหณํฯ ยถาห – ‘‘อิตฺถาลงฺกาโร นาม สีสูปโค คีวูปโค หตฺถูปโค ปาทูปโค กฎูปโค’’ติฯ
2414. Sīsūpagādisu yaṃ kiñci sace yā dhāreti, tassā tassa vatthussa gaṇanāya āpattiyo siyunti yojanā. Sīsaṃ upagacchatīti sīsūpagaṃ, sīse piḷandhanārahanti attho. Ādi-saddena gīvūpagādīnaṃ gahaṇaṃ. Yathāha – ‘‘itthālaṅkāro nāma sīsūpago gīvūpago hatthūpago pādūpago kaṭūpago’’ti.
๒๔๑๕. น จ โทโสติ โยชนาฯ ‘‘สทิสนฺติ ปริทีปิต’’นฺติ วตฺตเพฺพ อิติ-สโทฺท ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐฯ
2415. Na ca dosoti yojanā. ‘‘Sadisanti paridīpita’’nti vattabbe iti-saddo luttaniddiṭṭho.
จตุตฺถํฯ
Catutthaṃ.
๒๔๑๖. เยน เกนจิ คเนฺธนาติ จนฺทนตคราทินา เยน เกนจิ คนฺธกเกฺกนฯ สวณฺณาวณฺณเกน จาติ วเณฺณน สห วตฺตตีติ สวณฺณกํ, หลิทฺทิกกฺกาทิ, นตฺถิ เอตสฺส อุพฺพฎฺฎนปจฺจยา ทิสฺสมาโน วณฺณวิเสโสติ อวณฺณกํ, สาสปกกฺกาทิ, สวณฺณกญฺจ อวณฺณกญฺจ สวณฺณาวณฺณกํ, เตน สวณฺณาวณฺณเกน จฯ อุพฺพเฎฺฎตฺวา นฺหายนฺติยา นฺหาโนสาเน ปาจิตฺติยาปตฺติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ
2416.Yenakenaci gandhenāti candanatagarādinā yena kenaci gandhakakkena. Savaṇṇāvaṇṇakena cāti vaṇṇena saha vattatīti savaṇṇakaṃ, haliddikakkādi, natthi etassa ubbaṭṭanapaccayā dissamāno vaṇṇavisesoti avaṇṇakaṃ, sāsapakakkādi, savaṇṇakañca avaṇṇakañca savaṇṇāvaṇṇakaṃ, tena savaṇṇāvaṇṇakena ca. Ubbaṭṭetvā nhāyantiyā nhānosāne pācittiyāpatti pakāsitāti yojanā.
๒๔๑๗. สพฺพปโยเคติ สพฺพสฺมิํ ปุพฺพปโยเคฯ อาพาธปจฺจยาติ ททฺทุกุฎฺฐาทิโรคปจฺจยาฯ
2417.Sabbapayogeti sabbasmiṃ pubbapayoge. Ābādhapaccayāti daddukuṭṭhādirogapaccayā.
๒๔๑๘. ฉฎฺฐนฺติ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี วาสิตเกน ปิญฺญาเกน นหาเยยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๒๐๓) สิกฺขาปทํฯ
2418.Chaṭṭhanti ‘‘yā pana bhikkhunī vāsitakena piññākena nahāyeyya, pācittiya’’nti (pāci. 1203) sikkhāpadaṃ.
ปญฺจมฉฎฺฐานิฯ
Pañcamachaṭṭhāni.
๒๔๑๙. ยา ปน ภิกฺขุนี อญฺญาย ภิกฺขุนิยา สเจ อุพฺพฎฺฎาเปยฺย วา สมฺพาหาเปยฺย วา, ตสฺสา ภิกฺขุนิยา ตถา ปาจิตฺติยาปตฺติ โหตีติ โยชนาฯ
2419. Yā pana bhikkhunī aññāya bhikkhuniyā sace ubbaṭṭāpeyya vā sambāhāpeyya vā, tassā bhikkhuniyā tathā pācittiyāpatti hotīti yojanā.
๒๔๒๐. เอตฺถ อิมสฺมิํ อุพฺพฎฺฎเน, สมฺพาหเน จ หตฺถํ อโมเจตฺวา อุพฺพฎฺฎเน เอกา อาปตฺติ สิยา, หตฺถํ โมเจตฺวา โมเจตฺวา อุพฺพฎฺฎเน ปโยคคณนาย สิยาติ โยชนาฯ
2420.Ettha imasmiṃ ubbaṭṭane, sambāhane ca hatthaṃ amocetvā ubbaṭṭane ekā āpatti siyā, hatthaṃ mocetvā mocetvā ubbaṭṭane payogagaṇanāya siyāti yojanā.
๒๔๒๑. อาปทาสูติ โจรภยาทีหิ สรีรกมฺปนาทีสุฯ คิลานายาติ อนฺตมโส มคฺคคมนปริสฺสเมนาปิ อาพาธิกายฯ
2421.Āpadāsūti corabhayādīhi sarīrakampanādīsu. Gilānāyāti antamaso maggagamanaparissamenāpi ābādhikāya.
๒๔๒๒. อฎฺฐมสิกฺขาปเท ‘‘สิกฺขมานายา’’ติ จ นวมสิกฺขาปเท ‘‘สามเณริยา’’ติ จ ทสมสิกฺขาปเท ‘‘คิหินิยา’’ติ จ วิเสสํ วเชฺชตฺวา อวเสสวินิจฺฉโย สตฺตเมเนว สมาโนติ ทเสฺสตุมาห ‘‘อฎฺฐมาทีนิ ตีณิปี’’ติฯ
2422. Aṭṭhamasikkhāpade ‘‘sikkhamānāyā’’ti ca navamasikkhāpade ‘‘sāmaṇeriyā’’ti ca dasamasikkhāpade ‘‘gihiniyā’’ti ca visesaṃ vajjetvā avasesavinicchayo sattameneva samānoti dassetumāha ‘‘aṭṭhamādīni tīṇipī’’ti.
สตฺตมฎฺฐมนวมทสมานิฯ
Sattamaṭṭhamanavamadasamāni.
๒๔๒๓. อโนฺตอุปจารสฺมินฺติ ทฺวาทสรตนพฺภนฺตเรฯ ‘‘ภิกฺขุสฺส ปุรโต’’ติ อิทํ อุปลกฺขณํฯ ตสฺมา ปุรโต วา โหตุ ปจฺฉโต วา ปสฺสโต วา, สมนฺตโต ทฺวาทสรตนพฺภนฺตเรติ นิทสฺสนปทเมตํฯ ฉมายปีติ อนนฺตรหิตาย ภูมิยาปิฯ ยา นิสีเทยฺยาติ สมฺพโนฺธฯ น วฎฺฎติ ปาจิตฺติยาปตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ
2423.Antoupacārasminti dvādasaratanabbhantare. ‘‘Bhikkhussa purato’’ti idaṃ upalakkhaṇaṃ. Tasmā purato vā hotu pacchato vā passato vā, samantato dvādasaratanabbhantareti nidassanapadametaṃ. Chamāyapīti anantarahitāya bhūmiyāpi. Yā nisīdeyyāti sambandho. Na vaṭṭati pācittiyāpatti hotīti attho.
๒๔๒๔. ติกปาจิตฺติยํ วุตฺตนฺติ อนาปุจฺฉิเต อนาปุจฺฉิตสญฺญา, เวมติกา, อาปุจฺฉิตสญฺญาติ ตีสุ วิกเปฺปสุ ปาจิตฺติยตฺตยํ วุตฺตํฯ อาปุจฺฉิเต อนาปุจฺฉิตสญฺญา, เวมติกา วา ภิกฺขุสฺส ปุรโต นิสีเทยฺยาติ วิกปฺปทฺวเย ทุกฺกฎทฺวยํ โหติฯ อาปทาสูติ รฎฺฐเภทาทิอาปทาสุฯ อาปุจฺฉิตุญฺจ ฐาตุญฺจ อสโกฺกนฺติยา คิลานายฯ
2424.Tikapācittiyaṃ vuttanti anāpucchite anāpucchitasaññā, vematikā, āpucchitasaññāti tīsu vikappesu pācittiyattayaṃ vuttaṃ. Āpucchite anāpucchitasaññā, vematikā vā bhikkhussa purato nisīdeyyāti vikappadvaye dukkaṭadvayaṃ hoti. Āpadāsūti raṭṭhabhedādiāpadāsu. Āpucchituñca ṭhātuñca asakkontiyā gilānāya.
๒๔๒๕. นิปชฺชนํ กฺริยํฯ อนาปุจฺฉนํ อกฺริยํฯ
2425. Nipajjanaṃ kriyaṃ. Anāpucchanaṃ akriyaṃ.
เอกาทสมํฯ
Ekādasamaṃ.
๒๔๒๖. โอกาโส กโต เยน โส โอกาสกโต, น โอกาสกโต อโนกาสกโต, ตํ, อกโตกาสนฺติ อโตฺถ, ‘‘อสุกสฺมิํ นาม ฐาเน ปุจฺฉามี’’ติ อตฺตนา ปุจฺฉิตพฺพวินยาทีนํ นามํ คเหตฺวา โอกาสํ การาปนกาเล อธิวาสนวเสน อกโตกาสนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โทสตาติ ปาจิตฺติยาปตฺติฯ เอกสฺมิํ ปิฎเก โอกาสํ การาเปตฺวา อญฺญสฺมิํ ปิฎเก ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติยาปิ ปาจิตฺติยํ โหตีติ ทเสฺสตุมาห ‘‘วินเย จา’’ติอาทิฯ
2426. Okāso kato yena so okāsakato, na okāsakato anokāsakato, taṃ, akatokāsanti attho, ‘‘asukasmiṃ nāma ṭhāne pucchāmī’’ti attanā pucchitabbavinayādīnaṃ nāmaṃ gahetvā okāsaṃ kārāpanakāle adhivāsanavasena akatokāsanti vuttaṃ hoti. Dosatāti pācittiyāpatti. Ekasmiṃ piṭake okāsaṃ kārāpetvā aññasmiṃ piṭake pañhaṃ pucchantiyāpi pācittiyaṃ hotīti dassetumāha ‘‘vinaye cā’’tiādi.
ปุจฺฉนฺติยาปิ จาติ เอตฺถ ปิ-สเทฺทน ‘‘อภิธมฺมํ ปุจฺฉนฺติยาปี’’ติ อิทญฺจ อนุตฺตสมุจฺจยเตฺถน จ-สเทฺทน ‘‘สุตฺตเนฺต โอกาสํ การาเปตฺวา วินยํ วา อภิธมฺมํ วา ปุจฺฉติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ อภิธเมฺม โอกาสํ การาเปตฺวา สุตฺตนฺตํ วา วินยํ วา ปุจฺฉติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ อิทญฺจ สงฺคหิตํฯ
Pucchantiyāpi cāti ettha pi-saddena ‘‘abhidhammaṃ pucchantiyāpī’’ti idañca anuttasamuccayatthena ca-saddena ‘‘suttante okāsaṃ kārāpetvā vinayaṃ vā abhidhammaṃ vā pucchati, āpatti pācittiyassa. Abhidhamme okāsaṃ kārāpetvā suttantaṃ vā vinayaṃ vā pucchati, āpatti pācittiyassā’’ti idañca saṅgahitaṃ.
๒๔๒๗. อโนทิสฺสาติ ‘‘อสุกสฺมิํ นาม ปุจฺฉามี’’ติ เอวํ อนิยเมตฺวา เกวลํ ‘‘ปุจฺฉิตพฺพํ อตฺถิ, ปุจฺฉามิ อยฺยา’’ติ เอวํ วตฺวาฯ
2427.Anodissāti ‘‘asukasmiṃ nāma pucchāmī’’ti evaṃ aniyametvā kevalaṃ ‘‘pucchitabbaṃ atthi, pucchāmi ayyā’’ti evaṃ vatvā.
ทฺวาทสมํฯ
Dvādasamaṃ.
๒๔๒๘-๙. สํกจฺจิกนฺติ ถนเวฐนจีวรํ, ตํ ปน ปารุปนฺติยา อธกฺขกํ อุพฺภนาภิมณฺฑลํ ปฎิจฺฉาเทนฺติยา ปารุปิตพฺพํฯ เตนาห มาติกฎฺฐกถายํ ‘‘อสํกจฺจิกาติ อธกฺขกอุพฺภนาภิมณฺฑลสงฺขาตสฺส สรีรสฺส ปฎิจฺฉาทนตฺถํ อนุญฺญาตสํกจฺจิกจีวรรหิตา’’ติ (กงฺขา. อฎฺฐ. อสํกจฺจิกสิกฺขาปทวณฺณนา)ฯ ‘‘สํกจฺจิกาย ปมาณํ ติริยํ ทิยฑฺฒหตฺถนฺติ โปราณคณฺฐิปเท วุตฺต’’นฺติ (วชิร. ฎี. ปาจิตฺติย ๑๒๒๔-๑๒๒๖) วชิรพุทฺธิเตฺถโรฯ ปริเกฺขโปกฺกเมติ ปริเกฺขปสฺส อโนฺตปเวสเนฯ อุปจาโรกฺกเมปีติ อปริกฺขิตฺตสฺส คามสฺส ทุติยเลฑฺฑุปาตพฺภนฺตรปเวสเนปิฯ เอตฺถาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ เอเสว นโยติ ‘‘ปฐเม ปาเท ทุกฺกฎํ, ทุติเย ปาจิตฺติย’’นฺติ ยถาวุโตฺตเยว นโย มโต วิญฺญาโตติ อโตฺถฯ
2428-9.Saṃkaccikanti thanaveṭhanacīvaraṃ, taṃ pana pārupantiyā adhakkhakaṃ ubbhanābhimaṇḍalaṃ paṭicchādentiyā pārupitabbaṃ. Tenāha mātikaṭṭhakathāyaṃ ‘‘asaṃkaccikāti adhakkhakaubbhanābhimaṇḍalasaṅkhātassa sarīrassa paṭicchādanatthaṃ anuññātasaṃkaccikacīvararahitā’’ti (kaṅkhā. aṭṭha. asaṃkaccikasikkhāpadavaṇṇanā). ‘‘Saṃkaccikāya pamāṇaṃ tiriyaṃ diyaḍḍhahatthanti porāṇagaṇṭhipade vutta’’nti (vajira. ṭī. pācittiya 1224-1226) vajirabuddhitthero. Parikkhepokkameti parikkhepassa antopavesane. Upacārokkamepīti aparikkhittassa gāmassa dutiyaleḍḍupātabbhantarapavesanepi. Etthāti imasmiṃ sikkhāpade. Eseva nayoti ‘‘paṭhame pāde dukkaṭaṃ, dutiye pācittiya’’nti yathāvuttoyeva nayo mato viññātoti attho.
๒๔๓๐. อาปทาสุปีติ มหคฺฆํ โหติ สํกจฺจิกํ, ปารุปิตฺวา คจฺฉนฺติยา จ อุปทฺทโว อุปฺปชฺชติ, เอวรูปาสุ อาปทาสุ อนาปตฺติฯ
2430.Āpadāsupīti mahagghaṃ hoti saṃkaccikaṃ, pārupitvā gacchantiyā ca upaddavo uppajjati, evarūpāsu āpadāsu anāpatti.
๒๔๓๑. เสสนฺติ อิธ สรูปโต อทสฺสิตญฺจฯ วุตฺตนเยเนวาติ มาติกาปทภาชนาทีสุ วุตฺตนเยเนวฯ สุนิปุณสฺมิํ ธมฺมชาตํ, อตฺถชาตญฺจ วิภาเวติ วิวิเธนากาเรน ปกาเสตีติ วิภาวี, เตน วิภาวินาฯ
2431.Sesanti idha sarūpato adassitañca. Vuttanayenevāti mātikāpadabhājanādīsu vuttanayeneva. Sunipuṇasmiṃ dhammajātaṃ, atthajātañca vibhāveti vividhenākārena pakāsetīti vibhāvī, tena vibhāvinā.
เตรสมํฯ
Terasamaṃ.
ฉตฺตุปาหนวโคฺค นวโมฯ
Chattupāhanavaggo navamo.
เอวํ นวหิ วเคฺคหิ ภิกฺขุนีนํ ภิกฺขูหิ อสาธารณานิ ฉนฺนวุติ สิกฺขาปทานิ ทเสฺสตฺวา อิโต ปเรสุ มุสาวาทวคฺคาทีสุ สตฺตสุ วเคฺคสุ ภิกฺขูหิ สาธารณสิกฺขาปทานิ ภิกฺขุปาติโมกฺขวินิจฺฉยกถาย วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพานีติ ตานิ อิธ น ทสฺสิตานิฯ
Evaṃ navahi vaggehi bhikkhunīnaṃ bhikkhūhi asādhāraṇāni channavuti sikkhāpadāni dassetvā ito paresu musāvādavaggādīsu sattasu vaggesu bhikkhūhi sādhāraṇasikkhāpadāni bhikkhupātimokkhavinicchayakathāya vuttanayeneva veditabbānīti tāni idha na dassitāni.
สพฺพาเนว ภิกฺขุนีนํ ขุทฺทเกสุ ฉนฺนวุติ, ภิกฺขูนํ เทฺวนวุตีติ อฎฺฐาสีติสตํ สิกฺขาปทานิฯ ตโต ปรํ สกลํ ภิกฺขุนิวคฺคํ, ปรมฺปรโภชนํ, อนติริตฺตโภชนํ, อนติริเตฺตน อภิหฎฺฐุํ ปวารณํ, ปณีตโภชนวิญฺญตฺติ, อเจลกสิกฺขาปทํ, ทุฎฺฐุลฺลปอจฺฉาทนํ, อูนวีสติวสฺสอุปสมฺปาทนํ, มาตุคาเมน สทฺธิํ สํวิธาย อทฺธานคมนํ, ราชเนฺตปุรปฺปเวสนํ , สนฺตํ ภิกฺขุํ อนาปุจฺฉา วิกาเล คามปฺปเวสนํ, นิสีทนํ, วสฺสิกสาฎิกนฺติ อิมานิ พาวีสติ สิกฺขาปทานิ อปเนตฺวา เสสานิ สตญฺจ ฉสฎฺฐิ จ สิกฺขาปทานิ ภิกฺขุนิปาติโมกฺขุเทฺทสมเคฺคน อุทฺทิฎฺฐานีติ เวทิตพฺพานิฯ
Sabbāneva bhikkhunīnaṃ khuddakesu channavuti, bhikkhūnaṃ dvenavutīti aṭṭhāsītisataṃ sikkhāpadāni. Tato paraṃ sakalaṃ bhikkhunivaggaṃ, paramparabhojanaṃ, anatirittabhojanaṃ, anatirittena abhihaṭṭhuṃ pavāraṇaṃ, paṇītabhojanaviññatti, acelakasikkhāpadaṃ, duṭṭhullapaacchādanaṃ, ūnavīsativassaupasampādanaṃ, mātugāmena saddhiṃ saṃvidhāya addhānagamanaṃ, rājantepurappavesanaṃ , santaṃ bhikkhuṃ anāpucchā vikāle gāmappavesanaṃ, nisīdanaṃ, vassikasāṭikanti imāni bāvīsati sikkhāpadāni apanetvā sesāni satañca chasaṭṭhi ca sikkhāpadāni bhikkhunipātimokkhuddesamaggena uddiṭṭhānīti veditabbāni.
ตตฺรายํ สเงฺขปโต อสาธารณสิกฺขาปเทสุ สมุฎฺฐานวินิจฺฉโย – คิรคฺคสมชฺชา, จิตฺตาคารสิกฺขาปทํ, สงฺฆาณิ, อิตฺถาลงฺกาโร, คนฺธวณฺณโก, วาสิตกปิญฺญาโก, ภิกฺขุนิอาทีหิ อุมฺมทฺทนปริมทฺทนานีติ อิมานิ ทส สิกฺขาปทานิ อจิตฺตกานิ, โลกวชฺชานิ, อกุสลจิตฺตานิฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย – วินาปิ จิเตฺตน อาปชฺชิตพฺพตฺตา อจิตฺตกานิ, จิเตฺต ปน สติ อกุสเลเนว อาปชฺชิตพฺพตฺตา โลกวชฺชานิ เจว อกุสลจิตฺตานิ จฯ อวเสสานิ อจิตฺตกานิ ปณฺณตฺติวชฺชาเนวฯ โจริวุฎฺฐาปนํ, คามนฺตรํ, อารามสิกฺขาปทํ, คพฺภินิวเคฺค อาทิโต ปฎฺฐาย สตฺต, กุมาริภูตวเคฺค อาทิโต ปฎฺฐาย ปญฺจ, ปุริสสํสฎฺฐํ, ปาริวาสิยฉนฺททานํ, อนุวสฺสวุฎฺฐาปนํ, เอกนฺตริกวุฎฺฐาปนนฺติ อิมานิ เอกูนวีสติ สิกฺขาปทานิ สจิตฺตกานิ, ปณฺณตฺติวชฺชานิฯ อวเสสานิ สจิตฺตกานิ โลกวชฺชาเนวาติฯ
Tatrāyaṃ saṅkhepato asādhāraṇasikkhāpadesu samuṭṭhānavinicchayo – giraggasamajjā, cittāgārasikkhāpadaṃ, saṅghāṇi, itthālaṅkāro, gandhavaṇṇako, vāsitakapiññāko, bhikkhuniādīhi ummaddanaparimaddanānīti imāni dasa sikkhāpadāni acittakāni, lokavajjāni, akusalacittāni. Ayaṃ panettha adhippāyo – vināpi cittena āpajjitabbattā acittakāni, citte pana sati akusaleneva āpajjitabbattā lokavajjāni ceva akusalacittāni ca. Avasesāni acittakāni paṇṇattivajjāneva. Corivuṭṭhāpanaṃ, gāmantaraṃ, ārāmasikkhāpadaṃ, gabbhinivagge ādito paṭṭhāya satta, kumāribhūtavagge ādito paṭṭhāya pañca, purisasaṃsaṭṭhaṃ, pārivāsiyachandadānaṃ, anuvassavuṭṭhāpanaṃ, ekantarikavuṭṭhāpananti imāni ekūnavīsati sikkhāpadāni sacittakāni, paṇṇattivajjāni. Avasesāni sacittakāni lokavajjānevāti.
อิติ วินยตฺถสารสนฺทีปนิยา วินยวินิจฺฉยวณฺณนาย
Iti vinayatthasārasandīpaniyā vinayavinicchayavaṇṇanāya
ปาจิตฺติยกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pācittiyakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.