Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทสิกฺขา-มูลสิกฺขา • Khuddasikkhā-mūlasikkhā

    ๑๒. ปาจิตฺติยนิเทฺทสวณฺณนา

    12. Pācittiyaniddesavaṇṇanā

    ๑๒๑. อิทานิ ปาจิตฺติยานิ ทเสฺสตุํ ‘‘ปาจิตฺตี’’ติ มาติกาปทํ อุทฺธริตฺวา ‘‘มุสาวาโทมสาวาเท, เปสุญฺญหรเณ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ มุสาวาเท จ โอมสวาเท จ เปสุญฺญหรเณ จ ปาจิตฺติ วุตฺตาติ สมฺพโนฺธฯ เอวํ เสเสสุปิฯ เอตฺถ ปน ‘‘อทิฎฺฐํ, อสุตํ, อมุตํ , อวิญฺญาตํ, ทิฎฺฐํ, สุตํ, มุตํ, วิญฺญาต’’นฺติ (ปาจิ. ๓; ปาจิ. อฎฺฐ. ๓) ปุเพฺพปิ ‘‘มุสา ภณิสฺสามี’’ติ เจเตตฺวา วจนกฺขเณว ‘‘มุสา ภณามี’’ติ ชานิตฺวา ชานนฺตเสฺสว มุสาภณเน ปาจิตฺติ นาม อาปตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ ยสฺส ภณติ, โส ตํ น สุณาติ, อาปตฺติ น โหติ (กงฺขา. อฎฺฐ. มุสาวาทสิกฺขาปทวณฺณนา)ฯ

    121. Idāni pācittiyāni dassetuṃ ‘‘pācittī’’ti mātikāpadaṃ uddharitvā ‘‘musāvādomasāvāde, pesuññaharaṇe’’tiādi vuttaṃ. Tattha musāvāde ca omasavāde ca pesuññaharaṇe ca pācitti vuttāti sambandho. Evaṃ sesesupi. Ettha pana ‘‘adiṭṭhaṃ, asutaṃ, amutaṃ , aviññātaṃ, diṭṭhaṃ, sutaṃ, mutaṃ, viññāta’’nti (pāci. 3; pāci. aṭṭha. 3) pubbepi ‘‘musā bhaṇissāmī’’ti cetetvā vacanakkhaṇeva ‘‘musā bhaṇāmī’’ti jānitvā jānantasseva musābhaṇane pācitti nāma āpatti hotīti attho. Yassa bhaṇati, so taṃ na suṇāti, āpatti na hoti (kaṅkhā. aṭṭha. musāvādasikkhāpadavaṇṇanā).

    ‘‘โอมสวาโท นาม ทสหิ อากาเรหิ โอมสติ ชาติยาปิ นาเมนปิ โคเตฺตนปิ กเมฺมนปิ สิเปฺปนปิ อาพาเธนปิ ลิเงฺคนปิ กิเลเสนปิ อาปตฺติยาปิ อโกฺกเสนปี’’ติ (ปาจิ. ๑๕) เอวํ วุเตฺตหิ ทสหิ อากาเรหิ อุปสมฺปนฺนํ โย ขุํเสติ วเมฺภติ, อยํ โอมสติ นาม, ตสฺส ปาจิตฺตีติ อโตฺถฯ ปรมฺมุขา ภณนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, ตถา ปาฬิยํ อนาคเตหิ ‘‘โจโร’’ติ วา ‘‘คณฺฐิเภทโก’’ติ วา อาทีหิ ภณนฺตสฺสฯ ‘‘สนฺติ อิเธกเจฺจ ขตฺติยา พฺราหฺมณา จณฺฑาลา’’ติอาทินา ปริยาเยน ภณนฺตสฺส จ อนุปสมฺปนฺนํ ภณนฺตสฺส จ สพฺพตฺถปิ ทุกฺกฎเมวฯ

    ‘‘Omasavādo nāma dasahi ākārehi omasati jātiyāpi nāmenapi gottenapi kammenapi sippenapi ābādhenapi liṅgenapi kilesenapi āpattiyāpi akkosenapī’’ti (pāci. 15) evaṃ vuttehi dasahi ākārehi upasampannaṃ yo khuṃseti vambheti, ayaṃ omasati nāma, tassa pācittīti attho. Parammukhā bhaṇantassa dukkaṭaṃ, tathā pāḷiyaṃ anāgatehi ‘‘coro’’ti vā ‘‘gaṇṭhibhedako’’ti vā ādīhi bhaṇantassa. ‘‘Santi idhekacce khattiyā brāhmaṇā caṇḍālā’’tiādinā pariyāyena bhaṇantassa ca anupasampannaṃ bhaṇantassa ca sabbatthapi dukkaṭameva.

    ปิยกมฺยตาย วา เภทาธิปฺปาเยน วา อุปสมฺปนฺนํ ชาติอาทีหิ โอมสนฺตสฺส อุปสมฺปนฺนสฺส วจนํ สุตฺวา ตสฺส อุปสํหรณํ เปสุญฺญหรณํ นามฯ เอตฺถาปิ ปริยายวจเนน จ อนุปสมฺปนฺนสฺส อุปสํหรเณน จ ทุกฺกฎเมวฯ

    Piyakamyatāya vā bhedādhippāyena vā upasampannaṃ jātiādīhi omasantassa upasampannassa vacanaṃ sutvā tassa upasaṃharaṇaṃ pesuññaharaṇaṃ nāma. Etthāpi pariyāyavacanena ca anupasampannassa upasaṃharaṇena ca dukkaṭameva.

    ปทโสธโมฺมติ เอตฺถ ‘‘ธโมฺม นาม พุทฺธภาสิโต สาวกภาสิโต อิสิภาสิโต เทวตาภาสิโต อตฺถูปสํหิโต ธมฺมูปสํหิโต’’ติ (ปาจิ. ๔๖) เอวํ วุตฺตํ สงฺคีติตฺตยมารุฬฺหํ ติปิฎกธมฺมํ ปทอนุปทอนฺวกฺขรอนุพฺยญฺชนวเสน ภิกฺขุญฺจ ภิกฺขุนิญฺจ ฐเปตฺวา อนุปสมฺปนฺนํ เอกโต วาเจนฺตสฺส ปาจิตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ

    Padasodhammoti ettha ‘‘dhammo nāma buddhabhāsito sāvakabhāsito isibhāsito devatābhāsito atthūpasaṃhito dhammūpasaṃhito’’ti (pāci. 46) evaṃ vuttaṃ saṅgītittayamāruḷhaṃ tipiṭakadhammaṃ padaanupadaanvakkharaanubyañjanavasena bhikkhuñca bhikkhuniñca ṭhapetvā anupasampannaṃ ekato vācentassa pācitti hotīti attho.

    สาคาเรติ ยํ ปน สพฺพนฺติเมน ปริยาเยน ทิยฑฺฒหตฺถุเพฺพเธน ปาการาทินา ปริกฺขิตฺตตฺตา สพฺพปริจฺฉินฺนญฺจ เยน เกนจิ วิตานาทินา อนฺตมโส วเตฺถนปิ ฉนฺนตฺตา สพฺพจฺฉนฺนญฺจ เสนาสนํ, ตถารูเป เสนาสเน เอกูปจารฎฺฐาเน อนุปสมฺปเนฺนน สห วสนฺตสฺส จตุตฺถทิวสโต ปฎฺฐาย นิปชฺชนคณนาย จ อนุปสมฺปนฺนคณนาย จ เทวสิกํ ปาจิตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ

    Sāgāreti yaṃ pana sabbantimena pariyāyena diyaḍḍhahatthubbedhena pākārādinā parikkhittattā sabbaparicchinnañca yena kenaci vitānādinā antamaso vatthenapi channattā sabbacchannañca senāsanaṃ, tathārūpe senāsane ekūpacāraṭṭhāne anupasampannena saha vasantassa catutthadivasato paṭṭhāya nipajjanagaṇanāya ca anupasampannagaṇanāya ca devasikaṃ pācitti hotīti attho.

    อุชฺฌาปนกขิยฺยเนติ เอตฺถ โย อุปสมฺปนฺนํ สเงฺฆน สมฺมตํ เสนาสนปญฺญาปกํ วา ภตฺตุเทฺทสกํ วา ยาคุภาชกํ วา ผลภาชกํ วา ขชฺชภาชกํ วา อปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชกํ วา มงฺกุกตฺตุกาโม ฉเนฺทน ‘‘อิตฺถนฺนาโม เสนาสนํ ปญฺญาเปติ, ภตฺตานิ จ อุทฺทิสตี’’ติ วา วทโนฺต อญฺญํ อุปสมฺปนฺนํ อุชฺฌาเปติ เตน อวชานาเปติ, โย ปน ตเถว วทโนฺต อุปสมฺปนฺนสฺส สนฺติเก ตสฺส อยสํ ปกาเสโนฺต ขียติ, ตสฺมิํ อุชฺฌาปนเก จ ขียนเก จ ปาจิตฺติทฺวยนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Ujjhāpanakakhiyyaneti ettha yo upasampannaṃ saṅghena sammataṃ senāsanapaññāpakaṃ vā bhattuddesakaṃ vā yāgubhājakaṃ vā phalabhājakaṃ vā khajjabhājakaṃ vā appamattakavissajjakaṃ vā maṅkukattukāmo chandena ‘‘itthannāmo senāsanaṃ paññāpeti, bhattāni ca uddisatī’’ti vā vadanto aññaṃ upasampannaṃ ujjhāpeti tena avajānāpeti, yo pana tatheva vadanto upasampannassa santike tassa ayasaṃ pakāsento khīyati, tasmiṃ ujjhāpanake ca khīyanake ca pācittidvayanti veditabbaṃ.

    ๑๒๒. ตลสตฺติอนาทร-กุกฺกุจฺจุปฺปาทเนสุ จาติ เอตฺถ โย ภิกฺขุ อุปสมฺปนฺนสฺส ปหรณาการํ ทเสฺสโนฺต กายํ วา กายปฺปฎิพทฺธํ วา อุจฺจาเรติ, ตสฺส ปาจิตฺติยํฯ สเจ วิรโทฺธ ปหารํ เทติ, อปฺปหริตุกามตาย ทุกฺกฎํ, ตถา อนุปสมฺปเนฺนสุปิ ทุกฺกฎเมวฯ

    122.Talasattianādara-kukkuccuppādanesu cāti ettha yo bhikkhu upasampannassa paharaṇākāraṃ dassento kāyaṃ vā kāyappaṭibaddhaṃ vā uccāreti, tassa pācittiyaṃ. Sace viraddho pahāraṃ deti, appaharitukāmatāya dukkaṭaṃ, tathā anupasampannesupi dukkaṭameva.

    อุปสมฺปเนฺนน ปญฺญเตฺตน วุจฺจมาโน ตํ อสิกฺขิตุกามตาย วา ตสฺส วจนํ อโสตุกามตาย วา โย อนาทริยํ กโรติ, ตสฺส อนาทรกรเณ ปาจิตฺติยนฺติ อโตฺถฯ อปญฺญเตฺตน วุจฺจมานสฺส จ อนุปสมฺปเนฺนน ปญฺญเตฺตน วา อปญฺญเตฺตน วา วุจฺจมานสฺส ทุกฺกฎํฯ

    Upasampannena paññattena vuccamāno taṃ asikkhitukāmatāya vā tassa vacanaṃ asotukāmatāya vā yo anādariyaṃ karoti, tassa anādarakaraṇe pācittiyanti attho. Apaññattena vuccamānassa ca anupasampannena paññattena vā apaññattena vā vuccamānassa dukkaṭaṃ.

    อุปสมฺปนฺนสฺส ‘‘อูนวีสติวโสฺส มเญฺญ ตฺวํ อุปสมฺปโนฺน, วิกาเล มเญฺญ ตยา ภุตฺต’’นฺติอาทินา นเยน สญฺจิจฺจ กุกฺกุจฺจํ อุปฺปาเทนฺตสฺส ปาจิตฺติยํฯ อนุปสมฺปนฺนสฺส อุปฺปาทเน ทุกฺกฎํฯ

    Upasampannassa ‘‘ūnavīsativasso maññe tvaṃ upasampanno, vikāle maññe tayā bhutta’’ntiādinā nayena sañcicca kukkuccaṃ uppādentassa pācittiyaṃ. Anupasampannassa uppādane dukkaṭaṃ.

    คามปฺปเวสนาปุจฺฉาติ เอตฺถ ปน มชฺฌนฺหิกาติกฺกมนโต ปฎฺฐาย ยาว อรุณุคฺคมนา วิกาโล นาม, เอตฺถนฺตเร สเจ สมฺพหุลา เกนจิ กเมฺมน คามํ ปวิสนฺติ, ‘‘วิกาเล คามปฺปเวสนํ อาปุจฺฉามา’’ติ สเพฺพหิปิ อญฺญมญฺญํ อาปุจฺฉิตพฺพํฯ สเจ อนาปุจฺฉา ปริกฺขิตฺตสฺส ปริเกฺขปํ, อปริกฺขิตฺตสฺส อุปจารํ อติกฺกมนฺติ, ปฐมปาเท ทุกฺกฎํ, ทุติยปาทุทฺธาเร ปาจิตฺติยํฯ อาปทาสุ อนาปตฺติฯ

    Gāmappavesanāpucchāti ettha pana majjhanhikātikkamanato paṭṭhāya yāva aruṇuggamanā vikālo nāma, etthantare sace sambahulā kenaci kammena gāmaṃ pavisanti, ‘‘vikāle gāmappavesanaṃ āpucchāmā’’ti sabbehipi aññamaññaṃ āpucchitabbaṃ. Sace anāpucchā parikkhittassa parikkhepaṃ, aparikkhittassa upacāraṃ atikkamanti, paṭhamapāde dukkaṭaṃ, dutiyapāduddhāre pācittiyaṃ. Āpadāsu anāpatti.

    โภชเน จ ปรมฺปราติ ปรมฺปรโภชเน จ ปาจิตฺติยนฺติ อโตฺถฯ เอตฺถ ปน ปญฺจสุ โภชเนสุ อญฺญตรํ นามํ คเหตฺวา ‘‘โอทเนน วา สตฺตุนา วา กุมฺมาเสน วา มํเสน วา มเจฺฉน วา นิมเนฺตมี’’ติอาทินา นเยน, เยน เกนจิ เววจเนน วา อกปฺปิยนิมนฺตนาย นิมนฺติตสฺส เยน เยน ปฐมํ นิมนฺติโต, ตสฺส ตสฺส โภชนํ ฐเปตฺวา อุปฺปฎิปาฎิยา, อวิกเปฺปตฺวา วา ปฐมนิมนฺตนํ ปรสฺส ปรสฺส กุลสฺส ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตรํ ปริภุญฺชนฺตสฺส ปรมฺปรโภชเน ปาจิตฺติ โหติฯ คิลานจีวรทานจีวรกาลสมเยสุ อนาปตฺติ, ตถา ปญฺจ โภชนานิ ฐเปตฺวา สพฺพตฺถฯ

    Bhojane ca paramparāti paramparabhojane ca pācittiyanti attho. Ettha pana pañcasu bhojanesu aññataraṃ nāmaṃ gahetvā ‘‘odanena vā sattunā vā kummāsena vā maṃsena vā macchena vā nimantemī’’tiādinā nayena, yena kenaci vevacanena vā akappiyanimantanāya nimantitassa yena yena paṭhamaṃ nimantito, tassa tassa bhojanaṃ ṭhapetvā uppaṭipāṭiyā, avikappetvā vā paṭhamanimantanaṃ parassa parassa kulassa pañcannaṃ bhojanānaṃ aññataraṃ paribhuñjantassa paramparabhojane pācitti hoti. Gilānacīvaradānacīvarakālasamayesu anāpatti, tathā pañca bhojanāni ṭhapetvā sabbattha.

    ๑๒๓. อนุทฺธริตฺวา คมเน เสยฺยนฺติ เอตฺถ ทสวิธา เสยฺยา ภิสิ จิมิลิกา อุตฺตรตฺถรณํ ภูมตฺถรณํ ตฎฺฎิกา จมฺมขโณฺฑ นิสีทนํ ปจฺจตฺถรณํ ติณสนฺถาโร ปณฺณสนฺถาโรติฯ เอเตสุ ยํ กิญฺจิ สงฺฆิเก วิหาเร คุตฺตเสนาสเน อตฺตโน วสฺสเคฺคน คหิตํ อตฺตนา วา สนฺถริตฺวา, อนุปสมฺปเนฺนน วา สนฺถราเปตฺวา ตํ ทิวสํ คมิกวเสน ปกฺกมโนฺต เนว สยํ อุทฺธเรยฺย น อญฺญํ อุทฺธราเปยฺย, ยถา อุปจิกาทีหิ น ขเชฺชยฺย, เอวํ น ฐเปยฺย, อเญฺญน วา น อุทฺธราเปยฺย, ปติรูปํ ภิกฺขุํ วา สามเณรํ วา อารามิกเมว วา อนาปุจฺฉา วา คเจฺฉยฺย, ตสฺส ปริกฺขิตฺตสฺส วิหารสฺส ปริเกฺขปํ, อปริกฺขิตฺตสฺส เทฺว เลฑฺฑุปาเต อติกฺกมนฺตสฺส ปาจิตฺติยํฯ มณฺฑปรุกฺขมูลาทิอคุตฺตเสนาสเน สนฺถริตฺวา คจฺฉนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, ตถา มญฺจปีฐภิสิโกจฺฉเกสุ, คุตฺตเสนาสเนปิ ทุกฺกฎเมวฯ

    123.Anuddharitvā gamane seyyanti ettha dasavidhā seyyā bhisi cimilikā uttarattharaṇaṃ bhūmattharaṇaṃ taṭṭikā cammakhaṇḍo nisīdanaṃ paccattharaṇaṃ tiṇasanthāro paṇṇasanthāroti. Etesu yaṃ kiñci saṅghike vihāre guttasenāsane attano vassaggena gahitaṃ attanā vā santharitvā, anupasampannena vā santharāpetvā taṃ divasaṃ gamikavasena pakkamanto neva sayaṃ uddhareyya na aññaṃ uddharāpeyya, yathā upacikādīhi na khajjeyya, evaṃ na ṭhapeyya, aññena vā na uddharāpeyya, patirūpaṃ bhikkhuṃ vā sāmaṇeraṃ vā ārāmikameva vā anāpucchā vā gaccheyya, tassa parikkhittassa vihārassa parikkhepaṃ, aparikkhittassa dve leḍḍupāte atikkamantassa pācittiyaṃ. Maṇḍaparukkhamūlādiaguttasenāsane santharitvā gacchantassa dukkaṭaṃ, tathā mañcapīṭhabhisikocchakesu, guttasenāsanepi dukkaṭameva.

    เสนาสนานิ วาติ เอตฺถ อนุทฺธริตฺวา คมเนติ สมฺพโนฺธฯ เอตฺถ ปน มโญฺจ ปีฐํ ภิสิ โกจฺฉกนฺติ จตุพฺพิธมฺปิ เสนาสนํ วสฺสานเหมนฺตานํ อฎฺฐสุ มาเสสุ อโชฺฌกาเส วา โอวสฺสกมณฺฑเป วา รุกฺขมูเล วา สยํ สนฺถริตฺวา วา อนุปสมฺปเนฺนน สนฺถราเปตฺวา วา ตํ อนุทฺธริตฺวา วา อนุทฺธราเปตฺวา วา ตสฺส เสนาสนสฺส ทฺวินฺนํ เลฑฺฑุปาตานํ อติกฺกมเน ปาจิตฺติยํฯ สมฺมุญฺชนียาทิ เสสปริกฺขาเรสุ ทุกฺกฎํฯ

    Senāsanāni vāti ettha anuddharitvā gamaneti sambandho. Ettha pana mañco pīṭhaṃ bhisi kocchakanti catubbidhampi senāsanaṃ vassānahemantānaṃ aṭṭhasu māsesu ajjhokāse vā ovassakamaṇḍape vā rukkhamūle vā sayaṃ santharitvā vā anupasampannena santharāpetvā vā taṃ anuddharitvā vā anuddharāpetvā vā tassa senāsanassa dvinnaṃ leḍḍupātānaṃ atikkamane pācittiyaṃ. Sammuñjanīyādi sesaparikkhāresu dukkaṭaṃ.

    อิตฺถิยาทฺธานคมเนติ เอตฺถ มาตุคาเมน ‘‘คจฺฉาม ภคินิ, คจฺฉาม อยฺยา’’ติ เอวํ สํวิทหิตฺวา ‘‘อชฺช วา เสฺว วา ปรสุเว วา’’ติ นิยมิตกาลํ วิสเงฺกตํ อกตฺวา ทฺวารวิสเงฺกตํ มคฺควิสเงฺกตํ กตฺวาปิ คจฺฉโต คามนฺตเร คามนฺตเร ปาจิตฺติยํฯ อคามเก อรเญฺญ อทฺธโยชเน อทฺธโยชเน อาปตฺติฯ

    Itthiyāddhānagamaneti ettha mātugāmena ‘‘gacchāma bhagini, gacchāma ayyā’’ti evaṃ saṃvidahitvā ‘‘ajja vā sve vā parasuve vā’’ti niyamitakālaṃ visaṅketaṃ akatvā dvāravisaṅketaṃ maggavisaṅketaṃ katvāpi gacchato gāmantare gāmantare pācittiyaṃ. Agāmake araññe addhayojane addhayojane āpatti.

    เอเกกาย นิสีทเนติ เอตฺถ เอโก เอกาย อิตฺถิยา นิสีทเนติ อโตฺถฯ

    Ekekāya nisīdaneti ettha eko ekāya itthiyā nisīdaneti attho.

    ๑๒๔. ภิํสาปเนติ เอตฺถ อุปสมฺปโนฺน อุปสมฺปนฺนํ ภิํสาเปตุกาโม โจรกนฺตารวาฬกนฺตาราทีนิ อาจิกฺขติ, ภยานกํ วา รูปสทฺทาทิํ ทเสฺสติ, โส ภายตุ วา มา วา, ตสฺส ปโยเค ปโยเค ปาจิตฺติยํฯ อนุปสมฺปเนฺน ทุกฺกฎํฯ

    124.Bhiṃsāpaneti ettha upasampanno upasampannaṃ bhiṃsāpetukāmo corakantāravāḷakantārādīni ācikkhati, bhayānakaṃ vā rūpasaddādiṃ dasseti, so bhāyatu vā mā vā, tassa payoge payoge pācittiyaṃ. Anupasampanne dukkaṭaṃ.

    อาโกฎเนติ ปหารทาเนฯ อุปสมฺปโนฺน อุปสมฺปนฺนสฺส อนตฺตมโน หุตฺวา สเจ อุปฺปลปเตฺตนปิ ปหารํ เทติ, ปาจิตฺติยํฯ อนุปสมฺปนฺนสฺส คหฎฺฐสฺส วา ปพฺพชิตสฺส วา อิตฺถิยา วา ปุริสสฺส วา อนฺตมโส ติรจฺฉานคตสฺสาปิ ปหารํ เทติ, ทุกฺกฎเมวฯ

    Ākoṭaneti pahāradāne. Upasampanno upasampannassa anattamano hutvā sace uppalapattenapi pahāraṃ deti, pācittiyaṃ. Anupasampannassa gahaṭṭhassa vā pabbajitassa vā itthiyā vā purisassa vā antamaso tiracchānagatassāpi pahāraṃ deti, dukkaṭameva.

    อนาจารํ อาจริตฺวา สงฺฆมเชฺฌ อาปตฺติยา วา วตฺถุนา วา อนุยุญฺชิยมาโน ตํ อกเถตุกาโม ‘‘โก อาปโนฺน, กิํ อาปโนฺน, กิสฺมิํ อาปโนฺน’’ติอาทินา นเยน อเญฺญหิ วจเนหิ ตํ วจนํ ปฎิจฺฉาเทโนฺต โส อญฺญํ วทติ, อยํ อญฺญวาทโก, ตสฺมิํ อญฺญวาทเก จ กญฺจิ วีติกฺกมํ ทิสฺวา ‘‘อาวุโส, อิทํ นาม ตยา กต’’นฺติ วุเตฺต ตํ น กเถตุกาโม ตุณฺหีภูโตว สงฺฆํ วิเหสตีติ สงฺฆวิเหสโก, ตสฺมิํ วิเหสเก จ ปาจิตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ อิธ ปน ญตฺติทุติเยน กเมฺมน อญฺญวาทเก จ วิเหสเก จ อาโรปิเต ปุน อญฺญํ ภณนฺตสฺส, วิเหสนฺตสฺส ปาจิตฺติฯ อนาโรปิเต ทุกฺกฎนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Anācāraṃ ācaritvā saṅghamajjhe āpattiyā vā vatthunā vā anuyuñjiyamāno taṃ akathetukāmo ‘‘ko āpanno, kiṃ āpanno, kismiṃ āpanno’’tiādinā nayena aññehi vacanehi taṃ vacanaṃ paṭicchādento so aññaṃ vadati, ayaṃ aññavādako, tasmiṃ aññavādake ca kañci vītikkamaṃ disvā ‘‘āvuso, idaṃ nāma tayā kata’’nti vutte taṃ na kathetukāmo tuṇhībhūtova saṅghaṃ vihesatīti saṅghavihesako, tasmiṃ vihesake ca pācitti hotīti attho. Idha pana ñattidutiyena kammena aññavādake ca vihesake ca āropite puna aññaṃ bhaṇantassa, vihesantassa pācitti. Anāropite dukkaṭanti veditabbaṃ.

    ทุฎฺฐุลฺลปกาสฉาเทติ เอตฺถ กิญฺจาปิ ‘‘ทุฎฺฐุลฺลา นาม อาปตฺติ จตฺตาริ จ ปาราชิกานิ เตรส จ สงฺฆาทิเสสา’’ติ (ปาจิ. ๓๙๙) วุตฺตา, ตถาปิ อิธ สงฺฆาทิเสสาว อธิเปฺปตาฯ ตสฺมา สงฺฆสมฺมุติํ วินา ภิกฺขุสฺส ทุฎฺฐุลฺลํ อาปตฺติํ ‘‘อยํ อสุจิํ โมเจตฺวา สงฺฆาทิเสสํ อาปโนฺน’’ติอาทินา นเยน วตฺถุนา สทฺธิํ อาปตฺติํ ฆเฎตฺวา ภิกฺขุญฺจ ภิกฺขุนิญฺจ ฐเปตฺวา ยสฺส กสฺสจิ อนุปสมฺปนฺนสฺส อาโรเจนฺตสฺส ปาจิตฺติยํฯ ถุลฺลจฺจยาทิอทุฎฺฐุลฺลาโรจเน ทุกฺกฎํฯ ทุฎฺฐุลฺลจฺฉาทเนปิ สงฺฆาทิเสโสว อธิเปฺปโตฯ โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขุสฺส ทุฎฺฐุลฺลํ อาปตฺติํ สยํ วา ชานิตฺวา อเญฺญสํ วา สุตฺวา ‘‘อิมํ ชานิตฺวา โจเทสฺสนฺติ สาเรสฺสนฺติ มงฺกุํ กริสฺสนฺติ, นาโรจิสฺสามี’’ติ ธุรํ นิกฺขิปติ, ตสฺส ปาจิตฺติยํฯ ธุรํ นิกฺขิปิตฺวา ปจฺฉา อาโรจิเตปิ น รกฺขติ เอวฯ

    Duṭṭhullapakāsachādeti ettha kiñcāpi ‘‘duṭṭhullā nāma āpatti cattāri ca pārājikāni terasa ca saṅghādisesā’’ti (pāci. 399) vuttā, tathāpi idha saṅghādisesāva adhippetā. Tasmā saṅghasammutiṃ vinā bhikkhussa duṭṭhullaṃ āpattiṃ ‘‘ayaṃ asuciṃ mocetvā saṅghādisesaṃ āpanno’’tiādinā nayena vatthunā saddhiṃ āpattiṃ ghaṭetvā bhikkhuñca bhikkhuniñca ṭhapetvā yassa kassaci anupasampannassa ārocentassa pācittiyaṃ. Thullaccayādiaduṭṭhullārocane dukkaṭaṃ. Duṭṭhullacchādanepi saṅghādisesova adhippeto. Yo pana bhikkhu bhikkhussa duṭṭhullaṃ āpattiṃ sayaṃ vā jānitvā aññesaṃ vā sutvā ‘‘imaṃ jānitvā codessanti sāressanti maṅkuṃ karissanti, nārocissāmī’’ti dhuraṃ nikkhipati, tassa pācittiyaṃ. Dhuraṃ nikkhipitvā pacchā ārocitepi na rakkhati eva.

    หาโสทเกติ องฺคุลิปโตทเกน หาโส จ อุทเก หาโส จาติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อุปสมฺปโนฺน อุปสมฺปนฺนํ หสาธิปฺปาโย กาเยน กายํ อามสติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส, โก ปน วาโท อุปกจฺฉกาทีสุ ฆฎฺฎเนฯ อนุปสมฺปเนฺน ทุกฺกฎํ, ตถา ภิกฺขุสฺส กายปฺปฎิพทฺธามสเน จ นิสฺสคฺคิเยน กายปฺปฎิพทฺธามสเน จฯ เอตฺถ ภิกฺขุนีปิ อนุปสมฺปนฺนฎฺฐาเน ฐิตาฯ อุทเก หสนธโมฺม นาม อุปริโคปฺผเก อุทเก กีฬาธิปฺปายสฺส นิมฺมุชฺชนอุมฺมุชฺชนปฺลวนาทิกํฯ อิธ หาโส นาม กีฬา วุจฺจติฯ

    Hāsodaketi aṅgulipatodakena hāso ca udake hāso cāti evamattho veditabbo. Upasampanno upasampannaṃ hasādhippāyo kāyena kāyaṃ āmasati, āpatti pācittiyassa, ko pana vādo upakacchakādīsu ghaṭṭane. Anupasampanne dukkaṭaṃ, tathā bhikkhussa kāyappaṭibaddhāmasane ca nissaggiyena kāyappaṭibaddhāmasane ca. Ettha bhikkhunīpi anupasampannaṭṭhāne ṭhitā. Udake hasanadhammo nāma uparigopphake udake kīḷādhippāyassa nimmujjanaummujjanaplavanādikaṃ. Idha hāso nāma kīḷā vuccati.

    นิจฺฉุภเน วิหาราติ สงฺฆิกา วิหารา นิกฺกฑฺฒเนติ อโตฺถฯ เอตฺถ ปน โย กุโทฺธ หุตฺวา อุปสมฺปนฺนํ หตฺถาทีสุ คเหตฺวา วา ‘‘นิกฺขมา’’ติ วตฺวา วา ยตฺตกานิ ทฺวารานิ เอเกน ปโยเคน อติกฺกาเมติ, ตตฺถ ทฺวารคณนาย อาปตฺติํ อคฺคเหตฺวา ปโยคสฺส เอกตฺตา เอกา เอว คเหตพฺพาฯ สเจ นานาปโยเคหิ อติกฺกาเมติ, ตตฺถ ทฺวารคณนาย คเหตพฺพํฯ ตสฺส ปริกฺขารนิกฺกฑฺฒเน ทุกฺกฎํ, ตถา อนุปสมฺปเนฺน, ตสฺส ปริกฺขารนิกฺกฑฺฒเน จฯ อลชฺชิอาทีสุ ปน อนาปตฺติฯ

    Nicchubhane vihārāti saṅghikā vihārā nikkaḍḍhaneti attho. Ettha pana yo kuddho hutvā upasampannaṃ hatthādīsu gahetvā vā ‘‘nikkhamā’’ti vatvā vā yattakāni dvārāni ekena payogena atikkāmeti, tattha dvāragaṇanāya āpattiṃ aggahetvā payogassa ekattā ekā eva gahetabbā. Sace nānāpayogehi atikkāmeti, tattha dvāragaṇanāya gahetabbaṃ. Tassa parikkhāranikkaḍḍhane dukkaṭaṃ, tathā anupasampanne, tassa parikkhāranikkaḍḍhane ca. Alajjiādīsu pana anāpatti.

    อนุปขชฺช สยเนติ สงฺฆิเก วิหาเร ‘‘วุโฑฺฒ’’ติ วา ‘‘คิลาโน’’ติ วา ‘‘สเงฺฆน ทิโนฺน’’ติ วา ชานิตฺวา มญฺจสฺส วา ปีฐสฺส วา ปวิสนฺตสฺส วา นิกฺขมนฺตสฺส วา อุปจาเร เสยฺยํ สนฺถริตฺวา วา สนฺถราเปตฺวา วา ‘‘ยสฺส สมฺพาโธ ภวิสฺสติ, โส ปกฺกมิสฺสตี’’ติ อธิปฺปาเยน อภินิสีทนฺตสฺส จ อภินิปชฺชนฺตสฺส จ ปโยคคณนาย ปาจิตฺติยํ เวทิตพฺพํฯ ปาจิตฺติยวินิจฺฉโยฯ

    Anupakhajja sayaneti saṅghike vihāre ‘‘vuḍḍho’’ti vā ‘‘gilāno’’ti vā ‘‘saṅghena dinno’’ti vā jānitvā mañcassa vā pīṭhassa vā pavisantassa vā nikkhamantassa vā upacāre seyyaṃ santharitvā vā santharāpetvā vā ‘‘yassa sambādho bhavissati, so pakkamissatī’’ti adhippāyena abhinisīdantassa ca abhinipajjantassa ca payogagaṇanāya pācittiyaṃ veditabbaṃ. Pācittiyavinicchayo.

    ปาจิตฺติยนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pācittiyaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact