Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā

    ปทภาชนียวณฺณนา

    Padabhājanīyavaṇṇanā

    สิกฺขาปทวิภเงฺค ปน กิญฺจาปิ โย ปนาติ อนวเสสปริยาทานปทํ, ตถาปิ ภิกฺขูติ อิมินา ปรปเทน สมานาธิกรณตฺตา ตทนุรูปาเนวสฺส วิภงฺคปทานิ วุตฺตานิฯ ภิกฺขุนิพฺพจนปทานิ ตีณิ กิญฺจาปิ สภิกฺขุภาวสฺส, อภิกฺขุภาวสฺส จาติ ยสฺส กสฺสจิ ปพฺพชิตสฺส สาธารณานิ, ตถาปิ ‘‘อสุโทฺธ โหติ ปุคฺคโล อญฺญตรํ ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺน, ตเญฺจ สุทฺธทิฎฺฐิ สมาโน อโนกาสํ การาเปตฺวา จาวนาธิปฺปาโย วเทติ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺสา’’ติ เอวมาทิสุตฺตํ นิพฺพจนตฺถยุโตฺตว ปุคฺคโล ‘‘อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๘๙) เอตฺถ วตฺถุ, น อิตโร คิหิภูโตติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ สพฺพสฺสปิ วินยปิฎกสฺส สาธารณํ ภิกฺขุลกฺขณํ วตฺถุญฺหิ ภควา อารภิฯ โย ปน สุโทฺธ เอว สมาโน เกนจิ การเณน คิหิลิเงฺค ฐิโต, โส อตฺตโน สภิกฺขุภาวตฺตา เอว วตฺถุ โหติ, อสุโทฺธปิ ภิกฺขุลิเงฺค ฐิตตฺตาติ อยมโตฺถ ทสฺสิโต โหติฯ อสุโทฺธปิ ญาตเกหิ, ปจฺจตฺถิเกหิ วา ราชภยาทิการเณน วา กาสาเวสุ สอุสฺสาโหว อปนีตกาสาโว วตฺถุ เอว ปุน กาสาวคฺคหเณน เถยฺยสํวาสกภาวานุปคมนโต, ภิกฺขุนิพฺพจนเตฺถ อนิกฺขิตฺตธุรตฺตาติ วุตฺตํ โหติฯ โย ปน ลิงฺคเตฺถนโก ภิกฺขุนิพฺพจนตฺถํ สยญฺจ อชฺฌุปคโต, สํวาสํ เถเนโนฺต, ตเญฺจ สุทฺธทิฎฺฐิ สมาโน อโนกาสํ การาเปตฺวา จาวนาธิปฺปาโย วเทติ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺสาติ อยมฺปิ อโตฺถ ทสฺสิโต โหติฯ

    Sikkhāpadavibhaṅge pana kiñcāpi yo panāti anavasesapariyādānapadaṃ, tathāpi bhikkhūti iminā parapadena samānādhikaraṇattā tadanurūpānevassa vibhaṅgapadāni vuttāni. Bhikkhunibbacanapadāni tīṇi kiñcāpi sabhikkhubhāvassa, abhikkhubhāvassa cāti yassa kassaci pabbajitassa sādhāraṇāni, tathāpi ‘‘asuddho hoti puggalo aññataraṃ pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpanno, tañce suddhadiṭṭhi samāno anokāsaṃ kārāpetvā cāvanādhippāyo vadeti, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassā’’ti evamādisuttaṃ nibbacanatthayuttova puggalo ‘‘āpatti saṅghādisesena dukkaṭassā’’ti (pārā. 389) ettha vatthu, na itaro gihibhūtoti dassanatthaṃ vuttaṃ. Sabbassapi vinayapiṭakassa sādhāraṇaṃ bhikkhulakkhaṇaṃ vatthuñhi bhagavā ārabhi. Yo pana suddho eva samāno kenaci kāraṇena gihiliṅge ṭhito, so attano sabhikkhubhāvattā eva vatthu hoti, asuddhopi bhikkhuliṅge ṭhitattāti ayamattho dassito hoti. Asuddhopi ñātakehi, paccatthikehi vā rājabhayādikāraṇena vā kāsāvesu saussāhova apanītakāsāvo vatthu eva puna kāsāvaggahaṇena theyyasaṃvāsakabhāvānupagamanato, bhikkhunibbacanatthe anikkhittadhurattāti vuttaṃ hoti. Yo pana liṅgatthenako bhikkhunibbacanatthaṃ sayañca ajjhupagato, saṃvāsaṃ thenento, tañce suddhadiṭṭhi samāno anokāsaṃ kārāpetvā cāvanādhippāyo vadeti, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassāti ayampi attho dassito hoti.

    ‘‘สมญฺญาย ภิกฺขุ ปฎิญฺญาย ภิกฺขู’’ติ วจนทฺวยํ ยถาวุตฺตญฺจ อตฺถํ อุปพฺรูเหติ, อนฺตรา อุปฺปนฺนาย นิยตาย มิจฺฉาทิฎฺฐิยา อุปจฺฉินฺนกุสลมูโล เกวลาย สมญฺญาย, ปฎิญฺญาย จ ‘‘ภิกฺขู’’ติ วุจฺจติ, น ปรมตฺถโตติ อิมํ อติเรกตฺถํ ทีเปติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ เอกธมฺมมฺปิ สมนุปสฺสามิ, ยํ เอวํ มหาสาวชฺชํ ยถยิทํ, ภิกฺขเว, มิจฺฉาทิฎฺฐิฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิปรมานิ, ภิกฺขเว, มหาวชฺชานี’’ติ อาหจฺจภาสิตํ สงฺคีติตฺตยารุฬฺหํ สุตฺตํ, อฎฺฐกถายมฺปิสฺส ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิปรมา เอเตสนฺติ มิจฺฉาทิฎฺฐิปรมานี’’ติ (อ. นิ. ๑.๓๑๐) วุตฺตํฯ ปญฺจ อานนฺตริยกมฺมานิ มหาสาวชฺชานิ, มิจฺฉาทิฎฺฐิ ปน มหาสาวชฺชตราติ อธิปฺปาโยติฯ กสฺมา? เตสญฺหิ ปริเจฺฉโท อตฺถิ, สพฺพพลวมฺปิ กปฺปฎฺฐิติกเมว โหติ, นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิยา ปน ปริเจฺฉโท นตฺถิ, ตาย สมนฺนาคตสฺส ภวโต วุฎฺฐานํ นตฺถิ, ตสฺมา ‘‘อิมสฺส ภิกฺขุกรณา กุสลา ธมฺมา สํวิชฺชนฺตี’’ติ วา ‘‘สุโทฺธวาย’’นฺติ วา น สกฺกา วตฺตุํฯ ‘‘ทิฎฺฐิวิปตฺติปจฺจยา เทฺว อาปตฺติโย อาปชฺชตี’’ติ วุตฺตตฺตา น สกฺกา ‘‘อสุโทฺธ’’ติ วา ‘‘อญฺญตรํ ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺน’’ติ วา วตฺตุํฯ เอส หิ อุโภปิ ปเกฺข น ภชติ, เตน วุตฺตํ ‘‘สมญฺญาย, ปฎิญฺญาย จ ภิกฺขุ, น ปรมตฺถโต’’ติฯ

    ‘‘Samaññāya bhikkhu paṭiññāya bhikkhū’’ti vacanadvayaṃ yathāvuttañca atthaṃ upabrūheti, antarā uppannāya niyatāya micchādiṭṭhiyā upacchinnakusalamūlo kevalāya samaññāya, paṭiññāya ca ‘‘bhikkhū’’ti vuccati, na paramatthatoti imaṃ atirekatthaṃ dīpeti. Kiṃ vuttaṃ hoti? ‘‘Nāhaṃ, bhikkhave, aññaṃ ekadhammampi samanupassāmi, yaṃ evaṃ mahāsāvajjaṃ yathayidaṃ, bhikkhave, micchādiṭṭhi. Micchādiṭṭhiparamāni, bhikkhave, mahāvajjānī’’ti āhaccabhāsitaṃ saṅgītittayāruḷhaṃ suttaṃ, aṭṭhakathāyampissa ‘‘micchādiṭṭhiparamā etesanti micchādiṭṭhiparamānī’’ti (a. ni. 1.310) vuttaṃ. Pañca ānantariyakammāni mahāsāvajjāni, micchādiṭṭhi pana mahāsāvajjatarāti adhippāyoti. Kasmā? Tesañhi paricchedo atthi, sabbabalavampi kappaṭṭhitikameva hoti, niyatamicchādiṭṭhiyā pana paricchedo natthi, tāya samannāgatassa bhavato vuṭṭhānaṃ natthi, tasmā ‘‘imassa bhikkhukaraṇā kusalā dhammā saṃvijjantī’’ti vā ‘‘suddhovāya’’nti vā na sakkā vattuṃ. ‘‘Diṭṭhivipattipaccayā dve āpattiyo āpajjatī’’ti vuttattā na sakkā ‘‘asuddho’’ti vā ‘‘aññataraṃ pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpanno’’ti vā vattuṃ. Esa hi ubhopi pakkhe na bhajati, tena vuttaṃ ‘‘samaññāya, paṭiññāya ca bhikkhu, na paramatthato’’ti.

    กิมตฺถํ ปเนวํ มหาสาวชฺชาย นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิยา ปาราชิกํ ภควา น ปญฺญเปสีติ? ทุพฺพิชานตฺตาฯ ปกติยาเปสา ทิฎฺฐิ นาม ‘‘สมฺมา’’ติ วา ‘‘มิจฺฉา’’ติ วา ทุวิเญฺญยฺยา, ปเคว ‘‘นิยตา’’ติ วา ‘‘อนิยตา’’ติ วาติฯ ตตฺถ ปาราชิกาปตฺติยา ปญฺญตฺตาย ภิกฺขู อญฺญมญฺญํ อสมทิฎฺฐิกํ ปาราชิกํ มญฺญมานา อุโปสถาทีนิ อกตฺวา อจิเรเนว สาสนํ วินาเสยฺยุํ, สยญฺจ อปุญฺญํ ปสเวยฺยุํ สุเทฺธสุปิ ภิกฺขูสุ วิปฺปฎิปตฺติยา ปฎิปชฺชเนนฯ ตสฺมา อุปายกุสลตาย ปาราชิกํ อปญฺญาเปตฺวา ตสฺส อุเกฺขปนียกมฺมํ, สมฺมาวตฺตญฺจ ปญฺญาเปตฺวา ตํ สเงฺฆน อสโมฺภคํ, อสํวาสญฺจ อกาสิฯ ภควา หิ ตสฺส เจ เอสา ทิฎฺฐิ อนิยตา, สมฺมาวตฺตํ ปูเรตฺวา โอสารณํ ลภิตฺวา ปกตโตฺต ภเวยฺยฯ นิยตา เจ, อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส, ยํ โส นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิโก สมฺมาวตฺตํ ปูเรตฺวา โอสารณํ ลภิตฺวา ปกตโตฺต ภเวยฺยฯ เกวลํ ‘‘สมญฺญายภิกฺขุ ปฎิญฺญายภิกฺขู’’ติ นามมตฺตธารโก หุตฺวา ปรํ มรณา อริโฎฺฐ วิย สํสารขาณุโกว ภวิสฺสตีติ อิมํ นยํ อทฺทสฯ

    Kimatthaṃ panevaṃ mahāsāvajjāya niyatamicchādiṭṭhiyā pārājikaṃ bhagavā na paññapesīti? Dubbijānattā. Pakatiyāpesā diṭṭhi nāma ‘‘sammā’’ti vā ‘‘micchā’’ti vā duviññeyyā, pageva ‘‘niyatā’’ti vā ‘‘aniyatā’’ti vāti. Tattha pārājikāpattiyā paññattāya bhikkhū aññamaññaṃ asamadiṭṭhikaṃ pārājikaṃ maññamānā uposathādīni akatvā acireneva sāsanaṃ vināseyyuṃ, sayañca apuññaṃ pasaveyyuṃ suddhesupi bhikkhūsu vippaṭipattiyā paṭipajjanena. Tasmā upāyakusalatāya pārājikaṃ apaññāpetvā tassa ukkhepanīyakammaṃ, sammāvattañca paññāpetvā taṃ saṅghena asambhogaṃ, asaṃvāsañca akāsi. Bhagavā hi tassa ce esā diṭṭhi aniyatā, sammāvattaṃ pūretvā osāraṇaṃ labhitvā pakatatto bhaveyya. Niyatā ce, aṭṭhānametaṃ anavakāso, yaṃ so niyatamicchādiṭṭhiko sammāvattaṃ pūretvā osāraṇaṃ labhitvā pakatatto bhaveyya. Kevalaṃ ‘‘samaññāyabhikkhu paṭiññāyabhikkhū’’ti nāmamattadhārako hutvā paraṃ maraṇā ariṭṭho viya saṃsārakhāṇukova bhavissatīti imaṃ nayaṃ addasa.

    อฎฺฐสุ อุปสมฺปทาสุ ติโสฺสเวตฺถ วุตฺตา, น อิตรา ปาฎิปุคฺคลตฺตา, ภิกฺขูนํ อสนฺตกตฺตา จฯ ตตฺถ หิ โอวาทปฎิคฺคหณปญฺหพฺยากรณูปสมฺปทา ทฺวินฺนํ เถรานํ เอว, เสสา ติโสฺส ภิกฺขุนีนํ สนฺตกาติ อิธ นาธิเปฺปตา, ติสฺสนฺนมฺปิ อุปสมฺปทานํ มเชฺฌ ‘‘ภโทฺร ภิกฺขู’’ติอาทีนิ จตฺตาริ ปทานิ วุตฺตานิ ติสฺสนฺนํ สาธารณตฺตาฯ เอหิภิกฺขุภาเวน วา สรณคมนญตฺติจตุเตฺถน วา อุปสมฺปโนฺน หิ ภโทฺร จ สาโร จ เสโกฺข จ อเสโกฺข จ โหติ, อุปสมฺปทวจนํ ปน เนสํ สาวกภาวทีปนตฺถํฯ อิเม เอว หิ อาปตฺติํ อาปชฺชนฺติ, น สมฺมาสมฺพุทฺธา, ปเจฺจกพุทฺธา จฯ

    Aṭṭhasu upasampadāsu tissovettha vuttā, na itarā pāṭipuggalattā, bhikkhūnaṃ asantakattā ca. Tattha hi ovādapaṭiggahaṇapañhabyākaraṇūpasampadā dvinnaṃ therānaṃ eva, sesā tisso bhikkhunīnaṃ santakāti idha nādhippetā, tissannampi upasampadānaṃ majjhe ‘‘bhadro bhikkhū’’tiādīni cattāri padāni vuttāni tissannaṃ sādhāraṇattā. Ehibhikkhubhāvena vā saraṇagamanañatticatutthena vā upasampanno hi bhadro ca sāro ca sekkho ca asekkho ca hoti, upasampadavacanaṃ pana nesaṃ sāvakabhāvadīpanatthaṃ. Ime eva hi āpattiṃ āpajjanti, na sammāsambuddhā, paccekabuddhā ca.

    อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปโตติ เอตฺถ จ อาปตฺติํ อาปชฺชิตุํ ภพฺพา ญตฺติจตุเตฺถเนว กเมฺมน อุปสมฺปนฺนาฯ น หิ อเญฺญ เอหิภิกฺขุสรณคมนโอวาทปฎิคฺคหณปญฺหพฺยากรณาหิ อุปสมฺปนฺนา อาปตฺติํ อาปชฺชิตุํ ภพฺพา, เตเนเต ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปโต ภิกฺขู’’ติ อนฺติโมว วุโตฺตติ กิร ธมฺมสิริเตฺถโร, ตํ อยุตฺตํฯ ‘‘เทฺว ปุคฺคลา อภพฺพา อาปตฺติํ อาปชฺชิตุํ พุทฺธา จ ปเจฺจกพุทฺธา จา’’ติ (ปริ. ๓๒๒) เอตฺตกเมว วุตฺตนฺติฯ อญฺญถา เอหิภิกฺขุอาทโยปิ วตฺตพฺพา สิยุํฯ กิญฺจ ภิโยฺย ‘‘เทฺว ปุคฺคลา ภพฺพา อาปตฺติํ อาปชฺชิตุํ ภิกฺขู จ ภิกฺขุนิโย จา’’ติ สามเญฺญน วุตฺตตฺตา จ, อปิจ อาปตฺติภยฎฺฐานทสฺสนโต จฯ กถํ? อายสฺมา สาริปุโตฺต อาวสถปิณฺฑํ กุกฺกุจฺจายโนฺต น ปฎิคฺคเหสิ, จีวรวิปฺปวาสภยา จ สพฺพํ ติจีวรํ คเหตฺวา นทิํ ตรโนฺต มนํ วุโฬฺห อโหสิ มหากสฺสโปฯ กิญฺจ สรณคมนูปสมฺปทาย อุปสมฺปเนฺน อารพฺภ สทฺธิวิหาริกวตฺตาทีนิ อสมฺมาวตฺตนฺตานํ เนสํ ทุกฺกฎานิ จ ปญฺญตฺตานิ ทิสฺสนฺติ, ตสฺมา ทุพฺพิจาริตเมตํฯ อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปโต ภิกฺขูติ ปฎิกฺขิตฺตาย สรณคมนูปสมฺปทาย อนุญฺญาตปฺปสงฺคภยาติ อุปติสฺสเตฺถโร, อาปตฺติยา ภพฺพตํ สนฺธาย ตสฺมิมฺปิ วุเตฺต ปุเพฺพ ปฎิกฺขิตฺตาปิ สา ปุน เอวํ วทเนฺตน อนุญฺญาตาติ ภิกฺขูนํ มิจฺฉาคาโห วา วิมติ วา อุปฺปชฺชติ , ตสฺมา น วุตฺตาติ วุตฺตํ โหติ, ตํ ‘‘ภิกฺขุนี นาม อุภโตสเงฺฆ อุปสมฺปนฺนา’’ติ (ปาจิ. ๑๖๑) อิมินา สเมติฯ อิทญฺหิ สากิยาทีนํ อนุญฺญาตอุปสมฺปทาย อนุปฺปพนฺธภยา วุตฺตํฯ

    Ayaṃ imasmiṃ atthe adhippetoti ettha ca āpattiṃ āpajjituṃ bhabbā ñatticatuttheneva kammena upasampannā. Na hi aññe ehibhikkhusaraṇagamanaovādapaṭiggahaṇapañhabyākaraṇāhi upasampannā āpattiṃ āpajjituṃ bhabbā, tenete paṭikkhipitvā ‘‘ayaṃ imasmiṃ atthe adhippeto bhikkhū’’ti antimova vuttoti kira dhammasiritthero, taṃ ayuttaṃ. ‘‘Dve puggalā abhabbā āpattiṃ āpajjituṃ buddhā ca paccekabuddhā cā’’ti (pari. 322) ettakameva vuttanti. Aññathā ehibhikkhuādayopi vattabbā siyuṃ. Kiñca bhiyyo ‘‘dve puggalā bhabbā āpattiṃ āpajjituṃ bhikkhū ca bhikkhuniyo cā’’ti sāmaññena vuttattā ca, apica āpattibhayaṭṭhānadassanato ca. Kathaṃ? Āyasmā sāriputto āvasathapiṇḍaṃ kukkuccāyanto na paṭiggahesi, cīvaravippavāsabhayā ca sabbaṃ ticīvaraṃ gahetvā nadiṃ taranto manaṃ vuḷho ahosi mahākassapo. Kiñca saraṇagamanūpasampadāya upasampanne ārabbha saddhivihārikavattādīni asammāvattantānaṃ nesaṃ dukkaṭāni ca paññattāni dissanti, tasmā dubbicāritametaṃ. Ayaṃ imasmiṃ atthe adhippeto bhikkhūti paṭikkhittāya saraṇagamanūpasampadāya anuññātappasaṅgabhayāti upatissatthero, āpattiyā bhabbataṃ sandhāya tasmimpi vutte pubbe paṭikkhittāpi sā puna evaṃ vadantena anuññātāti bhikkhūnaṃ micchāgāho vā vimati vā uppajjati , tasmā na vuttāti vuttaṃ hoti, taṃ ‘‘bhikkhunī nāma ubhatosaṅghe upasampannā’’ti (pāci. 161) iminā sameti. Idañhi sākiyādīnaṃ anuññātaupasampadāya anuppabandhabhayā vuttaṃ.

    อยํ ปเนตฺถ อมฺหากํ ขนฺติ – ภิกฺขุ-ปทนิเทฺทสตฺตา ยตฺตกานิ เตน ปเทน สงฺคหํ คจฺฉนฺติ, เย จ วินยปิฎเก ตตฺถ ตตฺถ สนฺทิสฺสนฺติ สยํ อาปตฺตาปชฺชนเฎฺฐน วา ทุฎฺฐุลฺลาโรจนปฎิจฺฉาทนาทีสุ ปเรสํ อาปตฺติกรณเฎฺฐน วา, เต สเพฺพปิ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยทิทํ ตสฺส ภิกฺขุ-ปทสฺส วิเสสนตฺถํ วุตฺตํ ปรปทํ ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ, ตสฺส วเสน อิทํ วุตฺตํ ‘‘อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปโต ภิกฺขู’’ติฯ โส เอว หิ กมฺมวาจานนฺตรเมว สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน โหติ ตโต ปฎฺฐาย สอุเทฺทสสิกฺขาปทานํ อุปฺปตฺติทสฺสนโต, ตเสฺสว จ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ ทิสฺสติ, เนตรสฺสฯ ตเสฺสว จ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ สมฺภวติ ‘‘อุลฺลุมฺปตุ มํ, ภเนฺต, สโงฺฆ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติ (มหาว. ๗๑, ๑๒๖) วตฺวา สมาทินฺนตฺตา, ตเสฺสว จ อุปสมฺปนฺนสมนนฺตรเมว อกรณียนิสฺสยาจิกฺขนทสฺสนโต, วินยํ ปาติโมกฺขํ อุเทฺทสํ ปจฺจกฺขามีติอาทิสิกฺขาปจฺจกฺขานลกฺขณปาริปูริโต จาติ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ อุปาทาย โส เอว อิธาธิเปฺปโตติ วุตฺตํ โหติฯ

    Ayaṃ panettha amhākaṃ khanti – bhikkhu-padaniddesattā yattakāni tena padena saṅgahaṃ gacchanti, ye ca vinayapiṭake tattha tattha sandissanti sayaṃ āpattāpajjanaṭṭhena vā duṭṭhullārocanapaṭicchādanādīsu paresaṃ āpattikaraṇaṭṭhena vā, te sabbepi dassetvā idāni yadidaṃ tassa bhikkhu-padassa visesanatthaṃ vuttaṃ parapadaṃ ‘‘sikkhāsājīvasamāpanno’’ti, tassa vasena idaṃ vuttaṃ ‘‘ayaṃ imasmiṃ atthe adhippeto bhikkhū’’ti. So eva hi kammavācānantarameva sikkhāsājīvasamāpanno hoti tato paṭṭhāya sauddesasikkhāpadānaṃ uppattidassanato, tasseva ca sikkhāpaccakkhānaṃ dissati, netarassa. Tasseva ca sikkhāpaccakkhānaṃ sambhavati ‘‘ullumpatu maṃ, bhante, saṅgho anukampaṃ upādāyā’’ti (mahāva. 71, 126) vatvā samādinnattā, tasseva ca upasampannasamanantarameva akaraṇīyanissayācikkhanadassanato, vinayaṃ pātimokkhaṃ uddesaṃ paccakkhāmītiādisikkhāpaccakkhānalakkhaṇapāripūrito cāti sikkhāpaccakkhānaṃ upādāya so eva idhādhippetoti vuttaṃ hoti.

    ยสฺมา ปนสฺส สิกฺขาปจฺจกฺขานํ สพฺพถา ยุชฺชติ, ตสฺมา ‘‘สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย ตํ ตํ วตฺถุํ วีติกฺกมนฺตสฺส ตโต ตโต อาปตฺติโต อนาปตฺติ, อิตรสฺส อาปตฺตี’’ติ วตฺตุํ ยุชฺชติ, ตสฺมา ‘‘ยตฺถ ยตฺถ สาวชฺชปญฺญตฺติ, อนวชฺชปญฺญตฺติ วา, อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปโต ภิกฺขูติ วุจฺจติ, ตตฺถ ตตฺถ ตทชฺฌาจารเตฺถนายเมว ญตฺติจตุเตฺถน อุปสมฺปโนฺน อธิเปฺปโต นามา’’ติ วตฺตุํ ยุชฺชตีติ เวทิตพฺพํฯ เอวํ สเนฺต ยํ วุตฺตํ ‘‘ยาย กายจิ อุปสมฺปทาย อยํ อิมสฺมิํ ‘เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตฺวา ปาราชิโก โหตี’ติ อเตฺถ ภิกฺขูติ อธิเปฺปโต’’ติ, ตมฺปิ น วตฺตพฺพเมวฯ กถํ โหติ? วิโรธโทโสปิ ปริหโต โหติฯ กถํ? สเจ ญตฺติจตุเตฺถน อุปสมฺปโนฺน เอว อิธาธิเปฺปโต ‘‘ภิกฺขู’’ติ จ ‘‘อุปสมฺปโนฺน’’ติ จ, เตน น อุปสมฺปโนฺน อนุปสมฺปโนฺน นามาติ กตฺวา ญตฺติจตุตฺถกมฺมโต อญฺญถา อุปสมฺปนฺนา นาม มหากสฺสปเตฺถราทโย อิตเรสํ อนุปสมฺปนฺนฎฺฐาเน ฐตฺวา สหเสยฺยปทโสธมฺมาปตฺติํ ชเนยฺยุํ, โอมสนาทิกาเล จ ทุกฺกฎเมว ชเนยฺยุนฺติ เอวมาทิโก วิโรธโทโส ปริหโต โหตีติ สพฺพํ อาจริโย วทติฯ มงฺคุรจฺฉวิ นาม สาโมฯ

    Yasmā panassa sikkhāpaccakkhānaṃ sabbathā yujjati, tasmā ‘‘sikkhaṃ paccakkhāya taṃ taṃ vatthuṃ vītikkamantassa tato tato āpattito anāpatti, itarassa āpattī’’ti vattuṃ yujjati, tasmā ‘‘yattha yattha sāvajjapaññatti, anavajjapaññatti vā, ayaṃ imasmiṃ atthe adhippeto bhikkhūti vuccati, tattha tattha tadajjhācāratthenāyameva ñatticatutthena upasampanno adhippeto nāmā’’ti vattuṃ yujjatīti veditabbaṃ. Evaṃ sante yaṃ vuttaṃ ‘‘yāya kāyaci upasampadāya ayaṃ imasmiṃ ‘methunaṃ dhammaṃ paṭisevitvā pārājiko hotī’ti atthe bhikkhūti adhippeto’’ti, tampi na vattabbameva. Kathaṃ hoti? Virodhadosopi parihato hoti. Kathaṃ? Sace ñatticatutthena upasampanno eva idhādhippeto ‘‘bhikkhū’’ti ca ‘‘upasampanno’’ti ca, tena na upasampanno anupasampanno nāmāti katvā ñatticatutthakammato aññathā upasampannā nāma mahākassapattherādayo itaresaṃ anupasampannaṭṭhāne ṭhatvā sahaseyyapadasodhammāpattiṃ janeyyuṃ, omasanādikāle ca dukkaṭameva janeyyunti evamādiko virodhadoso parihato hotīti sabbaṃ ācariyo vadati. Maṅguracchavi nāma sāmo.

    ยสฺมา เต อติมหโนฺต ชาติมโท จิตฺตํ ปริยุฎฺฐาติ, ตสฺมา ตุเมฺหหิ มม สาสเน เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ฯ ‘‘สาตสหคตา ปฐมชฺฌานสุขสหคตา อสุเภ จ อานาปาเน จา’’ติ คณฺฐิปเท วุตฺตํฯ อุทฺธุมาตกสญฺญาติ อุทฺธุมาตกนิมิเตฺต ปฎิลทฺธปฐมชฺฌานสญฺญาฯ รูปสญฺญาติ ปถวีกสิณาทิรูปาวจรชฺฌานสญฺญาฯ โส ตํ พฺยากาสิ ‘‘อวิภูตา, ภเนฺต, อุทฺธุมาตกสญฺญา อวฑฺฒิตพฺพตฺตา อสุภานํ, วิภูตา, ภเนฺต, รูปสญฺญา วฑฺฒิตพฺพตฺตา กสิณาน’’นฺติฯ ปญฺจอุปสมฺปทกฺกโม มหาวคฺคา คหิโตฯ ญตฺติจตุเตฺถนาติ เอตฺถ กิญฺจาปิ ญตฺติ สพฺพปฐมํ วุจฺจติ, ติสฺสนฺนํ ปน อนุสฺสาวนานํ อตฺถพฺยญฺชนเภทาภาวโต อตฺถพฺยญฺชนภินฺนา ญตฺติตาสํ จตุตฺถาติ กตฺวา ‘‘ญตฺติจตุตฺถ’’นฺติ วุจฺจติฯ พฺยญฺชนานุรูปเมว อฎฺฐกถาย ‘‘ตีหิ อนุสฺสาวนาหิ เอกาย จ ญตฺติยา’’ติ วุตฺตํ, อตฺถปวตฺติกฺกเมน ปเทน ปน ‘‘เอกาย ญตฺติยา ตีหิ อนุสฺสาวนาหี’’ติ วตฺตพฺพํฯ ยสฺมา ปเนตฺถ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, กมฺมานิ (มหาว. ๓๘๔), ฉ อิมานิ, ภิกฺขเว, กมฺมานิ อธมฺมกมฺมํ วคฺคกมฺม’’นฺติ (มหาว. ๓๘๗) วจนโต กุปฺปกมฺมมฺปิ กตฺถจิ ‘‘กมฺม’’นฺติ วุจฺจติ ตสฺมา ‘‘อกุเปฺปนา’’ติ วุตฺตํฯ

    Yasmā te atimahanto jātimado cittaṃ pariyuṭṭhāti, tasmā tumhehi mama sāsane evaṃ sikkhitabbaṃ . ‘‘Sātasahagatā paṭhamajjhānasukhasahagatā asubhe ca ānāpāne cā’’ti gaṇṭhipade vuttaṃ. Uddhumātakasaññāti uddhumātakanimitte paṭiladdhapaṭhamajjhānasaññā. Rūpasaññāti pathavīkasiṇādirūpāvacarajjhānasaññā. So taṃ byākāsi ‘‘avibhūtā, bhante, uddhumātakasaññā avaḍḍhitabbattā asubhānaṃ, vibhūtā, bhante, rūpasaññā vaḍḍhitabbattā kasiṇāna’’nti. Pañcaupasampadakkamo mahāvaggā gahito. Ñatticatutthenāti ettha kiñcāpi ñatti sabbapaṭhamaṃ vuccati, tissannaṃ pana anussāvanānaṃ atthabyañjanabhedābhāvato atthabyañjanabhinnā ñattitāsaṃ catutthāti katvā ‘‘ñatticatuttha’’nti vuccati. Byañjanānurūpameva aṭṭhakathāya ‘‘tīhi anussāvanāhi ekāya ca ñattiyā’’ti vuttaṃ, atthapavattikkamena padena pana ‘‘ekāya ñattiyā tīhi anussāvanāhī’’ti vattabbaṃ. Yasmā panettha ‘‘cattārimāni, bhikkhave, kammāni (mahāva. 384), cha imāni, bhikkhave, kammāni adhammakammaṃ vaggakamma’’nti (mahāva. 387) vacanato kuppakammampi katthaci ‘‘kamma’’nti vuccati tasmā ‘‘akuppenā’’ti vuttaṃ.

    ยสฺมา อกุปฺปมฺปิ เอกจฺจํ น ฐานารหํ, เยน อปฺปโตฺต โอสารณํ ‘‘โสสาริโต’’ติ จเมฺปยฺยกฺขนฺธเก (มหาว. ๓๙๕ อาทโย) วุจฺจติ, ตสฺมา ‘‘ฐานารเหนา’’ติ วุตฺตํฯ ยทิ เอวํ ‘‘ฐานารเหนา’’ติ อิทเมว ปทํ วตฺตพฺพํ, น ปุพฺพปทํ อิมินา อกุปฺปสิทฺธิโตติ เจ? ตํ น, อฎฺฐานารเหน อกุเปฺปน อุปสมฺปโนฺน อิมสฺมิํ อเตฺถ อนธิเปฺปโตติ อนิฎฺฐปฺปสงฺคโตฯ ทฺวีหิ ปเนเตหิ เอกโต วุเตฺตหิ อยมโตฺถ ปญฺญายติ ‘‘เกวลํ เตน อกุเปฺปน อุปสมฺปโนฺน อยมฺปิ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปโต ‘ภิกฺขู’ติ, ฐานารเหน จ อุปสมฺปโนฺน อยมฺปิ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปโต ‘ภิกฺขู’ติ, กุเปฺปน อุปสมฺปโนฺน นาธิเปฺปโต’’ติฯ เตนายมฺปิ อโตฺถ สาธิโต โหติ ‘‘โย ปน, ภิกฺขุ, ชานํ อูนวีสติวสฺสํ ปุคฺคลํ อุปสมฺปาเทยฺย, โส จ ปุคฺคโล อนุปสมฺปโนฺน’’ติ (ปาจิ. ๔๐๓) วจนโต ยาว น ญายติ, ตาว สมญฺญายภิกฺขุปฎิญฺญายภิกฺขุภาวํ อุปคโตปิ น ปุเพฺพ ทสฺสิตสมญฺญายภิกฺขุปฎิญฺญายภิกฺขุ วิย อเญฺญสํ ภิกฺขูนํ อุปสมฺปนฺนฎฺฐาเน ฐตฺวา โอมสนปาจิตฺติยาทิวตฺถุ โหติ, เกวลํ อนุปสมฺปนฺนฎฺฐาเน ฐตฺวา ‘‘อนุปสมฺปเนฺน อุปสมฺปนฺนสญฺญี ปทโส ธมฺมํ วาเจติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติอาทิ (ปาจิ. ๔๗) อาปตฺติวตฺถุเมว หุตฺวา ติฎฺฐติฯ อกุเปฺปน อุปสมฺปโนฺน ปน ปจฺฉา ปาราชิโกปิ ชาติโต อุปสมฺปนฺนฎฺฐาเน ติฎฺฐตีติ ‘‘ปณฺฑโก, ภิกฺขเว, อนุปสมฺปโนฺน น อุปสมฺปาเทตโพฺพ, อุปสมฺปโนฺน นาเสตโพฺพ’’ติอาทินา (มหาว. ๑๐๙) นเยน วุเตฺตสุ ปน วชฺชนียปุคฺคเลสุ โกจิ ปุคฺคโล ‘‘อุปสมฺปโนฺน’’ติ วุจฺจติ, โนปิ อุปสมฺปนฺนฎฺฐาเน ติฎฺฐติ, โกจิ ติฎฺฐตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Yasmā akuppampi ekaccaṃ na ṭhānārahaṃ, yena appatto osāraṇaṃ ‘‘sosārito’’ti campeyyakkhandhake (mahāva. 395 ādayo) vuccati, tasmā ‘‘ṭhānārahenā’’ti vuttaṃ. Yadi evaṃ ‘‘ṭhānārahenā’’ti idameva padaṃ vattabbaṃ, na pubbapadaṃ iminā akuppasiddhitoti ce? Taṃ na, aṭṭhānārahena akuppena upasampanno imasmiṃ atthe anadhippetoti aniṭṭhappasaṅgato. Dvīhi panetehi ekato vuttehi ayamattho paññāyati ‘‘kevalaṃ tena akuppena upasampanno ayampi imasmiṃ atthe adhippeto ‘bhikkhū’ti, ṭhānārahena ca upasampanno ayampi imasmiṃ atthe adhippeto ‘bhikkhū’ti, kuppena upasampanno nādhippeto’’ti. Tenāyampi attho sādhito hoti ‘‘yo pana, bhikkhu, jānaṃ ūnavīsativassaṃ puggalaṃ upasampādeyya, so ca puggalo anupasampanno’’ti (pāci. 403) vacanato yāva na ñāyati, tāva samaññāyabhikkhupaṭiññāyabhikkhubhāvaṃ upagatopi na pubbe dassitasamaññāyabhikkhupaṭiññāyabhikkhu viya aññesaṃ bhikkhūnaṃ upasampannaṭṭhāne ṭhatvā omasanapācittiyādivatthu hoti, kevalaṃ anupasampannaṭṭhāne ṭhatvā ‘‘anupasampanne upasampannasaññī padaso dhammaṃ vāceti, āpatti pācittiyassā’’tiādi (pāci. 47) āpattivatthumeva hutvā tiṭṭhati. Akuppena upasampanno pana pacchā pārājikopi jātito upasampannaṭṭhāne tiṭṭhatīti ‘‘paṇḍako, bhikkhave, anupasampanno na upasampādetabbo, upasampanno nāsetabbo’’tiādinā (mahāva. 109) nayena vuttesu pana vajjanīyapuggalesu koci puggalo ‘‘upasampanno’’ti vuccati, nopi upasampannaṭṭhāne tiṭṭhati, koci tiṭṭhatīti veditabbaṃ.

    เอตฺถ ปน อตฺถิ กมฺมํ อกุปฺปํ ฐานารหํ, อตฺถิ ฐานารหํ นากุปฺปํ, อตฺถิ อกุปฺปเญฺจว น ฐานารหญฺจ, อตฺถิ นากุปฺปํ น จ ฐานารหนฺติ อิทํ จตุกฺกํ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ปฐมํ ตาว วุตฺตํ, ตติยจตุตฺถานิ ปากฎานิฯ ทุติยํ ปริยาเยน ภิกฺขุนิสงฺฆโต เอกโตอุปสมฺปนฺนาย ลิงฺคปริวเตฺต สติ ลพฺภติฯ ตสฺส หิ ปุคฺคลสฺส ปุเพฺพ สิกฺขมานกาเล ลทฺธํ ญตฺติจตุตฺถอุปสมฺปทากมฺมํ กิญฺจาปิ อกุปฺปเญฺจว ฐานารหญฺจ, ปุริสลิเงฺค ปน ปาตุภูเต ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตํเยว อุปชฺฌํ ตเมว อุปสมฺปท’’นฺติ (ปารา. ๖๙) เอตฺถ อปริยาปนฺนตฺตา ตสฺส ปุคฺคลสฺส เกวลํ สามเณรภาวาปตฺติโต กมฺมํ ทานิ กุปฺปํ ชาตนฺติ วุจฺจติฯ ลิงฺคปริวเตฺตน จีวรสฺส อธิฎฺฐานวิชหนํ วิย ตสฺส ปุคฺคลสฺส ภิกฺขุนิสเงฺฆน กตาย อุปสมฺปทาย วิชหนํ โหตีติ เวทิตพฺพํ, อญฺญถา โส ปุคฺคโล อุปสมฺปโนฺน ภิกฺขูติ อาปชฺชติฯ อถ วา ลิงฺคปริวเตฺต อสติปิตํ เอกโตอุปสมฺปทากมฺมํ กุปฺปติ, ยถาฐาเน น ติฎฺฐติฯ ตสฺมา น ตาว สา ‘‘ภิกฺขุนี’’ติ สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ ยสฺมา อญฺญตรํ ปาราชิกํ ธมฺมํ อาปชฺชิตฺวาปิ อนาปชฺชิตฺวาปิ อุปฺปพฺพชิตุกามตาย คิหิลิงฺคํ สาทิยนฺติยา ปุนปิ อุปสมฺปทา อุภโตสเงฺฆ ลพฺภติ, ตสฺมา เตน ปริยาเยน ‘‘กุปฺปตีติ กุปฺป’’นฺติ วุจฺจติ, ยถาวุตฺตกมฺมโทสาภาวโต ปน ‘‘ฐานารห’’นฺติฯ ภิกฺขุนี ปน คิหิลิงฺคํ สาทิยนฺติกาเล น ปุริสลิงฺคปาตุภาเว สติ ภิกฺขูสุ อุปสมฺปทํ ลพฺภตีติ สาธกํ การณํ น ทิสฺสติ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย อุปฺปพฺพชิตา เจ, ลภตีติ เอเก, ตํ ปนายุตฺตํ ภิกฺขุนิยา สิกฺขาปจฺจกฺขนาภาวโตติ อมฺหากํ ขนฺตีติ อาจริโยฯ ‘‘ยถา ‘กตฺตพฺพ’นฺติ วุตฺตํ, ตถา อกเต กุปฺปตีติ กตฺวา กรณํ สตฺถุสาสน’’นฺติ คณฺฐิปเท วุตฺตํฯ ยตฺถ ยตฺถ ‘‘คณฺฐิปเท’’ติ วุจฺจติ, ตตฺถ ตตฺถ ‘‘ธมฺมสิริเตฺถรสฺส คณฺฐิปเท’’ติ คเหตพฺพํฯ

    Ettha pana atthi kammaṃ akuppaṃ ṭhānārahaṃ, atthi ṭhānārahaṃ nākuppaṃ, atthi akuppañceva na ṭhānārahañca, atthi nākuppaṃ na ca ṭhānārahanti idaṃ catukkaṃ veditabbaṃ. Tattha paṭhamaṃ tāva vuttaṃ, tatiyacatutthāni pākaṭāni. Dutiyaṃ pariyāyena bhikkhunisaṅghato ekatoupasampannāya liṅgaparivatte sati labbhati. Tassa hi puggalassa pubbe sikkhamānakāle laddhaṃ ñatticatutthaupasampadākammaṃ kiñcāpi akuppañceva ṭhānārahañca, purisaliṅge pana pātubhūte ‘‘anujānāmi, bhikkhave, taṃyeva upajjhaṃ tameva upasampada’’nti (pārā. 69) ettha apariyāpannattā tassa puggalassa kevalaṃ sāmaṇerabhāvāpattito kammaṃ dāni kuppaṃ jātanti vuccati. Liṅgaparivattena cīvarassa adhiṭṭhānavijahanaṃ viya tassa puggalassa bhikkhunisaṅghena katāya upasampadāya vijahanaṃ hotīti veditabbaṃ, aññathā so puggalo upasampanno bhikkhūti āpajjati. Atha vā liṅgaparivatte asatipitaṃ ekatoupasampadākammaṃ kuppati, yathāṭhāne na tiṭṭhati. Tasmā na tāva sā ‘‘bhikkhunī’’ti saṅkhyaṃ gacchati. Yasmā aññataraṃ pārājikaṃ dhammaṃ āpajjitvāpi anāpajjitvāpi uppabbajitukāmatāya gihiliṅgaṃ sādiyantiyā punapi upasampadā ubhatosaṅghe labbhati, tasmā tena pariyāyena ‘‘kuppatīti kuppa’’nti vuccati, yathāvuttakammadosābhāvato pana ‘‘ṭhānāraha’’nti. Bhikkhunī pana gihiliṅgaṃ sādiyantikāle na purisaliṅgapātubhāve sati bhikkhūsu upasampadaṃ labbhatīti sādhakaṃ kāraṇaṃ na dissati, sikkhaṃ paccakkhāya uppabbajitā ce, labhatīti eke, taṃ panāyuttaṃ bhikkhuniyā sikkhāpaccakkhanābhāvatoti amhākaṃ khantīti ācariyo. ‘‘Yathā ‘kattabba’nti vuttaṃ, tathā akate kuppatīti katvā karaṇaṃ satthusāsana’’nti gaṇṭhipade vuttaṃ. Yattha yattha ‘‘gaṇṭhipade’’ti vuccati, tattha tattha ‘‘dhammasirittherassa gaṇṭhipade’’ti gahetabbaṃ.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact