Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
ปทภาชนียวณฺณนา
Padabhājanīyavaṇṇanā
๑๗๒. อุสฺสุกฺกวจนนฺติ ปากฎสทฺทสญฺญา กิร, สมานกปทนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘สุตฺวา ภุญฺชนฺตี’’ติ เอตฺถ วิย สญฺจิจฺจ โวโรเปตุกามสฺส สญฺจิจฺจปทํ โวโรปนปทสฺส อุสฺสุกฺกํ, สเญฺจตนา จ ชีวิตา โวโรปนญฺจ เอกเสฺสวาติ วุตฺตํ โหติฯ น เกวลํ เจตสิกมเตฺตเนว โหติ, ปโยโคปิ อิจฺฉิตโพฺพ เอวาติ ทเสฺสตุํ วุตฺตานีติ กิร อุปติสฺสเตฺถโรฯ ‘‘ชานิตฺวา สญฺชานิตฺวา เจจฺจ อภิวิตริตฺวา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ชานโนฺต…เป.… วีติกฺกโม’’ติ โวโรปนมฺปิ ทสฺสิตํ, ตสฺมา พฺยญฺชเน อาทรํ อกตฺวา อโตฺถ ทสฺสิโตฯ วีติกฺกมสงฺขาตตฺถสิทฺธิยา หิ ปุริมเจตนา อตฺถสาธิกา โหติฯ สพฺพสุขุมอตฺตภาวนฺติ รูปํ สนฺธาย วุตฺตํ, น อรูปํฯ อตฺตสงฺขาตานญฺหิ อรูปานํ ขนฺธวิภเงฺค (วิภ. ๑ อาทโย) วิย อิธ โอฬาริกสุขุมตา อนธิเปฺปตาฯ มาตุกุจฺฉิสฺมินฺติ เยภุยฺยวจนํ, โอปปาติกมนุเสฺสปิ ปาราชิกเมว, อรูปกาเย อุปกฺกมาภาวา ตคฺคหณํ กสฺมาติ เจ? อรูปกฺขเนฺธน สทฺธิํ ตเสฺสว รูปกายสฺส ชีวิตินฺทฺริยสมฺภวโตฯ เตน สชีวโกว มนุสฺสวิคฺคโหปิ นาม โหตีติ สิทฺธํฯ เอตฺถ มาตุกุจฺฉิสฺมินฺติ มนุสฺสมาตุยา วา ติรจฺฉานมาตุยา วาฯ วุตฺตญฺหิ ปริวาเร (ปริ. ๔๘๐) –
172.Ussukkavacananti pākaṭasaddasaññā kira, samānakapadanti vuttaṃ hoti. ‘‘Sutvā bhuñjantī’’ti ettha viya sañcicca voropetukāmassa sañciccapadaṃ voropanapadassa ussukkaṃ, sañcetanā ca jīvitā voropanañca ekassevāti vuttaṃ hoti. Na kevalaṃ cetasikamatteneva hoti, payogopi icchitabbo evāti dassetuṃ vuttānīti kira upatissatthero. ‘‘Jānitvā sañjānitvā cecca abhivitaritvā’’ti vattabbe ‘‘jānanto…pe… vītikkamo’’ti voropanampi dassitaṃ, tasmā byañjane ādaraṃ akatvā attho dassito. Vītikkamasaṅkhātatthasiddhiyā hi purimacetanā atthasādhikā hoti. Sabbasukhumaattabhāvanti rūpaṃ sandhāya vuttaṃ, na arūpaṃ. Attasaṅkhātānañhi arūpānaṃ khandhavibhaṅge (vibha. 1 ādayo) viya idha oḷārikasukhumatā anadhippetā. Mātukucchisminti yebhuyyavacanaṃ, opapātikamanussepi pārājikameva, arūpakāye upakkamābhāvā taggahaṇaṃ kasmāti ce? Arūpakkhandhena saddhiṃ tasseva rūpakāyassa jīvitindriyasambhavato. Tena sajīvakova manussaviggahopi nāma hotīti siddhaṃ. Ettha mātukucchisminti manussamātuyā vā tiracchānamātuyā vā. Vuttañhi parivāre (pari. 480) –
‘‘อิตฺถิํ หเน จ มาตรํ, ปุริสญฺจ ปิตรํ หเน;
‘‘Itthiṃ hane ca mātaraṃ, purisañca pitaraṃ hane;
มาตรํ ปิตรํ หนฺตฺวา, น เตนานนฺตรํ ผุเส;
Mātaraṃ pitaraṃ hantvā, na tenānantaraṃ phuse;
ปญฺหา เมสา กุสเลหิ จินฺติตา’’ติฯ
Pañhā mesā kusalehi cintitā’’ti.
ปฐมนฺติ ปฎิสนฺธิจิตฺตเมวฯ เอกภวปริยาปนฺนาย หิ จิตฺตสนฺตติยา ปฎิสนฺธิจิตฺตํ ปฐมจิตฺตํ นามฯ จุติจิตฺตํ ปจฺฉิมํ นามฯ อญฺญถา อนมตเคฺค สํสาเร ปฐมจิตฺตํ นาม นตฺถิ วินา อนนฺตรสมนนฺตรนตฺถิวิคตปจฺจเยหิ จิตฺตุปฺปตฺติยา อภาวโตฯ ภาเว วา นวสตฺตปาตุภาวโทสปฺปสโงฺคฯ อยํ สพฺพปฐโม มนุสฺสวิคฺคโหติ กิญฺจาปิ อิมํ ชีวิตา โวโรเปตุํ น สกฺกา, ตํ อาทิํ กตฺวา สนฺตติยา ยาว มรณา อุปฺปชฺชนกมนุสฺสวิคฺคเหสุ อปริมาเณสุ ‘‘สพฺพปฐโม’’ติ ทิสฺสติฯ ยทา ปน โย มนุสฺสวิคฺคโห ปุพฺพาปริยวเสน สนฺตติปฺปโตฺต โหติ, ตทา ตํ ชีวิตา โวโรเปตุํ สกฺกาฯ สนฺตติํ วิโกเปโนฺต หิ ชีวิตา โวโรเปติ นามฯ เอตฺถ จ นานตฺตนเย อธิเปฺปเต สติ ‘‘สพฺพปฐโม’’ติ วจนํ ยุชฺชติ, น ปน เอกตฺตนเย สนฺตติยา เอกตฺตาฯ เอกตฺตนโย จ อิธาธิเปฺปโต ‘‘สนฺตติํ วิโกเปตี’’ติ วจนโต, ตสฺมา ‘‘สพฺพปฐโม’’ติ วจนํ น ยุชฺชตีติ เจ? น, สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนพหุตฺตาฯ ยสฺมา ปน สนฺตติ นาม อเนเกสํ ปุพฺพาปริยุปฺปตฺติ วุจฺจติ, ตสฺมา ‘‘อยํ สพฺพปฐโม’’ติ วุโตฺต, เอวเมตฺถ เทฺวปิ นยา สงฺคหํ คจฺฉนฺติ, อญฺญถา ‘‘สนฺตติํ วิโกเปตี’’ติ อิทํ วจนํ น สิชฺฌติฯ กิญฺจาปิ เอตฺถ ‘‘สนฺตติํ วิโกเปตี’’ติ วจนโต สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนเมว อธิเปฺปตํ, น อทฺธาปจฺจุปฺปนฺนํ วิย ทิสฺสติ, ตถาปิ ยสฺมา สนฺตติปจฺจุปฺปเนฺน วิโกปิเต อทฺธาปจฺจุปฺปนฺนํ วิโกปิตเมว โหติ, อทฺธาปจฺจุปฺปเนฺน ปน วิโกปิเต สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ วิโกปิตํ โหตีติ เอตฺถ วตฺตพฺพํ นตฺถิฯ ตสฺมา อฎฺฐกถายํ ‘‘ตทุภยมฺปิ โวโรเปตุํ สกฺกา, ตสฺมา ตเทว สนฺธาย ‘สนฺตติํ วิโกเปตี’ติ อิทํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพ’’นฺติ อาหฯ ‘‘สนฺตติํ วิโกเปตี’’ติ วจนโต ปกติยา อายุปริยนฺตํ ปตฺวา มรณกสเตฺต วีติกฺกเม สติ อนาปตฺติ วีติกฺกมปจฺจยา สนฺตติยา อโกปิตตฺตาฯ วีติกฺกมปจฺจยา เจ อายุปริยนฺตํ อปฺปตฺวา อนฺตราว มรณกสเตฺต วีติกฺกมปจฺจยา อาปตฺติ, กมฺมพโทฺธ จาติ โน ตโกฺกติ อาจริโยฯ ‘‘มรณวณฺณํ วา สํวเณฺณยฺย, มรณาย วา สมาทเปยฺย, อยมฺปิ ปาราชิโก โหติ อสํวาโส’’ติ วจนโต วา เจตนากฺขเณ เอว ปาราชิกาปตฺติ เอกนฺตากุสลตฺตา, ทุกฺขเวทนตฺตา, กายกมฺมตฺตา, วจีกมฺมตฺตา, กิริยตฺตา จาติ เวทิตพฺพํฯ
Paṭhamanti paṭisandhicittameva. Ekabhavapariyāpannāya hi cittasantatiyā paṭisandhicittaṃ paṭhamacittaṃ nāma. Cuticittaṃ pacchimaṃ nāma. Aññathā anamatagge saṃsāre paṭhamacittaṃ nāma natthi vinā anantarasamanantaranatthivigatapaccayehi cittuppattiyā abhāvato. Bhāve vā navasattapātubhāvadosappasaṅgo. Ayaṃ sabbapaṭhamo manussaviggahoti kiñcāpi imaṃ jīvitā voropetuṃ na sakkā, taṃ ādiṃ katvā santatiyā yāva maraṇā uppajjanakamanussaviggahesu aparimāṇesu ‘‘sabbapaṭhamo’’ti dissati. Yadā pana yo manussaviggaho pubbāpariyavasena santatippatto hoti, tadā taṃ jīvitā voropetuṃ sakkā. Santatiṃ vikopento hi jīvitā voropeti nāma. Ettha ca nānattanaye adhippete sati ‘‘sabbapaṭhamo’’ti vacanaṃ yujjati, na pana ekattanaye santatiyā ekattā. Ekattanayo ca idhādhippeto ‘‘santatiṃ vikopetī’’ti vacanato, tasmā ‘‘sabbapaṭhamo’’ti vacanaṃ na yujjatīti ce? Na, santatipaccuppannabahuttā. Yasmā pana santati nāma anekesaṃ pubbāpariyuppatti vuccati, tasmā ‘‘ayaṃ sabbapaṭhamo’’ti vutto, evamettha dvepi nayā saṅgahaṃ gacchanti, aññathā ‘‘santatiṃ vikopetī’’ti idaṃ vacanaṃ na sijjhati. Kiñcāpi ettha ‘‘santatiṃ vikopetī’’ti vacanato santatipaccuppannameva adhippetaṃ, na addhāpaccuppannaṃ viya dissati, tathāpi yasmā santatipaccuppanne vikopite addhāpaccuppannaṃ vikopitameva hoti, addhāpaccuppanne pana vikopite santatipaccuppannaṃ vikopitaṃ hotīti ettha vattabbaṃ natthi. Tasmā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tadubhayampi voropetuṃ sakkā, tasmā tadeva sandhāya ‘santatiṃ vikopetī’ti idaṃ vuttanti veditabba’’nti āha. ‘‘Santatiṃ vikopetī’’ti vacanato pakatiyā āyupariyantaṃ patvā maraṇakasatte vītikkame sati anāpatti vītikkamapaccayā santatiyā akopitattā. Vītikkamapaccayā ce āyupariyantaṃ appatvā antarāva maraṇakasatte vītikkamapaccayā āpatti, kammabaddho cāti no takkoti ācariyo. ‘‘Maraṇavaṇṇaṃ vā saṃvaṇṇeyya, maraṇāya vā samādapeyya, ayampi pārājiko hoti asaṃvāso’’ti vacanato vā cetanākkhaṇe eva pārājikāpatti ekantākusalattā, dukkhavedanattā, kāyakammattā, vacīkammattā, kiriyattā cāti veditabbaṃ.
สตฺตฎฺฐชวนวารมตฺตนฺติ สภาคารมฺมณวเสน วุตฺตํ, เตเนว ‘‘สภาคสนฺตติวเสนา’’ติอาทิ วุตฺตํ ฯ อตฺตโน ปฎิปเกฺขน สมนฺนาคตตฺตา สมนนฺตรสฺส ปจฺจยํ โหนฺตํ ยถา ปุเร วิย อหุตฺวา ทุพฺพลสฺสฯ ตนฺติ ชีวิตินฺทฺริยวิโกปนํฯ
Sattaṭṭhajavanavāramattanti sabhāgārammaṇavasena vuttaṃ, teneva ‘‘sabhāgasantativasenā’’tiādi vuttaṃ . Attano paṭipakkhena samannāgatattā samanantarassa paccayaṃ hontaṃ yathā pure viya ahutvā dubbalassa. Tanti jīvitindriyavikopanaṃ.
อีตินฺติ สตฺตวิธวิจฺฉิกาทีนิ ยุเทฺธ ฑํสิตฺวา มารณตฺถํ วิสฺสเชฺชนฺติฯ ปชฺชรกนฺติ สรีรฑาหํฯ สูจิกนฺติ สูลํฯ วิสูจิกนฺติ สุกฺขมาติสารํวสยํฯ ปกฺขนฺทิยนฺติ รตฺตาติสารํฯ ทฺวตฺติพฺยามสตปฺปมาเณ มหากาเย นิมฺมินิตฺวา ฐิตนาคุทฺธรณํ, กุชฺฌิตฺวา โอโลกิเต ปเรสํ กาเย วิสมรณํ วา ฑาหุปฺปาทนํ วา ปโยโค นามฯ
Ītinti sattavidhavicchikādīni yuddhe ḍaṃsitvā māraṇatthaṃ vissajjenti. Pajjarakanti sarīraḍāhaṃ. Sūcikanti sūlaṃ. Visūcikanti sukkhamātisāraṃvasayaṃ. Pakkhandiyanti rattātisāraṃ. Dvattibyāmasatappamāṇe mahākāye nimminitvā ṭhitanāguddharaṇaṃ, kujjhitvā olokite paresaṃ kāye visamaraṇaṃ vā ḍāhuppādanaṃ vā payogo nāma.
เกจีติ มหาสงฺฆิกาฯ อยํ อิตฺถีฯ กุลุมฺพสฺสาติ คพฺภสฺสฯ กถํ สา อิตรสฺสาติ เจ? ตสฺส ทุเฎฺฐน มนสานุปกฺขิเต โส จ คโพฺภ สา จ อิทฺธีติ อุภยมฺปิ สเหว นสฺสติ, ฆฎคฺคีนํ เภทนิพฺพายนํ วิย เอกกฺขเณ โหติฯ ‘‘เตสํ สุตฺตนฺติเกสุ โอจริยมานํ น สเมตี’’ติ ลิขิตํ, ‘‘เตสํ มตํ คเหตฺวา ‘ถาวรีนมฺปิ อยํ ยุชฺชตี’ติ วุเตฺต ติกวเสน ปฎิเสธิตพฺพนฺติ อปเร’’ติ วุตฺตํฯ สาหตฺถิกนิสฺสคฺคิยปโยเคสุ สนฺนิฎฺฐาปกเจตนาย สตฺตมาย สหุปฺปนฺนกายวิญฺญตฺติยา สาหตฺถิกตา เวทิตพฺพาฯ อาณตฺติเก ปน สตฺตหิปิ เจตนาหิ สห วจีวิญฺญตฺติสมฺภวโต สตฺตสตฺต สทฺทา เอกโต หุตฺวา เอเกกกฺขรภาวํ คนฺตฺวา ยตฺตเกหิ อกฺขเรหิ อตฺตโน อธิปฺปายํ วิญฺญาเปติ, ตทวสานกฺขรสมุฎฺฐาปิกาย สตฺตมเจตนาย สหชาตวจีวิญฺญตฺติยา อาณตฺติกตา เวทิตพฺพาฯ ตถา วิชฺชามยปโยเคฯ กาเยนาณตฺติยํ ปน สาหตฺถิเก วุตฺตนโยวฯ ถาวรปโยเค ยาวตา ปรสฺส มรณํ โหติ, ตาวตา กมฺมพโทฺธ, อาปตฺติ จฯ ตโต ปรํ อติสญฺจรเณ กมฺมพทฺธาติพหุตฺตํ เวทิตพฺพํ สติ ปรํ มรเณฯ ปาราชิกาปตฺติ ปเนตฺถ เอกาฯ อตฺถสาธกเจตนา ยสฺมา เอตฺถ จ ทุติยปาราชิเก จ ลพฺภติ, น อญฺญตฺถ, ตสฺมา ทฺวินฺนมฺปิ สาธารณา อิมา คาถาโย –
Kecīti mahāsaṅghikā. Ayaṃ itthī. Kulumbassāti gabbhassa. Kathaṃ sā itarassāti ce? Tassa duṭṭhena manasānupakkhite so ca gabbho sā ca iddhīti ubhayampi saheva nassati, ghaṭaggīnaṃ bhedanibbāyanaṃ viya ekakkhaṇe hoti. ‘‘Tesaṃ suttantikesu ocariyamānaṃ na sametī’’ti likhitaṃ, ‘‘tesaṃ mataṃ gahetvā ‘thāvarīnampi ayaṃ yujjatī’ti vutte tikavasena paṭisedhitabbanti apare’’ti vuttaṃ. Sāhatthikanissaggiyapayogesu sanniṭṭhāpakacetanāya sattamāya sahuppannakāyaviññattiyā sāhatthikatā veditabbā. Āṇattike pana sattahipi cetanāhi saha vacīviññattisambhavato sattasatta saddā ekato hutvā ekekakkharabhāvaṃ gantvā yattakehi akkharehi attano adhippāyaṃ viññāpeti, tadavasānakkharasamuṭṭhāpikāya sattamacetanāya sahajātavacīviññattiyā āṇattikatā veditabbā. Tathā vijjāmayapayoge. Kāyenāṇattiyaṃ pana sāhatthike vuttanayova. Thāvarapayoge yāvatā parassa maraṇaṃ hoti, tāvatā kammabaddho, āpatti ca. Tato paraṃ atisañcaraṇe kammabaddhātibahuttaṃ veditabbaṃ sati paraṃ maraṇe. Pārājikāpatti panettha ekā. Atthasādhakacetanā yasmā ettha ca dutiyapārājike ca labbhati, na aññattha, tasmā dvinnampi sādhāraṇā imā gāthāyo –
‘‘ภูตธมฺมนิยามา เย, เต ธมฺมา นิยตา มตา;
‘‘Bhūtadhammaniyāmā ye, te dhammā niyatā matā;
ภาวิธมฺมนิยามา เย, เตว อนิยตา อิธฯ
Bhāvidhammaniyāmā ye, teva aniyatā idha.
‘‘ภูตธมฺมนิยามานํ, ฐิตาว สา ปจฺจยฎฺฐิติ;
‘‘Bhūtadhammaniyāmānaṃ, ṭhitāva sā paccayaṭṭhiti;
ภาวิธมฺมนิยามานํ, สาเปกฺขา ปจฺจยฎฺฐิติฯ
Bhāvidhammaniyāmānaṃ, sāpekkhā paccayaṭṭhiti.
‘‘เตนญฺญา เหตุยา อตฺถิ, สาปิ ธมฺมนิยามตา;
‘‘Tenaññā hetuyā atthi, sāpi dhammaniyāmatā;
ตสฺสา ผลํ อนิยตํ, ผลาเปกฺขา นิยามตาฯ
Tassā phalaṃ aniyataṃ, phalāpekkhā niyāmatā.
‘‘เอวญฺหิ สพฺพธมฺมานํ, ฐิตา ธมฺมนิยามตา;
‘‘Evañhi sabbadhammānaṃ, ṭhitā dhammaniyāmatā;
ลทฺธธมฺมนิยามา ยา, สาตฺถสาธกเจตนาฯ
Laddhadhammaniyāmā yā, sātthasādhakacetanā.
‘‘เจตนาสิทฺธิโต ปุเพฺพ, ปจฺฉา ตสฺสาตฺถสิทฺธิโต;
‘‘Cetanāsiddhito pubbe, pacchā tassātthasiddhito;
อวิเสเสน สพฺพาปิ, ฉพฺพิธา อตฺถสาธิกาฯ
Avisesena sabbāpi, chabbidhā atthasādhikā.
‘‘อาณตฺติยํ ยโต สกฺกา, วิภาเวตุํ วิภาคโต;
‘‘Āṇattiyaṃ yato sakkā, vibhāvetuṃ vibhāgato;
ตสฺมา อาณตฺติยํเยว, วุตฺตา สา อตฺถสาธิกาฯ
Tasmā āṇattiyaṃyeva, vuttā sā atthasādhikā.
‘‘มิจฺฉเตฺต วาปิ สมฺมเตฺต, นิยตานิยตา มตา;
‘‘Micchatte vāpi sammatte, niyatāniyatā matā;
อภิธเมฺม น สพฺพตฺถิ, ตตฺถ สา นิยตา สิยาฯ
Abhidhamme na sabbatthi, tattha sā niyatā siyā.
‘‘ยา เถยฺยเจตนา สพฺพา, สหตฺถาณตฺติกาปิ วา;
‘‘Yā theyyacetanā sabbā, sahatthāṇattikāpi vā;
อภิธมฺมนเยนายํ, เอกนฺตนิยตา สิยาฯ
Abhidhammanayenāyaṃ, ekantaniyatā siyā.
‘‘ปาณาติปาตํ นิสฺสาย, สหตฺถาณตฺติกาทิกา;
‘‘Pāṇātipātaṃ nissāya, sahatthāṇattikādikā;
อภิธมฺมวเสเนสา, ปเจฺจกํ ตํ ทุกํ ภเชฯ
Abhidhammavasenesā, paccekaṃ taṃ dukaṃ bhaje.
‘‘ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉโท, เจตนา เจติ ตํ ทฺวยํ;
‘‘Jīvitindriyupacchedo, cetanā ceti taṃ dvayaṃ;
น สาหตฺถิกกเมฺมน, ปเควาณตฺติกาสมํฯ
Na sāhatthikakammena, pagevāṇattikāsamaṃ.
‘‘ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉโท, เจตนา เจติ ตํ ทฺวยํ;
‘‘Jīvitindriyupacchedo, cetanā ceti taṃ dvayaṃ;
น สาหตฺถิกกเมฺมน, ปเควาณตฺติกาสมํฯ
Na sāhatthikakammena, pagevāṇattikāsamaṃ.
‘‘ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทกฺขเณ วธกเจตนา;
‘‘Jīvitindriyupacchedakkhaṇe vadhakacetanā;
จิราฐิตาติ โก ธโมฺม, นิยาเมติ อาปตฺติกํฯ
Cirāṭhitāti ko dhammo, niyāmeti āpattikaṃ.
‘‘ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทกฺขเณ เจ วธโก สิยา;
‘‘Jīvitindriyupacchedakkhaṇe ce vadhako siyā;
มโต สุโตฺต ปพุโทฺธ วา, กุสโล วธโก สิยาฯ
Mato sutto pabuddho vā, kusalo vadhako siyā.
‘‘กุสลตฺติกเภโท จ, เวทนาตฺติกเภโทปิ;
‘‘Kusalattikabhedo ca, vedanāttikabhedopi;
สิยา ตถา คโต สิโทฺธ, สหตฺถา วธกเจตนา’’ติฯ
Siyā tathā gato siddho, sahatthā vadhakacetanā’’ti.
ยานิ ปน พีชอุตุกมฺมธมฺมจิตฺตนิยามานิ ปญฺจ อฎฺฐกถาย อาเนตฺวา นิทสฺสิตานิ, เตสุ อยมตฺถสาธกเจตนา โยคํ คจฺฉตีติ มเญฺญ ‘‘อยํ อตฺถสาธกเจตนานิยโม นตฺถี’’ติ เจตนานํ มิจฺฉตฺตสมฺมตฺตนิยตานมฺปิ นตฺถิภาวปฺปสงฺคโตฯ ภชาปิยมานา เยน, เตน สเพฺพปิ ยถาสมฺภวํ กมฺมจิตฺตนิยาเม ภชนฺติ คจฺฉนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ ชีวิเต อาทีนโว มรณวณฺณทสฺสเน น วิภโตฺตว, อิธ ปน สงฺกปฺปปเท อตฺถโต ‘‘มรณสญฺญี มรณเจตโน มรณาธิปฺปาโย’’ติ เอวํ อวิภูตตฺตา วิภโตฺต, อปากฎตฺตา, อโนฬาริกตฺตา วา อวิภาคา การิตา วาฯ นยิทํ วิตกฺกสฺส นามนฺติ น วิตกฺกเสฺสว นามํ, กินฺตุ สญฺญาเจตนานมฺปิ นามนฺติ คเหตพฺพํฯ กงฺขาวิตรณิยมฺปิ เอวเมว วุตฺตํฯ
Yāni pana bījautukammadhammacittaniyāmāni pañca aṭṭhakathāya ānetvā nidassitāni, tesu ayamatthasādhakacetanā yogaṃ gacchatīti maññe ‘‘ayaṃ atthasādhakacetanāniyamo natthī’’ti cetanānaṃ micchattasammattaniyatānampi natthibhāvappasaṅgato. Bhajāpiyamānā yena, tena sabbepi yathāsambhavaṃ kammacittaniyāme bhajanti gacchantīti veditabbaṃ. Jīvite ādīnavo maraṇavaṇṇadassane na vibhattova, idha pana saṅkappapade atthato ‘‘maraṇasaññī maraṇacetano maraṇādhippāyo’’ti evaṃ avibhūtattā vibhatto, apākaṭattā, anoḷārikattā vā avibhāgā kāritā vā. Nayidaṃ vitakkassa nāmanti na vitakkasseva nāmaṃ, kintu saññācetanānampi nāmanti gahetabbaṃ. Kaṅkhāvitaraṇiyampi evameva vuttaṃ.
๑๗๔. กายโตติ วุตฺตตฺตา ‘‘สตฺติญสู’’ติ วตฺตเพฺพ วจนสิลิฎฺฐตฺถํ ‘‘อุสุสตฺติอาทินา’’ติ วุตฺตํฯ อนุเทฺทสิเก กมฺมสฺสารมฺมณํ โส วา โหติ, อโญฺญ วาฯ อุภเยหีติ กิญฺจาปิ ปฐมปฺปหาโร น สยเมว สโกฺกติ, ทุติยํ ลภิตฺวา ปน สโกฺกโนฺต ชีวิตวินาสนเหตุ อโหสิ, ตทตฺถเมว หิ วธเกน โส ทิโนฺน, ทุติโย ปน อเญฺญน จิเตฺตน ทิโนฺน, เตน สุฎฺฐุ วุตฺตํ ‘‘ปฐมปฺปหาเรเนวา’’ติ, ‘‘เจตนา นาม ทารุณาติ ครุํ วตฺถุํ อารพฺภ ปวตฺตปุพฺพภาคเจตนา ปกติสภาววธกเจตนา, โน ทารุณา โหตี’’ติ อาจริเยน ลิขิตํฯ ‘‘ปุพฺพภาคเจตนา ปริวารา, วธกเจตนาว ทารุณา โหตี’’ติ วุตฺตํฯ ยถาธิปฺปายนฺติ อุโภปิ ปฎิวิชฺฌติ, สาหตฺถิโกปิ สเงฺกตตฺตา น มุจฺจติ กิรฯ
174.Kāyatoti vuttattā ‘‘sattiñasū’’ti vattabbe vacanasiliṭṭhatthaṃ ‘‘ususattiādinā’’ti vuttaṃ. Anuddesike kammassārammaṇaṃ so vā hoti, añño vā. Ubhayehīti kiñcāpi paṭhamappahāro na sayameva sakkoti, dutiyaṃ labhitvā pana sakkonto jīvitavināsanahetu ahosi, tadatthameva hi vadhakena so dinno, dutiyo pana aññena cittena dinno, tena suṭṭhu vuttaṃ ‘‘paṭhamappahārenevā’’ti, ‘‘cetanā nāma dāruṇāti garuṃ vatthuṃ ārabbha pavattapubbabhāgacetanā pakatisabhāvavadhakacetanā, no dāruṇā hotī’’ti ācariyena likhitaṃ. ‘‘Pubbabhāgacetanā parivārā, vadhakacetanāva dāruṇā hotī’’ti vuttaṃ. Yathādhippāyanti ubhopi paṭivijjhati, sāhatthikopi saṅketattā na muccati kira.
กิริยาวิเสโส อฎฺฐกถาสุ อนาคโตฯ ‘‘เอวํ วิชฺฌ, เอวํ ปหร, เอวํ ฆาเหหี’ติ ปาฬิยา สเมตีติ อาจริเยน คหิโต’’ติ วทนฺติฯ ปุรโต ปหริตฺวาติอาทิ วตฺถุวิสเงฺกตเมว กิรฯ เอตํ คาเม ฐิตนฺติ ปุคฺคโลว นิยมิโตฯ โย ปน ลิงฺควเสน ‘‘ทีฆํ…เป.… มาเรหี’’ติ อาณาเปติ อนิยเมตฺวาฯ ยทิ นิยเมตฺวา วทติ, ‘‘เอตํ ทีฆ’’นฺติ วเทยฺยาติ อปเรฯ อาจริยา ปน ‘‘ทีฆนฺติ วุเตฺต นิยมิตํ โหติ, เอวํ อนิยเมตฺวา วทติ, น ปน อาณาปโก ทีฆาทีสุ อญฺญตรํ มาเรหีติ อธิปฺปาโย’’ติ วทนฺติ กิรฯ ‘‘อโตฺถ ปน จิเตฺตน เอกํ สนฺธายปิ อนิยเมตฺวา อาณาเปตี’’ติ ลิขิตํฯ ‘‘อิตโร อญฺญํ ตาทิสํ มาเรติ, อาณาปโก มุจฺจตี’’ติ วุตฺตํ ยถาธิปฺปายํ น คตตฺตาฯ ‘‘เอวํ ทีฆาทิวเสนาปิ จิเตฺตน อนิยมิตเสฺสวาติ ยุตฺตํ วิย ทิสฺสตี’’ติ อญฺญตรสฺมิํ คณฺฐิปเท ลิขิตํ, สุฎฺฐุ วีมํสิตฺวา สพฺพํ คเหตพฺพํ, โอกาสสฺส นิยมิตตฺตาติ เอตฺถ โอกาสนิยมํ กตฺวา นิทฺทิสโนฺต ตสฺมิํ โอกาเส นิสินฺนํ มาเรตุกาโมว โหติ, สยํ ปน ตทา ตตฺถ นตฺถิฯ ตสฺมา โอกาเสน สห อตฺตโน ชีวิตินฺทฺริยํ อารมฺมณํ น โหติ, เตน อตฺตนา มาราปิโต ปโร เอว มาราปิโตฯ กถํ? สยํ รโสฺส จ ตนุโก จ หุตฺวา ปุพฺพภาเค อตฺตานํ สนฺธาย อาณตฺติกฺขเณ ‘‘ทีฆํ รสฺสํ ถูลํ พลวนฺตํ มาเรหี’’ติ อาณาเปนฺตสฺส จิตฺตํ อตฺตนิ ตสฺสาการสฺส นตฺถิตาย อญฺญสฺส ตาทิสสฺส ชีวิตินฺทฺริยํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตติ, เตน มูลฎฺฐสฺส กมฺมพโทฺธฯ เอวํสมฺปทมิทนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Kiriyāviseso aṭṭhakathāsu anāgato. ‘‘Evaṃ vijjha, evaṃ pahara, evaṃ ghāhehī’ti pāḷiyā sametīti ācariyena gahito’’ti vadanti. Purato paharitvātiādi vatthuvisaṅketameva kira. Etaṃ gāme ṭhitanti puggalova niyamito. Yo pana liṅgavasena ‘‘dīghaṃ…pe… mārehī’’ti āṇāpeti aniyametvā. Yadi niyametvā vadati, ‘‘etaṃ dīgha’’nti vadeyyāti apare. Ācariyā pana ‘‘dīghanti vutte niyamitaṃ hoti, evaṃ aniyametvā vadati, na pana āṇāpako dīghādīsu aññataraṃ mārehīti adhippāyo’’ti vadanti kira. ‘‘Attho pana cittena ekaṃ sandhāyapi aniyametvā āṇāpetī’’ti likhitaṃ. ‘‘Itaro aññaṃ tādisaṃ māreti, āṇāpako muccatī’’ti vuttaṃ yathādhippāyaṃ na gatattā. ‘‘Evaṃ dīghādivasenāpi cittena aniyamitassevāti yuttaṃ viya dissatī’’ti aññatarasmiṃ gaṇṭhipade likhitaṃ, suṭṭhu vīmaṃsitvā sabbaṃ gahetabbaṃ, okāsassa niyamitattāti ettha okāsaniyamaṃ katvā niddisanto tasmiṃ okāse nisinnaṃ māretukāmova hoti, sayaṃ pana tadā tattha natthi. Tasmā okāsena saha attano jīvitindriyaṃ ārammaṇaṃ na hoti, tena attanā mārāpito paro eva mārāpito. Kathaṃ? Sayaṃ rasso ca tanuko ca hutvā pubbabhāge attānaṃ sandhāya āṇattikkhaṇe ‘‘dīghaṃ rassaṃ thūlaṃ balavantaṃ mārehī’’ti āṇāpentassa cittaṃ attani tassākārassa natthitāya aññassa tādisassa jīvitindriyaṃ ārammaṇaṃ katvā pavattati, tena mūlaṭṭhassa kammabaddho. Evaṃsampadamidanti daṭṭhabbaṃ.
ทูตปรมฺปรานิเทฺทเส อาณาเปติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อิตรสฺส อาโรเจติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ อาจริยเนฺตวาสีนํ ยถาสมฺภวํ อาโรจเน, ปฎิคฺคณฺหเน ทุกฺกฎํ สนฺธาย วุตฺตํฯ น วธโก ปฎิคฺคณฺหาติ, ตสฺส ทุกฺกฎนฺติ สิทฺธํ โหติฯ ตํ ปน โอกาสาภาวโต น วุตฺตํฯ มูลเฎฺฐน อาปชฺชิตพฺพาปตฺติยา หิ ตสฺส โอกาโส อปริจฺฉิโนฺน, เตนสฺส ตสฺมิํ โอกาเส ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตํฯ วธโก เจ ปฎิคฺคณฺหาติ, มูลโฎฺฐ อาจริโย ปุเพฺพ อาปนฺนทุกฺกเฎน สห ถุลฺลจฺจยมฺปิ อาปชฺชติฯ กสฺมา? มหาชโน หิ เตน ปาเป นิโยชิโตติฯ อิทํ ปน ทุกฺกฎถุลฺลจฺจยํ วธโก เจ ตมตฺถํ น สาเวติ อาปชฺชติฯ ยทิ สาเวติ, ปาราชิกเมวาปชฺชติฯ กสฺมา? อตฺถสาธกเจตนาย อภาวาฯ อนุคณฺฐิปเท ปน ‘‘ปฎิคฺคณฺหติ, ตํ ทุกฺกฎํ โหติฯ ยทิ เอวํ กสฺมา ปาเฐ น วุตฺตนฺติ เจ? วธโก ปน ‘สาธุ กโรมี’ติ ปฎิคฺคณฺหิตฺวา ตํ น กโรติฯ เอวญฺหิ นิยเม ‘มูลฎฺฐสฺส กิํ นาม โหติ, กิมสฺส ทุกฺกฎาปตฺตี’ติ สญฺชาตกงฺขานํ ตทตฺถทีปนตฺถํ ‘มูลฎฺฐสฺส อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘วธโก ปฎิคฺคณฺหาติ อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส, มูลฎฺฐสฺส จ อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ วุตฺตํ น สิลิสฺสติ, มูลเฎฺฐน อาปชฺชิตพฺพาปตฺติทสฺสนาธิการตฺตา วธโก ปฎิคฺคณฺหาติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ วุตฺตํฯ
Dūtaparamparāniddese āṇāpeti, āpatti dukkaṭassa. Itarassa āroceti, āpatti dukkaṭassāti ācariyantevāsīnaṃ yathāsambhavaṃ ārocane, paṭiggaṇhane dukkaṭaṃ sandhāya vuttaṃ. Na vadhako paṭiggaṇhāti, tassa dukkaṭanti siddhaṃ hoti. Taṃ pana okāsābhāvato na vuttaṃ. Mūlaṭṭhena āpajjitabbāpattiyā hi tassa okāso aparicchinno, tenassa tasmiṃ okāse thullaccayaṃ vuttaṃ. Vadhako ce paṭiggaṇhāti, mūlaṭṭho ācariyo pubbe āpannadukkaṭena saha thullaccayampi āpajjati. Kasmā? Mahājano hi tena pāpe niyojitoti. Idaṃ pana dukkaṭathullaccayaṃ vadhako ce tamatthaṃ na sāveti āpajjati. Yadi sāveti, pārājikamevāpajjati. Kasmā? Atthasādhakacetanāya abhāvā. Anugaṇṭhipade pana ‘‘paṭiggaṇhati, taṃ dukkaṭaṃ hoti. Yadi evaṃ kasmā pāṭhe na vuttanti ce? Vadhako pana ‘sādhu karomī’ti paṭiggaṇhitvā taṃ na karoti. Evañhi niyame ‘mūlaṭṭhassa kiṃ nāma hoti, kimassa dukkaṭāpattī’ti sañjātakaṅkhānaṃ tadatthadīpanatthaṃ ‘mūlaṭṭhassa āpatti thullaccayassā’’’ti vuttaṃ. ‘‘Vadhako paṭiggaṇhāti āpatti dukkaṭassa, mūlaṭṭhassa ca āpatti thullaccayassā’’ti vuttaṃ na silissati, mūlaṭṭhena āpajjitabbāpattidassanādhikārattā vadhako paṭiggaṇhāti, āpatti dukkaṭassāti vuttaṃ.
วิสกฺกิยทูตปทนิเทฺทเส ‘‘วตฺตุกามตาย จ กิเจฺฉเนตฺถ วตฺวา ปโยชนํ นตฺถีติ ภควตา น วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ ยํ ปน ‘‘มูลฎฺฐเสฺสว ทุกฺกฎ’’นฺติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ ตตฺรายํ วิจารณา – อาจริเยน อาณเตฺตน พุทฺธรกฺขิเตน ตทเตฺถ สงฺฆรกฺขิตเสฺสว อาโรจิเต กิญฺจาปิ โย ‘‘สาธู’’ติ ปฎิคฺคณฺหาติ, อถ โข อาจริยเสฺสเวตํ ทุกฺกฎํ วิสเงฺกตตฺตา, น พุทฺธรกฺขิตสฺส, กสฺมา? อตฺถสาธกเจตนาย อาปนฺนตฺตาฯ เตเนว ‘‘อาณาปกสฺส จ วธกสฺส จ อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’’ติ ปาฬิยํ วุตฺตํ, ตํ ปน มูลเฎฺฐน อาปชฺชิตพฺพทุกฺกฎํ ‘‘มูลฎฺฐสฺส อนาปตฺตี’’ติ อิมินา อปริจฺฉิโนฺนกาสตฺตา น วุตฺตํฯ
Visakkiyadūtapadaniddese ‘‘vattukāmatāya ca kicchenettha vatvā payojanaṃ natthīti bhagavatā na vutta’’nti vuttaṃ. Yaṃ pana ‘‘mūlaṭṭhasseva dukkaṭa’’nti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Tatrāyaṃ vicāraṇā – ācariyena āṇattena buddharakkhitena tadatthe saṅgharakkhitasseva ārocite kiñcāpi yo ‘‘sādhū’’ti paṭiggaṇhāti, atha kho ācariyassevetaṃ dukkaṭaṃ visaṅketattā, na buddharakkhitassa, kasmā? Atthasādhakacetanāya āpannattā. Teneva ‘‘āṇāpakassa ca vadhakassa ca āpatti pārājikassā’’ti pāḷiyaṃ vuttaṃ, taṃ pana mūlaṭṭhena āpajjitabbadukkaṭaṃ ‘‘mūlaṭṭhassa anāpattī’’ti iminā aparicchinnokāsattā na vuttaṃ.
อวิสเงฺกเต ‘‘มูลฎฺฐสฺส อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ วุตฺตตฺตา วิสเงฺกเต อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ สิทฺธนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘วธโก ปฎิคฺคณฺหาติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ อิทํ ปน ทุกฺกฎํ วธกเสฺสวฯ โส หิ ปฐมํ อาณาปกํ พุทฺธรกฺขิตํ ปาราชิกาปตฺติํ ปาเปตฺวา สยํ ชีวิตา โวโรเปตฺวา อาปชฺชิสฺสตีติ กิญฺจาปิ ปาฬิยํ ‘‘โส ตํ ชีวิตา โวโรเปติ, อาณาปกสฺส จ วธกสฺส จ อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’’ติ น วุตฺตํ, ตถาปิ ตํ อตฺถโต วุตฺตเมว, ‘‘ยโต ปาราชิกํ ปญฺญตฺต’’นฺติ ปุเพฺพ วุตฺตนยตฺตา จ ตํ น วุตฺตํฯ ‘‘โส ตํ ชีวิตา โวโรเปติ, อาปตฺติ สเพฺพสํ ปาราชิกสฺสา’’ติ หิ ปุเพฺพ วุตฺตํฯ เอตฺถ ปุเพฺพ อาจริยเนฺตวาสิกานํ วุตฺตทุกฺกฎถุลฺลจฺจยาปตฺติโย ปฐมเมว อนาปนฺนา ปาราชิกาปตฺติยา อาปนฺนตฺตาฯ ตถาปิ วธกสฺส ปาราชิกาปตฺติยา เตสํ ปาราชิกภาโว ปากโฎ ชาโตติ กตฺวา ‘‘อาปตฺติ สเพฺพสํ ปาราชิกสฺสา’’ติ เอกโต วุตฺตํ, น ตถา ‘‘อาณาปกสฺส, วธกสฺส จ อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’’ติ เอตฺถฯ กสฺมา? วธกสฺส ทุกฺกฎาปตฺติยา อาปนฺนตฺตาฯ โส หิ ปฐมํ ทุกฺกฎาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา ปจฺฉา ปาราชิกํ อาปชฺชติฯ ยทิ ปน อเนฺตวาสิกา เกวลํ อาจริยสฺส ครุกตาย สาสนํ อาโรเจนฺติ สยํ อมรณาธิปฺปายา สมานา ปาราชิเกน อนาปตฺติฯ อกปฺปิยสาสนหรณปจฺจยา ทุกฺกฎาปตฺติ โหติ เอว, อิมสฺสตฺถสฺส สาธนตฺถํ ธมฺมปทวตฺถูหิ มิคลุทฺทกสฺส ภริยาย โสตาปนฺนาย ธนุอุสุสูลาทิทานํ นิทสฺสนํ วทนฺติ เอเกฯ ตํ ติตฺติรชาตเกน (ชา. ๑.๔.๗๓ อาทโย) สเมติ, ตสฺมา สุตฺตญฺจ อฎฺฐกถญฺจ อนุโลเมตีติ โน ตโกฺกติ อาจริโยฯ อิธ ปน ทูตปรมฺปราย จ ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส ปาวท, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ ปาวทตู’’ติ เอตฺถ อวิเสเสตฺวา วุตฺตตฺตา วาจาย วา อาโรเจตุ, หตฺถมุทฺทาย วา, ปเณฺณน วา, ทูเตน วา อาโรเจตุ, วิสเงฺกโต นตฺถิฯ สเจ วิเสเสตฺวา มูลโฎฺฐ, อนฺตราทูโต วา วทติ, ตทติกฺกเม วิสเงฺกโตติ เวทิตพฺพํฯ
Avisaṅkete ‘‘mūlaṭṭhassa āpatti thullaccayassā’’ti vuttattā visaṅkete āpatti dukkaṭassāti siddhanti veditabbaṃ. ‘‘Vadhako paṭiggaṇhāti, āpatti dukkaṭassā’’ti idaṃ pana dukkaṭaṃ vadhakasseva. So hi paṭhamaṃ āṇāpakaṃ buddharakkhitaṃ pārājikāpattiṃ pāpetvā sayaṃ jīvitā voropetvā āpajjissatīti kiñcāpi pāḷiyaṃ ‘‘so taṃ jīvitā voropeti, āṇāpakassa ca vadhakassa ca āpatti pārājikassā’’ti na vuttaṃ, tathāpi taṃ atthato vuttameva, ‘‘yato pārājikaṃ paññatta’’nti pubbe vuttanayattā ca taṃ na vuttaṃ. ‘‘So taṃ jīvitā voropeti, āpatti sabbesaṃ pārājikassā’’ti hi pubbe vuttaṃ. Ettha pubbe ācariyantevāsikānaṃ vuttadukkaṭathullaccayāpattiyo paṭhamameva anāpannā pārājikāpattiyā āpannattā. Tathāpi vadhakassa pārājikāpattiyā tesaṃ pārājikabhāvo pākaṭo jātoti katvā ‘‘āpatti sabbesaṃ pārājikassā’’ti ekato vuttaṃ, na tathā ‘‘āṇāpakassa, vadhakassa ca āpatti pārājikassā’’ti ettha. Kasmā? Vadhakassa dukkaṭāpattiyā āpannattā. So hi paṭhamaṃ dukkaṭāpattiṃ āpajjitvā pacchā pārājikaṃ āpajjati. Yadi pana antevāsikā kevalaṃ ācariyassa garukatāya sāsanaṃ ārocenti sayaṃ amaraṇādhippāyā samānā pārājikena anāpatti. Akappiyasāsanaharaṇapaccayā dukkaṭāpatti hoti eva, imassatthassa sādhanatthaṃ dhammapadavatthūhi migaluddakassa bhariyāya sotāpannāya dhanuususūlādidānaṃ nidassanaṃ vadanti eke. Taṃ tittirajātakena (jā. 1.4.73 ādayo) sameti, tasmā suttañca aṭṭhakathañca anulometīti no takkoti ācariyo. Idha pana dūtaparamparāya ca ‘‘itthannāmassa pāvada, itthannāmo itthannāmaṃ pāvadatū’’ti ettha avisesetvā vuttattā vācāya vā ārocetu, hatthamuddāya vā, paṇṇena vā, dūtena vā ārocetu, visaṅketo natthi. Sace visesetvā mūlaṭṭho, antarādūto vā vadati, tadatikkame visaṅketoti veditabbaṃ.
อิทานิ อิมสฺมิํเยว อธิการทฺวเย อนุคณฺฐิปเท วุตฺตนโย วุจฺจติ – ‘‘วธโก ปฎิคฺคณฺหาติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ วธกเสฺสว อาปตฺติ, น อาณาปกสฺส พุทฺธรกฺขิตสฺสฯ ยทิ ปน โส วชฺฌมรณามรเณสุ อวสฺสมญฺญตรํ กโรติ, พุทฺธรกฺขิตสฺสาณตฺติกฺขเณ เอว ปาราชิกทุกฺกเฎสุ อญฺญตรํ สิยาฯ ‘‘อิติ จิตฺตมโน’’ติ อธิการโต ‘‘จิตฺตสงฺกโปฺป’’ติ เอตฺถาปิ อิติ-สโทฺท วิย ‘‘วธโก ปฎิคฺคณฺหาติ, มูลฎฺฐสฺส อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ อธิการโต ‘‘มูลฎฺฐสฺส อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ วุตฺตเมว โหติฯ กสฺมา สรูเปน น วุตฺตนฺติ เจ? ตโต จุตฺตริ นยทานตฺถํฯ ‘‘มูลฎฺฐสฺส อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ หิ วุเตฺต มูลฎฺฐเสฺสว วเสน นิยมิตตฺตา ‘‘ปฎิคฺคณฺหนฺตสฺส ทุกฺกฎํ โหตี’’ติ น ญายติฯ ‘‘วธโก ปฎิคฺคณฺหาติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ หิ อนิยเมตฺวา วุเตฺต สกฺกา อุภเยสํ วเสน ทุกฺกเฎ โยเชตุํฯ ตสฺมา เอว หิ อฎฺฐกถาจริเยหิ อธิการํ คเหตฺวา ‘‘สงฺฆรกฺขิเตน สมฺปฎิจฺฉิเต มูลฎฺฐเสฺสว ทุกฺกฎนฺติ เวทิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ ปฎิคฺคณฺหนฺตสฺส เนว อนุญฺญาตํ, น ปฎิกฺขิตฺตํ, เกวลนฺตุ พุทฺธรกฺขิตสฺส อนิยมิตตฺตา ปฎิกฺขิตฺตํ, ตสฺส ปน ปาราชิกทุกฺกเฎสุ อญฺญตรํ ภเวยฺยาติ อยมโตฺถ ทีปิโต, ตสฺมา ตมฺปิ สุวุตฺตํฯ ยสฺมา อุภเยสํ วเสน โยเชตุํ สกฺกา, ตสฺมา อาจริเยหิ ‘‘ปฎิคฺคณฺหนฺตเสฺสเวตํ ทุกฺกฎ’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ มูลโฎฺฐ เนว อนุญฺญาโต ‘‘มูลฎฺฐสฺสา’’ติ วจนาภาวโต, น จ ปฎิกฺขิโตฺต ‘‘ปฎิคฺคณฺหนฺตสฺส อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ ปาฬิยา อภาวโต, ปฎิคฺคณฺหนปจฺจยา วธกสฺส ทุกฺกฎํ สิยาติ นยํ ทาตุํ ‘‘มูลฎฺฐสฺสา’’ติ ปาฬิยํ อวุตฺตตฺตา ‘‘ตํ ปฎิคฺคณฺหนฺตเสฺสเวตํ ทุกฺกฎ’’นฺติ ยํ วุตฺตํ, ตมฺปิ สุวุตฺตํฯ ตตฺร หิ พุทฺธรกฺขิตสฺส ปฎิกฺขิตฺตํ, วุตฺตนเยน ปน ตสฺส อาปตฺติ อนิยตาติฯ กสฺมา ปน อฎฺฐกถายํ อนุตฺตานํ ปฎิคฺคณฺหนปจฺจยา วธกสฺส ทุกฺกฎํ อวตฺวา มูลฎฺฐเสฺสว วเสน ทุกฺกฎํ วุตฺตนฺติ เจ? อนิฎฺฐนิวารณตฺถํฯ ‘‘สงฺฆรกฺขิเตน สมฺปฎิจฺฉิเต ปฎิคฺคณฺหนปจฺจยา ตสฺส ทุกฺกฎ’’นฺติ หิ วุเตฺต อนนฺตรนเยน สรูเปน วุตฺตตฺตา อิธาปิ มูลฎฺฐสฺส ถุลฺลจฺจยํ อฎฺฐกถายํ วุตฺตเมว โหตีติ อาปชฺชติฯ อิติ ตํ เอวํ อาปนฺนํ ถุลฺลจฺจยํ อุตฺตานนฺติ ตํ อวตฺวา ปฎิคฺคณฺหนฺตสฺส ทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ อนุตฺตานตฺตา อฎฺฐกถายนฺติ อิมํ อนิฎฺฐคฺคหณํ นิวาเรตุํ ‘‘มูลฎฺฐเสฺสเวตํ ทุกฺกฎ’’นฺติ วุตฺตํฯ อาจริเยน หิ วุตฺตนเยน ปฎิคฺคณฺหนฺตสฺส ทุกฺกฎมฺปิ อุตฺตานเมวฯ อุตฺตานญฺจ กสฺมา อมฺหากํ ขนฺตีติ วุตฺตนฺติ เจ? ปฎิปตฺติทีปนตฺถํฯ ‘‘ปิฎกตฺตยาทีสุ อปฺปฎิหตพุทฺธิโยปิ อาจริยา สรูเปน ปาฬิยํ อฎฺฐกถายญฺจ อวุตฺตตฺตา เอวรูเปสุ นาม ฐาเนสุ เอวํ ปฎิปชฺชนฺติ, กิมงฺคํ ปน มาทิโสติ สุหทยา กุลปุตฺตา อนาคเต วุตฺตนยมนติกฺกมิตฺวา สงฺกรโทสํ วิวเชฺชตฺวา วณฺณนาเวลญฺจ อนติกฺกมฺม ปฎิปชฺชนฺตี’’ติ จ อปเรหิ วุตฺตํฯ อยํ ปน อฎฺฐกถาย วา อวุตฺตตฺตา เอวรูเปสุ นาม ปาโฐ อาจริเยน ปจฺฉา นิกฺขิตฺตตฺตา เกสุจิ โปตฺถเกสุ น ทิสฺสตีติ กตฺวา สพฺพํ ลิขิสฺสามฯ เอวํ สเนฺต ปฎิคฺคหเณ อาปตฺติเยว น สิยา, สญฺจริตฺตปฎิคฺคหณมรณาภินนฺทเนสุปิ จ อาปตฺติ โหติ, มารณปฎิคฺคหเณ กถํ น สิยา, ตสฺมา ปฎิคฺคณฺหนฺตเสฺสเวตํ ทุกฺกฎํ, เตเนเวตฺถ ‘‘มูลฎฺฐสฺสา’’ติ น วุตฺตํฯ ปุริมนเยปิ เจตํ ปฎิคฺคณฺหนฺตสฺส เวทิตพฺพเมว, โอกาสาภาเวน ปน น วุตฺตํฯ ตสฺมา โย โย ปฎิคฺคณฺหาติ, ตสฺส ตสฺส ตปฺปจฺจยา อาปตฺติเยวาติ อยเมตฺถ อมฺหากํ ขนฺติฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ อทินฺนาทาเนปีติฯ
Idāni imasmiṃyeva adhikāradvaye anugaṇṭhipade vuttanayo vuccati – ‘‘vadhako paṭiggaṇhāti, āpatti dukkaṭassā’’ti vadhakasseva āpatti, na āṇāpakassa buddharakkhitassa. Yadi pana so vajjhamaraṇāmaraṇesu avassamaññataraṃ karoti, buddharakkhitassāṇattikkhaṇe eva pārājikadukkaṭesu aññataraṃ siyā. ‘‘Iti cittamano’’ti adhikārato ‘‘cittasaṅkappo’’ti etthāpi iti-saddo viya ‘‘vadhako paṭiggaṇhāti, mūlaṭṭhassa āpatti thullaccayassā’’ti adhikārato ‘‘mūlaṭṭhassa āpatti dukkaṭassā’’ti vuttameva hoti. Kasmā sarūpena na vuttanti ce? Tato cuttari nayadānatthaṃ. ‘‘Mūlaṭṭhassa āpatti dukkaṭassā’’ti hi vutte mūlaṭṭhasseva vasena niyamitattā ‘‘paṭiggaṇhantassa dukkaṭaṃ hotī’’ti na ñāyati. ‘‘Vadhako paṭiggaṇhāti, āpatti dukkaṭassā’’ti hi aniyametvā vutte sakkā ubhayesaṃ vasena dukkaṭe yojetuṃ. Tasmā eva hi aṭṭhakathācariyehi adhikāraṃ gahetvā ‘‘saṅgharakkhitena sampaṭicchite mūlaṭṭhasseva dukkaṭanti veditabba’’nti vuttaṃ. Paṭiggaṇhantassa neva anuññātaṃ, na paṭikkhittaṃ, kevalantu buddharakkhitassa aniyamitattā paṭikkhittaṃ, tassa pana pārājikadukkaṭesu aññataraṃ bhaveyyāti ayamattho dīpito, tasmā tampi suvuttaṃ. Yasmā ubhayesaṃ vasena yojetuṃ sakkā, tasmā ācariyehi ‘‘paṭiggaṇhantassevetaṃ dukkaṭa’’nti vuttaṃ. Tattha mūlaṭṭho neva anuññāto ‘‘mūlaṭṭhassā’’ti vacanābhāvato, na ca paṭikkhitto ‘‘paṭiggaṇhantassa āpatti dukkaṭassā’’ti pāḷiyā abhāvato, paṭiggaṇhanapaccayā vadhakassa dukkaṭaṃ siyāti nayaṃ dātuṃ ‘‘mūlaṭṭhassā’’ti pāḷiyaṃ avuttattā ‘‘taṃ paṭiggaṇhantassevetaṃ dukkaṭa’’nti yaṃ vuttaṃ, tampi suvuttaṃ. Tatra hi buddharakkhitassa paṭikkhittaṃ, vuttanayena pana tassa āpatti aniyatāti. Kasmā pana aṭṭhakathāyaṃ anuttānaṃ paṭiggaṇhanapaccayā vadhakassa dukkaṭaṃ avatvā mūlaṭṭhasseva vasena dukkaṭaṃ vuttanti ce? Aniṭṭhanivāraṇatthaṃ. ‘‘Saṅgharakkhitena sampaṭicchite paṭiggaṇhanapaccayā tassa dukkaṭa’’nti hi vutte anantaranayena sarūpena vuttattā idhāpi mūlaṭṭhassa thullaccayaṃ aṭṭhakathāyaṃ vuttameva hotīti āpajjati. Iti taṃ evaṃ āpannaṃ thullaccayaṃ uttānanti taṃ avatvā paṭiggaṇhantassa dukkaṭaṃ vuttaṃ. Anuttānattā aṭṭhakathāyanti imaṃ aniṭṭhaggahaṇaṃ nivāretuṃ ‘‘mūlaṭṭhassevetaṃ dukkaṭa’’nti vuttaṃ. Ācariyena hi vuttanayena paṭiggaṇhantassa dukkaṭampi uttānameva. Uttānañca kasmā amhākaṃ khantīti vuttanti ce? Paṭipattidīpanatthaṃ. ‘‘Piṭakattayādīsu appaṭihatabuddhiyopi ācariyā sarūpena pāḷiyaṃ aṭṭhakathāyañca avuttattā evarūpesu nāma ṭhānesu evaṃ paṭipajjanti, kimaṅgaṃ pana mādisoti suhadayā kulaputtā anāgate vuttanayamanatikkamitvā saṅkaradosaṃ vivajjetvā vaṇṇanāvelañca anatikkamma paṭipajjantī’’ti ca aparehi vuttaṃ. Ayaṃ pana aṭṭhakathāya vā avuttattā evarūpesu nāma pāṭho ācariyena pacchā nikkhittattā kesuci potthakesu na dissatīti katvā sabbaṃ likhissāma. Evaṃ sante paṭiggahaṇe āpattiyeva na siyā, sañcarittapaṭiggahaṇamaraṇābhinandanesupi ca āpatti hoti, māraṇapaṭiggahaṇe kathaṃ na siyā, tasmā paṭiggaṇhantassevetaṃ dukkaṭaṃ, tenevettha ‘‘mūlaṭṭhassā’’ti na vuttaṃ. Purimanayepi cetaṃ paṭiggaṇhantassa veditabbameva, okāsābhāvena pana na vuttaṃ. Tasmā yo yo paṭiggaṇhāti, tassa tassa tappaccayā āpattiyevāti ayamettha amhākaṃ khanti. Yathā cettha, evaṃ adinnādānepīti.
๑๗๕. อรโห รโหสญฺญีนิเทฺทสาทีสุ กิญฺจาปิ ปาฬิยํ, อฎฺฐกถายญฺจ ทุกฺกฎเมว วุตฺตํ, ตถาปิ ตตฺถ ปรมฺปราย สุตฺวา มรตูติ อธิปฺปาเยน อุลฺลปนฺตสฺส อุเทฺทเส สติ อุทฺทิฎฺฐสฺส มรเณน อาปตฺติ ปาราชิกสฺส, อสติ ยสฺส กสฺสจิ มรเณน อาปตฺติ ปาราชิกสฺสฯ ‘‘อิตฺถนฺนาโม สุตฺวา เม วชฺฌสฺส อาโรเจตู’’ติ อุทฺทิสิตฺวา อุลฺลปนฺตสฺส วิสเงฺกตตา ทูตปรมฺปราย วุตฺตตฺตา เวทิตพฺพาฯ สเจ ‘‘โย โกจิ สุตฺวา วทตู’’ติ อุลฺลปติ, วโชฺฌ สยเมว สุตฺวา มรติ, วิสเงฺกตตฺตา น ปาราชิกํฯ โย โกจิ สุตฺวา วทติ, โส เจ มรติ, ปาราชิกํฯ ‘‘โย โกจิ มม วจนํ สุตฺวา ตํ มาเรตู’’ติ อุลฺลปติ, โย โกจิ สุตฺวา มาเรติ, ปาราชิกํ, สยเมว สุตฺวา มาเรติ, วิสเงฺกตตฺตา น ปาราชิกนฺติ เอวํ ยถาสมฺภโว เวทิตโพฺพฯ
175.Araho rahosaññīniddesādīsu kiñcāpi pāḷiyaṃ, aṭṭhakathāyañca dukkaṭameva vuttaṃ, tathāpi tattha paramparāya sutvā maratūti adhippāyena ullapantassa uddese sati uddiṭṭhassa maraṇena āpatti pārājikassa, asati yassa kassaci maraṇena āpatti pārājikassa. ‘‘Itthannāmo sutvā me vajjhassa ārocetū’’ti uddisitvā ullapantassa visaṅketatā dūtaparamparāya vuttattā veditabbā. Sace ‘‘yo koci sutvā vadatū’’ti ullapati, vajjho sayameva sutvā marati, visaṅketattā na pārājikaṃ. Yo koci sutvā vadati, so ce marati, pārājikaṃ. ‘‘Yo koci mama vacanaṃ sutvā taṃ māretū’’ti ullapati, yo koci sutvā māreti, pārājikaṃ, sayameva sutvā māreti, visaṅketattā na pārājikanti evaṃ yathāsambhavo veditabbo.
๑๗๖. มูลํ ทตฺวา มุจฺจตีติ เอตฺถ ภินฺทิตฺวา, ภญฺชิตฺวา, จวิตฺวา, จุเณฺณตฺวา, อคฺคิมฺหิ ปกฺขิปิตฺวา วา ปเคว มุจฺจตีติ อตฺถโต วุตฺตเมว โหติฯ เยสํ หตฺถโต มูลํ คหิตนฺติ เยสํ ญาตกปริวาริตานํ หตฺถโต มูลํ เตน ภิกฺขุนา คหิตํ, โปตฺถกสามิกหตฺถโต ปุเพฺพ ทินฺนมูลํ ปุน คเหตฺวา เตสเญฺญว ญาตกาทีนํ ทตฺวา มุจฺจติ, เอวํ โปตฺถกสามิกเสฺสว สนฺตกํ ชาตํ โหติฯ อนุคณฺฐิปเท ปน ‘‘สเจปิ โส วิปฺปฎิสารี หุตฺวา สีฆํ เตสํ มูลํ ทตฺวา มุจฺจตี’’ติ วุตฺตํ, ตํ เยน ธเนน โปตฺถโก กีโต, ตญฺจ ธนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ กสฺมา? โปตฺถกสามิกหตฺถโต ธเน คหิเต โปตฺถเก อทิเนฺนปิ มุจฺจนโตฯ สเจ อญฺญํ ธนํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ยุตฺตํ โปตฺถกสฺส อตฺตนิยภาวโต อโมจิตตฺตาฯ สเจ โปตฺถกํ สามิกานํ ทตฺวา มูลํ น คณฺหาติ, น มุจฺจติ อตฺตนิยภาวโต อโมจิตตฺตาฯ สเจ โปตฺถกํ มูลเฎฺฐน ทิยฺยมานํ ‘‘ตเวว โหตู’’ติ อเปฺปติ, มุจฺจติ อตฺตนิยภาวโต โมจิตตฺตาฯ เอตฺถายํ วิจารณา – ยถา เจติยํ วา ปฎิมํ โปกฺขรณิํ เสตุํ วา กิณิตฺวา คหิตมฺปิ การกเสฺสเวตํ ปุญฺญํ, น กิณิตฺวา คหิตสฺส, ตถา ปาปมฺปิ เยน โปตฺถโก ลิขิโต, ตเสฺสว ยุชฺชติ, น อิตรสฺสาติ เจ? น, ‘‘สตฺถหารกํ วาสฺส ปริเยเสยฺยา’’ติ วจนโตฯ ปเรน หิ กตสตฺถํ ลภิตฺวา อุปนิกฺขิปนฺตสฺส ปาราชิกนฺติ สิทฺธํฯ เอวํ ปเรน ลิขิตมฺปิ โปตฺถกํ ลภิตฺวา ยถา วโชฺฌ ตํ ปสฺสิตฺวา มรติ, ตถา อุปนิกฺขิเปยฺย ปาราชิกนฺติ สิทฺธํ โหตีติฯ เจติยาทีติ เอตมนิทสฺสนํ กรณปจฺจยํ หิ ตํ กมฺมํ อิทํมรณปจฺจยนฺติ เอวํ อาจริเยน วิจาริตํฯ มม ปน เจติยาทินิทสฺสเนเนว โสปิ อโตฺถ สาเธตโพฺพ วิย ปฎิภาติฯ
176.Mūlaṃ datvā muccatīti ettha bhinditvā, bhañjitvā, cavitvā, cuṇṇetvā, aggimhi pakkhipitvā vā pageva muccatīti atthato vuttameva hoti. Yesaṃ hatthato mūlaṃ gahitanti yesaṃ ñātakaparivāritānaṃ hatthato mūlaṃ tena bhikkhunā gahitaṃ, potthakasāmikahatthato pubbe dinnamūlaṃ puna gahetvā tesaññeva ñātakādīnaṃ datvā muccati, evaṃ potthakasāmikasseva santakaṃ jātaṃ hoti. Anugaṇṭhipade pana ‘‘sacepi so vippaṭisārī hutvā sīghaṃ tesaṃ mūlaṃ datvā muccatī’’ti vuttaṃ, taṃ yena dhanena potthako kīto, tañca dhanaṃ sandhāya vuttaṃ. Kasmā? Potthakasāmikahatthato dhane gahite potthake adinnepi muccanato. Sace aññaṃ dhanaṃ sandhāya vuttaṃ, na yuttaṃ potthakassa attaniyabhāvato amocitattā. Sace potthakaṃ sāmikānaṃ datvā mūlaṃ na gaṇhāti, na muccati attaniyabhāvato amocitattā. Sace potthakaṃ mūlaṭṭhena diyyamānaṃ ‘‘taveva hotū’’ti appeti, muccati attaniyabhāvato mocitattā. Etthāyaṃ vicāraṇā – yathā cetiyaṃ vā paṭimaṃ pokkharaṇiṃ setuṃ vā kiṇitvā gahitampi kārakassevetaṃ puññaṃ, na kiṇitvā gahitassa, tathā pāpampi yena potthako likhito, tasseva yujjati, na itarassāti ce? Na, ‘‘satthahārakaṃ vāssa pariyeseyyā’’ti vacanato. Parena hi katasatthaṃ labhitvā upanikkhipantassa pārājikanti siddhaṃ. Evaṃ parena likhitampi potthakaṃ labhitvā yathā vajjho taṃ passitvā marati, tathā upanikkhipeyya pārājikanti siddhaṃ hotīti. Cetiyādīti etamanidassanaṃ karaṇapaccayaṃ hi taṃ kammaṃ idaṃmaraṇapaccayanti evaṃ ācariyena vicāritaṃ. Mama pana cetiyādinidassaneneva sopi attho sādhetabbo viya paṭibhāti.
ตตฺตกา ปาณาติปาตาติ ‘‘เอกาปิ เจตนา กิจฺจวเสน ‘ตตฺตกา’ติ วุตฺตา สติปฎฺฐานสมฺมปฺปธานานํ จตุกฺกตา วิยา’’ติ ลิขิตํฯ ปมาเณ ฐเปตฺวาติ อตฺตนา อธิเปฺปตปฺปมาเณฯ ‘‘กตํ มยา เอวรูเป อาวาเฎ ขณิเต ตสฺมิํ ปติตฺวา มรตู’’ติ อธิปฺปาเยน วธโก อาวาฎปฺปมาณํ นิยเมตฺวา สเจ ขณิ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อิมสฺมิํ อาวาเฎ’’ติฯ อิทานิ ขณิตพฺพํ สนฺธาย เอตฺตกปฺปมาณสฺส อนิยมิตตฺตา ‘‘เอกสฺมิมฺปิ กุทาลปฺปหาเร’’ติอาทิ วุตฺตํ, สุตฺตนฺติกเตฺถเรหิ กิญฺจาปิ อุปฐตํ, ตถาปิ สนฺนิฎฺฐาปกเจตนา อุภยตฺถ อเตฺถวาติ อาจริยาฯ พหูนํ มรเณ อารมฺมณนิยเม กถนฺติ เจ? วเชฺฌสุ เอกสฺส ชีวิตินฺทฺริเย อาลมฺพิเต สเพฺพสมาลมฺพิตเมว โหติฯ เอกสฺส มรเณปิ น ตสฺส สกลํ ชีวิตํ สกฺกา อาลมฺพิตุํ น อุปฺปชฺชมานํ, อุปฺปนฺนํ, นิรุชฺฌมานํ, อตฺถิตายปาณาติปาตเจตนาว ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณา, ปุเรชาตารมฺมณา จ โหติ, ตสฺมา ตมฺปิ ยุชฺชติฯ ปจฺฉิมโกฎิยา เอกจิตฺตกฺขเณ ปุเรชาตํ หุตฺวา ฐิตํ ตํ ชีวิตมาลมฺพณํ กตฺวา สตฺตมชวนปริยาปนฺนเจตนาย โอปกฺกเม กเต อตฺถโต ตสฺส สตฺตสฺส สพฺพํ ชีวิตินฺทฺริยมาลมฺพิตํ, โวโรปิตญฺจ โหติ, อิโต ปนญฺญถา น สกฺกา; เอวเมว ปุพฺพภาเค ‘‘พหูปิสเตฺต มาเรมี’’ติ จิเนฺตตฺวา สนฺนิฎฺฐานกาเล วิสปกฺขิปนาทีสุ เอกํ ปโยคํ สาธยมานา วุตฺตปฺปการเจตนา เตสุ เอกสฺส วุตฺตปฺปการํ ชีวิตินฺทฺริยํ อาลมฺพณํ กตฺวา อุปฺปชฺชติ, เอวํ อุปฺปนฺนาย ปเนกาย สเพฺพปิ เต มาริตา โหนฺติ ตาย เอว สเพฺพสํ มรณสิทฺธิโต, อญฺญถา น สกฺกา โวโรเปตุํ, อาลมฺพิตุํ วาฯ ตตฺถ เอกาย เจตนาย พหูนํ มรเณ อกุสลราสิ กถนฺติ เจ? วิสุํ วิสุํ มรเณ ปวตฺตเจตนานํ กิจฺจกรณโตฯ กถํ? ตา ปน สพฺพา อุปปชฺชเวทนียาว โหนฺติ, ตสฺมา ตาสุ ยาย กายจิ ทินฺนาย ปฎิสนฺธิยา อิตรา สพฺพาปิ ‘‘ตโต พลวตรกุสลปฎิพาหิตา อโหสิกมฺม’’นฺติอาทิโกฎฺฐาสํ ภชนฺติ, ปุนปิ วิปากํ ชนิตุํ น สโกฺกนฺติฯ อปราปริยเวทนียาปิ วิย ตํ ปฎิพาหิตฺวา กุสลเจตนา ปฎิสนฺธิํ เทติ, ตถา อยมฺปิ เจตนา อนนฺตรภเว เอว ปฎิสนฺธิทานาทิวเสน ตาสํ กิจฺจเลสกรณโต เอกาปิ สมานา ‘‘ราสี’’ติ วุตฺตาฯ ตาย ปน ทินฺนาย ปฎิสนฺธิยา อติติโกฺข วิปาโก โหติฯ อยเมตฺถ วิเสโสติอาทิ อนุคณฺฐิปเท ปปญฺจิตํฯ
Tattakā pāṇātipātāti ‘‘ekāpi cetanā kiccavasena ‘tattakā’ti vuttā satipaṭṭhānasammappadhānānaṃ catukkatā viyā’’ti likhitaṃ. Pamāṇe ṭhapetvāti attanā adhippetappamāṇe. ‘‘Kataṃ mayā evarūpe āvāṭe khaṇite tasmiṃ patitvā maratū’’ti adhippāyena vadhako āvāṭappamāṇaṃ niyametvā sace khaṇi, taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘imasmiṃ āvāṭe’’ti. Idāni khaṇitabbaṃ sandhāya ettakappamāṇassa aniyamitattā ‘‘ekasmimpi kudālappahāre’’tiādi vuttaṃ, suttantikattherehi kiñcāpi upaṭhataṃ, tathāpi sanniṭṭhāpakacetanā ubhayattha atthevāti ācariyā. Bahūnaṃ maraṇe ārammaṇaniyame kathanti ce? Vajjhesu ekassa jīvitindriye ālambite sabbesamālambitameva hoti. Ekassa maraṇepi na tassa sakalaṃ jīvitaṃ sakkā ālambituṃ na uppajjamānaṃ, uppannaṃ, nirujjhamānaṃ, atthitāyapāṇātipātacetanāva paccuppannārammaṇā, purejātārammaṇā ca hoti, tasmā tampi yujjati. Pacchimakoṭiyā ekacittakkhaṇe purejātaṃ hutvā ṭhitaṃ taṃ jīvitamālambaṇaṃ katvā sattamajavanapariyāpannacetanāya opakkame kate atthato tassa sattassa sabbaṃ jīvitindriyamālambitaṃ, voropitañca hoti, ito panaññathā na sakkā; evameva pubbabhāge ‘‘bahūpisatte māremī’’ti cintetvā sanniṭṭhānakāle visapakkhipanādīsu ekaṃ payogaṃ sādhayamānā vuttappakāracetanā tesu ekassa vuttappakāraṃ jīvitindriyaṃ ālambaṇaṃ katvā uppajjati, evaṃ uppannāya panekāya sabbepi te māritā honti tāya eva sabbesaṃ maraṇasiddhito, aññathā na sakkā voropetuṃ, ālambituṃ vā. Tattha ekāya cetanāya bahūnaṃ maraṇe akusalarāsi kathanti ce? Visuṃ visuṃ maraṇe pavattacetanānaṃ kiccakaraṇato. Kathaṃ? Tā pana sabbā upapajjavedanīyāva honti, tasmā tāsu yāya kāyaci dinnāya paṭisandhiyā itarā sabbāpi ‘‘tato balavatarakusalapaṭibāhitā ahosikamma’’ntiādikoṭṭhāsaṃ bhajanti, punapi vipākaṃ janituṃ na sakkonti. Aparāpariyavedanīyāpi viya taṃ paṭibāhitvā kusalacetanā paṭisandhiṃ deti, tathā ayampi cetanā anantarabhave eva paṭisandhidānādivasena tāsaṃ kiccalesakaraṇato ekāpi samānā ‘‘rāsī’’ti vuttā. Tāya pana dinnāya paṭisandhiyā atitikkho vipāko hoti. Ayamettha visesotiādi anugaṇṭhipade papañcitaṃ.
อมริตุกามา วาติ อธิปฺปายตฺตา โอปปาติกมรเณปิ อาปตฺติฯ ‘‘‘นิพฺพตฺติตฺวา’ติ วุตฺตตฺตา ปตนํ น ทิสฺสตีติ เจ? โอปปาติกตฺตํ, ปตนญฺจ เอกเมวา’’ติ ลิขิตํฯ อถ วา ‘‘สพฺพถาปิ อนุทฺทิเสฺสวา’’ติ วจนโต เอตฺถ มรตูติ อธิปฺปายสมฺภวโต ‘‘อุตฺตริตุํ อสโกฺกโนฺต มรติ ปาราชิกเมวา’’ติ สุวุตฺตํฯ สเจ ‘‘ปติตฺวา มรตู’’ติ นิยเมตฺวา ขณิโต โหติ, โอปปาติกมนุโสฺส จ นิพฺพตฺติตฺวา ฐิตนิยเมเนว ‘‘อุตฺตริตุํ น สกฺกา’’ติ จิเนฺตตฺวา มรตีติ ปาราชิกจฺฉายา น ทิสฺสติ, เตน วุตฺตํ ‘‘อุตฺตริตุํ อสโกฺกโนฺต’’ติฯ โส หิ อุตฺตริตุํ อสโกฺกโนฺต ปุนปฺปุนํ ปติตฺวา มรติ, เตน ปาโตปิ ตสฺส สิโทฺธ โหตีติ อธิปฺปาโยฯ ตตฺถ สิยา – โย ปน ‘‘อุตฺตริตุํ อสโกฺกโนฺต มรตี’’ติ วุโตฺต, โส โอปาตขณนกฺขเณ อรูปโลเก ชีวติฯ วธกเจตนา จ ‘‘อนิยโต ธโมฺม มิจฺฉตฺตนิยตสฺส ธมฺมสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย, รูปชีวิตินฺทฺริยํ มาตุฆาติกมฺมสฺส ปิตุฆาติกมฺมสฺส อรหนฺตฆาติกมฺมสฺส รุหิรุปฺปาทกมฺมสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๑๕.๓๘ มิจฺฉตฺตนิยตตฺติก) วจนโต รูปชีวิตินฺทฺริยารมฺมณํ โหติ, น จ ตํ อรูปาวจรสตฺตสฺสตฺถิ, น จ สา เจตนา ‘‘อนิยโต ธโมฺม มิจฺฉตฺตนิยตสฺส ธมฺมสฺส ปุเรชาตปจฺจเยน ปจฺจโย, อารมฺมณปุเรชาตํ วตฺถุปุเรชาตํ อารมฺมณปุเรชาตํฯ รูปชีวิตินฺทฺริยํ มาตุฆาติกมฺมสฺส ปุเรชาตปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๑๕.๔๘ มิจฺฉตฺตนิยตตฺติก) วจนโต อนาคตารมฺมณา โหติฯ อโญฺญ อิธ ปติตฺวา มรณกสโตฺต นตฺถิ, เอวํ สเนฺต วธกเจตนาย กิํ อารมฺมณนฺติ เจ? ยสฺส กสฺสจิ อิธ ชีวนกสตฺตสฺส ปจฺจุปฺปนฺนํ ชีวิตินฺทฺริยํ อารมฺมณํฯ กิญฺจาปิ โส น มรติ, อถ โข ปาณาติปาโต โหติ เอวฯ ยถา กิํ ‘‘ยถากฺกเมน ฐิเต สตฺต ชเน เอเกน กเณฺฑน วิชฺฌิตฺวา มาเรมี’’ติ ปุพฺพภาเค จิเนฺตตฺวา สนฺนิฎฺฐานกาเล เตสุ เอกสฺส ชีวิตมารมฺมณํ กตฺวา กณฺฑํ วิสฺสเชฺชติ, กโณฺฑ ตํ วิรชฺฌิตฺวา อิตเร ฉ ชเน มาเรติ, เอวํ สเนฺตปิ อยํ ปาณาติปาตี เอว โหติ, เอวมิธาปิ ‘‘โย โกจี’’ติ วิกเปฺปนฺตสฺส วธกเจตนา ยสฺส กสฺสจิ ชีวิตารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตติ, ตสฺมิํ อมเตปิ อิตรสฺส วเสน ปาณาติปาตีฯ สเจ อรหา หุตฺวา ปรินิพฺพายติ, อรหนฺตฆาตโกว โหติฯ เอส นโย สพฺพตฺถ เอวรูเปสุฯ อยเมว เหตฺถ อาจริยปรมฺปราคตา ยุตฺติ วินิจฺฉยกถาติ วุตฺตํฯ
Amaritukāmā vāti adhippāyattā opapātikamaraṇepi āpatti. ‘‘‘Nibbattitvā’ti vuttattā patanaṃ na dissatīti ce? Opapātikattaṃ, patanañca ekamevā’’ti likhitaṃ. Atha vā ‘‘sabbathāpi anuddissevā’’ti vacanato ettha maratūti adhippāyasambhavato ‘‘uttarituṃ asakkonto marati pārājikamevā’’ti suvuttaṃ. Sace ‘‘patitvā maratū’’ti niyametvā khaṇito hoti, opapātikamanusso ca nibbattitvā ṭhitaniyameneva ‘‘uttarituṃ na sakkā’’ti cintetvā maratīti pārājikacchāyā na dissati, tena vuttaṃ ‘‘uttarituṃ asakkonto’’ti. So hi uttarituṃ asakkonto punappunaṃ patitvā marati, tena pātopi tassa siddho hotīti adhippāyo. Tattha siyā – yo pana ‘‘uttarituṃ asakkonto maratī’’ti vutto, so opātakhaṇanakkhaṇe arūpaloke jīvati. Vadhakacetanā ca ‘‘aniyato dhammo micchattaniyatassa dhammassa ārammaṇapaccayena paccayo, rūpajīvitindriyaṃ mātughātikammassa pitughātikammassa arahantaghātikammassa ruhiruppādakammassa ārammaṇapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 2.15.38 micchattaniyatattika) vacanato rūpajīvitindriyārammaṇaṃ hoti, na ca taṃ arūpāvacarasattassatthi, na ca sā cetanā ‘‘aniyato dhammo micchattaniyatassa dhammassa purejātapaccayena paccayo, ārammaṇapurejātaṃ vatthupurejātaṃ ārammaṇapurejātaṃ. Rūpajīvitindriyaṃ mātughātikammassa purejātapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 2.15.48 micchattaniyatattika) vacanato anāgatārammaṇā hoti. Añño idha patitvā maraṇakasatto natthi, evaṃ sante vadhakacetanāya kiṃ ārammaṇanti ce? Yassa kassaci idha jīvanakasattassa paccuppannaṃ jīvitindriyaṃ ārammaṇaṃ. Kiñcāpi so na marati, atha kho pāṇātipāto hoti eva. Yathā kiṃ ‘‘yathākkamena ṭhite satta jane ekena kaṇḍena vijjhitvā māremī’’ti pubbabhāge cintetvā sanniṭṭhānakāle tesu ekassa jīvitamārammaṇaṃ katvā kaṇḍaṃ vissajjeti, kaṇḍo taṃ virajjhitvā itare cha jane māreti, evaṃ santepi ayaṃ pāṇātipātī eva hoti, evamidhāpi ‘‘yo kocī’’ti vikappentassa vadhakacetanā yassa kassaci jīvitārammaṇaṃ katvā pavattati, tasmiṃ amatepi itarassa vasena pāṇātipātī. Sace arahā hutvā parinibbāyati, arahantaghātakova hoti. Esa nayo sabbattha evarūpesu. Ayameva hettha ācariyaparamparāgatā yutti vinicchayakathāti vuttaṃ.
ปตนรูปํ ปมาณนฺติ เอตฺถ ยถา มาตุยา ปติตฺวา ปริวตฺตลิงฺคาย มตาย โส มาตุฆาตโก โหติ, น เกวลํ ปุริสฆาตโก, ตสฺมา ปตนเสฺสว วเสน อาปตฺติฯ กสฺมา? ปตนรูปมรณรูปานํ เอกสนฺตานตฺตา, ตเทว หิสฺส ชีวิตินฺทฺริยํ, ตสฺส หิ ปริวตฺตนํ นตฺถิ, อิตฺถิปุริสินฺทฺริยาเนว ปวตฺติยํ นิรุชฺฌนุปฺปชฺชนกานิ, อิตฺถิปุริโสติ จ ตตฺถ โวหารมตฺตเมว, ตสฺมา มาตุฆาตโกว, น ปุริสฆาตโกติ, ยถา ตสฺส ปตนรูปวเสนาปตฺติ, ตถา อิธาปิ ปตนรูปวเสน ถุลฺลจฺจยํ เอกสนฺตานตฺตาติ อยํ ปฐมเถรวาเท ยุตฺติฯ ทุติเย กิญฺจาปิ เปโต ปติโต, ยโกฺข จ, อถ โข อเหตุกปฎิสนฺธิกตฺตา อกุสลวิปากสฺส ‘‘วาเมน สูกโร โหตี’’ติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒๙๖; มหานิ. อฎฺฐ. ๑๖๖) เอตฺถ วุตฺตยกฺขานํ ปฎิสนฺธิ วิย สพฺพรูปานํ สาธารณตฺตา, อมนุสฺสชาติกตฺตา จ ติรจฺฉานรูเปน มเต มรณรูปวเสน ปาจิตฺติยํ, วตฺถุวเสน ลหุกาปตฺติยา ปริวตฺตนา โหติ เอว ตตฺถชาตกรุกฺขาทิเฉทนปาจิตฺติยปริวตฺตนํ วิยฯ อยเมว ยุตฺตตโร, ตสฺมา ปจฺฉา วุโตฺตฯ ปาราชิกสฺส ปน มนุสฺสชาติโก ยถา ตถา วา ปติตฺวา ยถา ตถา วา มรตุ, ปาราชิกเมว ครุกตฺตาฯ ครุกาปตฺติยา หิ วิปริวตฺตนา นตฺถีติ วุตฺตํฯ
Patanarūpaṃ pamāṇanti ettha yathā mātuyā patitvā parivattaliṅgāya matāya so mātughātako hoti, na kevalaṃ purisaghātako, tasmā patanasseva vasena āpatti. Kasmā? Patanarūpamaraṇarūpānaṃ ekasantānattā, tadeva hissa jīvitindriyaṃ, tassa hi parivattanaṃ natthi, itthipurisindriyāneva pavattiyaṃ nirujjhanuppajjanakāni, itthipurisoti ca tattha vohāramattameva, tasmā mātughātakova, na purisaghātakoti, yathā tassa patanarūpavasenāpatti, tathā idhāpi patanarūpavasena thullaccayaṃ ekasantānattāti ayaṃ paṭhamatheravāde yutti. Dutiye kiñcāpi peto patito, yakkho ca, atha kho ahetukapaṭisandhikattā akusalavipākassa ‘‘vāmena sūkaro hotī’’ti (dī. ni. aṭṭha. 2.296; mahāni. aṭṭha. 166) ettha vuttayakkhānaṃ paṭisandhi viya sabbarūpānaṃ sādhāraṇattā, amanussajātikattā ca tiracchānarūpena mate maraṇarūpavasena pācittiyaṃ, vatthuvasena lahukāpattiyā parivattanā hoti eva tatthajātakarukkhādichedanapācittiyaparivattanaṃ viya. Ayameva yuttataro, tasmā pacchā vutto. Pārājikassa pana manussajātiko yathā tathā vā patitvā yathā tathā vā maratu, pārājikameva garukattā. Garukāpattiyā hi viparivattanā natthīti vuttaṃ.
ถุลฺลจฺจยํ ติรจฺฉาเน, มเต เภทสฺส การณํ;
Thullaccayaṃ tiracchāne, mate bhedassa kāraṇaṃ;
สรูปมรณํ ติโสฺส, ผุโสฺส มเญฺญติ อญฺญถาฯ
Sarūpamaraṇaṃ tisso, phusso maññeti aññathā.
คณฺฐิปเท ปน ‘‘ทุติยวาเท ปุถุชฺชนสฺส ปติตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา มรนฺตสฺส วเสน วุโตฺต’’ติ ลิขิตํฯ ‘‘ติรจฺฉาเน’’ติ เอตฺถ เกจิ วทนฺติ ‘‘เทวา อธิเปฺปตา’’ติฯ ‘‘สกสกรูเปเนว มรณํ ภวติ นาญฺญถา’’ติ จ วทนฺติฯ ยกฺขเปตรูเปน มเตปิ เอเสว นโยติ ถุลฺลจฺจยนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ติรจฺฉานคตมนุสฺสวิคฺคหมรเณ วิยา’’ติ ลิขิตํฯ ปหารํ ลทฺธาติ สตฺตานํ มารณตฺถาย กตตฺตา วุตฺตํฯ
Gaṇṭhipade pana ‘‘dutiyavāde puthujjanassa patitvā arahattaṃ patvā marantassa vasena vutto’’ti likhitaṃ. ‘‘Tiracchāne’’ti ettha keci vadanti ‘‘devā adhippetā’’ti. ‘‘Sakasakarūpeneva maraṇaṃ bhavati nāññathā’’ti ca vadanti. Yakkhapetarūpena matepi eseva nayoti thullaccayanti attho. ‘‘Tiracchānagatamanussaviggahamaraṇe viyā’’ti likhitaṃ. Pahāraṃ laddhāti sattānaṃ māraṇatthāya katattā vuttaṃ.
๑๗๗. สาธุ สุฎฺฐุ มรตูติ วจีเภทํ กโรติฯ วิสภาคโรโคติ สรีรโฎฺฐ คณฺฑปีฬกาทิฯ
177.Sādhu suṭṭhu maratūti vacībhedaṃ karoti. Visabhāgarogoti sarīraṭṭho gaṇḍapīḷakādi.
๑๗๘. กาฬานุสารีติ เอกิสฺสา ลตาย มูลํ กิรฯ มหากจฺฉเปน กตปุปฺผํ วาฯ หํสปุปฺผนฺติ หํสานํ ปกฺขปตฺตํฯ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน สาหตฺถิกาณตฺติกนยเญฺหตฺถ โยเชตฺวา กายวาจาจิตฺตโต สมุฎฺฐานวิธิ ทเสฺสตโพฺพฯ
178.Kāḷānusārīti ekissā latāya mūlaṃ kira. Mahākacchapena katapupphaṃ vā. Haṃsapupphanti haṃsānaṃ pakkhapattaṃ. Heṭṭhā vuttanayena sāhatthikāṇattikanayañhettha yojetvā kāyavācācittato samuṭṭhānavidhi dassetabbo.
ปทภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Padabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๓. ตติยปาราชิกํ • 3. Tatiyapārājikaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๓. ตติยปาราชิกํ • 3. Tatiyapārājikaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā
ปทภาชนียวณฺณนา • Padabhājanīyavaṇṇanā
ทูตกถาวณฺณนา • Dūtakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ปทภาชนียวณฺณนา • Padabhājanīyavaṇṇanā