Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā

    ปทภาชนียวณฺณนา

    Padabhājanīyavaṇṇanā

    โย วิย ทิสฺสตีติ ยาทิโส, ยํ-สทฺทเตฺถ ยถา-สโทฺท วตฺตตีติ อาห ‘‘เยน วา เตน วา ยุโตฺต’’ติฯ เยน เตนาติ หิ ปททฺวเยน อนิยมโต ยํ-สทฺทโตฺถว ทสฺสิโตฯ วาสธุรยุโตฺตติ วิปสฺสนาธุรยุโตฺตฯ ยา ชาติ อสฺสาติ ยํชาติ, ปุคฺคโล, โสว ยํชโจฺจ สกเตฺถ ยปจฺจยํ กตฺวาฯ โคตฺตวเสน เยน วา เตน วา โคเตฺตน ยถาโคโตฺต วา ตถาโคโตฺต วา โหตูติ สมฺพโนฺธฯ สีเลสูติ ปกตีสุฯ อถ โขติ อิทํ กินฺตูติ อิมสฺมิํ อเตฺถฯ กิํ วุตฺตํ โหตีติ อโตฺถฯ อิมสฺมิํ อเตฺถติ อิมสฺมิํ ปาราชิกวิสเยฯ เอโสติ ยถาวุเตฺตหิ ปกาเรหิ ยุโตฺตฯ อริยายาติ ‘‘อุทฺทิสฺส อริยา ติฎฺฐนฺติ, เอสา อริยานํ ยาจนา’’ติ เอวํ วุตฺตาย, น, ‘‘เทหิ เม’’ติ กปณายฯ ลิงฺคสมฺปฎิจฺฉเนนาติ ‘‘ภิกฺขํ จริสฺสามี’’ติ จิตฺตาภาเวปิ ภิกฺขาหารนิสฺสิตปพฺพชฺชาลิงฺคสฺส สมฺปฎิจฺฉเนนฯ กาชภตฺตนฺติ กาเชหิ อานีตภตฺตํฯ อธมฺมิกายาติ อธิสีลสิกฺขาทิภิกฺขุคุณาภาวโต วุตฺตํ, เตนาห ‘‘อภูตายา’’ติฯ ‘‘มยํ ภิกฺขู’’ติ วทนฺตา ปฎิญฺญามเตฺตเนว ภิกฺขู, น อตฺถโตติ อโตฺถฯ อิทญฺจ ‘‘มยํ ภิกฺขู’’ติ ปฎิชานนสฺสาปิ สมฺภวโต วุตฺตํฯ ‘‘มยํ ภิกฺขู’’ติ อปฺปฎิชานนฺตาปิ หิ ภิกฺขุโวหารนิมิตฺตสฺส ลิงฺคสฺส คหเณน เจว ภิกฺขูนํ ทินฺนปจฺจยภาคคฺคหณาทินา จ ภิกฺขุปฎิญฺญา เอว นาม โหนฺติฯ ตถา หิ วุตฺตํ ปุคฺคลปญฺญตฺติอฎฺฐกถายํ

    Yo viya dissatīti yādiso, yaṃ-saddatthe yathā-saddo vattatīti āha ‘‘yena vā tena vā yutto’’ti. Yena tenāti hi padadvayena aniyamato yaṃ-saddatthova dassito. Vāsadhurayuttoti vipassanādhurayutto. Yā jāti assāti yaṃjāti, puggalo, sova yaṃjacco sakatthe yapaccayaṃ katvā. Gottavasena yena vā tena vā gottena yathāgotto vā tathāgotto vā hotūti sambandho. Sīlesūti pakatīsu. Atha khoti idaṃ kintūti imasmiṃ atthe. Kiṃ vuttaṃ hotīti attho. Imasmiṃ attheti imasmiṃ pārājikavisaye. Esoti yathāvuttehi pakārehi yutto. Ariyāyāti ‘‘uddissa ariyā tiṭṭhanti, esā ariyānaṃ yācanā’’ti evaṃ vuttāya, na, ‘‘dehi me’’ti kapaṇāya. Liṅgasampaṭicchanenāti ‘‘bhikkhaṃ carissāmī’’ti cittābhāvepi bhikkhāhāranissitapabbajjāliṅgassa sampaṭicchanena. Kājabhattanti kājehi ānītabhattaṃ. Adhammikāyāti adhisīlasikkhādibhikkhuguṇābhāvato vuttaṃ, tenāha ‘‘abhūtāyā’’ti. ‘‘Mayaṃ bhikkhū’’ti vadantā paṭiññāmatteneva bhikkhū, na atthatoti attho. Idañca ‘‘mayaṃ bhikkhū’’ti paṭijānanassāpi sambhavato vuttaṃ. ‘‘Mayaṃ bhikkhū’’ti appaṭijānantāpi hi bhikkhuvohāranimittassa liṅgassa gahaṇena ceva bhikkhūnaṃ dinnapaccayabhāgaggahaṇādinā ca bhikkhupaṭiññā eva nāma honti. Tathā hi vuttaṃ puggalapaññattiaṭṭhakathāyaṃ

    ‘‘‘อพฺรหฺมจารี พฺรหฺมจาริปฎิโญฺญ’ติ อเญฺญ พฺรหฺมจาริโน สุนิวเตฺถ สุปารุเต สุมฺภกปตฺตธเร คามนิคมชนปทราชธานีสุ ปิณฺฑาย จริตฺวา ชีวิกํ กเปฺปเนฺต ทิสฺวา สยมฺปิ ตาทิเสน อากาเรน ตถา ปฎิปชฺชนโต ‘อหํ พฺรหฺมจารี’ติ ปฎิญฺญํ เทโนฺต วิย โหติฯ ‘อหํ ภิกฺขู’ติ วตฺวา อุโปสถคฺคาทีนิ ปวิสโนฺต ปน พฺรหฺมจาริปฎิโญฺญ โหติเยว, ตถา สงฺฆิกํ ลาภํ คณฺหโนฺต’’ติ (ปุ. ป. อฎฺฐ. ๙๑)ฯ

    ‘‘‘Abrahmacārī brahmacāripaṭiñño’ti aññe brahmacārino sunivatthe supārute sumbhakapattadhare gāmanigamajanapadarājadhānīsu piṇḍāya caritvā jīvikaṃ kappente disvā sayampi tādisena ākārena tathā paṭipajjanato ‘ahaṃ brahmacārī’ti paṭiññaṃ dento viya hoti. ‘Ahaṃ bhikkhū’ti vatvā uposathaggādīni pavisanto pana brahmacāripaṭiñño hotiyeva, tathā saṅghikaṃ lābhaṃ gaṇhanto’’ti (pu. pa. aṭṭha. 91).

    ตสฺมา เอวรูเปหิ ปฎิญฺญาย ภิกฺขูหิ โคตฺรภุปริโยสาเนหิ สทฺธิํ สโมฺภคปริโภโค น วฎฺฎติ, อลชฺชีปริโภโคว โหติฯ สญฺจิจฺจ อาปตฺติอาปชฺชนาทิอลชฺชีลกฺขณํ ปน อุกฺกฎฺฐานํ ภิกฺขูนํ วเสน วุตฺตํ สามเณราทีนมฺปิ อลชฺชีโวหารทสฺสนโตฯ ‘‘อลชฺชีสามเณเรหิ หตฺถกมฺมมฺปิ น กาเรตพฺพ’’นฺติ หิ วุตฺตํฯ ยถาวิหิตปฎิปตฺติยํ อติฎฺฐนญฺหิ สพฺพสาธารณํ อลชฺชีลกฺขณํฯ ทุสฺสีลา ลิงฺคคฺคหณโต ปฎฺฐาย ยถาวิหิตปฎิปตฺติยา อภาวโต เอกนฺตา ลชฺชิโนว มหาสงฺฆิกาทินิกายนฺตริกา วิย, ลิงฺคเตฺถนกาทโย วิย, จฯ ยาว ๑๑ จ เตสํ ภิกฺขุปฎิญฺญา อนุวตฺตติ, ตาว ภิกฺขุ เอว, เตหิ จ ปริโภโค อลชฺชิปอโภโคว, เตสญฺจ ภิกฺขุสงฺฆสญฺญาย ทินฺนํ สเงฺฆ ทินฺนํ นาม โหติฯ วุตฺตญฺหิ ภควตา –

    Tasmā evarūpehi paṭiññāya bhikkhūhi gotrabhupariyosānehi saddhiṃ sambhogaparibhogo na vaṭṭati, alajjīparibhogova hoti. Sañcicca āpattiāpajjanādialajjīlakkhaṇaṃ pana ukkaṭṭhānaṃ bhikkhūnaṃ vasena vuttaṃ sāmaṇerādīnampi alajjīvohāradassanato. ‘‘Alajjīsāmaṇerehi hatthakammampi na kāretabba’’nti hi vuttaṃ. Yathāvihitapaṭipattiyaṃ atiṭṭhanañhi sabbasādhāraṇaṃ alajjīlakkhaṇaṃ. Dussīlā liṅgaggahaṇato paṭṭhāya yathāvihitapaṭipattiyā abhāvato ekantā lajjinova mahāsaṅghikādinikāyantarikā viya, liṅgatthenakādayo viya, ca. Yāva 11 ca tesaṃ bhikkhupaṭiññā anuvattati, tāva bhikkhu eva, tehi ca paribhogo alajjipaabhogova, tesañca bhikkhusaṅghasaññāya dinnaṃ saṅghe dinnaṃ nāma hoti. Vuttañhi bhagavatā –

    ‘‘ภวิสฺสนฺติ โข ปนานนฺท, อนาคตมทฺธานํ โคตฺรภุโน กาสาวกณฺฐา ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา, เตสุ ทุสฺสีเลสุ สงฺฆํ อุทฺทิสฺส ทานํ ทสฺสนฺติ, ตทาปาหํ, อานนฺท, สงฺฆคตํ ทกฺขิณํ อสเงฺขฺยยฺยํ อปฺปเมยฺยํ วทามี’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๘๐)ฯ

    ‘‘Bhavissanti kho panānanda, anāgatamaddhānaṃ gotrabhuno kāsāvakaṇṭhā dussīlā pāpadhammā, tesu dussīlesu saṅghaṃ uddissa dānaṃ dassanti, tadāpāhaṃ, ānanda, saṅghagataṃ dakkhiṇaṃ asaṅkhyeyyaṃ appameyyaṃ vadāmī’’ti (ma. ni. 3.380).

    ภควโต สงฺฆํ อุทฺทิสฺส ทินฺนตฺตา ทกฺขิณา อสเงฺขฺยยฺยา อปฺปเมยฺยา ชาตาฯ ทุสฺสีลานํ ทินฺนตฺตา นาติ เจ? น, เตสุ สงฺฆํ อุทฺทิสฺสาติ โคตฺรภูนํ ปฎิคฺคาหกเตฺตน ปรามฎฺฐตฺตา, อิตรถา ‘‘เยสุ เกสุจิ คหเฎฺฐสุ วา ปพฺพชิเตสุ วา สงฺฆํ อุทฺทิสฺสา’’ติ วตฺตพฺพตาปสงฺคโต, ตถา จ ‘‘ตทาปาหํ, อานนฺทา’’ติ เหฎฺฐิมโกฎิทสฺสนสฺส ปโยชนํ น สิยาฯ ตสฺมา โคตฺรภูนมฺปิ อภาเว สงฺฆํ อุทฺทิสฺส ทานํ นตฺถิ, เหฎฺฐิมโกฎิยา เตสุปิ ทินฺนา สงฺฆคตา ทกฺขิณา อสเงฺขฺยยฺยา, น ตโต ปรํ สิชฺฌตีติ เตปิ ปฎิญฺญาย ภิกฺขุ เอวาติ คเหตพฺพํฯ

    Bhagavato saṅghaṃ uddissa dinnattā dakkhiṇā asaṅkhyeyyā appameyyā jātā. Dussīlānaṃ dinnattā nāti ce? Na, tesu saṅghaṃ uddissāti gotrabhūnaṃ paṭiggāhakattena parāmaṭṭhattā, itarathā ‘‘yesu kesuci gahaṭṭhesu vā pabbajitesu vā saṅghaṃ uddissā’’ti vattabbatāpasaṅgato, tathā ca ‘‘tadāpāhaṃ, ānandā’’ti heṭṭhimakoṭidassanassa payojanaṃ na siyā. Tasmā gotrabhūnampi abhāve saṅghaṃ uddissa dānaṃ natthi, heṭṭhimakoṭiyā tesupi dinnā saṅghagatā dakkhiṇā asaṅkhyeyyā, na tato paraṃ sijjhatīti tepi paṭiññāya bhikkhu evāti gahetabbaṃ.

    พฺรหฺมโฆสนฺติ อุตฺตมโฆสํ, พฺรหฺมุโน โฆสสทิสํ วา โฆสํฯ เอหิ ภิกฺขูติ ‘‘ภิกฺขู’’ติสโมฺพธนํฯ สํสาเร ภยอิกฺขก ตสฺส ภยสฺส สพฺพโส วินาสนตฺถํ ติสรณํ, สาสนํ วา เอหิ มนสา ‘‘ตาณํ เลณ’’นฺติ ปวิส อุปคจฺฉฯ อุปคนฺตฺวาปิ จร พฺรหฺมจริยนฺติ สาสนพฺรหฺมจริยํ มคฺคพฺรหฺมจริยญฺจ จรสฺสุฯ ภณฺฑูติ มุณฺฑิตเกโสฯ วาสีติ ทนฺตกฎฺฐาทิเจฺฉทนวาสิฯ พนฺธนนฺติ กายพนฺธนํฯ ยุโตฺต โยโค สมาธิปญฺญาวเสน โส ยุตฺตโยโค, ตสฺส อเฎฺฐเต ปริกฺขาราติ เสโสฯ สรีเร ปฎิมุเกฺกหิเยว อุปลกฺขิโตติ เสโสฯ ‘‘ตีณิ สตานี’’ติ วตฺตเพฺพ คาถาพนฺธสุขตฺถํ ‘‘ตีณิ สต’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Brahmaghosanti uttamaghosaṃ, brahmuno ghosasadisaṃ vā ghosaṃ. Ehi bhikkhūti ‘‘bhikkhū’’tisambodhanaṃ. Saṃsāre bhayaikkhaka tassa bhayassa sabbaso vināsanatthaṃ tisaraṇaṃ, sāsanaṃ vā ehi manasā ‘‘tāṇaṃ leṇa’’nti pavisa upagaccha. Upagantvāpi cara brahmacariyanti sāsanabrahmacariyaṃ maggabrahmacariyañca carassu. Bhaṇḍūti muṇḍitakeso. Vāsīti dantakaṭṭhādicchedanavāsi. Bandhananti kāyabandhanaṃ. Yutto yogo samādhipaññāvasena so yuttayogo, tassa aṭṭhete parikkhārāti seso. Sarīre paṭimukkehiyeva upalakkhitoti seso. ‘‘Tīṇi satānī’’ti vattabbe gāthābandhasukhatthaṃ ‘‘tīṇi sata’’nti vuttaṃ.

    ตสฺมาติ ภควา เหฎฺฐา วุตฺตํ ปรามสติฯ เหฎฺฐา หิ ‘‘อหํ โข ปน, กสฺสป, ชานเญฺญว วทามิ ‘ชานามี’ติ, ปสฺสเญฺญว วทามิ ‘ปสฺสามี’’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) วุตฺตํ, ตํ ปรามสติ, ยสฺมา อหํ ชานํ วทามิ, ตสฺมาติ อโตฺถฯ อิหาติ อิมสฺมิํ สาสเนฯ ติพฺพนฺติ มหนฺตํฯ ปจฺจุปฎฺฐิตํ ภวิสฺสตีติ เถราทิอุปสงฺกมนโต ปุเรตรเมว เตสุ ยํนูน เม หิโรตฺตปฺปํ อุปฎฺฐิตํ ภวิสฺสตีติ อโตฺถฯ กุสลูปสํหิตนฺติ อนวชฺชธมฺมนิสฺสิตํฯ อฎฺฐิํ กตฺวาติ อตฺตานํ เตน ธเมฺมน อฎฺฐิกํ กตฺวา, ตํ วา ธมฺมํ ‘‘เอส เม อโตฺถ’’ติ อตฺถํ กตฺวาฯ โอหิตโสโตติ ธเมฺม นิหิตโสโตฯ เอวญฺหิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพนฺติ ญาณโสตญฺจ ปสาทโสตญฺจ โอทหิตฺวา ‘‘ธมฺมํ สกฺกจฺจเมว สุณิสฺสามี’’ติ เอวเมว ตยา สิกฺขิตพฺพํฯ สาตสหคตา จ เม กายคตาสตีติ อสุเภสุ เจว อานาปาเน จ ปฐมชฺฌานวเสน สุขสมฺปยุตฺตกายคตาสติฯ ยํ ปเนตสฺส โอวาทสฺส สกฺกจฺจปฎิคฺคหณํ, อยเมว เถรสฺส ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ อโหสิ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒.๑๕๔)ฯ

    Tasmāti bhagavā heṭṭhā vuttaṃ parāmasati. Heṭṭhā hi ‘‘ahaṃ kho pana, kassapa, jānaññeva vadāmi ‘jānāmī’ti, passaññeva vadāmi ‘passāmī’’’ti (saṃ. ni. 2.154) vuttaṃ, taṃ parāmasati, yasmā ahaṃ jānaṃ vadāmi, tasmāti attho. Ihāti imasmiṃ sāsane. Tibbanti mahantaṃ. Paccupaṭṭhitaṃ bhavissatīti therādiupasaṅkamanato puretarameva tesu yaṃnūna me hirottappaṃ upaṭṭhitaṃ bhavissatīti attho. Kusalūpasaṃhitanti anavajjadhammanissitaṃ. Aṭṭhiṃ katvāti attānaṃ tena dhammena aṭṭhikaṃ katvā, taṃ vā dhammaṃ ‘‘esa me attho’’ti atthaṃ katvā. Ohitasototi dhamme nihitasoto. Evañhi te, kassapa, sikkhitabbanti ñāṇasotañca pasādasotañca odahitvā ‘‘dhammaṃ sakkaccameva suṇissāmī’’ti evameva tayā sikkhitabbaṃ. Sātasahagatā ca me kāyagatāsatīti asubhesu ceva ānāpāne ca paṭhamajjhānavasena sukhasampayuttakāyagatāsati. Yaṃ panetassa ovādassa sakkaccapaṭiggahaṇaṃ, ayameva therassa pabbajjā ca upasampadā ca ahosi (saṃ. ni. aṭṭha. 2.2.154).

    อุทฺธุมาตกปฎิภาคารมฺมณํ ฌานํ อุทฺธุมาตกสญฺญาฯ กสิณารมฺมณํ รูปาวจรชฺฌานํ รูปสญฺญาฯ อิเมติ สญฺญาสีเสน นิทฺทิฎฺฐา อิเม เทฺว ฌานธมฺมาฯ โสปาโก จ ภควตา ปุโฎฺฐ ‘‘รูปาวจรภาเวน เอกตฺถา, พฺยญฺชนเมว นาน’’นฺติ อาหฯ อารทฺธจิโตฺตติ อาราธิตจิโตฺตฯ ครุธมฺมปฎิคฺคหณาทิอุปสมฺปทา อุปริ สยเมว อาวิ ภวิสฺสติฯ

    Uddhumātakapaṭibhāgārammaṇaṃ jhānaṃ uddhumātakasaññā. Kasiṇārammaṇaṃ rūpāvacarajjhānaṃ rūpasaññā. Imeti saññāsīsena niddiṭṭhā ime dve jhānadhammā. Sopāko ca bhagavatā puṭṭho ‘‘rūpāvacarabhāvena ekatthā, byañjanameva nāna’’nti āha. Āraddhacittoti ārādhitacitto. Garudhammapaṭiggahaṇādiupasampadā upari sayameva āvi bhavissati.

    สพฺพนฺติเมน ปริยาเยนาติ สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทนฯ ญตฺติจตุตฺถา กมฺมวาจา อุปสมฺปทากมฺมสฺส การณตฺตา ฐานํ, ตสฺส ฐานสฺส อรหํ อนุจฺฉวิกนฺติ วตฺถุโทสาทิวินิมุตฺตกมฺมํ ‘‘ฐานารห’’นฺติ วุตฺตํ วตฺถาทิโทสยุตฺตสฺส กมฺมสฺส สภาวโต กมฺมวาจารหตฺตาภาวาฯ อถ วา ฐานนฺติ นิพฺพานปฺปตฺติเหตุโต สิกฺขตฺตยสงฺคหํ สาสนํ วุจฺจติ, ตสฺส อนุจฺฉวิกํ กมฺมํ ฐานารหํฯ ยถาวิหิตลกฺขเณน หิ กเมฺมน อุปสมฺปโนฺนว สกลํ สาสนํ สมาทาย ปริปูเรตุมรหติฯ ตสฺมา ปริสุทฺธกมฺมวาจาปริโยสานํ สพฺพํ สงฺฆกิจฺจํ ฐานารหํ นาม, เตนาห ‘‘สตฺถุสาสนารเหนา’’ติ, สีลาทิสกลสาสนปริปุณฺณสฺส อนุจฺฉวิเกนาติ อโตฺถฯ อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถติ ญตฺติจตุตฺถกเมฺมน อุปสมฺปนฺนเสฺสว สพฺพสิกฺขาปเทสุ วุตฺตตฺตา กิญฺจาปิ เอหิภิกฺขูปสมฺปทาทีหิ อุปสมฺปนฺนานํ สุทฺธสตฺตานํ ปณฺณตฺติวชฺชสิกฺขาปทวีติกฺกเมปิ อภพฺพตา วา โทสาภาโว วา สทฺทโต ปญฺญายติ, ตถาปิ อตฺถโต เตสมฺปิ ปณฺณตฺติวเชฺชสุ, โลกวเชฺชสุปิ วา สุราปานาทิลหุเกสุ มคฺคุปฺปตฺติโต ปุเพฺพ อสญฺจิจฺจาทินา อาปตฺติอาปชฺชนํ สิชฺฌติเยวฯ ตถา หิ ‘‘เทฺว ปุคฺคลา อภพฺพา อาปตฺติํ อาปชฺชิตุํ พุทฺธา จ ปเจฺจกพุทฺธา จฯ เทฺว ปุคฺคลา ภพฺพา อาปตฺติํ อาปชฺชิตุํ ภิกฺขู จ ภิกฺขุนิโย จา’’ติ (ปริ. ๓๒๒) วุตฺตํฯ ญตฺติจตุเตฺถน กเมฺมน อุปสมฺปโนฺนติ อิทํ ปน สพฺพสิกฺขาปทวีติกฺกมารเห สพฺพกาลิเก จ ภิกฺขู คเหตฺวา เยภุยฺยวเสน วุตฺตํฯ นิรุตฺติวเสนาติ นิพฺพจนวเสนฯ อภิลาปวเสนาติ โวหารวเสนฯ คุณวเสนาติ ภิกฺขุโวหารนิมิตฺตานํ คุณานํ วเสนฯ

    Sabbantimena pariyāyenāti sabbantimena paricchedena. Ñatticatutthā kammavācā upasampadākammassa kāraṇattā ṭhānaṃ, tassa ṭhānassa arahaṃ anucchavikanti vatthudosādivinimuttakammaṃ ‘‘ṭhānāraha’’nti vuttaṃ vatthādidosayuttassa kammassa sabhāvato kammavācārahattābhāvā. Atha vā ṭhānanti nibbānappattihetuto sikkhattayasaṅgahaṃ sāsanaṃ vuccati, tassa anucchavikaṃ kammaṃ ṭhānārahaṃ. Yathāvihitalakkhaṇena hi kammena upasampannova sakalaṃ sāsanaṃ samādāya paripūretumarahati. Tasmā parisuddhakammavācāpariyosānaṃ sabbaṃ saṅghakiccaṃ ṭhānārahaṃ nāma, tenāha ‘‘satthusāsanārahenā’’ti, sīlādisakalasāsanaparipuṇṇassa anucchavikenāti attho. Ayaṃ imasmiṃ attheti ñatticatutthakammena upasampannasseva sabbasikkhāpadesu vuttattā kiñcāpi ehibhikkhūpasampadādīhi upasampannānaṃ suddhasattānaṃ paṇṇattivajjasikkhāpadavītikkamepi abhabbatā vā dosābhāvo vā saddato paññāyati, tathāpi atthato tesampi paṇṇattivajjesu, lokavajjesupi vā surāpānādilahukesu magguppattito pubbe asañciccādinā āpattiāpajjanaṃ sijjhatiyeva. Tathā hi ‘‘dve puggalā abhabbā āpattiṃ āpajjituṃ buddhā ca paccekabuddhā ca. Dve puggalā bhabbā āpattiṃ āpajjituṃ bhikkhū ca bhikkhuniyo cā’’ti (pari. 322) vuttaṃ. Ñatticatutthena kammena upasampannoti idaṃ pana sabbasikkhāpadavītikkamārahe sabbakālike ca bhikkhū gahetvā yebhuyyavasena vuttaṃ. Niruttivasenāti nibbacanavasena. Abhilāpavasenāti vohāravasena. Guṇavasenāti bhikkhuvohāranimittānaṃ guṇānaṃ vasena.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact