Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๓๒] ๖. ปทกุสลมาณวชาตกวณฺณนา
[432] 6. Padakusalamāṇavajātakavaṇṇanā
พหุสฺสุตนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ ทารกํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร สาวตฺถิยํ กุฎุมฺพิกปุโตฺต สตฺตวสฺสกาเลเยว ปทกุสโล อโหสิฯ อถสฺส ปิตา ‘‘อิมํ วีมํสิสฺสามี’’ติ ตสฺส อชานนฺตเสฺสว มิตฺตฆรํ อคมาสิฯ โส ปิตุ คตฎฺฐานํ อปุจฺฉิตฺวาว ตสฺส ปทานุสาเรน คนฺตฺวา ปิตุ สนฺติเก อฎฺฐาสิฯ อถ นํ ปิตา เอกทิวสํ ปุจฺฉิ ‘‘ตาต, ตฺวํ มยิ ตํ อชานาเปตฺวา คเตปิ มม คตฎฺฐานํ กิํ ชานาสี’’ติ? ‘‘ตาต , ปทํ เต สญฺชานามิ, ปทกุสโล อห’’นฺติฯ อถสฺส วีมํสนตฺถาย ปิตา ภุตฺตปาตราโส ฆรา นิกฺขมิตฺวา อนนฺตรํ ปฎิวิสฺสกฆรํ คนฺตฺวา ตโต ทุติยํ, ตโต ตติยํ ฆรํ ปวิสิตฺวา ตติยฆรา นิกฺขมิตฺวา ปุน อตฺตโน ฆรํ อาคนฺตฺวา ตโต อุตฺตรทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา นครํ วามํ กโรโนฺต เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ธมฺมํ สุณโนฺต นิสีทิฯ ทารโก ‘‘กหํ เม ปิตา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘น ชานามา’’ติ วุเตฺต ตสฺส ปทานุสาเรน อนนฺตรปฎิวิสฺสกสฺส ฆรํ อาทิํ กตฺวา ปิตุ คตมเคฺคเนว เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปิตุ สนฺติเก อฎฺฐาสิฯ ปิตรา จ ‘‘กถํ ตาต, มม อิธาคตภาวํ อญฺญาสี’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘ปทํ เต สญฺชานิตฺวา ปทานุสาเรน อาคโตมฺหี’’ติ อาหฯ สตฺถา ‘‘กิํ กเถสิ อุปาสกา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ภเนฺต, อยํ ทารโก ปทกุสโล, อหํ อิมํ วีมํสโนฺต อิมินา นาม อุปาเยน อาคโต, อยมฺปิ มํ เคเห อทิสฺวา มม ปทานุสาเรน อาคโต’’ติ วุเตฺต ‘‘อนจฺฉริยํ, อุปาสก, ภูมิยํ ปทสญฺชานนํ, โปราณกปณฺฑิตา อากาเส ปทํ สญฺชานิํสู’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Bahussutanti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ dārakaṃ ārabbha kathesi. So kira sāvatthiyaṃ kuṭumbikaputto sattavassakāleyeva padakusalo ahosi. Athassa pitā ‘‘imaṃ vīmaṃsissāmī’’ti tassa ajānantasseva mittagharaṃ agamāsi. So pitu gataṭṭhānaṃ apucchitvāva tassa padānusārena gantvā pitu santike aṭṭhāsi. Atha naṃ pitā ekadivasaṃ pucchi ‘‘tāta, tvaṃ mayi taṃ ajānāpetvā gatepi mama gataṭṭhānaṃ kiṃ jānāsī’’ti? ‘‘Tāta , padaṃ te sañjānāmi, padakusalo aha’’nti. Athassa vīmaṃsanatthāya pitā bhuttapātarāso gharā nikkhamitvā anantaraṃ paṭivissakagharaṃ gantvā tato dutiyaṃ, tato tatiyaṃ gharaṃ pavisitvā tatiyagharā nikkhamitvā puna attano gharaṃ āgantvā tato uttaradvārena nikkhamitvā nagaraṃ vāmaṃ karonto jetavanaṃ gantvā satthāraṃ vanditvā dhammaṃ suṇanto nisīdi. Dārako ‘‘kahaṃ me pitā’’ti pucchitvā ‘‘na jānāmā’’ti vutte tassa padānusārena anantarapaṭivissakassa gharaṃ ādiṃ katvā pitu gatamaggeneva jetavanaṃ gantvā satthāraṃ vanditvā pitu santike aṭṭhāsi. Pitarā ca ‘‘kathaṃ tāta, mama idhāgatabhāvaṃ aññāsī’’ti puṭṭho ‘‘padaṃ te sañjānitvā padānusārena āgatomhī’’ti āha. Satthā ‘‘kiṃ kathesi upāsakā’’ti pucchitvā ‘‘bhante, ayaṃ dārako padakusalo, ahaṃ imaṃ vīmaṃsanto iminā nāma upāyena āgato, ayampi maṃ gehe adisvā mama padānusārena āgato’’ti vutte ‘‘anacchariyaṃ, upāsaka, bhūmiyaṃ padasañjānanaṃ, porāṇakapaṇḍitā ākāse padaṃ sañjāniṃsū’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต ตสฺส อคฺคมเหสี อติจริตฺวา รญฺญา ปุจฺฉิตา ‘‘สเจ อหํ ตุเมฺห อติจรามิ, อสฺสมุขี ยกฺขินี โหมี’’ติ สปถํ กตฺวา ตโต กาลํ กตฺวา เอกสฺมิํ ปพฺพตปาเท อสฺสมุขี ยกฺขินี หุตฺวา เลณคุหายํ วสมานา มหาอฎวิยํ ปุพฺพนฺตโต อปรนฺตํ คมนมเคฺค อนุสญฺจรเนฺต มนุเสฺส คเหตฺวา ขาทติฯ สา กิร ตีณิ วสฺสานิ เวสฺสวณํ อุปฎฺฐหิตฺวา อายามโต ติํสโยชเน วิตฺถารโต ปญฺจโยชเน ฐาเน มนุเสฺส ขาทิตุํ ลภิฯ อเถกทิวสํ เอโก อโฑฺฒ มหทฺธโน มหาโภโค อภิรูโป พฺราหฺมโณ พหูหิ มนุเสฺสหิ ปริวุโต ตํ มคฺคํ อภิรุหิฯ ตํ ทิสฺวา ยกฺขินี ตุสฺสิตฺวา ปกฺขนฺทิ, ตํ ทิสฺวา ปริวารมนุสฺสา ปลายิํสุฯ สา วาตเวเคน คนฺตฺวา พฺราหฺมณํ คเหตฺวา ปิฎฺฐิยา นิปชฺชาเปตฺวา คุหํ คจฺฉนฺตี ปุริสสมฺผสฺสํ ปฎิลภิตฺวา กิเลสวเสน ตสฺมิํ สิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา ตํ อขาทิตฺวา อตฺตโน สามิกํ อกาสิฯ เต อุโภปิ สมคฺคสํวาสํ วสิํสุ ตโต ปฎฺฐาย ยกฺขินี มนุเสฺส คณฺหนฺตี วตฺถตณฺฑุลเตลาทีนิปิ คเหตฺวา ตสฺส นานคฺครสโภชนํ อุปเนตฺวา อตฺตนา มนุสฺสมํสํ ขาทติฯ คมนกาเล ตสฺส ปลายนภเยน มหติยา สิลาย คุหาทฺวารํ ปิทหิตฺวา คจฺฉติฯ เอวํ เตสุ สโมฺมทมาเนสุ วสเนฺตสุ โพธิสโตฺต นิพฺพตฺตฎฺฐานา จวิตฺวา พฺราหฺมณํ ปฎิจฺจ ตสฺสา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ สา ทสมาสจฺจเยน ปุตฺตํ วิชายิตฺวา ปุเตฺต จ พฺราหฺมเณ จ พลวสิเนหา หุตฺวา อุโภปิ โปเสสิฯ สา อปรภาเค ปุเตฺต วุฑฺฒิปฺปเตฺต ปุตฺตมฺปิ ปิตรา สทฺธิํ อโนฺตคุหายํ ปเวเสตฺวา ทฺวารํ ปิทหิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente tassa aggamahesī aticaritvā raññā pucchitā ‘‘sace ahaṃ tumhe aticarāmi, assamukhī yakkhinī homī’’ti sapathaṃ katvā tato kālaṃ katvā ekasmiṃ pabbatapāde assamukhī yakkhinī hutvā leṇaguhāyaṃ vasamānā mahāaṭaviyaṃ pubbantato aparantaṃ gamanamagge anusañcarante manusse gahetvā khādati. Sā kira tīṇi vassāni vessavaṇaṃ upaṭṭhahitvā āyāmato tiṃsayojane vitthārato pañcayojane ṭhāne manusse khādituṃ labhi. Athekadivasaṃ eko aḍḍho mahaddhano mahābhogo abhirūpo brāhmaṇo bahūhi manussehi parivuto taṃ maggaṃ abhiruhi. Taṃ disvā yakkhinī tussitvā pakkhandi, taṃ disvā parivāramanussā palāyiṃsu. Sā vātavegena gantvā brāhmaṇaṃ gahetvā piṭṭhiyā nipajjāpetvā guhaṃ gacchantī purisasamphassaṃ paṭilabhitvā kilesavasena tasmiṃ sinehaṃ uppādetvā taṃ akhāditvā attano sāmikaṃ akāsi. Te ubhopi samaggasaṃvāsaṃ vasiṃsu tato paṭṭhāya yakkhinī manusse gaṇhantī vatthataṇḍulatelādīnipi gahetvā tassa nānaggarasabhojanaṃ upanetvā attanā manussamaṃsaṃ khādati. Gamanakāle tassa palāyanabhayena mahatiyā silāya guhādvāraṃ pidahitvā gacchati. Evaṃ tesu sammodamānesu vasantesu bodhisatto nibbattaṭṭhānā cavitvā brāhmaṇaṃ paṭicca tassā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Sā dasamāsaccayena puttaṃ vijāyitvā putte ca brāhmaṇe ca balavasinehā hutvā ubhopi posesi. Sā aparabhāge putte vuḍḍhippatte puttampi pitarā saddhiṃ antoguhāyaṃ pavesetvā dvāraṃ pidahi.
อเถกทิวสํ โพธิสโตฺต ตสฺสา คตกาลํ ญตฺวา สิลํ อปเนตฺวา ปิตรํ พหิ อกาสิฯ สา อาคนฺตฺวา ‘‘เกน สิลา อปนีตา’’ติ วตฺวา ‘‘อมฺม, มยา อปนีตา, อนฺธกาเร นิสีทิตุํ น สโกฺกมี’’ติ วุเตฺต ปุตฺตสิเนเหน น กิญฺจิ อโวจฯ อเถกทิวสํ โพธิสโตฺต ปิตรํ ปุจฺฉิ ‘‘ตาต, มยฺหํ มาตุ มุขํ อญฺญาทิสํ, ตุมฺหากํ มุขํ อญฺญาทิสํ, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ? ‘‘ตาต, ตว มาตา มนุสฺสมํสขาทิกา ยกฺขินี, มยํ อุโภ มนุสฺสา’’ติฯ ‘‘ตาต, ยทิ เอวํ, อิธ กสฺมา วสาม, เอหิ มนุสฺสปถํ คจฺฉามา’’ติฯ ‘‘ตาต, สเจ มยํ ปลายิสฺสาม, อุโภปิ อเมฺห ตว มาตา ขาทิสฺสตี’’ติฯ โพธิสโตฺต ‘‘มา ภายิ, ตาต, ตว มนุสฺสปถสมฺปาปนํ มม ภาโร’’ติ ปิตรํ สมสฺสาเสตฺวา ปุนทิวเส มาตริ คตาย ปิตรํ คเหตฺวา ปลายิฯ ยกฺขินี อาคนฺตฺวา เต อทิสฺวา วาตเวเคน ปกฺขนฺทิตฺวา เต คเหตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, กิํ ปลายสิ, กิํ เต อิธ นตฺถี’’ติ วตฺวา ‘‘ภเทฺท, มา มยฺหํ กุชฺฌิ, ปุโตฺต เต มํ คเหตฺวา ปลายตี’’ติ วุเตฺต ปุตฺตสิเนเหน กิญฺจิ อวตฺวา เต อสฺสาเสตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเญฺญว เต คเหตฺวา คนฺตฺวา เอวํ ปุนปิ กติปเย ทิวเส ปลายเนฺต อาเนสิฯ
Athekadivasaṃ bodhisatto tassā gatakālaṃ ñatvā silaṃ apanetvā pitaraṃ bahi akāsi. Sā āgantvā ‘‘kena silā apanītā’’ti vatvā ‘‘amma, mayā apanītā, andhakāre nisīdituṃ na sakkomī’’ti vutte puttasinehena na kiñci avoca. Athekadivasaṃ bodhisatto pitaraṃ pucchi ‘‘tāta, mayhaṃ mātu mukhaṃ aññādisaṃ, tumhākaṃ mukhaṃ aññādisaṃ, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti? ‘‘Tāta, tava mātā manussamaṃsakhādikā yakkhinī, mayaṃ ubho manussā’’ti. ‘‘Tāta, yadi evaṃ, idha kasmā vasāma, ehi manussapathaṃ gacchāmā’’ti. ‘‘Tāta, sace mayaṃ palāyissāma, ubhopi amhe tava mātā khādissatī’’ti. Bodhisatto ‘‘mā bhāyi, tāta, tava manussapathasampāpanaṃ mama bhāro’’ti pitaraṃ samassāsetvā punadivase mātari gatāya pitaraṃ gahetvā palāyi. Yakkhinī āgantvā te adisvā vātavegena pakkhanditvā te gahetvā ‘‘brāhmaṇa, kiṃ palāyasi, kiṃ te idha natthī’’ti vatvā ‘‘bhadde, mā mayhaṃ kujjhi, putto te maṃ gahetvā palāyatī’’ti vutte puttasinehena kiñci avatvā te assāsetvā attano vasanaṭṭhānaññeva te gahetvā gantvā evaṃ punapi katipaye divase palāyante ānesi.
โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘มยฺหํ มาตุ ปริจฺฉิเนฺนน โอกาเสน ภวิตพฺพํ, ยํนูนาหํ อิมิสฺสา อาณาปวตฺติฎฺฐานสีมํ ปุเจฺฉยฺยํ, อถ นํ อติกฺกมิตฺวา ปลายิสฺสามา’’ติฯ โส เอกทิวสํ มาตรํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ‘‘อมฺม, มาตุสนฺตกํ นาม ปุตฺตานํ ปาปุณาติ, อกฺขาหิ ตาว เม อตฺตโน สนฺตกาย ภูมิยา ปริเจฺฉท’’นฺติ อาหฯ สา สพฺพทิสาสุ ปพฺพตนทีนิมิตฺตาทีนิ กเถตฺวา อายามโต ติํสโยชนํ, วิตฺถารโต ปญฺจโยชนํ ปุตฺตสฺส กเถตฺวา ‘‘อิทํ เอตฺตกํ ฐานํ สลฺลเกฺขหิ ปุตฺตา’’ติ อาหฯ โส เทฺว ตโย ทิวเส อติกฺกมิตฺวา มาตุ อฎวิคตกาเล ปิตรํ ขนฺธํ อาโรเปตฺวา ตสฺสา ทินฺนสญฺญาย วาตเวเคน ปกฺขโนฺท ปริเจฺฉทนทีตีรํ สมฺปาปุณิฯ สาปิ อาคนฺตฺวา เต อปสฺสนฺตี อนุพนฺธิฯ โพธิสโตฺต ปิตรํ คเหตฺวา นทีมชฺฌํ อคมาสิฯ สา อาคนฺตฺวา นทีตีเร ฐตฺวา อตฺตโน ปริเจฺฉทํ อติกฺกนฺตภาวํ ญตฺวา ตเตฺถว ฐตฺวา ‘‘ตาต, ปิตรํ คเหตฺวา เอหิ, โก มยฺหํ โทโส, ตุมฺหากํ มํ นิสฺสาย กิํ นาม น สมฺปชฺชติ, นิวตฺต, สามี’’ติ ปุตฺตญฺจ ปติญฺจ ยาจิฯ อถ พฺราหฺมโณ นทิํ อุตฺตริฯ สา ปุตฺตเมว ยาจนฺตี ‘‘ตาต, มา เอวํ กริ, นิวตฺตาหี’’ติ อาหฯ ‘‘อมฺม, มยํ มนุสฺสา, ตฺวํ ยกฺขินี, น สกฺกา สพฺพกาลํ ตว สนฺติเก วสิตุ’’นฺติฯ ‘‘เนว นิวตฺติสฺสสิ, ตาตา’’ติฯ ‘‘อาม, อมฺมา’’ติฯ ‘‘ตาต, ยทิ น นิวตฺติสฺสสิ, มนุสฺสโลเก ชีวิตํ นาม ทุกฺขํ, สิปฺปํ อชานนฺตา ชีวิตุํ น สโกฺกนฺติ, อหํ เอกํ จินฺตามณิํ นาม วิชฺชํ ชานามิ, ตสฺสานุภาเวน ทฺวาทสสํวจฺฉรมตฺถเก หฎภณฺฑมฺปิ ปทานุปทํ คนฺตฺวา สกฺกา ชานิตุํฯ อยํ เต ชีวิกา ภวิสฺสติ, อุคฺคณฺห, ตาต, อนคฺฆํ มนฺต’’นฺติ ตถารูเปน ทุเกฺขน อภิภูตาปิ ปุตฺตสิเนเหน มนฺตํ อทาสิฯ
Bodhisatto cintesi ‘‘mayhaṃ mātu paricchinnena okāsena bhavitabbaṃ, yaṃnūnāhaṃ imissā āṇāpavattiṭṭhānasīmaṃ puccheyyaṃ, atha naṃ atikkamitvā palāyissāmā’’ti. So ekadivasaṃ mātaraṃ gahetvā ekamantaṃ nisinno ‘‘amma, mātusantakaṃ nāma puttānaṃ pāpuṇāti, akkhāhi tāva me attano santakāya bhūmiyā pariccheda’’nti āha. Sā sabbadisāsu pabbatanadīnimittādīni kathetvā āyāmato tiṃsayojanaṃ, vitthārato pañcayojanaṃ puttassa kathetvā ‘‘idaṃ ettakaṃ ṭhānaṃ sallakkhehi puttā’’ti āha. So dve tayo divase atikkamitvā mātu aṭavigatakāle pitaraṃ khandhaṃ āropetvā tassā dinnasaññāya vātavegena pakkhando paricchedanadītīraṃ sampāpuṇi. Sāpi āgantvā te apassantī anubandhi. Bodhisatto pitaraṃ gahetvā nadīmajjhaṃ agamāsi. Sā āgantvā nadītīre ṭhatvā attano paricchedaṃ atikkantabhāvaṃ ñatvā tattheva ṭhatvā ‘‘tāta, pitaraṃ gahetvā ehi, ko mayhaṃ doso, tumhākaṃ maṃ nissāya kiṃ nāma na sampajjati, nivatta, sāmī’’ti puttañca patiñca yāci. Atha brāhmaṇo nadiṃ uttari. Sā puttameva yācantī ‘‘tāta, mā evaṃ kari, nivattāhī’’ti āha. ‘‘Amma, mayaṃ manussā, tvaṃ yakkhinī, na sakkā sabbakālaṃ tava santike vasitu’’nti. ‘‘Neva nivattissasi, tātā’’ti. ‘‘Āma, ammā’’ti. ‘‘Tāta, yadi na nivattissasi, manussaloke jīvitaṃ nāma dukkhaṃ, sippaṃ ajānantā jīvituṃ na sakkonti, ahaṃ ekaṃ cintāmaṇiṃ nāma vijjaṃ jānāmi, tassānubhāvena dvādasasaṃvaccharamatthake haṭabhaṇḍampi padānupadaṃ gantvā sakkā jānituṃ. Ayaṃ te jīvikā bhavissati, uggaṇha, tāta, anagghaṃ manta’’nti tathārūpena dukkhena abhibhūtāpi puttasinehena mantaṃ adāsi.
โพธิสโตฺต นทิยา ฐิตโกว มาตรํ วนฺทิตฺวา อติสกฺกจฺจํ สุตํ กตฺวา มนฺตํ คเหตฺวา มาตรํ วนฺทิตฺวา ‘‘คจฺฉถ, อมฺมา’’ติ อาหฯ ‘‘ตาต, ตุเมฺหสุ อนิวตฺตเนฺตสุ มยฺหํ ชีวิตํ นตฺถี’’ติ วตฺวา –
Bodhisatto nadiyā ṭhitakova mātaraṃ vanditvā atisakkaccaṃ sutaṃ katvā mantaṃ gahetvā mātaraṃ vanditvā ‘‘gacchatha, ammā’’ti āha. ‘‘Tāta, tumhesu anivattantesu mayhaṃ jīvitaṃ natthī’’ti vatvā –
‘‘เอหิ ปุตฺต นิวตฺตสฺสุ, มา อนาถํ กโรหิ เม;
‘‘Ehi putta nivattassu, mā anāthaṃ karohi me;
อชฺช ปุตฺตํ อปสฺสนฺตี, ยกฺขินี มรณํ คตา’’ติฯ
Ajja puttaṃ apassantī, yakkhinī maraṇaṃ gatā’’ti.
ยกฺขินี อุรํ ปหริ, ตาวเทวสฺสา ปุตฺตโสเกน หทยํ ผลิฯ สา มริตฺวา ตเตฺถว ปติตาฯ ตทา โพธิสโตฺต ตสฺสา มตภาวํ ญตฺวา ปิตรํ ปโกฺกสิตฺวา มาตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา จิตกํ กตฺวา ฌาเปตฺวา อาฬาหนํ นิพฺพาเปตฺวา นานาวเณฺณหิ ปุเปฺผหิ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา โรทิตฺวา ปริเทวิตฺวา ปิตรํ อาทาย พาราณสิํ คนฺตฺวา ราชทฺวาเร ฐตฺวา ‘‘ปทกุสโล มาณโว ทฺวาเร ฐิโต’’ติ รโญฺญ ปฎิเวเทตฺวา ‘‘เตน หิ อาคจฺฉตู’’ติ วุเตฺต ปวิสิตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา ‘‘ตาต, กิํ สิปฺปํ ชานาสี’’ติ วุเตฺต ‘‘เทว, ทฺวาทสสํวจฺฉรมตฺถเก หฎภณฺฑํ ปทานุปทํ คนฺตฺวา คณฺหิตุํ ชานามี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ มํ อุปฎฺฐาหี’’ติฯ ‘‘เทว, เทวสิกํ สหสฺสํ ลภโนฺต อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติฯ ‘‘สาธุ ตาต, อุปฎฺฐหา’’ติฯ ราชา เทวสิกํ สหสฺสํ ทาเปสิฯ
Yakkhinī uraṃ pahari, tāvadevassā puttasokena hadayaṃ phali. Sā maritvā tattheva patitā. Tadā bodhisatto tassā matabhāvaṃ ñatvā pitaraṃ pakkositvā mātu santikaṃ gantvā citakaṃ katvā jhāpetvā āḷāhanaṃ nibbāpetvā nānāvaṇṇehi pupphehi pūjetvā vanditvā roditvā paridevitvā pitaraṃ ādāya bārāṇasiṃ gantvā rājadvāre ṭhatvā ‘‘padakusalo māṇavo dvāre ṭhito’’ti rañño paṭivedetvā ‘‘tena hi āgacchatū’’ti vutte pavisitvā rājānaṃ vanditvā ‘‘tāta, kiṃ sippaṃ jānāsī’’ti vutte ‘‘deva, dvādasasaṃvaccharamatthake haṭabhaṇḍaṃ padānupadaṃ gantvā gaṇhituṃ jānāmī’’ti āha. ‘‘Tena hi maṃ upaṭṭhāhī’’ti. ‘‘Deva, devasikaṃ sahassaṃ labhanto upaṭṭhahissāmī’’ti. ‘‘Sādhu tāta, upaṭṭhahā’’ti. Rājā devasikaṃ sahassaṃ dāpesi.
อเถกทิวสํ ปุโรหิโต ราชานํ อาห – ‘‘มหาราช, มยํ ตสฺส มาณวสฺส สิปฺปานุภาเวน กสฺสจิ กมฺมสฺส อกตตฺตา ‘สิปฺปํ อตฺถิ วา นตฺถิ วา’ติ น ชานาม, วีมํสิสฺสาม ตาว น’’นฺติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อุโภปิ ชนา นานารตนโคปกานํ สญฺญํ ทตฺวา รตนสารภณฺฑิกํ คเหตฺวา ปาสาทา โอรุยฺห ราชนิเวสนนฺตเร ติกฺขตฺตุํ อาวิชฺฌิตฺวา นิเสฺสณิํ อตฺถริตฺวา ปาการมตฺถเกน พหิ โอตริตฺวา วินิจฺฉยสาลํ ปวิสิตฺวา ตตฺถ นิสีทิตฺวา ปุน คนฺตฺวา นิเสฺสณิํ อตฺถริตฺวา ปาการมตฺถเกน โอตริตฺวา อเนฺตปุเร โปกฺขรณิยา ตีรํ คนฺตฺวา โปกฺขรณิํ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา โอตริตฺวา อโนฺตโปกฺขรณิยํ ภณฺฑิกํ ฐเปตฺวา ปาสาทํ อภิรุหิํสุฯ ปุนทิวเส ‘‘ราชนิเวสนโต กิร รตนํ หริํสู’’ติ เอกโกลาหลํ อโหสิฯ ราชา อชานโนฺต วิย หุตฺวา โพธิสตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาต, ราชนิเวสนโต พหุรตนภณฺฑํ หฎํ, หนฺท นํ อนุวิจินิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาห ฯ ‘‘มหาราช, ทฺวาทสสํวจฺฉรมตฺถเก หฎภณฺฑํ โจรานํ ปทานุปทํ คนฺตฺวา อาหรณสมตฺถสฺส มม อนจฺฉริยํ อชฺช รตฺติํ หฎภณฺฑํ อาหริตุํ, อาหริสฺสามิ ตํ, มา จินฺตยิตฺถา’’ติฯ ‘‘เตน หิ อาหรา’’ติฯ โส ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ วตฺวา มาตรํ วนฺทิตฺวา มนฺตํ ปริวเตฺตตฺวา มหาตเล ฐิโตว ‘‘มหาราช, ทฺวินฺนํ โจรานํ ปทํ ปญฺญายตี’’ติ วตฺวา รโญฺญ จ ปุโรหิตสฺส จ ปทานุสาเรน สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา ตโต นิกฺขมิตฺวา ปาสาทา โอรุยฺห ราชนิเวสนนฺตเร ติกฺขตฺตุํ ปริคนฺตฺวา ปทานุสาเรเนว ปาการสมีปํ คนฺตฺวา ปากาเร ฐตฺวา ‘‘มหาราช, อิมสฺมิํ ฐาเน ปาการโต มุจฺจิตฺวา อากาเส ปทํ ปญฺญายติ, นิเสฺสณิํ อตฺถราเปตฺวา เทถา’’ติ นิเสฺสณิํ ปาการมตฺถเกน โอตริตฺวา ปทานุสาเรเนว วินิจฺฉยสาลํ คนฺตฺวา ปุน ราชนิเวสนํ อาคนฺตฺวา นิเสฺสณิํ อตฺถราเปตฺวา ปาการมตฺถเกน โอรุยฺห โปกฺขรณิํ คนฺตฺวา ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ‘‘มหาราช, โจรา อิมํ โปกฺขรณิํ โอติณฺณา’’ติ วตฺวา อตฺตนา ฐปิตํ วิย ภณฺฑิกํ นีหริตฺวา รโญฺญ ทตฺวา ‘‘มหาราช, อิเม เทฺว โจรา อภิญฺญาตมหาโจรา อิมินา มเคฺคน ราชนิเวสนํ อภิรุฬฺหา’’ติ อาหฯ มหาชนา ตุฎฺฐปหฎฺฐา องฺคุลิโย โผเฎสุํ, เจลุเกฺขปา ปวตฺติํสุฯ
Athekadivasaṃ purohito rājānaṃ āha – ‘‘mahārāja, mayaṃ tassa māṇavassa sippānubhāvena kassaci kammassa akatattā ‘sippaṃ atthi vā natthi vā’ti na jānāma, vīmaṃsissāma tāva na’’nti. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ubhopi janā nānāratanagopakānaṃ saññaṃ datvā ratanasārabhaṇḍikaṃ gahetvā pāsādā oruyha rājanivesanantare tikkhattuṃ āvijjhitvā nisseṇiṃ attharitvā pākāramatthakena bahi otaritvā vinicchayasālaṃ pavisitvā tattha nisīditvā puna gantvā nisseṇiṃ attharitvā pākāramatthakena otaritvā antepure pokkharaṇiyā tīraṃ gantvā pokkharaṇiṃ tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā otaritvā antopokkharaṇiyaṃ bhaṇḍikaṃ ṭhapetvā pāsādaṃ abhiruhiṃsu. Punadivase ‘‘rājanivesanato kira ratanaṃ hariṃsū’’ti ekakolāhalaṃ ahosi. Rājā ajānanto viya hutvā bodhisattaṃ pakkosāpetvā ‘‘tāta, rājanivesanato bahuratanabhaṇḍaṃ haṭaṃ, handa naṃ anuvicinituṃ vaṭṭatī’’ti āha . ‘‘Mahārāja, dvādasasaṃvaccharamatthake haṭabhaṇḍaṃ corānaṃ padānupadaṃ gantvā āharaṇasamatthassa mama anacchariyaṃ ajja rattiṃ haṭabhaṇḍaṃ āharituṃ, āharissāmi taṃ, mā cintayitthā’’ti. ‘‘Tena hi āharā’’ti. So ‘‘sādhu, devā’’ti vatvā mātaraṃ vanditvā mantaṃ parivattetvā mahātale ṭhitova ‘‘mahārāja, dvinnaṃ corānaṃ padaṃ paññāyatī’’ti vatvā rañño ca purohitassa ca padānusārena sirigabbhaṃ pavisitvā tato nikkhamitvā pāsādā oruyha rājanivesanantare tikkhattuṃ parigantvā padānusāreneva pākārasamīpaṃ gantvā pākāre ṭhatvā ‘‘mahārāja, imasmiṃ ṭhāne pākārato muccitvā ākāse padaṃ paññāyati, nisseṇiṃ attharāpetvā dethā’’ti nisseṇiṃ pākāramatthakena otaritvā padānusāreneva vinicchayasālaṃ gantvā puna rājanivesanaṃ āgantvā nisseṇiṃ attharāpetvā pākāramatthakena oruyha pokkharaṇiṃ gantvā tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā ‘‘mahārāja, corā imaṃ pokkharaṇiṃ otiṇṇā’’ti vatvā attanā ṭhapitaṃ viya bhaṇḍikaṃ nīharitvā rañño datvā ‘‘mahārāja, ime dve corā abhiññātamahācorā iminā maggena rājanivesanaṃ abhiruḷhā’’ti āha. Mahājanā tuṭṭhapahaṭṭhā aṅguliyo phoṭesuṃ, celukkhepā pavattiṃsu.
ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ มาณโว ปทานุสาเรน คนฺตฺวา โจเรหิ ฐปิตภณฺฑฎฺฐานเมว มเญฺญ ชานาติ, โจเร ปน คณฺหิตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ อถ นํ อาห ‘‘โจเรหิ หฎภณฺฑํ ตาว โน ตยา อาหฎํ, โจรา ปน น อาหฎา’’ติฯ ‘‘มหาราช, อิเธว โจรา, น ทูเร’’ติฯ ‘‘โก จ โก จา’’ติฯ ‘‘โย มหาราช, อิจฺฉติ, โสว โจโร โหติ, ตโต ตุมฺหากํ ภณฺฑิกสฺส ลทฺธกาลโต ปฎฺฐาย โจเรหิ โก อโตฺถ, มา ปุจฺฉิตฺถา’’ติฯ ‘‘ตาต, อหํ ตุยฺหํ เทวสิกํ สหสฺสํ ทมฺมิ, โจเร เม คเหตฺวา เทหี’’ติฯ ‘‘มหาราช, ธเน ลเทฺธ กิํ โจเรหี’’ติฯ ‘‘ธนโตปิ โน, ตาต, โจเร ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ, มหาราช, ‘อิเม นาม โจรา’ติ ตุมฺหากํ น กเถสฺสามิ, อตีเต ปวตฺตการณํ ปน เต อาหริสฺสามิ, สเจ ตุเมฺห ปญฺญวโนฺต, ตํ การณํ ชานาถา’’ติ โส เอวํ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Rājā cintesi – ‘‘ayaṃ māṇavo padānusārena gantvā corehi ṭhapitabhaṇḍaṭṭhānameva maññe jānāti, core pana gaṇhituṃ na sakkotī’’ti. Atha naṃ āha ‘‘corehi haṭabhaṇḍaṃ tāva no tayā āhaṭaṃ, corā pana na āhaṭā’’ti. ‘‘Mahārāja, idheva corā, na dūre’’ti. ‘‘Ko ca ko cā’’ti. ‘‘Yo mahārāja, icchati, sova coro hoti, tato tumhākaṃ bhaṇḍikassa laddhakālato paṭṭhāya corehi ko attho, mā pucchitthā’’ti. ‘‘Tāta, ahaṃ tuyhaṃ devasikaṃ sahassaṃ dammi, core me gahetvā dehī’’ti. ‘‘Mahārāja, dhane laddhe kiṃ corehī’’ti. ‘‘Dhanatopi no, tāta, core laddhuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Tena hi, mahārāja, ‘ime nāma corā’ti tumhākaṃ na kathessāmi, atīte pavattakāraṇaṃ pana te āharissāmi, sace tumhe paññavanto, taṃ kāraṇaṃ jānāthā’’ti so evaṃ vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิโต อวิทูเร นทีตีรคามเก ปาฎลิ นาม เอโก นโฎ วสติฯ โส เอกสฺมิํ อุสฺสวทิวเส ภริยมาทาย พาราณสิํ ปวิสิตฺวา นจฺจิตฺวา วีณํ วาทิตฺวา คายิตฺวา ธนํ ลภิตฺวา อุสฺสวปริโยสาเน พหุํ สุราภตฺตํ คาหาเปตฺวา อตฺตโน คามํ คจฺฉโนฺต นทีตีรํ ปตฺวา นโวทกํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ภตฺตํ ภุญฺชโนฺต สุรํ ปิวโนฺต นิสีทิตฺวา มโตฺต หุตฺวา อตฺตโน พลํ อชานโนฺต ‘‘มหาวีณํ คีวาย พนฺธิตฺวา นทิํ อุตฺตริตฺวา คมิสฺสามี’’ติ ภริยํ หเตฺถ คเหตฺวา นทิํ โอตริฯ วีณาฉิเทฺทหิ อุทกํ ปาวิสิฯ อถ นํ สา วีณา อุทเก โอสีทาเปสิ ฯ ภริยา ปนสฺส โอสีทนภาวํ ญตฺวา ตํ วิสฺสเชฺชตฺวา อุตฺตริตฺวา ตีเร อฎฺฐาสิฯ นฎปาฎลิ สกิํ อุมฺมุชฺชติ, สกิํ นิมุชฺชติ, อุทกํ ปวิสิตฺวา อุทฺธุมาตอุทโร อโหสิฯ อถสฺส ภริยา จิเนฺตสิ ‘‘มยฺหํ สามิโก อิทานิ มริสฺสติ, เอกํ นํ คีตกํ ยาจิตฺวา ปริสมเชฺฌ ตํ คายนฺตี ชีวิกํ กเปฺปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘สามิ, ตฺวํ อุทเก นิมุชฺชสิ, เอกํ เม คีตกํ เทหิ, เตน ชีวิกํ กเปฺปสฺสามี’’ติ วตฺวา คาถมาห –
Atīte bārāṇasito avidūre nadītīragāmake pāṭali nāma eko naṭo vasati. So ekasmiṃ ussavadivase bhariyamādāya bārāṇasiṃ pavisitvā naccitvā vīṇaṃ vāditvā gāyitvā dhanaṃ labhitvā ussavapariyosāne bahuṃ surābhattaṃ gāhāpetvā attano gāmaṃ gacchanto nadītīraṃ patvā navodakaṃ āgacchantaṃ disvā bhattaṃ bhuñjanto suraṃ pivanto nisīditvā matto hutvā attano balaṃ ajānanto ‘‘mahāvīṇaṃ gīvāya bandhitvā nadiṃ uttaritvā gamissāmī’’ti bhariyaṃ hatthe gahetvā nadiṃ otari. Vīṇāchiddehi udakaṃ pāvisi. Atha naṃ sā vīṇā udake osīdāpesi . Bhariyā panassa osīdanabhāvaṃ ñatvā taṃ vissajjetvā uttaritvā tīre aṭṭhāsi. Naṭapāṭali sakiṃ ummujjati, sakiṃ nimujjati, udakaṃ pavisitvā uddhumātaudaro ahosi. Athassa bhariyā cintesi ‘‘mayhaṃ sāmiko idāni marissati, ekaṃ naṃ gītakaṃ yācitvā parisamajjhe taṃ gāyantī jīvikaṃ kappessāmī’’ti cintetvā ‘‘sāmi, tvaṃ udake nimujjasi, ekaṃ me gītakaṃ dehi, tena jīvikaṃ kappessāmī’’ti vatvā gāthamāha –
๔๙.
49.
‘‘พหุสฺสุตํ จิตฺตกถิํ, คงฺคา วหติ ปาฎลิํ;
‘‘Bahussutaṃ cittakathiṃ, gaṅgā vahati pāṭaliṃ;
วุยฺหมานก ภทฺทเนฺต, เอกํ เม เทหิ คาถก’’นฺติฯ
Vuyhamānaka bhaddante, ekaṃ me dehi gāthaka’’nti.
ตตฺถ คาถกนฺติ ขุทฺทกํ คาถํฯ
Tattha gāthakanti khuddakaṃ gāthaṃ.
อถ นํ นฎปาฎลิ ‘‘ภเทฺท, กถํ ตว คีตกํ ทสฺสามิ, อิทานิ มหาชนสฺส ปฎิสรณภูตํ อุทกํ มํ มาเรตี’’ติ วตฺวา คาถมาห –
Atha naṃ naṭapāṭali ‘‘bhadde, kathaṃ tava gītakaṃ dassāmi, idāni mahājanassa paṭisaraṇabhūtaṃ udakaṃ maṃ māretī’’ti vatvā gāthamāha –
๕๐.
50.
‘‘เยน สิญฺจนฺติ ทุกฺขิตํ, เยน สิญฺจนฺติ อาตุรํ;
‘‘Yena siñcanti dukkhitaṃ, yena siñcanti āturaṃ;
ตสฺส มเชฺฌ มริสฺสามิ, ชาตํ สรณโต ภย’’นฺติฯ
Tassa majjhe marissāmi, jātaṃ saraṇato bhaya’’nti.
โพธิสโตฺต อิมํ คาถํ วตฺวา ‘‘มหาราช, ยถา อุทกํ มหาชนสฺส ปฎิสรณํ, ตถา ราชาโนปิ, เตสํ สนฺติกา ภเย อุปฺปเนฺน ตํ ภยํ โก ปฎิพาหิสฺสตี’’ติ วตฺวา ‘‘มหาราช, อิทํ การณํ ปฎิจฺฉนฺนํ, มยา ปน ปณฺฑิตเวทนียํ กตฺวา กถิตํ, ชานาหิ, มหาราชา’’ติ อาหฯ ‘‘ตาต อหํ เอวรูปํ ปฎิจฺฉนฺนกถํ น ชานามิ, โจเร เม คเหตฺวา เทหี’’ติฯ อถสฺส มหาสโตฺต ‘‘เตน หิ, มหาราช, อิทํ สุตฺวา ชานาหี’’ติ อปรมฺปิ การณํ อาหริฯ เทว, ปุเพฺพ อิมิสฺสาว พาราณสิยา ทฺวารคาเม เอโก กุมฺภกาโร ภาชนตฺถาย มตฺติกํ อาหรโนฺต เอกสฺมิํเยว ฐาเน นิพทฺธํ คณฺหิตฺวา อโนฺตปพฺภารํ มหนฺตํ อาวาฎํ ขณิฯ อเถกทิวสํ ตสฺส มตฺติกํ คณฺหนฺตสฺส อกาลมหาเมโฆ อุฎฺฐหิตฺวา มหาวุฎฺฐิํ ปาเตสิฯ อุทกํ อวตฺถรมานํ อาวาฎํ ปาเตสิ, เตนสฺส มตฺถโก ภิชฺชิฯ โส ปริเทวโนฺต คาถมาห –
Bodhisatto imaṃ gāthaṃ vatvā ‘‘mahārāja, yathā udakaṃ mahājanassa paṭisaraṇaṃ, tathā rājānopi, tesaṃ santikā bhaye uppanne taṃ bhayaṃ ko paṭibāhissatī’’ti vatvā ‘‘mahārāja, idaṃ kāraṇaṃ paṭicchannaṃ, mayā pana paṇḍitavedanīyaṃ katvā kathitaṃ, jānāhi, mahārājā’’ti āha. ‘‘Tāta ahaṃ evarūpaṃ paṭicchannakathaṃ na jānāmi, core me gahetvā dehī’’ti. Athassa mahāsatto ‘‘tena hi, mahārāja, idaṃ sutvā jānāhī’’ti aparampi kāraṇaṃ āhari. Deva, pubbe imissāva bārāṇasiyā dvāragāme eko kumbhakāro bhājanatthāya mattikaṃ āharanto ekasmiṃyeva ṭhāne nibaddhaṃ gaṇhitvā antopabbhāraṃ mahantaṃ āvāṭaṃ khaṇi. Athekadivasaṃ tassa mattikaṃ gaṇhantassa akālamahāmegho uṭṭhahitvā mahāvuṭṭhiṃ pātesi. Udakaṃ avattharamānaṃ āvāṭaṃ pātesi, tenassa matthako bhijji. So paridevanto gāthamāha –
๕๑.
51.
‘‘ยตฺถ พีชานิ รูหนฺติ, สตฺตา ยตฺถ ปติฎฺฐิตา;
‘‘Yattha bījāni rūhanti, sattā yattha patiṭṭhitā;
สา เม สีสํ นิปีเฬติ, ชาตํ สรณโต ภย’’นฺติฯ
Sā me sīsaṃ nipīḷeti, jātaṃ saraṇato bhaya’’nti.
ตตฺถ นิปีเฬตีติ นิปติตฺวา ปีเฬติ ภินฺทติฯ
Tattha nipīḷetīti nipatitvā pīḷeti bhindati.
ยถา หิ เทว, มหาชนสฺส ปฎิสรณภูตา มหาปถวี กุมฺภการสฺส สีสํ ภินฺทิ, เอวเมว มหาปถวีสเม สพฺพโลกสฺส ปฎิสรเณ นริเนฺท อุฎฺฐาย โจรกมฺมํ กโรเนฺต โก พาหิสฺสติ, สกฺขิสฺสสิ, มหาราช, เอวํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา กถิตํ โจรํ ชานิตุนฺติฯ ตาต, มยฺหํ ปฎิจฺฉเนฺนน การณํ นตฺถิ, อยํ โจโรติ เอวํ เม โจรํ คเหตฺวา เทหีติฯ โส ราชานํ รกฺขโนฺต ‘‘ตฺวํ โจโร’’ติ อวตฺวา อปรมฺปิ อุทาหรณํ อาหริฯ มหาราช, ปุเพฺพ อิมสฺมิํเยว นคเร เอกสฺส ปุริสสฺส เคหํ อาทิตฺตํฯ โส ‘‘อโนฺต ปวิสิตฺวา ภณฺฑกํ นีหรา’’ติ อญฺญํ อาณาเปสิฯ ตสฺมิํ ปวิสิตฺวา นีหรเนฺต เคหทฺวารํ ปิทหิฯ โส ธูมโนฺธ หุตฺวา นิกฺขมนมคฺคํ อลภโนฺต อุปฺปนฺนฑาหทุโกฺข หุตฺวา อโนฺต ฐิโตว ปริเทวโนฺต คาถมาห –
Yathā hi deva, mahājanassa paṭisaraṇabhūtā mahāpathavī kumbhakārassa sīsaṃ bhindi, evameva mahāpathavīsame sabbalokassa paṭisaraṇe narinde uṭṭhāya corakammaṃ karonte ko bāhissati, sakkhissasi, mahārāja, evaṃ paṭicchādetvā kathitaṃ coraṃ jānitunti. Tāta, mayhaṃ paṭicchannena kāraṇaṃ natthi, ayaṃ coroti evaṃ me coraṃ gahetvā dehīti. So rājānaṃ rakkhanto ‘‘tvaṃ coro’’ti avatvā aparampi udāharaṇaṃ āhari. Mahārāja, pubbe imasmiṃyeva nagare ekassa purisassa gehaṃ ādittaṃ. So ‘‘anto pavisitvā bhaṇḍakaṃ nīharā’’ti aññaṃ āṇāpesi. Tasmiṃ pavisitvā nīharante gehadvāraṃ pidahi. So dhūmandho hutvā nikkhamanamaggaṃ alabhanto uppannaḍāhadukkho hutvā anto ṭhitova paridevanto gāthamāha –
๕๒.
52.
‘‘เยน ภตฺตานิ ปจฺจนฺติ, สีตํ เยน วิหญฺญติ;
‘‘Yena bhattāni paccanti, sītaṃ yena vihaññati;
โส มํ ฑหติ คตฺตานิ, ชาตํ สรณโต ภย’’นฺติฯ
So maṃ ḍahati gattāni, jātaṃ saraṇato bhaya’’nti.
ตตฺถ โส มํ ฑหตีติ โส เม ฑหติ, อยเมว วา ปาโฐฯ
Tattha so maṃ ḍahatīti so me ḍahati, ayameva vā pāṭho.
‘‘มหาราช, อคฺคิ วิย มหาชนสฺส ปฎิสรณภูโต เอโก มนุโสฺส รตนภณฺฑิกํ หริ, มา มํ โจรํ ปุจฺฉา’’ติฯ ‘‘ตาต, มยฺหํ โจรํ เทหิเยวา’’ติฯ โส ราชานํ ‘‘ตฺวํ โจโร’’ติ อวตฺวา อปรมฺปิ อุทาหรณํ อาหริฯ เทว, ปุเพฺพ อิมสฺมิํเยว นคเร เอโก ปุริโส อติพหุํ ภุญฺชิตฺวา ชีราเปตุํ อสโกฺกโนฺต เวทนาปฺปโตฺต หุตฺวา ปริเทวโนฺต คาถมาห –
‘‘Mahārāja, aggi viya mahājanassa paṭisaraṇabhūto eko manusso ratanabhaṇḍikaṃ hari, mā maṃ coraṃ pucchā’’ti. ‘‘Tāta, mayhaṃ coraṃ dehiyevā’’ti. So rājānaṃ ‘‘tvaṃ coro’’ti avatvā aparampi udāharaṇaṃ āhari. Deva, pubbe imasmiṃyeva nagare eko puriso atibahuṃ bhuñjitvā jīrāpetuṃ asakkonto vedanāppatto hutvā paridevanto gāthamāha –
๕๓.
53.
‘‘เยน ภุเตฺตน ยาปนฺติ, ปุถู พฺราหฺมณขตฺติยา;
‘‘Yena bhuttena yāpanti, puthū brāhmaṇakhattiyā;
โส มํ ภุโตฺต พฺยาปาเทติ, ชาตํ สรณโต ภย’’นฺติฯ
So maṃ bhutto byāpādeti, jātaṃ saraṇato bhaya’’nti.
ตตฺถ โส มํ ภุโตฺต พฺยาปาเทตีติ โส โอทโน ภุโตฺต มํ พฺยาปาเทติ มาเรติฯ
Tattha so maṃ bhutto byāpādetīti so odano bhutto maṃ byāpādeti māreti.
‘‘มหาราช, ภตฺตํ วิย มหาชนสฺส ปฎิสรณภูโต เอโก ภณฺฑํ หริ, ตสฺมิํ ลเทฺธ กิํ โจรํ ปุจฺฉสี’’ติ? ‘‘ตาต, สโกฺกโนฺต โจรํ เม เทหี’’ติฯ โส ตสฺส สญฺญาปนตฺถํ อปรมฺปิ อุทาหรณํ อาหริฯ มหาราช , ปุเพฺพปิ อิมสฺมิํเยว นคเร เอกสฺส วาโต อุฎฺฐหิตฺวา คตฺตานิ ภญฺชิฯ โส ปริเทวโนฺต คาถมาห –
‘‘Mahārāja, bhattaṃ viya mahājanassa paṭisaraṇabhūto eko bhaṇḍaṃ hari, tasmiṃ laddhe kiṃ coraṃ pucchasī’’ti? ‘‘Tāta, sakkonto coraṃ me dehī’’ti. So tassa saññāpanatthaṃ aparampi udāharaṇaṃ āhari. Mahārāja , pubbepi imasmiṃyeva nagare ekassa vāto uṭṭhahitvā gattāni bhañji. So paridevanto gāthamāha –
๕๔.
54.
‘‘คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส, วาตมิจฺฉนฺติ ปณฺฑิตา;
‘‘Gimhānaṃ pacchime māse, vātamicchanti paṇḍitā;
โส มํ ภญฺชติ คตฺตานิ, ชาตํ สรณโต ภย’’นฺติฯ
So maṃ bhañjati gattāni, jātaṃ saraṇato bhaya’’nti.
อิติ มหาราช, สรณโต ภยํ อุปฺปนฺนํ, ชานาหิ ตํ การณนฺติฯ ตาต, โจรํ เม เทหีติฯ โส ตสฺส สญฺญาปนตฺถํ อปรมฺปิ อุทาหรณํ อาหริฯ เทว, อตีเต หิมวนฺตปเทเส สาขาวิฎปสมฺปโนฺน มหารุโกฺข อโหสิ ปุปฺผผลสมฺปโนฺน อเนกสหสฺสานํ สกุณานํ นิวาโส ตสฺส เทฺว สาขา อญฺญมญฺญํ สงฺฆเฎฺฎสุํ, ตโต ธูโม อุปฺปชฺชิ, อคฺคิจุณฺณานิ ปติํสุฯ ตํ ทิสฺวา สกุณเชฎฺฐโก คาถมาห –
Iti mahārāja, saraṇato bhayaṃ uppannaṃ, jānāhi taṃ kāraṇanti. Tāta, coraṃ me dehīti. So tassa saññāpanatthaṃ aparampi udāharaṇaṃ āhari. Deva, atīte himavantapadese sākhāviṭapasampanno mahārukkho ahosi pupphaphalasampanno anekasahassānaṃ sakuṇānaṃ nivāso tassa dve sākhā aññamaññaṃ saṅghaṭṭesuṃ, tato dhūmo uppajji, aggicuṇṇāni patiṃsu. Taṃ disvā sakuṇajeṭṭhako gāthamāha –
๕๕.
55.
‘‘ยํ นิสฺสิตา ชคติรุหํ, สฺวายํ อคฺคิํ ปมุญฺจติ;
‘‘Yaṃ nissitā jagatiruhaṃ, svāyaṃ aggiṃ pamuñcati;
ทิสา ภชถ วกฺกงฺคา, ชาตํ สรณโต ภย’’นฺติฯ
Disā bhajatha vakkaṅgā, jātaṃ saraṇato bhaya’’nti.
ตตฺถ ชคติรุหนฺติ มหีรุหํฯ
Tattha jagatiruhanti mahīruhaṃ.
ยถา หิ, เทว, รุโกฺข ปกฺขีนํ ปฎิสรณํ, เอวํ ราชา มหาชนสฺส ปฎิสรณํ, ตสฺมิํ โจริกํ กโรเนฺต โก ปฎิพาหิสฺสติ, สลฺลเกฺขหิ, เทวาติฯ ตาต, มยฺหํ โจรเมว เทหีติฯ อถสฺส โส อปรมฺปิ อุทาหรณํ อาหริฯ มหาราช, เอกสฺมิํ กาสิคาเม อญฺญตรสฺส กุลฆรสฺส ปจฺฉิมภาเค กกฺขฬา สุสุมารนที อตฺถิ, ตสฺส จ กุลสฺส เอโกว ปุโตฺตฯ โส ปิตริ กาลกเต มาตรํ ปฎิชคฺคิฯ ตสฺส มาตา อนิจฺฉมานเสฺสว เอกํ กุลธีตรํ อาเนสิฯ สา ปุพฺพภาเค สสฺสุํ สมฺปิยายิตฺวา ปจฺฉา ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒมานา ตํ นีหริตุกามา อโหสิฯ ตสฺสา ปน มาตาปิ ตสฺมิํเยว ฆเร วสติฯ สา สามิกสฺส สนฺติเก สสฺสุยา นานปฺปการํ โทสํ วตฺวา ปริภินฺทิตฺวา ‘‘อหํ เต มาตรํ โปเสตุํ น สโกฺกมิ, มาเรหิ น’’นฺติ วตฺวา ‘‘มนุสฺสมารณํ นาม ภาริยํ, กถํ นํ มาเรมี’’ติ วุเตฺต ‘‘นิโทฺทกฺกมนกาเล นํ มญฺจเกเนว สทฺธิํ คเหตฺวา สุสุมารนทิยํ ขิปิสฺสาม, อถ นํ สุสมารา ขาทิสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ ‘‘ตุยฺหํ ปน มาตา กห’’นฺติ? ‘‘ตสฺสาเยว สนฺติเก สุปตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ คจฺฉ, ตสฺสา นิปนฺนมญฺจเก รชฺชุํ พนฺธิตฺวา สญฺญํ กโรหี’’ติฯ สา ตถา กตฺวา ‘‘กตา เม สญฺญา’’ติ อาหฯ อิตโร ‘‘โถกํ อธิวาเสหิ, มนุสฺสา ตาว นิทฺทายนฺตู’’ติ นิทฺทายโนฺต วิย นิปชฺชิตฺวา คนฺตฺวา ตํ รชฺชุกํ ภริยาย มาตุ มญฺจเก พนฺธิตฺวา ภริยํ ปโพเธตฺวา อุโภปิ คนฺตฺวา ตํ มญฺจเกเนว สทฺธิํ อุกฺขิปิตฺวา นทิยํ ขิปิํสุฯ ตตฺถ นํ นิทฺทายมานํ สุสุมารา วิทฺธํเสตฺวา ขาทิํสุฯ
Yathā hi, deva, rukkho pakkhīnaṃ paṭisaraṇaṃ, evaṃ rājā mahājanassa paṭisaraṇaṃ, tasmiṃ corikaṃ karonte ko paṭibāhissati, sallakkhehi, devāti. Tāta, mayhaṃ corameva dehīti. Athassa so aparampi udāharaṇaṃ āhari. Mahārāja, ekasmiṃ kāsigāme aññatarassa kulagharassa pacchimabhāge kakkhaḷā susumāranadī atthi, tassa ca kulassa ekova putto. So pitari kālakate mātaraṃ paṭijaggi. Tassa mātā anicchamānasseva ekaṃ kuladhītaraṃ ānesi. Sā pubbabhāge sassuṃ sampiyāyitvā pacchā puttadhītāhi vaḍḍhamānā taṃ nīharitukāmā ahosi. Tassā pana mātāpi tasmiṃyeva ghare vasati. Sā sāmikassa santike sassuyā nānappakāraṃ dosaṃ vatvā paribhinditvā ‘‘ahaṃ te mātaraṃ posetuṃ na sakkomi, mārehi na’’nti vatvā ‘‘manussamāraṇaṃ nāma bhāriyaṃ, kathaṃ naṃ māremī’’ti vutte ‘‘niddokkamanakāle naṃ mañcakeneva saddhiṃ gahetvā susumāranadiyaṃ khipissāma, atha naṃ susamārā khādissantī’’ti āha. ‘‘Tuyhaṃ pana mātā kaha’’nti? ‘‘Tassāyeva santike supatī’’ti. ‘‘Tena hi gaccha, tassā nipannamañcake rajjuṃ bandhitvā saññaṃ karohī’’ti. Sā tathā katvā ‘‘katā me saññā’’ti āha. Itaro ‘‘thokaṃ adhivāsehi, manussā tāva niddāyantū’’ti niddāyanto viya nipajjitvā gantvā taṃ rajjukaṃ bhariyāya mātu mañcake bandhitvā bhariyaṃ pabodhetvā ubhopi gantvā taṃ mañcakeneva saddhiṃ ukkhipitvā nadiyaṃ khipiṃsu. Tattha naṃ niddāyamānaṃ susumārā viddhaṃsetvā khādiṃsu.
สา ปุนทิวเส มาตุ ปริวตฺติตภาวํ ญตฺวา ‘‘สามิ, มม มาตาว มาริตา, อิทานิ ตว มาตรํ มาเรหี’’ติ วตฺวา ‘‘เตน หิ สาธู’’ติ วุเตฺต ‘‘สุสาเน จิตกํ กตฺวา อคฺคิมฺหิ นํ ปกฺขิปิตฺวา มาเรสฺสามา’’ติ อาหฯ อถ นํ นิทฺทายมานํ อุโภปิ สุสานํ เนตฺวา ฐปยิํสุฯ ตตฺถ สามิโก ภริยํ อาห ‘‘อคฺคิ เต อาภโต’’ติ? ‘‘ปมุฎฺฐาสฺมิ, สามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ คนฺตฺวา อาเนหี’’ติฯ ‘‘น สโกฺกมิ สามิ, คนฺตุํ, ตยิ คเตปิ ฐาตุํ น สกฺขิสฺสามิ, อุโภปิ มยํ คจฺฉิสฺสามา’’ติฯ เตสุ คเตสุ มหลฺลิกา สีตวาเตน ปโพธิตา สุสานภาวํ ญตฺวา ‘‘อิเม มํ มาเรตุกามา อคฺคิอตฺถาย คตา’’ติ จ อุปธาเรตฺวา ‘‘น เม พลํ ชานนฺตี’’ติ เอกํ มตกเฬวรํ คเหตฺวา มญฺจเก นิปชฺชาเปตฺวา อุปริ ปิโลติกาย ปฎิจฺฉาเทตฺวา สยํ ปลายิตฺวา ตเตฺถว เลณคุหํ ปาวิสิฯ อิตเร อคฺคิํ อาหริตฺวา ‘‘มหลฺลิกา’’ติ สญฺญาย กเฬวรํ ฌาเปตฺวา ปกฺกมิํสุฯ เอเกน โจเรน ตสฺมิํ คุหาเลเณ ปุเพฺพ ภณฺฑิกา ฐปิตา, โส ‘‘ตํ คณฺหิสฺสามี’’ติ อาคนฺตฺวา มหลฺลิกํ ทิสฺวา ‘‘เอกา ยกฺขินี ภวิสฺสติ, ภณฺฑิกา เม อมนุสฺสปริคฺคหิตา’’ติ เอกํ ภูตเวชฺชํ อาเนสิฯ เวโชฺช มนฺตํ กโรโนฺต คุหํ ปาวิสิฯ
Sā punadivase mātu parivattitabhāvaṃ ñatvā ‘‘sāmi, mama mātāva māritā, idāni tava mātaraṃ mārehī’’ti vatvā ‘‘tena hi sādhū’’ti vutte ‘‘susāne citakaṃ katvā aggimhi naṃ pakkhipitvā māressāmā’’ti āha. Atha naṃ niddāyamānaṃ ubhopi susānaṃ netvā ṭhapayiṃsu. Tattha sāmiko bhariyaṃ āha ‘‘aggi te ābhato’’ti? ‘‘Pamuṭṭhāsmi, sāmī’’ti. ‘‘Tena hi gantvā ānehī’’ti. ‘‘Na sakkomi sāmi, gantuṃ, tayi gatepi ṭhātuṃ na sakkhissāmi, ubhopi mayaṃ gacchissāmā’’ti. Tesu gatesu mahallikā sītavātena pabodhitā susānabhāvaṃ ñatvā ‘‘ime maṃ māretukāmā aggiatthāya gatā’’ti ca upadhāretvā ‘‘na me balaṃ jānantī’’ti ekaṃ matakaḷevaraṃ gahetvā mañcake nipajjāpetvā upari pilotikāya paṭicchādetvā sayaṃ palāyitvā tattheva leṇaguhaṃ pāvisi. Itare aggiṃ āharitvā ‘‘mahallikā’’ti saññāya kaḷevaraṃ jhāpetvā pakkamiṃsu. Ekena corena tasmiṃ guhāleṇe pubbe bhaṇḍikā ṭhapitā, so ‘‘taṃ gaṇhissāmī’’ti āgantvā mahallikaṃ disvā ‘‘ekā yakkhinī bhavissati, bhaṇḍikā me amanussapariggahitā’’ti ekaṃ bhūtavejjaṃ ānesi. Vejjo mantaṃ karonto guhaṃ pāvisi.
อถ นํ สา อาห ‘‘นาหํ ยกฺขินี, เอหิ อุโภปิ อิมํ ธนํ ภาเชสฺสามา’’ติฯ ‘‘กถํ สทฺทหิตพฺพ’’นฺติ? ‘‘ตว ชิวฺหํ มม ชิวฺหาย ฐเปหี’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ อถสฺส สา ชิวฺหํ ฑํสิตฺวา ฉินฺทิตฺวา ปาเตสิฯ ภูตเวโชฺช ‘‘อทฺธา เอสา ยกฺขินี’’ติ ชิวฺหาย โลหิตํ ปคฺฆรนฺติยา วิรวมาโน ปลายิฯ มหลฺลิกา ปุนทิวเส มฎฺฐสาฎกํ นิวาเสตฺวา นานารตนภณฺฑิกํ คเหตฺวา ฆรํ อคมาสิฯ สุณิสา ตํ ทิสฺวา ‘‘กหํ เต, อมฺม, อิทํ ลทฺธ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อมฺม, เอตสฺมิํ สุสาเน ทารุจิตกาย ฌาปิตา เอวรูปํ ลภนฺตี’’ติฯ ‘‘อมฺม, มยาปิ สกฺกา ลทฺธุ’’นฺติฯ ‘‘มาทิสี หุตฺวา ลภิสฺสสี’’ติฯ สา ลทฺธภณฺฑิกโลเภน สามิกสฺส กเถตฺวา ตตฺถ อตฺตานํ ฌาเปสิฯ อถ นํ ปุนทิวเส สามิโก อปสฺสโนฺต ‘‘อมฺม, อิมายปิ เวลาย ตฺวํ อาคตา, สุณิสา เต นาคจฺฉตี’’ติ อาหฯ สา ตํ สุตฺวา ‘‘อเร ปาปปุริส, กิํ มตา นาม อาคจฺฉนฺตี’’ติ ตํ ตเชฺชตฺวา คาถมาห –
Atha naṃ sā āha ‘‘nāhaṃ yakkhinī, ehi ubhopi imaṃ dhanaṃ bhājessāmā’’ti. ‘‘Kathaṃ saddahitabba’’nti? ‘‘Tava jivhaṃ mama jivhāya ṭhapehī’’ti. So tathā akāsi. Athassa sā jivhaṃ ḍaṃsitvā chinditvā pātesi. Bhūtavejjo ‘‘addhā esā yakkhinī’’ti jivhāya lohitaṃ paggharantiyā viravamāno palāyi. Mahallikā punadivase maṭṭhasāṭakaṃ nivāsetvā nānāratanabhaṇḍikaṃ gahetvā gharaṃ agamāsi. Suṇisā taṃ disvā ‘‘kahaṃ te, amma, idaṃ laddha’’nti pucchi. ‘‘Amma, etasmiṃ susāne dārucitakāya jhāpitā evarūpaṃ labhantī’’ti. ‘‘Amma, mayāpi sakkā laddhu’’nti. ‘‘Mādisī hutvā labhissasī’’ti. Sā laddhabhaṇḍikalobhena sāmikassa kathetvā tattha attānaṃ jhāpesi. Atha naṃ punadivase sāmiko apassanto ‘‘amma, imāyapi velāya tvaṃ āgatā, suṇisā te nāgacchatī’’ti āha. Sā taṃ sutvā ‘‘are pāpapurisa, kiṃ matā nāma āgacchantī’’ti taṃ tajjetvā gāthamāha –
๕๖.
56.
‘‘ยมานยิํ โสมนสฺสํ, มาลินิํ จนฺทนุสฺสทํ;
‘‘Yamānayiṃ somanassaṃ, māliniṃ candanussadaṃ;
สา มํ ฆรา นิจฺฉุภติ, ชาตํ สรณโต ภย’’นฺติฯ
Sā maṃ gharā nicchubhati, jātaṃ saraṇato bhaya’’nti.
ตตฺถ โสมนสฺสนฺติ โสมนสฺสํ อุปฺปาเทตฺวาฯ ‘‘โสมนสฺสา’’ติปิ ปาโฐ, โสมนสฺสวตี หุตฺวาติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยมหํ ‘‘อิมํ เม นิสฺสาย ปุโตฺต ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒิสฺสติ, มญฺจ มหลฺลิกกาเล โปเสสฺสตี’’ติ มาลินิํ จนฺทนุสฺสทํ กตฺวา อลงฺกริตฺวา โสมนสฺสชาตา อาเนสิํฯ สา มํ อชฺช ฆรา นีหรติ, สรณโตเยว เม ภยํ อุปฺปนฺนนฺติฯ
Tattha somanassanti somanassaṃ uppādetvā. ‘‘Somanassā’’tipi pāṭho, somanassavatī hutvāti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – yamahaṃ ‘‘imaṃ me nissāya putto puttadhītāhi vaḍḍhissati, mañca mahallikakāle posessatī’’ti māliniṃ candanussadaṃ katvā alaṅkaritvā somanassajātā ānesiṃ. Sā maṃ ajja gharā nīharati, saraṇatoyeva me bhayaṃ uppannanti.
‘‘มหาราช, สุณิสา วิย สสฺสุยา มหาชนสฺส ราชา ปฎิสรณํ, ตโต ภเย อุปฺปเนฺน กิํ สกฺกา กาตุํ, สลฺลเกฺขหิ, เทวา’’ติฯ ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘ตาต, นาหํ ตยา อานีตการณานิ ชานามิ, โจรเมว เม เทหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘ราชานํ รกฺขิสฺสามี’’ติ อปรมฺปิ อุทาหรณํ อาหริฯ เทว, ปุเพฺพ อิมสฺมิํเยว นคเร เอโก ปุริโส ปตฺถนํ กตฺวา ปุตฺตํ ลภิฯ โส ปุตฺตชาตกาเล ‘‘ปุโตฺต เม ลโทฺธ’’ติ โสมนสฺสชาโต ตํ โปเสตฺวา วยปฺปตฺตกาเล ทาเรน สํโยเชตฺวา อปรภาเค ชรํ ปตฺวา กมฺมํ อธิฎฺฐาตุํ นาสกฺขิฯ อถ นํ ปุโตฺต ‘‘ตฺวํ กมฺมํ กาตุํ น สโกฺกสิ, อิโต นิกฺขมา’’ติ เคหโต นีหริ ฯ โส กิเจฺฉน กสิเรน ชีวิกํ กเปฺปโนฺต ปริเทวมาโน คาถมาห –
‘‘Mahārāja, suṇisā viya sassuyā mahājanassa rājā paṭisaraṇaṃ, tato bhaye uppanne kiṃ sakkā kātuṃ, sallakkhehi, devā’’ti. Taṃ sutvā rājā ‘‘tāta, nāhaṃ tayā ānītakāraṇāni jānāmi, corameva me dehī’’ti āha. So ‘‘rājānaṃ rakkhissāmī’’ti aparampi udāharaṇaṃ āhari. Deva, pubbe imasmiṃyeva nagare eko puriso patthanaṃ katvā puttaṃ labhi. So puttajātakāle ‘‘putto me laddho’’ti somanassajāto taṃ posetvā vayappattakāle dārena saṃyojetvā aparabhāge jaraṃ patvā kammaṃ adhiṭṭhātuṃ nāsakkhi. Atha naṃ putto ‘‘tvaṃ kammaṃ kātuṃ na sakkosi, ito nikkhamā’’ti gehato nīhari . So kicchena kasirena jīvikaṃ kappento paridevamāno gāthamāha –
๕๗.
57.
‘‘เยน ชาเตน นนฺทิสฺสํ, ยสฺส จ ภวมิจฺฉิสํ;
‘‘Yena jātena nandissaṃ, yassa ca bhavamicchisaṃ;
โส มํ ฆรา นิจฺฉุภติ, ชาตํ สรณโต ภย’’นฺติฯ
So maṃ gharā nicchubhati, jātaṃ saraṇato bhaya’’nti.
ตตฺถ โส มนฺติ โส ปุโตฺต มํ ฆรโต นิจฺฉุภติ นีหรติฯ สฺวาหํ ภิกฺขํ จริตฺวา ทุเกฺขน ชีวามิ, สรณโตเยว เม ภยํ อุปฺปนฺนนฺติฯ
Tattha so manti so putto maṃ gharato nicchubhati nīharati. Svāhaṃ bhikkhaṃ caritvā dukkhena jīvāmi, saraṇatoyeva me bhayaṃ uppannanti.
‘‘มหาราช, ยถา ปิตา นาม มหลฺลโก ปฎิพเลน ปุเตฺตน รกฺขิตโพฺพ, เอวํ สโพฺพปิ ชนปโท รญฺญา รกฺขิตโพฺพ, อิทญฺจ ภยํ อุปฺปชฺชมานํ สพฺพสเตฺต รกฺขนฺตสฺส รโญฺญ สนฺติกา อุปฺปนฺนํ, อิมินา การเณน ‘อสุโก นาม โจโร’ติ ชานาหิ, เทวา’’ติฯ ‘‘ตาต, นาหํ การณํ วา อการณํ วา ชานามิ, โจรํ วา เม เทหิ, ตฺวเญฺญว วา โจโร โหหี’’ติ เอวํ ราชา ปุนปฺปุนํ มาณวํ อนุยุญฺชิฯ อถ นํ โส เอวมาห ‘‘กิํ ปน, มหาราช, เอกํเสน โจรคหณํ โรเจถา’’ติ? ‘‘อาม, ตาตา’’ติฯ เตน หิ ‘‘อสุโก จ อสุโก จ โจโร’’ติ ปริสมเชฺฌ ปกาเสมีติฯ ‘‘เอวํ กโรหิ, ตาตา’’ติฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อยํ ราชา อตฺตานํ รกฺขิตุํ น เทติ, คณฺหิสฺสามิ ทานิ โจร’’นฺติ สนฺนิปติเต มหาชเน อามเนฺตตฺวา อิมา คาถา อาห –
‘‘Mahārāja, yathā pitā nāma mahallako paṭibalena puttena rakkhitabbo, evaṃ sabbopi janapado raññā rakkhitabbo, idañca bhayaṃ uppajjamānaṃ sabbasatte rakkhantassa rañño santikā uppannaṃ, iminā kāraṇena ‘asuko nāma coro’ti jānāhi, devā’’ti. ‘‘Tāta, nāhaṃ kāraṇaṃ vā akāraṇaṃ vā jānāmi, coraṃ vā me dehi, tvaññeva vā coro hohī’’ti evaṃ rājā punappunaṃ māṇavaṃ anuyuñji. Atha naṃ so evamāha ‘‘kiṃ pana, mahārāja, ekaṃsena coragahaṇaṃ rocethā’’ti? ‘‘Āma, tātā’’ti. Tena hi ‘‘asuko ca asuko ca coro’’ti parisamajjhe pakāsemīti. ‘‘Evaṃ karohi, tātā’’ti. So tassa vacanaṃ sutvā ‘‘ayaṃ rājā attānaṃ rakkhituṃ na deti, gaṇhissāmi dāni cora’’nti sannipatite mahājane āmantetvā imā gāthā āha –
๕๘.
58.
‘‘สุณนฺตุ เม ชานปทา, เนคมา จ สมาคตา;
‘‘Suṇantu me jānapadā, negamā ca samāgatā;
ยโตทกํ ตทาทิตฺตํ, ยโต เขมํ ตโต ภยํฯ
Yatodakaṃ tadādittaṃ, yato khemaṃ tato bhayaṃ.
๕๙.
59.
‘‘ราชา วิลุมฺปเต รฎฺฐํ, พฺราหฺมโณ จ ปุโรหิโต;
‘‘Rājā vilumpate raṭṭhaṃ, brāhmaṇo ca purohito;
อตฺตคุตฺตา วิหรถ, ชาตํ สรณโต ภย’’นฺติฯ
Attaguttā viharatha, jātaṃ saraṇato bhaya’’nti.
ตตฺถ ยโตทกํ ตทาทิตฺตนฺติ ยํ อุทกํ ตเทว อาทิตฺตํฯ ยโต เขมนฺติ ยโต ราชโต เขเมน ภวิตพฺพํ, ตโตว ภยํ อุปฺปนฺนํฯ อตฺถคุตฺตา วิหรถาติ ตุเมฺห อิทานิ อนาถา ชาตา, อตฺตานํ มา วินาเสถ, อตฺตนาว คุตฺตา หุตฺวา อตฺตโน สนฺตกํ ธนธญฺญํ รกฺขถ, ราชา นาม มหาชนสฺส ปฎิสรณํ, ตโต ตุมฺหากํ ภยํ อุปฺปนฺนํ, ราชา จ ปุโรหิโต จ วิโลปขาทกโจรา, สเจ โจเร คณฺหิตุกามตฺถ, อิเม เทฺว คเหตฺวา กมฺมกรณํ กโรถาติฯ
Tattha yatodakaṃ tadādittanti yaṃ udakaṃ tadeva ādittaṃ. Yato khemanti yato rājato khemena bhavitabbaṃ, tatova bhayaṃ uppannaṃ. Atthaguttā viharathāti tumhe idāni anāthā jātā, attānaṃ mā vināsetha, attanāva guttā hutvā attano santakaṃ dhanadhaññaṃ rakkhatha, rājā nāma mahājanassa paṭisaraṇaṃ, tato tumhākaṃ bhayaṃ uppannaṃ, rājā ca purohito ca vilopakhādakacorā, sace core gaṇhitukāmattha, ime dve gahetvā kammakaraṇaṃ karothāti.
เต ตสฺส กถํ สุตฺวา จินฺตยิํสุ ‘‘อยํ ราชา รกฺขณารโหปิ สมาโน อิทานิ อญฺญสฺส อุปริ โทสํ อาโรเปตฺวา อตฺตโน ภณฺฑิกํ สยเมว โปกฺขรณิยํ ฐเปตฺวา โจรํ ปริเยสาเปติ, อิโต ทานิ ปฎฺฐาย ปุน โจรกมฺมสฺส อกรณตฺถาย มาเรม นํ ปาปราชาน’’นฺติฯ เต ทณฺฑมุคฺคราทิหตฺถา อุฎฺฐาย ตเตฺถว ราชานญฺจ ปุโรหิตญฺจ โปเถตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา มหาสตฺตํ อภิสิญฺจิตฺวา รเชฺช ปติฎฺฐเปสุํฯ
Te tassa kathaṃ sutvā cintayiṃsu ‘‘ayaṃ rājā rakkhaṇārahopi samāno idāni aññassa upari dosaṃ āropetvā attano bhaṇḍikaṃ sayameva pokkharaṇiyaṃ ṭhapetvā coraṃ pariyesāpeti, ito dāni paṭṭhāya puna corakammassa akaraṇatthāya mārema naṃ pāparājāna’’nti. Te daṇḍamuggarādihatthā uṭṭhāya tattheva rājānañca purohitañca pothetvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā mahāsattaṃ abhisiñcitvā rajje patiṭṭhapesuṃ.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘อนจฺฉริยํ, อุปาสก, ปถวิยํ ปทสญฺชานนํ, โปราณกปณฺฑิตา เอวํ อากาเส ปทํ สญฺชานิํสู’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุปาสโก จ ปุโตฺต จ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิตาฯ ตทา ปิตา กสฺสโป อโหสิ, ปทกุสลมาณโว ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘anacchariyaṃ, upāsaka, pathaviyaṃ padasañjānanaṃ, porāṇakapaṇḍitā evaṃ ākāse padaṃ sañjāniṃsū’’ti vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne upāsako ca putto ca sotāpattiphale patiṭṭhitā. Tadā pitā kassapo ahosi, padakusalamāṇavo pana ahameva ahosinti.
ปทกุสลมาณวชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Padakusalamāṇavajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๓๒. ปทกุสลมาณวชาตกํ • 432. Padakusalamāṇavajātakaṃ