Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā

    ๔. ปทโสธมฺมสิกฺขาปทวณฺณนา

    4. Padasodhammasikkhāpadavaṇṇanā

    ๔๕-๖. สพฺพเมตํ ปทโส ธโมฺม นามาติ เอตฺถ ธโมฺม นาม พุทฺธภาสิโตติ เอวํ สมฺพโนฺธฯ อกฺขรสมูโหติ อสมตฺตปเทฯ ปเจฺจกพุทฺธภาสิตํ พุทฺธภาสิเต เอวฯ อนุปาสกคหเฎฺฐหิ ภาสิโต อิสิภาสิตาทิสงฺคหํ คจฺฉตีติ เวทิตพฺพํฯ กตฺถจิ โปตฺถเก ‘‘เทวตาภาสิโต’’ติ ปทํ นตฺถิ, ยตฺถ อตฺถิ, สา ปาฬิฯ คาถาพเนฺธปิ จ เอส นโยติ เอกเมว อกฺขรํ วตฺวา ฐานํ ลพฺภติ เอวฯ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิสุตฺตํ ภณาปิยมาโน เอการํ วตฺวา ติฎฺฐติ เจ, อนฺวกฺขเรน ปาจิตฺติยํ, อปริปุณฺณปทํ วตฺวา ฐิเต อนุพฺยญฺชเนนฯ ปเทสุ เอกํ ปฐมปทํ วิรุชฺฌติ เจ, อนุปเทน ปาจิตฺติยํฯ อฎฺฐกถานิสฺสิโตติ อฎฺฐกถานิสฺสิตวเสน ฐิโตฯ ปุเพฺพ ปกติภาสาย วุตฺตํ อฎฺฐกถํ สนฺธายฯ ปาฬินิสฺสิโตติ ปาฬิยํ เอวาคโตฯ มคฺคกถาทีนิปิ ปกรณานิฯ

    45-6.Sabbametaṃpadaso dhammo nāmāti ettha dhammo nāma buddhabhāsitoti evaṃ sambandho. Akkharasamūhoti asamattapade. Paccekabuddhabhāsitaṃ buddhabhāsite eva. Anupāsakagahaṭṭhehi bhāsito isibhāsitādisaṅgahaṃ gacchatīti veditabbaṃ. Katthaci potthake ‘‘devatābhāsito’’ti padaṃ natthi, yattha atthi, sā pāḷi. Gāthābandhepi ca esa nayoti ekameva akkharaṃ vatvā ṭhānaṃ labbhati eva. ‘‘Evaṃ me suta’’ntiādisuttaṃ bhaṇāpiyamāno ekāraṃ vatvā tiṭṭhati ce, anvakkharena pācittiyaṃ, aparipuṇṇapadaṃ vatvā ṭhite anubyañjanena. Padesu ekaṃ paṭhamapadaṃ virujjhati ce, anupadena pācittiyaṃ. Aṭṭhakathānissitoti aṭṭhakathānissitavasena ṭhito. Pubbe pakatibhāsāya vuttaṃ aṭṭhakathaṃ sandhāya. Pāḷinissitoti pāḷiyaṃ evāgato. Maggakathādīnipi pakaraṇāni.

    ๔๘. อุปจารนฺติ ทฺวาทสหตฺถํฯ ‘‘โอปาเตตีติ เอกโต ภณติ สมาคจฺฉตี’’ติ ลิขิตํฯ กิญฺจาปิ อปลาลทมนมฺปิ สีลุปเทโสปิ ภควโต กาเล อุปฺปโนฺน, อถ โข เตสุ ยํ ยํ พุทฺธวจนโต อาหริตฺวา วุตฺตํ, ตํ ตเทว อาปตฺติวตฺถุ โหตีติ วิญฺญาปนตฺถํ มหาอฎฺฐกถายํ ‘‘วทนฺตี’’ติ วจเนหิ สิถิลํ กตํฯ พุทฺธวจนโต อาหริตฺวา วุตฺตสฺส พหุลตาย ตพฺพหุลนเยน เตสุ อาปตฺติ วุตฺตา, ตสฺมา มหาปจฺจริยํ ตสฺสาธิปฺปาโย ปกาสิโตติ อโตฺถฯ ‘‘สเพฺพสเมว วจนนฺติ อปเร’’ติ วุตฺตํฯ สเจ อาจริโย ฐิโต นิสินฺนานํ ปาฐํ เทติ, ‘‘น ฐิโต นิสินฺนสฺส ธมฺมํ เทเสสฺสามี’’ติ วุตฺตาปตฺติํ นาปชฺชตีติ เอเกฯ เตสมฺปิ ปาฐทานํ ธมฺมเทสนโต น อญฺญนฺติ ตํ น ยุตฺตํ, ฉตฺตปาณิกาทีนํ ปาฐทาเนน อนาปตฺติปฺปสงฺคโต, อาปตฺติภาโว จ สิโทฺธฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    48.Upacāranti dvādasahatthaṃ. ‘‘Opātetīti ekato bhaṇati samāgacchatī’’ti likhitaṃ. Kiñcāpi apalāladamanampi sīlupadesopi bhagavato kāle uppanno, atha kho tesu yaṃ yaṃ buddhavacanato āharitvā vuttaṃ, taṃ tadeva āpattivatthu hotīti viññāpanatthaṃ mahāaṭṭhakathāyaṃ ‘‘vadantī’’ti vacanehi sithilaṃ kataṃ. Buddhavacanato āharitvā vuttassa bahulatāya tabbahulanayena tesu āpatti vuttā, tasmā mahāpaccariyaṃ tassādhippāyo pakāsitoti attho. ‘‘Sabbesameva vacananti apare’’ti vuttaṃ. Sace ācariyo ṭhito nisinnānaṃ pāṭhaṃ deti, ‘‘na ṭhito nisinnassa dhammaṃ desessāmī’’ti vuttāpattiṃ nāpajjatīti eke. Tesampi pāṭhadānaṃ dhammadesanato na aññanti taṃ na yuttaṃ, chattapāṇikādīnaṃ pāṭhadānena anāpattippasaṅgato, āpattibhāvo ca siddho. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘อุโภ อตฺถํ น ชานนฺติ, อุโภ ธมฺมํ น ปสฺสเร;

    ‘‘Ubho atthaṃ na jānanti, ubho dhammaṃ na passare;

    โย จายํ มนฺตํ วาเจติ, โย จาธเมฺมนธียตี’’ติฯ (ปาจิ. ๖๔๗);

    Yo cāyaṃ mantaṃ vāceti, yo cādhammenadhīyatī’’ti. (pāci. 647);

    เอตฺถ อธียตีติ อโตฺถ, ตสฺมา ปาฐทานมฺปิ ธมฺมเทสนาวฯ เสขิยฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๖๓๔) ‘‘ธมฺมปริเจฺฉโท ปเนตฺถ ปทโสธเมฺม วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพ’’ติ วุตฺตํ , ตสฺมา อยเมว ธโมฺม สพฺพตฺถ ธมฺมปฎิสํยุตฺตสิกฺขาปเทสุ เวทิตโพฺพฯ ยทิ เอวํ สงฺขารภาสาทิวเสน จิตฺตธมฺมํ เทเสนฺตสฺส เสขิยวเสน อนาปตฺติ สิยา, ตโต ฉปกชาตกวิโรโธฯ ตตฺถ มนฺตานํ พาหิรคนฺถตฺตาติ เจ? น, ตทธิปฺปายาชานนโตฯ อยญฺหิ ตตฺถ อธิปฺปาโย ‘‘พาหิรกคนฺถสงฺขาตมฺปิ มนฺตํ อุเจฺจ อาสเน นิสินฺนสฺส วาเจตุํ เม ภิกฺขเว อมนาปํ, ปเคว ธมฺมํ เทเสตุ’’นฺติฯ ‘‘ตทาปิ เม, ภิกฺขเว, อมนาปํ นีเจ อาสเน นิสีทิตฺวา อุเจฺจ อาสเน นิสินฺนสฺส มนฺตํ วาเจตุํ, กิมงฺคํ ปน เอตรหิ…เป.… ธมฺมํ เทเสตุ’’นฺติ (ปาจิ. ๖๔๗) หิ อยํ ปาฬิ ยถาวุตฺตเมว อธิปฺปายํ ทีเปติ, น อญฺญํฯ เตเนว ‘‘มนฺตํ วาเจตุํ ธมฺมํ เทเสตุ’’นฺติ วจนเภโท กโตฯ อญฺญถา อุภยตฺถ ‘‘ธมฺมํ เทเสตุ’’มิเจฺจว วตฺตพฺพนฺติฯ

    Ettha adhīyatīti attho, tasmā pāṭhadānampi dhammadesanāva. Sekhiyaṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 634) ‘‘dhammaparicchedo panettha padasodhamme vuttanayena veditabbo’’ti vuttaṃ , tasmā ayameva dhammo sabbattha dhammapaṭisaṃyuttasikkhāpadesu veditabbo. Yadi evaṃ saṅkhārabhāsādivasena cittadhammaṃ desentassa sekhiyavasena anāpatti siyā, tato chapakajātakavirodho. Tattha mantānaṃ bāhiraganthattāti ce? Na, tadadhippāyājānanato. Ayañhi tattha adhippāyo ‘‘bāhirakaganthasaṅkhātampi mantaṃ ucce āsane nisinnassa vācetuṃ me bhikkhave amanāpaṃ, pageva dhammaṃ desetu’’nti. ‘‘Tadāpi me, bhikkhave, amanāpaṃ nīce āsane nisīditvā ucce āsane nisinnassa mantaṃ vācetuṃ, kimaṅgaṃ pana etarahi…pe… dhammaṃ desetu’’nti (pāci. 647) hi ayaṃ pāḷi yathāvuttameva adhippāyaṃ dīpeti, na aññaṃ. Teneva ‘‘mantaṃ vācetuṃ dhammaṃ desetu’’nti vacanabhedo kato. Aññathā ubhayattha ‘‘dhammaṃ desetu’’micceva vattabbanti.

    มยา สทฺธิํ มา วทาติอาทิมฺหิ ปน อนุคณฺฐิปเท เอวํ วุโตฺต ‘‘สเจ ภิกฺขุ สามเณเรน สทฺธิํ วตฺตุกาโม, ตถา สามเณโรปิ ภิกฺขุนา สทฺธิํ วตฺตุกาโม สหสา โอปาเตติ, ‘เยภุเยฺยน ปคุณํ คนฺถํ ภณนฺตํ โอปาเตตี’’ติอาทีสุ วิย อนาปตฺติ, น หิ เอตฺตาวตา ภิกฺขุ สามเณรสฺส อุทฺทิสติ นาม โหติฯ ยสฺมา มหาอฎฺฐกถายํ นตฺถิ, ตสฺมาปิ ยุตฺตเมเวตํฯ สเจ ตตฺถ วิจาเรตฺวา ปฎิกฺขิตฺตํ สิยา อาปตฺติ, กิริยากิริยญฺจ นาปชฺชติฯ กสฺมา? ยสฺมา จิเตฺตน เอกโต วตฺตุกาโม, อถ โข นํ ‘เอกโต มา วทา’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวาปิ เอกโต วทโนฺต อาปชฺชติฯ อวตฺตุกามสฺส สหสา วิรชฺฌิตฺวา เอกโต วทนฺตสฺส อนาปตฺติ, เตน วุตฺตํ ‘มยา สทฺธิํ มา วทาติ วุโตฺต ยทิ วทติ, อนาปตฺตี’ติฯ ตถาปิ อาจริยานํ มติมนุวตฺตเนฺตน เอวรูเปสุ ฐาเนสุ ยถาวุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ กสฺมา? ยสฺมา มหาอฎฺฐกถายํ นตฺถิ, นตฺถิภาวโตเยว อาปตฺติฯ สเจ ตตฺถ อนาปตฺติอวจนํ น สมฺภวติ อยมฎฺฐานตฺตา’’ติฯ

    Mayāsaddhiṃ mā vadātiādimhi pana anugaṇṭhipade evaṃ vutto ‘‘sace bhikkhu sāmaṇerena saddhiṃ vattukāmo, tathā sāmaṇeropi bhikkhunā saddhiṃ vattukāmo sahasā opāteti, ‘yebhuyyena paguṇaṃ ganthaṃ bhaṇantaṃ opātetī’’tiādīsu viya anāpatti, na hi ettāvatā bhikkhu sāmaṇerassa uddisati nāma hoti. Yasmā mahāaṭṭhakathāyaṃ natthi, tasmāpi yuttamevetaṃ. Sace tattha vicāretvā paṭikkhittaṃ siyā āpatti, kiriyākiriyañca nāpajjati. Kasmā? Yasmā cittena ekato vattukāmo, atha kho naṃ ‘ekato mā vadā’ti paṭikkhipitvāpi ekato vadanto āpajjati. Avattukāmassa sahasā virajjhitvā ekato vadantassa anāpatti, tena vuttaṃ ‘mayā saddhiṃ mā vadāti vutto yadi vadati, anāpattī’ti. Tathāpi ācariyānaṃ matimanuvattantena evarūpesu ṭhānesu yathāvuttanayeneva paṭipajjitabbaṃ. Kasmā? Yasmā mahāaṭṭhakathāyaṃ natthi, natthibhāvatoyeva āpatti. Sace tattha anāpattiavacanaṃ na sambhavati ayamaṭṭhānattā’’ti.

    ตตฺรายํ วิจารณา – ‘‘มยา สทฺธิํ มา วทา’’ติ วุโตฺต ยทิ วทติ, ภิกฺขุโน อนาปตฺตีติ ยุตฺตเมตํ ภิกฺขุโน วตฺตุกามตายาภาวโต, ภาเวปิ สชฺฌายกรณาทีสุ ตีสุ อนาปตฺติโต จฯ อถ สามเณเรน พฺยตฺตตาย ‘‘มยา สทฺธิํ มา วทา’’ติ วุโตฺต ภิกฺขุ อพฺยตฺตตาย วทติ, อาปตฺติ เอว วตฺตุกามตาสพฺภาวโตฯ สหสา เจ วทติ, อนาปตฺติ ตทภาวโตฯ สเจ ภิกฺขุ เอวํ ‘‘มยา สทฺธิํ มา วทา’’ติ วตฺวา เตน สทฺธิํ สยํ วทติ, อาปตฺติ เอวฯ น หิ เอตํ สิกฺขาปทํ กิริยากิริยํฯ ยทิ เอตํ สิกฺขาปทํ กิริยากิริยํ ภเวยฺย, ยุตฺตํฯ ตตฺถ อนาปตฺตีติ อธิปฺปาโยฯ มหาปจฺจริยํ อิมินาว อธิปฺปาเยน ‘‘มยา สทฺธิํ มา วทา’’ติ วุตฺตํ สิยาฯ น หิ สามเณรสฺส กิริยา อิธ ปมาณนฺติ, อิมสฺมิํ ปน อธิปฺปาเย วุเตฺต อติยุตฺตํวาติ อโตฺถฯ อกฺขรโตฺถ พฺยญฺชนโตฺถฯ กิญฺจาปิ ‘‘ยญฺจ ปทํ ยญฺจ อนุปทํ ยญฺจ อนฺวกฺขรํ ยญฺจ อนุพฺยญฺชนํ, สพฺพเมตํ ปทโสธโมฺม นามา’’ติ วุตฺตํ, ตถาปิ ‘‘ปเทน วาเจติ, ปเท ปเท อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส, อกฺขราย วาเจติ, อกฺขรกฺขราย อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ อิทเมว ทฺวยํ โยชิตํ, ตํ กสฺมาติ เจ? ปเทน อนุปทอนุพฺยญฺชนานํ สงฺคหิตตฺตาฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อนุปทนฺติ ทุติยปาโทฯ อนุพฺยญฺชนนฺติ ปุริมพฺยญฺชเนน สทิสํ ปจฺฉาพฺยญฺชน’’นฺติ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๔๕), ตสฺมา อนุปเทกเทสมตฺตเมว อนุพฺยญฺชนนฺติ สิทฺธํฯ ‘‘อกฺขรานุพฺยญฺชนสมูโห ปท’’นฺติ จ วุตฺตตฺตา ปทมตฺตเมว วตฺตพฺพํ เตน อนุปทาทิตฺตยคฺคหณโตติ เจ? น วตฺตพฺพํ วจนวิเสสโตฯ ปเทน วาเจโนฺต หิ ปเท วา อนุปเท วา อนุพฺยญฺชเน วา อาปตฺติํ อาปชฺชติฯ น อกฺขเรนฯ อกฺขเรน วาเจโนฺต ปน ปทาทีสุ อญฺญตรสฺมิํ อาปชฺชติฯ น หิ ‘‘วโร วรญฺญู วรโท วราหโร’’ติอาทิมฺหิ ปฐมํ ว-การํ วาเจโนฺต ทุติยาทิว-กาเร โอปาเตติ, ปฐมํ โร-การํ วาเจโนฺต ทุติยโร-กาเร โอปาเตติ, ปฐมํ ร-การํ วาเจโนฺต ทุติยร-กาเร โอปาเตติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสาติ สมฺภวติฯ อนุพฺยญฺชนานุโลมโต สมฺภวติ เอวาติ เจ? น, ‘‘ปเท ปเท อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ อิมินา วิรุทฺธตฺตาฯ อิทญฺหิ วจนํ เอกสฺมิํ ปเท เอกา อาปตฺตีติ ทีเปติฯ ‘‘รูปํ อนิจฺจนฺติ วุจฺจมาโน รูติ โอปาเตตี’’ติ วจนโต สกลํ ปาทํ วาเจนฺตสฺส ปฐมอกฺขรมเตฺต เอกโต วุเตฺต อาปตฺตีติ สิทฺธนฺติ เจ? น, ‘‘อกฺขรกฺขราย อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ อิมินา วิรุทฺธตฺตา, ตสฺมา รูติ โอปาเตตีติ วตฺตุํ อสมฺภวโต รู-การสฺส ยถาวุตฺตธมฺมปริยาปนฺนภาวสิทฺธิโต ตํ อวตฺวา เกวลํ อกฺขราย วาเจนฺตสฺส ยถาวุตฺตธมฺมปริยาปนฺนอกฺขรภาวทสฺสนตฺถํ ‘‘รูปํ อนิจฺจนฺติ วุจฺจมาโน’’ติ วุตฺตํ, วจนสิลิฎฺฐตาวเสน วา อนุพฺยญฺชเน เวทนาวจนํ วิยาติ เวทิตพฺพํฯ

    Tatrāyaṃ vicāraṇā – ‘‘mayā saddhiṃ mā vadā’’ti vutto yadi vadati, bhikkhuno anāpattīti yuttametaṃ bhikkhuno vattukāmatāyābhāvato, bhāvepi sajjhāyakaraṇādīsu tīsu anāpattito ca. Atha sāmaṇerena byattatāya ‘‘mayā saddhiṃ mā vadā’’ti vutto bhikkhu abyattatāya vadati, āpatti eva vattukāmatāsabbhāvato. Sahasā ce vadati, anāpatti tadabhāvato. Sace bhikkhu evaṃ ‘‘mayā saddhiṃ mā vadā’’ti vatvā tena saddhiṃ sayaṃ vadati, āpatti eva. Na hi etaṃ sikkhāpadaṃ kiriyākiriyaṃ. Yadi etaṃ sikkhāpadaṃ kiriyākiriyaṃ bhaveyya, yuttaṃ. Tattha anāpattīti adhippāyo. Mahāpaccariyaṃ imināva adhippāyena ‘‘mayā saddhiṃ mā vadā’’ti vuttaṃ siyā. Na hi sāmaṇerassa kiriyā idha pamāṇanti, imasmiṃ pana adhippāye vutte atiyuttaṃvāti attho. Akkharattho byañjanattho. Kiñcāpi ‘‘yañca padaṃ yañca anupadaṃ yañca anvakkharaṃ yañca anubyañjanaṃ, sabbametaṃ padasodhammo nāmā’’ti vuttaṃ, tathāpi ‘‘padena vāceti, pade pade āpatti pācittiyassa, akkharāya vāceti, akkharakkharāya āpatti pācittiyassā’’ti idameva dvayaṃ yojitaṃ, taṃ kasmāti ce? Padena anupadaanubyañjanānaṃ saṅgahitattā. Vuttañhetaṃ ‘‘anupadanti dutiyapādo. Anubyañjananti purimabyañjanena sadisaṃ pacchābyañjana’’nti (pāci. aṭṭha. 45), tasmā anupadekadesamattameva anubyañjananti siddhaṃ. ‘‘Akkharānubyañjanasamūho pada’’nti ca vuttattā padamattameva vattabbaṃ tena anupadādittayaggahaṇatoti ce? Na vattabbaṃ vacanavisesato. Padena vācento hi pade vā anupade vā anubyañjane vā āpattiṃ āpajjati. Na akkharena. Akkharena vācento pana padādīsu aññatarasmiṃ āpajjati. Na hi ‘‘varo varaññū varado varāharo’’tiādimhi paṭhamaṃ va-kāraṃ vācento dutiyādiva-kāre opāteti, paṭhamaṃ ro-kāraṃ vācento dutiyaro-kāre opāteti, paṭhamaṃ ra-kāraṃ vācento dutiyara-kāre opāteti, āpatti pācittiyassāti sambhavati. Anubyañjanānulomato sambhavati evāti ce? Na, ‘‘pade pade āpatti pācittiyassā’’ti iminā viruddhattā. Idañhi vacanaṃ ekasmiṃ pade ekā āpattīti dīpeti. ‘‘Rūpaṃ aniccanti vuccamāno rūti opātetī’’ti vacanato sakalaṃ pādaṃ vācentassa paṭhamaakkharamatte ekato vutte āpattīti siddhanti ce? Na, ‘‘akkharakkharāya āpatti pācittiyassā’’ti iminā viruddhattā, tasmā rūti opātetīti vattuṃ asambhavato rū-kārassa yathāvuttadhammapariyāpannabhāvasiddhito taṃ avatvā kevalaṃ akkharāya vācentassa yathāvuttadhammapariyāpannaakkharabhāvadassanatthaṃ ‘‘rūpaṃ aniccanti vuccamāno’’ti vuttaṃ, vacanasiliṭṭhatāvasena vā anubyañjane vedanāvacanaṃ viyāti veditabbaṃ.

    ปทโสธมฺมสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Padasodhammasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. มุสาวาทวโคฺค • 1. Musāvādavaggo

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๔. ปทโสธมฺมสิกฺขาปทวณฺณนา • 4. Padasodhammasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๔. ปทโสธมฺมสิกฺขาปทวณฺณนา • 4. Padasodhammasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๔. ปทโสธมฺมสิกฺขาปทวณฺณนา • 4. Padasodhammasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๔. ปทโสธมฺมสิกฺขาปทํ • 4. Padasodhammasikkhāpadaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact