Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๒. ปธานสุตฺตวณฺณนา
2. Padhānasuttavaṇṇanā
๔๒๘. ตํ มํ ปธานปหิตตฺตนฺติ ปธานสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? ‘‘ปธานาย คมิสฺสามิ, เอตฺถ เม รญฺชตี มโน’’ติ อายสฺมา อานโนฺท ปพฺพชฺชาสุตฺตํ นิฎฺฐาเปสิฯ ภควา คนฺธกุฎิยํ นิสิโนฺน จิเนฺตสิ – ‘‘มยา ฉพฺพสฺสานิ ปธานํ ปตฺถยมาเนน ทุกฺกรการิกา กตา, ตํ อชฺช ภิกฺขูนํ กเถสฺสามี’’ติฯ อถ คนฺธกุฎิโต นิกฺขมิตฺวา พุทฺธาสเน นิสิโนฺน ‘‘ตํ มํ ปธานปหิตตฺต’’นฺติ อารภิตฺวา อิมํ สุตฺตมภาสิฯ
428.Taṃmaṃ padhānapahitattanti padhānasuttaṃ. Kā uppatti? ‘‘Padhānāya gamissāmi, ettha me rañjatī mano’’ti āyasmā ānando pabbajjāsuttaṃ niṭṭhāpesi. Bhagavā gandhakuṭiyaṃ nisinno cintesi – ‘‘mayā chabbassāni padhānaṃ patthayamānena dukkarakārikā katā, taṃ ajja bhikkhūnaṃ kathessāmī’’ti. Atha gandhakuṭito nikkhamitvā buddhāsane nisinno ‘‘taṃ maṃ padhānapahitatta’’nti ārabhitvā imaṃ suttamabhāsi.
ตตฺถ ตํ มนฺติ ทฺวีหิปิ วจเนหิ อตฺตานเมว นิทฺทิสติฯ ปธานปหิตตฺตนฺติ นิพฺพานตฺถาย เปสิตจิตฺตํ ปริจฺจตฺตอตฺตภาวํ วาฯ นทิํ เนรญฺชรํ ปตีติ ลกฺขณํ นิทฺทิสติฯ ลกฺขณญฺหิ ปธานปหิตตฺตาย เนรญฺชรา นทีฯ เตเนว เจตฺถ อุปโยควจนํฯ อยํ ปนโตฺถ ‘‘นทิยา เนรญฺชรายา’’ติ, เนรญฺชราย ตีเรติ วุตฺตํ โหติฯ วิปรกฺกมฺมาติ อตีว ปรกฺกมิตฺวาฯ ฌายนฺตนฺติ อปฺปาณกชฺฌานมนุยุญฺชนฺตํ ฯ โยคเกฺขมสฺส ปตฺติยาติ จตูหิ โยเคหิ เขมสฺส นิพฺพานสฺส อธิคมตฺถํฯ
Tattha taṃ manti dvīhipi vacanehi attānameva niddisati. Padhānapahitattanti nibbānatthāya pesitacittaṃ pariccattaattabhāvaṃ vā. Nadiṃ nerañjaraṃ patīti lakkhaṇaṃ niddisati. Lakkhaṇañhi padhānapahitattāya nerañjarā nadī. Teneva cettha upayogavacanaṃ. Ayaṃ panattho ‘‘nadiyā nerañjarāyā’’ti, nerañjarāya tīreti vuttaṃ hoti. Viparakkammāti atīva parakkamitvā. Jhāyantanti appāṇakajjhānamanuyuñjantaṃ . Yogakkhemassa pattiyāti catūhi yogehi khemassa nibbānassa adhigamatthaṃ.
๔๒๙. นมุจีติ มาโรฯ โส หิ อตฺตโน วิสยา นิกฺขมิตุกาเม เทวมนุเสฺส น มุญฺจติ, อนฺตรายํ เนสํ กโรติ, ตสฺมา ‘‘นมุจี’’ติ วุจฺจติฯ กรุณํ วาจนฺติ อนุทฺทยายุตฺตํ วาจํฯ ภาสมาโน อุปาคมีติ อิทํ อุตฺตานเมวฯ กสฺมา ปน อุปาคโต? มหาปุริโส กิร เอกทิวสํ จิเนฺตสิ – ‘‘สพฺพทา อาหารํ ปริเยสมาโน ชีวิเต สาเปโกฺข โหติ, น จ สกฺกา ชีวิเต สาเปเกฺขน อมตํ อธิคนฺตุ’’นฺติ ฯ ตโต อาหารุปเจฺฉทาย ปฎิปชฺชิ, เตน กิโส ทุพฺพโณฺณ จ อโหสิฯ อถ มาโร ‘‘อยํ สโมฺพธาย มโคฺค โหติ, น โหตีติ อชานโนฺต อติโฆรํ ตปํ กโรติ, กทาจิ มม วิสยํ อติกฺกเมยฺยา’’ติ ภีโต ‘‘อิทญฺจิทญฺจ วตฺวา วาเรสฺสามี’’ติ อาคโตฯ เตเนวาห – ‘‘กิโส ตฺวมสิ ทุพฺพโณฺณ, สนฺติเก มรณํ ตวา’’ติฯ
429.Namucīti māro. So hi attano visayā nikkhamitukāme devamanusse na muñcati, antarāyaṃ nesaṃ karoti, tasmā ‘‘namucī’’ti vuccati. Karuṇaṃ vācanti anuddayāyuttaṃ vācaṃ. Bhāsamāno upāgamīti idaṃ uttānameva. Kasmā pana upāgato? Mahāpuriso kira ekadivasaṃ cintesi – ‘‘sabbadā āhāraṃ pariyesamāno jīvite sāpekkho hoti, na ca sakkā jīvite sāpekkhena amataṃ adhigantu’’nti . Tato āhārupacchedāya paṭipajji, tena kiso dubbaṇṇo ca ahosi. Atha māro ‘‘ayaṃ sambodhāya maggo hoti, na hotīti ajānanto atighoraṃ tapaṃ karoti, kadāci mama visayaṃ atikkameyyā’’ti bhīto ‘‘idañcidañca vatvā vāressāmī’’ti āgato. Tenevāha – ‘‘kiso tvamasi dubbaṇṇo, santike maraṇaṃ tavā’’ti.
๔๓๐. เอวญฺจ ปน วตฺวา อถสฺส มรณสนฺติกภาวํ สาเวโนฺต อาห – ‘‘สหสฺสภาโค มรณสฺส, เอกํโส ตว ชีวิต’’นฺติฯ ตสฺสโตฺถ – สหสฺสํ ภาคานํ อสฺสาติ สหสฺสภาโคฯ โก โส ? มรณสฺส ปจฺจโยติ ปาฐเสโสฯ เอโก อํโสติ เอกํโสฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อยํ อปฺปาณกชฺฌานาทิสหสฺสภาโค ตว มรณสฺส ปจฺจโย, ตโต ปน เต เอโก เอว ภาโค ชีวิตํ, เอวํ สนฺติเก มรณํ ตวาติฯ เอวํ มรณสฺส สนฺติกภาวํ สาเวตฺวา อถ นํ ชีวิเต สมุสฺสาเหโนฺต อาห ‘‘ชีว โภ ชีวิตํ เสโยฺย’’ติฯ กถํ เสโยฺยติ เจฯ ชีวํ ปุญฺญานิ กาหสีติฯ
430. Evañca pana vatvā athassa maraṇasantikabhāvaṃ sāvento āha – ‘‘sahassabhāgo maraṇassa, ekaṃso tava jīvita’’nti. Tassattho – sahassaṃ bhāgānaṃ assāti sahassabhāgo. Ko so ? Maraṇassa paccayoti pāṭhaseso. Eko aṃsoti ekaṃso. Idaṃ vuttaṃ hoti – ayaṃ appāṇakajjhānādisahassabhāgo tava maraṇassa paccayo, tato pana te eko eva bhāgo jīvitaṃ, evaṃ santike maraṇaṃ tavāti. Evaṃ maraṇassa santikabhāvaṃ sāvetvā atha naṃ jīvite samussāhento āha ‘‘jīva bho jīvitaṃ seyyo’’ti. Kathaṃ seyyoti ce. Jīvaṃ puññāni kāhasīti.
๔๓๑. อถ อตฺตนา สมฺมตานิ ปุญฺญานิ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘จรโต จ เต พฺรหฺมจริย’’นฺติฯ ตตฺถ พฺรหฺมจริยนฺติ กาเลน กาลํ เมถุนวิรติํ สนฺธายาห, ยํ ตาปสา กโรนฺติฯ ชูหโตติ ชุหนฺตสฺสฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ
431. Atha attanā sammatāni puññāni dassento āha – ‘‘carato ca te brahmacariya’’nti. Tattha brahmacariyanti kālena kālaṃ methunaviratiṃ sandhāyāha, yaṃ tāpasā karonti. Jūhatoti juhantassa. Sesamettha pākaṭameva.
๔๓๒. ทุโคฺค มโคฺคติ อิมํ ปน อฑฺฒคาถํ ปธานวิจฺฉนฺทํ ชเนโนฺต อาหฯ ตตฺถ อปฺปาณกชฺฌานาทิคหนตฺตา ทุเกฺขน คนฺตโพฺพติ ทุโคฺค, ทุกฺขิตกายจิเตฺตน กตฺตพฺพตฺตา ทุกฺกโร, สนฺติกมรเณน ตาทิเสนาปิ ปาปุณิตุํ อสกฺกุเณยฺยโต ทุรภิสมฺภโวติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิโต ปรํ อิมา คาถา ภณํ มาโร, อฎฺฐา พุทฺธสฺส สนฺติเกติ อยมุปฑฺฒคาถา สงฺคีติกาเรหิ วุตฺตาฯ สกลคาถาปีติ เอเกฯ ภควตา เอว ปน ปรํ วิย อตฺตานํ นิทฺทิสเนฺตน สพฺพเมตฺถ เอวํชาติกํ วุตฺตนฺติ อยมมฺหากํ ขนฺติฯ ตตฺถ อฎฺฐาติ อฎฺฐาสิฯ เสสํ อุตฺตานเมวฯ
432.Duggo maggoti imaṃ pana aḍḍhagāthaṃ padhānavicchandaṃ janento āha. Tattha appāṇakajjhānādigahanattā dukkhena gantabboti duggo, dukkhitakāyacittena kattabbattā dukkaro, santikamaraṇena tādisenāpi pāpuṇituṃ asakkuṇeyyato durabhisambhavoti evamattho veditabbo. Ito paraṃ imā gāthā bhaṇaṃ māro, aṭṭhā buddhassa santiketi ayamupaḍḍhagāthā saṅgītikārehi vuttā. Sakalagāthāpīti eke. Bhagavatā eva pana paraṃ viya attānaṃ niddisantena sabbamettha evaṃjātikaṃ vuttanti ayamamhākaṃ khanti. Tattha aṭṭhāti aṭṭhāsi. Sesaṃ uttānameva.
๔๓๓. ฉฎฺฐคาถาย เยนเตฺถนาติ เอตฺถ ปเรสํ อนฺตรายกรเณน อตฺตโน อเตฺถน ตฺวํ, ปาปิม, อาคโตสีติ อยมธิปฺปาโย ฯ เสสํ อุตฺตานเมวฯ
433. Chaṭṭhagāthāya yenatthenāti ettha paresaṃ antarāyakaraṇena attano atthena tvaṃ, pāpima, āgatosīti ayamadhippāyo . Sesaṃ uttānameva.
๔๓๔. ‘‘ชีวํ ปุญฺญานิ กาหสี’’ติ อิทํ ปน วจนํ ปฎิกฺขิปโนฺต ‘‘อณุมโตฺตปี’’ติ อิมํ คาถมาหฯ ตตฺถ ปุเญฺญนาติ วฎฺฎคามิํ มาเรน วุตฺตํ ปุญฺญํ สนฺธาย ภณติฯ เสสํ อุตฺตานเมวฯ
434. ‘‘Jīvaṃ puññāni kāhasī’’ti idaṃ pana vacanaṃ paṭikkhipanto ‘‘aṇumattopī’’ti imaṃ gāthamāha. Tattha puññenāti vaṭṭagāmiṃ mārena vuttaṃ puññaṃ sandhāya bhaṇati. Sesaṃ uttānameva.
๔๓๕. อิทานิ ‘‘เอกํโส ตว ชีวิต’’นฺติ อิทํ วจนํ อารพฺภ มารํ สนฺตเชฺชโนฺต ‘‘อตฺถิ สทฺธา’’ติ อิมํ คาถมาหฯ ตตฺรายมธิปฺปาโย – อเร, มาร, โย อนุตฺตเร สนฺติวรปเท อสฺสโทฺธ ภเวยฺย, สโทฺธปิ วา กุสีโต, สโทฺธ อารทฺธวีริโย สมาโนปิ วา ทุปฺปโญฺญ, ตํ ตฺวํ ชีวิตมนุปุจฺฉมาโน โสเภยฺยาสิ, มยฺหํ ปน อนุตฺตเร สนฺติวรปเท โอกปฺปนสทฺธา อตฺถิ, ตถา กายิกเจตสิกมสิถิลปรกฺกมตาสงฺขาตํ วีริยํ, วชิรูปมา ปญฺญา จ มม วิชฺชติ, โส ตฺวํ เอวํ มํ ปหิตตฺตํ อุตฺตมชฺฌาสยํ กิํ ชีวมนุปุจฺฉสิ, กสฺมา ชีวิตํ ปุจฺฉสิฯ ปญฺญา จ มมาติ เอตฺถ จ สเทฺทน สติ สมาธิ จฯ เอวํ สเนฺต เยหิ ปญฺจหิ อินฺทฺริเยหิ สมนฺนาคตา นิพฺพานํ ปาปุณนฺติ, เตสุ เอเกนาปิ อวิรหิตํ เอวํ มํ ปหิตตฺตํ กิํ ชีวมนุปุจฺฉสิ? นนุ – เอกาหํ ชีวิตํ เสโยฺย, วีริยมารภโต ทฬฺหํ (ธ. ป. ๑๑๒)ฯ ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโน, ปสฺสโต อุทยพฺพยนฺติ (ธ. ป. ๑๑๑, ๑๑๓)ฯ
435. Idāni ‘‘ekaṃso tava jīvita’’nti idaṃ vacanaṃ ārabbha māraṃ santajjento ‘‘atthi saddhā’’ti imaṃ gāthamāha. Tatrāyamadhippāyo – are, māra, yo anuttare santivarapade assaddho bhaveyya, saddhopi vā kusīto, saddho āraddhavīriyo samānopi vā duppañño, taṃ tvaṃ jīvitamanupucchamāno sobheyyāsi, mayhaṃ pana anuttare santivarapade okappanasaddhā atthi, tathā kāyikacetasikamasithilaparakkamatāsaṅkhātaṃ vīriyaṃ, vajirūpamā paññā ca mama vijjati, so tvaṃ evaṃ maṃ pahitattaṃ uttamajjhāsayaṃ kiṃ jīvamanupucchasi, kasmā jīvitaṃ pucchasi. Paññāca mamāti ettha ca saddena sati samādhi ca. Evaṃ sante yehi pañcahi indriyehi samannāgatā nibbānaṃ pāpuṇanti, tesu ekenāpi avirahitaṃ evaṃ maṃ pahitattaṃ kiṃ jīvamanupucchasi? Nanu – ekāhaṃ jīvitaṃ seyyo, vīriyamārabhato daḷhaṃ (dha. pa. 112). Paññavantassa jhāyino, passato udayabbayanti (dha. pa. 111, 113).
๔๓๖-๘. เอวํ มารํ สนฺตเชฺชตฺวา อตฺตโน เทหจิตฺตปฺปวตฺติํ ทเสฺสโนฺต ‘‘นทีนมปี’’ปิ คาถาตฺตยมาหฯ ตมตฺถโต ปากฎเมวฯ อยํ ปน อธิปฺปายวณฺณนา – ยฺวายํ มม สรีเร อปฺปาณกชฺฌานวีริยเวคสมุฎฺฐิโต วาโต วตฺตติ, โลเก คงฺคายมุนาทีนํ นทีนมฺปิ โสตานิ อยํ วิโสสเย, กิญฺจ เม เอวํ ปหิตตฺตสฺส จตุนาฬิมตฺตํ โลหิตํ น อุปโสเสยฺยฯ น เกวลญฺจ เม โลหิตเมว สุสฺสติ, อปิจ โข ปน ตมฺหิ โลหิเต สุสฺสมานมฺหิ พทฺธาพทฺธเภทํ สรีรานุคตํ ปิตฺตํ, อสิตปีตาทิปฎิจฺฉาทกํ จตุนาฬิมตฺตเมว เสมฺหญฺจ, กิญฺจาปรํ ตตฺตกเมว มุตฺตญฺจ โอชญฺจ สุสฺสติ, เตสุ จ สุสฺสมาเนสุ มํสานิปิ ขียนฺติ, ตสฺส เม เอวํ อนุปุเพฺพน มํเสสุ ขียมาเนสุ ภิโยฺย จิตฺตํ ปสีทติ, น เตฺวว ตปฺปจฺจยา สํสีทติฯ โส ตฺวํ อีทิสํ จิตฺตมชานโนฺต สรีรมตฺตเมว ทิสฺวา ภณสิ ‘‘กิโส ตฺวมสิ ทุพฺพโณฺณ, สนฺติเก มรณํ ตวา’’ติฯ น เกวลญฺจ เม จิตฺตเมว ปสีทติ, อปิจ โข ปน ภิโยฺย สติ จ ปญฺญา จ สมาธิ มม ติฎฺฐติ, อณุมโตฺตปิ ปมาโท วา สโมฺมโห วา จิตฺตวิเกฺขโป วา นตฺถิ, ตสฺส มยฺหํ เอวํ วิหรโต เย เกจิ สมณพฺราหฺมณา อตีตํ วา อทฺธานํ อนาคตํ วา เอตรหิ วา โอปกฺกมิกา เวทนา เวทยนฺติ, ตาสํ นิทสฺสนภูตํ ปตฺตสฺส อุตฺตมเวทนํฯ ยถา อเญฺญสํ ทุเกฺขน ผุฎฺฐานํ สุขํ, สีเตน อุณฺหํ, อุเณฺหน สีตํ, ขุทาย โภชนํ, ปิปาสาย ผุฎฺฐานํ อุทกํ อเปกฺขเต จิตฺตํ, เอวํ ปญฺจสุ กามคุเณสุ เอกกามมฺปิ นาเปกฺขเก จิตฺตํฯ ‘‘อโห วตาหํ สุโภชนํ ภุญฺชิตฺวา สุขเสยฺยํ สเยยฺย’’นฺติ อีทิเสนากาเรน มม จิตฺตํ น อุปฺปนฺนํ, ปสฺส, ตฺวํ มาร, สตฺตสฺส สุทฺธตนฺติฯ
436-8. Evaṃ māraṃ santajjetvā attano dehacittappavattiṃ dassento ‘‘nadīnamapī’’pi gāthāttayamāha. Tamatthato pākaṭameva. Ayaṃ pana adhippāyavaṇṇanā – yvāyaṃ mama sarīre appāṇakajjhānavīriyavegasamuṭṭhito vāto vattati, loke gaṅgāyamunādīnaṃ nadīnampi sotāni ayaṃ visosaye, kiñca me evaṃ pahitattassa catunāḷimattaṃ lohitaṃ na upasoseyya. Na kevalañca me lohitameva sussati, apica kho pana tamhi lohite sussamānamhi baddhābaddhabhedaṃ sarīrānugataṃ pittaṃ, asitapītādipaṭicchādakaṃ catunāḷimattameva semhañca, kiñcāparaṃ tattakameva muttañca ojañca sussati, tesu ca sussamānesu maṃsānipi khīyanti, tassa me evaṃ anupubbena maṃsesu khīyamānesu bhiyyo cittaṃ pasīdati, na tveva tappaccayā saṃsīdati. So tvaṃ īdisaṃ cittamajānanto sarīramattameva disvā bhaṇasi ‘‘kiso tvamasi dubbaṇṇo, santike maraṇaṃ tavā’’ti. Na kevalañca me cittameva pasīdati, apica kho pana bhiyyo sati ca paññā ca samādhi mama tiṭṭhati, aṇumattopi pamādo vā sammoho vā cittavikkhepo vā natthi, tassa mayhaṃ evaṃ viharato ye keci samaṇabrāhmaṇā atītaṃ vā addhānaṃ anāgataṃ vā etarahi vā opakkamikā vedanā vedayanti, tāsaṃ nidassanabhūtaṃ pattassa uttamavedanaṃ. Yathā aññesaṃ dukkhena phuṭṭhānaṃ sukhaṃ, sītena uṇhaṃ, uṇhena sītaṃ, khudāya bhojanaṃ, pipāsāya phuṭṭhānaṃ udakaṃ apekkhate cittaṃ, evaṃ pañcasu kāmaguṇesu ekakāmampi nāpekkhake cittaṃ. ‘‘Aho vatāhaṃ subhojanaṃ bhuñjitvā sukhaseyyaṃ sayeyya’’nti īdisenākārena mama cittaṃ na uppannaṃ, passa, tvaṃ māra, sattassa suddhatanti.
๔๓๙-๔๑. เอวํ อตฺตโน สุทฺธตํ ทเสฺสตฺวา ‘‘นิวาเรสฺสามิ ต’’นฺติ อาคตสฺส มารสฺส มโนรถภญฺชนตฺถํ มารเสนํ กิเตฺตตฺวา ตาย อปราชิตภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘กามา เต ปฐมา เสนา’’ติอาทิกา ฉ คาถาโย อาหฯ
439-41. Evaṃ attano suddhataṃ dassetvā ‘‘nivāressāmi ta’’nti āgatassa mārassa manorathabhañjanatthaṃ mārasenaṃ kittetvā tāya aparājitabhāvaṃ dassento ‘‘kāmā te paṭhamā senā’’tiādikā cha gāthāyo āha.
ตตฺถ ยสฺมา อาทิโตว อคาริยภูเต สเตฺต วตฺถุกาเมสุ กิเลสกามา โมหยนฺติ, เต อภิภุยฺย อนคาริยภาวํ อุปคตานํ ปเนฺตสุ วา เสนาสเนสุ อญฺญตรญฺญตเรสุ วา อธิกุสเลสุ ธเมฺมสุ อรติ อุปฺปชฺชติฯ วุตฺตเญฺจตํ ‘‘ปพฺพชิเตน โข, อาวุโส, อภิรติ ทุกฺกรา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๓๑)ฯ ตโต เต ปรปฎิพทฺธชีวิกตฺตา ขุปฺปิปาสา พาเธติ, ตาย พาธิตานํ ปริเยสนตณฺหา จิตฺตํ กิลมยติ, อถ เนสํ กิลนฺตจิตฺตานํ ถินมิทฺธํ โอกฺกมติฯ ตโต วิเสสมนธิคจฺฉนฺตานํ ทุรภิสมฺภเวสุ อรญฺญวนปเตฺถสุ เสนาสเนสุ วิหรตํ อุตฺราสสญฺญิตา ภีรุ ชายติ, เตสํ อุสฺสงฺกิตปริสงฺกิตานํ ทีฆรตฺตํ วิเวกรสมนสฺสาทยมานานํ วิหรตํ ‘‘น สิยา นุ โข เอส มโคฺค’’ติ ปฎิปตฺติยํ วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชติ, ตํ วิโนเทตฺวา วิหรตํ อปฺปมตฺตเกน วิเสสาธิคเมน มานมกฺขถมฺภา ชายนฺติ, เตปิ วิโนเทตฺวา วิหรตํ ตโต อธิกตรํ วิเสสาธิคมํ นิสฺสาย ลาภสกฺการสิโลกา อุปฺปชฺชนฺติ, ลาภาทิมุจฺฉิตา ธมฺมปติรูปกานิ ปกาเสนฺตา มิจฺฉายสํ อธิคนฺตฺวา ตตฺถ ฐิตา ชาติอาทีหิ อตฺตานํ อุกฺกํเสนฺติ, ปรํ วเมฺภนฺติ, ตสฺมา กามาทีนํ ปฐมเสนาทิภาโว เวทิตโพฺพฯ
Tattha yasmā āditova agāriyabhūte satte vatthukāmesu kilesakāmā mohayanti, te abhibhuyya anagāriyabhāvaṃ upagatānaṃ pantesu vā senāsanesu aññataraññataresu vā adhikusalesu dhammesu arati uppajjati. Vuttañcetaṃ ‘‘pabbajitena kho, āvuso, abhirati dukkarā’’ti (saṃ. ni. 4.331). Tato te parapaṭibaddhajīvikattā khuppipāsā bādheti, tāya bādhitānaṃ pariyesanataṇhā cittaṃ kilamayati, atha nesaṃ kilantacittānaṃ thinamiddhaṃ okkamati. Tato visesamanadhigacchantānaṃ durabhisambhavesu araññavanapatthesu senāsanesu viharataṃ utrāsasaññitā bhīru jāyati, tesaṃ ussaṅkitaparisaṅkitānaṃ dīgharattaṃ vivekarasamanassādayamānānaṃ viharataṃ ‘‘na siyā nu kho esa maggo’’ti paṭipattiyaṃ vicikicchā uppajjati, taṃ vinodetvā viharataṃ appamattakena visesādhigamena mānamakkhathambhā jāyanti, tepi vinodetvā viharataṃ tato adhikataraṃ visesādhigamaṃ nissāya lābhasakkārasilokā uppajjanti, lābhādimucchitā dhammapatirūpakāni pakāsentā micchāyasaṃ adhigantvā tattha ṭhitā jātiādīhi attānaṃ ukkaṃsenti, paraṃ vambhenti, tasmā kāmādīnaṃ paṭhamasenādibhāvo veditabbo.
๔๔๒-๓. เอวเมตํ ทสวิธํ เสนํ อุทฺทิสิตฺวา ยสฺมา สา กณฺหธมฺมสมนฺนาคตตฺตา กณฺหสฺส นมุจิโน อุปการาย สํวตฺตติ, ตสฺมา นํ ตว เสนาติ นิทฺทิสโนฺต อาห – ‘‘เอสา นมุจิ เต เสนา, กณฺหสฺสาภิปฺปหารินี’’ติฯ ตตฺถ อภิปฺปหารินีติ สมณพฺราหฺมณานํ ฆาตนี นิโปฺปถนี, อนฺตรายกรีติ อโตฺถฯ น นํ อสูโร ชินาติ, เชตฺวา จ ลภเต สุขนฺติ เอวํ ตว เสนํ อสูโร กาเย จ ชีวิเต จ สาเปโกฺข ปุริโส น ชินาติ, สูโร ปน ชินาติ, เชตฺวา จ มคฺคสุขํ ผลสุขญฺจ อธิคจฺฉติฯ ยสฺมา จ ลภเต สุขํ, ตสฺมา สุขํ ปตฺถยมาโน อหมฺปิ เอส มุญฺชํ ปริหเรติฯ สงฺคามาวจรา อนิวตฺติโน ปุริสา อตฺตโน อนิวตฺตนกภาววิญฺญาปนตฺถํ สีเส วา ธเช วา อาวุเธ วา มุญฺชติณํ พนฺธนฺติ, ตํ อยมฺปิ ปริหรติเจฺจว มํ ธาเรหิฯ ตว เสนาย ปราชิตสฺส ธิรตฺถุ มม ชีวิตํ, ตสฺมา เอวํ ธาเรหิ – สงฺคาเม เม มตํ เสโยฺย, ยเญฺจ ชีเว ปราชิโต, เยน ชีวิเตน ปราชิโต ชีเว, ตสฺมา ชีวิตา ตยา สมฺมาปฎิปนฺนานํ อนฺตรายกเรน สทฺธิํ สงฺคาเม มตํ มม เสโยฺยติ อโตฺถฯ
442-3. Evametaṃ dasavidhaṃ senaṃ uddisitvā yasmā sā kaṇhadhammasamannāgatattā kaṇhassa namucino upakārāya saṃvattati, tasmā naṃ tava senāti niddisanto āha – ‘‘esā namuci te senā, kaṇhassābhippahārinī’’ti. Tattha abhippahārinīti samaṇabrāhmaṇānaṃ ghātanī nippothanī, antarāyakarīti attho. Na naṃ asūro jināti, jetvā ca labhate sukhanti evaṃ tava senaṃ asūro kāye ca jīvite ca sāpekkho puriso na jināti, sūro pana jināti, jetvā ca maggasukhaṃ phalasukhañca adhigacchati. Yasmā ca labhate sukhaṃ, tasmā sukhaṃ patthayamāno ahampi esa muñjaṃ parihareti. Saṅgāmāvacarā anivattino purisā attano anivattanakabhāvaviññāpanatthaṃ sīse vā dhaje vā āvudhe vā muñjatiṇaṃ bandhanti, taṃ ayampi pariharaticceva maṃ dhārehi. Tava senāya parājitassa dhiratthu mama jīvitaṃ, tasmā evaṃ dhārehi – saṅgāme me mataṃ seyyo, yañce jīve parājito, yena jīvitena parājito jīve, tasmā jīvitā tayā sammāpaṭipannānaṃ antarāyakarena saddhiṃ saṅgāme mataṃ mama seyyoti attho.
๔๔๔. กสฺมา มตํ เสโยฺยติ เจ? ยสฺมา ปคาเฬฺหตฺถ…เป.… สุพฺพตา, เอตฺถ กามาทิกาย อตฺตุกฺกํสนปรวมฺภนปริโยสานาย ตว เสนาย ปคาฬฺหา นิมุคฺคา อนุปวิฎฺฐา เอเก สมณพฺราหฺมณา น ทิสฺสนฺติ, สีลาทีหิ คุเณหิ นปฺปกาสนฺติ, อนฺธการํ ปวิฎฺฐา วิย โหนฺติฯ เอเต เอวํ ปคาฬฺหา สมานา สเจปิ กทาจิ อุมฺมุชฺชิตฺวา นิมุชฺชนปุริโส วิย ‘‘สาหุ สทฺธา’’ติอาทินา นเยน อุมฺมุชฺชนฺติ, ตถาปิ ตาย เสนาย อโชฺฌตฺถฎตฺตา ตญฺจ มคฺคํ น ชานนฺติ เขมํ นิพฺพานคามีนํ, สเพฺพปิ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธาทโย เยน คจฺฉนฺติ สุพฺพตาติฯ อิมํ ปน คาถํ สุตฺวา มาโร ปุน กิญฺจิ อวตฺวา เอว ปกฺกามิฯ
444. Kasmā mataṃ seyyoti ce? Yasmā pagāḷhettha…pe… subbatā, ettha kāmādikāya attukkaṃsanaparavambhanapariyosānāya tava senāya pagāḷhā nimuggā anupaviṭṭhā eke samaṇabrāhmaṇā na dissanti, sīlādīhi guṇehi nappakāsanti, andhakāraṃ paviṭṭhā viya honti. Ete evaṃ pagāḷhā samānā sacepi kadāci ummujjitvā nimujjanapuriso viya ‘‘sāhu saddhā’’tiādinā nayena ummujjanti, tathāpi tāya senāya ajjhotthaṭattā tañca maggaṃ na jānanti khemaṃ nibbānagāmīnaṃ, sabbepi buddhapaccekabuddhādayo yena gacchanti subbatāti. Imaṃ pana gāthaṃ sutvā māro puna kiñci avatvā eva pakkāmi.
๔๔๕-๖. ปกฺกเนฺต ปน ตสฺมิํ มหาสโตฺต ตาย ทุกฺกรการิกาย กิญฺจิปิ วิเสสํ อนธิคจฺฉโนฺต อนุกฺกเมน ‘‘สิยา นุ โข อโญฺญ มโคฺค โพธายา’’ติอาทีนิ จิเนฺตตฺวา โอฬาริกาหารํ อาหาเรตฺวา, พลํ คเหตฺวา, วิสาขปุณฺณมทิวเส ปเคว สุชาตาย ปายาสํ ปริภุญฺชิตฺวา, ภทฺรวนสเณฺฑ ทิวาวิหารํ นิสีทิตฺวา, ตตฺถ อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตโนฺต ทิวสํ วีตินาเมตฺวา สายนฺหสมเย มหาโพธิมณฺฑาภิมุโข คนฺตฺวา โสตฺถิเยน ทินฺนา อฎฺฐ ติณมุฎฺฐิโย โพธิมูเล วิกิริตฺวา ทสสหสฺสโลกธาตุเทวตาหิ กตสกฺการพหุมาโน –
445-6. Pakkante pana tasmiṃ mahāsatto tāya dukkarakārikāya kiñcipi visesaṃ anadhigacchanto anukkamena ‘‘siyā nu kho añño maggo bodhāyā’’tiādīni cintetvā oḷārikāhāraṃ āhāretvā, balaṃ gahetvā, visākhapuṇṇamadivase pageva sujātāya pāyāsaṃ paribhuñjitvā, bhadravanasaṇḍe divāvihāraṃ nisīditvā, tattha aṭṭha samāpattiyo nibbattento divasaṃ vītināmetvā sāyanhasamaye mahābodhimaṇḍābhimukho gantvā sotthiyena dinnā aṭṭha tiṇamuṭṭhiyo bodhimūle vikiritvā dasasahassalokadhātudevatāhi katasakkārabahumāno –
‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ, อฎฺฐิ จ อวสิสฺสตุ;
‘‘Kāmaṃ taco ca nhāru ca, aṭṭhi ca avasissatu;
อุปสุสฺสตุ นิเสฺสสํ, สรีเร มํสโลหิต’’นฺติฯ –
Upasussatu nissesaṃ, sarīre maṃsalohita’’nti. –
จตุรงฺควีริยํ อธิฎฺฐหิตฺวา ‘‘น ทานิ พุทฺธตฺตํ อปาปุณิตฺวา ปลฺลงฺกํ ภินฺทิสฺสามี’’ติ ปฎิญฺญํ กตฺวา อปราชิตปลฺลเงฺก นิสีทิฯ ตํ ญตฺวา มาโร ปาปิมา ‘‘อชฺช สิทฺธโตฺถ ปฎิญฺญํ กตฺวา นิสิโนฺน, อเชฺชว ทานิสฺส สา ปฎิญฺญา ปฎิพาหิตพฺพา’’ติ โพธิมณฺฑโต ยาว จกฺกวาฬมายตํ ทฺวาทสโยชนวิตฺถารํ อุทฺธํ นวโยชนมุคฺคตํ มารเสนํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ทิยฑฺฒโยชนสตปฺปมาณํ คิริเมขลํ หตฺถิราชานํ อารุยฺห พาหุสหสฺสํ มาเปตฺวา นานาวุธานิ คเหตฺวา ‘‘คณฺหถ, หนถ, ปหรถา’’ติ ภณโนฺต อาฬวกสุเตฺต วุตฺตปฺปการา วุฎฺฐิโย มาเปสิ, ตา มหาปุริสํ ปตฺวา ตตฺถ วุตฺตปฺปการา เอว สมฺปชฺชิํสุฯ ตโต วชิรงฺกุเสน หตฺถิํ กุเมฺภ ปหริตฺวา มหาปุริสสฺส สมีปํ เนตฺวา ‘‘อุเฎฺฐหิ, โภ สิทฺธตฺถ, ปลฺลงฺกา’’ติ อาหฯ มหาปุริโส ‘‘น อุฎฺฐหามิ มารา’’ติ วตฺวา ตํ ธชินิํ สมนฺตา วิโลเกโนฺต อิมา คาถาโย อภาสิ ‘‘สมนฺตา ธชินิ’’นฺติฯ
Caturaṅgavīriyaṃ adhiṭṭhahitvā ‘‘na dāni buddhattaṃ apāpuṇitvā pallaṅkaṃ bhindissāmī’’ti paṭiññaṃ katvā aparājitapallaṅke nisīdi. Taṃ ñatvā māro pāpimā ‘‘ajja siddhattho paṭiññaṃ katvā nisinno, ajjeva dānissa sā paṭiññā paṭibāhitabbā’’ti bodhimaṇḍato yāva cakkavāḷamāyataṃ dvādasayojanavitthāraṃ uddhaṃ navayojanamuggataṃ mārasenaṃ samuṭṭhāpetvā diyaḍḍhayojanasatappamāṇaṃ girimekhalaṃ hatthirājānaṃ āruyha bāhusahassaṃ māpetvā nānāvudhāni gahetvā ‘‘gaṇhatha, hanatha, paharathā’’ti bhaṇanto āḷavakasutte vuttappakārā vuṭṭhiyo māpesi, tā mahāpurisaṃ patvā tattha vuttappakārā eva sampajjiṃsu. Tato vajiraṅkusena hatthiṃ kumbhe paharitvā mahāpurisassa samīpaṃ netvā ‘‘uṭṭhehi, bho siddhattha, pallaṅkā’’ti āha. Mahāpuriso ‘‘na uṭṭhahāmi mārā’’ti vatvā taṃ dhajiniṃ samantā vilokento imā gāthāyo abhāsi ‘‘samantā dhajini’’nti.
ตตฺถ ธชินินฺติ เสนํฯ ยุตฺตนฺติ อุยฺยุตฺตํฯ สวาหนนฺติ คิริเมขลนาคราชสหิตํฯ ปจฺจุคฺคจฺฉามีติ อภิมุโข อุปริ คมิสฺสามิ, โส จ โข เตเชเนว, น กาเยนฯ กสฺมา? มา มํ ฐานา อจาวยิ, มํ เอตสฺมา ฐานา อปราชิตปลฺลงฺกา มาโร มา จาเลสีติ วุตฺตํ โหติฯ นปฺปสหตีติ สหิตุํ น สโกฺกติ, นาภิภวติ วาฯ อามํ ปตฺตนฺติ กาจชาตํ มตฺติกาภาชนํฯ อสฺมนาติ ปาสาเณนฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ
Tattha dhajininti senaṃ. Yuttanti uyyuttaṃ. Savāhananti girimekhalanāgarājasahitaṃ. Paccuggacchāmīti abhimukho upari gamissāmi, so ca kho tejeneva, na kāyena. Kasmā? Mā maṃ ṭhānā acāvayi, maṃ etasmā ṭhānā aparājitapallaṅkā māro mā cālesīti vuttaṃ hoti. Nappasahatīti sahituṃ na sakkoti, nābhibhavati vā. Āmaṃ pattanti kācajātaṃ mattikābhājanaṃ. Asmanāti pāsāṇena. Sesamettha pākaṭameva.
๔๔๗-๘. อิทานิ ‘‘เอตํ เต มารเสนํ ภินฺทิตฺวา ตโต ปรํ วิชิตสงฺคาโม สมฺปตฺตธมฺมราชาภิเสโก อิทํ กริสฺสามี’’ติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘วสีกริตฺวา’’ติฯ ตตฺถ วสีกริตฺวา สงฺกปฺปนฺติ มคฺคภาวนาย สพฺพํ มิจฺฉาสงฺกปฺปํ ปหาย สมฺมาสงฺกปฺปเสฺสว ปวตฺตเนน วสีกริตฺวา สงฺกปฺปํฯ สติญฺจ สูปติฎฺฐิตนฺติ กายาทีสุ จตูสุ ฐาเนสุ อตฺตโน สติญฺจ สุฎฺฐุ อุปฎฺฐิตํ กริตฺวา เอวํ วสีกตสงฺกโปฺป สุปฺปติฎฺฐิตสฺสติ รฎฺฐา รฎฺฐํ วิจริสฺสามิ เทวมนุสฺสเภเท ปุถู สาวเก วินยโนฺตฯ อถ มยา วินียมานา เต อปฺปมตฺตา…เป.… น โสจเร, ตํ นิพฺพานามตเมวาติ อธิปฺปาโยฯ
447-8. Idāni ‘‘etaṃ te mārasenaṃ bhinditvā tato paraṃ vijitasaṅgāmo sampattadhammarājābhiseko idaṃ karissāmī’’ti dassento āha ‘‘vasīkaritvā’’ti. Tattha vasīkaritvā saṅkappanti maggabhāvanāya sabbaṃ micchāsaṅkappaṃ pahāya sammāsaṅkappasseva pavattanena vasīkaritvā saṅkappaṃ. Satiñca sūpatiṭṭhitanti kāyādīsu catūsu ṭhānesu attano satiñca suṭṭhu upaṭṭhitaṃ karitvā evaṃ vasīkatasaṅkappo suppatiṭṭhitassati raṭṭhā raṭṭhaṃ vicarissāmi devamanussabhede puthū sāvake vinayanto. Atha mayā vinīyamānā te appamattā…pe… na socare, taṃ nibbānāmatamevāti adhippāyo.
๔๔๙-๕๑. อถ มาโร อิมา คาถาโย สุตฺวา อาห – ‘‘เอวรูปํ ปกฺขํ ทิสฺวา น ภายสิ ภิกฺขู’’ติ? ‘‘อาม, มาร, น ภายามี’’ติฯ ‘‘กสฺมา น ภายสี’’ติ? ‘‘ทานาทีนํ ปารมิปุญฺญานํ กตตฺตา’’ติฯ ‘‘โก เอตํ ชานาติ ทานาทีนิ ตฺวมกาสี’’ติ? ‘‘กิํ เอตฺถ ปาปิม สกฺขิกิเจฺจน, อปิจ เอกสฺมิํเยว ภเว เวสฺสนฺตโร หุตฺวา ยํ ทานมทาสิํ, ตสฺสานุภาเวน สตฺตกฺขตฺตุํ ฉหิ ปกาเรหิ สญฺชาตกมฺปา อยํ มหาปถวีเยว สกฺขี’’ติฯ เอวํ วุเตฺต อุทกปริยนฺตํ กตฺวา มหาปถวี กมฺปิ เภรวสทฺทํ มุญฺจมานา, ยํ สุตฺวา มาโร อสนิหโต วิย ภีโต ธชํ ปณาเมตฺวา ปลายิ สทฺธิํ ปริสายฯ อถ มหาปุริโส ตีหิ ยาเมหิ ติโสฺส วิชฺชา สจฺฉิกตฺวา อรุณุคฺคมเน ‘‘อเนกชาติสํสารํ…เป.… ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา’’ติ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ มาโร อุทานสเทฺทน อาคนฺตฺวา ‘‘อยํ‘พุโทฺธ อห’นฺติ ปฎิชานาติ, หนฺท นํ อนุพนฺธามิ อาภิสมาจาริกํ ปสฺสิตุํฯ สจสฺส กิญฺจิ กาเยน วา วาจาย วา ขลิตํ ภวิสฺสติ, วิเหเฐสฺสามิ น’’นฺติ ปุเพฺพ โพธิสตฺตภูมิยํ ฉพฺพสฺสานิ อนุพนฺธิตฺวา พุทฺธตฺตํ ปตฺตํ เอกํ วสฺสํ อนุพนฺธิฯ ตโต ภควโต กิญฺจิ ขลิตํ อปสฺสโนฺต ‘‘สตฺต วสฺสานี’’ติ อิมา นิเพฺพชนียคาถาโย อภาสิฯ
449-51. Atha māro imā gāthāyo sutvā āha – ‘‘evarūpaṃ pakkhaṃ disvā na bhāyasi bhikkhū’’ti? ‘‘Āma, māra, na bhāyāmī’’ti. ‘‘Kasmā na bhāyasī’’ti? ‘‘Dānādīnaṃ pāramipuññānaṃ katattā’’ti. ‘‘Ko etaṃ jānāti dānādīni tvamakāsī’’ti? ‘‘Kiṃ ettha pāpima sakkhikiccena, apica ekasmiṃyeva bhave vessantaro hutvā yaṃ dānamadāsiṃ, tassānubhāvena sattakkhattuṃ chahi pakārehi sañjātakampā ayaṃ mahāpathavīyeva sakkhī’’ti. Evaṃ vutte udakapariyantaṃ katvā mahāpathavī kampi bheravasaddaṃ muñcamānā, yaṃ sutvā māro asanihato viya bhīto dhajaṃ paṇāmetvā palāyi saddhiṃ parisāya. Atha mahāpuriso tīhi yāmehi tisso vijjā sacchikatvā aruṇuggamane ‘‘anekajātisaṃsāraṃ…pe… taṇhānaṃ khayamajjhagā’’ti imaṃ udānaṃ udānesi. Māro udānasaddena āgantvā ‘‘ayaṃ‘buddho aha’nti paṭijānāti, handa naṃ anubandhāmi ābhisamācārikaṃ passituṃ. Sacassa kiñci kāyena vā vācāya vā khalitaṃ bhavissati, viheṭhessāmi na’’nti pubbe bodhisattabhūmiyaṃ chabbassāni anubandhitvā buddhattaṃ pattaṃ ekaṃ vassaṃ anubandhi. Tato bhagavato kiñci khalitaṃ apassanto ‘‘satta vassānī’’ti imā nibbejanīyagāthāyo abhāsi.
ตตฺถ โอตารนฺติ รนฺธํ วิวรํฯ นาธิคจฺฉิสฺสนฺติ นาธิคมิํฯ เมทวณฺณนฺติ เมทปิณฺฑสทิสํฯ อนุปริยคาติ ปริโต ปริโต อคมาสิฯ มุทุนฺติ มุทุกํฯ วิเนฺทมาติ อธิคเจฺฉยฺยามฯ อสฺสาทนาติ สาทุภาโวฯ วายเสโตฺตติ วายโส เอโตฺตฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ
Tattha otāranti randhaṃ vivaraṃ. Nādhigacchissanti nādhigamiṃ. Medavaṇṇanti medapiṇḍasadisaṃ. Anupariyagāti parito parito agamāsi. Mudunti mudukaṃ. Vindemāti adhigaccheyyāma. Assādanāti sādubhāvo. Vāyasettoti vāyaso etto. Sesamettha pākaṭameva.
อยํ ปน โยชนา – สตฺต วสฺสานิ ภควนฺตํ โอตาราเปโกฺข อนุพนฺธิํ กตฺถจิ อวิชหโนฺต ปทาปทํ, เอวํ อนุพนฺธิตฺวาปิ จ โอตารํ นาธิคมิํฯ โสหํ ยถา นาม เมทวณฺณํ ปาสาณํ เมทสญฺญี วายโส เอกสฺมิํ ปเสฺส มุขตุณฺฑเกน วิชฺฌิตฺวา อสฺสาทํ อวินฺทมาโน ‘‘อเปฺปว นาม เอตฺถ มุทุ วิเนฺทม, อปิ อิโต อสฺสาทนา สิยา’’ติ สมนฺตา ตเถว วิชฺฌโนฺต อนุปริยายิตฺวา กตฺถจิ อสฺสาทํ อลทฺธา ‘‘ปาสาโณวาย’’นฺติ นิพฺพิชฺช ปกฺกเมยฺย, เอวเมวาหํ ภควนฺตํ กายกมฺมาทีสุ อตฺตโน ปริตฺตปญฺญามุขตุณฺฑเกน วิชฺฌโนฺต สมนฺตา อนุปริยคา ‘‘อเปฺปว นาม กตฺถจิ อปริสุทฺธกายสมาจาราทิมุทุภาวํ วิเนฺทม, กุโตจิ อสฺสาทนา สิยา’’ติ, เต ทานิ มยํ อสฺสาทํ อลภมานา กาโกว เสลมาสชฺช นิพฺพิชฺชาเปม โคตมํ อาสชฺช ตโต โคตมา นิพฺพิชฺช อเปมาติฯ เอวํ วทโต กิร มารสฺส สตฺต วสฺสานิ นิปฺผลปริสฺสมํ นิสฺสาย พลวโสโก อุทปาทิฯ เตนสฺส วิสีทมานงฺคปจฺจงฺคสฺส เพลุวปณฺฑุ นาม วีณา กจฺฉโต ปติตาฯ ยา สกิํ กุสเลหิ วาทิตา จตฺตาโร มาเส มธุรสฺสรํ มุญฺจติ, ยํ คเหตฺวา สโกฺก ปญฺจสิขสฺส อทาสิฯ ตํ โส ปตมานมฺปิ น พุชฺฌิฯ เตนาห ภควา –
Ayaṃ pana yojanā – satta vassāni bhagavantaṃ otārāpekkho anubandhiṃ katthaci avijahanto padāpadaṃ, evaṃ anubandhitvāpi ca otāraṃ nādhigamiṃ. Sohaṃ yathā nāma medavaṇṇaṃ pāsāṇaṃ medasaññī vāyaso ekasmiṃ passe mukhatuṇḍakena vijjhitvā assādaṃ avindamāno ‘‘appeva nāma ettha mudu vindema, api ito assādanā siyā’’ti samantā tatheva vijjhanto anupariyāyitvā katthaci assādaṃ aladdhā ‘‘pāsāṇovāya’’nti nibbijja pakkameyya, evamevāhaṃ bhagavantaṃ kāyakammādīsu attano parittapaññāmukhatuṇḍakena vijjhanto samantā anupariyagā ‘‘appeva nāma katthaci aparisuddhakāyasamācārādimudubhāvaṃ vindema, kutoci assādanā siyā’’ti, te dāni mayaṃ assādaṃ alabhamānā kākova selamāsajja nibbijjāpema gotamaṃ āsajja tato gotamā nibbijja apemāti. Evaṃ vadato kira mārassa satta vassāni nipphalaparissamaṃ nissāya balavasoko udapādi. Tenassa visīdamānaṅgapaccaṅgassa beluvapaṇḍu nāma vīṇā kacchato patitā. Yā sakiṃ kusalehi vāditā cattāro māse madhurassaraṃ muñcati, yaṃ gahetvā sakko pañcasikhassa adāsi. Taṃ so patamānampi na bujjhi. Tenāha bhagavā –
๔๕๒.
452.
‘‘ตสฺส โสกปเรตสฺส, วีณา กจฺฉา อภสฺสถ;
‘‘Tassa sokaparetassa, vīṇā kacchā abhassatha;
ตโต โส ทุมฺมโน ยโกฺข, ตเตฺถวนฺตรธายถา’’ติฯ
Tato so dummano yakkho, tatthevantaradhāyathā’’ti.
สงฺคีติการกา อาหํสูติ เอเก, อมฺหากํ ปเนตํ นกฺขมตีติฯ
Saṅgītikārakā āhaṃsūti eke, amhākaṃ panetaṃ nakkhamatīti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ปธานสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya padhānasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๒. ปธานสุตฺตํ • 2. Padhānasuttaṃ