Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā |
ปกิณฺณกกถา
Pakiṇṇakakathā
อิเมสุ ปน รูเปสุ อสโมฺมหตฺถํ สโมธานํ สมุฎฺฐานํ ปรินิปฺผนฺนญฺจ สงฺขตนฺติ อิทํ ‘ปกิณฺณกํ’ เวทิตพฺพํฯ
Imesu pana rūpesu asammohatthaṃ samodhānaṃ samuṭṭhānaṃ parinipphannañca saṅkhatanti idaṃ ‘pakiṇṇakaṃ’ veditabbaṃ.
ตตฺถ ‘สโมธาน’นฺติ สพฺพเมว หิทํ รูปํ สโมธานโต จกฺขายตนํ…เป.… กพฬีกาโร อาหาโร, โผฎฺฐพฺพายตนํ อาโปธาตูติ ปญฺจวีสติสงฺขฺยํ โหติฯ ตํ วตฺถุรูเปน สทฺธิํ ฉพฺพีสติสงฺขฺยํ เวทิตพฺพํฯ อิโต อญฺญํ รูปํ นาม นตฺถิฯ เกจิ ปน ‘มิทฺธรูปํ นาม อตฺถี’ติ วทนฺติฯ เต ‘‘อทฺธา มุนีสิ สมฺพุโทฺธ, นตฺถิ นีวรณา ตวา’’ติอาทีนิ (สุ. นิ. ๕๔๖) วตฺวา มิทฺธรูปํ นาม นตฺถีติ ปฎิเสเธตพฺพาฯ อปเร พลรูเปน สทฺธิํ สตฺตวีสติ, สมฺภวรูเปน สทฺธิํ อฎฺฐวีสติ, ชาติรูเปน สทฺธิํ เอกูนติํสติ, โรครูเปน สทฺธิํ สมติํสติ รูปานีติ วทนฺติฯ เตปิ เตสํ วิสุํ อภาวํ ทเสฺสตฺวา ปฎิกฺขิปิตพฺพาฯ วาโยธาตุยา หิ คหิตาย พลรูปํ คหิตเมว, อญฺญํ พลรูปํ นาม นตฺถิฯ อาโปธาตุยา สมฺภวรูปํ, อุปจยสนฺตตีหิ ชาติรูปํ, ชรตาอนิจฺจตาหิ คหิตาหิ โรครูปํ คหิตเมวฯ อญฺญํ โรครูปํ นาม นตฺถิฯ โยปิ กณฺณโรคาทิ อาพาโธ โส วิสมปจฺจยสมุฎฺฐิตธาตุมตฺตเมวฯ น อโญฺญ ตตฺถ โรโค นาม อตฺถีติ สโมธานโต ฉพฺพีสติเมว รูปานิฯ
Tattha ‘samodhāna’nti sabbameva hidaṃ rūpaṃ samodhānato cakkhāyatanaṃ…pe… kabaḷīkāro āhāro, phoṭṭhabbāyatanaṃ āpodhātūti pañcavīsatisaṅkhyaṃ hoti. Taṃ vatthurūpena saddhiṃ chabbīsatisaṅkhyaṃ veditabbaṃ. Ito aññaṃ rūpaṃ nāma natthi. Keci pana ‘middharūpaṃ nāma atthī’ti vadanti. Te ‘‘addhā munīsi sambuddho, natthi nīvaraṇā tavā’’tiādīni (su. ni. 546) vatvā middharūpaṃ nāma natthīti paṭisedhetabbā. Apare balarūpena saddhiṃ sattavīsati, sambhavarūpena saddhiṃ aṭṭhavīsati, jātirūpena saddhiṃ ekūnatiṃsati, rogarūpena saddhiṃ samatiṃsati rūpānīti vadanti. Tepi tesaṃ visuṃ abhāvaṃ dassetvā paṭikkhipitabbā. Vāyodhātuyā hi gahitāya balarūpaṃ gahitameva, aññaṃ balarūpaṃ nāma natthi. Āpodhātuyā sambhavarūpaṃ, upacayasantatīhi jātirūpaṃ, jaratāaniccatāhi gahitāhi rogarūpaṃ gahitameva. Aññaṃ rogarūpaṃ nāma natthi. Yopi kaṇṇarogādi ābādho so visamapaccayasamuṭṭhitadhātumattameva. Na añño tattha rogo nāma atthīti samodhānato chabbīsatimeva rūpāni.
‘สมุฎฺฐาน’นฺติ กติ รูปานิ กติสมุฎฺฐานานิ? ทส เอกสมุฎฺฐานานิ, เอกํ ทฺวิสมุฎฺฐานํ, ตีณิ ติสมุฎฺฐานานิ, นว จตุสมุฎฺฐานานิ, เทฺว น เกนจิ สมุฎฺฐหนฺติฯ
‘Samuṭṭhāna’nti kati rūpāni katisamuṭṭhānāni? Dasa ekasamuṭṭhānāni, ekaṃ dvisamuṭṭhānaṃ, tīṇi tisamuṭṭhānāni, nava catusamuṭṭhānāni, dve na kenaci samuṭṭhahanti.
ตตฺถ จกฺขุปสาโท…เป.… ชีวิตินฺทฺริยนฺติ อิมานิ อฎฺฐ เอกนฺตํ กมฺมโตว สมุฎฺฐหนฺติฯ กายวิญฺญตฺติวจีวิญฺญตฺติทฺวยํ เอกเนฺตน จิตฺตโต สมุฎฺฐาตีติ ทส ‘เอกสมุฎฺฐานานิ’ นามฯ สโทฺท อุตุโต จ จิตฺตโต จ สมุฎฺฐาตีติ เอโก ‘ทฺวิสมุฎฺฐาโน’ นามฯ ตตฺถ อวิญฺญาณกสโทฺท อุตุโต สมุฎฺฐาติ, สวิญฺญาณกสโทฺท จิตฺตโตฯ ลหุตาทิตฺตยํ ปน อุตุจิตฺตาหาเรหิ สมุฎฺฐาตีติ ตีณิ ‘ติสมุฎฺฐานานิ’ นามฯ อวเสสานิ นว รูปานิ เตหิ กเมฺมน จาติ จตูหิ สมุฎฺฐหนฺตีติ นว ‘จตุสมุฎฺฐานานิ’ นามฯ ชรตา อนิจฺจตา ปน เอเตสุ เอกโตปิ น สมุฎฺฐหนฺตีติ เทฺว ‘น เกนจิ สมุฎฺฐหนฺติ’ นามฯ กสฺมา? อชายนโตฯ น หิ เอตานิ ชายนฺติฯ กสฺมา? ชาตสฺส ปากเภทตฺตาฯ อุปฺปนฺนญฺหิ รูปํ ชีรติ ภิชฺชตีติ อวสฺสํ ปเนตํ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํฯ น หิ อุปฺปนฺนํ รูปํ อรูปํ วา อกฺขยํ นาม ทิสฺสติฯ ยาว ปน น ภิชฺชติ ตาวสฺส ปริปาโกติ สิทฺธเมตํฯ ‘ชาตสฺส ปากเภทตฺตา’ติ ยทิ จ ตานิ ชาเยยฺยุํ เตสมฺปิ ปากเภทา ภเวยฺยุํฯ น จ ปาโก ปจฺจติ, เภโท วา ภิชฺชตีติ ชาตสฺส ปากเภทตฺตา เนตํ ทฺวยํ ชายติฯ
Tattha cakkhupasādo…pe… jīvitindriyanti imāni aṭṭha ekantaṃ kammatova samuṭṭhahanti. Kāyaviññattivacīviññattidvayaṃ ekantena cittato samuṭṭhātīti dasa‘ekasamuṭṭhānāni’ nāma. Saddo ututo ca cittato ca samuṭṭhātīti eko ‘dvisamuṭṭhāno’ nāma. Tattha aviññāṇakasaddo ututo samuṭṭhāti, saviññāṇakasaddo cittato. Lahutādittayaṃ pana utucittāhārehi samuṭṭhātīti tīṇi ‘tisamuṭṭhānāni’ nāma. Avasesāni nava rūpāni tehi kammena cāti catūhi samuṭṭhahantīti nava ‘catusamuṭṭhānāni’ nāma. Jaratā aniccatā pana etesu ekatopi na samuṭṭhahantīti dve ‘na kenaci samuṭṭhahanti’ nāma. Kasmā? Ajāyanato. Na hi etāni jāyanti. Kasmā? Jātassa pākabhedattā. Uppannañhi rūpaṃ jīrati bhijjatīti avassaṃ panetaṃ sampaṭicchitabbaṃ. Na hi uppannaṃ rūpaṃ arūpaṃ vā akkhayaṃ nāma dissati. Yāva pana na bhijjati tāvassa paripākoti siddhametaṃ. ‘Jātassa pākabhedattā’ti yadi ca tāni jāyeyyuṃ tesampi pākabhedā bhaveyyuṃ. Na ca pāko paccati, bhedo vā bhijjatīti jātassa pākabhedattā netaṃ dvayaṃ jāyati.
ตตฺถ สิยา – ยถา ‘กมฺมสฺส กตตฺตา’ติ อาทินิเทฺทเสสุ ‘รูปสฺส อุปจโย รูปสฺส สนฺตตี’ติ วจเนน ‘ชาติ’ ชายตีติ สมฺปฎิจฺฉิตํ โหติ, เอวํ ‘ปาโก’ปิ ปจฺจตุ ‘เภโท’ปิ ภิชฺชตูติฯ ‘‘น ตตฺถ ‘ชาติ ชายตี’ติ สมฺปฎิจฺฉิตํฯ เย ปน ธมฺมา กมฺมาทีหิ นิพฺพตฺตนฺติ เตสํ อภินิพฺพตฺติภาวโต ชาติยา ตปฺปจฺจยภาวโวหาโร อนุมโตฯ น ปน ปรมตฺถโต ชาติ ชายติฯ ชายมานสฺส หิ อภินิพฺพตฺติมตฺตํ ชาตี’’ติฯ
Tattha siyā – yathā ‘kammassa katattā’ti ādiniddesesu ‘rūpassa upacayo rūpassa santatī’ti vacanena ‘jāti’ jāyatīti sampaṭicchitaṃ hoti, evaṃ ‘pāko’pi paccatu ‘bhedo’pi bhijjatūti. ‘‘Na tattha ‘jāti jāyatī’ti sampaṭicchitaṃ. Ye pana dhammā kammādīhi nibbattanti tesaṃ abhinibbattibhāvato jātiyā tappaccayabhāvavohāro anumato. Na pana paramatthato jāti jāyati. Jāyamānassa hi abhinibbattimattaṃ jātī’’ti.
ตตฺถ สิยา – ‘ยเถว ชาติ เยสํ ธมฺมานํ อภินิพฺพตฺติ ตปฺปจฺจยภาวโวหารํ อภินิพฺพตฺติโวหารญฺจ ลภติ, ตถา ปากเภทาปิ เยสํ ธมฺมานํ ปากเภทา ตปฺปจฺจยภาวโวหารํ อภินิพฺพตฺติโวหารญฺจ ลภนฺตุฯ เอวํ อิทมฺปิ ทฺวยํ กมฺมาทิสมุฎฺฐานเมวาติ วตฺตพฺพํ ภวิสฺสตี’ติฯ ‘น ปากเภทา ตํ โวหารํ ลภนฺติฯ กสฺมา? ชนกปจฺจยานุภาวกฺขเณ อภาวโตฯ ชนกปจฺจยานญฺหิ อุปฺปาเทตพฺพธมฺมสฺส อุปฺปาทกฺขเณเยว อานุภาโว, น ตโต อุตฺตริฯ เตหิ อภินิพฺพตฺติตธมฺมกฺขณสฺมิญฺจ ชาติ ปญฺญายมานา ตปฺปจฺจยภาวโวหารํ อภินิพฺพตฺติโวหารญฺจ ลภติ, ตสฺมิํ ขเณ สพฺภาวโต; น อิตรทฺวยํ, ตสฺมิํ ขเณ อภาวโตติ เนเวตํ ชายตี’ติ วตฺตพฺพํฯ ‘‘ชรามรณํ, ภิกฺขเว, อนิจฺจํ สงฺขตํ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺน’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๒๐) อาคตตฺตา อิทมฺปิ ทฺวยํ ชายตีติ เจ – ‘น, ปริยายเทสิตตฺตาฯ ตตฺถ หิ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนานํ ธมฺมานํ ชรามรณตฺตา ปริยาเยน ตํ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺน’นฺติ วุตฺตํฯ
Tattha siyā – ‘yatheva jāti yesaṃ dhammānaṃ abhinibbatti tappaccayabhāvavohāraṃ abhinibbattivohārañca labhati, tathā pākabhedāpi yesaṃ dhammānaṃ pākabhedā tappaccayabhāvavohāraṃ abhinibbattivohārañca labhantu. Evaṃ idampi dvayaṃ kammādisamuṭṭhānamevāti vattabbaṃ bhavissatī’ti. ‘Na pākabhedā taṃ vohāraṃ labhanti. Kasmā? Janakapaccayānubhāvakkhaṇe abhāvato. Janakapaccayānañhi uppādetabbadhammassa uppādakkhaṇeyeva ānubhāvo, na tato uttari. Tehi abhinibbattitadhammakkhaṇasmiñca jāti paññāyamānā tappaccayabhāvavohāraṃ abhinibbattivohārañca labhati, tasmiṃ khaṇe sabbhāvato; na itaradvayaṃ, tasmiṃ khaṇe abhāvatoti nevetaṃ jāyatī’ti vattabbaṃ. ‘‘Jarāmaraṇaṃ, bhikkhave, aniccaṃ saṅkhataṃ paṭiccasamuppanna’’nti (saṃ. ni. 2.20) āgatattā idampi dvayaṃ jāyatīti ce – ‘na, pariyāyadesitattā. Tattha hi paṭiccasamuppannānaṃ dhammānaṃ jarāmaraṇattā pariyāyena taṃ paṭiccasamuppanna’nti vuttaṃ.
‘ยทิ เอวํ, ตยเมฺปตํ อชาตตฺตา สสวิสาณํ วิย นตฺถิ; นิพฺพานํ วิย วา นิจฺจ’นฺติ เจ – น, นิสฺสยปฎิพทฺธวุตฺติโต; ปถวีอาทีนญฺหิ นิสฺสยานํ ภาเว ชาติอาทิตฺตยํ ปญฺญายติ, ตสฺมา น นตฺถิฯ เตสญฺจ อภาเว น ปญฺญายติ, ตสฺมา น นิจฺจํฯ เอตมฺปิ จ อภินิเวสํ ปฎิเสเธตุํ เอว อิทํ วุตฺตํ – ‘‘ชรามรณํ, ภิกฺขเว, อนิจฺจํ สงฺขตํ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺน’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๒๐)ฯ เอวมาทีหิ นเยหิ ตานิ เทฺว รูปานิ น เกหิจิ สมุฎฺฐหนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ
‘Yadi evaṃ, tayampetaṃ ajātattā sasavisāṇaṃ viya natthi; nibbānaṃ viya vā nicca’nti ce – na, nissayapaṭibaddhavuttito; pathavīādīnañhi nissayānaṃ bhāve jātiādittayaṃ paññāyati, tasmā na natthi. Tesañca abhāve na paññāyati, tasmā na niccaṃ. Etampi ca abhinivesaṃ paṭisedhetuṃ eva idaṃ vuttaṃ – ‘‘jarāmaraṇaṃ, bhikkhave, aniccaṃ saṅkhataṃ paṭiccasamuppanna’’nti (saṃ. ni. 2.20). Evamādīhi nayehi tāni dve rūpāni na kehici samuṭṭhahantīti veditabbaṃ.
อปิจ ‘สมุฎฺฐาน’นฺติ เอตฺถ อยมโญฺญปิ อโตฺถฯ ตสฺสายํ มาติกา – ‘กมฺมชํ กมฺมปจฺจยํ กมฺมปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานํ, อาหารสมุฎฺฐานํ อาหารปจฺจยํ อาหารปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานํ, อุตุสมุฎฺฐานํ อุตุปจฺจยํ อุตุปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานํ, จิตฺตสมุฎฺฐานํ จิตฺตปจฺจยํ จิตฺตปจฺจยอุตุสมุฎฺฐาน’นฺติฯ
Apica ‘samuṭṭhāna’nti ettha ayamaññopi attho. Tassāyaṃ mātikā – ‘kammajaṃ kammapaccayaṃ kammapaccayautusamuṭṭhānaṃ, āhārasamuṭṭhānaṃ āhārapaccayaṃ āhārapaccayautusamuṭṭhānaṃ, utusamuṭṭhānaṃ utupaccayaṃ utupaccayautusamuṭṭhānaṃ, cittasamuṭṭhānaṃ cittapaccayaṃ cittapaccayautusamuṭṭhāna’nti.
ตตฺถ จกฺขุปสาทาทิ อฎฺฐวิธํ รูปํ สทฺธิํ หทยวตฺถุนา ‘กมฺมชํ’ นามฯ เกสมสฺสุ หตฺถิทนฺตา อสฺสวาลา จมรวาลาติ เอวมาทิ ‘กมฺมปจฺจยํ’ นามฯ จกฺกรตนํ เทวตานํ อุยฺยานวิมานาทีนีติ เอวมาทิ ‘กมฺมปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานํ’ นามฯ
Tattha cakkhupasādādi aṭṭhavidhaṃ rūpaṃ saddhiṃ hadayavatthunā ‘kammajaṃ’ nāma. Kesamassu hatthidantā assavālā camaravālāti evamādi ‘kammapaccayaṃ’ nāma. Cakkaratanaṃ devatānaṃ uyyānavimānādīnīti evamādi ‘kammapaccayautusamuṭṭhānaṃ’ nāma.
อาหารโต สมุฎฺฐิตํ สุทฺธฎฺฐกํ ‘อาหารสมุฎฺฐานํ’ นามฯ กพฬีกาโร อาหาโร ทฺวินฺนมฺปิ รูปสนฺตตีนํ ปจฺจโย โหติ อาหารสมุฎฺฐานสฺส จ อุปาทินฺนสฺส จฯ อาหารสมุฎฺฐานสฺส ชนโก หุตฺวา ปจฺจโย โหติ, กมฺมชสฺส อนุปาลโก หุตฺวาติ อิทํ อาหารานุปาลิตํ กมฺมชรูปํ ‘อาหารปจฺจยํ’ นามฯ วิสภาคาหารํ เสวิตฺวา อาตเป คจฺฉนฺตสฺส ติลกกาฬกุฎฺฐาทีนิ อุปฺปชฺชนฺติ, อิทํ ‘อาหารปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานํ’ นามฯ
Āhārato samuṭṭhitaṃ suddhaṭṭhakaṃ ‘āhārasamuṭṭhānaṃ’ nāma. Kabaḷīkāro āhāro dvinnampi rūpasantatīnaṃ paccayo hoti āhārasamuṭṭhānassa ca upādinnassa ca. Āhārasamuṭṭhānassa janako hutvā paccayo hoti, kammajassa anupālako hutvāti idaṃ āhārānupālitaṃ kammajarūpaṃ ‘āhārapaccayaṃ’ nāma. Visabhāgāhāraṃ sevitvā ātape gacchantassa tilakakāḷakuṭṭhādīni uppajjanti, idaṃ ‘āhārapaccayautusamuṭṭhānaṃ’ nāma.
อุตุโต สมุฎฺฐิตํ สุทฺธฎฺฐกํ ‘อุตุสมุฎฺฐานํ’ นามฯ ตสฺมิํ อุตุ อญฺญํ อฎฺฐกํ สมุฎฺฐาเปติ, อิทํ ‘อุตุปจฺจยํ’ นามฯ ตสฺมิมฺปิ อุตุ อญฺญํ อฎฺฐกํ สมุฎฺฐาเปติ, อิทํ ‘อุตุปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานํ’ นามฯ เอวํ ติโสฺสเยว สนฺตติโย ฆเฎฺฎตุํ สโกฺกติฯ น ตโต ปรํฯ อิมมตฺถํ อนุปาทินฺนเกนาปิ ทีเปตุํ วฎฺฎติฯ อุตุสมุฎฺฐาโน นาม วลาหโกฯ อุตุปจฺจยา นาม วุฎฺฐิธาราฯ เทเว ปน วุเฎฺฐ พีชานิ วิรูหนฺติ, ปถวี คนฺธํ มุญฺจติ, ปพฺพตา นีลา ขายนฺติ, สมุโทฺท วฑฺฒติ, เอตํ อุตุปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานํ นามฯ
Ututo samuṭṭhitaṃ suddhaṭṭhakaṃ ‘utusamuṭṭhānaṃ’ nāma. Tasmiṃ utu aññaṃ aṭṭhakaṃ samuṭṭhāpeti, idaṃ ‘utupaccayaṃ’ nāma. Tasmimpi utu aññaṃ aṭṭhakaṃ samuṭṭhāpeti, idaṃ ‘utupaccayautusamuṭṭhānaṃ’ nāma. Evaṃ tissoyeva santatiyo ghaṭṭetuṃ sakkoti. Na tato paraṃ. Imamatthaṃ anupādinnakenāpi dīpetuṃ vaṭṭati. Utusamuṭṭhāno nāma valāhako. Utupaccayā nāma vuṭṭhidhārā. Deve pana vuṭṭhe bījāni virūhanti, pathavī gandhaṃ muñcati, pabbatā nīlā khāyanti, samuddo vaḍḍhati, etaṃ utupaccayautusamuṭṭhānaṃ nāma.
จิตฺตโต สมุฎฺฐิตํ สุทฺธฎฺฐกํ ‘จิตฺตสมุฎฺฐานํ’ นามฯ ‘‘ปจฺฉาชาตา จิตฺตเจตสิกา ธมฺมา ปุเรชาตสฺส อิมสฺส กายสฺส ปจฺฉาชาตปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๑๑) อิทํ ‘จิตฺตปจฺจยํ’ นามฯ อากาเส อนฺตลิเกฺข หตฺถิมฺปิ ทเสฺสติ, อสฺสมฺปิ ทเสฺสติ, รถมฺปิ ทเสฺสติ , วิวิธมฺปิ เสนาพฺยูหํ ทเสฺสติตี (ปฎิ. ม. ๓.๑๘) อิทํ ‘จิตฺตปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานํ’ นามฯ
Cittato samuṭṭhitaṃ suddhaṭṭhakaṃ ‘cittasamuṭṭhānaṃ’ nāma. ‘‘Pacchājātā cittacetasikā dhammā purejātassa imassa kāyassa pacchājātapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.1.11) idaṃ ‘cittapaccayaṃ’ nāma. Ākāse antalikkhe hatthimpi dasseti, assampi dasseti, rathampi dasseti , vividhampi senābyūhaṃ dassetitī (paṭi. ma. 3.18) idaṃ ‘cittapaccayautusamuṭṭhānaṃ’ nāma.
‘ปรินิปฺผนฺน’นฺติ ปนฺนรส รูปานิ ปรินิปฺผนฺนานิ นาม, ทส อปรินิปฺผนฺนานิ นามฯ ‘ยทิ อปรินิปฺผนฺนา, อสงฺขตา นาม ภเวยฺยุํ’ฯ ‘‘เตสํเยว ปน รูปานํ กายวิกาโร ‘กายวิญฺญตฺติ’ นาม, วจีวิกาโร ‘วจีวิญฺญตฺติ’ นาม, ฉิทฺทํ วิวรํ ‘อากาสธาตุ’ นาม, ลหุภาโว ‘ลหุตา’ นาม, มุทุภาโว ‘มุทุตา’ นาม, กมฺมญฺญภาโว ‘กมฺมญฺญตา’ นาม, นิพฺพตฺติ ‘อุปจโย’ นาม, ปวตฺติ ‘สนฺตติ’ นาม, ชีรณากาโร ‘ชรตา’ นาม, หุตฺวา อภาวากาโร ‘อนิจฺจตา’ นามาติฯ สพฺพํ ปรินิปฺผนฺนํ สงฺขตเมว โหตี’’ติฯ
‘Parinipphanna’nti pannarasa rūpāni parinipphannāni nāma, dasa aparinipphannāni nāma. ‘Yadi aparinipphannā, asaṅkhatā nāma bhaveyyuṃ’. ‘‘Tesaṃyeva pana rūpānaṃ kāyavikāro ‘kāyaviññatti’ nāma, vacīvikāro ‘vacīviññatti’ nāma, chiddaṃ vivaraṃ ‘ākāsadhātu’ nāma, lahubhāvo ‘lahutā’ nāma, mudubhāvo ‘mudutā’ nāma, kammaññabhāvo ‘kammaññatā’ nāma, nibbatti ‘upacayo’ nāma, pavatti ‘santati’ nāma, jīraṇākāro ‘jaratā’ nāma, hutvā abhāvākāro ‘aniccatā’ nāmāti. Sabbaṃ parinipphannaṃ saṅkhatameva hotī’’ti.
อฎฺฐสาลินิยา ธมฺมสงฺคหอฎฺฐกถาย
Aṭṭhasāliniyā dhammasaṅgahaaṭṭhakathāya
รูปกณฺฑวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Rūpakaṇḍavaṇṇanā niṭṭhitā.