Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
ปกิณฺณกกถาวณฺณนา
Pakiṇṇakakathāvaṇṇanā
ปกิณฺณเก ยานิ สิกฺขาปทานิ ‘‘กิริยานี’’ติ วุจฺจนฺติ, เตสํ วเสน กาโย, วาจา จ สห วิญฺญตฺติยา เวทิตพฺพาฯ อกิริยานํ วเสน วินา วิญฺญตฺติยา เวทิตพฺพา, จิตฺตํ ปเนตฺถ อปฺปมาณํ ภูตาโรจนสมุฎฺฐานสฺส กิริยตฺตา, อจิตฺตกตฺตา จฯ ตตฺถ กิริยา อาปตฺติยา อนนฺตรจิตฺตสมุฎฺฐานา เวทิตพฺพาฯ อวิญฺญตฺติชนกมฺปิ เอกจฺจํ พาหุลฺลนเยน ‘‘กิริย’’นฺติ วุจฺจติ, ยถยิทํ ปฐมปาราชิกํ วิญฺญตฺติยา อภาเวปิ ‘‘โส เจ สาทิยติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’’ติ หิ วุตฺตํ ‘‘น สาทิยติ อนาปตฺตี’’ติ จฯ วิญฺญตฺติสงฺขาตาปิ กิริยา วินา เสวนจิเตฺตน น โหติ จิตฺตชตฺตา, วิการรูปตฺตา, จิตฺตานุปริวตฺติกตฺตา จฯ ตสฺมา กิริยาสงฺขาตมิทํ วิญฺญตฺติรูปํ อิตรํ จิตฺตชรูปํ วิย ชนกจิเตฺตน วินา น ติฎฺฐติ, อิตรํ สทฺทายตนํ ติฎฺฐติ, ตสฺมา กิริยาย สติ เอกนฺตโต ตชฺชนกํ เสวนจิตฺตํ อตฺถิเยวาติ กตฺวา น สาทิยติ อนาปตฺตีติ น ยุชฺชติฯ ยสฺมา วิญฺญตฺติชนกมฺปิ สมานํ เสวนจิตฺตํ น สพฺพกาลํ วิญฺญตฺติํ ชเนติ, ตสฺมา วินาปิ วิญฺญตฺติยา สยํ อุปฺปชฺชตีติ กตฺวา ‘‘สาทิยติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ นุปฺปชฺชติ เจ, น สาทิยติ นาม, ตสฺส อนาปตฺติ, เตเนว ภควา ‘‘กิํจิโตฺต ตฺวํ ภิกฺขู’’ติ จิเตฺตเนว อาปตฺติํ ปริจฺฉินฺทติ, น กิริยายาติ เวทิตพฺพํฯ เอตฺตาวตา ฉ อาปตฺติสมุฎฺฐานานิ, ตานิ เอว อาปตฺติกรา ธมฺมา นามาติ จ, จตูหากาเรหิ อาปตฺติํ อาปชฺชติ กาเยน วาจาย กายวาจาหิ กมฺมวาจาย อาปชฺชตีติ จ เอตานิ สุตฺตปทานิ อวิโรธิตานิ โหนฺติ, อญฺญถา วิโรธิตานิฯ กถํ? ยญฺหิ อาปตฺติํ กมฺมวาจาย อาปชฺชติ, น ตตฺถ กายาทโยติ อาปนฺนํ, ตโต กมฺมวาจาย สทฺธิํ อาปตฺติกรา ธมฺมา สตฺตาติ อาปชฺชติ, อถ ตตฺถาปิ กายาทโย เอกโต วา นานาโต วา ลพฺภนฺติฯ ‘‘จตูหิ อากาเรหี’’ติ น ยุชฺชติ, ‘‘ตีหากาเรหิ อาปตฺติํ อาปชฺชตี’’ติ วตฺตพฺพํ สิยาติ เอวํ วิโรธิตานิ โหนฺติฯ กถํ อวิโรธิตานีติ? สวิญฺญตฺติกาวิญฺญตฺติกเภทภินฺนตฺตา กายาทีนํฯ ยา กิริยา อาปตฺติ, ตํ เอกจฺจํ กาเยน สวิญฺญตฺติเกน อาปชฺชติ , เอกจฺจํ สวิญฺญตฺติยา วาจาย, เอกจฺจํ สวิญฺญตฺติกาหิ กายวาจาหิ อาปชฺชติฯ ยา ปน อกิริยา อาปตฺติ, ตํ เอกจฺจํ กมฺมวาจาย อาปชฺชติ, ตญฺจ โข อวสิฎฺฐาหิ อวิญฺญตฺติกาหิ กายวาจาหิเยว, น วินา ‘‘โน เจ กาเยน วาจาย ปฎินิสฺสชฺชติ, กมฺมวาจาปริโยสาเน อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสา’’ติ (ปารา. ๔๑๔, ๔๒๑) วจนโตฯ อวิเสเสน วา เอกจฺจํ อาปตฺติํ กาเยน อาปชฺชติ, เอกจฺจํ วาจาย, เอกจฺจํ กายวาจาหิฯ ยํ ปเนตฺถ กายวาจาหิ, ตํ เอกจฺจํ เกวลาหิ กายวาจาหิ อาปชฺชติ, เอกจฺจํ กมฺมวาจาย อาปชฺชตีติ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพติ เอวํ อวิโรธิตานิ โหนฺติฯ
Pakiṇṇake yāni sikkhāpadāni ‘‘kiriyānī’’ti vuccanti, tesaṃ vasena kāyo, vācā ca saha viññattiyā veditabbā. Akiriyānaṃ vasena vinā viññattiyā veditabbā, cittaṃ panettha appamāṇaṃ bhūtārocanasamuṭṭhānassa kiriyattā, acittakattā ca. Tattha kiriyā āpattiyā anantaracittasamuṭṭhānā veditabbā. Aviññattijanakampi ekaccaṃ bāhullanayena ‘‘kiriya’’nti vuccati, yathayidaṃ paṭhamapārājikaṃ viññattiyā abhāvepi ‘‘so ce sādiyati, āpatti pārājikassā’’ti hi vuttaṃ ‘‘na sādiyati anāpattī’’ti ca. Viññattisaṅkhātāpi kiriyā vinā sevanacittena na hoti cittajattā, vikārarūpattā, cittānuparivattikattā ca. Tasmā kiriyāsaṅkhātamidaṃ viññattirūpaṃ itaraṃ cittajarūpaṃ viya janakacittena vinā na tiṭṭhati, itaraṃ saddāyatanaṃ tiṭṭhati, tasmā kiriyāya sati ekantato tajjanakaṃ sevanacittaṃ atthiyevāti katvā na sādiyati anāpattīti na yujjati. Yasmā viññattijanakampi samānaṃ sevanacittaṃ na sabbakālaṃ viññattiṃ janeti, tasmā vināpi viññattiyā sayaṃ uppajjatīti katvā ‘‘sādiyati, āpatti pārājikassā’’ti vuttaṃ. Nuppajjati ce, na sādiyati nāma, tassa anāpatti, teneva bhagavā ‘‘kiṃcitto tvaṃ bhikkhū’’ti citteneva āpattiṃ paricchindati, na kiriyāyāti veditabbaṃ. Ettāvatā cha āpattisamuṭṭhānāni, tāni eva āpattikarā dhammā nāmāti ca, catūhākārehi āpattiṃ āpajjati kāyena vācāya kāyavācāhi kammavācāya āpajjatīti ca etāni suttapadāni avirodhitāni honti, aññathā virodhitāni. Kathaṃ? Yañhi āpattiṃ kammavācāya āpajjati, na tattha kāyādayoti āpannaṃ, tato kammavācāya saddhiṃ āpattikarā dhammā sattāti āpajjati, atha tatthāpi kāyādayo ekato vā nānāto vā labbhanti. ‘‘Catūhi ākārehī’’ti na yujjati, ‘‘tīhākārehi āpattiṃ āpajjatī’’ti vattabbaṃ siyāti evaṃ virodhitāni honti. Kathaṃ avirodhitānīti? Saviññattikāviññattikabhedabhinnattā kāyādīnaṃ. Yā kiriyā āpatti, taṃ ekaccaṃ kāyena saviññattikena āpajjati , ekaccaṃ saviññattiyā vācāya, ekaccaṃ saviññattikāhi kāyavācāhi āpajjati. Yā pana akiriyā āpatti, taṃ ekaccaṃ kammavācāya āpajjati, tañca kho avasiṭṭhāhi aviññattikāhi kāyavācāhiyeva, na vinā ‘‘no ce kāyena vācāya paṭinissajjati, kammavācāpariyosāne āpatti saṅghādisesassā’’ti (pārā. 414, 421) vacanato. Avisesena vā ekaccaṃ āpattiṃ kāyena āpajjati, ekaccaṃ vācāya, ekaccaṃ kāyavācāhi. Yaṃ panettha kāyavācāhi, taṃ ekaccaṃ kevalāhi kāyavācāhi āpajjati, ekaccaṃ kammavācāya āpajjatīti ayamattho veditabboti evaṃ avirodhitāni honti.
ตตฺรายํ สมาสโต อตฺถวิภาวนา – กาเยน อาปชฺชตีติ กาเยน สวิญฺญตฺติเกน อกตฺตพฺพํ กตฺวา เอกจฺจํ อาปชฺชติ, อวิญฺญตฺติเกน กตฺตพฺพํ อกตฺวา อาปชฺชติ, ตทุภยมฺปิ กายกมฺมํ นามฯ อกตมฺปิ หิ โลเก ‘‘กต’’นฺติ วุจฺจติ ‘‘อิทํ ทุกฺกฎํ มยา, ยํ มยา ปุญฺญํ น กต’’นฺติ เอวมาทีสุ, สาสเน จ ‘‘อิทํ เต, อาวุโส อานนฺท, ทุกฺกฎํ, ยํ ตฺวํ ภควนฺตํ น ปุจฺฉี’’ติอาทีสุ (จูฬว. ๔๔๓), เอวมิธ วินยปริยาเย กาเยน อกรณียมฺปิ ‘‘กายกมฺม’’นฺติ วุจฺจติ, อยเมว นโย วาจาย อาปชฺชตีติอาทีสุฯ ตตฺถ สมุฎฺฐานคฺคหณํ กตฺตพฺพโต วา อกตฺตพฺพโต วา กายาทิเภทาเปกฺขเมว อาปตฺติํ อาปชฺชติ, น อญฺญถาติ ทสฺสนตฺถํฯ กิริยาคฺคหณํ กายาทีนํ สวิญฺญตฺติกาวิญฺญตฺติกเภททสฺสนตฺถํฯ สญฺญาคฺคหณํ อาปตฺติยา องฺคานงฺคจิตฺตวิเสสทสฺสนตฺถํ, เตน ยํ จิตฺตํ กิริยาลกฺขเณ, อกิริยาลกฺขเณ วา สนฺนิหิตํ, ยโต วา กิริยา วา อกิริยา วา โหติ, น ตํ อวิเสเสน อาปตฺติยา องฺคํ วา อนงฺคํ วา โหติ, กินฺตุ ยาย สญฺญาย ‘‘สญฺญาวิโมกฺข’’นฺติ วุจฺจติ, ตาย สมฺปยุตฺตํ จิตฺตํ องฺคํ, อิตรํ อนงฺคนฺติ ทสฺสิตํ โหติฯ อิทานิ เยน จิเตฺตน สิกฺขาปทํ สจิตฺตกํ โหติ, ยทภาวา อจิตฺตกํ, เตน ตสฺส อวิเสเสน สาวชฺชตฺตา โลกวชฺชภาโวว วุจฺจติ, กินฺตุ สาวชฺชํเยว สมานํ เอกจฺจํ โลกวชฺชํ เอกจฺจํ ปณฺณตฺติวชฺชนฺติ ทสฺสนตฺถํ โลกวชฺชคฺคหณํฯ จิตฺตเมว ยสฺมา ‘‘โลกวชฺช’’นฺติ วุจฺจติ, ตสฺมา มโนกมฺมมฺปิ สิยา อาปตฺตีติ อนิฎฺฐปฺปสงฺคนิวารณตฺถํ กมฺมคฺคหณํฯ ยํ ปเนตฺถ อกิริยาลกฺขณํ กมฺมํ, ตํ กุสลตฺติกวินิมุตฺตํ สิยาติ อนิฎฺฐปฺปสงฺคนิวารณตฺถํ กุสลตฺติกคฺคหณํฯ ยา ปเนตฺถ อพฺยากตา อาปตฺติ, ตํ เอกจฺจํ อเวทนมฺปิ สญฺญาเวทยิตนิโรธสมาปโนฺน อาปชฺชตีติ กตฺวา เวทนาตฺติกํ เอตฺถ น ลพฺภตีติ อนิฎฺฐปฺปสงฺคนิวารณตฺถํ เวทนาตฺติกคฺคหณํ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ สิกฺขาปทญฺหิ สจิตฺตกปุคฺคลวเสน ‘‘ติจิตฺตํ ติเวทน’’นฺติ ลทฺธโวหารํ อจิตฺตเกนาปนฺนมฺปิ ‘‘ติจิตฺตํ ติเวทน’’มิเจฺจว วุจฺจติฯ ตตฺริทํ สุตฺตํ ‘‘อตฺถาปตฺติ อจิตฺตโก อาปชฺชติ อจิตฺตโก วุฎฺฐาติ (ปริ. ๓๒๔)ฯ อตฺถาปตฺติ กุสลจิโตฺต อาปชฺชติ กุสลจิโตฺต วุฎฺฐาตี’’ติอาทิ (ปริ. ๔๗๐)ฯ อนุคณฺฐิปเท ปน ‘‘สญฺญา สทา อนาปตฺติเมว กโรติ, จิตฺตํ อาปตฺติเมว, อจิตฺตกํ นาม วตฺถุอวิชานนํ, โนสญฺญาวิโมกฺขํ วีติกฺกมชานนํ, อิทเมเตสํ นานตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ
Tatrāyaṃ samāsato atthavibhāvanā – kāyena āpajjatīti kāyena saviññattikena akattabbaṃ katvā ekaccaṃ āpajjati, aviññattikena kattabbaṃ akatvā āpajjati, tadubhayampi kāyakammaṃ nāma. Akatampi hi loke ‘‘kata’’nti vuccati ‘‘idaṃ dukkaṭaṃ mayā, yaṃ mayā puññaṃ na kata’’nti evamādīsu, sāsane ca ‘‘idaṃ te, āvuso ānanda, dukkaṭaṃ, yaṃ tvaṃ bhagavantaṃ na pucchī’’tiādīsu (cūḷava. 443), evamidha vinayapariyāye kāyena akaraṇīyampi ‘‘kāyakamma’’nti vuccati, ayameva nayo vācāya āpajjatītiādīsu. Tattha samuṭṭhānaggahaṇaṃ kattabbato vā akattabbato vā kāyādibhedāpekkhameva āpattiṃ āpajjati, na aññathāti dassanatthaṃ. Kiriyāggahaṇaṃ kāyādīnaṃ saviññattikāviññattikabhedadassanatthaṃ. Saññāggahaṇaṃ āpattiyā aṅgānaṅgacittavisesadassanatthaṃ, tena yaṃ cittaṃ kiriyālakkhaṇe, akiriyālakkhaṇe vā sannihitaṃ, yato vā kiriyā vā akiriyā vā hoti, na taṃ avisesena āpattiyā aṅgaṃ vā anaṅgaṃ vā hoti, kintu yāya saññāya ‘‘saññāvimokkha’’nti vuccati, tāya sampayuttaṃ cittaṃ aṅgaṃ, itaraṃ anaṅganti dassitaṃ hoti. Idāni yena cittena sikkhāpadaṃ sacittakaṃ hoti, yadabhāvā acittakaṃ, tena tassa avisesena sāvajjattā lokavajjabhāvova vuccati, kintu sāvajjaṃyeva samānaṃ ekaccaṃ lokavajjaṃ ekaccaṃ paṇṇattivajjanti dassanatthaṃ lokavajjaggahaṇaṃ. Cittameva yasmā ‘‘lokavajja’’nti vuccati, tasmā manokammampi siyā āpattīti aniṭṭhappasaṅganivāraṇatthaṃ kammaggahaṇaṃ. Yaṃ panettha akiriyālakkhaṇaṃ kammaṃ, taṃ kusalattikavinimuttaṃ siyāti aniṭṭhappasaṅganivāraṇatthaṃ kusalattikaggahaṇaṃ. Yā panettha abyākatā āpatti, taṃ ekaccaṃ avedanampi saññāvedayitanirodhasamāpanno āpajjatīti katvā vedanāttikaṃ ettha na labbhatīti aniṭṭhappasaṅganivāraṇatthaṃ vedanāttikaggahaṇaṃ katanti veditabbaṃ. Sikkhāpadañhi sacittakapuggalavasena ‘‘ticittaṃ tivedana’’nti laddhavohāraṃ acittakenāpannampi ‘‘ticittaṃ tivedana’’micceva vuccati. Tatridaṃ suttaṃ ‘‘atthāpatti acittako āpajjati acittako vuṭṭhāti (pari. 324). Atthāpatti kusalacitto āpajjati kusalacitto vuṭṭhātī’’tiādi (pari. 470). Anugaṇṭhipade pana ‘‘saññā sadā anāpattimeva karoti, cittaṃ āpattimeva, acittakaṃ nāma vatthuavijānanaṃ, nosaññāvimokkhaṃ vītikkamajānanaṃ, idametesaṃ nānatta’’nti vuttaṃ.
สพฺพสงฺคาหกวเสนาติ สพฺพสิกฺขาปทานํ สงฺคหวเสนฯ ภิกฺขุนิยา จีวรทานาทิ กิริยากิริยโตฯ ชาตรูปรชตปฎิคฺคหณาทิ สิยา กิริยโตฯ อุปนิกฺขิตฺตาปฎิเกฺขเป สิยา อกิริยโตฯ เทสิตวตฺถุกปมาณาติกฺกนฺตกุฎิกรเณ สิยา กิริยโต, อเทสิตวตฺถุกปมาณาติกฺกนฺตกรเณ สิยา กิริยากิริยโตฯ ยํ จิตฺตงฺคํ ลภติเยวาติ กายจิตฺตํ วาจาจิตฺตนฺติ เอวํฯ วินาปิ จิเตฺตนาติ เอตฺถ วินาปิ จิเตฺตน สหาปิ จิเตฺตนาติ อธิปฺปาโยฯ โย โส สวิญฺญตฺติโก, อวิญฺญตฺติโก จ วุโตฺต กาโย, ตสฺส กมฺมํ กายกมฺมํ, ตถา วจีกมฺมํฯ ตตฺถ สวิญฺญตฺติโก กาโย อุปฺปตฺติยา กมฺมํ สาเธติ, อิตโร อนุปฺปตฺติยาฯ ตถา วาจาติ เวทิตพฺพํ, สิกฺขาปทนฺติ ‘‘โย ตตฺถ นามกาโย ปทกาโย’’ติ วจนโต วีติกฺกเม ยุชฺชตีติ วุตฺตํฯ ‘‘หสิตุปฺปาทโวฎฺฐพฺพนานิปิ อาปตฺติสมุฎฺฐาปกจิตฺตานิฯ อิทมฺปิ น มยา ปริจฺฉินฺนนฺติ หสมาโน ปสฺสติ ยทา, ตทา โวฎฺฐพฺพนํ ชวนคติก’’นฺติ อนุคณฺฐิปเท วุตฺตํฯ อภิญฺญาจิตฺตานิ ปญฺญตฺติํ อชานิตฺวา อิทฺธิวิกุพฺพนาทิกาเล คเหตพฺพานิฯ
Sabbasaṅgāhakavasenāti sabbasikkhāpadānaṃ saṅgahavasena. Bhikkhuniyā cīvaradānādi kiriyākiriyato. Jātarūparajatapaṭiggahaṇādi siyā kiriyato. Upanikkhittāpaṭikkhepe siyā akiriyato. Desitavatthukapamāṇātikkantakuṭikaraṇe siyā kiriyato, adesitavatthukapamāṇātikkantakaraṇe siyā kiriyākiriyato. Yaṃ cittaṅgaṃ labhatiyevāti kāyacittaṃ vācācittanti evaṃ. Vināpi cittenāti ettha vināpi cittena sahāpi cittenāti adhippāyo. Yo so saviññattiko, aviññattiko ca vutto kāyo, tassa kammaṃ kāyakammaṃ, tathā vacīkammaṃ. Tattha saviññattiko kāyo uppattiyā kammaṃ sādheti, itaro anuppattiyā. Tathā vācāti veditabbaṃ, sikkhāpadanti ‘‘yo tattha nāmakāyo padakāyo’’ti vacanato vītikkame yujjatīti vuttaṃ. ‘‘Hasituppādavoṭṭhabbanānipi āpattisamuṭṭhāpakacittāni. Idampi na mayā paricchinnanti hasamāno passati yadā, tadā voṭṭhabbanaṃ javanagatika’’nti anugaṇṭhipade vuttaṃ. Abhiññācittāni paññattiṃ ajānitvā iddhivikubbanādikāle gahetabbāni.
เอตฺถ ปน โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน…เป.… เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวโนฺต อตฺถิ โกจิ ปาราชิโก โหติ อสํวาโส, อตฺถิ โกจิ น ปาราชิโก โหติ อสํวาโสฯ ทุกฺกฎถุลฺลจฺจยวตฺถูสุ ปฎิเสวโนฺต อตฺถิ โกจิ น ปาราชิโกฯ ปกฺขปณฺฑโก อปณฺฑกปเกฺข อุปสมฺปโนฺน ปณฺฑกปเกฺข เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวโนฺต โส ปาราชิกํ อาปตฺติํ นาปชฺชตีติ น ปาราชิโก นามฯ น หิ อภิกฺขุโน อาปตฺติ นาม อตฺถิฯ โส อนาปตฺติกตฺตา อปณฺฑกปเกฺข อาคโต กิํ อสํวาโส โหติ น โหตีติ? โหติ, ‘‘อภโพฺพ เตน สรีรพนฺธเนนา’’ติ (ปารา. ๕๕; มหาว. ๑๒๙) หิ วุตฺตํฯ ‘‘โย ปน, ภิกฺขุ, ภิกฺขูนํ…เป.… อสํวาโส’’ติ (ปารา. ๔๔) วุตฺตตฺตา โย ปน ภิกฺขุภาเวน เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวติ, โส เอว อภโพฺพฯ นายํ อปาราชิกตฺตาติ เจ? น, ‘‘พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๘๖) วุตฺตฎฺฐาเน ยถา อภิกฺขุนา กมฺมวาจาย สาวิตายปิ กมฺมํ รุหติ กมฺมวิปตฺติยา อสมฺภวโต, เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ ตตฺริทํ ยุตฺติ – อุปสมฺปนฺนปุโพฺพ เอว เจ กมฺมวาจํ สาเวติ, สโงฺฆ จ ตสฺมิํ อุปสมฺปนฺนสญฺญี, เอวเญฺจ กมฺมํ รุหติ, น อญฺญถาติ โน ขนฺตีติ อาจริโยฯ คหโฎฺฐ วา ติตฺถิโย วา ปณฺฑโก วา อนุปสมฺปนฺนสญฺญี กมฺมวาจํ สาเวติ, สเงฺฆน กมฺมวาจา น วุตฺตา โหติ, ‘‘สโงฺฆ อุปสมฺปาเทยฺย, สโงฺฆ อุปสมฺปาเทติ, อุปสมฺปโนฺน สเงฺฆนา’’ติ (มหาว. ๑๒๗) หิ วจนโต สเงฺฆน กมฺมวาจาย วตฺตพฺพาย สงฺฆปริยาปเนฺนน, สงฺฆปริยาปนฺนสญฺญิเตน วา เอเกน วุตฺตา สเงฺฆน วุตฺตาว โหตีติ เวทิตโพฺพ, อยเมว สพฺพกเมฺมสุ ยุตฺติฯ ตถา อตฺถิ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวโนฺต โกจิ นาเสตโพฺพ ‘‘โย ภิกฺขุนีทูสโก, อยํ นาเสตโพฺพ’’ติ วุตฺตตฺตา เอว, โส อนุปสมฺปโนฺนว, สหเสยฺยาปตฺติอาทิํ ชเนติ, ตสฺส โอมสเน จ ทุกฺกฎํ โหติฯ อภิกฺขุนิยา เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวโนฺต น นาเสตโพฺพ ‘‘อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปโนฺน, ภิกฺขเว, อนุปสมฺปโนฺน…เป.… นาเสตโพฺพ’’ติ ปาฬิยา อภาวโตฯ เตเนว โส อุปสมฺปนฺนสงฺขฺยํ คจฺฉติ, น สหเสยฺยาปตฺตาทิํ ชเนติ, เกวลํ อสํวาโสติ กตฺวา คณปูรโก น โหติ, เอกกมฺมํ เอกุเทฺทโสปิ หิ สํวาโสติ วุโตฺตฯ สมสิกฺขตาปิ สํวาโสติ กตฺวา โส เตน สทฺธิํ นตฺถีติ ปทโสธมฺมาปตฺติํ ปน ชเนตีติ การณจฺฉายา ทิสฺสติฯ ยถา ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส เอกกมฺมาทิโน สํวาสสฺส อภาวา ภิกฺขุนี อสํวาสา ภิกฺขุสฺส, ตถา ภิกฺขุ จ ภิกฺขุนิยา, ปทโสธมฺมาปตฺติํ ปน ชเนติฯ ตถา ‘‘อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปโนฺนปิ เอกโจฺจ โย นาเสตโพฺพ’’ติ อวุโตฺตติ อิมินา นิทสฺสเนน สา การณจฺฉายา คหณํ น คจฺฉติฯ
Ettha pana yo pana bhikkhu bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno…pe… methunaṃ dhammaṃ paṭisevanto atthi koci pārājiko hoti asaṃvāso, atthi koci na pārājiko hoti asaṃvāso. Dukkaṭathullaccayavatthūsu paṭisevanto atthi koci na pārājiko. Pakkhapaṇḍako apaṇḍakapakkhe upasampanno paṇḍakapakkhe methunaṃ dhammaṃ paṭisevanto so pārājikaṃ āpattiṃ nāpajjatīti na pārājiko nāma. Na hi abhikkhuno āpatti nāma atthi. So anāpattikattā apaṇḍakapakkhe āgato kiṃ asaṃvāso hoti na hotīti? Hoti, ‘‘abhabbo tena sarīrabandhanenā’’ti (pārā. 55; mahāva. 129) hi vuttaṃ. ‘‘Yo pana, bhikkhu, bhikkhūnaṃ…pe… asaṃvāso’’ti (pārā. 44) vuttattā yo pana bhikkhubhāvena methunaṃ dhammaṃ paṭisevati, so eva abhabbo. Nāyaṃ apārājikattāti ce? Na, ‘‘byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo’’ti (mahāva. 86) vuttaṭṭhāne yathā abhikkhunā kammavācāya sāvitāyapi kammaṃ ruhati kammavipattiyā asambhavato, evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ. Tatridaṃ yutti – upasampannapubbo eva ce kammavācaṃ sāveti, saṅgho ca tasmiṃ upasampannasaññī, evañce kammaṃ ruhati, na aññathāti no khantīti ācariyo. Gahaṭṭho vā titthiyo vā paṇḍako vā anupasampannasaññī kammavācaṃ sāveti, saṅghena kammavācā na vuttā hoti, ‘‘saṅgho upasampādeyya, saṅgho upasampādeti, upasampanno saṅghenā’’ti (mahāva. 127) hi vacanato saṅghena kammavācāya vattabbāya saṅghapariyāpannena, saṅghapariyāpannasaññitena vā ekena vuttā saṅghena vuttāva hotīti veditabbo, ayameva sabbakammesu yutti. Tathā atthi methunaṃ dhammaṃ paṭisevanto koci nāsetabbo ‘‘yo bhikkhunīdūsako, ayaṃ nāsetabbo’’ti vuttattā eva, so anupasampannova, sahaseyyāpattiādiṃ janeti, tassa omasane ca dukkaṭaṃ hoti. Abhikkhuniyā methunaṃ dhammaṃ paṭisevanto na nāsetabbo ‘‘antimavatthuṃ ajjhāpanno, bhikkhave, anupasampanno…pe… nāsetabbo’’ti pāḷiyā abhāvato. Teneva so upasampannasaṅkhyaṃ gacchati, na sahaseyyāpattādiṃ janeti, kevalaṃ asaṃvāsoti katvā gaṇapūrako na hoti, ekakammaṃ ekuddesopi hi saṃvāsoti vutto. Samasikkhatāpi saṃvāsoti katvā so tena saddhiṃ natthīti padasodhammāpattiṃ pana janetīti kāraṇacchāyā dissati. Yathā bhikkhuniyā saddhiṃ bhikkhusaṅghassa ekakammādino saṃvāsassa abhāvā bhikkhunī asaṃvāsā bhikkhussa, tathā bhikkhu ca bhikkhuniyā, padasodhammāpattiṃ pana janeti. Tathā ‘‘antimavatthuṃ ajjhāpannopi ekacco yo nāsetabbo’’ti avuttoti iminā nidassanena sā kāraṇacchāyā gahaṇaṃ na gacchati.
อปิ จ ‘‘ภิกฺขุ สุตฺตภิกฺขุมฺหิ วิปฺปฎิปชฺชติ, ปฎิพุโทฺธ สาทิยติ, อุโภ นาเสตพฺพา’’ติ (ปารา. ๖๖) จ, ‘‘เตน หิ, ภิกฺขเว, เมตฺติยํ ภิกฺขุนิํ นาเสถา’’ติ (ปารา. ๓๘๔) จ วจนโต โย สงฺฆมชฺฌํ ปวิสิตฺวา อนุวิชฺชเกน อนุวิชฺชิยมาโน ปราชาปิโต, โสปิ อนุปสมฺปโนฺนว, น โอมสวาทปาจิตฺติยํ ชเนตีติ เวทิตพฺพํฯ กิญฺจาปิ ‘‘อุปสมฺปนฺนํ อุปสมฺปนฺนสญฺญี ขุํเสตุกาโม’’ติ ปาฬิ นตฺถิ, กิญฺจาปิ กงฺขาวิตรณิยํ ‘‘ยํ อโกฺกสติ, ตสฺส อุปสมฺปนฺนตา, อนญฺญาปเทเสน ชาติอาทีหิ อโกฺกสนํ, ‘มํ อโกฺกสตี’ติ ชานนา, อตฺถปุเรกฺขารตาทีนํ อภาโวติ อิมาเนตฺถ จตฺตาริ องฺคานี’’ติ (กงฺขา. อฎฺฐ. โอมสวาทสิกฺขาปทวณฺณนา) วุตฺตํ, ตถาปิ ทุฎฺฐโทสสิกฺขาปเท ‘‘อสุโทฺธ โหติ ปุคฺคโล อญฺญตรํ ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺน, ตเญฺจ สุทฺธทิฎฺฐิ สมาโน โอกาสํ การาเปตฺวา อโกฺกสาธิปฺปาโย วเทติ, อาปตฺติ โอมสวาทสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๘๙) วจนโต อสุเทฺธ อุปสมฺปนฺนสญฺญาย เอว โอมสนฺตสฺส ปาจิตฺติยํฯ อสุทฺธทิฎฺฐิสฺส ทุกฺกฎํฯ ‘‘สุโทฺธ โหติ ปุคฺคโล, อญฺญตรํ ปาราชิกํ ธมฺมํ อนชฺฌาปโนฺน, ตเญฺจ สุทฺธทิฎฺฐิ สมาโน โอกาสํ การาเปตฺวา อโกฺกสาธิปฺปาโย วเทติ, อาปตฺติ โอมสวาทสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๘๙) วจนโต ปน กงฺขาวิตรณิยํ ‘‘ตสฺส อุปสมฺปนฺนตา อุปสมฺปนฺนสญฺญิตา’’ติ น วุตฺตํ อเนกํสิกตฺตา ตสฺส องฺคสฺสาติ เวทิตพฺพํฯ
Api ca ‘‘bhikkhu suttabhikkhumhi vippaṭipajjati, paṭibuddho sādiyati, ubho nāsetabbā’’ti (pārā. 66) ca, ‘‘tena hi, bhikkhave, mettiyaṃ bhikkhuniṃ nāsethā’’ti (pārā. 384) ca vacanato yo saṅghamajjhaṃ pavisitvā anuvijjakena anuvijjiyamāno parājāpito, sopi anupasampannova, na omasavādapācittiyaṃ janetīti veditabbaṃ. Kiñcāpi ‘‘upasampannaṃ upasampannasaññī khuṃsetukāmo’’ti pāḷi natthi, kiñcāpi kaṅkhāvitaraṇiyaṃ ‘‘yaṃ akkosati, tassa upasampannatā, anaññāpadesena jātiādīhi akkosanaṃ, ‘maṃ akkosatī’ti jānanā, atthapurekkhāratādīnaṃ abhāvoti imānettha cattāri aṅgānī’’ti (kaṅkhā. aṭṭha. omasavādasikkhāpadavaṇṇanā) vuttaṃ, tathāpi duṭṭhadosasikkhāpade ‘‘asuddho hoti puggalo aññataraṃ pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpanno, tañce suddhadiṭṭhi samāno okāsaṃ kārāpetvā akkosādhippāyo vadeti, āpatti omasavādassā’’ti (pārā. 389) vacanato asuddhe upasampannasaññāya eva omasantassa pācittiyaṃ. Asuddhadiṭṭhissa dukkaṭaṃ. ‘‘Suddho hoti puggalo, aññataraṃ pārājikaṃ dhammaṃ anajjhāpanno, tañce suddhadiṭṭhi samāno okāsaṃ kārāpetvā akkosādhippāyo vadeti, āpatti omasavādassā’’ti (pārā. 389) vacanato pana kaṅkhāvitaraṇiyaṃ ‘‘tassa upasampannatā upasampannasaññitā’’ti na vuttaṃ anekaṃsikattā tassa aṅgassāti veditabbaṃ.
อปิ เจตฺถ สิกฺขาปจฺจกฺขาตกจตุกฺกํ เวทิตพฺพํ, อตฺถิ ปุคฺคโล สิกฺขาปจฺจกฺขาตโก น สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน, อตฺถิ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน น สิกฺขาปจฺจกฺขาตโก, อตฺถิ สิกฺขาปจฺจกฺขาตโก เจว สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน จ, อตฺถิ เนว สิกฺขาปจฺจกฺขาตโก น สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺนฯ ตตฺถ ตติโย ภิกฺขุนีสิกฺขาปจฺจกฺขาตโก เวทิตโพฺพฯ สา หิ ยาว น ลิงฺคํ ปริจฺจชติ, กาสาเว สอุสฺสาหาว สมานา สามญฺญา จวิตุกามา สิกฺขํ ปจฺจกฺขนฺตีปิ ภิกฺขุนี เอว สิกฺขาสาชีวสมาปนฺนาวฯ วุตฺตญฺหิ ภควตา ‘‘น, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนิยา สิกฺขาปจฺจกฺขาน’’นฺติ (จูฬว. ๔๓๔)ฯ กทา จ ปน สา อภิกฺขุนี โหตีติ? ยทา สามญฺญา จวิตุกามา คิหินิวาสนํ นิวาเสติ, สา ‘‘วิพฺภนฺตา’’ติ สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ วุตฺตญฺหิ ภควตา ‘‘ยเทว สา วิพฺภนฺตา, ตเทว อภิกฺขุนี’’ติ (จูฬว. ๔๓๔)ฯ กิตฺตาวตา ปน วิพฺภนฺตา โหตีติ? สามญฺญา จวิตุกามา กาสาเวสุ อนาลยา กาสาวํ วา อปเนติ, นคฺคา วา คจฺฉติ, ติณปณฺณาทินา วา ปฎิจฺฉาเทตฺวา คจฺฉติ, กาสาวํเยว วา คิหินิวาสนากาเรน นิวาเสติ, โอทาตํ วา วตฺถํ นิวาเสติ, สลิเงฺคเนว วา สทฺธิํ ติตฺถิเยสุ ปวิสิตฺวา เกสลุญฺจนาทิวตํ สมาทิยติ, ติตฺถิยลิงฺคํ วา สมาทิยติ, ตทา วิพฺภนฺตา นาม โหติฯ ตตฺถ ยา ภิกฺขุนิลิเงฺค ฐิตาว ติตฺถิยวตํ สมาทิยติ, สา ติตฺถิยปกฺกนฺตโก ภิกฺขุ วิย ปจฺฉา ปพฺพชฺชมฺปิ น ลภติ, เสสา ปพฺพชฺชเมเวกํ ลภนฺติ, น อุปสมฺปทํฯ ปาฬิยํ กิญฺจาปิ ‘‘ยา สา, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนี สกาสาวา ติตฺถายตนํ สงฺกนฺตา, สา อาคตา น อุปสมฺปาเทตพฺพา’’ติ วจนโต ยา ปฐมํ วิพฺภมิตฺวา ปจฺฉา ติตฺถายตนํ สงฺกนฺตา, สา อาคตา อุปสมฺปาเทตพฺพาติ อนุญฺญาตํ วิย ทิสฺสติฯ สงฺคีติอาจริเยหิ ปน ‘‘จตุวีสติ ปาราชิกานี’’ติ วุตฺตตฺตา น ปุน สา อุปสมฺปาเทตพฺพา, ตสฺมา เอว สิกฺขาปจฺจกฺขานํ นานุญฺญาตํ ภควตาฯ อนฺติมวตฺถุอชฺฌาปนฺนา ปน ภิกฺขุนี เอวฯ ปกฺขปณฺฑกีปิ ภิกฺขุนี เอวฯ กินฺติ ปุจฺฉาฯ
Api cettha sikkhāpaccakkhātakacatukkaṃ veditabbaṃ, atthi puggalo sikkhāpaccakkhātako na sikkhāsājīvasamāpanno, atthi sikkhāsājīvasamāpanno na sikkhāpaccakkhātako, atthi sikkhāpaccakkhātako ceva sikkhāsājīvasamāpanno ca, atthi neva sikkhāpaccakkhātako na sikkhāsājīvasamāpanno. Tattha tatiyo bhikkhunīsikkhāpaccakkhātako veditabbo. Sā hi yāva na liṅgaṃ pariccajati, kāsāve saussāhāva samānā sāmaññā cavitukāmā sikkhaṃ paccakkhantīpi bhikkhunī eva sikkhāsājīvasamāpannāva. Vuttañhi bhagavatā ‘‘na, bhikkhave, bhikkhuniyā sikkhāpaccakkhāna’’nti (cūḷava. 434). Kadā ca pana sā abhikkhunī hotīti? Yadā sāmaññā cavitukāmā gihinivāsanaṃ nivāseti, sā ‘‘vibbhantā’’ti saṅkhyaṃ gacchati. Vuttañhi bhagavatā ‘‘yadeva sā vibbhantā, tadeva abhikkhunī’’ti (cūḷava. 434). Kittāvatā pana vibbhantā hotīti? Sāmaññā cavitukāmā kāsāvesu anālayā kāsāvaṃ vā apaneti, naggā vā gacchati, tiṇapaṇṇādinā vā paṭicchādetvā gacchati, kāsāvaṃyeva vā gihinivāsanākārena nivāseti, odātaṃ vā vatthaṃ nivāseti, saliṅgeneva vā saddhiṃ titthiyesu pavisitvā kesaluñcanādivataṃ samādiyati, titthiyaliṅgaṃ vā samādiyati, tadā vibbhantā nāma hoti. Tattha yā bhikkhuniliṅge ṭhitāva titthiyavataṃ samādiyati, sā titthiyapakkantako bhikkhu viya pacchā pabbajjampi na labhati, sesā pabbajjamevekaṃ labhanti, na upasampadaṃ. Pāḷiyaṃ kiñcāpi ‘‘yā sā, bhikkhave, bhikkhunī sakāsāvā titthāyatanaṃ saṅkantā, sā āgatā na upasampādetabbā’’ti vacanato yā paṭhamaṃ vibbhamitvā pacchā titthāyatanaṃ saṅkantā, sā āgatā upasampādetabbāti anuññātaṃ viya dissati. Saṅgītiācariyehi pana ‘‘catuvīsati pārājikānī’’ti vuttattā na puna sā upasampādetabbā, tasmā eva sikkhāpaccakkhānaṃ nānuññātaṃ bhagavatā. Antimavatthuajjhāpannā pana bhikkhunī eva. Pakkhapaṇḍakīpi bhikkhunī eva. Kinti pucchā.