Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
ปกิณฺณกกถาวณฺณนา
Pakiṇṇakakathāvaṇṇanā
สาหตฺถิกาณตฺติกนฺติ เอกภณฺฑํ เอวฯ ‘‘ภาริยญฺหิทํ ตฺวมฺปิ เอกปสฺสํ คณฺห, อหมฺปิ เอกปสฺสํ คณฺหามีติ สํวิทหิตฺวา อุภเยสํ ปโยเคน ฐานาจาวเน กเต กายวาจาจิเตฺตหิ โหติ ฯ อญฺญถา ‘สาหตฺถิกํ วา อาณตฺติกสฺส องฺคํ น โหติ, อาณตฺติกํ วา สาหตฺถิกสฺสา’ติ อิมินา วิรุชฺฌตี’’ติ ลิขิตํฯ ธมฺมสิริเตฺถโร ปน ‘‘น เกวลํ ภาริเย เอว วตฺถุมฺหิ อยํ นโย ลพฺภติ, ปญฺจมาสกมตฺตมฺปิ เทฺว เจ ชนา สํวิทหิตฺวา คณฺหนฺติ, ทฺวินฺนมฺปิ ปาเฎกฺกํ, สาหตฺถิกํ นาม ตํ กมฺมํ, สาหตฺถิกปโยคตฺตา เอกสฺมิํเยว ภเณฺฑ, ตสฺมา ‘สาหตฺถิกํ อาณตฺติกสฺส องฺคํ น โหตี’ติ วจนมิมํ นยํ น ปฎิพาหติฯ ‘สาหตฺถิกวตฺถุองฺคนฺติ สาหตฺถิกสฺส วตฺถุสฺส องฺคํ น โหตี’ติ ตตฺถ วุตฺตํฯ อิธ ปน ปโยคํ สนฺธาย วุตฺตตฺตา ยุชฺชตี’’ติ อาห กิร, ตํ อยุตฺตํ กายวจีกมฺมนฺติ วจนาภาวา, ตสฺมา สาหตฺถิกาณตฺติเกสุ ปโยเคสุ อญฺญตเรน วายมาปตฺติ สมุฎฺฐาติ , ตถาปิ ตุริตตุริตา หุตฺวา วิโลปนาทีสุ คหณคาหาปนวเสเนตํ วุตฺตํฯ ยถา กาเลน อตฺตโน กาเลน ปรสฺส ธมฺมํ อารพฺภ สีฆํ สีฆํ อุปฺปตฺติํ สนฺธาย ‘‘อชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ติกมาติกา ๒๑) วุตฺตา, เอวํสมฺปทมิทนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Sāhatthikāṇattikanti ekabhaṇḍaṃ eva. ‘‘Bhāriyañhidaṃ tvampi ekapassaṃ gaṇha, ahampi ekapassaṃ gaṇhāmīti saṃvidahitvā ubhayesaṃ payogena ṭhānācāvane kate kāyavācācittehi hoti . Aññathā ‘sāhatthikaṃ vā āṇattikassa aṅgaṃ na hoti, āṇattikaṃ vā sāhatthikassā’ti iminā virujjhatī’’ti likhitaṃ. Dhammasiritthero pana ‘‘na kevalaṃ bhāriye eva vatthumhi ayaṃ nayo labbhati, pañcamāsakamattampi dve ce janā saṃvidahitvā gaṇhanti, dvinnampi pāṭekkaṃ, sāhatthikaṃ nāma taṃ kammaṃ, sāhatthikapayogattā ekasmiṃyeva bhaṇḍe, tasmā ‘sāhatthikaṃ āṇattikassa aṅgaṃ na hotī’ti vacanamimaṃ nayaṃ na paṭibāhati. ‘Sāhatthikavatthuaṅganti sāhatthikassa vatthussa aṅgaṃ na hotī’ti tattha vuttaṃ. Idha pana payogaṃ sandhāya vuttattā yujjatī’’ti āha kira, taṃ ayuttaṃ kāyavacīkammanti vacanābhāvā, tasmā sāhatthikāṇattikesu payogesu aññatarena vāyamāpatti samuṭṭhāti , tathāpi turitaturitā hutvā vilopanādīsu gahaṇagāhāpanavasenetaṃ vuttaṃ. Yathā kālena attano kālena parassa dhammaṃ ārabbha sīghaṃ sīghaṃ uppattiṃ sandhāya ‘‘ajjhattabahiddhārammaṇā dhammā’’ti (dha. sa. tikamātikā 21) vuttā, evaṃsampadamidanti daṭṭhabbaṃ.
ตตฺถปิ เย อนุตฺตราทโย เอกนฺตพหิทฺธารมฺมณา วิญฺญาณญฺจายตนาทโย เอกนฺตอชฺฌตฺตารมฺมณา, อิตเร อนิยตารมฺมณตฺตา ‘‘อชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณา’’ติ วุจฺจนฺติ, น เอกกฺขเณ อุภยารมฺมณตฺตาฯ อยํ ปน อาปตฺติ ยถาวุตฺตนเยน สาหตฺถิกา อาณตฺติกาปิ โหติเยว, ตสฺมา อนิทสฺสนเมตนฺติ อยุตฺตํฯ ‘‘ยถา อนิยตารมฺมณตฺตา ‘อชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณา’ติ วุตฺตา, ตถา อนิยตปโยคตฺตา อยมฺปิ อาปตฺติ ‘สาหตฺถิกาณตฺติกา’ติ วุตฺตาติ นิทสฺสนเมเวต’’นฺติ เอกเจฺจ อาจริยา อาหุฯ ‘‘อิเม ปนาจริยา อุภินฺนํ เอกโต อารมฺมณกรณํ นตฺถิฯ อตฺถิ เจ, ‘อชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณํ ธมฺมํ ปฎิจฺจ อชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมโณ ธโมฺม อุปฺปชฺชติ เหตุปจฺจยา’ติอาทินา (ปฎฺฐา. ๒.๒๑.๑ อชฺฌตฺตารมฺมณติก) ปฎฺฐานปาเฐน ภวิตพฺพนฺติ สญฺญาย อาหํสุ, เตสํ มเตน ‘สิยา อชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณา’ติ วจนํ นิรตฺถกํ สิยา, น จ นิรตฺถกํ, ตสฺมา อเตฺถว เอกโต อชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมโณ ธโมฺมฯ ปุน ‘อยํ โส’ติ นิยเมน อชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณา ธมฺมา วิย นิทฺทิสิตพฺพาภาวโต น อุทฺธโฎ สิยาฯ ตตฺถ อนุทฺธฎตฺตา เอว ธมฺมสงฺคหฎฺฐกถายํ อุภินฺนมฺปิ อชฺฌตฺตพหิทฺธาธมฺมานํ เอกโต อารมฺมณกรณธมฺมวเสน ‘อชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณา’ติ อวตฺวา ‘กาเลน อชฺฌตฺตพหิทฺธา ปวตฺติยํ อชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณ’นฺติ วุตฺตํ, ตสฺมา คณฺฐิปเท วุตฺตนโยว สาโรติ โน ตโกฺก’’ติ อาจริโยฯ ตตฺถ ‘‘กายวจีกมฺม’’นฺติ อวจนํ ปนสฺส สาหตฺถิกปโยคตฺตา เอกปโยคสฺส อเนกกมฺมตฺตาว, ยทิ ภเวยฺย, มโนกมฺมมฺปิ วตฺตพฺพํ ภเวยฺย, ยถา ตตฺถ มโนกมฺมํ วิชฺชมานมฺปิ อโพฺพหาริกํ ชาตํ, เอวํ ตสฺมิํ สาหตฺถิกาณตฺติเก วจีกมฺมํ อโพฺพหาริกนฺติ เวทิตพฺพํ, ตํ ปน เกวลํ กายกมฺมสฺส อุปนิสฺสยํ ชาตํ, จิตฺตํ วิย ตตฺถ องฺคเมว ชาตํ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘สาหตฺถิกปโยคตฺตา’’ติ, ‘‘องฺคภาวมตฺตเมว หิ สนฺธาย ‘สาหตฺถิกาณตฺติก’นฺติ วุตฺตนฺติ โน ตโกฺก’’ติ จ, วิจาเรตฺวา คเหตพฺพํฯ
Tatthapi ye anuttarādayo ekantabahiddhārammaṇā viññāṇañcāyatanādayo ekantaajjhattārammaṇā, itare aniyatārammaṇattā ‘‘ajjhattabahiddhārammaṇā’’ti vuccanti, na ekakkhaṇe ubhayārammaṇattā. Ayaṃ pana āpatti yathāvuttanayena sāhatthikā āṇattikāpi hotiyeva, tasmā anidassanametanti ayuttaṃ. ‘‘Yathā aniyatārammaṇattā ‘ajjhattabahiddhārammaṇā’ti vuttā, tathā aniyatapayogattā ayampi āpatti ‘sāhatthikāṇattikā’ti vuttāti nidassanameveta’’nti ekacce ācariyā āhu. ‘‘Ime panācariyā ubhinnaṃ ekato ārammaṇakaraṇaṃ natthi. Atthi ce, ‘ajjhattabahiddhārammaṇaṃ dhammaṃ paṭicca ajjhattabahiddhārammaṇo dhammo uppajjati hetupaccayā’tiādinā (paṭṭhā. 2.21.1 ajjhattārammaṇatika) paṭṭhānapāṭhena bhavitabbanti saññāya āhaṃsu, tesaṃ matena ‘siyā ajjhattabahiddhārammaṇā’ti vacanaṃ niratthakaṃ siyā, na ca niratthakaṃ, tasmā attheva ekato ajjhattabahiddhārammaṇo dhammo. Puna ‘ayaṃ so’ti niyamena ajjhattabahiddhārammaṇā dhammā viya niddisitabbābhāvato na uddhaṭo siyā. Tattha anuddhaṭattā eva dhammasaṅgahaṭṭhakathāyaṃ ubhinnampi ajjhattabahiddhādhammānaṃ ekato ārammaṇakaraṇadhammavasena ‘ajjhattabahiddhārammaṇā’ti avatvā ‘kālena ajjhattabahiddhā pavattiyaṃ ajjhattabahiddhārammaṇa’nti vuttaṃ, tasmā gaṇṭhipade vuttanayova sāroti no takko’’ti ācariyo. Tattha ‘‘kāyavacīkamma’’nti avacanaṃ panassa sāhatthikapayogattā ekapayogassa anekakammattāva, yadi bhaveyya, manokammampi vattabbaṃ bhaveyya, yathā tattha manokammaṃ vijjamānampi abbohārikaṃ jātaṃ, evaṃ tasmiṃ sāhatthikāṇattike vacīkammaṃ abbohārikanti veditabbaṃ, taṃ pana kevalaṃ kāyakammassa upanissayaṃ jātaṃ, cittaṃ viya tattha aṅgameva jātaṃ, tasmā vuttaṃ ‘‘sāhatthikapayogattā’’ti, ‘‘aṅgabhāvamattameva hi sandhāya ‘sāhatthikāṇattika’nti vuttanti no takko’’ti ca, vicāretvā gahetabbaṃ.
กายวาจา สมุฎฺฐานา, ยสฺสา อาปตฺติยา สิยุํ;
Kāyavācā samuṭṭhānā, yassā āpattiyā siyuṃ;
ตตฺถ กมฺมํ น ตํ จิตฺตํ, กมฺมํ นสฺสติ ขียติฯ
Tattha kammaṃ na taṃ cittaṃ, kammaṃ nassati khīyati.
กิริยากิริยาทิกํ ยญฺจ, กมฺมากมฺมาทิกํ ภเว;
Kiriyākiriyādikaṃ yañca, kammākammādikaṃ bhave;
น ยุตฺตํ ตํ วิรุทฺธตฺตา, กมฺมเมกํว ยุชฺชติฯ
Na yuttaṃ taṃ viruddhattā, kammamekaṃva yujjati.