Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทสิกฺขา-มูลสิกฺขา • Khuddasikkhā-mūlasikkhā |
๔๑. ปกิณฺณกนิเทฺทสวณฺณนา
41. Pakiṇṇakaniddesavaṇṇanā
๓๓๕-๖. สทฺวารพนฺธเน ฐาเน…เป.… สยโนฺต ทุกฺกฎํ ผุเสติ เอวรูเป ฐาเน ทิวา สยเนฺตนาติ สมฺพโนฺธฯ สทฺวารพนฺธเน (ปารา. ๗๗; ปารา. อฎฺฐ. ๑.๗๗) ปน ฐาเน เยน เกนจิ ปริกฺขิเตฺต อโพฺภกาเสปิ รุกฺขมูเลปิ อนฺตมโส อิมินา ลกฺขเณน ยุเตฺต อากาสงฺคเณปิ สยเนฺตน ทฺวารํ พนฺธิตพฺพเมวฯ วิญฺญุมฺหิ ปุริเสติ ภิกฺขุมฺหิ วา สามเณเร วา อนฺตมโส อุปาสกอารามิเกสุปิ อญฺญตรสฺมิํ สตีติ อโตฺถฯ ‘‘เอส ชคฺคิสฺสตี’’ติ อาโภโค จาปิ กปฺปตีติ เกวลํ ภิกฺขุนิํ วา มาตุคามํ วา อาปุจฺฉิตุํ น วฎฺฎติฯ สวเสติ อตฺตโน วเส, อพหุสาธารณฎฺฐาเนติ อโตฺถฯ ตํ วินาการนฺติ ตํ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปการํ ทฺวารถกนอาโภคกรณสงฺขาตํ อาการํ วินาติ อโตฺถฯ อจิตฺตกาปตฺติกิริยายํ สเงฺขโปฯ
335-6.Sadvārabandhane ṭhāne…pe… sayanto dukkaṭaṃ phuseti evarūpe ṭhāne divā sayantenāti sambandho. Sadvārabandhane (pārā. 77; pārā. aṭṭha. 1.77) pana ṭhāne yena kenaci parikkhitte abbhokāsepi rukkhamūlepi antamaso iminā lakkhaṇena yutte ākāsaṅgaṇepi sayantena dvāraṃ bandhitabbameva. Viññumhi puriseti bhikkhumhi vā sāmaṇere vā antamaso upāsakaārāmikesupi aññatarasmiṃ satīti attho. ‘‘Esa jaggissatī’’ti ābhogo cāpi kappatīti kevalaṃ bhikkhuniṃ vā mātugāmaṃ vā āpucchituṃ na vaṭṭati. Savaseti attano vase, abahusādhāraṇaṭṭhāneti attho. Taṃ vinākāranti taṃ pubbe vuttappakāraṃ dvārathakanaābhogakaraṇasaṅkhātaṃ ākāraṃ vināti attho. Acittakāpattikiriyāyaṃ saṅkhepo.
๓๓๗. รตนานีติ มุตฺตาทิทสวิธรตนานิฯ ธญฺญนฺติ สตฺตวิธํ ธญฺญํฯ
337.Ratanānīti muttādidasavidharatanāni. Dhaññanti sattavidhaṃ dhaññaṃ.
๓๓๘. สิตฺถเตโลทเตเลหีติ เอตฺถ (จูฬว. ๒๔๖; จูฬว. อฎฺฐ. ๒๔๖) ปน โย มธุสิตฺถกเตเลน วา อุทกมิสฺสกเตเลน วา อเญฺญน เกนจิ วิกาเรน วา เกเส โอสเณฺฐติ, ทนฺตมยาทีสุ เยน เกนจิ ผเณน วา โกเจฺฉน วา หเตฺถน วา ผณกิจฺจํ กโรโนฺต องฺคุลีหิ วา โอสเณฺฐติ, ตสฺส ทุกฺกฎํ โหตีติ อโตฺถฯ
338.Sitthatelodatelehīti ettha (cūḷava. 246; cūḷava. aṭṭha. 246) pana yo madhusitthakatelena vā udakamissakatelena vā aññena kenaci vikārena vā kese osaṇṭheti, dantamayādīsu yena kenaci phaṇena vā kocchena vā hatthena vā phaṇakiccaṃ karonto aṅgulīhi vā osaṇṭheti, tassa dukkaṭaṃ hotīti attho.
๓๓๙. เนกปาวุรณาติ (จูฬว. ๒๖๔) น เอกปาวุรณาฯ ตุวฎฺฎยุนฺติ นิปเชฺชยฺยุํฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยทิ เอกปาวุรณา วา เอกตฺถรณา วา เอกมเญฺจ วา ตุวเฎฺฎยฺยุํ, น วฎฺฎติ, ทุกฺกฎํ โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอกมฺหิ (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๖๔) วา ภาชเน น ภุเญฺชยฺยุนฺติ สมฺพโนฺธฯ
339.Nekapāvuraṇāti (cūḷava. 264) na ekapāvuraṇā. Tuvaṭṭayunti nipajjeyyuṃ. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yadi ekapāvuraṇā vā ekattharaṇā vā ekamañce vā tuvaṭṭeyyuṃ, na vaṭṭati, dukkaṭaṃ hotīti vuttaṃ hoti. Ekamhi (cūḷava. aṭṭha. 264) vā bhājane na bhuñjeyyunti sambandho.
๓๔๐. จตุรงฺคุลโต (จูฬว. ๒๘๒; จูฬว. อฎฺฐ. ๒๘๒) อูนํ ทนฺตกฎฺฐํ น ขาเทยฺยาติ สมฺพโนฺธฯ อธิกฎฺฐงฺคุลนฺติ อฎฺฐงฺคุลโต อธิกํฯ ตถาติ น ขาเทยฺยาติ อโตฺถฯ อกลฺลโก (จูฬว. ๒๘๙) ลสุณํ น ขาเทยฺยฯ
340. Caturaṅgulato (cūḷava. 282; cūḷava. aṭṭha. 282) ūnaṃ dantakaṭṭhaṃ na khādeyyāti sambandho. Adhikaṭṭhaṅgulanti aṭṭhaṅgulato adhikaṃ. Tathāti na khādeyyāti attho. Akallako (cūḷava. 289) lasuṇaṃ na khādeyya.
๓๔๑. หีเนหิ (ปาจิ. ๓๑ อาทโย) วา อุกฺกเฎฺฐหิ วา ชาติอาทีหิ เอว อุกฺกฎฺฐํ วา หีนํ วา ‘‘จณฺฑาโลสี’’ติอาทินา นเยน อุชุํ วา ‘‘สนฺติ วา อิเธกเจฺจ จณฺฑาลา, เวนา, เนสาทา’’ติอาทินา นเยน อญฺญาปเทเสน วา อุปสมฺปนฺนํ วา อนุปสมฺปนฺนํ วา อโกฺกสาธิปฺปายํ วินา เกวลํ ทวาธิปฺปาเยน วเท, ทุพฺภาสิตนฺติ อโตฺถฯ
341. Hīnehi (pāci. 31 ādayo) vā ukkaṭṭhehi vā jātiādīhi eva ukkaṭṭhaṃ vā hīnaṃ vā ‘‘caṇḍālosī’’tiādinā nayena ujuṃ vā ‘‘santi vā idhekacce caṇḍālā, venā, nesādā’’tiādinā nayena aññāpadesena vā upasampannaṃ vā anupasampannaṃ vā akkosādhippāyaṃ vinā kevalaṃ davādhippāyena vade, dubbhāsitanti attho.
๓๔๒. นเข วา เกเส วา นาสโลเม (จูฬว. ๒๗๕) วา ทีเฆ น ธารเยติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, มํสปฺปมาเณน นเข ฉินฺทิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๗๔) จ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทุมาสิกํ วา ทุวงฺคุลํ วา’’ติ (จูฬว. ๒๔๖) จ วุตฺตํฯ น ลพฺภํ วีสติมฎฺฐนฺติ เอตฺถ เอกนขมฺปิ มฎฺฐํ กาตุํ น วฎฺฎติ เอวฯ ‘‘น ภิกฺขเว วีสติมฎฺฐํ การาเปตพฺพํฯ โย การาเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส (จูฬว. ๒๗๔)ฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, มลมตฺตํ อปกฑฺฒิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๗๔) หิ วุตฺตํฯ ตสฺมา นขโต มลมตฺตํ อปกฑฺฒิตุํ วฎฺฎติฯ สมฺพาเธ โลมหารณนฺติ เอตฺถ สมฺพาโธ นาม อุโภ อุปกจฺฉกา มุตฺตกรณญฺจฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อาพาธปจฺจยา สมฺพาเธ โลมํ สํหราเปตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๗๕) หิ วุตฺตํฯ
342. Nakhe vā kese vā nāsalome (cūḷava. 275) vā dīghe na dhārayeti sambandho. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, maṃsappamāṇena nakhe chinditu’’nti (cūḷava. 274) ca ‘‘anujānāmi, bhikkhave, dumāsikaṃ vā duvaṅgulaṃ vā’’ti (cūḷava. 246) ca vuttaṃ. Na labbhaṃ vīsatimaṭṭhanti ettha ekanakhampi maṭṭhaṃ kātuṃ na vaṭṭati eva. ‘‘Na bhikkhave vīsatimaṭṭhaṃ kārāpetabbaṃ. Yo kārāpeyya, āpatti dukkaṭassa (cūḷava. 274). Anujānāmi, bhikkhave, malamattaṃ apakaḍḍhitu’’nti (cūḷava. 274) hi vuttaṃ. Tasmā nakhato malamattaṃ apakaḍḍhituṃ vaṭṭati. Sambādhe lomahāraṇanti ettha sambādho nāma ubho upakacchakā muttakaraṇañca. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ābādhapaccayā sambādhe lomaṃ saṃharāpetu’’nti (cūḷava. 275) hi vuttaṃ.
๓๔๓. ยถาวุฑฺฒนฺติ วุฑฺฒปฎิปาฎิยา ลทฺธพฺพํฯ น พาเธยฺยาติ น วาเรยฺยฯ สงฺฆุทฺทิฎฺฐํวาติ อุปาสกาทีหิ ยถาวุฑฺฒํ ‘‘อยฺยา ปริภุญฺชนฺตู’’ติ นิสฺสชฺชิตฺวาว ทินฺนํ เสนาสนาทิฯ ‘‘น ภิกฺขเว อุทฺทิสฺสกตมฺปิ ยถาวุฑฺฒํ ปฎิพาหิตพฺพํฯ โย ปฎิพาเหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๑๓) หิ วุตฺตํฯ อโธตปาเทหิ (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๒๔) วา อลฺลปาเทหิ วา นกฺกเมติ สมฺพโนฺธฯ สุโธตปาทกํ วาปีติ โธตปาเทเหว อกฺกมิตพฺพฎฺฐานํฯ ตเถวาติ นกฺกเมยฺย สอุปาหโนติ อโตฺถฯ ‘‘น ภิกฺขเว อโธเตหิ ปาเทหิ, อเลฺลหิ ปาเทหิ, สอุปาหเนน เสนาสนํ อกฺกมิตพฺพํฯ โย อกฺกเมยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๒๔), หิ วุตฺตํฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปจฺจตฺถริตฺวา นิปชฺชิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๔) วุตฺตตฺตา ปริภณฺฑกตํ ภูมิํ วา ภูมตฺถรณเสนาสนํ วา สงฺฆิกํ มญฺจปีฐํ วา อตฺตโน สนฺตเกน ปจฺจตฺถรเณน ปจฺจตฺถริตฺวาว นิปชฺชิตพฺพํฯ
343.Yathāvuḍḍhanti vuḍḍhapaṭipāṭiyā laddhabbaṃ. Na bādheyyāti na vāreyya. Saṅghuddiṭṭhaṃvāti upāsakādīhi yathāvuḍḍhaṃ ‘‘ayyā paribhuñjantū’’ti nissajjitvāva dinnaṃ senāsanādi. ‘‘Na bhikkhave uddissakatampi yathāvuḍḍhaṃ paṭibāhitabbaṃ. Yo paṭibāheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 313) hi vuttaṃ. Adhotapādehi (cūḷava. aṭṭha. 324) vā allapādehi vā nakkameti sambandho. Sudhotapādakaṃ vāpīti dhotapādeheva akkamitabbaṭṭhānaṃ. Tathevāti nakkameyya saupāhanoti attho. ‘‘Na bhikkhave adhotehi pādehi, allehi pādehi, saupāhanena senāsanaṃ akkamitabbaṃ. Yo akkameyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 324), hi vuttaṃ. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, paccattharitvā nipajjitu’’nti (cūḷava. 324) vuttattā paribhaṇḍakataṃ bhūmiṃ vā bhūmattharaṇasenāsanaṃ vā saṅghikaṃ mañcapīṭhaṃ vā attano santakena paccattharaṇena paccattharitvāva nipajjitabbaṃ.
๓๔๔. สงฺฆาฎิยา น ปลฺลเตฺถติ อธิฎฺฐิตจีวเรน วิหาเร วา อนฺตรฆเร วา ปลฺลตฺถิกา น กาตพฺพาติ อโตฺถฯ ปริกมฺมกตํ (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๒๔) ภิตฺติอาทิํ น อปสฺสเยฯ ‘‘น ภิกฺขเว ปริกมฺมกตา ภิตฺติ อปเสฺสตพฺพาฯ โย อปเสฺสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๒๔) หิ วุตฺตํฯ ตสฺมา เสตภิตฺติ วา จิตฺตกมฺมกตา วา ภิตฺติ น อปสฺสยิตพฺพาฯ น เกวลํ ภิตฺติเยว, ปริกมฺมกตา ทฺวารกวาฎวาตปานตฺถมฺภาทโยปิ น อปสฺสยิตพฺพาฯ เอตฺถปิ โลมคณนาย เอว อาปตฺติโย เวทิตพฺพาฯ สเนฺต อุทเก โน น อาจเมติ (จูฬว. ๓๗๓; จูฬว. อฎฺฐ. ๓๗๓) โน น อาจเมตุํ, อุทกสุทฺธิํ อกาตุํ น วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ สเนฺตติ วจเนน อสเนฺต อนาปตฺตีติ ทีเปติฯ
344.Saṅghāṭiyāna pallattheti adhiṭṭhitacīvarena vihāre vā antaraghare vā pallatthikā na kātabbāti attho. Parikammakataṃ (cūḷava. aṭṭha. 324) bhittiādiṃ na apassaye. ‘‘Na bhikkhave parikammakatā bhitti apassetabbā. Yo apasseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 324) hi vuttaṃ. Tasmā setabhitti vā cittakammakatā vā bhitti na apassayitabbā. Na kevalaṃ bhittiyeva, parikammakatā dvārakavāṭavātapānatthambhādayopi na apassayitabbā. Etthapi lomagaṇanāya eva āpattiyo veditabbā. Sante udake no na ācameti (cūḷava. 373; cūḷava. aṭṭha. 373) no na ācametuṃ, udakasuddhiṃ akātuṃ na vaṭṭatīti attho. Santeti vacanena asante anāpattīti dīpeti.
๓๔๕. อกปฺปิยสมาทาเนติ ภิกฺขุํ วา สามเณราทิเก เสสสหธมฺมิเก วา อกปฺปิเย นิโยเชนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, ปพฺพชิเตน อกปฺปิเย สมาทเปตพฺพํฯ โย สมาทเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๓๐๓) หิ วุตฺตํฯ สภาคาย (มหาว. อฎฺฐ. ๑๖๙) อาปตฺติยา เทสนายาติ อโตฺถฯ วตฺถุสภาคตา อิธ อธิเปฺปตา, น อาปตฺติสภาคตาฯ ‘‘น ภิกฺขเว สภาคา อาปตฺติ เทเสตพฺพาฯ โย เทเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๖๙) จ ‘‘น ภิกฺขเว สภาคา อาปตฺติ ปฎิคฺคเหตพฺพาฯ โย ปฎิคฺคเณฺหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๖๙) จ วุตฺตํฯ วตฺถุสภาคํ อาปตฺติํ อาวิ กาตุมฺปิ น วฎฺฎติ, เตน วุตฺตํ ‘‘อาวิกเมฺม จ ทุกฺกฎ’’นฺติฯ ‘‘อหํ, อาวุโส, อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปชฺชิํ, ตํ อิโต วุฎฺฐหิตฺวา ปฎิกริสฺสามี’’ติ อญฺญสฺส วจนํ อาวิกมฺมํนามฯ
345.Akappiyasamādāneti bhikkhuṃ vā sāmaṇerādike sesasahadhammike vā akappiye niyojentassa dukkaṭameva. ‘‘Na, bhikkhave, pabbajitena akappiye samādapetabbaṃ. Yo samādapeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 303) hi vuttaṃ. Sabhāgāya (mahāva. aṭṭha. 169) āpattiyā desanāyāti attho. Vatthusabhāgatā idha adhippetā, na āpattisabhāgatā. ‘‘Na bhikkhave sabhāgā āpatti desetabbā. Yo deseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 169) ca ‘‘na bhikkhave sabhāgā āpatti paṭiggahetabbā. Yo paṭiggaṇheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 169) ca vuttaṃ. Vatthusabhāgaṃ āpattiṃ āvi kātumpi na vaṭṭati, tena vuttaṃ ‘‘āvikamme ca dukkaṭa’’nti. ‘‘Ahaṃ, āvuso, itthannāmaṃ āpattiṃ āpajjiṃ, taṃ ito vuṭṭhahitvā paṭikarissāmī’’ti aññassa vacanaṃ āvikammaṃnāma.
๓๔๖. อิตรสฺส ตูติ อสุทฺธจิตฺตสฺสฯ
346.Itarassatūti asuddhacittassa.
๓๔๗. โปริสนฺติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๘๔) ปุริสปฺปมาณํ อภิรุหิตุํ วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สติ กรณีเย โปริสํ รุกฺขํ อภิรุหิตุํ, อาปทาสุ ยาวทตฺถ’’นฺติ (จูฬว. ๒๘๔) หิ วุตฺตํฯ
347.Porisanti (cūḷava. aṭṭha. 284) purisappamāṇaṃ abhiruhituṃ vaṭṭatīti attho. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, sati karaṇīye porisaṃ rukkhaṃ abhiruhituṃ, āpadāsu yāvadattha’’nti (cūḷava. 284) hi vuttaṃ.
๓๔๘. ปริสฺสาวนํ (จูฬว. ๒๕๙; จูฬว. อฎฺฐ. ๒๕๙) วินา อฑฺฒโยชนํ คจฺฉนฺตสฺส ทุกฺกฎนฺติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘อทฺธานคมนสมโย นาม อฑฺฒโยชนํ คจฺฉิสฺสามีติ ภุญฺชิตพฺพ’’นฺติ (ปาจิ. ๒๑๘) วุตฺตํ, ตสฺมา อฑฺฒโยชนเมว อนฺติมํ อทฺธานนฺติ เวทิตพฺพํฯ ภิกฺขุนิยา จ มาตุคาเมน จ สํวิธานสิกฺขาปเท ‘‘เอกทฺธานมคฺคํ ปฎิปเชฺชยฺย, อนฺตมโส คามนฺตรมฺปี’’ติ (ปาจิ. ๑๘๒, ๔๑๓) เอวํ วิเสเสตฺวา วุตฺตตฺตา ‘‘กุกฺกุฎสมฺปาเต คาเม คามนฺตเร คามนฺตเร อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๑๘๓, ๔๑๔) วุตฺตํ, น อทฺธานลกฺขเณนฯ ยทิ คามนฺตรปริเจฺฉเทน อทฺธานํ วุจฺจติ, คณโภชนสิกฺขาปเทปิ ‘‘อทฺธานคมนสมโย นาม คามนฺตรมฺปิ คจฺฉิสฺสามีติ ภุญฺชิตพฺพ’’นฺติ วเทยฺย, น จ วุตฺตํฯ ตสฺมา ‘‘น ภิกฺขเว อปริสฺสาวนเกน อทฺธาโน ปฎิปชฺชิตโพฺพฯ โย ปฎิปเชฺชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ สเจ น โหติ ปริสฺสาวนํ วา ธมฺมกรโณ วา, สงฺฆาฎิกโณฺณปิ อธิฎฺฐาตโพฺพ อิมินา ปริสฺสาเวตฺวา ปิวิสฺสามี’’ติ วุตฺตฎฺฐาเนปิ อฑฺฒโยชนวเสเนว อทฺธานปริเจฺฉโท เวทิตโพฺพฯ อภยคิริวาสีนํ ปน ‘‘ทฺวิคาวุตวเสน อทฺธานปริเจฺฉโท’’ติ ปาฬิยํ เอว อตฺถิฯ ยาจมานสฺสาติ ยาจนฺตสฺสฯ ‘‘น จ ภิกฺขเว อทฺธานปฺปฎิปเนฺนน ภิกฺขุนา ปริสฺสาวนํ ยาจิยมาเนน น ทาตพฺพํฯ โย น ทเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ หิ วุตฺตํฯ
348. Parissāvanaṃ (cūḷava. 259; cūḷava. aṭṭha. 259) vinā aḍḍhayojanaṃ gacchantassa dukkaṭanti sambandho. ‘‘Addhānagamanasamayo nāma aḍḍhayojanaṃ gacchissāmīti bhuñjitabba’’nti (pāci. 218) vuttaṃ, tasmā aḍḍhayojanameva antimaṃ addhānanti veditabbaṃ. Bhikkhuniyā ca mātugāmena ca saṃvidhānasikkhāpade ‘‘ekaddhānamaggaṃ paṭipajjeyya, antamaso gāmantarampī’’ti (pāci. 182, 413) evaṃ visesetvā vuttattā ‘‘kukkuṭasampāte gāme gāmantare gāmantare āpatti pācittiyassā’’ti (pāci. 183, 414) vuttaṃ, na addhānalakkhaṇena. Yadi gāmantaraparicchedena addhānaṃ vuccati, gaṇabhojanasikkhāpadepi ‘‘addhānagamanasamayo nāma gāmantarampi gacchissāmīti bhuñjitabba’’nti vadeyya, na ca vuttaṃ. Tasmā ‘‘na bhikkhave aparissāvanakena addhāno paṭipajjitabbo. Yo paṭipajjeyya, āpatti dukkaṭassa. Sace na hoti parissāvanaṃ vā dhammakaraṇo vā, saṅghāṭikaṇṇopi adhiṭṭhātabbo iminā parissāvetvā pivissāmī’’ti vuttaṭṭhānepi aḍḍhayojanavaseneva addhānaparicchedo veditabbo. Abhayagirivāsīnaṃ pana ‘‘dvigāvutavasena addhānaparicchedo’’ti pāḷiyaṃ eva atthi. Yācamānassāti yācantassa. ‘‘Na ca bhikkhave addhānappaṭipannena bhikkhunā parissāvanaṃ yāciyamānena na dātabbaṃ. Yo na dadeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti hi vuttaṃ.
๓๔๙. อญฺญตฺร อาพาธปฺปจฺจยา กณฺณนาสาทิเก เสสเงฺค ทุกฺกฎนฺติ สมฺพโนฺธฯ อาพาเธ สติ องฺคุลิอาทีนิ ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติฯ องฺคชาตํ วา พีชานิ วา ฉินฺทิตุํ น วฎฺฎติ เอวฯ อตฺตฆาตเน จ ทุกฺกฎนฺติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘น จ ภิกฺขเว อตฺตานํ ฆาเตตพฺพํฯ โย ฆาเตยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ หิ วุตฺตํฯ
349. Aññatra ābādhappaccayā kaṇṇanāsādike sesaṅge dukkaṭanti sambandho. Ābādhe sati aṅguliādīni chindituṃ vaṭṭati. Aṅgajātaṃ vā bījāni vā chindituṃ na vaṭṭati eva. Attaghātane ca dukkaṭanti sambandho. ‘‘Na ca bhikkhave attānaṃ ghātetabbaṃ. Yo ghāteyya, āpatti dukkaṭassā’’ti hi vuttaṃ.
๓๕๐. ‘‘น จ ภิกฺขเว ปฎิภานจิตฺตํ การาเปตพฺพํ อิตฺถิรูปกํ ปุริสรูปกํฯ โย การาเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, มาลากมฺมํ ลตากมฺมํ มกรทนฺตกํ ปญฺจปฎิก’’นฺติ (จูฬว. ๒๙๙) วุตฺตตฺตา ‘‘จิตฺตโปตฺถกรูปานิ, น กเร น จ การเย’’ติ วุตฺตํฯ ภุญฺชนฺตนฺติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๑๖) วิปฺปกตโภชนํฯ ‘‘น ภิกฺขเว วิปฺปกตโภชโน ภิกฺขุ วุฎฺฐาเปตโพฺพฯ โย วุฎฺฐาเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๑๖) หิ วุตฺตํฯ
350. ‘‘Na ca bhikkhave paṭibhānacittaṃ kārāpetabbaṃ itthirūpakaṃ purisarūpakaṃ. Yo kārāpeyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, mālākammaṃ latākammaṃ makaradantakaṃ pañcapaṭika’’nti (cūḷava. 299) vuttattā ‘‘cittapotthakarūpāni, na kare na ca kāraye’’ti vuttaṃ. Bhuñjantanti (cūḷava. aṭṭha. 316) vippakatabhojanaṃ. ‘‘Na bhikkhave vippakatabhojano bhikkhu vuṭṭhāpetabbo. Yo vuṭṭhāpeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 316) hi vuttaṃ.
๓๕๑. ยานานีติ วยฺหํ รโถ สกฎํ สนฺทมานิกาทีนิ คิลานสฺส อภิรุหิตุํ กปฺปนฺติ, สิวิโก จ กปฺปติฯ เอวํ สพฺพตฺถฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิลานสฺส ยานํ, ปุริสยุตฺตํ หตฺถวฎฺฎกํ, สิวิกํ ปาฎงฺกิ’’นฺติ (มหาว. ๒๕๓) หิ วุตฺตํฯ
351.Yānānīti vayhaṃ ratho sakaṭaṃ sandamānikādīni gilānassa abhiruhituṃ kappanti, siviko ca kappati. Evaṃ sabbattha. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, gilānassa yānaṃ, purisayuttaṃ hatthavaṭṭakaṃ, sivikaṃ pāṭaṅki’’nti (mahāva. 253) hi vuttaṃ.
๓๕๒. ทวนฺติ เกฬิํฯ ‘‘น ภิกฺขเว พุทฺธํ วา ธมฺมํ วา สงฺฆํ วา อารพฺภ ทโว กาตโพฺพฯ โย กเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๖๒๗) หิ วุตฺตํฯ ตสฺมา ‘‘กิํ พุโทฺธ สิลกพุโทฺธ, อุทาหุ ปฎิพุโทฺธ’’ติ วา ‘‘กิํ ธโมฺม โคธโมฺม อชธโมฺม’’ติ วา ‘‘กิํ สโงฺฆ อชสโงฺฆ มิคสโงฺฆ’’ติ วา เอวมาทินา นเยน โย ทวํ กโรติ, ตสฺส ทุกฺกฎนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ตุมฺหากํ จีวรํ ทสฺสาม, ปตฺตํ ทสฺสามา’’ติอาทินา นเยน สามเณรํ วา อุปสมฺปนฺนํ วา อญฺญสฺส อนฺตมโส ทุสฺสีลสฺสาปิ ปริสภูตํ อตฺตโน อุปฎฺฐากกรณตฺถํ อุปลาฬเน ทุกฺกฎนฺติ อโตฺถฯ ‘‘น ภิกฺขเว อญฺญสฺส ปริสา อปลาเฬตพฺพาฯ โย อปลาเฬยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ หิ วุตฺตํฯ
352.Davanti keḷiṃ. ‘‘Na bhikkhave buddhaṃ vā dhammaṃ vā saṅghaṃ vā ārabbha davo kātabbo. Yo kareyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 627) hi vuttaṃ. Tasmā ‘‘kiṃ buddho silakabuddho, udāhu paṭibuddho’’ti vā ‘‘kiṃ dhammo godhammo ajadhammo’’ti vā ‘‘kiṃ saṅgho ajasaṅgho migasaṅgho’’ti vā evamādinā nayena yo davaṃ karoti, tassa dukkaṭanti veditabbaṃ. ‘‘Tumhākaṃ cīvaraṃ dassāma, pattaṃ dassāmā’’tiādinā nayena sāmaṇeraṃ vā upasampannaṃ vā aññassa antamaso dussīlassāpi parisabhūtaṃ attano upaṭṭhākakaraṇatthaṃ upalāḷane dukkaṭanti attho. ‘‘Na bhikkhave aññassa parisā apalāḷetabbā. Yo apalāḷeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti hi vuttaṃ.
๓๕๓. กายํ (จูฬว. ๔๑๑) วา อูรุํ วา นิมิตฺตํ วา วิวริตฺวา ภิกฺขุนีนํ น ทสฺสเยติ สมฺพโนฺธฯ กทฺทมุทกาทินา ตา ภิกฺขุนิโย น สิเญฺจยฺยาติ อโตฺถฯ น เกวลํ กทฺทมุทกาทิเกเนว, วิปฺปสนฺนอุทกรชนกทฺทมาทีสุปิ เยน เกนจิ โอสิญฺจนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวฯ
353. Kāyaṃ (cūḷava. 411) vā ūruṃ vā nimittaṃ vā vivaritvā bhikkhunīnaṃ na dassayeti sambandho. Kaddamudakādinā tā bhikkhuniyo na siñceyyāti attho. Na kevalaṃ kaddamudakādikeneva, vippasannaudakarajanakaddamādīsupi yena kenaci osiñcantassa dukkaṭameva.
๓๕๔. พาลนฺติ เอตฺถ พาโล นาม โย โอวาทํ คเหตฺวา ปาติโมกฺขุเทฺทสกสฺส อาโรเจตฺวา ปาฎิปเท ปจฺจาหริตพฺพนฺติ น ชานาติฯ คิลาโน นาม โย โอวาทํ คเหตฺวา อุโปสถคฺคํ คนฺตฺวา อาโรเจตุญฺจ ปจฺจาหริตุญฺจ น สโกฺกติฯ คมิโย นาม โย ปฎิเทสํ คนฺตุกาโมฯ
354.Bālanti ettha bālo nāma yo ovādaṃ gahetvā pātimokkhuddesakassa ārocetvā pāṭipade paccāharitabbanti na jānāti. Gilāno nāma yo ovādaṃ gahetvā uposathaggaṃ gantvā ārocetuñca paccāharituñca na sakkoti. Gamiyo nāma yo paṭidesaṃ gantukāmo.
‘‘น ภิกฺขเว โอวาโท น คเหตโพฺพฯ โย น คเณฺหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๔๑๔) จ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ฐเปตฺวา พาลํ, ฐเปตฺวา คิลานํ, ฐเปตฺวา คมิกํ, อวเสเสหิ โอวาทํ คเหตุ’’นฺติ (จูฬว. ๔๑๔) จ ‘‘น ภิกฺขเว โอวาโท น ปจฺจาหริตโพฺพฯ โย น ปจฺจาหเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๑๕) จ วุตฺตตฺตา ภิกฺขุนีหิ เตรสิยํ วา จาตุทฺทสิยํ วา อาคนฺตฺวา ‘‘อยํ อุโปสโถ จาตุทฺทโส’’ติ วา ‘‘ปนฺนรโส’’ติ วา ‘‘กทา อยฺย อุโปสโถ’’ติ วา ปุจฺฉิเต ‘‘จาตุทฺทโส’’ติ วา ‘‘ปนฺนรโส’’ติ วา ‘‘เสฺว ภคินิ อุโปสโถ’’ติ วา อาจิกฺขิตพฺพํฯ ตาหิ ภิกฺขุนีหิ อุโปสถทิวเส อาคนฺตฺวา ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ อยฺย ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปาเท วนฺทติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจติ, ลภตุ กิร อยฺย ภิกฺขุนิสโงฺฆ โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติ เอวํ ยาจิตพฺพํ, ตํ วจนํ ปฎิคฺคเหตฺวา อุโปสถเคฺค ปาติโมกฺขุเทฺทสกสฺส ‘‘ภิกฺขุนิสโงฺฆ, ภเนฺต, ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปาเท วนฺทติ, โอวาทูปสงฺกมนญฺจ ยาจติ, ลภตุ กิร, ภเนฺต, ภิกฺขุนิสโงฺฆ โอวาทูปสงฺกมน’’นฺติ อาจิกฺขิตพฺพํฯ ปาติโมกฺขุเทฺทสเกนาปิ สเจ ตตฺถ ภิกฺขุโนวาทโก อตฺถิ, ‘‘อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ ภิกฺขุโนวาทโก สมฺมโต, ตํ ภิกฺขุนิสโงฺฆ อุปสงฺกมตู’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ นตฺถิ, ‘‘โก อายสฺมา อุสฺสหติ ภิกฺขุนิโย โอวทิตุ’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา สเจ อตฺถิ อฎฺฐหเงฺคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ, ตํ ตเตฺถว สมฺมนฺนิตฺวา วุตฺตนเยเนว โอวาทปฺปฎิคฺคาหกสฺส อาโรเจตพฺพํฯ ยทิ นตฺถิ โกจิ ภิกฺขุ ภิกฺขุโนวาทโก สมฺมโต, ‘‘ปาสาทิเกน ภิกฺขุนิสโงฺฆ สมฺปาเทตู’’ติ วตฺตพฺพํฯ เตน ภิกฺขุนา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปาฎิปเท ภิกฺขุนีนํ ‘‘นตฺถิ โกจิ ภิกฺขุ ภิกฺขุโนวาทโก สมฺมโต, ปาสาทิเกน ภิกฺขุนิสโงฺฆ สมฺปาเทตู’’ติ วตฺตพฺพํฯ ตาหิปิ ‘‘สาธุ อยฺยา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํฯ อิมินา นเยน คณปุคฺคเลสุปิ วจนเภโท เวทิตโพฺพฯ
‘‘Na bhikkhave ovādo na gahetabbo. Yo na gaṇheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 414) ca ‘‘anujānāmi, bhikkhave, ṭhapetvā bālaṃ, ṭhapetvā gilānaṃ, ṭhapetvā gamikaṃ, avasesehi ovādaṃ gahetu’’nti (cūḷava. 414) ca ‘‘na bhikkhave ovādo na paccāharitabbo. Yo na paccāhareyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 415) ca vuttattā bhikkhunīhi terasiyaṃ vā cātuddasiyaṃ vā āgantvā ‘‘ayaṃ uposatho cātuddaso’’ti vā ‘‘pannaraso’’ti vā ‘‘kadā ayya uposatho’’ti vā pucchite ‘‘cātuddaso’’ti vā ‘‘pannaraso’’ti vā ‘‘sve bhagini uposatho’’ti vā ācikkhitabbaṃ. Tāhi bhikkhunīhi uposathadivase āgantvā ‘‘bhikkhunisaṅgho ayya bhikkhusaṅghassa pāde vandati, ovādūpasaṅkamanañca yācati, labhatu kira ayya bhikkhunisaṅgho ovādūpasaṅkamana’’nti evaṃ yācitabbaṃ, taṃ vacanaṃ paṭiggahetvā uposathagge pātimokkhuddesakassa ‘‘bhikkhunisaṅgho, bhante, bhikkhusaṅghassa pāde vandati, ovādūpasaṅkamanañca yācati, labhatu kira, bhante, bhikkhunisaṅgho ovādūpasaṅkamana’’nti ācikkhitabbaṃ. Pātimokkhuddesakenāpi sace tattha bhikkhunovādako atthi, ‘‘itthannāmo bhikkhu bhikkhunovādako sammato, taṃ bhikkhunisaṅgho upasaṅkamatū’’ti vattabbaṃ. Sace natthi, ‘‘ko āyasmā ussahati bhikkhuniyo ovaditu’’nti pucchitvā sace atthi aṭṭhahaṅgehi samannāgato bhikkhu, taṃ tattheva sammannitvā vuttanayeneva ovādappaṭiggāhakassa ārocetabbaṃ. Yadi natthi koci bhikkhu bhikkhunovādako sammato, ‘‘pāsādikena bhikkhunisaṅgho sampādetū’’ti vattabbaṃ. Tena bhikkhunā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā pāṭipade bhikkhunīnaṃ ‘‘natthi koci bhikkhu bhikkhunovādako sammato, pāsādikena bhikkhunisaṅgho sampādetū’’ti vattabbaṃ. Tāhipi ‘‘sādhu ayyā’’ti sampaṭicchitabbaṃ. Iminā nayena gaṇapuggalesupi vacanabhedo veditabbo.
๓๕๕. โลกายตํ (จูฬว. ๒๘๖; จูฬว. อฎฺฐ. ๒๘๖) นาม วิตณฺฑสตฺถํฯ ‘‘น ภิกฺขเว อาสิตฺตกูปธาเน ภุญฺชิตพฺพํฯ โย ภุเญฺชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๖๔) วุตฺตตฺตา ‘‘เปฬายปิ น ภุเญฺชยฺยา’’ติ วุตฺตํฯ
355.Lokāyataṃ (cūḷava. 286; cūḷava. aṭṭha. 286) nāma vitaṇḍasatthaṃ. ‘‘Na bhikkhave āsittakūpadhāne bhuñjitabbaṃ. Yo bhuñjeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 264) vuttattā ‘‘peḷāyapi na bhuñjeyyā’’ti vuttaṃ.
๓๕๖. คิหิปารุตํ น ปารุเปยฺย, คิหินิวาสนํ น นิวาเสยฺยาติ อโตฺถฯ ‘‘น ภิกฺขเว คิหินิวตฺถํ นิวาเสตพฺพํ หตฺถิโสณฺฑกํ มจฺฉวาฬกํ จตุกณฺณกํ ตาลวณฺฎกํ สตวลิกํฯ โย นิวาเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๘๐) หิ วุตฺตํฯ ปริมณฺฑลโต อญฺญถา ปารุปนํ, สพฺพเมตํ คิหิปารุตํ นามฯ ตํ ปน น ปารุเปตพฺพนฺติ อโตฺถฯ สํเวลฺลิยนฺติ เอตฺถ กจฺฉํ พนฺธิตฺวา น นิวาเสยฺยาติ อโตฺถฯ ทายนฺติ (จูฬว. ๒๘๓; จูฬว. อฎฺฐ. ๒๘๓) อรญฺญํฯ นาลิมฺปเยยฺยาติ สมฺพโนฺธฯ
356. Gihipārutaṃ na pārupeyya, gihinivāsanaṃ na nivāseyyāti attho. ‘‘Na bhikkhave gihinivatthaṃ nivāsetabbaṃ hatthisoṇḍakaṃ macchavāḷakaṃ catukaṇṇakaṃ tālavaṇṭakaṃ satavalikaṃ. Yo nivāseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 280) hi vuttaṃ. Parimaṇḍalato aññathā pārupanaṃ, sabbametaṃ gihipārutaṃ nāma. Taṃ pana na pārupetabbanti attho. Saṃvelliyanti ettha kacchaṃ bandhitvā na nivāseyyāti attho. Dāyanti (cūḷava. 283; cūḷava. aṭṭha. 283) araññaṃ. Nālimpayeyyāti sambandho.
๓๕๗. วฑฺฒิญฺจ น ปโยชเย, โนญาตเก นปฺปวาริเต น ยาเจติ อโตฺถฯ อญฺญสฺสาติ เอตฺถ (จูฬว. ๔๒๐; จูฬว. อฎฺฐ. ๔๒๐) ‘‘ตุเมฺห ปริภุญฺชถา’’ติ นิยเมตฺวา ทินฺนํ สหธมฺมิกานมฺปิ ทาตุํ น วฎฺฎติฯ อคฺคํ คเหตฺวา วา กติปาหํ ภุตฺวา วา ปุน ทเทยฺยาติ อโตฺถฯ
357. Vaḍḍhiñca na payojaye, noñātake nappavārite na yāceti attho. Aññassāti ettha (cūḷava. 420; cūḷava. aṭṭha. 420) ‘‘tumhe paribhuñjathā’’ti niyametvā dinnaṃ sahadhammikānampi dātuṃ na vaṭṭati. Aggaṃ gahetvā vā katipāhaṃ bhutvā vā puna dadeyyāti attho.
๓๕๘. อุทฺทิสฺส ยาจเนติ เอตฺถ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๖๗๙) ‘‘อมฺหากํ วิหาเร อิตฺถนฺนาเมน อิทญฺจิทญฺจ กต’’นฺติ วา ‘‘กริสฺสนฺตี’’ติ วา เอวํ อุทฺทิสฺส รกฺขํ ยาจเนติ อโตฺถฯ ญตฺวาญตฺวา วาติ เอวํ ‘‘อเมฺหหิ ยาจิยมานา อิเมสํ ทเณฺฑสฺสนฺตี’’ติ เตสํ ทณฺฑินํ ญตฺวา วา อญตฺวา วาติ อโตฺถฯ เตหิ ปน ทณฺฑิเต โส ทโณฺฑ อุทฺทิสฺส ยาจนฺตานํ คีวาว ภณฺฑเทยฺยํ โหติ เอวาติ อโตฺถฯ ‘‘อิมินา จ อิมินา จ อิทญฺจ อิทญฺจ กตํ, เอตฺตกํ ทณฺฑํ คณฺหถา’’ติ สยํ ทณฺฑาปเน ปน อสฺส ทณฺฑสฺส อคฺฆเภเทน ปาราชิกถุลฺลจฺจยทุกฺกฎา เญยฺยาติ อโตฺถฯ
358.Uddissa yācaneti ettha (pāci. aṭṭha. 679) ‘‘amhākaṃ vihāre itthannāmena idañcidañca kata’’nti vā ‘‘karissantī’’ti vā evaṃ uddissa rakkhaṃ yācaneti attho. Ñatvāñatvā vāti evaṃ ‘‘amhehi yāciyamānā imesaṃ daṇḍessantī’’ti tesaṃ daṇḍinaṃ ñatvā vā añatvā vāti attho. Tehi pana daṇḍite so daṇḍo uddissa yācantānaṃ gīvāva bhaṇḍadeyyaṃ hoti evāti attho. ‘‘Iminā ca iminā ca idañca idañca kataṃ, ettakaṃ daṇḍaṃ gaṇhathā’’ti sayaṃ daṇḍāpane pana assa daṇḍassa agghabhedena pārājikathullaccayadukkaṭā ñeyyāti attho.
๓๕๙. อนตฺถาย อสฺส โจรสฺส ภาสิเตติ สมฺพโนฺธฯ ราชราชมหามตฺตาทีหิ ตสฺส โจรสฺส ทณฺฑํ คณฺหเนฺต อสฺส ภิกฺขุสฺส ตตฺตกํ คีวาติ อโตฺถฯ
359. Anatthāya assa corassa bhāsiteti sambandho. Rājarājamahāmattādīhi tassa corassa daṇḍaṃ gaṇhante assa bhikkhussa tattakaṃ gīvāti attho.
๓๖๐. วิฆาสํ (ปาจิ. ๘๒๕-๘๒๖) วา อุจฺจารํ วา สงฺการํ วา มุตฺตํ วา ปาการกุฎฺฎานํ พหิ ฉเฑฺฑยฺย, ทุกฺกฎนฺติ อโตฺถฯ วฬเญฺช นาวโลกิยาติ อิมินาว อวฬญฺชนกาเล นาวโลเกตฺวา ฉเฑฺฑตุํ วฎฺฎตีติ ทีเปติฯ น เกวลํ ตเตฺถว, อถ โข หริเต วาปิ วีหาทินาฬิเกราทิโรปิเม ฉเฑฺฑนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวาติ อโตฺถฯ
360. Vighāsaṃ (pāci. 825-826) vā uccāraṃ vā saṅkāraṃ vā muttaṃ vā pākārakuṭṭānaṃ bahi chaḍḍeyya, dukkaṭanti attho. Vaḷañje nāvalokiyāti imināva avaḷañjanakāle nāvaloketvā chaḍḍetuṃ vaṭṭatīti dīpeti. Na kevalaṃ tattheva, atha kho harite vāpi vīhādināḷikerādiropime chaḍḍentassa dukkaṭamevāti attho.
๓๖๑. ‘‘อุปหารํ กโรมา’’ติ วุเตฺตติ ปุจฺฉิเตติ อธิปฺปาโยฯ
361.‘‘Upahāraṃ karomā’’ti vutteti pucchiteti adhippāyo.
๓๖๒. กีฬตฺถํ (ปาจิ. ๙๗๙; ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๗๘) กตํ ราชาคารํ วา โปกฺขรณิํ วา อุยฺยานํ วา จิตฺตาคารํ วา อารามํ วา ทฎฺฐุํ คจฺฉโต ปเท ปเท ทุกฺกฎนฺติ อโตฺถฯ
362. Kīḷatthaṃ (pāci. 979; pāci. aṭṭha. 978) kataṃ rājāgāraṃ vā pokkharaṇiṃ vā uyyānaṃ vā cittāgāraṃ vā ārāmaṃ vā daṭṭhuṃ gacchato pade pade dukkaṭanti attho.
๓๖๓. อาสเนน (จูฬว. ๓๖๔) นเว น ปฎิพาเหยฺย, อุเณฺห (มหาว. ๖๗, ๗๘, ๗๙; จูฬว. ๓๗๖, ๓๗๘, ๓๘๐, ๓๘๒) จีวรํ น นิทเหยฺยฯ คุรุนาติ อาจริยาทินา ปณามิโต ขมาเปยฺยาติ สมฺพโนฺธฯ
363. Āsanena (cūḷava. 364) nave na paṭibāheyya, uṇhe (mahāva. 67, 78, 79; cūḷava. 376, 378, 380, 382) cīvaraṃ na nidaheyya. Gurunāti ācariyādinā paṇāmito khamāpeyyāti sambandho.
๓๖๔. อาปตฺตีหิ จ สตฺตหีติ (วชิร. ฎี. ปาจิตฺติย ๒๖) สตฺตหิ อาปตฺตีหิ ภิกฺขุํ ปรมฺมุขา อโกฺกสเนน จ ‘‘อสฺสโทฺธ อปฺปสโนฺน พีชโภชี’’ติอาทินา อเญฺญเนว วา อโกฺกสเนน จ ทุกฺกฎนฺติ อธิปฺปาโยฯ
364.Āpattīhi ca sattahīti (vajira. ṭī. pācittiya 26) sattahi āpattīhi bhikkhuṃ parammukhā akkosanena ca ‘‘assaddho appasanno bījabhojī’’tiādinā aññeneva vā akkosanena ca dukkaṭanti adhippāyo.
๓๖๕. สทฺธาเทยฺยํ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๖๑) จีวรํ วา ปิณฺฑปาตํ วาติ อโตฺถฯ ‘‘น ภิกฺขเว สทฺธาเทยฺยํ วินิปาเตตพฺพํฯ โย วินิปาเตยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๓๖๑) หิ วุตฺตํฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, มาตาปิตูนํ ทาตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๖๑) วุตฺตตฺตา ‘‘ลพฺภํ ปิตูน’’นฺติ วุตฺตํฯ
365. Saddhādeyyaṃ (mahāva. aṭṭha. 361) cīvaraṃ vā piṇḍapātaṃ vāti attho. ‘‘Na bhikkhave saddhādeyyaṃ vinipātetabbaṃ. Yo vinipāteyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 361) hi vuttaṃ. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, mātāpitūnaṃ dātu’’nti (mahāva. 361) vuttattā ‘‘labbhaṃ pitūna’’nti vuttaṃ.
๓๖๖. วสฺสํวุโตฺถ อญฺญตฺราติ สมฺพโนฺธ, อญฺญสฺมิํ วิหาเรติ อโตฺถฯ อญฺญโตติ อญฺญวิหารโตฯ ‘‘น ภิกฺขเว อญฺญตฺร วสฺสํวุเตฺถน อญฺญตฺร จีวรภาโค สาทิตโพฺพฯ โย สาทิเยยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๓๖๔) หิ วุตฺตํฯ เตสนฺติ ตสฺมิํ วิหาเร ตํ จีวรํ ภาเชตฺวา คณฺหิตุํ ยุตฺตานํ ภิกฺขูนํ ธุรนิเกฺขปโต โหติ ภณฺฑเคฺฆน การิโยติ อโตฺถฯ
366. Vassaṃvuttho aññatrāti sambandho, aññasmiṃ vihāreti attho. Aññatoti aññavihārato. ‘‘Na bhikkhave aññatra vassaṃvutthena aññatra cīvarabhāgo sāditabbo. Yo sādiyeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 364) hi vuttaṃ. Tesanti tasmiṃ vihāre taṃ cīvaraṃ bhājetvā gaṇhituṃ yuttānaṃ bhikkhūnaṃ dhuranikkhepato hoti bhaṇḍagghena kāriyoti attho.
๓๖๗. สห อนฺตเรน อุตฺตโรติ สนฺตรุตฺตโร, คามํ น ปวิเสยฺยาติ อโตฺถฯ ‘‘น ภิกฺขเว สนฺตรุตฺตเรน คาโม ปวิสิตโพฺพฯ โย ปวิเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๓๖๒) หิ วุตฺตํฯ กโลฺล วาติ อคิลาโนฯ สอุปาหโน คามํ น ปวิเสยฺยาติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘น ภิกฺขเว จามริพีชนี ธาเรตพฺพาฯ โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๖๙), ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติโสฺส พีชนิโย วากมยํ อุสีรมยํ โมรปิญฺฉมย’’นฺติ (จูฬว. ๒๖๙) จ วุตฺตตฺตา ‘‘น ธาเรยฺย จามรีมกสพีชนิ’’นฺติ วุตฺตํฯ มกสพีชนี ปน ทนฺตวิสาณทารุทณฺฑกาปิ วฎฺฎติฯ
367. Saha antarena uttaroti santaruttaro, gāmaṃ na paviseyyāti attho. ‘‘Na bhikkhave santaruttarena gāmo pavisitabbo. Yo paviseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 362) hi vuttaṃ. Kallo vāti agilāno. Saupāhano gāmaṃ na paviseyyāti sambandho. ‘‘Na bhikkhave cāmaribījanī dhāretabbā. Yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 269), ‘‘anujānāmi, bhikkhave, tisso bījaniyo vākamayaṃ usīramayaṃ morapiñchamaya’’nti (cūḷava. 269) ca vuttattā ‘‘na dhāreyya cāmarīmakasabījani’’nti vuttaṃ. Makasabījanī pana dantavisāṇadārudaṇḍakāpi vaṭṭati.
๓๖๘. อารามโต พหีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘น ภิกฺขเว ฉตฺตํ ธาเรตพฺพํฯ โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ, ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิลานสฺส ฉตฺต’’นฺติ จ วุตฺตตฺตา อคิลาโน อารามโต พหิ น ลภติ, จีวรคุตฺติยาทิอตฺถาย อคิลาโนปิ ลภตีติ อโตฺถฯ
368. Ārāmato bahīti sambandho. ‘‘Na bhikkhave chattaṃ dhāretabbaṃ. Yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti, ‘‘anujānāmi, bhikkhave, gilānassa chatta’’nti ca vuttattā agilāno ārāmato bahi na labhati, cīvaraguttiyādiatthāya agilānopi labhatīti attho.
๓๖๙. คาเหยฺย นุภโตกาชนฺติ น คาเหยฺย อุภโตกาชํฯ เอกนฺตริกกาชกนฺติ เอกโตกาชญฺจ อนฺตรกาชญฺจ ฯ สีสภาโร จ ขนฺธภาโร จ กฎิภาโร จ สีสกฺขนฺธกฎิภาราฯ ‘‘น ภิกฺขเว อุภโตกาชํ หริตพฺพํฯ โย หเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๘๑), ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เอกโตกาชํ อนฺตรกาชํ สีสภารํ ขนฺธภารํ กฎิภารํ โอลมฺพก’’นฺติ (จูฬว. ๒๘๑) จ วุตฺตตฺตา อุภโตกาชเมว น วฎฺฎติ, เสสานิ วฎฺฎนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ
369.Gāheyya nubhatokājanti na gāheyya ubhatokājaṃ. Ekantarikakājakanti ekatokājañca antarakājañca . Sīsabhāro ca khandhabhāro ca kaṭibhāro ca sīsakkhandhakaṭibhārā. ‘‘Na bhikkhave ubhatokājaṃ haritabbaṃ. Yo hareyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 281), ‘‘anujānāmi, bhikkhave, ekatokājaṃ antarakājaṃ sīsabhāraṃ khandhabhāraṃ kaṭibhāraṃ olambaka’’nti (cūḷava. 281) ca vuttattā ubhatokājameva na vaṭṭati, sesāni vaṭṭantīti veditabbā.
๓๗๐. อโนกาสกตนฺติ (มหาว. ๑๕๓) โย ปฐมเมว ‘‘กโรหิ เม อาวุโส โอกาสํ, อหํ ตํ วตฺตุกาโม’’ติ เอวํ อกโตกาสํ อาปตฺติยา โจเทยฺย, ตสฺส ทุกฺกฎํ โหตีติ อโตฺถฯ ตถาติ ทุกฺกฎเมวาติ อโตฺถฯ
370.Anokāsakatanti (mahāva. 153) yo paṭhamameva ‘‘karohi me āvuso okāsaṃ, ahaṃ taṃ vattukāmo’’ti evaṃ akatokāsaṃ āpattiyā codeyya, tassa dukkaṭaṃ hotīti attho. Tathāti dukkaṭamevāti attho.
๓๗๑. ปกตงฺคุเลน, น สุคตงฺคุเลนาติ อโตฺถฯ
371.Pakataṅgulena, na sugataṅgulenāti attho.
๓๗๒. มูคพฺพตาทิํ (มหาว. ๒๐๙; มหาว. อฎฺฐ. ๒๐๙) ติตฺถิยพฺพตํ ยทิ คเณฺหยฺย, ทุกฺกฎนฺติ อโตฺถฯ อาทิ-สเทฺทน โควตกุกฺกุรวตาทโย สงฺคหิตาฯ ตถาติ (มหาว. ๓๐๓; มหาว. อฎฺฐ. ๓๐๓) นฺหาปิตปุพฺพโก ขุรภณฺฑํ ยทิ ปริหเรยฺย, ทุกฺกฎเมวาติ อโตฺถฯ
372. Mūgabbatādiṃ (mahāva. 209; mahāva. aṭṭha. 209) titthiyabbataṃ yadi gaṇheyya, dukkaṭanti attho. Ādi-saddena govatakukkuravatādayo saṅgahitā. Tathāti (mahāva. 303; mahāva. aṭṭha. 303) nhāpitapubbako khurabhaṇḍaṃ yadi parihareyya, dukkaṭamevāti attho.
๓๗๓. ยํ กิญฺจีติ (กงฺขา. อฎฺฐ. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา) นฺหาปิตตุณฺณการกมฺมาทิ ยํ กิญฺจิ หตฺถกมฺมนฺติ อโตฺถฯ ตทนุสารโตติ หตฺถกมฺมยาจนานุสารโตติ อโตฺถฯ สเจ เอวํ ยาจโต หตฺถกมฺมมูลเมว เทติ, ตํ อญฺญสฺส ทาเปตฺวา กาเรตุํ วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ นิกฺกมฺมํ ปน หตฺถกมฺมวเสน อยาจิตฺวาปิ ‘‘เอหิ อิมํ กโรหี’’ติ กาเรตุํ กปฺปตีติ อโตฺถฯ ยํ กิญฺจิปรสนฺตกนฺติ ยํ กิญฺจิ ทารุติณาทิกํ อปรสนฺตกํ อปริคฺคหิตํ อาหราเปตุํ กปฺปตีติ อธิปฺปาโยฯ
373.Yaṃ kiñcīti (kaṅkhā. aṭṭha. kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā) nhāpitatuṇṇakārakammādi yaṃ kiñci hatthakammanti attho. Tadanusāratoti hatthakammayācanānusāratoti attho. Sace evaṃ yācato hatthakammamūlameva deti, taṃ aññassa dāpetvā kāretuṃ vaṭṭatīti attho. Nikkammaṃ pana hatthakammavasena ayācitvāpi ‘‘ehi imaṃ karohī’’ti kāretuṃ kappatīti attho. Yaṃ kiñciparasantakanti yaṃ kiñci dārutiṇādikaṃ aparasantakaṃ apariggahitaṃ āharāpetuṃ kappatīti adhippāyo.
๓๗๔. คิหีนนฺติ คิหีนํ สนฺตกํฯ โคปเกติ รกฺขเกฯ ยตฺตกํ เทติ, ตตฺตกํ คเหตุํ กปฺปตีติ อโตฺถฯ ยถาปริเจฺฉทนฺติ ‘‘ทิวเส ทิวเส เอตฺตกํ อุจฺฉุนาฬิเกรํ อมฺพปกฺกํ ตุเมฺห ขาทถา’’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ทินฺนเมว เตสุ เทเนฺตสุ ลพฺภตีติ อโตฺถฯ
374.Gihīnanti gihīnaṃ santakaṃ. Gopaketi rakkhake. Yattakaṃ deti, tattakaṃ gahetuṃ kappatīti attho. Yathāparicchedanti ‘‘divase divase ettakaṃ ucchunāḷikeraṃ ambapakkaṃ tumhe khādathā’’ti paricchinditvā dinnameva tesu dentesu labbhatīti attho.
๓๗๕. ทฺวิหาปเชฺชยฺยาติ ทฺวีหิ อาปเชฺชยฺยฯ กตเมหิ ทฺวีหีติ เจ, เต ทเสฺสตุํ ‘‘กายวาจาหี’’ติ วุตฺตํ, ‘‘ทฺวีหากาเรหิ อาปตฺติํ อาปชฺชติ, กาเยน อาปชฺชติ, วาจาย อาปชฺชตี’’ติ (ปริ. ๓๒๒) หิ วุตฺตํฯ กายวาจาหิ อาปตฺติํ อาปชฺชโนฺต จ ฉหิ อากาเรหิ อาปตฺติํ อาปชฺชติ, ตานิ ทเสฺสตุํ ‘‘อลชฺชิญาณกุกฺกุจฺจปกตตฺตา’’ติอาทิมาหฯ เอตฺถ (ปริ. ๒๙๕) ปน อกปฺปิยภาวํ ชานโนฺต เอว วีติกฺกมํ กโรโนฺต อลชฺชิตาย อาปชฺชติ นามฯ กปฺปิยากปฺปิยํ อชานิตฺวา อาปชฺชโนฺต อญฺญาณตายฯ กปฺปิยํ นุ โข, โน นุ โข’’ติ สํสเย อุปฺปเนฺน ตมภิวิตริตฺวา วีติกฺกมํ กโรโนฺต กุกฺกุจฺจปกตตฺตา อาปชฺชติฯ สหเสยฺยาทิํ อาปชฺชโนฺต สติปฺลวา, สติสโมฺมสาติ อโตฺถฯ อจฺฉมํสํ ‘‘สูกรมํส’’นฺติ วา สูกรมํสํ ‘‘อจฺฉมํส’’นฺติ วา ขาทโนฺต อกปฺปิเย กปฺปิยสญฺญิตาย จ กปฺปิเย อกปฺปิยสญฺญิตาย จ อาปชฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ
375.Dvihāpajjeyyāti dvīhi āpajjeyya. Katamehi dvīhīti ce, te dassetuṃ ‘‘kāyavācāhī’’ti vuttaṃ, ‘‘dvīhākārehi āpattiṃ āpajjati, kāyena āpajjati, vācāya āpajjatī’’ti (pari. 322) hi vuttaṃ. Kāyavācāhi āpattiṃ āpajjanto ca chahi ākārehi āpattiṃ āpajjati, tāni dassetuṃ ‘‘alajjiñāṇakukkuccapakatattā’’tiādimāha. Ettha (pari. 295) pana akappiyabhāvaṃ jānanto eva vītikkamaṃ karonto alajjitāya āpajjati nāma. Kappiyākappiyaṃ ajānitvā āpajjanto aññāṇatāya. Kappiyaṃ nu kho, no nu kho’’ti saṃsaye uppanne tamabhivitaritvā vītikkamaṃ karonto kukkuccapakatattā āpajjati. Sahaseyyādiṃ āpajjanto satiplavā, satisammosāti attho. Acchamaṃsaṃ ‘‘sūkaramaṃsa’’nti vā sūkaramaṃsaṃ ‘‘acchamaṃsa’’nti vā khādanto akappiye kappiyasaññitāya ca kappiye akappiyasaññitāya ca āpajjatīti veditabbo.
๓๗๖. อลชฺชิตาย วา อญฺญาณตาย วา อาปตฺติํ กายวาจาหิ ฉาทเยติ อโตฺถฯ เอเก วา เอกสฺมิํ วาฯ ลิเงฺคติ ลิงฺคปริวตฺตนโตฯ เอวํ จตุธา อาปตฺติวุฎฺฐานํ โหตีติ อโตฺถฯ ติณวตฺถารกสมถอพฺภานาทีนํ วเสน สเงฺฆ อาปตฺติ วุฎฺฐาตีติ เวทิตพฺพํ นิสฺสชฺชนาทีสุ คเณฯ เอกสฺส สนฺติเก วุฎฺฐานํ ปากฎเมวฯ ‘‘ยา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีหิ อสาธารณา, ตาหิ อาปตฺตีหิ อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. ๖๙) วจนโต ลิงฺคปริวตฺตเน อาปตฺติวุฎฺฐานํ ญาตพฺพํฯ
376. Alajjitāya vā aññāṇatāya vā āpattiṃ kāyavācāhi chādayeti attho. Eke vā ekasmiṃ vā. Liṅgeti liṅgaparivattanato. Evaṃ catudhā āpattivuṭṭhānaṃ hotīti attho. Tiṇavatthārakasamathaabbhānādīnaṃ vasena saṅghe āpatti vuṭṭhātīti veditabbaṃ nissajjanādīsu gaṇe. Ekassa santike vuṭṭhānaṃ pākaṭameva. ‘‘Yā āpattiyo bhikkhūnaṃ bhikkhunīhi asādhāraṇā, tāhi āpattīhi anāpattī’’ti (pārā. 69) vacanato liṅgaparivattane āpattivuṭṭhānaṃ ñātabbaṃ.
๓๗๗. ปจฺจยทฺวเยติ จีวเร จ ปิณฺฑปาเต จฯ น เกวลญฺจ อิเม เอว, นิมิตฺตกมฺมมฺปิ น ลพฺภเตว, คาถาพนฺธสุขตฺถํ ปน น วุตฺตํฯ ตตฺถ นิมิตฺตกมฺมํ นาม ยํ กิญฺจิ ปเรสํ ปจฺจยทานสํโยชนกํ กายวจีกมฺมํฯ ขาทนียํ คเหตฺวา คจฺฉเนฺต ทิสฺวา ‘‘กิํ ขาทนียํ ลภิตฺถา’’ติอาทินา นเยน ตสฺส ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ ปริกถา นาม ยถา ยถา ตํ ลภติ, ตถา ตถา ปริวเตฺตตฺวา กถนํฯ ‘‘เอตรหิ ภิกฺขู ปิณฺฑปาเตน กิลมนฺตี’’ติอาทินา นเยน ตสฺส ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ โอภาโส นาม ปจฺจยปฺปฎิสํยุตฺตกถาฯ วิญฺญตฺติ ปน ปากฎา เอวฯ ตติเยติ เสนาสเนฯ เสนาสเน ปน นิมิโตฺตภาสปริกถา วฎฺฎนฺติ, วิญฺญตฺติ เอว เอกา น วฎฺฎติฯ ตตฺถ นิมิตฺตกมฺมํ นาม อุปาสเก ทิสฺวา เสนาสนตฺถํ ภูมิปริกมฺมกรณาทิฯ โอภาโส นาม ‘‘อุปาสกา, ตุเมฺห กุหิํ วสถา’’ติ ‘‘ปาสาเท, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘กิํ ภิกฺขูนํ ปาสาโท น วฎฺฎตี’’ติอาทิกํ วจนํฯ ปริกถา นาม ‘‘ภิกฺขูนํ เสนาสนํ สมฺพาธ’’นฺติ วจนํฯ เสเสติ คิลานปจฺจเยฯ
377.Paccayadvayeti cīvare ca piṇḍapāte ca. Na kevalañca ime eva, nimittakammampi na labbhateva, gāthābandhasukhatthaṃ pana na vuttaṃ. Tattha nimittakammaṃ nāma yaṃ kiñci paresaṃ paccayadānasaṃyojanakaṃ kāyavacīkammaṃ. Khādanīyaṃ gahetvā gacchante disvā ‘‘kiṃ khādanīyaṃ labhitthā’’tiādinā nayena tassa pavatti veditabbā. Parikathā nāma yathā yathā taṃ labhati, tathā tathā parivattetvā kathanaṃ. ‘‘Etarahi bhikkhū piṇḍapātena kilamantī’’tiādinā nayena tassa pavatti veditabbā. Obhāso nāma paccayappaṭisaṃyuttakathā. Viññatti pana pākaṭā eva. Tatiyeti senāsane. Senāsane pana nimittobhāsaparikathā vaṭṭanti, viññatti eva ekā na vaṭṭati. Tattha nimittakammaṃ nāma upāsake disvā senāsanatthaṃ bhūmiparikammakaraṇādi. Obhāso nāma ‘‘upāsakā, tumhe kuhiṃ vasathā’’ti ‘‘pāsāde, bhante’’ti vutte ‘‘kiṃ bhikkhūnaṃ pāsādo na vaṭṭatī’’tiādikaṃ vacanaṃ. Parikathā nāma ‘‘bhikkhūnaṃ senāsanaṃ sambādha’’nti vacanaṃ. Seseti gilānapaccaye.
๓๗๘. น รุหตีติ น โหติฯ อจฺจเย ทานนฺติ อจฺจยทานํฯ ปญฺจสุ สหธมฺมิเกสุ เยน เกนจิ กาลํ กโรเนฺตน ‘‘มมจฺจเยน มยฺหํ ปริกฺขาโร อุปชฺฌายสฺส โหตุ, อาจริยสฺส โหตุ, อญฺญสฺส วา กสฺสจิ โหตู’’ติ วุเตฺต เตสํ น โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘น รุหตี’’ติฯ สงฺฆเสฺสว จ ตํ โหตีติ ยทิ ภิกฺขุสามเณเรหิ เอวํ วุตฺตํ, ตสฺมิํ มเตปิ ภิกฺขุสงฺฆเสฺสว โหติ, ภิกฺขุนิสิกฺขมานสามเณรีหิ เจ วุตฺตํ, ตสฺมิํ มเต ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส ตํ โหตีติ อโตฺถฯ คิหีนํ ปน รูหตีติ คิหีนํ ปน อจฺจยทานํ เอว สเพฺพสํ รุหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
378.Na ruhatīti na hoti. Accaye dānanti accayadānaṃ. Pañcasu sahadhammikesu yena kenaci kālaṃ karontena ‘‘mamaccayena mayhaṃ parikkhāro upajjhāyassa hotu, ācariyassa hotu, aññassa vā kassaci hotū’’ti vutte tesaṃ na hoti, tasmā vuttaṃ ‘‘na ruhatī’’ti. Saṅghasseva ca taṃ hotīti yadi bhikkhusāmaṇerehi evaṃ vuttaṃ, tasmiṃ matepi bhikkhusaṅghasseva hoti, bhikkhunisikkhamānasāmaṇerīhi ce vuttaṃ, tasmiṃ mate bhikkhunisaṅghassa taṃ hotīti attho. Gihīnaṃ pana rūhatīti gihīnaṃ pana accayadānaṃ eva sabbesaṃ ruhatīti vuttaṃ hoti.
๓๗๙. อุปสฺสเยติ ภิกฺขุนิวิหาเรฯ ทายโชฺชติ ตสฺส ปริกฺขารสฺส ทายโชฺชฯ เสเสปีติ สเจ ภิกฺขุนิสิกฺขมานสามเณริโย ภิกฺขุวิหาเร กาลํ กโรนฺติ, ตาสํ ปริกฺขารานํ ภิกฺขุสโงฺฆว ทายโชฺชติ อโตฺถฯ
379.Upassayeti bhikkhunivihāre. Dāyajjoti tassa parikkhārassa dāyajjo. Sesepīti sace bhikkhunisikkhamānasāmaṇeriyo bhikkhuvihāre kālaṃ karonti, tāsaṃ parikkhārānaṃ bhikkhusaṅghova dāyajjoti attho.
๓๘๐. ปุริมเสฺสวาติ เอตฺถ ‘‘อิมํ ปริกฺขารํ เนตฺวา อสุกสฺส เทหี’’ติ ทินฺนํ ปุริมเสฺสว โหตีติ อโตฺถฯ ‘‘อสุกสฺส ทมฺมี’’ติ ทินฺนํ ปน ปจฺฉิมเสฺสว โหติ ปริจฺจชิตฺวา ทินฺนตฺตาฯ อิมํ วิธิํ ญตฺวาว วิสฺสาสคฺคาหํ วา คเณฺหยฺย, มตกจีวรํ วา อธิเฎฺฐติ สมฺพโนฺธฯ มตกจีวรอธิฎฺฐานํ นาม ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา กาลํ โฆเสตฺวา โถกํ อาคเมตฺวา สเจ ภิกฺขู อาคจฺฉนฺติ, เตหิ สทฺธิํ ภาเชตพฺพานิ, โน เจ อาคจฺฉนฺติ, ‘‘มยฺหิมานิ จีวรานิ ปาปุณนฺตี’’ติ อธิฎฺฐาตพฺพานิฯ เอวํ อธิฎฺฐิเต สพฺพานิ ตเสฺสว โหนฺติ, ฐิติกา ปน น ติฎฺฐติฯ สเจ เอเกกํ อุทฺธริตฺวา ‘‘อยํ ปฐมภาโค มยฺหํ ปาปุณาติ, อยํ ทุติยภาโค’’ติ เอวํ คณฺหาติ, คหิตานิ จ สุคหิตานิ โหนฺติ, ฐิติกา จ ติฎฺฐติฯ เอวํ ปาเปตฺวา คณฺหเนฺตนาปิ อธิฎฺฐิตเมว โหติฯ
380.Purimassevāti ettha ‘‘imaṃ parikkhāraṃ netvā asukassa dehī’’ti dinnaṃ purimasseva hotīti attho. ‘‘Asukassa dammī’’ti dinnaṃ pana pacchimasseva hoti pariccajitvā dinnattā. Imaṃ vidhiṃ ñatvāva vissāsaggāhaṃ vā gaṇheyya, matakacīvaraṃ vā adhiṭṭheti sambandho. Matakacīvaraadhiṭṭhānaṃ nāma ghaṇṭiṃ paharitvā kālaṃ ghosetvā thokaṃ āgametvā sace bhikkhū āgacchanti, tehi saddhiṃ bhājetabbāni, no ce āgacchanti, ‘‘mayhimāni cīvarāni pāpuṇantī’’ti adhiṭṭhātabbāni. Evaṃ adhiṭṭhite sabbāni tasseva honti, ṭhitikā pana na tiṭṭhati. Sace ekekaṃ uddharitvā ‘‘ayaṃ paṭhamabhāgo mayhaṃ pāpuṇāti, ayaṃ dutiyabhāgo’’ti evaṃ gaṇhāti, gahitāni ca sugahitāni honti, ṭhitikā ca tiṭṭhati. Evaṃ pāpetvā gaṇhantenāpi adhiṭṭhitameva hoti.
๓๘๑. โลหภเณฺฑ ปหรณิํ ฐเปตฺวา สพฺพํ กปฺปติ, ทารุภเณฺฑ จ ทารุชํ ปตฺตญฺจ ปาทุกญฺจ, ปลฺลงฺกญฺจ อาสนฺทิญฺจ ฐเปตฺวา สพฺพํ กปฺปติ, มตฺติกามเย กตกญฺจ กุมฺภการิกญฺจ ฐเปตฺวา สพฺพํ กปฺปตีติ อโตฺถฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ฐเปตฺวา ปหรณิํ สพฺพํ โลหภณฺฑํ, ฐเปตฺวา อาสนฺทิํ ปลฺลงฺกํ ทารุปตฺตํ ทารุปาทุกํ สพฺพํ ทารุภณฺฑํ, ฐเปตฺวา กตกญฺจ กุมฺภการิกญฺจ สพฺพํ มตฺติกาภณฺฑ’’นฺติ (จูฬว. ๒๙๓) หิ วุตฺตํฯ เอตฺถ กตกนฺติ ปทุมกณฺณิกากาเรน กตมลฺลกนฺติ อธิเปฺปตํฯ ธนิยเสฺสว สพฺพมตฺติกามยา กุฎิ กุมฺภการิกนฺติฯ ปกิณฺณกวินิจฺฉโยฯ
381. Lohabhaṇḍe paharaṇiṃ ṭhapetvā sabbaṃ kappati, dārubhaṇḍe ca dārujaṃ pattañca pādukañca, pallaṅkañca āsandiñca ṭhapetvā sabbaṃ kappati, mattikāmaye katakañca kumbhakārikañca ṭhapetvā sabbaṃ kappatīti attho. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ṭhapetvā paharaṇiṃ sabbaṃ lohabhaṇḍaṃ, ṭhapetvā āsandiṃ pallaṅkaṃ dārupattaṃ dārupādukaṃ sabbaṃ dārubhaṇḍaṃ, ṭhapetvā katakañca kumbhakārikañca sabbaṃ mattikābhaṇḍa’’nti (cūḷava. 293) hi vuttaṃ. Ettha katakanti padumakaṇṇikākārena katamallakanti adhippetaṃ. Dhaniyasseva sabbamattikāmayā kuṭi kumbhakārikanti. Pakiṇṇakavinicchayo.
ปกิณฺณกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pakiṇṇakaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.